]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 189957 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ก่อนที่นาฬิกาจะหยุดเดิน.......


ความในใจของท้องฟ้า
ความเจ็บปวดของก้อนเมฆ
ความเสียใจของพระอาทิตย์
ความสูญเสียของก้อนหิน..........

และ “น้ำตา” ที่พาทุกสิ่งไปสู่จุดสุดท้ายของการเดินทาง

.
.
.

“มึงจะเอาอย่างนี้จริงๆใช่มั๊ย เมฆ” ไอ้ซันถามผมอีกครั้งหลังจากที่ผมบอกเส้นทางสุดท้ายที่เราควรจะก้าวเดินต่อไปให้มันฟังแล้ว

“กูคิดว่ามันอาจจะดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้วก็ได้”

มันจะรู้บ้างไหม ว่าทุกๆคำที่ผมพูดออกไปมันทำร้ายผมมากขนาดไหน ความรักที่ผมมีให้แก่มันก็ไม่เคยลดลงไปเลยแม้แต่น้อยนับจากวินาทีแรกที่เรารู้จักกันไปจนถึงวินาทีแรกที่ผมเห็นมันจูบกับไอ้แบ๊งค์ ความผูกพันเราก็มีให้แก่กันไม่น้อยหน้าใครคู่ไหนๆ แต่ทำไม.......... ทำไมผมจะต้องตัดสินใจทำอะไรในสิ่งที่ผมไม่ได้อยากจะทำนี่เลยด้วย

ผมค่อยๆดึงแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายออกต่อหน้าของมันอย่างช้าๆ ส่วนมันก็ทำตามผมเช่นเดียวกัน และเมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว น้ำตาของผมมันก็เริ่มไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป สีหน้าเจ็บปวดของมัน ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาของมันนั่นพูดสิ่งที่อยู่ในใจของมันในวันนี้แต่มันกลับเลือกที่จะไม่พูดออกมาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมรักมัน มันเองก็รักผม ผมมั่นใจในเรื่องนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้วความรักอย่างเดียวมันก็อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาวไปจนตลอดรอดฝั่งไม่ได้.......... แต่ความไว้วางใจก็เป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดด้วยเช่นกัน

และถึงมันจะยังไม่ได้ถูกทำลายไปจนหมด แต่ความเชื่อใจของผมที่มีให้แก่มันก็เริ่มถูกกัดกินไปทีละน้อยๆนับตั้งแต่เมื่อคืนนี้เป็นครั้งแรกแล้ว และมาในตอนนี้ มันก็เริ่มถูกทำลายมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยคำพูดที่มันพูดออกมาและสิ่งที่มันยังคงเก็บงำไว้ในใจ ทั้งๆที่นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราสองคนจะได้คุยกันแบบนี้แล้วแท้ๆ

ผมเอื้อมมือออกไปวางแหวนของผมวางไว้ใกล้ๆแหวนของมัน และไอ้ซันก็ทำท่าจะกุมมือของผมเอาไว้ด้วยเช่นกัน แต่ว่าผมไม่อยากจะรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกแล้ว ผมจึงชักมือกลับและยกขึ้นมาจับที่สร้อยคอที่ผมห้อยคอมาด้วยในวันนี้

สร้อยคอแห่งคำสัญญาของเราสองคน.........

“เมฆ กูขอร้อง กูขอแค่เพียงอย่างเดียว อย่างสุดท้ายก็ได้ มึงอย่าเพิ่งถอดสร้อยเส้นนั้นออกมาจะได้มั๊ย” ไอ้ซันร้องห้ามด้วยสีหน้าที่ราวกับมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆลงในตอนนี้ไม่ว่าวินาทีไหนก็ตาม “อย่างน้อยๆก็จนกว่าทุกอย่างมันจะชัดเจนนะ เมฆ ถือว่าเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายจากกูแล้วกัน”

“ก็ได้.......” ผมลดมือลง แววตาที่เจ็บปวดขณะที่ร้องขอผมนั้นยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีกว่าเราสองคนมาอยู่ในสถานะอย่างตอนนี้ได้ยังไง “กูรักมึงนะซัน มึงก็รู้ใช่มั๊ย.........”

“อืม กูรู้”

“กูไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย ให้ตายสิ ซัน กูรักมึงจริงๆ.......” ผมพูดพร้อมๆกับน้ำตาที่เริ่มจะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ภาพของมันที่จูบกับไอ้แบ๊งค์ และคำพูดของมันที่ไม่ปฏิเสธความสัมพันธ์ของพวกมันสองคนแถมยังยอมรับออกมาอีกนั่นมันก็ทำให้ผมเจ็บปวดมากจริงๆ

ผมรู้สึกเหมือนผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเชื่ออะไรอีกต่อไปดีแล้ว........ มันเป็นเหมือนความรู้สึกของก้อนเมฆที่ลอยอยู่ค้างฟ้าและกำลังจะร่วงหล่นลงมาได้ไม่ว่าในวินาทีไหนก็ตาม เพราะไม่มีสิ่งใดและความเชื่อมั่นใดๆเหลือให้ก้อนเมฆใช้ยึดเหนี่ยวเพื่อลอยอยู่เคียงคู่ท้องฟ้าสีครามอีกต่อไป

“กูก็รักมึง เมฆ....... มึงไม่เชื่อกูงั้นเหรอ” ไอ้ซันพูดแต่ผมกลับส่ายหน้า

“กูไม่รู้...... กูไม่รู้จริงๆ กูไม่รู้ว่าเรามาเป็นแบบนี้กันได้ยังไง ทำไมระหว่างเรามันถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย”

“กูก็เหมือนกัน...... แต่กูรักมึงจริงๆนะ ถึงยังไงๆกูก็รักมึง มันอาจจะฟังดูยากที่ให้เชื่อแบบนั้น แต่มันก็เป็นความจริง”

“พอเหอะ ซัน ตอนนี้เราสองคนอาจจะต้องการระยะห่างกันบ้างแล้ว เราคงอยู่ด้วยกันมามากเกินไป ถ้าหากว่าในแก้วมันมีน้ำใส่อยู่จนเต็มแล้ว ต่อให้มึงพยายามที่จะรินน้ำเพิ่มลงไปอีกสักเท่าไหร่มันก็คงมีแต่ล้นออกมาเท่านั้นเอง บางทีเราสองคนคงจะไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาเรือนเดียวกันอีกต่อไปแล้วก็ได้ ถึงเวลาแล้วที่เวลาของเราคงจะต้องไหลไปแบบไม่เท่ากันอีกครั้ง”

ผมนึกถึงคำสัญญาของเราสองคนที่ทะเลขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดตอนนี้ขอบฟ้าของเรามันก็มีอิทธิพลเหนือความสัมพันธ์ที่ข้ามพ้นกลายเวลาของเราสองคนไปซะแล้ว ดังนั้นมันคงไม่มีอะไรที่ความผูกพันที่เรามีให้แก่กันและกันมันจะทำได้อีกต่อไปแล้ว.........

เมื่อผมพูดจบและไอ้ซันก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแล้ว ผมจึงหลับตาลงและเบือนหน้าหนีไปจากใบหน้าของมัน ผมไม่อยากจะเห็นสีหน้าของมันในตอนนี้อีกแล้ว ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะเห็นหน้าของมันอีก แต่ผมทนดูสีหน้าเจ็บปวดของมันนี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ ผมไม่อยากจะทนรับความจริงที่ว่าผมกำลังทำให้มันต้องเจ็บปวด ในขณะที่ผมเองก็เจ็บปวดมากไม่แพ้กันแบบนี้..........

