ตอนพิเศษ (เหรอ?)
เข็มนาฬิกาก้าวเดินข้ามสู่วันใหม่
ครืด ครืดดด
ชายหนุ่มนอนลืมตาเอามือขวาก่ายหน้าผากท่ามกลางความมืดพร้อมพ่นลมหายใจอยู่บนเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง
ก่อนเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถือที่แผดเสียงดังลั่นห้องพร้อมกับระบบสั่นของมันซึ่งกระทบครืดกับหัวเตียงที่ทำจากไม้
ยิ่งทำให้เกิดเสียงดังรบกวนเวลานอนเข้าไปอีก
“ม้ายยย...” ทันทีที่เอาโทรศัพท์มือถือแนบใบหูก็ได้ยินน้ำเสียงยาน ๆ ของคนเมาเปล่งเรียกชื่อเขาตามมา
“เฮ้อ ว่าไง?” ไม้อดถอนหายใจไม่ได้ ก่อนเอ่ยถามออกไปอย่างนั้นแทนประโยคทักทายว่า สวัสดี เพราะมันไม่เข้ากับสถานการณ์เท่าไรนัก
ด้วยความที่เป็นเรื่องปรกติไปซะแล้วกับการที่ต้องตื่นมารับโทรศัพท์ดึก ๆ ดื่น ๆ แบบนี้แทบทุกคืน
“เหมือนจะเมามากเลยยย...มึน ๆ หัวด้วย”
“เมาก็หาที่จอดรถนอน สร่างแล้วค่อยขับกลับห้อง”
เวลานี้แทบทุกคืน...
ไม้บอกประโยคเดิมเหมือนที่เคยบอกคนปลายสายบ่อย ๆ และเขาก็คิดว่าคนโทรมาน่าจะรู้ดีว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุบวก
กับปลอดภัยจากการโดนตำรวจเรียกที่สุดแล้ว แต่ปลายสายกลับเลือกโทรมาให้เขาพูดประโยคเดิม ๆ ซ้ำ ๆ แทนการทำอะไร
แบบนั้นด้วยตัวเอง
“รู้แล้ว ๆ ไอ้เหี้ยก้อ...มันยืนดักอยู่หน้ารถเนี่ยก็คงไปไหนไม่ได้หรอก” คนจากปลายสายใส่อารมณ์หงุดหงิดกลับมาแต่ยังคงรักษาระดับน้ำเสียงยานคางทำให้เขาต้องตั้งใจฟังเพื่อปะติดปะต่อข้อความ
“หืม? ไอ้เหี้ยก้อ?” ชื่อใครต่อใครใหม่ ๆ เข้ามาในหูไม่ซ้ำสักคืน “ไปทำอะไรไว้อีกล่ะ?” ไม้ลุกนั่งพร้อมขยี้หัวเพื่อปลุกสติตัวเองท่ามกลางความมืด ก่อนเอื้อมมือกดเปิดสวิตซ์ที่โคมไฟซึ่งตั้งอยู่บนตู้ขนาดเล็กข้างหัวเตียงอย่างรู้ชะตากรรม
“งี่เง่าว่ะ รำคาญลูกตาเดี๋ยวเหยียบให้เละคาล้อเลยเหี้ยนี่!” ปลายสายไม่ได้ตอบหากแต่กำลังก่นด่าใครอีกคนออกมาอย่างต่อเนื่อง
“อยู่ร้านไหนเดี๋ยวไปรับ” เขาเอ่ยถามและบอกมันในประโยคเดียว
เขาคิดว่าจะไม่ยุ่งแล้ว แต่นี่ดันมีคู่อริขึ้นมา ชายหนุ่มจึงเลี่ยงไม่ได้...อีกตามเคย
ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าเป็นการตัดรำคาญ หรือเป็นห่วง?
“ร้านxxx” คนปลายสายตอบเสียงห้วนกลับมาทันที
ไม้ส่ายหน้าพลางลุกจากเตียงไปเปิดตู้เสื้อผ้า
“มันถืออะไรในมือรึเปล่า? ไม้? มีด? ปืน?” อดถามไม่ได้โดยที่ยังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัดแต่ก็ไม่ต้องเดาให้ยากในเมื่อพฤติกรรมของคนปลายสายมักพ่วงเรื่องมาให้หลายต่อหลายรอบ
...และก็เรื่องเดิม ๆ ทั้งนั้น
“กูหลับตาแล้ว กูง่วง! กูจะเห็นได้ยังไง?!”
