สำหรับผู้ที่สนใจสั่งซื้อหนังสือ เรื่อง "นกยูงแดง" ทั้งฉบับปกติ 2 เล่มจบ และฉบับพิเศษ (ซึ่งไม่มีลงในอินเทอร์เน็ต) สามารถสั่งซื้อได้ที่ร้าน Mangatsukii และ E-book ทางMeb ค่ะ

https://www.facebook.com/MangaTsukii.Shophttps://www.mebmarket.com/index.php?action=BookSearchResults&type=author&search=Ju~oN&exact_keyword=1---------------------------------------------
1
ดวงตาคมวาวสีดำที่นิ่งสนิทราวกับท้องฟ้าในคืนเดือนมืด ทอดต่ำลงมายังร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง
ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่ถูกพันธนาการด้วยเชือกสำหรับผูกเรือเอาไว้อย่างหนาแน่น และด้านข้างของเขา มีชายร่างใหญ่อีกสองคนยืนขนาบอยู่
“อืม.... หน่วยสืบราชการลับหน้าใหม่ของกรมตำรวจหรือ?” คนที่นั่งอยู่บนเกาอี้หนังหนังคลุมขนสัตว์พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังพูดคุยกับเด็กๆ อยู่ พลางเอียงคอมองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง
“ขอดูหน้าชัดๆ หน่อยซิ”
สิ้นสุดคำพูด ใบหน้าของชายหนุ่มก็ถูกจับให้เงยขึ้นทันที ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก “ยังเด็กอยู่เลยนี่ อายุเท่าไหร่ล่ะคุณตำรวจ?”
“ยี่สิบสาม” คนถูกจับอยู่ตอบเสียงห้วน กระนั่นก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอารมณ์เสียแต่อย่างไร ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยังคงทอดตามองลงต่ำ ใบหน้าขาวเกลี้ยงปรากฏรอยยิ้มชวนมองขึ้นมา เมื่อประกอบกับดวงตาที่นิ่งสนิทเหมือนเม็ดนิลนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกลี้ลับพิสดารอย่างบอกไม่ถูก
“มีชื่อรึเปล่า” ฝ่ายที่นั่งอยู่ถามขึ้นลอยๆ หนึ่งในสองชายฉกรรจ์ที่ยืนขนาบอยู่จึงพูดตอบไป
“ลู่อี้เผิง จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เกิดวันที่xx เดือนxx ปีxx เข้าบรรจุราชการเมื่อ กันยายน xx ที่ผ่านมา โดยคำสั่งแต่งตั้งของเฟิ่งอี่ ผู้บัญชาการกรมตำรวจคนก่อนครับ”
“โอ.. ฮาๆ “ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หัวเราะ “คนของฉันหาข้อมูลมาดีจริงๆ เอาล่ะ คุณตำรวจ อืม.. คุณลู่อี้เผิง ตอนคุณได้เกียรตินิยมมา อาจารย์คุณเขามีสอนหรือเปล่าว่าหงคงฉ่วยคืออะไร?”
ลู่อี้เผิงไม่ตอบคำถาม แต่ถามสวนออกไป “จะเอายังไงกับผมก็ว่ามาเลยดีกว่า”
คนนั่งอยู่บนเก้าอี้ระบายรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะขยับตัวออกมาจากเบาะเอนนิดหน่อย แสงไฟสลัวที่ส่องลงมาจากโคมไฟด้านบน ส่องให้เห็นเสียวหน้าเกลี้ยงได้รูป และช่วงไหล่ไม่แคบไม่กว้าง ในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวโพลน ทับบนเสื้อสูทสีออกเลือดนกอีกชั้นหนึ่ง
“ผู้กองลู่ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคนที่ส่งคุณมา อธิบายคำว่าหงคงฉ่วยให้คุณฟังว่าอะไร แต่คุณยังอยากกลับไปรับราชการต่ออยู่ไหม? ไม่สิ... คุณอยากจะมีสัมพันธ์ที่ดีกับหงคงฉ่วยหรือเปล่าล่ะ?”