ผมหยิบมาแหวนทั้งสองวงขึ้นมาใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน ผมไม่อยากจะมองหน้าของมันอีกแล้ว ผมไม่อยากจะให้สีหน้าของมันแบบนี้เป็นใบหน้าสุดท้ายในความทรงจำที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของผม

“เราจะได้เจอกันอีกครั้งใช่มั๊ย” ไอ้ซันถามขึ้น

ผมหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มให้กับมัน “เมื่อไหร่ที่ขอบฟ้าของเราคือขอบฟ้าเดียวกันอีกครั้ง เมื่อนั้นกูกับมึงก็คงจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ซัน” เมื่อพูดจบ ผมก็หันหลังกลับแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่แล้วผมก็ถูกเรียกให้หยุดลงอีกครั้ง

“เดี๋ยวเมฆ กูขอถามอีกแค่คำถามเดียว........ มึงเชื่อมั๊ย ว่ากูรักมึง ไม่สิ กูรู้ว่ามึงก็เชื่อ กูมั่นใจว่ามึงรู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน และไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปนับแต่วันแรกที่เราพบกัน กูก็ยังคงรักมึงอยู่ตลอดเวลา และจะยังรักแบบนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนด้วย........ แต่ว่ามึงจะยังคงเก็บรักษาความรักนั้นไว้ให้กูต่อไปได้มั๊ย เก็บมันไว้จนกว่าท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะได้ลอยอยู่เคียงคู่กันอีกครั้ง”

มึงอย่าพูดแบบนี้ได้มั๊ย ซัน.......... นี่มันไม่ใช่สิ่งที่กูอยากจะได้ยินเลยจริงๆ แต่ทว่าถึงอย่างนั้น คำว่ารักจากปากของมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นพร้อมๆกับความเจ็บปวดที่ยิ่งทิ่มแทงหัวใจมากขึ้นไปอีกอย่างแสนสาหัสพร้อมๆกันด้วย ผมไม่เคยรู้เลยว่าการที่ได้รู้ว่าการที่มันรักผมนั้นมันจะทั้งทำให้ผมดีใจและเจ็บปวดเจียนตายได้มากถึงเพียงนี้

ผมไม่สามารถห้ามน้ำตาของผมได้อีกต่อไปแล้ว.........

“ตราบจนขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที ซัน ตราบจนกว่าขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาที...........”

เมื่อพูดจบผมก็เดินจากออกมา พร้อมกับทิ้งความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมอีกครั้งเอาไว้เบื้องหลัง ตอนนี้ก้อนเมฆเดินจากออกไปจากท้องฟ้าอันเป็นที่พักพิงของมันแล้ว และนับจากนี้ไป มันก็คงจะเป็นได้แค่สายฝนแห่งน้ำตาที่ไหลลงสู่พื้นดินอย่างเจ็บปวด และคงไม่สามารถลืมความสุขในยามที่มันเคยมีร่วมกันกับท้องฟ้าและพระอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามดวงนั้นได้เลย

น้ำตาแห่งความเสียใจใดจะเท่ากับน้ำตาของการจากลาทั้งๆที่ยังรักและโหยหาอยู่มากมายถึงเพียงนี้...........



..............................................................................................


“เมื่อก้อนเมฆต้องเศร้าสร้อย ความเสียใจทุกหยดในหัวใจ ถูกกลั่นออกมาเป็นสายฝน จนตัวตาย แตกสลาย และร่วงหล่น ลงสู่พื้นดิน..........”


“เมื่อท้องฟ้าต้องเสียใจ ความสูญเสีย เปลี่ยนสีฟ้าคราม ให้กลายเป็นสีแดงฉานราวกับสีเลือด เมื่อก้อนเมฆอันเป็นที่รักลาจาก ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เหลือไว้เพียงความเสียใจ ที่ไร้ค่า และไม่มีใครคิดจะเห็นใจ..........”



..............................................................................................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2008 12:02:17 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ต้นไปบ้านนอกอีกและนะคับ ยังไม่รู้กำหนดกลับเยยย  :sad2:

ขอบคุณทุกคนมากนะคับ และก้อขอโทษด้วยถ้ามันบีบหัวใจไปนิด  :o12:


อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป

เดินทางโดยสวัสดิภาพนะน้อง.....

 :L1: :L1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2008 14:59:28 โดย อาจารย์..สีฟ้า »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
และแล้วก็ถึงตอนที่เริ่มไว้ตั้งแต่แรก  :o12: :o12: :o12: :o12:

แล้วเมื่อไหร่ขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาทีละ   :o12: :o12:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ในที่สุดก็มาถึงวันนี้จนได้

จะรอวันที่ก้อนเมฆได้ลอยคู่กับท้องฟ้าต่อไป :o12:

ออฟไลน์ Ryuse

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-1
รอวันที่ก้อนเมฆจะกลับคืนสู่อ้อมกอดของฟ้าครามอีกครา

อย่าให้นานเกินรอนะ คนอ่านขาดใจขึ้นมา จะตามมาหลอกมาหลอนลากไปอยู่เป็นเพื่อนด้วย

 o18 o18 o18 o18 o18 o18 o18 o18 o18 o18

niph

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
“พอเหอะ ซัน ตอนนี้เราสองคนอาจจะต้องการระยะห่างกันบ้างแล้ว เราคงอยู่ด้วยกันมามากเกินไป ถ้าหากว่าในแก้วมันมีน้ำใส่อยู่จนเต็มแล้ว ต่อให้มึงพยายามที่จะรินน้ำเพิ่มลงไปอีกสักเท่าไหร่มันก็คงมีแต่ล้นออกมาเท่านั้นเอง บางทีเราสองคนคงจะไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาเรือนเดียวกันอีกต่อไปแล้วก็ได้ ถึงเวลาแล้วที่เวลาของเราคงจะต้องไหลไปแบบไม่เท่ากันอีกครั้ง”

ต่อให้มันเป็นเข็มนาฬิกาบนเรือนเดียวกัน มันก็เดินทางไม่เท่ากันนะ
กว่าที่มันจะซ้อนกันสนิทก็ต้องใช้การเดินทาง
และมันก็ขึ้นอยู่กับว่า เราเปรียบเทียบระหว่างเข็มอะไร (ก็มันมีตั้งสามเข็มอ่ะ)

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
เลวร้ายมากอ้ะพี่ชาย  :angry2:

ไว้สอบเสดจะไปหาที่บ้านนอกนะ  :a3:

pae_tekung

  • บุคคลทั่วไป
อ่านจบถึงภาค 3 แล้วครับ

ยอดเยี่ยมมากครับ ชอบมากเลย ชอบความสัมพันธ์ของทุกตัวละคร คำพูด แล้วความรู้สึกนึกคิดที่คุณต้นใส่ลงไป


แอบอ่านภาค 4 ไปนิดนึงแล้วล่ะ ต้องเศร้าแน่ๆ เลย  :m15:

ผมว่าผมไปดื่มด่ำกับความรักของซันกับเมฆก่อนสักพักดีกว่า ถ้าอ่านต่อตอนนี้ดูเมื่อจะทำร้ายจิตใจตัวเองเกินไปอ่ะ (จริงๆ นะ)

แล้วจะเข้ามาอ่านแน่นอนครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
^
^

ขอบคุณมากมายคับ อ่านแล้วรู้สึกชื่นใจจังเยยยอ่ะ  :o8:

.................................


ก้าวแรกสู่ปลายทางสุดท้าย


“เดี๋ยวเมฆ กูขอถามอีกแค่คำถามเดียว........ มึงเชื่อมั๊ย ว่ากูรักมึง ไม่สิ กูรู้ว่ามึงก็เชื่อ กูมั่นใจว่ามึงรู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน และไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปนับแต่วันแรกที่เราพบกัน กูก็ยังคงรักมึงอยู่ตลอดเวลา และจะยังรักแบบนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนด้วย........ แต่ว่ามึงจะยังคงเก็บรักษาความรักนั้นไว้ให้กูต่อไปได้มั๊ย เก็บมันไว้จนกว่าท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะได้ลอยอยู่เคียงคู่กันอีกครั้ง”

ด้วยดวงใจที่แตกสลาย และความเชื่อมั่นที่พังทลายลง ผมตอบมันออกไปเป็นครั้งสุดท้ายว่า.......

“ตราบจนขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที ซัน ตราบจนกว่าขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาที...........”

