บาปรัก...บาปบริสุทธิ์ ตอนพิเศษ (7) “เราสองสามคน”
เธอเป็นอย่างไร จากวันที่สองเราไกลห่าง ส่วนคนๆ นี้มันมีชีวิตไม่เหมือนเดิม เจอใครต่อใคร กี่คนก็ถามถึงเรื่องเธอ คำตอบของฉันมีเพียงรอยยิ้ม แต่ที่จริงแล้วใครเลยจะรู้ ว่าใจฉันอ่อนแอกับคำว่าเปลี่ยนแปร ให้คิดจะลืมมันยังข่มใจไม่ไหว ให้ทำว่าเกลียดเธอให้ทำว่าแค้นเธอ พูดตรงๆ แค่คิดยังไม่กล้าพอ แค่อยากถามเธอ เธออยู่ตรงนั้นเหนื่อยไหมเรื่องหัวใจ ตรงนั้นมีใครดูแลเธอรึเปล่า ทำได้เท่าฉันรึเปล่า ส่วนคนอย่างฉันก็เหงามันเรื่อยไป ยังใช้เวลาเยียวยาทุกสิ่ง มันยากจริงๆ อยากลืมใจฉันมันกลับจำ
“ไม่โกรธ ไม่หึง แต่อาจมีความรู้สึกเหงาๆ บ้างเวลาที่รู้ว่าพีทอาจจะอยู่กับโตโต้ แต่อย่ากังวลเลยครับ พีทดีกับผมขนาดนี้ ผมจะไม่ทำให้พีทรู้สึกลำบากใจหรอก ผมสัญญา” สิงห์ตอบคำถามพร้อมรอยยิ้มยืนยัน
“เวลาสิงห์รู้สึกอย่างไร คิดอะไรระหว่างผมกับโตโต้ สิงห์อย่าปิดบังผมนะ ต้องบอกผมรู้ไหม เราจะได้ทำความเข้าใจกัน ผมไม่อยากทำให้สิงห์เสียความรู้สึก หรือเสียใจ ผมอยากอยู่กับสิงห์ อยู่กับโตโต้อย่างมีความสุขตลอดไป สิงห์เข้าใจผมใช่ไหมครับ” ผมยื่นมือไปจับมือสิงห์มากุมเอาไว้แน่น
“ผมสัญญาครับว่าผมจะบอก เอาจริงๆ นะ ตั้งแต่วันที่รู้ว่าโตโต้คิดกับพีทยังไง ผมก็คิดมาตลอดว่าเป็นโชคของผมที่ได้คบกับพีทก่อนที่พีทจะรู้ความรู้สึกของโตโต้ที่มีต่อพีท ไม่อย่างนั้น...มีหวังว่าผมคงไม่ได้คบกับพีทแน่นอน เพราะโตโต้อยู่ข้างพีทมานานก่อนผมเป็นสิบปี ถ้าในตอนนี้...พีทกับโตโต้จะคบกันพร้อมกับผม ไม่ว่าจะในสถานะอะไร ขอแค่ไม่ลืมให้ความสำคัญกับผมแบบที่พีททำอยู่ตอนนี้ ผมก็ดีใจที่สุดแล้ว ผมพูดจริงๆ นะ” สิงห์เอามืออีกข้างของตัวเองมาตบเบาๆ ลงบนมือของผมที่กำลังกุมเอาไว้อยู่
“สิงห์ครับ ผมรักสิงห์จริงๆ ผมจะไม่ทอดทิ้งสิงห์แน่นอน ผมสัญญา” ผมให้คำมั่นกับคนรักเป็นการยืนยัน
“ผมรู้แล้วครับ ไม่ต้องสัญญาอะไรอีกแล้ว ขออย่างเดียว พีทอย่าปิดกันความรู้สึกตัวเองเพราะผมรู้ไหม อยากไปหา อยากจะอยู่กับโตโต้ก็ไม่ต้องเกรงใจผม แล้วโตโต้เองก็เหมือนกัน ไปบอกด้วยว่าผมเต็มใจ อย่าได้มาเกรงใจอะไรผมมาก โตโต้เป็นคนดี พีทจะให้ผมช่วยอะไรในเรื่องของโตโต้ก็บอกผมได้ตลอดเวลา ผมยินดีช่วยนะ” สิงห์พูดจบ ผมก็โผเข้ากอดคนรักด้วยความตื้นตันในน้ำใจที่มีให้มา ผมร้องไห้ออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“สิงห์มีใจที่ประเสริฐแท้ๆ ผมดีใจที่ผมเลือกคนมาเป็นคู่ชีวิตไม่ผิด” ผมบอกคนรักออกไปทั้งน้ำตา และรอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจ
“ผมก็เลือกรักคนไม่ผิดเหมือนกัน พีทใจกว้างกับผมก่อน ไม่ว่าจะเรื่องผู้หญิง เรื่องพี่ศร เรื่องครอบครัวของผม ผมตอบแทนให้ได้แค่เรื่องโตโต้ยังดูน้อยไปด้วยซ้ำ” สิงห์ยิ้มพลางใช้เรียวนิ้วปาดน้ำตาบนใบหน้าผม
“เราเข้าไปข้างในเถอะ อากาศเริ่มหนาวแล้ว นอนห่มผ้ากอดกันบนที่นอนดีกว่า” สิงห์ชวนพร้อมจูงมือลากผมเข้าห้องไป เรานอนกอดกันทั้งคืนอย่างมีความสุข แม้ที่นอนจะไม่อำนวยให้รู้สึกสบาย แต่คืนนี้ผมก็หลับฝันดีในอ้อมกอดของสิงห์
เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงพยาบาลเข้ามาวัดความดันพี่ศร คงเห็นผมนอนกอดกับสิงห์แล้วแต่ไม่ได้พูดอะไร ผมจึงลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ไม่นานสิงห์ก็ตื่นขึ้นมา เรายิ้มให้กันตอนเดินสวนกับผมเข้าห้องน้ำไป
คุณแม่โทรมาแต่เช้าบอกว่าจะแวะทำบุญใส่บาตร แล้วค่อยซื้ออาหารเช้าเข้ามาให้ ผมจึงเดินไปบอกสิงห์ เราผลัดกันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วมาเปิดทีวีดูฆ่านั่งรอทุกคน เพราะพี่ศรตื่นแล้วเช่นกัน ถามแต่ว่าหลานจะมาด้วยไหม ผมจึงบอกว่ามาพร้อมกันหมด พูดเพียงเท่านั้นพี่ศรดูดีใจมาก ได้แต่นอนยิ้มอยู่บนเตียง ไม่นานทุกคนก็มาถึง
“สวัสดีครับ” สิงห์ยกมือไหว้คุณพ่อคุณแม่ และป้าแก้ว พลางทักทายพลัสกับน้องหยกที่เดินเข้ามาข้างในห้อง ป้าแก้วถือถุงโจ๊กร้อนๆ มีน้ำเต้าหู้อีกหลายถุงเอามาฝากพยาบาลหน้าห้องด้วย ผมรับไปจัดการแล้วมานั่งทานกันพร้อมหน้า พี่ศรมัวแต่เล่นกับหลานจนแทบจะไม่ยอมทานอาหารเช้า
“พีท...คราวหน้าเรียกสิงห์ว่าพี่นะจ้ะ แม่ไม่ชอบให้เราเรียกสิงห์เฉยๆ ดูไม่น่ารักเลย พี่สิงห์แก่กว่าเราตั้งสองปีเชียวนะลูก” อยู่ดีๆ คุณแม่ก็เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา ผมหันไปมองหน้าสิงห์ เราสบตากันงงๆ ก่อนจะหันกลับมามองคุณแม่
“ได้ครับ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพียงแต่เรียกแบบนี้มาตั้งแต่เจอหน้ากันก็เลยติดปากเท่านั้นล่ะครับ” ผมอธิบายพลางตักโจ๊กมาเป่าลมไล่ความร้อนก่อนจะทานอย่างอร่อย
“ดีจ้ะ ต่อไปให้ทุกคนเรียกสิงห์ว่าพี่นะ ในฐานะสิงห์เป็นลูกชายคนโตของแม่กับพ่อในบ้านของเรา” คุณแม่หันมาบอกพลัสกับน้องหยกอีกด้วย สองคนนั้นก็รีบพยักหน้ารับคำ สิงห์ก็ไม่ได้พูดอะไรแต่กลับเหลือบมองคุณแม่นิ่ง ดูเหมือนยังงงอยู่แต่ไม่กล้าถามตรงๆ จนเหมือนรวบรวมความกล้าได้ชั่วอึดใจ
“แม่ครับ...สิงห์ขอบคุณครับ คุณพ่อคุณแม่เมตตาสิงห์เหลือเกิน” เอาอีกแล้ว พอสิงห์กล่าวจบก็เรียกน้ำตากันออกมาอีกจนได้ ไม่เว้นแม้แต่พี่ศรที่นอนน้ำตาคลอเบ้าตาลึกอยู่บนเตียง
“ผมขอบคุณพวกคุณมากเลยครับ ที่มีเมตตากับน้องชายผมมากขนาดนี้” พี่ศรยกมือไหว้กล่าวขอบคุณ คุณแม่รีบลุกขึ้นถลาเข้าไปประคองสองมือรับไหว้ทันที
“โถ...พ่อคุณ ไม่ต้องไหว้แม่หรอกจ้ะ ตอนนี้เราก็เป็นครอบครัวเดียวกันนะ คุณศรก็เหมือนกับญาติของแม่คนหนึ่งเช่นกัน อย่ามาเกรงอกเกรงใจกันแบบนี้นะ แม่ไม่ชอบเลย” คุณแม่กล่าวพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับคนป่วยที่นอนน้ำตาไหลเป็นทางอยู่บนเตียง พวกเราทุกคนพูดคุยกันอย่างมีความสุข แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ทุกคนก็มีความอิ่มเอิบใจกับบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกำลังใจ และความหวังที่มีให้พี่ศร
“วันนี้แม่ต้องพาหลานกลับก่อนนะจ้ะ คุณศรก็รักษาเนื้อรักษาตัวให้หายป่วยเร็วๆ นะ จะได้ไปเล่นกับหลานได้สะดวก แล้วแม่จะหาโอกาสพาหลานมาเยี่ยมอีก แม่สัญญาจ้ะ” คุณแม่กล่าวกับพี่ศรก่อนจะลากลับ เพราะมาอยู่ที่นี่จนครึ่งค่อนวันกันแล้ว จนจะได้เวลาเดินทางกลับบ้าน
“เดินทางปลอดภัยนะครับ ขอบคุณทุกคนมากนะครับ ขอผมกอดหลานอีกทีได้ไหมครับ” พี่ศรบอกออกมาแบบนั้น ผมจึงรีบอุ้มลูกไปหาทันที ให้ลุงศรได้กอดได้หอมแก้มหอมหน้าผากเล็กๆ ชื่นใจหลานทั้งคู่อีกหลายรอบ ก่อนจะหันไปลาพี่สิงห์ที่รัก แล้วออกมาจากโรงพยาบาลพร้อมทุกๆ คน
กว่าเราจะนั่งรถตู้มาถึงกรุงเทพก็เป็นเวลาค่ำแล้ว คืนนี้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนอย่างรวดเร็ว ด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียกับการเดินทาง ไม่มีใครพูดจากันมากนักหลังจากลงมาจากรถ ส่วนตัวผมแม้จะเพลียจากการเดินทาง แต่ก็ยังคิดถึงไอ้โต้มันจึงรีบโทรศัพท์ไปหา