“คุณต้องการอะไร” ลู่อี้เผิงถามออกไปอีก คนที่นั่งอยู่ตอบยิ้มๆ “ก็ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากได้คำยืนยันว่าจะแสดงความจงรักภักดีต่อหงคงฉ่วย ถ้าคุณกล้าจะแสดงมันออกมาให้ฉันเห็น ฉันจะช่วยคุณเรื่องคดี แต่ถ้าไม่... ฉันคิดว่าคนที่ส่งคุณมาคงเล่าเรื่องคนที่มาก่อนหน้าให้คุณฟังแล้ว”
พูดจบ กระถางเหล็กที่มีฟืนสุมอยู่จนคุแดงก็ถูกยกออกมา ด้านในมีท่อนเหล็กขนาดพอดีมือเสียบอยู่สามท่อน ได้ยินเสียงคนที่นั่งอยู่พูดต่อ
“ผู้กองลู่ คุณสะกดคำว่าหงคงฉ่วยได้ไหม? ฉันถามคุณจริงๆ นะ คุณเขียนได้ถูกต้องทุกขีดรึเปล่า? คนก่อนหน้าคุณเขียนตกไปขีดหนึ่ง ฉันเลยต้องให้เขาลงไปนอนก้นอ่าวฮ่องกง ฉันเพิ่งรู้ว่าโรงเรียนสมัยนี้เขาไม่ค่อยเน้นการเขียนกันแล้ว”
ลู่อี้เฟิงเบิ่งตามองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า เสียแต่แสงไฟสลัวภายในห้องไม่ได้สะท้อนให้เห็นชัดนักว่าชายหนุ่มมองด้วยสายตาแบบไหน แต่คงไม่ใช่สายตาจงรักภักดีแน่นอน
“เอาล่ะ ฉันตัดปัญหาดีกว่า ฉันจะให้คุณดูแบบแล้วเขียนตามก็แล้วกัน”
แท่นแขวนม้วนภาพแท่นหนึ่งถูกนำเข้ามา บนนั้นมีอักษรภาพเขียนอยู่สามคำ
หงคงฉ่วย (นกยูงแดง)
“ปล่อยเขาได้แล้ว” คนที่นั่งอยู่ออกคำสั่ง คนที่ยืนขนาบข้างอยู่จึงแก้เชือกผูกเรือที่มัดเขาออก ทันทีที่เชือกหลุด ลู่อี้เผิงกระโจนเข้าใส่ผู้ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทันที
ไม่มีใครในที่นั้นขยับ แม้แต่ชายร่างใหญ่สองคนที่ยืนขนาบเขาอยู่ ลู่อี้เผิงพุ่งตรงเข้าใส่ผู้ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ตะปบมือเข้าใส่ลำคอที่มีเสื้อเชิ้ตสีขาวหุ้มเอาไว้ ใบหน้าเกลี้ยงของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ปรากฏรอยยิ้มลี้ลับ
ทันใดนั้นลู่อี้เผิงก็รู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าตะแคงคว่ำลง ก่อนที่หน้าของเขาจะกระแทกเข้ากับพื้นซีเมนต์ด้านล่างอย่างแรง ความเย็นยะเยียบจากผิวซีเมนต์ซึมเข้าสู่ผิวหนังเขาอย่างรวดเร็ว
“อา... ผู้กองลู่ คุณเป็นพวกสอนไม่จำ หรือไม่เคยเรียนรู้กันนะ เอาเถอะ ฉันเห็นว่าคุณยังเด็กอยู่ จะให้อภัยคุณสักครั้งแล้วกัน”
เสียงเดิมพูดอีก จากนั้นลู่อี้เผิงก็ได้กลิ่นยาขัดรองเท้า พร้อมกับรองเท้าหนังปลายมนที่ขัดจนมันแปลบซึ่งยื่นเข้ามาเชยคางของเขาขึ้นไป
