อ้อมกอดเด็กช่าง ตอนที่ ๓๓
“ไปไหน?” คำถามถูกส่งมาพร้อมกับข้อมือถูกจับไว้จากคนที่ยังนอนหลับตาเมื่อเขาจะลุกออกจากเตียง
“อาบน้ำไปทำงาน” แก้วก้มไปบอก
“สารรูปอย่างนี้นี่นะ” ฝิ่นลุกขึ้นนั่งตาปรือเล็กน้อยจับใบหน้าเขาหันซ้าย-ขวา
แก้วย่นคิ้วเล็กน้อย อมยิ้ม... ก็สารรูปอย่างนี้นี่แหละ แค่รอยแผลเล็กๆและรอยช้ำตรงมุมปากนิดหน่อยคงไม่โดนพ่อมันว่าเสียๆหายๆไปมากกว่าเดิมหรอก
“กูอุตส่าห์ยอมค้างบ้านมึงเพื่อให้ตอนเช้ามึงกลับไปโดนพ่อบ่นอีกเนี่ยนะ”
“...แล้วจะให้ทำยังไง”
“นอนต่อ”
“หา?”
“จากที่มึงอ่อนด้อยในสายตาพ่อกูอยู่แล้วขืนเอาหน้าอย่างนี้ไปให้เขาเห็นอีก คราวนี้พ่อได้จับมึงสวมนวมแน่”
“จะสอนมวยเหรอ” แก้วตาโตด้วยความตื่นเต้นดีใจเพราะเคยพลาดจากพงษ์มาแล้วเรื่องนี้แต่วันนี้เขาเริ่มมีความหวังขึ้นมาใหม่ คราวนี้ล่ะเขาจะได้ไม่ต้องแสร้งทำเป็นเก่งอีกต่อไป แต่เขาจะเก่งให้ทุกคนได้เห็นจริงๆ
“นอน!” แต่ฝิ่นกลับตัดบทด้วยการล็อกคอเขาล้มลงไปตามกัน
มันนอนคว่ำหันหน้าไปทางอื่นแต่มือยังก่ายคอเขาซึ่งนอนหงายท้องจากฝีมือมันเมื่อกี้
ท่าทีอย่างนี้หมายความว่าไม่ใช่อย่างที่เขาคิดอีกแล้วใช่ไหม เฮ้อ...
“แต่...โดดงานอย่างนี้จะดีเหรอ” แก้วเหล่ตาไปทางฝิ่นพลางจับยกแขนมันไปวางแถวหน้าท้องแทน
“อืม”
“แต่...”
“เดี๋ยวไอ้โจ้แถเอง” แต่เขาเกรงใจพ่อมันนี่นา
“ฝิ่น”
“หืม?”
“มึงไม่ไปเรียนเหรอ” เป็นอันเข้าใจแล้วว่ามันไม่ให้เขาไปทำงาน แต่มันล่ะ นี่ก็หกโมงครึ่งแล้วยังไม่ลุกจากที่นอนอีก
“อืม”
“เฮ้ย อุ๊บ” พลิกตัวหันหน้าไปหาฝิ่นจะค้านว่าไม่ต้องโดดเรียนมาเฝ้าก็ได้ เขาไม่ได้เป็นอะไรมากและไม่ได้คิดจะไปไหนไกลหูไกลตามันเลย แต่เป็นจังหวะเดียวกับมันหันหน้ามาพอดีเขาจึงเอ่ยได้เพียงคำเดียวก่อนที่ปากจะถูกปิดซะก่อน
ไม่ใช่ว่าหันไปปุ๊บแล้วปากจะชนกันโดยบังเอิญเหมือนละครไทยเพราะฝิ่นยังทันได้มองเห็นเขาก่อนแล้ว
แต่นี่...ฝิ่นมันตั้งใจเอาปากมาแตะกับริมฝีปากเขาชัดๆ
ไม่ใช่ปากแตะปากเหมือนเมื่อวานตอนเย็นหากแต่ฝิ่นยังส่งลิ้นอุ่นๆเข้ามาเกี่ยวลิ้นเขาให้พันพัวไปตามอารมณ์เมื่อถูกเชิญชวนเข้าให้
“กวนกูแต่เช้า” มองคล้ายตำหนิเขาอยู่เนือยๆ มือหนาข้างที่วางอยู่ตรงเอวก็แทรกเข้าไปใต้เสื้อตัวที่เขาสวมใส่พลางลูบไล้สะโพกเขาเล่นอยู่อย่างนั้น “เจ็บรึเปล่า” มืออีกข้างเอื้อมมาจากเหนือศีรษะวางเบาๆตรงริมฝีปากจนเขาแทบไม่รู้สึกว่ามันแตะแล้ว
“ห..หายแล้ว” แก้วตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เป็นรอบที่เท่าไหร่ที่มันถามแล้วเนี่ย ถามว่า...เจ็บรึเปล่า... เจ็บสิถามได้ แต่มันเป็นคำถามที่คนได้ฟังแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งไปเลย
“หึ เคยมีคนนึงมันรักการได้เสียเลือดมาก ได้แผลกลับมาวันละหลายแผล มันก็บอกไม่เจ็บๆอย่างนี้นี่แหละ แต่มึง มึงไม่ได้สันทัดเรื่องอย่างนี้เลย ถ้ามึงบอกว่าเจ็บกูก็ไม่ว่าอะไรมึงหรอก แค่มึงบอกมา ความรู้สึกของมึง”
ฝิ่นผละมือออกจากสะโพกพลิกดันตัวเขาให้นอนหงายพลันขึ้นคร่อมตามกันพร้อมกับจ้องตาเขาด้วยแววตาหวั่นวิตก เขารับรู้อย่างนั้น
“ก็เจ็บแต่เดี๋ยวก็หายเอง”
“หึ อึดจริงนะมึง” ฝิ่นแค่นหัวเราะก่อนจะมองหน้าเขาด้วยแววตาจริงจัง “...มึงรักกูไหม?”
“อืม” เขาไม่ลังเลที่จะพยักหน้า
“พูด”
“ระ รัก” พูดออกไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงจนคิดว่าฝิ่นมันจะได้ยินคำพูดหรือเสียงหัวใจเขามากกว่ากันแน่
“ถ้ากูทำให้มึงเจ็บบ้าง มึงจะทนอย่างนี้ได้ไหม ทนเพื่อกูได้รึเปล่า?” แก้วชะงักเมื่อได้ฟังคำพูดของมัน ไหนเมื่อครู่ยังบอกให้เขาเจ็บได้ไงล่ะ แล้วทำไมถึงมาบอกให้ทนอีก
ก็แล้วทำไมจะทนไม่ได้เพราะที่ผ่านมา กูสามารถเจ็บได้ อ่อนแอได้ เมื่ออยู่กับมึง ถ้ามึงจะทำร้ายกูเหมือนเมื่อก่อน ทำไมกูจะทนไม่ได้ ขอแค่มึงเป็นคนปลอบกูก็พอ
“กูยอมให้มึงทุกอย่าง”
“หึ ยอมกูไปตลอดด้วย” ไม่วายออกคำสั่ง...คำสั่งที่เขาเต็มใจทำ
แก้วจับมือฝิ่นที่วางคร่อมตนไว้ฝั่งละข้างพลางย่นคอด้วยความจั๊กจี้เมื่อคนข้างบนเริ่มซุกไซ้ใบหน้าวนเวียนอยู่แถวต้นคอ
เมื่อตนมั่นใจในความรู้สึกมันดันเหมือนสั่นๆในอกอย่างบอกไม่ถูก รักที่มันปรารถนา เขาควรจะเต็มอิ่มอยู่แค่นั้น แต่กลับเหมือนมีเส้นบางๆกั้นในทุกความรู้สึกที่เราสองคนมอบให้กัน ...มันคืออะไร? ความเต็มที่เหมือนไม่เต็มอย่างนี้ ทั้งที่บอกตัวเองไว้ว่าไม่ได้ต้องการความรู้สึกใดๆจากมัน มากกว่าสิ่งที่ฝิ่นเคยรับปาก ทว่า...ในใจกลับค้านว่าเขาไม่ได้ต้องการเพียงเท่านั้น
เขาอยากรักมันโดยที่ไม่มีไอ้พงษ์เป็นตัวประกัน
แล้วถ้าไม่มีเรื่องของพงษ์ ฝิ่นยังจะให้เขารักอยู่ไหม?
.
.
.