ทั้งๆที่เราสองคนเคยมีความยึดมั่นและความผูกพันสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดแล้วแท้ๆ ทั้งๆที่เราเคยสัญญากันไว้แล้วว่าระหว่างเราจะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าทุกๆวินาทีที่เรามีและใช้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ผ่านมาหรือนับจากนี้ไป....... แต่ว่าสุดท้ายแล้ว มันก็เลือกความสวยงามที่มันสัมผัสได้เพียงครั้งคราว เหมือนกับความงามของเส้นขอบฟ้ายามพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกแต่เพียงเท่านั้นไปจนได้

ผมเองก็ชอบมองดูเส้นขอบฟ้าและความยิ่งใหญ่ของมันไม่ต่างไปจากท้องฟ้าสีครามที่ผมเคยชื่นชมมันอยู่เสมอๆหรอก แต่ถ้าเพียงแค่ความงามอย่างเดียวก็สามารถทำให้คนตกหลุมรักและลืมความผูกพัน ลืมความสำคัญของช่วงเวลาทุกๆวินาทีที่เราข้ามผ่านพ้นมาได้แล้วล่ะก็...........

ผมก็ขอเลือกที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแต่เพียงลำพังคนเดียวดีกว่า

ผมเดินไปขึ้นรถและขับรถออกจากห้างแห่งนั้นไปทันทีอย่างรวดเร็ว ไปยังจุดหมายปลายทางแห่งเดียวกับที่ที่คำสัญญาของเราเริ่มต้นขึ้น สถานที่ที่เราแลกเปลี่ยนคำมั่น ความผูกพัน และตัวตนของเราสองคน..........

ผมกำก้อนหินสีดำที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกเอาไว้แน่น.............. สิ่งๆเดียวที่แสดงถึงเยื่อใยสุดท้ายที่เชื่อมเราสองทั้งคู่เอาไว้ด้วยกัน

ระหว่างที่ขับรถไประยอง ผมก็พยายามควบคุมสติและจิตใจของตัวเองให้มั่นคงมากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่ทว่าเมื่อผมเปิดแผ่นซีดีเพลงที่ค้างอยู่ในรถขึ้น เพราะอยากจะให้เสียงเพลงช่วยทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดลงไปบ้าง เพลงแรกที่ผมได้ยินมันก็ทำให้น้ำตาของผมไหลออกมาอีกครั้งจนได้..........

คงเป็นที่ฟ้าเบื้องบน เป็นคนขีดโชคชะตา สั่งฉันและเธอให้มา ให้ได้พบเจอกัน
ให้ฉันได้มีโอกาส ลิ้มรสในความชื่นบาน ให้เรามีกัน มีวันเวลาที่ดี.........
และเป็นที่ฟ้าเบื้องบน เป้นคนพรากเราเช่นกัน ให้เวลาเพียงแค่นั้นกลับต้องเสียเธอไป
ฉันรู้ว่าไม่มีหวังจะเหนี่ยวและรั้งเธอไว้ข้างกาย
จะทำยังไงก็คงไม่มีหนทาง

หากชีวิตฉันต้องขาดเธอไป จะเป็นยังไง........
ชีวิตคงไร้ความหมายและเหมือนไร้พลัง
ร่างกายที่เคยอดทน ก็คงไม่มีกำลัง........ ไม่มีความหวังให้ฉันได้ชื่นหัวใจ
แค่เพียงพรุ่งนี้ถ้าตื่นมามองไปไม่เจอเธอ แค่นึกก็ทำให้เผลอหวั่นและไหวในใจ
ถ้าเราจะต้องจากกัน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด....... คงรู้ใช่ไหมว่าฉันจะต้องเสียใจ
เสียใจจนตาย.............


“ไอ้ซัน............ กูรักมึงจริงๆนะ จะมีวันไหนมั๊ย ที่เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง วันที่มึงกับกูจะได้เดินร่วมทางเดินเดียวกันอีก......... เพราะในตอนนี้กูมองไม่เห็นเลยว่าถ้าระหว่างเรามันยังคงมีกำแพงที่มองไม่เห็นอันใหญ่ขวางกั้นอยู่แบบนี้ เราก็คงจะไม่มีวันได้กลับมาเป็นเข็มนาฬิกาที่เดินอยู่บนหน้าปัดเดียวกันอีกแล้วก็ได้ และกูก็ไม่รู้อยู่ดีว่าไอ้กำแพงเหี้ยนั่นมันมาจากไหน ใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา มึงหรือกู และไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กูรู้เพียงอย่างเดียวว่า กูจะไม่มีวันรักใครเท่ากับที่กูรักมึงอีกแล้ว........... ไม่มีใครที่จะรักท้องฟ้าสีครามไปมากกว่าก้อนเมฆสีขาวก้อนเล็กๆก้อนนี้อีกแล้ว”

ผมจอดรถลงข้างทางและพิมพ์ประโยคเหล่านั้นลงในมือถือพร้อมทั้งน้ำตา ผมคิดจะส่งอีเมล์ให้มันเป็นครั้งสุดท้าย ส่งความในใจที่ผมมีทั้งหมดให้มันได้รับรู้และเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริงของผม.......... แต่ทว่าสุดท้ายแล้วเมื่อผมพิมพ์เสร็จ ผมก็กลับกดปุ่มดีลีทลบมันทิ้งไปจนหมด

“มันคงจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับมันอีกแล้วล่ะ มึงเลิกทำอะไรงี่เง่าๆได้แล้ว ไอ้เหี้นเมฆ” ผมพูดกับตัวเอง ก่อนตัดสินใจที่จะปิดเครื่องทิ้ง แต่ทว่าก่อนที่มือถือของผมจะดับลงนั้น ผมก็ได้รับเมสเสจเข้ามาในวินาทีสุดท้ายพอดี ผมจึงเปิดอ่านมันก่อนที่จะตัดการติดต่อจากคนอื่นเพื่อจะได้มีเวลาคิดทบทวนอะไรต่างๆคนเดียวตามลำพัง และคนที่ส่งเมสเสจนั้นมาก็คือไอ้ซันนั่นเอง.........

“กูขอโทษ และกูก็หวังสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมึงนะ ท้องฟ้าจะคิดถึงก้อนเมฆของมันตลอดไป”

ผมอ่านข้อความสั้นๆนั่นแล้วน้ำใสๆจากดวงตาก็หยดลงบนหน้าจอโทรศัพท์ของผมทันที

“ไอ้ซัน......... นี่แปลว่ามึงไม่คิดว่าเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งแล้วใช่มั๊ย แต่มึงรู้มั๊ยว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับกูก็คือทุกๆวินาทีที่กูมีมึงอยู่ข้างกายกูนะ ไอ้เหี๊ยเอ๊ย.........”

ผมกดปุ่มปิดเครื่องแล้วขับรถมุ่งต่อไปยังจุดหมายปลายทางของผมทั้งๆน้ำตา............

เมื่อไปถึงที่ระยอง จิตใจของผมก็เริ่มดีขึ้นมาก ความเงียบสงบของชายหาดที่ไร้ผู้คนบวกกับเสียงดังของคลื่นที่กระทบฝั่ง และเสียงของสายลมที่พัดพาอย่างไม่หยุดพักก็ช่วยปลอบประโลมจิตใจของผมให้เย็นลงได้อีกเยอะ ผมเดินเท้าเปล่าเลียบชายหาดไปเรื่อยๆจนไปโผล่ที่หาดอีกแห่งหนึ่งที่เริ่มมีคนพลุกพล่านมากขึ้น แต่เป้าหมายของผมไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าจริงๆแล้วเป้าหมายของผมมันยังไม่ใช่สิ่งนี้ต่างหาก

ผมไปนั่งที่ร้านอาหารริมหาดแห่งหนึ่งแล้วสั่งข้าวผัดปูมากิน ตั้งแต่มื้อเช้าของพ่อตอนนั้นแล้วผมก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องอีกเลย แถมความเหนื่อยอ่อนที่ทับถมกันมาในช่วงหลายชั่วโมงนี้ บวกกับความเพลียทั้งจากการร้องไห้และทางใจมันก็ทำให้ผมรู้สึกต้องการพลังงานมาเติมให้ร่างกายอีกมากเลยเหมือนกัน

เมื่อผมกินข้าวและจ่ายเงินเสร็จ ผมก็ออกเดินต่ออีกครั้ง แต่คราวนี้ผมมุ่งหน้ากลับไปยังชายหาดที่ผมเพิ่งจะเดินผ่านมา ชายหาดที่ผมกับมันได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันเป็นครั้งแรกเมื่อครั้งกลับมาถึงที่ประเทศไทย แต่ทว่าคราวนี้สิ่งที่ผมรอคอยมันไม่ใช่พระอาทิตย์ขึ้นเหมือนเมื่อคราวที่แล้ว แต่หากเป็นพระอาทิตย์ตก ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังบอกลาท้องฟ้า ก้อนเมฆ ผืนดิน และพื้นน้ำ........