“ถ้าคุณอยากจะสืบคดีต่อ คุณก็ควรเล่นตามกติกาของฉัน แต่ถ้าคุณไม่ต้องการทำหน้าที่แล้ว ก็ตามใจคุณเถอะ... ฉันเองไม่มีส่วนไหนต้องเสียอยู่แล้ว”
ลู่อี้เผิงสะบัดหน้าหนี ก่อนจะถูกลากตัวกลับออกไปนั่งที่เดิม คนบนเก้าอี้กล่าวสืบต่อ
“ต้นขาซ้ายนะ ผู้กองลู่ โคนขาอ่อนด้านในของคุณน่ะ เขียนลงไปสวยๆ นะ”
ลู่อี้เผิงฉีกขากางเองของตัวเองออก เผยให้เห็นผิวเนื้ออ่อนสีขาวสะอาดที่ซ่อนอยู่ จากนั้นก็รับผ้าสีขาวผืนหนึ่งมากัดเอาไว้ ก่อนจะหยิบเหล็กร้อนอังไฟพวกนั้นขึ้นมา
กลิ่นเนื้อไหม้เหม็นคลุ้งไปทั่วห้อง ขณะที่ชายหนุ่มกดเหล็กร้อนลงไปบนต้นขาตัวเองด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาของผู้ที่นั่งอยู่เป็นประกายวาววับในแสงสลัว ตัวอักษรสามตัวค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนผิวเนื้ออ่อนสีขาวสะอาดนั้น
หงคงฉ่วย (นกยูงแดง)
----------------------------------------------------------
“สารวัตรลู่ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว ขอเวลาสักห้านาทีได้รึเปล่า?”
ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินเขามา เขากำลังตรวจสอบหลักฐานที่ได้มาจากคดีฆ่าล้างบ่อนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอยู่ ผู้ที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเฉินฉิน ผู้บัญชาการตำรวจคนปัจจุบันนั่นเอง
“ได้ครับ” ลู่อี้เผิงตอบตกลง และโบกมือไล่ลูกน้องที่นั่งทำงานอยู่ให้หลบออกไปก่อน
“คุณรู้รายละเอียดเกี่ยวกับคดีฆ่าเมี้ยวเซี่ยวตง แค่ไหนน่ะ?” เฉินฉินเริ่มต้นตั้งคำถาม โดยที่ยังยืนอยู่ ลู่อี้เผิงสั่นศีรษะ “คดีนั่นผู้กองฟานตงรับผิดชอบนี่ครับ”
“อืม... ใช่ เขาเพิ่งมาบอกผมนี่เองว่าคดีนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวของกับหงคงฉ่วย”
นัยน์ตาสีดำของลู่อี้เผิงเบิ่งกว้างขึ้นมาทันที
“สารวัตรลู่ ผมรู้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนสำหรับคุณ แต่คดีฆ่าเมี้ยวเซี่ยวตงเป็นดคีใหญ่ คุณเองก็เป็นคนเดียวที่รอดมาจากหงคงฉ่วยได้ แล้วปิดคดีลึกลับเมื่อสี่ปีก่อนได้สำเร็จ ผมอยากให้คุณช่วยอีกสักครั้ง... ได้ยินมาว่าหงคงฉ่วยจะต้อนรับคนที่รอดออกไปได้อย่างดีเหมือนพี่น้อง”
“อันนั้นผมไม่รู้หรอกนะ” ลู่อี้เผิงตอบปัดๆ “คุณเพิ่งให้ผมไปหาเขาเดือนที่แล้ว เดือนนี้ก็จะให้ไปหาอีก?”