ฝิ่นวางจานผัดกะหล่ำปลีที่มันเพิ่งทำเสร็จแล้วตามด้วยข้าวสวยแฉะๆจากฝีมือเขา
บอกให้ไปกินข้าวข้างนอกก็ไม่ไปจนเขาต้องโทรให้แม่บ้านซื้อผักซื้อเนื้อหมูมาให้มันถึงเลิกโวยวาย
“มองหน้า?”
แก้วจึงหยิบช้อนก้มหน้าก้มตาตักอาหารมื้อเช้าแต่กินตอนสิบเอ็ดโมงเข้าปากอย่างเนือยๆเมื่อโดนมันยักคิ้วใส่
“กูไม่ได้โดดเรียนเพราะมึงหรอกน่าอย่าสำคัญตัวเองไปหน่อยเลย” เขาหงอยลงทันตาเมื่อได้ฟังคำพูดจากปากฝิ่น ตอนมันตื่นเต็มตาแล้ว
“เมื่อวานกูสอบ” ฝิ่นพูดขึ้นอีกลอยๆ “วันนี้หยุด ก็พอดีได้เฝ้ามึง”
“อืม”
“.........................”
“.......................”
เคร้ง!
“เป็นเหี้ยอะไรอีกวะ” ฝิ่นวางช้อนส้อมกระแทกจานเสียงดังจนแก้วสะดุ้งตาม
มันคงไม่พอใจอะไรสักอย่าง อาจจะเพราะ ที่เขาสำคัญตัวเองผิดไปก็ได้
“มึงทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ” แก้วจึงชวนคุยเรื่องอื่นโดยไม่กล้ามองหน้ามัน
“ไม่ได้คุณหนูแบบมึงนี่”
“อืม” ก็เขาทำอะไรไม่เป็นสักอย่างหนิ
“เฮ้ย!”
เคร้ง! เสียงช้อนกระทบจานอีกครั้ง แต่คราวนี้แก้วเงยหน้าขึ้นมองฝิ่นทั้งน้ำตาคลอเบ้าแต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังของมันที่กำลังเดินออกไปนอกบ้านเท่านั้น
เขาเม้มปากแน่นพลางเอามือขยี้ตาไม่ให้น้ำตาไหล
“ก็ไม่ได้สำคัญอะไรจริงๆทำไมต้องโกรธอีกด้วย” เขาสำนึกตัวเองอยู่ทุกวันนั่นล่ะ ฝิ่นพูดอะไรเขาก็ไม่เคยค้าน แล้วทำไม ต้องไม่พอใจเขาอีก แก้วพึมพำเสียงสั่นๆก่อนจะเก็บกับข้าวเข้าตู้เย็นทั้งที่กินไปได้ไม่กี่คำ
เมื่อเช้ายังดีๆอยู่แท้ๆ
แก้วมองออกไปนอกบ้านเห็นฝิ่นสูบบุหรี่ก่อนจะทิ้งลงพื้นแล้วหันไปลงกับกระสอบทรายที่แขวนอยู่ใต้ต้นไม้แทน เขาไม่กล้าออกไปเจอมันตอนนี้หรอก
แก้วเดินขึ้นห้องไปหยิบกุญแจดอกนึงออกจากกระเป๋าตังค์แล้วเดินไปเปิดอีกห้องซึ่งอยู่ติดกัน...ห้องของพงษ์
แก้วทิ้งตัวนอนกลางเตียงที่ได้ถูกความสะอาดและถูกจัดไว้อย่างกับว่ามีคนใช้เป็นประจำทุกวันไม่เปลี่ยน แม้เขาก็ไม่ได้อยู่นี่เลยตั้งแต่อีกคนไป แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมตามที่พงษ์สั่งแม่บ้านไว้ก่อนไป
แก้วจับผ้าห่มคลุมตัวแล้วกลิ้งไปมาจนผ้าห่มห่อตัวเองแทบจะเป็นแหนมอยู่แล้ว จึงได้หยุด
ไม่น่าเลย ...คิดไปได้ยังไงว่าไอ้ฝิ่นเป็นห่วง หลงตัวเองไปได้ถึงขนาดนั้น
เฮ้อ...ไม่มากไปใช่ไหมถ้าหัวใจของเขามีค่าพอให้ไอ้ฝิ่นเลิกแค้นไอ้พงษ์