ช่วงเวลาที่ไอ้ซันชอบมากที่สุดนั่นเอง

ผมนั่งลงบนพื้นทรายในจุดที่ลับตาคน แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ว่าชายหาดตรงช่วงนี้ก็ไม่ค่อยจะมีคนเดินผ่านเท่าไหร่อยู่แล้ว ผมจึงสามารถนั่งรอช่วงเวลาที่ผมรอคอยเพียงคนเดียวได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าใครจะเดินผ่านไปผ่านมา

ผมทอดสายตามองยาวออกไปยังพื้นน้ำที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา คลื่นลูกน้อยใหญ่กระทบหาดทรายครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเบื่อ และท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มจะเปลี่ยนสีหลังจากดวงอาทิตย์ดวงนั้นเริ่มคล้อยต่ำจนลงมาเกือบถึง ณ เส้นขอบฟ้า.......... บรรยากาศแบบนี้ ภาพตรงหน้าของผมแบบนี้ มันชวนให้ผมนึกถึงเพลงๆหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนนี้เหลือเกิน

มองดูฟ้า มันเปลี่ยนสี ไม่เคยซ้ำ เนิ่นนานแล้ว แต่ใจฉันมันยังซ้ำ อยู่........... ที่เธอ
เธอเห็นไหม คลื่นที่ซัด หาดทรายขาว มานานแล้ว ดั่งใจฉัน ยังคงซัด เธอ............ นิรันดร์

ทะเลเวลาที่หมุนผ่าน ผลักชีวิตมาจนป่านนี้ เก็บชีวิตเก็บใจที่ดีที่มีเพื่อเธอ..........

ชีวิตที่เหลืออยู่นี้อยากใช้มันเคียงข้างเธอ
ชีวิตของฉันจากนี้จะไม่ไปไหน.........
ชีวิตของเธอจากนี้ อยากใช้ข้างฉันรึเปล่า
ให้ชีวิตของเราจากนี้มีใจเดียวกัน............


ผมถอนหายใจยาวๆ ภาพความทรงจำหลายๆอย่างที่เคยมีกับมันมาผ่านเข้ามาในความทรงจำของผมอีกครั้ง ราวกับจะคอยย้ำเตือนผมอยู่เสมอว่า ช่วงเวลาที่งดงามที่สุดในชีวิตของผมนั้นมันเป็นอย่างไร และผมได้ใช้มันไปอยู่กับใคร

ผมนั่งอยู่ที่ตรงนั้นจนรอบตัวของผมเริ่มมืดลงเรื่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าไปได้ ผมไม่สามารถมองเห็นความงดงามของดวงอาทิตย์ที่กำลังบอกลาท้องฟ้าและก้อนเมฆไปได้เลย ก้อนเมฆน้อยใหญ่สีดำครึ้มหลายก้อนที่ลอยมาปกคลุมท้องฟ้า บอกสัญญาณของฝนที่ใกล้จะตกลงมาบดบังดวงอาทิตย์ของผมไปจนหมด

“ขนาดกูจะขอดูความเศร้าและแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ ก่อนที่จะปล่อยให้ความเหงาและความหนาวเหน็บในตอนกลางคืนมาแทนที่ กูยังไม่มีสิทธิ์เลยใช่มั๊ย.........” ผมพูดออกมาคนเดียวก่อนจะนั่งก้มหน้าอยู่อีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อผมรู้สึกตัวอีกทีบรรยากาศรอบตัวผมก็เริ่มมืดลงมากแล้ว และนอกจากนั้นลมแรงๆที่พัดปะทะตัวผมก็ยังเตือนผมอีกด้วยว่าพายุฝนกำลังจะโหมกระหน่ำในอีกไม่ช้านี้แล้ว ผมจึงลุกขึ้นยืนและปัดทรายออกจากกางเกงอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนที่เสียงฟ้าร้องจะดังเปรี้ยงขึ้นบนท้องฟ้าสีครึ้มเหนือผืนน้ำสีดำตรงเบื้องหน้า

“เออๆ กูรู้แล้ว ไม่ต้องไล่กูนักหรอก” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับไปยังรถของตัวเอง................



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ฤา จะไม่มีทางที่เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม  :o12: :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ Ryuse

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-1
เมฆคิดมาก ซันอาจจะไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นก็ได้

แต่วันเองก็คงคิดเหมือนกันล่ะมั้ง (คิดว่า)

เจ็บก็จะรออ่านฮะ อยากรู้ว่าสิ่งที่เราเจอกับเมฆเจอมันจะออกมาเหมือนกันมั้ย


niph

  • บุคคลทั่วไป
อ่านไปอ่านมา ชักรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย
ไม่ว่าจะเป็นความอึดอัด ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ถูกทำลาย หรือแม้แต่มือที่สามหรือสี่

สิ่งที่มีมันคือ การคิดไปเอง และเมื่อรวมกับความห่วงใยที่ต้องการให้ใครอีกคนมีความสุข

มันก็เลยไปกันใหญ่


จริง ๆ แล้ว ถ้าทั้งสองคนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ซะ
มันก็จะไม่มีเรื่องอะไรเลย ไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
ด้วยหัวใจที่มีให้
ขอเป็นกำลังใจให้ต้นก้าว
หนทางแสนไกลสู่ดวงดาว
ร้อนหนาวอย่างไรให้ฝ่าฟัน

ยามต้นท้อ พี่ขออยู่เคียงข้าง
ยามต้นอ้างว้าง พี่ขออยู่ตรงหน้า
ยามต้นร้อง พี่ขอซับน้ำตา
ยามต้นเหว่หว้า พี่ขอให้กำลังใจ


เป็นกำลังใจให้น้องชายเสมอครับ   :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ฉลองกระทู้ที่ 400 ให้ ต้นน้องรัก :mc4: :mc4:

รักน้องเสมอ...จุ๊ฟฟฟฟฟฟฟ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2008 12:49:06 โดย อาจารย์..สีฟ้า »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
นิทาน ปาฏิหาริย์กาลครั้งหนึ่งของความรัก " จากก้อนดินสู่ปลายฟ้า "   ชื่อเรื่องโดยอาจารย์สีฟ้าและลักยิ้ม


ถ้าพี่เป็นดั่งท้องฟ้า ผมก็คงเป็นแค่ก้อนดิน
แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทุกวันและก็รู้สึกชอบขึ้นในทันที
และเมื่อเวลาผันผ่าน จากความชอบก็เปลี่ยนเป็นความหลงใหล และท้ายที่สุดก็งอกเงยจนกลายเป็นความรัก

แต่ถ้าพี่คือท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น
ผมก็คงเป็นได้แค่ก้อนดินที่มีความรักอยู่เต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่สามารถยื่นมือออกไปสัมผัสกับความงดงามนั้นได้เลย…….