เออเอาเข้าไป...
น้ำเสียงของคนปลายสายฟังดูง่วงจริง ๆ แต่ก็ตามประสาเจ้าตัว จะเมาหรือไม่เมาก็เป็นซะอย่างนี้
“ลืมตาดูให้หน่อย” เขากัดฟันข่มอารมณ์แล้วเน้นเสียงหนักบอก
“ไม่อยากมองหน้าแม่ง”
“บอก-ให้-ดู-ให้-หน่อย ทำให้ได้ไหม?” ไม้บอกอีกรอบพร้อมใช้หูหนีบโทรศัพท์มือถือไว้กับไหล่เพื่อจะได้สวมกางเกงยีนส์ทับบ็อกเซอร์ที่ใส่นอนเมื่อก่อนหน้า
“เออ ๆ ๆ ...ไม่มีมั้ง มานเดินมาเคาะกระจกรถแล้วด้วย เดี๋ยวนะม้าย กูเคลียร์แป๊บบบ”
“ไม่ต้อง!” ไม้เผลอเสียงดังจนตัวเองชะงัก แต่ก็หวังว่ามันจะทันฟังและหยุดการกระทำทันที “หยุด มึงอยู่เฉย ๆ มันมีพวกมาด้วยรึเปล่า? หรือมีคนอื่นอยู่แถวนั้นอีกไหม?”
ถ้ามันไม่เคยก่อเรื่องให้เห็น เขาสาบานได้เลยว่าจะไม่ยุ่งกับมันเด็ดขาด
“เปล่า มีไอ้พี่ก้อคนเดียว เออ มีการ์ดสองคน ...มันยืนมองอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ มองเหี้ยอะไรวะแม่ง เฮ้ย ๆ เดี๋ยวนะม้าย...ไอ้เหี้ยพี่ก้อมีสองคนแล้วว่ะแม่ง...มาจากไหนอีกคนว๊า”
นั่นตามึงเองแล้วล่ะ
“...ล็อกรถ ปรับเบาะเอนนอน ไม่เกินชั่วโมงเดี๋ยวไปถึง แล้วถ้าพูดไม่ฟังก็ไม่ต้องคุยกันอีก”
ปลายสายเออ ๆ ออ ๆ กลับมาด้วยน้ำเสียงเหมือนแค่ตัดความรำคาญ
ส่วนไม้ ก็ขู่ไปเหมือนไอ้คนปลายสายเคยคิดจะเกรงกลัว
เขาหยิบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำออกจากตู้เสื้อผ้าก่อนสวมทับเสื้อยืดสีขาวตัวที่ใส่นอนโดยไม่ลืมหยิบมีดพับใส่กระเป๋ากางเกงไปด้วยเผื่อฉุกเฉิน แล้วเดินออกจากบ้านเสียงเบากลัวแม่จะได้ยิน
ผลประโยชน์ที่ได้มาแค่ครั้งสองครั้งแต่สิ่งที่ต้องตอบแทนชักจะมากขึ้นทุกวัน
ไม้ไม่ได้ยินดียินร้ายจะทำอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่เหมือนว่าเขากระทำจนชินไปแล้วสิ
เวรกรรม...
...