ถ้าอย่างนั้นคงไม่มากไปที่เขาก็อยากได้ความรักจากมันเหมือนกัน แต่มันไม่ต้องแลกกับอะไรเลย
“เป็นอะไร?” แก้วสะดุ้งมองตามเสียงห้วนๆก็เห็นฝิ่นยืนอยู่หน้าประตูห้องแล้ว
“ปะ...เปล่า” เขาตอบเสียงสั่นๆในขณะที่ฝิ่นมองไปทั่วห้อง
แก้วเพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ควรเปิดห้องนี้ตอนที่ไอ้ฝิ่นอยู่ในบ้าน
“ห้องใคร” มันถามน้ำเสียงเข้ม
“ห้อง...ไอ้พงษ์”
“แล้วมึงมาอยู่นี่ทำไม”
“.....................” เขาย่นคอเข้าในผ้าห่มจนเหลือแค่ตา ก็...มึงกำลังไม่พอใจนี่นากูก็เสียขวัญเป็นธรรมดา
“ออกมา!” พูดจบเจ้าตัวก็เดินหายไปจากหน้าประตู แก้วลุกลี้ลุกลนจะลุกทันทีก็ลุกไม่ขึ้น ลืมตัวว่าผ้าห่มพันตัวอยู่เขาจึงรีบกลิ้งตัวออกแล้วรีบวิ่งตามฝิ่นแต่ดันสะดุดชายผ้าห่มเข้าทำเอาล้มโครมลงกลางห้อง
“โอ๊ยยย อูยยย” แผลเก่ายังไม่ทันจะหายได้แผลตรงข้อศอกขึ้นมาอีก แต่ช่างเถอะเขาต้องรีบตามไอ้ฝิ่นไปก่อน
แก้วเป่าข้อศอกตัวเองที่ใช้ยันพื้นกันหัวกระแทกเมื่อกี้แล้วเงยหน้ากำลังจะลุกแต่กลับต้องชะงัก
ฝิ่นคงเดินกลับมาเพราะได้ยินเสียงเขาล้มไม่ก็เสียงเขาร้อง แต่มันจ้องเขาเขม็งทั้งยังใบหน้าบูดบึ้งนั่น
แก้วมองสบตาฝิ่นพลางลุกเดินตรงเข้าไปหามันก่อนจะคว้าลูกบิดประตูปิดล็อกห้อง
“ถ้ามึงไม่เข้าไปในนั้นก็คงไม่ต้องเจ็บตัว”
“ฝิ่น...” เขารู้ เขายอมให้มันตำหนิ แต่...
“ลงไปกินข้าวต่อเถอะ”
แก้วช้อนตามองสบตากับคนตรงหน้า นั่นสินะต่างคนต่างกินไปได้ไม่กี่คำใครจะอิ่มล่ะ แต่ตอนนี้...
เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเบา
“ฝิ่น...กูเจ็บ”
“เฮ้อ...” มันถอนหายใจเสมองไปทางอื่นพลางจูงมือเขาเดินลงไปข้างล่าง
เขาไม่กล้าถามว่ามันรู้สึกอะไรกับเขารึเปล่าพอๆกับไม่กล้าทวงถามสัญญานั่นล่ะ
แต่เขาต้องกล้าที่จะพูดทุกความรู้สึกนึกคิดให้มันได้ฟัง เพราะมันอยากจะรู้ทุกเรื่อง เขาก็ต้องทำตามนั้น
“กูรักมึง” แก้วพูดบอกในขณะที่ฝิ่นทายาแดงให้
“มันใช่เวลาไหม?” แก้วอ้าปากท้วงเมื่อไอ้ฝิ่นไม่ได้สนใจจะฟังและเอาแต่จ้องข้อศอกเขาอยู่นั่น
ช่างเถอะ ชอบให้พูดไม่ใช่เหรอ ถึงมันจะไม่ค่อยพอใจเรื่องที่เขาพูดเท่าไหร่ก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่มันชอบ เขาก็จะไม่ขัดอีกแล้ว
................................
เกือบช้ากว่านี้แล้วไหมล่ะ เพิ่งเสร็จจ้า โฮY^Y
มีใครคิดถึงลูกขวัญไหมคะ? คิคิ
ขอบคุณทุกคนอ่านขอบคุณทุกคอมเม้นท์จ๊าดนักเจ้า ^^ กอดๆจุ๊บๆ