“ช่วยหน่อยเถอะสารวัตร ถ้าคดีมันปิดได้โดยไม่ต้องพึ่งหงคงฉ่วย ผมคงไม่ต้องมาขอร้องคุณ ผมเองก็ไม่ได้อยากจะเก็บเขาไว้เท่าไหร่หรอกนะ แต่คุณก็รู้ไม่ใช่หรือ หงคงฉ่วยคืออะไร ใครจะไปทำอะไรเขาได้ล่ะ”
“เขาก็เป็นคนเหมือนคุณนี่แหละ” ลู่อี้เผิงตอบ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ผมจะไปหาเขาให้แล้วกัน สักวันพฤหัสฯ เขาไม่ได้ว่างพบผมทุกวันหรอก”
“รบกวนด้วยนะ” เฉินฉินพูด แล้วหมุนตัวหลับออกไป ลู่อี้เผิงระบายลมหายใจอย่างหนักหน่วงออกมาอีกครา
---------------------------------------------
“อ้าว สารวัตรลู่ เดือนนี้ก็มีคดีปิดไม่ลงอีกแล้วหรือ?” น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยทักทันทีที่ลู่อี้เผิงเดินเข้าไปในห้อง ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังบุนวมสีแดงเข้ม ในมือมีนกกระตั้วสีขาวตัวใหญ่ เขากำลังหยิบเมล็ดอะไรบางอย่างป้อนมันด้วยท่าทางสนุกสนาน
หงคงฉ่วยถูกตีความจากสังคมในหลายรูปแบบ บ้างบอกว่าเป็นองค์กรลึกลับที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายทุกอย่าง บ้างก็บอกว่าเป็นแก๊งผีดิบที่อาละวาดไล่ฆ่าผู้คนอย่างป่าเถื่อน ถึงกับร่ำลือกันว่า หงคงฉ่วยมีผู้นำที่ไม่แก่ไม่ตาย คงจะเป็นผีดิบแน่ๆ
ถ้าหากถามลู่อี้เผิงว่าหงคงฉ่วยคืออะไร เขาคงจะชี้ไปที่ผู้ชายตรงหน้า แล้วตอบว่า เจ้าบ้าประสาทกลับนี่แหละ แต่หงคงฉ่วยไม่ใช่คนประสาทกลับ แล้วลู่อี้เผิงก็ยังจำรอยแผลเป็นที่ได้มาด้วยความเจ็บปวดบนต้นขาของตัวเองได้
“หงคงฉ่วยที่ขายังสวยดีอยู่หรือเปล่า สารวัตร? ขอฉันดูหน่อยสิ”
“คุณเพิ่งดูไปเดือนที่แล้ว” ลู่อี้เผิงพูด ได้ยินเสียงฝ่ายนั้นจุ๊ปาก “ไม่เอาน่า อย่างอแงเป็นเด็กไปหน่อยเลย คุณอายุจะสามสิบแล้วนะ ขอฉันดูหน่อยเถอะ ฉันไม่มีโอกาสได้ดูทุกวันเหมือนคุณนะ”
ลู่อี้เผิงขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก่อนจะถอดกางเกงขายาวของตัวเองออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นสีแดงสดที่โคนขาอ่อนด้านใน
“อืม... หงคงฉ่วยบนขาคุณสวยจริงๆ นั่นแหละ คราวนี้ไม่ใส่ชั้นในแบบบิกินี่มาแล้วหรือ น่าเสียดาย เอาเถอะ ใส่กางเกงได้แล้ว เดี๋ยวแปะชิกชิกจะตกใจกับขาขาวๆ นั่นจนบินหนีฉันไปอีก”
แปะชิกชิกคือชื่อเรียกนกกระตั้วสีขาวที่ตอนนี้กำลังจ้องดวงตาสีดำของมันมาที่ลู่อี้เผิงเขม็ง สารวัตรหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดดึงกางเกงขึ้น หลังจากใส่เข็มขัดเสร็จแล้ว เขาก็เงยหน้ามองผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง
ผู้ชายคนนั้นยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือมีนกกระตั้วเกาะอยู่ แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลอดม่านเข้ามาแสดงให้เห็นเครื่องหน้าของเขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ คิ้วเรียวยาว ดวงตาคมใส ใบหน้าเกลี้ยง สันจมูกโด่ง และริมฝีปากบางเฉียบ ส่วนที่ประกอบกันเป็นเครื่องหน้าของเขา คือความคมคายหล่อเหลาอย่างจีนโดยแท้เลยทีเดียว
“วันนี้หวีผมไม่ได้ดูกระจกหรือ?” ลู่อี้เผิงเอ่ยทักขึ้น หลังจากมองหน้าผู้ชายคนนั้นอยู่พักหนึ่ง คนถูกทักเลิกคิ้ว ก่อนจะยกมือขึ้นจับผมตัวเอง จากนั้น คนรับใช้ที่ยืนขนาบแถวอยู่สองข้างก็เอาหวีกับกระจกมาวางให้
“เสี่ยวอี้เผิงนี่ช่างสังเกตจริงๆ ” ชายคนเดิมพูด หลังจากหวีผมเสร็จแล้ว “สงสัยเมื่อคืนฉันจะดื่มหนักไปหน่อย วันนี้มีเรื่องอะไรล่ะ?”