ไม่ถึงสี่สิบนาทีก็มาถึงหน้าผับที่หมาย ด้วยการจราจรที่โคตรโล่งแต่ถ้าเป็นตอนกลางวันเดินทางชั่วโมงครึ่งก็ไม่มีทางถึง
ผับนี้ตั้งอยู่ห่างจากที่พักของคนที่เขามารับมาก ทั้งที่เจ้าตัวอาศัยอยู่ใจกลางกรุงเทพฯโน่น
แต่กลับขับรถมาเที่ยวแถบชานเมืองประจำ แล้วภาระก็มาตกอยู่ที่ไม้เพราะผับที่มันเที่ยวอยู่ไม่ไกลจากบ้านเขาทั้งนั้น
...ซึ่งถ้าย้อนเวลาได้เขายังย้ำว่าจะไม่ยุ่งกับมันตั้งแต่แรกจะได้ไม่ต้องมาทำตัวคล้ายต้องรับผิดชอบชีวิตใครอีก
จ่ายเงินค่าแท็กซี่เสร็จชายหนุ่มรีบก้าวเท้าเดินเข้าไปทางโซนที่จอดรถซึ่งอยู่ด้านข้างของตัวผับและเป้าหมายก็หาไม่ยากเลย
เมื่อมองเห็นการ์ดในชุดสีดำสองคนยืนอยู่บริเวณนั้นพร้อมกับแสงไฟจากรถยนต์คันเดียวซึ่งจอดสตาร์ทเครื่องไว้อยู่
ไม้เดินเข้าไปใกล้จึงเห็นผู้ชายวัยรุ่น ๆ เดียวกันยืนสูบบุหรี่พิงรถอีกคันซึ่งจอดขนาบข้างกัน
ก๊อก ก๊อก
เขาเคาะกระจกรถเบ็นซ์สปอร์ตคันสีบรอนซ์เงินเพื่อเรียกคนที่นอนหลับอยู่ข้างใน
ส่วนคนที่ยืนพิงรถอีกคันอยู่นั้นน่าจะเป็นไอ้เหี้ยก้อของมัน
ผู้ชายคนนั้นทิ้งบุหรี่ลงพื้นก่อนจะเหยียบซ้ำพร้อมล้วงกระเป๋ากางเกงพลางมองมาทางเขาด้วยท่าทีข้องใจ
แต่ไม่ใช่ธุระอะไรที่เขาต้องสนใจผู้ชายของมันมากกว่านี้ ...ถ้ายังไม่มายุ่งกับเขา
ไม้ควักโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดเบอร์โทรออกไปหาคนที่นอนกอดโทรศัพท์มือถือหลับอยู่ในรถ
หลังจากไร้สัญญาณตอบรับจากการปลุกด้วยวิธีแรก
“ปลดล็อก” คนโทรออกเอ่ยปากบอกสั้น ๆ
“อื้อ ถึงแล้วเหรอ?” คนในรถทำหน้ายุ่งและบ่นด้วยน้ำเสียงงัวเงียมาตามสายแต่มือก็ปัดป่ายไปมาจนโดนปุ่มปลดล็อกจนได้ทั้งที่ตายังปิดอยู่
เขาดึงประตูรถให้เปิดพร้อมกับผู้ชายคนที่ยืนพิงรถอีกคันเริ่มมีปฏิกิริยา
“นายเป็นอะไรกับเขา?” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยถามขึ้นมาซะทันใจที่ไม้คิด แต่คำถามไม่ใช่น้ำเสียงหาเรื่องแต่อย่างใดหากแต่ฟังดู
เหมือนถามเพราะความข้องใจที่เจ้าตัวคงข้องใจตั้งแต่เขามาถึงรถคันนี้แล้ว
“คนรู้จัก” ไม้ตอบหน้านิ่งเสียงนิ่งเพื่อหยั่งเชิงดูท่าทีของคู่สนทนา
ขนาดไอ้คนในรถมันยังหลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยแล้วเขาจำเป็นต้องเดือดร้อนอะไร?
“หึ บอกเขาด้วย ฉันไม่เลิกง่าย ๆ หรอก” ไอ้เหี้ยพี่ก้อของมันแค่นเสียงใส่เหมือนไม่เชื่อที่เขาบอกซะเลย
“...” เขายักไหล่ให้ “ก็บอกกันเองสิวะทำไมต้องฝากด้วย”
“ถ้านายรู้จักเขานายก็น่าจะรู้ว่าทำไม? ...ฉันรอแค่ให้เขาสร่างเมาหรือไม่...ก็มีใครมารับเท่านั้นล่ะ”
ผู้ชายคนนั้นเอ่ยประโยคที่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นห่วงสวัสดิภาพคนในรถมากกว่าต้องการคุกคาม