ผมได้คุยกับมันก็เล่าถึงเรื่องที่ไปเยี่ยมพี่ศร และเรื่องที่ได้คุยกับพี่สิงห์ ไอ้โต้มันยังอึ้งไปกับผมในน้ำใจของพี่สิงห์ที่มีให้เราทั้งคู่ ผมคุยกับไอ้โต้ประมาณสองชั่วโมง แต่เหมือนเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว วางสายเสร็จก็อาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน
ผมนอนไม่หลับ ในหัววนเวียนคิดแต่เรื่องของสิงห์ กับโตโต้ คืนนี้นอนคนเดียวบนที่นอนกว้าง หนานุ่มน่าสบาย แต่ใจกลับไม่สบายเอาเสียเลย มันร้อนรน เหงาหงอยแปลกๆ ผมพลิกตัวไปมาจนกระทั่งทนไม่ไหว เดินไปเข้าห้องแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าล้างตา
ผมหยิบกุญแจรถยนต์ของตัวเอง ขับรถส่วนตัวออกมาจากโรงรถ ดูเวลาบนหน้าจอคอนโทรลเป็นเวลาตีสองแล้ว ขับออกมาจนถึงหน้าประตูบ้านก็ต้องชะงัก เพราะมีรถยนต์คุ้นตาตรงเข้ามาจอดขวางอยู่ ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ
ผมรีบลงออกไปจากรถ เดินตรงไปหาคนขับรถที่กำลังขับสวนเข้ามาในบ้านของผม ไอ้คนขับรถคนตรงหน้าก็รีบเร่งออกมาจากรถเดินตรงมาหาผมเช่นกัน เรายิ้มให้กันอย่างมีความสุข ยังไม่ทันจะถึงตัวแต่แล้วเราทั้งคู่ก็ต้องหยุดชะงัก
มีเสียงแตรจากรถแท็กซี่คันหนึ่งดังขึ้น ผมจึงหันไปมองสักพัก ผู้โดยสารที่คุ้นหน้าคนนั้นก็เดินออกมาพร้อมกับสะพายเป้คู่ใจ เห็นดังนั้นใจผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเหมือนจะทะลุออกมาจากอก แปลกใจ ตกใจ ดีใจ ตื่นเต้น ตื้นตัน ระคนปนกันไปหมดจนสับสน เราสามคนยืนค้างกันอยู่สักพักจนรถแท็กซี่ขับออกไป
“โตโต้ พี่สิงห์ มาได้ยังไง” ผมร้องออกไปด้วยความปิติยินดี น้ำตาแทบไหลออกมาทันทีที่เห็นสองคนนี้มาอยู่ตรงหน้าพร้อมกัน เราทั้งสามต่างมองกันไปมาทั้งตกใจระคนความดีใจ ความคิดถึง ความสุขจนปรับสีหน้าแทบไม่ถูก
“เข้าไปคุยในบ้านดีกว่า พีทขับรถเข้าบ้านก่อน พี่สิงห์มาขึ้นรถผมเร็ว” โตโต้ร้องบอกให้ผมได้สติ ผมจึงรีบกลับเข้ารถตัวเองที่จอดขวางคาอยู่หน้าประตูบ้าน เลี้ยวกลับเข้าไปจอดในโรงรถด้วยความรวดเร็ว ไม่นานโตโต้ก็ขับรถมาจอดหน้าบ้าน เราสามคนยิ้มให้กันทันทีเมื่อเจอกันพร้อมหน้า
ไม่มีใครพูดอะไรต่อจากนี้ เราทั้งสามต่างรีบเดินตามกันมา เข้าไปในห้องผมอย่างรวดเร็ว ระหว่างก็หันไปมองหน้ากันไปมา พร้อมรอยยิ้มกว้าง ให้รู้ว่าดีใจเหลือเกิน กับความบังเอิญในครั้งนี้ เหมือนว่าเราทั้งสามคนยังเขินกันไปมาเล็กน้อยกับความรู้สึกที่ต้องมาเผชิญหน้าพร้อมกันสามคนในห้องนอนของผมแบบนี้