“ผมมาเรื่องคดีฆ่าเมี้ยวเซี่ยวตง คิดว่าคุณคงจะรู้รายละเอียดแล้ว” ลู่อี้เผิงพูด คนที่อยู่บนเก้าอี้รีบโบกมือทันที
“ไม่เอาน่า เสี่ยวอี้เผิง นี่เธอคิดว่าหงคงฉ่วยเป็นอะไร? ผู้รอบรู้สิบทิศหรือ? เล่ารายละเอียดมาเถอะ พักนี้ฉันยุ่งกับเรื่องบ่อน้ำมันอยู่ ไม่มีเวลามาอ่านข่าวในประเทศหรอก”
ลู่อี้เผิงมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่เชื่อถือคำพูดอย่างที่สุด แต่ก็ยอมเล่ารายละเอียดของคดีบางส่วนให้ฟัง
“อืม... มีเรื่องแบบนี้ระหว่างที่ฉันกำลังยุ่งอยู่ด้วยรึนี่..” ผู้ที่เรียกตัวเองว่าหงคงฉ่วยยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด สักพักก็พูดขึ้นมา
“เธอลองไปถามพวกฮุ่นอั้งดูแล้วยัง?”
พอเห็นคนถูกถามเลิกคิ้ว คนพูดเลยพูดต่อ “ฉันว่าพวกฮุ่นอั้งอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
“คุณจะบ้าเรอะ พวกฮุ้นอั้งไม่ได้อยู่ในเครือข่ายผู้ต้องสงสัยเลยด้วยซ้ำ พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยนะ”
“เพราะงี้พวกเธอถึงปิดคดีไม่ได้ยังไงล่ะ” หงคงฉ่วยตอบยิ้มๆ “ถ้ารู้ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกันยังไง รับรองเธอปิดคดีได้แน่”
ลู่อี้เผิงขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด เมื่อดูจากหลักฐานที่มีทั้งหมดแล้ว ไม่มีอะไรพอจะโยงไปหาพวกฮุ่นอั้งได้เลย ถึงจะเป็นหงคงฉ่วยบอกก็เถอะ แค่คำพูดเจ้าคนบ้านี่ ใครมันจะเชื่อถือกัน
“โอ... ท่าทางเธอจะมืดแปดด้านจริงๆ ไม่ได้หลักฐานอะไรที่เกี่ยวกับฮุ่นอั้งเลยสินะ” หงคงฉ่วยลูบคางอย่างใช้ความคิดอีกรอบ ก่อนจะเหลือบตามองนายตำรวจตรงหน้า
“คราวที่แล้วเธอทำเสี่ยวจือของฉันเจ็บ ฉันสงสัยจริงๆ ว่าโรงเรียนนายร้อยตำรวจให้เกียรตินิยมเธอมาได้ยังไง”
“เอาล่ะ ผมยอมรับกับคุณเป็นหนที่ร้อยแล้วว่าผมพลาด คุณมีอย่างอื่นจะบอกผมอีกมั้ย เกี่ยวกับดคีนี้น่ะ ถ้าไม่มีผมจะได้กลับ” ลู่อี้เผิงพูดออกมาอย่างรำคาญ หงคงฉ่วยยกนิ้วขึ้นเกาศีรษะ ก่อนจะผุดลุกขึ้น หลังจากนั้นคนรับใช้ที่ยืนรออยู่ก็มารับแปะชิกชิกไป
“ฉันพอมีเวลาอยู่สักหน่อย ฉันจะพาเธอไปหาหลักฐานเกี่ยวกับฮุ่นอั้งก็แล้วกัน” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไปด้านหลัง ลู่อี้เผิงโพล่งขึ้นทันที “เดี๋ยว ไม่ต้องก็ได้”
หลังจากนั้นเขาก็ถูกบรรดาคนรับใช้ของหงคงฉ่วยดันตัวให้เดินตามไป
-------------------------------------------------------------