อีกแล้วนะ ...ไอ้อาการประหนึ่งจะมีเรื่องให้ได้คงเป็นมันคนเดียวสิท่า
...ไม้มองคนขี้เมาพลางส่ายหน้าในขณะที่ผู้ชายคนนั้นขึ้นรถตัวเองแล้วขับออกไป
“ตื่น แล้วย้ายที่นั่งได้ละ” เขาก้มไปเรียกคนที่หลับตาพริ้มอยู่บนเบาะคนขับอย่างสบายใจตามเคยพร้อมตบแก้มมันเบา ๆ สองที
นี่ถ้าสติมันดีมันคงยิ้มเยาะอย่างได้ใจที่เขาถ่อมาด้วยความระแวงว่ามันจะโดนกระทืบจากผู้ชายที่มันเพิ่งสลัดทิ้ง
แต่ก็นั่นแหละ ถ้ามันสติดีเขาคงไม่ถ่อมาหรอก
“นี่...แดกอะไรเยอะแยะวะ” ไม้ยังคงพูดคนเดียวต่อเพราะไอ้คนที่เขาปลุกยังคงหลับตานอนนิ่งเงียบเหมือนเดิม
...ละเหี่ยใจกับมัน รวมทั้งกับตัวเองด้วย
ทั้งที่บอกตัวเองว่ายังไม่พร้อมดูแลใคร แต่กับคนนี้ไม่ต่างจากสิ่งที่เขาไม่พร้อมเลย
...ต่างกันก็แต่สถานะของความสัมพันธ์เท่านั้น
เขาก้มหน้าเข้าไปใกล้ ๆ หยิบโทรศัพท์มือถือจากมือคนเมาแล้วจับแขนมันทั้งสองข้างขึ้นคล้องคอพลางสอดแขนตัวเองเข้าใต้
รักแร้มันก่อนจะโอบพยุงอุ้มคนตัวบางกว่าที่เริ่มโอนอ่อนผ่อนตามขึ้นมาบ้างแล้วลากมันออกจากรถอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เพื่อพาไปนั่งที่
เบาะข้างคนขับพร้อมปรับเบาะเอนลงให้มันนอนเสร็จสรรพ
เขาหย่อนโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนที่รัดรูปเจ้าตัวก่อนปิดประตูรถให้แล้วเดินมาขึ้นอีกฝั่งทำหน้าที่สารถี
ให้มัน
การก้าวเข้าไปรับรู้ชีวิตของใครสักคนไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่การก้าวออกมามันยากยิ่งกว่า
รู้ทั้งรู้...แต่แล้วนี่เขากำลังทำอะไรอยู่?
คำถามที่ไม่ได้ถามใครเว้นแต่ถามใจตัวเองว่า ทำอย่างนี้จะไม่เป็นไรใช่ไหม? สิ่งที่ทำอยู่นี้จะไม่มีทางซึมลึกเข้าไปในใจตัวเอง
ใช่หรือไม่?
ไม้ตอบตัวเองได้ไม่เต็มปากเต็มคำ แต่ที่รู้ เขาไม่สามารถปล่อยให้ผ่านสายตาไปเฉย ๆ ได้เลย
เพราะครั้งนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เขาเพียงคนเดียว
...
ชายหนุ่มขับรถเข้าจอดภายในอาคารที่จอดรถของคอนโดมิเนียมหรูกลางใจเมืองกรุง ที่พักของมันในกรุงเทพฯมีสองแห่ง
อีกที่หนึ่งคือในโรงแรมของพ่อมันเอง แต่พอเมาแล้วโทรตามเขา เขาต้องขับรถมาส่งมันที่คอนโดทั้งที่มันยังหลับสนิทอยู่เบาะ
ข้าง ๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องเอ่ยปากบอกอะไรเลย
...หรือนี่เพราะเขาก้าวลึกเข้าไปในชีวิตมันอีกก้าวสินะ
ถ้ามันเป็นใครคนอื่นไม้คงถอยห่างไปได้ง่ายดายเหมือนทุกครั้งที่เคยทำ
...แต่ไอ้คนนี้มันยิ่งกว่าปลิง
“นี่ ตื่นได้แล้ว” หันไปส่งเสียงปลุกเมื่อมาถึงคอนโดที่พักของคนที่หลับอยู่
“...”