เมื่อท้องฟ้าสดใส ผมก็แอบอมยิ้มอยู่ในใจ แต่ท้องฟ้าก็คงไม่เคยแลมอง
เมื่อท้องฟ้ามืดครึ้ม ผมก็เป็นกังวล อยากจะช่วยปัดเป่าเมฆดำเหล่านั้นให้จางหาย แต่ท้องฟ้าก็ไม่เคยสนใจ
เมื่อท้องฟ้าร่ำไห้ ความเสียใจกลายเป็นสายฝน ชะล้างทุกสิ่งบนพื้นโลก ก้อนดินก้อนเล็กๆก้อนนี้ ก็แอบร่ำไห้ไปกับท้องฟ้า น้ำตาไหลรวมไปกับสายฝน ผิวกายหนาวเหน็บจนเจียนตาย

แต่ท้องฟ้าก็ยังคงไม่เคยรับรู้เลย.........

จนวันหนึ่งเสียงของผม ก็ถูกส่งขึ้นไปถึงยังเบื้องบน ท้องฟ้าได้รับรู้ความในใจของก้อนดินก้อนนี้แล้ว
แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นมันก็น่าเจ็บปวดนัก
เมื่อก้อนดินด้อยค่าก้อนนี้ ไม่มีค่าแม้แต่ท้องฟ้าจะยอมเห็นใจ ไม่มีค่าแม้แต่ท้องฟ้าจะชายตามอง
ซ้ำยังส่งสายฟ้าฟาดลงมา ทำลายก้อนดินจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ครั้งแล้วครั้งเล่า
ซ้ำแล้วซ้ำอีก

สายฝนที่หนาวเหน็บ พัดพาเอาเศษเสี้ยวของหัวใจดวงน้อยๆของก้อนดินลอยหายไปอย่างซ้ำๆ
แต่ก็ไม่เคยที่จะพัดพาความรักของมันจากไปได้ด้วยเลย

ถึงจะเจ็บปวด แต่ก้อนดินก็เชื่อมั่นในความรักของมัน
และเหนือสิ่งอื่นใด คือมันรับรู้...........
รับรู้ถึงความเหงา และความเจ็บปวดของท้องฟ้าที่อ้างว้างและโดดเดี่ยว
รับรู้ได้ผ่านทางสายฝน สายฟ้า และทั้งสายตาที่คอยหลบหนีมันอยู่ร่ำไป
และมันยังรับรู้ ถึงความรักและความอบอุ่นลึกๆให้ดวงใจที่ถูกเก็บเอาไว้ของท้องฟ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าหวั่นเกรง

ก้อนดินก้อนนี้จึงยังคงตั้งหน้าตาตั้งตามอบความรัก ความห่วงใย และความหวังดีให้แก่ท้องฟ้าของมันต่อไปอย่างไม่เคยหวาดหวั่นและย่อท้อ

เพราะต่อให้มันต้องเจ็บปวด แต่ทุกๆวินาทีที่มันได้ส่งผ่านความรัก นั่นก็คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของมันแล้ว.......

จนในที่สุด ความรักของก้อนดินก็เอาชนะใจของท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงนั้นได้

ผมได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ และได้รับความรักที่อบอุ่น
ผมได้รับสิ่งที่ผมรู้มาตลอดว่ามันมีอยู่จริง
ผมได้รับสิ่งที่ผมรอคอยมานานแสนนาน.........

รอคอยวันที่ท้องฟ้าของผมจะยอมเปิดหัวใจและเปิดประตูรับผมไปอยู่เคียงข้างเขาสักครั้ง

และตอนนี้ผมก็ไม่ใช่เพียงก้อนดินที่แอบหลงรัก และแหงนหน้ามองท้องฟ้าอันสวยงามผืนนี้อยู่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป

แต่ผมคือสายลมที่พัดพาอยู่เคียงข้างท้องฟ้าสีครามของผมไปชั่วนิรันคร์

ถ้าพี่เป็นท้องฟ้าที่โอบอุ้มความสุขและความหวังดีเอาไว้ เพื่อที่จะให้ทุกคนที่แหงนหน้ามองท้องฟ้ามีความสุขแล้วล่ะก็.......
ผมก็จะเป็นสายลม ที่ช่วยพัดพาเอาความทุกข์ทุกอย่างของพี่ให้จางหายไป
ผมจะโอบอุ้มความรักที่ไม่มีวันหมดนี้ลอยอยู่เคียงข้างพี่ และจะแบกรับความเหนื่อยล้าที่ท้องฟ้าไม่อยากให้ใครเห็นไว้กับตัวไปตราบนานเท่านาน

และถ้าเมื่อใดที่ยามกลางวันเปลี่ยนเป็นยามกลางคืน ท้องฟ้าต้องมืดมิด จนไม่สามารถมองเห็นแสงใดๆ
ผมก็จะเป็นดวงดาวที่ส่องสว่างนำทางให้แก่พี่
ผมจะเป็นดาวประดับฟ้า ที่ทำให้คนสามารถชื่นชมความงามของท้องฟ้าได้ทั้งยามกลางวันและกลางคืน
ดวงดาวที่จะลอยอยู่เคียงคู่กับท้องฟ้าไปตลอดชั่วชีวิตจนกว่ามันจะดับแสงลง

และไม่ว่าพี่จะเป็นอย่างไร และผมจะเป็นใครในสายตาของพี่หรือคนอื่นๆ
แต่ผมก็จะยังคงเป็นผม ที่มีความรักอันยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ พร้อมจะมอบและยืนอยู่เคียงข้างพี่ไปตลอดกาล

ความรักของก้อนดิน ที่ถูกความอบอุ่นและความงดงามของท้องฟ้าช่วยเจียระไน จะไม่มีวันจางหายไปกับกาลเวลา



ขออีกสักกระทู้ เผื่อคนที่ไม่ได้คลิกสองอันนั้น.....
เรื่องนี้แต่งให้ "ลักยิ้มสีฟ้า" เนื่องในวันเกิดของไอ้ลักยิ้มคับ ^_^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2008 21:31:47 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
อูย ต้นแต่งดี เห็นภาพเลย   o7 o7 o7 o7    ขนลุกเลยนะนี่  :m13:  :m13:

 :pig4: :pig4: :pig4:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
เอ๊ะ ต้นเรียนผิดคณะหรือป่าวเนี่ย  :m13:

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

เรื่องหลักยังอ่านไม่จบ

แต่มาแปะว่าอ่านเรื่องรองแล้ว (เรื่องก้อนดินฯ อ่ะ)  :m23:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนสุดท้ายก่อนไป ตจว คับ ^_^
รถออกสองโมง ไปถึงหัวค่ำๆ


ก้าวที่สองสู่ปลายทางสุดท้าย


หลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ผมก็ขับรถมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยหัวใจที่เหนื่อยอ่อนและท้อแท้ชนิดที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มานานหลายปีมากแล้วจริงๆ ความรู้สึกของคนที่อกหักและเลิกกับแฟนมันเจ็บปวดแบบนี้นี่เอง ขนาดตอนกับนัทผมยังไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้เลยนะ มันเป็นความเจ็บปวดคนละแบบกับเมื่อตอนที่ไอ้ซันบินไปอังกฤษเมื่อครั้งนั้น แต่ทว่าก็ทรมานหัวใจของผมได้ไม่ต่างกันเลย

ครั้งหนึ่งเมื่อเรายังไม่ได้ครอบครอง กับครั้งนี้ที่เราได้ครอบครองและกำลังจะสูญเสียมันไป............

เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ทั้งพ่อกับไคล์ต่างก็ยังคงนั่งรอผมอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเหมือนเคย และคราวนี้ผมก็คงไม่สามารถเลี่ยงทั้งคู่ได้แล้วจริงๆ ผมจึงตัดสินใจนั่งลงและเล่าเรื่องการตัดสินใจของผมกับไอ้ซันให้พวกเขาฟัง....... เกือบทั้งหมด

“เอาเถอะ ถ้ามันเป็นการตัดสินใจของลูกสองคนแน่นอนแล้ว พ่อก็คงพูดหรือห้ามอะไรไม่ได้” พ่อพูดขึ้นหลังจากฟังผมเล่าจนจบ โดยที่ผมก็ไม่ได้เอ่ยชื่อของแบ๊งค์หรือเรื่องของนัทออกไปอยู่ดี “แต่อะไรๆมันก็คงต้องเป็นแบบนี้นั่นแหละนะ ก็แค่ว่า ไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายมันก็อยู่ในอนาคตของเราสองคนเท่านั้น สำคัญเพียงแต่ในตอนนี้เมฆกับซันเลือกที่จะทำยังไงกับปัจจุบัน....... มันก็เท่านั้นเอง”

“พ่อคิดว่าเราสองคนจะยังกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันได้อย่างนั้นเหรอครับ”

“พ่อไม่รู้หรอก แต่พ่อก็แค่อยากจะเห็นทั้งสองคนพยายามก่อนก็เท่านั้นเอง” พ่อเอกส่ายหน้า “เพราะทั้งสองคนก็ยังไม่เคยต้องเผชิญเรื่องราวแบบนี้ด้วยกันเลยสักครั้งนี่นะ เรื่องราวที่จะมาทดสอบความรักและความผูกพันของเราทั้งคู่........”

ผมส่ายหน้าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป พ่อจึงตบลงบนบ่าของผมแล้วออกแรงบีบเบาๆ

“พ่อไปนอนก่อนนะ พักผ่อนซะมั่งล่ะ พ่อรู้ว่าลูกๆต้องผ่านพ้นมันไปได้” พ่อพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินจากไป และหลังจากที่พ่อเดินขึ้นห้องไปแล้ว ไคล์ก็เขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆผมมากขึ้น

“ศิลา........”

“หืมม”

“มันจะต้องเป็นแบบนี้จริงๆนะเหรอ ผมหมายถึง ผมไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ แต่ว่าผมเองก็ไม่อยากให้ทั้งสองคนเป็นแบบนี้ ผมรักทั้งคู่มากนะ” ไคล์พูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเมื่อดูจากสถานะของไคล์ในตอนนี้ เขาก็คงต้องลำบากใจและวางตัวไม่ถูกมากจริงๆ

“พี่เข้าใจเรานะ แต่ว่าพี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน ขอโทษนะไคล์ ที่พี่ทำให้เราต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้” ผมก้มหน้า

“ไม่ใช่” ไคล์พูดพร้อมกับช้อนคางของผมขึ้นมาเพื่อให้ผมสบตากับเขา เราสองคนสบตากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ไคล์จะโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆแล้วก็จูบลงบนริมฝีปากของผมเบาๆ ไม่ใช่การจูบแบบเสน่ห์หา แต่เป็นจูบอ่อนโยนเบาๆที่ไคล์ชอบทำกับพวกเราอยู่เรื่อยเป็นปกติอยู่แล้ว “ให้ตายสิ......... ทำไมสองคนนี้นี่ถึงไม่รู้จักจำเลยนะ” เขาพูดขึ้นหลังจากถอนปากออกไปแล้ว “ผมเคยบอกทั้งสองคนไปล้านรอบได้แล้วมั๊งว่าผมรักทั้งคู่มากจริงๆ โดยเฉพาะศิลาน่ะ ทำไมต้องคิดถึงแต่คนอื่นมากขนาดนั้นด้วย ผมไม่เข้าใจ ตอนนี้พี่กำลังเผชิญปัญหา ผมก็มีหน้าที่ที่ช่วยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ เรื่องอื่นน่ะ ไม่ต้องสนใจหรอก เข้าใจมั๊ย ผมกับพีทมีได้คุยกันบ้างแล้ว เขาก็เป็นห่วงทั้งซันและศิลามากเหมือนกัน และเขาก็ฝากกำลังใจมาให้ทั้งสองคนด้วยว่าเขายังคงเชื่อมั่นในตัวพี่ทั้งคู่อยู่นะ แต่ในขณะเดียวกันพวกเราก็เคารพการตัดสินใจของทั้งคู่ด้วย เข้าใจรึเปล่า”

ผมยิ้มจางๆแล้วก็ชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาเบาๆ “ขอบใจนะ”

“แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้น........” ไคล์พูดต่อ “คือตอนนี้ผมบอกพีทไปแค่คนเดียว แต่ยังไม่ได้บอกคนอื่นๆที่อังกฤษนะ แล้วพีทเองก็บอกว่าจะไม่บอกใครที่นั่นด้วยเหมือนกัน จนกว่าไม่ซันก็ศิลาจะแน่ใจและเป็นฝ่ายพูดเองน่ะ”

ผมพยักหน้าเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นคนที่มีสิทธิ์จะพูดเรื่องนี้มันก็คือไอ้ซันไม่ใช่ผมอยู่ดี “แต่บอกตามตรงพี่ก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอกนะ พี่น่ะรักมัน ไม่อยากจะเลิกกับมัน แต่มันต่างหาก ที่ดูท่าทางเหมือนกับว่าอยากจะเดินออกจากพี่ไปจริงๆ และมันเองก็ดูไม่ได้มีท่าทางอยากจะอธิบายอะไรให้มันชัดเจนหรือแม้แต่จะยื้อความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ในตอนที่พี่เดินจากมาเลยด้วย” เมื่อผมพูดจบ ไคล์ก็ดูมีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย “มีอะไรเหรอครับ”

“คือ........ จริงๆแล้วมันมีอีกอย่างที่ผมต้องบอกพี่นะ คือเมื่อตอนเย็นซันเค้าโทรมาบอกผมให้ผมช่วยเอาของที่เหลือของเขาออกไปให้หน่อย ซึ่งก็โชคดีที่เขาไม่ได้มีสัมภาระเยอะมากนัก ไอ้ส่วนที่เหลืออยู่มันก็เลยมีแค่นิดเดียว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก ที่ผมตั้งใจจะบอกศิลาก็คือ ผมได้คุยกับซันนิดหน่อย ตัวซันเองก็ไม่ค่อยยอมบอกอะไรผมเหมือนกัน จริงๆแล้วไอ้เรื่องที่ศิลาเพิ่งบอกลุงกับผมมาเนี่ย ผมเองก็รู้มาจากซันบ้างแล้ว และลุงเองก็รู้จากผมแล้วเหมือนกัน แต่ว่าเราสองคนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเรื่องนี้มันมีจากต้นเหตุอะไรจริงๆกันแน่ อะไรที่ทำให้ทั้งสองคนจะไม่ยอมพูดคุยให้เข้าใจกันอีกเลย...........”

“มันก็........... ไม่มีอะไรหรอก ซันเองมันยังไม่อยากบอกพี่เลย แล้วพี่ก็เลยไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน มันก็คงเท่านั้นมั๊ง”

“ผมยอมรับนะ........ ว่าซันดูแปลกๆจริงๆ เขาไม่ยอมบอกอะไรผมเลย บอกแต่ว่ามันเป็นทางที่เค้าเลือกแล้ว และมันก็จะต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น แต่ว่าศิลา.........” ไคล์พูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดเมื่อเขาจะร้องไห้ออกมาเมื่อใดก็ได้แล้วในตอนนี้ “แต่ว่าผมไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้เลย ซันดูแปลกไปมาก เขาดูเจ็บปวดแบบสุดๆ และตัวพี่เองก็เหมือนกัน ทำไมคนที่พวกเรารักมากต้องมาลงเอยแบบนี้ด้วย ทั้งๆที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องเจ็บปวด แล้วทำไมถึงยังต้องเป็นแบบนี้ และทั้งๆที่เมื่อครั้งแรกที่เราสี่คนได้เจอกัน มันยังไม่เห็นว่าพวกพี่จะต้องกลายมาเป็นแบบนี้ได้เลยนี่นา ผมขอร้องล่ะนะ ศิลา ผมขอร้องจากใจเลย อย่าเพิ่งยอมแพ้ อย่าเพิ่งถอดใจจากความรักครั้งนี้นะ พวกผมยังเชื่อในตัวพี่เลย เพราะฉะนั้นพี่เองก็ต้องเชื่อในตัวเองด้วยเหมือนกัน ได้มั๊ยครับ”

ผมไม่ตอบ แต่โผเข้าไปดึงตัวของไคล์มากอดและลูบหัวของเขาเบาๆ รู้สึกว่าน้ำตาของตัวเองกำลังจะไหลออกมาช้าๆ ส่วนตัวไคล์เองก็กำลังสั่นน้อยๆเหมือนกัน และมันก็ยิ่งทำให้ผมสับสนมากขึ้นไปอีก ว่าสุดท้ายแล้วทำไมผมกับไอ้ซันถึงต้องมาลงเอยแบบนี้ด้วยนะ และผมกับมัน........ ไม่สิ และผมจะยังคงเชื่อมั่นในความรักที่เราเคยมีให้กันมาได้อีกต่อไปอย่างนั้นหรือ

ผมจะยังเหลือความหวังในการรอคอยและความเชื่อมั่นในความผูกพันครั้งนี้อยู่ต่อไปไหม..........