ที่อยู่ของหงคงช่วยเป็นคฤหาสน์ริมทะเล ที่หากประเมินราคาจากภาพที่เห็นก็คงจะราวๆ สักร้อยล้านเหรียญ แต่ลู่อี้เผิงคิดว่ามูลค่ามันคงจะเยอะกว่านั้น หากรวมมูลค่าห้องลับ และอุโมงค์ทางลัดต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคฤหาสน์ ตอนนี้เขากำลังเดินตามหงคงฉ่วยเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะไปโผล่ในทิศทางไหน
“ฉันคงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย ไปทั้งชุดแบบนี้คงไม่เหมาะ” หงคงฉ่วยพูดขึ้น พลางยกมือทาบอกเสื้อสูทสีน้ำตาลไหม้ตัวยาวของตน “เธอเองก็มาเปลี่ยนด้วยกันสิ ชุดแบบนั้นดูออกง่ายจะตายไป”
ลู่อี้เผิงก้มลงมองชุดเสื้อเชิ้ตเข้ารูปของตนเอง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ถูกดันตัวเข้าห้องไป
หงคงฉ่วยเป็นผู้ชายรูปร่างไม่ใหญ่ไม่เล็ก สูงราวๆ ร้อยเจ็ดสิบเจ็ดเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร ผมสีดำสนิท หวีปัดออกข้างอยู่เสมอ ดูจากหน้าตาแล้ว เขาสมควรจะอายุสักยี่สิบปลายๆ ไปจนถึงสามสิบต้นๆ แต่เท่าที่ลู่อี้เผิงได้ยินมา ผู้ชายคนนี้มีชื่ออยู่ในวงการมานานกว่าสามสิบปีแล้ว อีกอย่าง เมื่อสี่ปีก่อนที่เขาเจอหงคงฉ่วยครั้งแรก เจ้าหมอหนี่ก็หน้าตาแบบนี้ สี่ปีผ่านไป ใบหน้านั้นแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ไม่สิ เรียกว่าไม่เปลี่ยนแปลงเลยจะดีกว่า แต่ลู่อี้เผิงมั่นใจว่าหงคงฉ่วยเป็นมนุษย์ธรรมดาคงหนึ่ง ซึ่งคงจะมีวิธีดูแลสุขภาพที่ได้ผลดีกว่าคนอื่นเท่านั้น
ปฏิเสธไปก็ป่วยการ ลู่อี้เผิงถูกคนรับใช้ของหงคงฉ่วยช่วยกันถอดเสื้อผ้าชุดเดิมออก แล้วเอาชุดใหม่มาให้เปลี่ยนแทน เขาเห็นตัวเองอีกทีก็สวมเสื้อยืดสีดำสกรีนลายทีมฟุตบอล กับกับกางเกงยีนส์สีสนิมแล้ว ทั้งเสื้อทั้งกางเกงพอดีตัวเขาเป๊ะ แม้กระทังรองเท้าผ้าใบที่คนเอามาเปลี่ยนให้ก็ด้วย พอเดินออกมาก็พบหงคงฉ่วยยืนรออยู่แล้ว
ถ้าไม่นับรอยยิ้มลี้ลับบนใบหน้านั่น มองรวมๆ แล้วคนตรงหน้าเขาก็ดูเหมือนเด็กซิ่งรถคนหนึ่งนี่เอง
“ดูดีใช่เล่น” หงคงฉ่วยพูด แล้วถือวิสาสะเอาหมวกแก๊ปครอบศีรษะของลู่อี้เผิงโดยไม่ขออนุญาต ชายหนุ่มดึงมันออกด้วยสีหน้าไม่พอใจ และเห็นหงคงฉ่วยถือหมวกกันน็อกอยู่
“เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะออกไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่นกัน”
---------------------------------------------------------