“ตื่น ไม่อุ้มนะจะบอกให้”
“หื๊อ พูดมากว่ะ” มันบ่นน้ำเสียงงัวเงียพลางขยับตัวหลังจากที่เขาออกจากรถไปเปิดประตูฝั่งมันออก
“อ่ะ กุญแจรถ ขึ้นลิฟท์ไปเองได้นะ” ไม้บอกพร้อมวางกุญแจรถใส่มือเจ้าของที่กำลังปรับเบาะขึ้นมาแล้วปรือตามองหน้าเขา
หมดภาระพามาส่งถึงที่แล้วเขาก็ควรต้องกลับบ้านสักที
“โอ้ยยย เดินยังไม่ตรงจะเอาปัญญาที่ไหนเดินไปถึงลิฟท์”
ลืมตาได้มันก็โวยเสียงยาน
“รู้แล้วยังเสือกเมา” เขาต่อว่าให้พร้อมกับเซถอยหลังเมื่อเจ้าตัวลงจากรถแล้วถลาเอาสองแขนมาโอบรอบคอเขาไว้เป็นหลักยึด
“ไปส่งที่ห้องหน่อยน้า...น้าไม้น้า...” มันช้อนสายตาเยิ้ม ๆ ขึ้นมองหน้าเขา บวกกับใบหน้าแดงระเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ของ
มันทำให้เขาต้องเสมองไปทางอื่นแต่ก็โดนฝ่ามือมันดันให้หันกลับทันที
“เฮ้อ” ไม้ถอนหายใจใส่คนตรงหน้า แต่กลับหันตามแรงมือที่ไม่ค่อยจะมีอย่างง่ายดาย
เขาเปล่าพอใจเขาเพียงจนปัญญาจึงแกะแขนข้างหนึ่งของมันออกจากคอ ส่วนอีกข้างจับพาดไหล่ไว้พยุงทั้งยังต้องเอากุญแจรถ
กลับมาถือไว้เองอีกรอบป้องกันมันปล่อยหลุดมือแล้วพยุงโอบเอวพาคนเมาเดินไปที่หน้าลิฟท์
“สักวัน ถ้ากูปิดโทรศัพท์นอน ตื่นเช้ามาคงได้อ่านข่าวหน้าหนึ่ง” เขาพูดไปเรื่อยระหว่างเดิน “เกย์ใจแตกโดนคู่ขากระทืบตายหน้าผับ” พลางว่าอย่างไม่จริงจัง
“...มึงไม่เข้าใจหรอก ถ้ากูไม่เมา คนอย่างมึงเนี่ย ก็ไม่มาหากูหรอก โธ่เอ้ย มีค่าแค่ตอนคนจะกอบโกยผลประโยชน์เท่านั้นแหละกูเนี่ย” น้ำเสียงยานคางเริ่มพล่าม นิ้วก็เอามาจิ้มหน้าจิ้มตาเขาทั่ว
“หึ ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา”
“มึงก็คอยแต่จะด่า ๆ ๆ เอาน่าเดี๋ยวกูเล่าเรื่องที่มึงชอบให้ฟังเป็นการตอบแทนละกาน...” มันเถียงพร้อมมีข้อแลกเปลี่ยน
...ใช่เขาเคยใช้ประโยชน์จากมัน...แต่เขาก็คิดว่าได้ตอบแทนมันไปแล้ว
เรื่องราวระหว่างเขากับมันก็ควรจบเท่านั้น แต่มันดันยื้อค่าตอบแทนของเขามาได้เรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้
ทั้งที่เขาไม่มีอะไรติดค้างกับมันเลยสักเสี้ยวของนิดเดียว แต่เขากลับจบกับมันไม่ได้ตามที่ควรจะเป็น
ซึ่งตอนนี้ข้อแลกเปลี่ยนของไอ้คนเมาไม่จำเป็นสำหรับพวกเขาแล้ว
เพราะอดีตก็แค่เรื่องราวที่เคยเดินผ่านมาแล้วเท่านั้น
แต่เขาบอกแล้วว่ามันเป็นปลิง
...และเป็นปลิงประเภทที่นึกจะเกาะใครก็เกาะ นึกจะปล่อยใครก็ปล่อย
“ก็ดูมึงทำตัวสิ ขนาดกูด่ามึงยังไม่จำเลย” ไม้ว่าซ้ำอีกรอบ ใช้มือข้างที่พยุงเอวมันล้วงกระเป๋ากางเกงเจ้าตัวเพื่อหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา
เขายื่นกระเป๋าสตางค์ที่มีคีย์การ์ดอยู่ข้างในไปสแกนที่กล่องซึ่งติดอยู่หน้าประตูลิฟท์ แล้วพาคนเมาเดินเข้าข้างในหลังจากประตูลิฟท์เปิด
“ช่างตัวกูเถอะน่า ว่าแต่...นี่มึงต่อยไอ้เหี้ยก้อให้กูรึยาง... ผู้ชายอะไรวะโลกสวยฉิบหาย มันเอาอะไรมาคิดว่ากูจะรักมาน
โธ่...อ่อนต่อโลกจริง ๆ รู้จักกันไม่ถึงอาทิตย์ก็เริ่มวุ่นวายกับชีวิตกูละ พี่มีบ้าน พี่มีรถ ถุย อวดเพื่อ? กูก็มีรึเปล่าวะทำมาอวดคิด
ว่ากูจะติดใจเหรอ? นี่...กูจะบอกอะไรให้นะ... กูน่ะรำคาญคนตอแยกูที่สุดในโลกเลยว่ะ ถ้ากูอยากได้เป็นผัวเดี๋ยวกูก็ให้เอาเอง
แหละน่า ทำไมชีวิตต้องเจอแต่คนงี่เง่าวะ ฯลฯ” สารพัดที่ออกจากปากคนสติไม่เต็ม แถมยังยืนเอนไปเอียงมาอยู่อย่างนั้นทั้งที่
เขาก็โอบเอวมันไว้แน่น
ติ้ง!!
ประตูลิฟท์เปิดเองอัตโนมัติเมื่อถึงชั้นยี่สิบสอง และไม่สามารถขึ้นหรือลงไปยังชั้นอื่นนอกเหนือจากที่ระบบคีย์การ์ดระบุได้ซึ่งก็
คือเฉพาะชั้นที่พักของตัวเอง ยกเว้นทางบันไดหนีไฟ
ที่นี่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่ละชั้นจะมีเพียงสี่ห้องและอยู่คนละมุมกัน ถึงกระนั้นเขาก็ไม่กล้ายืนอยู่นอกห้องนานเพราะ รู้สึกว่าเสียงมันค่อนข้างก้อง ยิ่งในช่วงที่ทุกห้องหลับกันหมดอย่างนี้
เขาเกรงว่าเสียงคนเมาจะดังรบกวนคนอื่นเข้าให้
ไม้ดันหน้าคนขี้เมาออกจากบ่าทั้งยังเรียกชื่อซ้ำ ๆ ให้มันตื่นก่อน เพราะถ้าไม่พูดมันก็จะหลับ
นี่ขนาดเขาลากเขายังเหนื่อยเลย แล้วถ้าขนาดต้องแบก ก็บอกเลยว่าไม่ไหว
ไม้ยื่นกระเป๋าสตางค์เอาคีย์การ์ดไปสแกนที่กลอนประตูดิจิตอลก่อนกดรหัสเพื่อให้ประตูห้องปลดล็อกแล้วจึงพยุงเจ้าของห้อง
เข้าไปข้างใน เขากดเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่ข้างประตูทำให้มีแสงสว่างตรงทางเดินกลางห้อง
“ถอดรองเท้า” แล้วบอกเจ้าของห้องหลังจากเอาเท้าเขี่ย ๆ รองเท้าตัวเองจนถอดออกมาได้สำเร็จ
แต่เจ้าของห้องแค่หรี่ตาขึ้นมาพิจารณาใบหน้าเขา แล้วก็แค่ยกแขนอีกข้างมาโอบรอบคอเขาอีกรอบพร้อมเอาคางมาเกยที่บ่า เป็นของแถม
“ห้องกู ๆ”
พูดอย่างนี้คือจะไม่ถอด?
ไม้หันหลังพิงผนังห้องกันตัวเองล้ม มือหนึ่งจับแขนคนเมาออกจากคอเพราะ... เขารู้สึกไม่ดี
อีกมือกอดเอวมันไว้แล้วเอาขาเกี่ยวขามันเพื่อจะใช้เท้าดันส้นรองเท้ามันไว้
“ถอดรองเท้านะ” เขาบอกอีกรอบ
“ฮื่อ!” คนเมาทำเสียงขัดใจใส่ข้างหูเขาแต่ก็ยอมยกเท้าออกจากรองเท้าเองอย่างง่ายโดยที่เขาไม่ต้องออกแรง
ถ้ามันเป็นคนปัดกวาดห้องนี้ด้วยตัวเองอยากใส่ไปถอดที่หัวเตียงเขาก็ไม่ว่าอะไร เขาไม่ได้ขอให้มันช่วยแม่บ้านรักษาความ
สะอาด แต่เขาอยากให้มันรับผิดชอบตัวเอง ไม่ว่าจะเมาแค่ไหน กับแค่การถอดรองเท้าก่อนเข้าห้องนี่มันไม่ได้ยากอะไรเลย
เอาแขนมันพาดไหล่แล้วพาเดินมาจนถึงห้องนอนของเจ้าตัว
อาศัยแสงไฟจากห้องใหญ่พอมองเห็นสวิตซ์ไฟที่อยู่ข้างประตูเช่นเดียวกันจึงกดเปิดได้อย่างง่ายดาย
ก่อนทิ้งร่างคนเมาให้ลงคว่ำหน้าเข้ากับเตียงนอนแล้ววางกุญแจรถ กระเป๋าสตางค์ ไว้ที่หัวเตียง
ไม้ผละออกมามองแผ่นหลังเจ้าของห้องอีกทีแล้วส่ายหน้าอย่างไร้คำบรรยาย ก่อนจับตัวมันพลิกหงายเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ
ออกจากกระเป๋าเสื้อมันแล้วเอาไปวางรวมกันที่หัวเตียง
หมับ!
คนบนเตียงปรือตาขึ้นมองพร้อมจับแขนเขาที่มือยังค้างอยู่หัวเตียง
“ม้ายยย อยู่กับขวัญก่อนน้า ...อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนนะ น้า...”
ไม้ใช้มืออีกข้างที่ว่างหยิบรีโมทแอร์ซึ่งวางระเกะระกะอยู่กับกองรีโมทอื่น ๆ ที่หัวเตียงมากดเปิด
“ทำให้ทุกอย่างแล้ว นอนหลับได้สบายแล้วนะมึง” เขาจับมือมันออก เจ้าตัวก็ยอมแต่โดยดี
“ถ้าได้เช็ดหน้า เช็ดตัวนะ คงหลับสบายกว่านี้...” มันหลับตาลงยิ้ม ๆ พร้อมแกะกระดุมเสื้อตัวเอง
เม็ดที่หนึ่ง
เม็ดที่สอง...
จนเผยให้เห็นหน้าอกแบน ๆ ขาว ๆ
“ไม่เลือกตามเคย” ไม้ทักท้วง? หรืออาจเป็นคำด่าออกไป เจ้าตัวถึงได้เบ้ปากและหยุดมือที่กระดุมเม็ดที่สาม
“ฮึก...” ริมฝีปากชมพูเม้มเข้าหากันพร้อมกับหัวคิ้วทั้งสองข้าง ไม้รู้ว่าคนบนเตียงกำลังกลั้นน้ำเสียงนั้นไว้อยู่
...เขาอยากพูดอะไรแรง ๆ กับพฤติกรรมของมัน แต่เขา...โคตรเกลียดความอ่อนแอ
ไม้จึงนั่งลงที่เตียงแล้วเอื้อมมือไปปลดดึงเข็มขัดที่เอวของคนเมาออกจากกางเกง
“หลับไปเถอะ เดี๋ยวกูอยู่ดูดบุหรี่อีกแป๊บ” เขาบอกเสียงเบาด้วยความจุก
ลุกออกจากเตียงและวางเข็มขัดเส้นนั้นไว้หน้าโต๊ะทีวี ก่อนเดินออกจากห้องนอนโดยไม่ลืมปิดไฟให้มัน
การเป็นพี่ใหญ่ทำให้เขาต้องวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของคนในสายให้ได้เพื่อที่จะคุมแต่ละคนอยู่
ประสบการณ์จากอดีตสอนให้เขาเป็นคนแบบนี้จนติดเป็นสันดานและเลยเถิดไปถึงทำเกินหน้าที่บ่อยครั้ง
เพราะนอกจากต้องสนใจแค่คนในปกครอง เขายังมักจะใช้หลักการนี้มองคนอื่นทั่วไปอีกด้วย
ไม้มักจะมอง เดา เรียนรู้ความเป็นคนอื่น ...จนบางครั้งก็รู้มากเกินไป
คนเป็นสิบ เป็นร้อย ที่ผ่านสายตาเขาโดยไม่ใช่การมองผ่านเฉย ๆ
แต่มันแย่นะ ...เมื่อเขาเกิดลำเอียงสนใจใครสักคนมากกว่าคนอื่น ๆ
มันแย่...สำหรับตัวเขาเอง
ไม้เปิดกระจกบานเลื่อนออกไปยืนสูบบุหรี่ที่ระเบียงหลังห้อง
ยืนมองเงาสะท้อนของแสงไฟระยิบระยับในผืนน้ำของทะเลสาบที่คนเราพยายามสร้างจุดเด่นให้มัน
ไม่ว่าความกว้างใหญ่ที่เห็นได้ชัดตอนกลางวัน หรือกระทั่งยามที่ผู้คนหลับใหล ทะเลสาบแห่งนี้ก็รายล้อมไปด้วยแสงไฟ
ประหนึ่งต้องเป็นจุดสนใจตลอด ๒๔ ชั่วโมง
สายตาหยุดมองน้ำกระเพื่อมน้อย ๆ จากแรงลมยามพัดมาเบา ๆ โดยพยายามไม่คิดอะไรให้หนักสมอง
เขาไม่อยากคิด ไม่อยากรื้อฟื้นอะไรขึ้นมาเพราะมันเปล่าประโยชน์ที่จะยึดติดกับเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วทั้งเพ
...หากแต่ ทุกขณะที่เขาจมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเอง กลับไม่ได้รู้สึกว่ากำลังอยู่เพียงลำพัง
เช่นในเวลานี้...เขาก็รู้สึกว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ข้างกายตรงนี้อีกครั้ง
ใครคนนั้น...คนซึ่งไม่มีตัวตนมาเป็นปี ๆ หลงเหลือก็แต่เพียงทุกความรู้สึก
ที่ยังอยู่ข้างกายนี้เสมอ...
ไม้เดินกลับเข้าไปดูเจ้าของห้องหลังจากที่ดูดบุหรี่จนหมดมวน แสงไฟจากนอกห้องพอช่วยให้มองเห็นมันนอนขดเป็นกุ้งอยู่บน
เตียงใหญ่ แล้วเขาก็เลือกเดินเข้าไปดึงผ้าห่มจากปลายเท้าขึ้นห่มคลุมตัวแทนการปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเพิ่มเพราะเจ้า
ตัวมักจะบอกว่าหายใจไม่ออกเวลานอนถ้าอากาศเย็นไม่มากพอ
ตีสี่สามสิบห้านาที
ไม้วางรีโมทเครื่องปรับอากาศไว้บนหัวเตียงอีกรอบหลังตั้งเวลาปิดไว้เรียบร้อยเพื่อเป็นการปลุกเจ้าตัวอีกทาง
วันนี้ หน้าที่เขาคงหมดลงสักที
ทั้งที่ความจริง คนที่มันต้องการให้ทำหน้าที่นี้ ก็ไม่ใช่เขาเลย...
แต่เขากลับไม่ขัดข้องที่จะทำ
************************
อะไรคือต้องจัดหน้ากระดาษใหม่? รู้สึกไม่ชินกับการลงนิยาย <แน่สิ ฮ่าาาาาาาาาาาาาาาา
//กราบสวัสดีค่ะ ตอนพิเศษอะไร? อะไรที่ว่าพิเศษ ความพิเศษอยู่ตรงไหน ? ฮ่าาาา หนูมิรู้ค่ะ หนูอยากลง ><
หลังจบอ้อมกอดเด็กช่างก็เขียนตอนนี้นานแล้วค่ะ คิดอยู่ว่าจะได้แปะที่ไหน แปะเรื่องใหม่ หรือแปะที่นี่ พอแก้ไขจนพอใจตัวเอง
ก็คิดว่าแปะนี่แหละถูกแล้ว ฮ่า
ฤกษ์งามยามดี ได้กลับมาใช้ชีวิตตามลำพังในห้องนอนอีกครั้ง ก็คิด(เอาเอง)ว่า ตัวเองจะมีเวลาเขียนนิยายเรื่องใหม่สักทีจึงเอา
ตอนพิเศษส่งท้ายท้ายสุดมาทิ้งก่อนค่ะ
งง ๆ มึน ๆ ตามเดิมนะคะ เพลียตัวเองอยู่ ทำไมไม่มีอะไรพัฒนาเลย ฮ่า
ขอบคุณทุกคนอ่าน ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ทั้งติทั้งชมมาก ๆ เลยนะคะ ไม่รู้จะขอบคุณเท่าไหร่ถึงจะพอกับความรู้สึก ดีใจทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเม้นท์ค่ะ มันสะท้อนนิยายที่ตัวเองตั้งใจเขียนได้ดีจริง ๆ กอดนะคะ จุ้บ ๆ^^