ตอน๓๑ เชลยหัวใจ
เมื่อผมได้นั่งบัลลังก์นั้นอย่างเต็มตัวแล้ว
ชีวิตเด็กมัธยมของผมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนบ้าง
ชายร่างท้วมค่อยๆ ล้มลงต่อหน้าต่อตาผมหลังจากเสียงปืนดังขึ้น ดวงตาเรียวยาวเบิกโตค้างอย่างอาฆาต ผมอ้าปากเหวออย่างตกใจ นิ้วผมเพิ่งจะแตะเข้าไปที่ไกปืน ยังไม่ทันได้เหนี่ยวเลย แล้วใครเป็นคนยิง!
“แม่นม” ผมอุทานเสียงเบา เหมือนพูดกับตัวเอง
หญิงชราร่างท้วมที่หน้าตาใจดี มีเอกลักษณ์ทางรอยยิ้ม แต่วันนี้กลับถือปืน เหนี่ยวไกกำหนดชะตาชีวิตไปแล้วหนึ่งคน ดวงตาที่แสนอบอุ่นคู่นั้นซ่อนความรู้สึกตกใจและหวั่นกลัวไว้ได้ดี แต่ใช่ว่าจะรอดไปจากสายตาผมได้
ผมยืนอึ้งค้างนาน ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างแม่นมจะกล้าจับปืนยิงคนอย่างนี้ แม่นมทิ้งปืนที่อยู่ในมือ แล้วสาวเท้าเดินมาหาผมอย่างรวดเร็ว ร่างท้วมของหญิงสูงวัยโผเข้ามากอดผม ไม่มีคำพูดคำจาใดๆ ของจากปากท่าน แต่ผมรู้ ผมเข้าใจ การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องง่าย น้อยคนที่จะกล้าทำ ถ้าไม่ใช่เหตุสุดวิสัยจริงๆ
“คุณหนูปลอดภัยดีนะคะ” ประโยคแรกจากคนที่ดูแลผมมาตั้งแต่เล็ก หลังจากที่ต่างคนต่างยืนเงียบไปเนิ่นนาน
“ซนไม่เป็นอะไร แต่นม...” สายตาผมมองต่ำไปยังพื้นถนน พื้นที่มีสองศพพ่อลูกนอนนิ่งอยู่
“นมไม่เป็นอะไรเหมือนกันค่ะคุณหนู”
“แล้วนมมาได้ยังไง เรื่องนี้ซนจัดการเองได้ นมมาอย่างนี้มันอันตรายนะ”
“นมไม่อยากให้คุณหนูทำ คุณหนูยังมีอนาคตอีกไกล” แม่นมบีบไหล่ผมไว้แน่น
“แต่เรื่องนี้เราเคลียร์กับทางกฎหมายได้ นมก็รู้”
“เรื่องทางกฎหมายนมรู้ ถึงแม้ว่าเราจะจัดการกับทางกฎหมายไม่ให้เราผิดได้ แต่มันจะเป็นตราบาปติดตัวคุณหนูไปตลอดนะ”
“แล้วที่นมทำไป มันก็ไม่ได้ต่างไปจากซนหรอก”
“ให้ตราบาปนั้นมาอยู่กับคนแก่อย่างนมเถอะ” เสียงนุ่มของแม่นมยังพูดราบเรียบ แสดงความเป็นห่วงผมอย่างเคย
ผมเอื้อมมือไปจับมือเหี่ยวย่นซีดขาวที่เย็นเฉียบ กำไว้แน่น แม่นมเสียสละเพื่อผม ตราบาปนั้นจะติดตัวไปตลอดชีวิตจริงๆ แต่แม่นมก็ยอม เพื่อไม่ให้ตราบาปนั้นติดตัวผมไป จะมีสักกี่คน ที่ต่างสายเลือด ต่างชาติตระกูล จะมายอมทำแทนให้กันได้ขนาดนี้ ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่ แต่ท่านเป็นแม่นม แม่นมที่คอยดูแลผมมาตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ไม่ต่างอะไรไปกับแม่ผมเลย แม้วันนี้ผมจะไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ แต่ผมก็ยังมีท่าน...แม่นมของผม
เสียงเปียโนกับไวโอลินบรรเลงเพลงด้วยกันเบาๆ แต่ผมไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าข้างนอกนั้นคึกคักเพียงไหน เพราะต้องมานั่งเก็บตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่เปิดเครื่องปรับอากาศอย่างเย็นจับจิต มีลูกน้องในชุดดำสุภาพอยู่ในห้องเป็นเพื่อนสองคน และอีกห้าคนที่ยืนคุ้มกันอยู่หน้าประตูห้อง ทุกคนล้วนแต่ใส่ชุดสูทสีดำ มีแต่ผมที่ใส่ทั้งเสื้อเชิ้ตตัวในกับกางเกงขายาวเป็นสีขาว มีเพียงเนกไทสีดำเรียบ ไร้ลวดลาย กับเสื้อสูทสีดำสนิท มีดิ้นเงินปักเป็นรูปเสือลายพาดกลอนอยู่กลางหลัง