หลังจากนั้นไม่นาน อีฟก็โทรเข้ามายังโทรศัพท์บ้านของผมเพราะว่าผมยังคงไม่ได้เปิดมือถือนั่นเอง ตอนแรกผมก็ยังไม่ค่อยอยากจะคุยอะไรกับใครสักเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ไม่อยากให้ใครต้องมารู้สึกเป็นห่วงอะไรผมมากด้วยเหมือนกัน ผมจึงตัดสินใจจะคุยกับมันอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทว่า...........

“มึงต้องมานะเว้ย นี่พวกกูก็อยู่กันครบแล้ว” อีฟชวนผมออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกันด้วยน้ำเสียงร่าเริงและดูชักชวนจนเกินปกติไปเล็กน้อย

“แต่กูเพิ่งกลับมาถึงบ้านสักพักเองนะ แถมยังกินข้าวมาแล้วด้วย”

“มาเหอะน่า นะเมฆ” อีฟคะยั้นคะยอ แต่ก็มีความไม่มั่นใจความเกรงใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงด้วยเหมือนกัน “เอ่อออ แก รอแป๊บนึงนะ”

ผมรอสายสักพัก ก็มีคนอีกคนหนึ่งเข้ามาคุยกับผมแทนอีฟ และคนๆนั้นก็คือไอ้วิทนั่นเอง

“ไอ้เมฆ มึงออกมาเลย เร็ว อย่ามายึกยัก”

“อะไรของมึง มึงมารับกูมั๊ยล่ะ กูขี้เกียจไปแล้ว ไม่ค่อยมีอารมณ์ด้วย” ผมบอกปัด

“แต่พวกกูเป็นห่วงมึงนะ ไอ้สัตว์” ไอ้วิทพูดขึ้นตรงๆ ทำให้ผมต้องสะอึกไปนิดนึงเลยเหมือนกันที่ผมเหมือนเพิ่งพูดจาตัดเยื่อใยมันไปเมื่อกี๊นี้ “กูกับอีฟไม่อยากเห็นมึงเครียดนะ มึงอย่าลืมสิว่าอย่างน้อยๆมึงก็มีพวกกูที่เข้าใจมึงนะเว้ย หรือมึงคิดจะปฏิเสธพวกกู........”

ผมเงียบไปครู่หนึ่ง และตอนนั้นเองที่เสียงจากปลายสายก็เปลี่ยนกลับมาเป็นอีฟอีกครั้ง

“ใช่ๆเมฆ ให้เวลาพวกเราได้ชดเชยช่วงเวลาที่แกหายไปตลอดสามปีหน่อยสิวะ นะ”

“งั้นก็ได้........” ผมยอมแพ้ “ขอเวลาเราแป๊บนึงก็แล้วกัน”

หลังจากวางสายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ผมก็เปิดมือถือขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ผมขับรถออกจากกรุงเทพไปยังระยองเมื่อตอนบ่าย และก็เป็นอย่างที่ผมคิด มีคนหลายคนโทรเข้ามาหาผมหลายครั้งมาก ไม่ว่าจะเป็นเบอร์บ้าน เบอร์ของพ่อ เบอร์ไคล์ เบอร์พี่วิน ไอ้วิท อีฟ ทั้งหมดคนละไม่ต่ำกว่าสองสามครั้ง และนอกจากนั้นยังมีเบอร์จากเพื่อนที่ทำงานของผม กับเบอร์ของพี่จ๊อบอีกหนึ่งครั้งด้วย

ผมบอกลากพ่อของผมและบอกท่านไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนจะขับรถออกจากบ้านไปยังร้านเดิมของพวกมันที่เคยไปกันเป็นประจำตั้งแต่เข้ามหาลัยกันแล้ว เพียงแต่ผมกับไอ้ซันดันหนีไปอยู่ที่อังกฤษด้วยกันก่อนเท่านั้นเอง และเมื่อผมไปถึงที่นั่นผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ที่นั่นไม่ได้มีเพียงแค่อีฟกับไอ้วิท แต่ยังมีนัท ป๋อม เดียร์ ปู และไอ้แป๊ะอีกด้วย

“อ้าว มาแล้วๆ” ไอ้วิทลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้ามารับผม

“อยู่กันเยอะนี่หว่า”

“ใช่ ก็ตอนแรกมีนัทกับอีฟแล้วก็กูน่ะ แล้วนัทก็เลยบอกให้ชวนๆกันมา ใครมาได้ก็มา แต่มึงน่ะมาไม่ได้ก็ต้องมา เอ้า นั่งๆ” ไอ้วิทพาผมมานั่งลงตรงกลางระหว่างมันกับอีฟ ส่วนนัทนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมพอดี เราสบตาและยิ้มให้กันเล็กน้อย ผมภาวนาในใจว่าขออย่าให้นัทดูความผิดปกติของผมออกเลยด้วยเถอะ

“แล้วซันล่ะ เมฆ” นัทถามขึ้น

“อยู่คอนโดน่ะ” ผมตอบกลับไปสั้นๆด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูเป็นปกติที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า เพราะอีฟกับไอ้วิทเองก็ดูมีท่าทางไม่ค่อยสบายใจขึ้นมาทันที

“เฮ้ย สั่งอาหารๆ กินๆๆเร็ว เมฆมึงจะกินอะไรรึเปล่า สั่งอะไรมากินเล่นก็ได้นะเว้ย เฮ้ยไอ้ป๋อมมึงชงมาให้ไอ้เมฆแก้วดิ๊” ไอ้วิทพูดขึ้น

“อีฟ กูดูแย่มากเปล่าวะ ถามจริงๆ” ผมหันไปหาอีฟแล้วกระซิบกับมันเบาๆ “ทั้งท่าทาง ดวงตา อะไรหลายๆอย่าง”

“ก็........ มึงก็ดูซึมๆแหละ ตาช้ำๆหน่อย แต่ว่าถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็นหรอก เพราะนี่มันก็มืดๆด้วย อย่าคิดมากเลยเมฆ ตอนนี้อยู่กับพวกกูก็ทำใจให้สบายก่อนเถอะนะ”

ผมพยักหน้า แล้วก็เริ่มต้นดื่มกินไปตามปกติเท่าที่ทำได้ และถึงจะไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ผมก็รู้สึกว่าเหล้ามันไหลผ่านลงคอของผมไปได้ง่ายกว่าในทุกๆครั้งมาก จนอีฟต้องคอยเตือนผมให้ผมเพลาลงอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังดีที่ผมยังมีสติอยู่ และก็ไม่ได้คิดที่จะดื่มจนเมามายอะไรอยู่แล้ว เพราะผมไม่อยากจะทำให้พ่อต้องเป็นห่วง เพราะฉะนั้นอย่างมากที่สุดผมจึงแค่รู้สึกตึงๆนิดหน่อยเท่านั้นเอง

