วันนี้มาเร็วเพราะจะไปไหว้เจ้าจ๊ะ อิอิ

++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 65 (ต่อ)
“สวัสดีครับคุณโอม”
เสียงนั้นคุณก้อยโทรมาครับ ผมจำไม่ได้จริงๆว่าเมื่อวานแยกกันตอนไหนยังไงอะไรเกิดขึ้นบ้าง มันลางๆเลือนๆรู้แต่ว่าผมเมาจนอาเจียนไปหลายรอบ โดยที่มีคุณก้อยนี่แหล่ะที่เป็นคนประคองผม แต่ตอนที่กลับบ้านไปแล้วมันเบลอๆ
“สวัสดีครับคุณก้อย เมื่อวานผมขอโทษนะผมเมาไปหน่อยเลยเป็นภาระคุณก้อยให้ลำบากต้องไปส่ง” เสียงคุณก้อยหัวเราะเบาๆ
“หึหึ ไม่เป็นไรครับคนกันเอง แล้วนี่กลับบ้านหรือยังครับหรือยังอยู่กรุุงเทพ”
“กำลังจะกลับครับอีกซักพักว่าจะกลับไปบ้านไปเอาของนิดหน่อยก่อน มีเรื่องอะไรไม๊ครับ”
“ผมแค่อยากคุยด้วยเท่านั้นเอง วันนี้ผมว่างๆไม่ได้ทำงาน”
ผมยกมือดูนาฬิกาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว หรือว่าคืนนี้ผมจะค้างอีกซักคืน วันนี้ไปกินข้าวกับคุณก้อยอีกซักวันแกล้งพี่ต่ายให้รอซะให้เข็ด ยังคิดไม่ออกด้วยว่าจะเอายังไงดีไปกะคุณก้อยซื้อเวลาไปก่อนแล้วกัน
“ได้เลยครับ....แต่วันนี้ผมคงงดแอลกอฮอล์แล้วนะ เมื่อคืนแทบแย่เลยอาเจียนซะเพลียไปเลย”

แต่ในใจผมน่ะรู้ว่าที่วันนี้เพลียๆมันเพราะอะไรกันแน่ เพราะคนที่รอผมอยู่ที่บ้านน่ะแหล่ะเล่นซะหลายรอบเลย หึหึหึ ไม่รู้ว่าไปตายอดตายอยากมาจากไหน แต่ผมก็เมาๆเคลิ้มๆลืมเรื่องที่โกรธไปจนหมดเลยสงสัยเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ คิดแล้วมันน่าอายจริงๆ
เราเลยนัดกันไปทานข้าวแถวๆบ้านผมเพราะมีร้านอาหารน่านั่งอยู่เยอะทีเดียว เราเลือกร้านอาหารไทยบรรยากาศสบายๆ นั่งรับลมกันด้านนอก ผมนั่งรอซักพักคุณก้อยก็เดินส่งยิ้มเข้ามา
“หวัดดีครับ มานานรึยัง”คุณก้อยนั่งลงข้างๆผม

ทั้งที่ฝั่งตรงข้ามก็ว่างนะคุณก้อย เมื่อวานก็อย่างนี้ทีนึงแล้ว เป็นพวกขาดความอบอุ่นรึไงไม่รู้
“นั่งตรงนี้ดีกว่ามันสว่างกว่า แล้วคุยกันก็ไม่ต้องตะโกนด้วย”
แล้วจะให้ผมบอกว่าไม่ได้!!เมิงไปนั่งอีกฝั่งกรูไม่ชอบให้คนมานั่งเบียด

ผมก็พูดไม่ออกก็ลูกค้าอ่ะ.....ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย
“สั่งอาหารรึยังครับ ทานอะไรกันดี”
ถามผมครับ แต่คุณก้อยสั่งอาหารให้ผมหมดทุกอย่าง แล้วก็....บริการดีทุกระดับประทับใจเหมือนเดิม คอยตักนู่นนี่ให้จนผมชักเขิน แทบจะเอาน้ำมาป้อนที่ปาก

จนบางทีผมว่าผมต้องมีคนแอบดูแน่ๆ ว่าไอ้หน้าหล่อสองคนนี้มานเป็นอะไรกันคนนึงอาจจะเป็นหนุ่มรักบริการเพราะบริการจริ๊ง อีกคนอาจจะไม่มีแขนมั๊งพวก no hand ผมเลยต้องพยายามยกมือขึ้นไว้ เหมือนบอกคุณก้อยไปด้วยว่ากรูไม่ได้เป็นไอ้ด้วนนะมือนะมี....สองข้างด้วยยังใช้งานได้อยู่

ฟันธงครับ.....ว่าจีบผมชัวร์ก็เอาใจซะขนาดนั้น ถ้าผมไม่รู้คงต้องเอาที่คาดผมเขาควายมาสวมแล้ว แล้ววันหลังคนเรียกก็ต้องตอบว่า มอออ มอออ ไม่ต้องไปพูดภาษาคนกันล่ะ
“ผมถามคุณโอมจริงๆนะ.....ตอบผมตรงๆนะได้ไม๊”

คุณก้อยทำหน้าจริงจังมากครับเหมือนจะชวนผมคุยเรื่องการเมือง ซึ่งผมก็ไม่่ค่อยถนัดจะเน้นไปในทางการมุ้งมากกว่า พอดีเพิ่งทบทวนมาเมื่อวานหลายบทเหมือนกัน หุหุหุ พอจะปรึกษาได้เรื่องนั้น แต่ใครจะเป็นนายกจะหน้าเหลี่ยมหน้าหมูผมก็ไม่แน่ใจ ไม่มีความเห็นด้วย แต่จะพูดแบบนั้นไปเค้าก็จะว่ากวนตรีน ก็เลยอ่ะ....อยากถามอะไรก็ถามแล้วกัน
“ครับ...เรื่องอะไรครับถามได้หมด ยกเว้นห้ามถามต้นทุนราคาสินค้าผมเพราะคงบอกไม่ได้ ฮ่าๆๆ” กรวนตีนลูกค้าอีกแล้วผมลืมตัวไป อย่ามาต่อราคาของผมนะไม่ลดให้หรอก
ผมพยักหน้าให้คุณก้อยถามต่อ “ถามมาเลยตอบได้ตอบ”

คุณก้อยยังคงซีเรียสอยู่ “คุณโอมมีแฟนรึยัง...."
"............" ผมอึ้งเงียบไป

"ผมเคยถามไปรึยังนะจำไม่ได้”แล้วก็ยกมือเกาหัวตัวเองทำหน้าเขินๆด้วย น่าร๊ากกกกจริงๆ

เออตัวเองจำไม่ได้แล้วผมจะจำได้ไม๊ล่ะ ผมล่ะขำ ตั้งแต่กลับมาทำงานอยู่ที่บ้านมีแต่คนถามแบบนี้มาตลอด เพื่อนแม่ก็จัดงานสังสรรค์ตลอดพาลูกๆมาให้ผมสนิทสนมหลายคนตั้งแต่ 8ขวบยัน 30 กว่าๆ มีทั้งต้องรับไหว้และยกมือไหว้ จนหลังๆผมต้องบอกแม่ว่าให้พอทีผมไม่ไหวแล้ว ไม่อยากเลี้ยงต้อยแล้วก็ไม่อยากมีแฟนแก่กว่าด้วย
วันนี้มาเจอคุณก้อยถามอีก ผมต้องคิดหนักว่าจะตอบยังไงดี
“มีแล้วครับ เอ๊ะหรือไม่มีดี เอาเป็นว่าดูๆกันอยู่ดีกว่าครับ”
แล้วก็เผลอตอบกวนๆกำกวมๆซะอีก เพราะบางเรื่องผมไม่อยากฟันธง มันยังลูกผีลูกคนอยู่
ผมก็ตอบให้ชีวิตสับสนพอได้เลยแต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆนี่ ผมไม่อยากผิดศีล 5 มุสาวาทา แต่ถ้ามาถามเมื่อวานอาจจะเป็นอีกคำตอบนึงก็ได้นะ แล้วอยู่ดีๆคุณก้อยก็ยกมือผมขึ้นมากุมไว้ เฮ้ยยย!!!ตกใจหมดไม่มีขออนุญาติกันบ้างเลย

แต่ที่ตกใจกว่าก็คำพูดนี่
แหล่ะครับ
“แสดงว่ายังไม่มี งั้นผมขอคบคุณโอมได้ไม๊”

+
+
“ไม่ได้”

คำตอบเสียงดังมากครับ แทบจะเรียกโต๊ะอื่นที่นั่งอยู่ข้างๆมาร่วมเป็นสักขีพยานด้วย
คุณก้อยมองหน้าผม ผมรีบยกมือที่เหลืออีกข้างโบกมือปฏิเสธ ทำหน้าตาเหรอหราพร้อมส่ายหน้าให้กับคุณก้อย เปล๊า...เปล่าครับผมไม่ได้เป็นคนตอบ ใครจะไปตอบเร็วได้ขนาดนั้น มันต้องผ่านการกลั่นกรองของสมองแล้วประมวลผลก่อนซิ คำถามสำคัญแบบนี้ ผมไม่ใช่หัวคอมพิวเตอร์นี่ แต่ว่าใครไม่รู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังผมตอบแทน

ผมกับคุณก้อยหันหน้าไปดูข้างหลังพร้อมกันแต่คนละข้างนะครับเลยเหมือนหันหน้ามามองกันพอดี แต่พอหันไปเห็นคนพูดก็ต้องมามองหน้ากันอยู่ดีล่ะครับ คุณก้อยทำหน้างงๆถามผม
“ใครน่ะคุณโอม....”

“แฮะๆๆพี่ผมเอง....พี่อั้มครับ”

พี่อั้มส่งยิ้ม...กวน....ตรีนให้คุณก้อย ดูเสแสร้งมากครับ
แล้วพี่ผมก็แกะมือคุณก้อยออกจากมือผม จับไหล่ของเราที่ชิดกันอยู่แยกออกจากกัน แล้วยื่นหน้ามาตรงกลาง พูดระยะประชิดหน้า จนผมขนลุกเหมือนในละครที่ผมมักจะสงสัยว่าใครเค้าจะพูดกันหน้าใกล้ขนาดนั้น เกิดใครปากเหม็นคงอ๊วกแตกแย่
“คุยเรื่องไร้สาระอะไรกันอยู่ ข้าวบ้านมีทำไมไม่กลับไปกิน”

เหอๆๆๆพี่ผมอารมณ์ไหนว่ะ ปรกติผมก็กินข้าวนอกบ้านประจำเวลามากรุงเทพฯ ใครจะไปรอพี่อั้มที่กลับช้าบ้างเร็วบ้างเป็นสารณะ แล้วก็พูดซะเสียงโหดจริงๆ คุณก้อยยกมือไหว้อย่างจ๋อยๆครับ ทำท่ายังกับไหว้เจ้ายกมือซะท่วมหัวเลย
“สวัสดีครับพี่อั้ม พี่ทานด้วยกันไม๊ครับ” คุณก้อยก็ดีนะครับยังมีแก่ใจชวนพี่ผม ผมเองซิกำลังจะเอ่ยปากไล่พี่ผมให้กลับบ้านไปก่อนพอดีเลย นิสัยดีกว่าน้องตัวจริงของพี่อั้มอีก หึหึ
“ทานก็ได้ แต่ผมชอบนั่งข้างน้องผมนะคุณไปนั่งอีกฝั่งแล้วกัน”

ไม่พูดอย่างเดียวครับ ยกจานข้าว แก้วน้ำของคุณก้อยไปไว้อีกฝั่งเลย ผมน่ะอ้าปากค้าง แต่คุณก้อยน่ะนอกจากอ้าปากค้างแล้วยังตาค้างด้วย แล้วก็ลุกแบบมึนๆงงๆไปนั่งอีกฝั่งนึง
พี่อั้มเอาจานเปล่าที่วางอยู่มาที่นั่งตัวเอง แล้วเริ่มกินครับไม่ได้สนใจผมสองคนที่มองหน้ากันแบบงงๆ สักพักครับคงเริ่มรู้ตัวเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมกับคุณก้อยแล้วเตือนสติผมที่แตกไปแล้วให้มารวมตัวกันใหม่ พยักเพยิดหน้าให้
“เอ้า......เจรจาการค้ากันต่อไปซิ พี่ไม่กวนหรอก”

ใครจะไปกินลงครับผมเลยอิ่มไปเลยทั้งที่กินไปยังไม่ถึงครึ่งกระเพาะเลย ส่วนคุณก้อยอิ่มหรือเปล่าไม่รู้เห็นกินแต่น้ำครับจนกระทั่งกลับ เหอๆๆๆ พี่ผมแต่ละคนสุดยอดดดดด

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แล้วเจอกันตอนจบคร๊าบบบบ

ซินเจียอยู่อี่ซินนี้ฮวดไช้ รวยๆกันถ้วนหน้านะ