แผ่นหลังผมพิงพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจยาว มีหลายเรื่องที่ต้องคิด ทั้งเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไป ข่าวการเสียชีวิตของนายไพโรจน์ เจ้าพ่อราชาพยัคฆ์ ยังไม่ทันจะเงียบไป นักข่าวก็ประโคมข่าวใหญ่อีกครั้ง ข่าวการเสียชีวิตของนายชนินทร์กับลูกชายโด่งดังไปทุกหน้าหนังสือพิมพ์ เนื้อหาข้างในล้วนเป็นไปในทางเดียวกัน พ่อลูกทะเลาะกัน เป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสลดเช่นนี้ เป็นไปตามที่ลูกน้องผมไปจัดการ
และเรื่องงานวันนี้ ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ที่ผมจะต้องขึ้นไปรับตำแหน่งประธานคนใหม่ของราชาพยัคฆ์ ตำแหน่งที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด คิดเสมอว่าอีกนานที่เวลานี้จะมาถึง แต่ที่ไหนได้...มันมาอย่างไม่ทันตั้งตัว หน้าที่ก็คือหน้าที่ เป็นสิ่งทำผมต้องทำ โดยไร้ข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น งานนี้ เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมนึกถึงใครบางคน
เมื่ออดีตที่ไม่นานมานี้ ผมเคยมางานอย่างนี้ งานของประธานคนใหม่ของเทียนหลง สมาคมที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนที่มาร่วมงานล้วนมีจุดประสงค์ต่างกัน บ้างก็มาเพราะเคารพและนับถือ บ้างก็มาเยาะเย้ย วันนี้ก็คงเป็นแบบเมื่อวันนั้น มีทั้งคนสรรเสริญและนินทา เพียงแต่เราต้องหาจุดยืนของตัวเอง แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า เหมือนเจ้าพ่อเทียนหลงคนนั้น...พี่เทียน
ผมไม่ได้เจอพี่เทียนตั้งแต่คืนวันที่ชนินทร์กับไต้ฝุ่นจบชีวิตลง ผมคงไม่กล้าแบกหน้าตัวเองไปเจอเขาถึงที่แน่ แล้วงานนี้ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาร่วมหรือไม่ ถ้ามา มาเพราะจุดประสงค์ใด แสดงความยินดี ถากถาง หรือแก้แค้น
ชายชุดดำที่อยู่หน้าประตูห้อง เคาะห้องขออนุญาตแล้วเปิดประตูเข้ามา ถึงเวลาแล้ว ที่ผมต้องขึ้นไปนั่งบัลลังก์ของเจ้าพ่อคนต่อไปของราชาพยัคฆ์ ผมค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง ไม่แสดงอาการใดๆ แต่ใครจะรู้บ้างว่าผมทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว เมื่อผมได้นั่งบัลลังก์นั้นอย่างเต็มตัวแล้ว ชีวิตเด็กมัธยมของผมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนบ้าง ยากที่จะรู้
“ทำความเคารพประธานราชาพยัคฆ์ ท่านวิศิษฏ์ ศารทูลนฤบาล” เสียงพิธีกรบนเวทีประกาศ ทำเอาตัวผมกระตุกไปทั้งร่าง
ขาทั้งสองค่อยๆ ย่างก้าวเดินออกมาตามพรมแดงที่ปูไว้เป็นทาง นักข่าวและช่างภาพรัวชัตเตอร์ โดยไร้แสงแฟลชตามที่สมาคมสั่งห้ามนักข่าว ผมเดินผ่านช่องกลางระหว่างฝั่งบุคลากรในสมาคมที่ยืนโค้งหัวทำความเคารพ บางคนหงอกทั้งหัว แต่ต้องมาเคารพเด็กมัธยมปลายอย่างผม ส่วนอีกฝั่งเป็นแขกผู้มาร่วมงานจากสมาคมอื่น และผู้มีอิทธิพลในการงานด้านต่างๆ ยืนตัวตรงนิ่ง ตาจับภาพผมที่กำลังเดินอยู่ทุกฝีก้าว
ผมก้าวขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ลายเสือโคร่งตัวใหญ่อย่างสง่า แม่นมนั่งอยู่บนตั่งตัวเล็กที่อยู่ข้างๆ ลูกน้องสองสามคนยืนประกบข้างไว้ ค้างให้ช่างภาพถ่ายรูปสักพัก ทุกอย่างก็กลับมาเงียบ เงียบเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง สายตาผมมองตรง ไม่วอกแวกไปไหนตามคำแนะนำของผู้ใหญ่
แม่นมพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผม ผมลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์ ยืนตรงนิ่ง ไม่เขยื้อนไปไหน ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม รอฟังประกาศิตจากปากผม ประกาศิตของเด็กหนุ่มที่กำลังจะเป็นใหญ่ในวงการนักเลง
“ผม นายวิศิษฏ์ ศารทูลนฤบาล ในฐานะประธานคนใหม่ของธุรกิจเครือศารทูลนฤบาล และสมาคมราชาพยัคฆ์ ขอสัญญาว่าจะปกครองสมาคมอย่างเป็นธรรม ดำเนินทุกธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ให้สมาชิกทุกคนอยู่อย่างสันติ สงบสุข”
เสียงปรบมือกึกก้องหลังจากที่ผมกลับไปนั่งลงบนบัลลังก์ดังเดิม ใครจะรู้บ้างว่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งพูดแต่ข้อความดีๆ ออกไปอย่างผม แท้ที่จริงแล้วเป็นต้นเหตุของการจากไปของสองพ่อลูกในตระกูลศิวโลกเทพ
พิธีกรบนเวทีกล่าวอะไรอีกสักเล็กน้อย ก่อนที่พิธีงานจะเสร็จสิ้นลง ผมเดินกลับมายังห้องพักรับรองห้องเดิม แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าห้อง ก็รู้สึกถึงฝีเท้าที่เดินตามมาติดๆ จนลูกน้องทั้งหลายต้องหันไปมอง...เจ้าพ่อแห่งเทียนหลง ตามมาหาถึงที่
ผมมองใบหน้าคมคายของเขา สายตาที่เขามองผมยังนิ่งเฉยเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ได้เจอกัน ผมเดินนำเขาเข้ามาในห้องโดยไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ ผมสั่งให้ลูกน้องออกไปรอนอกห้อง สายตาคู่นั้นยากที่จะเดาได้ว่าเขาต้องการอะไร
“ยินดีด้วยนะ เป็นเจ้าพ่อราชาพยัคฆ์เต็มตัวแล้ว” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่นเช่นเคย
“ไม่คิดว่าจะมาร่วมงานด้วย” ผมตอบกลับเสียงเรียบอย่างไว้ท่า แต่ในใจอย่างจะกระโจนเข้าไปกอดเขาเหมือนที่เคยทำบ่อยๆ แต่ก็ต้องวางท่าไว้ เพราะสิ่งที่ผมทำลงไป อาจจะทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม
“มาอยู่แล้ว”
“ถ้าจะมาแก้แค้นแทนอา แทนน้อง ก็ทำเลยสิ อย่ามัวลีลา”
คนตัวโตคว้าตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว จนตั้งตัวไม่ทัน สองมือแกร่งกอดผมแน่น ผมเอื้อมมือไปจับไหล่เขาทั้งสองข้างเป็นการพยุงตัว เงยหน้ามองเขาที่ก้มลงมามองผมแบบมีเลศนัย
“ไม่ได้มาแก้แค้นแทนใคร แต่มาแก้แค้นให้ตัวเอง ทำให้พี่รอ พี่ออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ยอมไปรับพี่ จะแก้แค้นยังไงดี ลองว่ามาสิ” ใบหน้าหล่อคมขยับมาใกล้ผมจนรู้สึกถึงลมหายใจของฝั่งตรงข้าม พี่เทียนทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ได้ว่างพอที่จะให้มาเล่นด้วยนะ”
“ครับ เจ้าพ่อนักธุรกิจ พี่เคยเล่นสักที่ไหน มีแต่จริงใจกับตัวแสบตลอด”
“แม้ว่าซนจะทำให้อาพี่กับไต้ฝุ่น...”