อีฟเล่าให้ผมฟังว่าเริ่มแรกเลยคือนัทมาหาอีฟที่บ้านแล้วก็คุยกัน จากนั้นไอ้วิทก็โทรมาคุยกับอีฟเรื่องของผม แล้วก็เลยมาหาอีฟที่บ้านด้วยอีกเหมือนกัน นัทก็เลยออกไอเดียชวนผมกับคนอื่นๆให้ออกมากินข้าวด้วยกัน ซึ่งทั้งอีฟและไอ้วิทก็ยิ่งเห็นด้วยเข้าไปใหญ่เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้ แต่มันโทรหาผมยังไงก็โทรไม่ติด สุดท้ายก็เลยต้องโทรเข้าบ้านเพื่อลากผมออกมาแบบนี้จนได้

“แล้วไอ้ซันล่ะ พวกมึงไม่คิดจะชวนมันมามั่งรึไง” ผมถาม

“คิดสิวะ” ไอ้วิทตอบ “บอกตรงๆเลยก็ได้ ตอนแรกกูก็จะให้อีฟมันชวนมึงออกมา ส่วนกูจะเป็นฝ่ายไปหาไอ้ซันนั่นแหละ พวกมึงสองคนคือเพื่อนกูนะเว้ย กูไม่อยากเลือกใครทั้งนั้นแหละ แต่กูโทรหาไอ้ซันไม่ติดเลย บ้านมันก็ไม่อยู่แหงอยู่แล้ว ส่วนคอนโดมันอยู่ที่ไหนกูก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ด้วย เพราะงั้นกูก็ไม่รู้จะทำยังไง นี่ก็เป็นห่วงมันอยู่เหมือนกัน แต่ก็นะ กูจะไปทำอะไรได้ โดยเฉพาะกับไอ้ซันด้วยแล้ว ถ้ามันคิดจะไม่เอาใครมันก็ไม่เอาเลยจริงๆ........”

ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ “ไม่หรอก จริงๆมีอยู่คนนึงที่รู้นะ คอนโดไอ้ซันน่ะ..........”

“ใครวะ” ทั้งอีฟกับวิทถามขึ้นพร้อมๆกัน

“เอาเหอะ ถึงไงมันก็คงไม่ได้อยู่คนเดียวหรอก มึงเชื่อกูเถอะ กูไม่ได้ประชดนะ แต่มันคงไม่เป็นไรมากหรอกมั๊ง กูมีพวกมึง มีพ่อ มีไคล์ มันเองก็มียังคงมีไคล์ มีเพื่อนของมัน มีคนที่มันเลือก........” ผมหันไปเห็นสีหน้าของทั้งคู่แล้วจึงรีบพูดต่อ “ให้อยู่กับมัน เพราะฉะนั้น.........” ผมไม่ได้พูดต่อประโยคจนจบ แต่กระดกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นรวดเดียวจนหมดแก้ว “ขอกูไปห้องน้ำหน่อยนะ”

ผมลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้วก็เจอนัทกำลังยืนรอผมอยู่

“เมฆ ขอบใจมากนะ”

“เรื่องอะไร นัท”

“ก็ทุกเรื่องเลย เรื่องพี่จ๊อบก็ด้วย ตอนนี้นัทรู้สึกว่าอะไรๆมันกำลังจะดีขึ้นแล้วล่ะ” นัทยิ้ม แต่เขาไม่รู้เลยว่าสำหรับผมแล้ว ตอนนี้อะไรๆมันกำลังจะแย่ลงไปแบบสุดๆต่างหาก

“แบบนั้นก็ดีแล้ว” ผมตอบก่อนจะตั้งท่าเดินต่อ

“แล้วเมฆจะกลับยังไง ไหวมั๊ยเนี่ย แล้วจะกลับดึกรึเปล่า นี่มันก็........ จะตีหนึ่งแล้วนะ” นัทถาม ทำให้ผมยังคงหยุดอยู่ที่เดิมอีกครั้ง

“คงอีกสักพักแหละครับ เมฆไม่ได้เมามากหรอก แค่ตึงๆนิดหน่อยเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“จะให้ไม่ห่วงได้ไงล่ะ ห่วงมากเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าเกิดว่ามีอะไรที่มันผิดพลาดไปเกิดขึ้นล่ะก็ จะทำยังไง”

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง แค่นี้เมฆสบายมาก” ผมหันไปยิ้มให้กับนัท “ขอบใจมากนะ นัท..........” ผมพูด ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้นัทมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ริมฝีปากของเราสองคนก็ประสานกัน

ผมจูบนัทอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปและรีบถอนปากออก จากนั้นก็ถอยห่างออกมาหนึ่งก้าว ซึ่งสีหน้าของนัทเองก็ดูแปลกใจและตกใจมากไม่แพ้กัน แต่ไม่รู้ว่าทำไม ผมกลับไม่รู้สึกผิดหรือรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เพิ่งทำลงไปเลยแม้แต่น้อย

“นัท........ เรา.........  คือ เมฆ.........” ผมพูดออกไปแบบติดขัด ก่อนที่จะหันไปเห็นเพื่อนๆของเราเกือบทั้งโต๊ะกำลังมองมาที่พวกเราอยู่ และยังไม่นับสายตาของคนในร้านอีกหลายคู่ด้วย

“ช่างมันเถอะเมฆ ไม่เป็นไรหรอก” นัทตอบก่อนจะเดินก้มหน้าเข้าไปในห้องน้ำ

ผมส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเดินผ่านโต๊ะของตัวเองออกไปยังหน้าประตูร้านโดยไม่ได้สบตากับใครเลย

“เดี๋ยวไอ้เมฆ นั่นมึงจะไปไหน” ไอ้วิทรีบลุกเดินตามผมออกมาหน้าร้าน

“กูขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน ขอโทษทีนะ ไอ้วิท ขอโทษจริงๆ” ผมตอบ ก่อนจะเดินไปยังรถของตัวเองโดยไม่ได้สนใจกับเสียงทัดทานและเสียงเรียกของไอ้วิทที่ดังไล่หลังมาอีกเลย



น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
เหมือนต่างคนต่างเริ่มชีวิตใหม่เลยนะ ทางใครทางมัน  :serius2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เมื่อไหร่หนอ ขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาที  :o12: :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
คิดถึงพี่ชายอ่ะ  :sad2:
ไว้จาปายนอนด้วยอีกนะ  :o8:

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
คิดถึงน้องชายจัง...เมื่อไหร่จะกลับจ๊ะ...มีเรื่องเม้าท์มากมายอ่ะ :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
คิดถึงต้นจังเลย  หายไปตั้งหลายวันแล้ว  คิดถึงมากกว่านิยายของต้นอีกนะ :m15: :m15:

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
เหวยๆๆๆ เรื่องราวระทึก+บานปลายสุดๆ  :เฮ้อ:  อาไรกันก็ไม่รู้ แงๆๆๆ

จะรอต้นมาอัพต่อเน้อ

KevinKung

  • บุคคลทั่วไป

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


สุขสันต์วันแก่อ่ะ . . . .

เดี๋ยวค่อยเลี้ยงย้อนหลัง . . . ที่ไหนดีหว่า


อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
    พอดีได้รับสายตรงมาจากเพรชบูรณ์ ครับ น้องต้น (ExecutioneR ) ฝากมาบอกว่า ขอบคุณเพื่อน ๆทุกคนที่ยังคิดถึงกัน และต้องขอโทษด้วยที่ตอนนี้ไม่สามารถลงเรื่องต่อได้ เนื่องจากติดภาระกิจ และอุปสรรคหลายๆ อย่าง ( คาดว่าติดภาระกิจในการกินเด็กๆ    :laugh: ) แต่จะพยายามมาลงต่อโดยเร็วที่สุด เพราะตอนนี้น้องต้นก็เริ่มจำเรื่องไม่ได้แล็วเหมือนกัน ( กำ )  ขอบคุณอีกครั้งครับ ที่ยังติดตามกันเสมอมา   

     ปล.ต้นน้องรัก ทำอะไรก็นึกถึงน้องทึ่มบ้างนะ    อิอิ


     อาจารย์สีฟ้า     ณ  สวนส้ม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด