หลังจากโดนท้วงเลยต้องรีบมาเม้ม 5555
แต่ความจริง
สารภาพเลยนะ
อ่านตามทัน แต่ดันลืมตอนต้นเลยต้องย้อนกลับไปอ่านอีกที แฮะๆ
แบบจำเนื้อเรื่องได้ ตามอารมณ์ได้ แต่ .......จำชื่อคนบางคนในเรื่องไม่ค่อยได้ จำได้หมดว่าไอ้คนนี้มีนิสัยแบบนี้แต่จำชื่อไม่ได้ อันนี้เป็นความสามารถเฉพาะตัวเป็นไปได้ก็กรุณาอย่าลอกเลียนแบบ แถมไม่ใช่โรคคนแก่ประเภทได้หน้าลืมหลัง (เพราะทุกวันนี้ก็เอามันข้างหลังอยู่ทุกวันล่ะ) เพราะเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ประเภทจำหน้าได้แต่จำชื่อไม่ค่อยได้ จำภาพได้แต่จำนิคเนมไม่ได้ เพราะงั้นซีซั่นห้ามถือเรื่องนี้เด็ดขาดเลยนะ ไม่งั้นไม่ถือว่ารักกันจริงนะเอ๊า
นอกเรื่องมากล่ะ เข้าเรื่องเลยดีกว่า เห็นถามพี่ว่านิยายของซีซั่นเป็นยังไง บอกตรงๆ ว่า ตอนที่คลิกเข้ามาอ่านเรื่องนี้พี่ไม่ได้มองชื่อคนเขียนด้วยซ้ำ (ปรกติทุกเรื่องก็แบบนั้นแหละ) มารู้ก็ตอนที่ไปเอะใจที่ไปเห็นเม้มของซีซั่นในเรื่องสักเรื่องหนึ่ง แล้วก็เอะ? หลงไหลในม่านหมอกเนี่ย ใช่คนเดียวกันกับที่กูเคยอ่านเรื่องของเขาหรือเปล่าหว่า? แล้วใช่คนที่ไปเม้มให้เรื่องของกูหรือเปล่าวะ? 555 เอ๋อ ขนาดนั้นเลยน่ะ ยิ่งแน่ใจจนไปเจอกันในเฟสนี่แหละ เลยอ๋อ ใช่เลย~~~~~~(ความจริงเห็นเม้มของซีซั่นในหลายเรื่องเลยนะ แล้วแต่ละเรื่องก็มักจะเป็นแนวเรื่องเล่าหรือสไตล์ผู้ชายๆ เหมือนๆ กันเลย นี่แสดงว่าสไตล์การอ่านของเราใกล้เคียงกันมากเลยนะเนี่ย) คือปรกติพี่ก็จะไม่ค่อยรู้ว่าใครเป็นนักเขียนในเล้าบ้าง เพราะพี่ก็ไม่ใช่นักเขียนน่ะนะ ไม่ค่อยจะได้ปฏิสัมพันธุ์กับคนเขียนในเรื่องอื่นๆ เท่าไหร่ หรือก็คือถ้าไม่ติดตามจริงๆก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนเขียนบ้าง เมื่อก่อนไม่มีเวลาขนาดนั้น แค่เข้ามาอ่านให้หายอยากแล้วก็จากไป จะเม้มให้ใครก็เพราะถูกใจเนื้อเรื่อง หรือตามเรื่องจริงๆ ไม่ใช่ตามนักเขียน แบบถ้าเรื่องนี้หนุกก็อ่านต่อ ไม่ค่อยสนว่าใครจะเป็นคนเขียนเท่าไหร่ จะจำได้ก็คนที่เขามีสไตล์ชัดเจนแล้วเราอ่านบ่อย คือถ้าเขาไม่มาทักเนี่ย บ้างทีก็เอ๋อไปนานเลยแหละ กว่าจะรู้ว่าเขาเป็นนักเขียน แล้ว “เฮ้ย! นักเขียนคนนั้นมาอ่านเรื่องของกูเหรอเนี่ย?!” ก็ผ่านไปเป็นชาติแล้ว อย่างน้องต่ายนั่นแหละ ความรู้สึกช้าเนาะ แต่ไงๆ ก็รู้จนได้แหละนะ 555
เข้าเรื่องอีกรอบดีกว่า เดี๋ยวจะโดนติงว่าพากระทู้ออกนอกโลก
เรื่องนี้! เริ่มล่ะนะ
อะแฮ่ม! ขอพูดถึงแนวของนิยายกับการเขียนก่อนละกันยังไม่พูดถึงเนื้อเรื่อง (เหมือนจะเป็นคนมีภูมิมากเลยนะมึง) แต่บอกก่อนนะว่านี่พูดตาม “ความรู้สึกส่วนตัว” กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านเน้อ
ตอนที่อ่านเรื่องนี้แรกๆ ไม่คิดอะไรเลย กดมาเพราะคำว่าเด็กช่างล้วนๆ ก็คิดว่ามันก็คงจะแมนๆ และหวังว่ามันจะไม่ใช่สไตล์เดิมๆ ที่เน้นมุ่งเสนอแต่เซ็กส์ ความรุนแรง ความหมกมุ่นของตัวละคร และฉากสะเทือนอารมณ์ที่จงใจให้ตัวละครน่าสงสาร ทั้งๆ ที่บางครั้งก็ไม่จำเป็นเลย (ประเภทรุมโทรม ข่มขืน หรือตัวร้ายพระเอกหื่นกะเอากันอย่างเดียว มาโซ ซาดิสต์ ติสแตก (อันนี้ไม่เกี่ยวแค่ปากพาไป) ซึ่งบางครั้งก็ไม่สมเหตุ แถมยังไม่สมผลที่ได้รับด้วย ถ้าเจอพี่จะข้ามฉากแบบนี้ไปเลย รอให้เนื้อเรื่องถึงบทสรุปแล้วค่อยเข้าไปอ่าน)
สิ่งแรกที่พี่สัมผัสได้จากเรื่องนี้คือความเรียวริตี้(ไม่รู้เขียนถูกป่าว แก้ให้ทีนะ ไม่ถนัดทับศัพท์ภาษาปะกิตเลยน่ะ)นั้นก็คือความสมจริงของเรื่องราวและเหตุการณ์ ตอนแรกๆ ก็คิดว่าคนเขียนรู้อะไรละเอียดชัดเจนขนาดนี้ ถ้าไม่ค้นข้อมูลมาแบบสุดๆ ก็ต้องเคยสัมผัสหรือมีคนใกล้ชิดเป็นเด็กช่างบ้างแหละ เพราะขนาดเราเคยมีเพื่อนเป็นเด็กช่างยังไม่รู้ลึกขนาดนี้เลย ซึ่งมันก็จริง แต่จุดสำคัญอยู่ที่ว่าการเสนอ “ความเป็นจริง” ในนิยาย หากเสนอดีก็ดีไป แต่ถ้าเสนอแล้ว “ไม่ถึง” หรือคนอ่านรู้สึกติดขัดในอารมณ์หรือคนที่เขาเคยมีประสบการณ์มาก่อนมาอ่านเจอ มันก็จะได้แค่ “เสมอตัว” ถ้าเป็นคอเหล้าก็ต้องบอกว่า “กับแกล้มน่ากินแต่รสไม่ถึงใจ” ดีไม่ดีจะทำให้โดนติติงและคนอ่านเลิกอ่านไปเลย แต่ซีซั่นเองทำได้ดีตรงจุดนี่นะ อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ซีซั่นนำเสนอในเรื่องก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้บิดเบือนมากนัก มันถึงทำให้คนอ่านรู้สึกว่า เออ มันเป็นจริงและน่าเชื่อถือ และนำเสนอออกมาแบบไม่มีชั้นเชิง เรียกว่าไม่ต้องกลั่นกรองอะไรมาก บางอย่างก็บอกแบบทื่อๆ มันเลย แต่เนี่ยแหละที่กินใจ และคนอ่านเขา “เชื่อ” และทำให้อินโดยไม่รู้ตัว มันคือ “ความชัดเจนที่จริงใจ” ที่คนอ่านจะสัมผัสได้ แม้บางอย่างจะตั้งใจให้มีปม แต่ก็เป็นปมที่ไม่สลับซับซ้อนคนอ่านไม่ต้องคิดมาก แค่ เอะ? สงสัย แล้วรอดูต่อไป เพราะแน่ใจว่ายังไงก็ต้องได้รู้ แบบนี้แหละที่ทำให้เรื่องนี้น่าติดตามแบบซึมลึกไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อนดิ้นรนอยากจะรู้มาก แต่มันก็ยังอยากรู้อยู่ดี นี่แหละความรู้สึกตอนอ่าน เหมือนดูละครที่มันก็ฉายไปแล้ว เราลืมไปพักหนึ่งแล้ว แต่พอเขาเอามาฉายซ้ำเราจำไม่ได้บางตอน แต่มันก็ยังอยากดูอีกอยู่ดี เพราะก็ยังอยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง เพราะเรื่องของเด็กช่างที่นำเสนอในทำนองนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี อยู่ที่ใครจะเอามานำเสนอแบบไหน สไตล์ใครเท่านั้น แต่นี่คือเด็กช่างสไตล์ซีซั่นที่ชัดเจนในตัวเองที่สุด ตบมือให้ตัวเองหน่อย
มีเรื่องหนึ่งที่พี่ไม่รู้ว่าซีซั่นจะรู้ตัวหรือเปล่าว่า เรื่องนี้แม้ซีซั่นจะนำเสนอในแบบบุคคลที่สาม คือเป็น “คนเล่าเรื่อง” แต่ในความรู้สึกของพี่ตอนอ่านมันก็เหมือนจะยังเป็นการเล่าโดยเจ้าตัวอยู่ดี งงมะ? คือไงล่ะ พี่ไม่แน่ใจว่าซีซั่นจะตั้งใจนำเสนอแบบไหน แต่การเขียนนิยายโดยการที่คนเขียนเป็นบุคคลที่สามมาเล่าเรื่องของตัวละครให้ฟัง ถ้าไม่มีการบรรยายหรือพรรณนาประกอบพอควร มันก็จะไม่ต่างจาก “เรื่องเล่า” เลย ตอนแรกๆ ที่อ่านพี่ยังแยกไม่ค่อยจะออกว่าตกลง “ตัวละครตัวไหนกำลังเล่าเรื่องอยู่” หรือ “ตอนนี้เรากำลังเป็นคนมองเห็นเหตุการณ์อยู่เหมือนกับสายตาของคนเขียน” หรือเปล่า? หรือ “คนเขียนอยากให้เรารู้ คิด และรู้สึก แบบไหน กับตอนนี้กันแน่?” อันนี้ในความรู้สึกนะ เพราะถึงแม้คนที่ซีซั่นตั้งใจเขียนให้เป็นตัวเอกในตอนนั้นๆ หรือเมนของเรื่องในตอนนั้น ถึงได้เขียน “ความคิดและความรู้สึก” ของตัวละครนั้นออกมา แต่บางครั้งที่อ่านพี่ก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นการ “เล่าเรื่องของตัวเอง” ของตัวละครเพียงคนเดียวอยู่ดี พี่ไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าไง แต่ตอนแรกๆ ที่อ่านพี่รู้สึกอย่างงั้นจริงๆ มันเหมือนอ่านเรื่องเล่าจากตัวละครตัวเดียวหรือคนๆ เดียว ถึงแม้จะมีตัวละครหลายตัวก็ตาม ไม่เหมือนนิยายที่ถูกเล่าโดย “บุคคลที่สาม” ไม่ใช่ที่คำพูด ไม่ใช่ที่คำบรรยาย แต่เป็นที่ “ความรู้สึก” น่ะ หรือเพราะพี่ชอบและเคยชินกับการอ่านเรื่องเล่ามาก็ไม่รู้นะ หรือว่าซีซั่นจะเคยชินกับการอ่านหรือเขียนแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า(ขอโทษที่ต้องถาม เพราะถ้าเป็นเรื่องเก่าๆ พี่ก็ลืมไปแล้วล่ะว่าใครเขียนเรื่องไหนบ้าง) แบบมักจะเขียนตัวเองเป็นตัวเอกของเรื่องมาเล่าเรื่อง คือแบบเป็นพระเอกนางเองเสียเองแล้วมาเล่า/ ประเภทแทนตัวเอกของเรื่องเป็น “ผม”หรือ “ฉัน” ไปเองซะเลย เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่แปลกที่จะติดมาบ้าง และมันจะเกิดปัญหาเวลามาเขียนเป็นบุคคลที่สามหรือเขียนแบบพรรณนาหรือบรรยาย (ซึ่งพี่ก็เคยรู้ซึ้งถึงความลำบากของมันมาแล้ว เหอๆ เล่นเอาหืดขึ้นคอเหมือนกัน) ซึ่งมันจะทำให้แยกความรู้สึกไม่ค่อยออกว่า “ตอนนี้คนเขียนกำลังเล่าอยู่” หรือ “ตัวละครเป็นคนเล่า” กันแน่? งงปะ? ซึ่งมันจะเป็นมากกับคนเขียนบางคนที่อินกับตัวละครที่ตัวเองเขียนมากจนแยกความเป็นตัวเองกับตัวละครไม่ออก หรือ ใส่ความรู้สึกลงไปในตัวละครนั้นมากๆ จนเขียนจบบทแล้วก็ยังตัดความรู้สึกนั้นไม่ได้ ซึ่งถ้ามันเป็นเรื่องเล่าของตัวเองมันจะไม่แปลก แต่ถ้าเป็นการเล่าโดยที่เราเป็นบุคคลที่สาม การนำเสนอทางด้านของอารมณ์มันก็จะแม่งๆ เหมือนมันกระจายความรู้สึกไม่ทั่วถึงน่ะ เวลาอ่าน ถามว่ารู้ว่าแก้วคิดยังไง ฝิ่นคิดยังไง เข้าใจนะ รู้นะ อินมั้ยก็อิน แต่อารมณ์มันก็จะกั๊กๆ เหมือนจะเศร้าก็ไม่เศร้า จะซึ้งก็ไม่ซึ้งมาก พออ่านจบแล้ว “มันไม่อิ่ม” ในอารมณ์น่ะ (อันนี้ไม่เกี่ยวกับความหื่น เรื่องนั้นต้องพูดกันอีกที 55)
แต่นั้นก็จะเป็นเฉพาะตอนแรกๆ พอตอนหลังๆ มา “ความอิ่มในอารมณ์” ถึงจะเริ่มมา แล้วทำให้รู้สึกว่า อารมณ์ของตัวละครแต่ละตัวถูกนำเสนอออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่เหมือนตอนแรกๆ ที่อยากบอกว่าตัวละครนี่เศร้าแต่มันก็ไม่ชัดเจน เหมือนจะไม่เศร้าจริง ตัวละครนี่เจ็บแต่ก็เหมือนยังนำเสนอออกมาได้ไม่เจ็บพอเท่าที่ตัวละครรู้สึก (หรือที่ซีซั่นอยากบอกให้รู้) ตอนแรกๆ เลยยังรุ้สึกเฉยๆ เวลาอ่าน ตอนหลังๆ นี่แหละที่เริ่มมีอะไรมา “กระแทกอารมณ์ความรู้สึก” ในการอ่าน ให้ได้ “อิ่ม” บ้าง อันนี้ก็เป็นการพัฒนาที่เป็นไปอย่างนิ่มนวล เรื่อยเอื่อยและเห็นได้ชัดอีกอย่างเลยนะ อะ! ตบมือให้ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนเรื่องของคำที่ใช้ ลักษณะการนำเสนอ หรือการดำเนินเรื่องพี่ไม่พูดถึงหรอก เพราะเรื่องพวกนี้มันสไตล์ใครสไตล์มันอยู่แล้ว แล้วแต่ความชอบ ความตั้งใจ ความถนัด และ “ความเป็นตัวเอง” ของใครของมัน นำเสนอในแบบตัวเองนั่นแหละดีที่สุดแล้ว แล้วในความเป็นตัวเองในเรื่องนี้ของซีซั่น ก็ “มีความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่ในตัวเองเรียบร้อยแล้ว” ไม่ต้องปรับปรุงมากมาย แค่เขียนไปเรื่อยๆ ก็ดีไปเรื่อยๆ เองนั่นแหละน่า น้องพี่คนนี้เก่งอยู่แล้วแหละเนาะ ป่าวยอนะ แต่ยุส่งเลยแหละ
เอาไว้แค่นี้ก่อน นี้ยังไม่ได้พูดถึงเนื้อเรื่องกะตัวละครที่ชอบเลยนะ ยังยืดขนาดนี้ ถ้าร่วมเนื้อเรื่องไปด้วยคงยืดเป็นทางด่วน 555 พอก่อนดีกว่า เอาไว้จะแวบมาเม้มเนื้อเรื่องอีกที ไปล่ะ แล้วเจอกันในเฟสนะจ๊ะ
ความจริงว่าจะส่งเม้มนี้ทางข้อความส่วนตัว
“แต่กูอยากป่าวประกาศความเก่งของน้องกูมีไรมะ?” 5555
พล่ามมาก เดี๋ยวคนไม่มักจี่จะหมั่นไส้
มาตบน้ำคำแล้วก็เปิดตูดจากไป
หลบสหบาทาเด็กช่างแถวนี้ ไปละ
พี่ทิว