“พี่ถือว่าเรื่องนั้นเป็นเวรกรรม อาชนินทร์ทำอะไรไว้ ก็สมควรต้องได้รับผลกรรมอย่างนั้น เหมือนกับพี่ไง มอบความรักให้ตัวแสบ จนตัวแสบของพี่รักพี่ตอบ”
“นั่นมันเมื่อก่อน”
“อ้าว แล้วตอนนี้ล่ะ” คนตัวสูงสีหน้าเจื่อนลงทันที แต่มือยังกระชับกอดตัวผมไว้แน่น หน้าตาจดจ่อรอฟังคำตอบจากปากผม
“ก็...เหมือนตอนนั้นมั้ง”
“เหมือนยังไง” สีหน้าเขากลับมาแจ่มใสเหมือนเดิม ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าผมแกล้งเขา เพราะรู้เขาเลยแกล้งผมกลับ โดยให้ผมพูดประโยคที่เขาอยากจะฟังออกมา
“ก็รู้สึกเหมือนอย่างเมื่อตอนนั้นไง”
“แล้วตอนนั้นรู้สึกยังไงล่ะ”
“ไม่รู้สิ มันผ่านมานาน ลืมไปแล้ว”
“หรอครับ” มือหนาบิดจมูกผมเบาๆ แล้วมอบรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์มาให้ผม “สงสัยต้องช่วยเตือนความจำแล้วแหละ”
“ช่วยยังไงก็จำไม่ได้ เพราะไม่เคยจำ”
“พูดอย่างนี้พี่น้อยใจนะ”
“ก็มันจริง ถ้าจำ มันต้องอยู่ในหัวสมอง แต่เรื่องนี้ มันฝังลึกไว้ตรงนี้” ผมจับมือพี่เทียนมาทาบที่หัวใจของผม ก้อนเนื้อที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมาจากร่าง
“แล้วเรื่องที่มันฝังอยู่ในนี้ มันคือเรื่องอะไรล่ะครับ”
“เรื่อง...เรื่องอะไรจะบอก”
“ตัวแสบ กวนประสาท” พี่เทียนเขกหัวผมเบาๆ แล้วหัวเราะดังตามมา
“ซนรักพี่เทียน” ผมพูดออกมาอย่างรวดเร็วจนลิ้นแทบพันกัน คนตรงหน้าฟังรู้เรื่อง แต่เขาแกล้งทำเป็นขมวดคิ้วฟังไม่ทัน “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย ซนไม่พูดใหม่อีกรอบด้วย”
“ครับ พี่ก็รักซนนะ”
ใบหน้าหล่อได้รูปโน้มเข้ามา จมูกโด่งเป็นสันชนกับปลายจมูกผม เขาเล่นถูจมูกผมไปมาอย่างสนุก สายตาเฉี่ยวคมมองผมอย่างหวานเยิ้ม คงละลายลงไปกองอยู่กับพื้นถ้าไม่มีอ้อมกอดนี้ประคองตัวไว้อยู่ ริมฝีปากอิ่มแดงค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้กับปากผม ใกล้มาก จนจะชนกันอยู่แล้ว
“แล้วไม่กลัวซนแก้แค้นพี่ต่อหรอ”
“จะทำอะไรพี่ครับตัวแสบ” พี่เทียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบซ่าน
“ผนวกอำนาจของมังกรสวรรค์เข้าไว้กับราชาพยัคฆ์” ผมพูดเสียงแข็ง แต่คนตรงหน้ายิ่งฉีกยิ้มออกกว้างขึ้นไปอีก
“แล้วเราก็จะมาปกครองร่วมกัน ใช่ไหมครับแม่เสือของพี่”
“ไอ้บ้า” ผมตบเข้าที่ไหล่แกร่ง พี่เทียนขำเบาๆ อย่างมีความสุข “ซนไม่ได้เป็นแม่เสือสักหน่อย”
“ก็แม่เสือจะได้คู่กับพ่อมังกรไง”
“เพ้อเจ้อ”
“ที่เพ้อเจ้อก็เพราะรักไง” เขามองผมทะลุเข้ามาในดวงตา “หรือว่าตัวแสบไม่รักคนเพ้อเจ้อคนนี้”
“รัก ซนรักพี่เทียน พ่อมังกรของซน”
ริมฝีปากบางของผมถูกประกบด้วยริมฝีปากแดงกล่ำของพี่เทียน ปากผมเผยอออกจากกัน ลิ้นอุ่นเข้ามาสำรวจพื้นที่ในโพรงปากผมทันที ผมหลับตาพริ้ม ไม่กล้ามองหน้าเขา เอื้อมมือไปกอดพี่เขาแน่น ไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไร แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขเหลือเกิน ที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของคนรักแบบนี้
ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจที่เกรียงไกร ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจของเงินทองมาใช้ ขอแค่มีคนที่รักยืนอยู่ข้างกายในวันที่โดดเดี่ยวและอ้างว้าง ในยามที่ไม่มีใครขอเพียงมีใครสักคนที่เข้าใจ พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปด้วยกัน
อำนาจไม่จำเป็นต้องทำให้คนโดดเดี่ยว อำนาจไม่จำเป็นต้องทำให้อยู่คนเดียว คนสองคนสามารถมีอำนาจขึ้นไปพร้อมกันได้ ไปยืนอยู่เคียงข้างกัน รวมอำนาจนั้นให้ชนะเหนือสิ่งอื่นใด จนเป็น...อำนาจแห่งความรัก
----- จบ -----