^^ สวัสดีค่ะ
ใครเคยอ่านSTAIRมาแล้ว เรื่องนี้เปลี่ยนบรรยากาศหน่อยนะคะ (ไม่หน่อยล่ะ สุดๆ ไปเลยดีกว่า)
Yes!Master เป็นเรื่องเกี่ยวกับนายตำรวจจากอังกฤษ คุณชายในตระกูลอิทธิพลใหญ่ของฮ่องกง และลูกน้องคนสนิทที่เคยทำงานรับใช้กันมาอย่างยาวนานค่ะ เนื้อหาค่อนข้างซับซ้อนพอสมควรนะคะ คู่หลักของเรื่องนี้เป็นคู่รองในเรื่อง My neighbor is a spyนะคะ
เรื่องนี้จบหักมุมนิดหน่อย แต่ถ้าใครอ่านMy neighbor มาก่อนอาจจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ค่ะ
ปล. เรื่องนี้เปิดรีปริ๊นรวมเล่มอยู่นะคะ
ที่จะลงในบอร์ดเป็นเนื้อหาหลัก6ตอนค่ะ ส่วนในรวมเล่มจะมีตอนพิเศษแถมให้อีก4ตอนค่ะ
รายละเอียดตามได้ที่นี่ค่ะ
http://jumemon.wordpress.com------------------------------------------
ตอนที่1 มิลเลอร์
ภายในห้องทำงานส่วนตัวของผู้บริหารบริษัทจัดการด้านการส่งออกและท่าเรือ ไห่โอวจำกัด ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นที่ยี่สิบหกของตึกที่มีชื่อว่าต้าเหยิน ตึกอันเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นสำนักงานใหญ่ของกลุ่มธุรกิจตระกูลเว่ย กลุ่มธุรกิจใหญ่กลุ่มหนึ่งบนเกาะฮ่องกง
ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษ ผู้สวมแว่นตากรอบทองและมีทรงผมที่หวีจนเรียบแปล้กำลังวุ่นวายอยู่กับการอ่านและเซ็นต์อนุมัติเอกสารกองโตที่อยู่บนโต๊ะทำงานไม้มะค่าฝังมุกซึ่งเป็นหนึ่งในของสะสมหายากของเขา นัยน์ตาสีดำสนิทเหลือบขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
“เรียนคุณชาย สารวัตรหลี่จากกรมตำรวจฮ่องกงมาขอพบครับ”
คิ้วได้รูปของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน วางเอกสารในมือทันที
“สารวัตรหลี่รึ? เขาไม่ได้นัดฉันล่วงหน้า เกิดนึกอยากหาเรื่องกันหรือไง?”
“เรื่องนั้น...”
ชายฉกรรจ์ผู้อยู่ในชุดสูทสีดำอ้ำๆ อึ้งๆ ผู้เป็นเจ้านายโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“เอาเถอะ ไม่ใช่หน้าที่นายจะต้องตอบหรอก ไปบอกเขาว่า อีกห้านาทีฉันจะลงไปหา ถ้ามีหมายค้นหรืออะไรมาก็ให้รอก่อนแล้วกัน”
“ครับ”
ชายฉกรรจ์รับคำ และเดินออกจากห้องไป ชายหนุ่มผู้สวมแว่นตากรอบทองผู้ซึ่งเป็นเจ้านายในที่แห่งนี้ถอนหายใจเฮือก
“โจ ไปเอาเสื้อสูทกับปืนให้ฉันหน่อย ไม่รู้ว่าตาแก่หลี่ซื่อจะเล่นอะไรอีก ไมเคิล นายสั่งคนบนชั้นเก้ากับชั้นสิบสามให้เตรียมพร้อมแล้วกัน”
“ครับ”
ผู้รับใช้คนสนิทสองคนที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ในห้องพยักหน้า และแยกย้ายกันออกไป ชายหนุ่มถอดแว่นตา เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักและล้วงผ้าเช็ดแว่นผืนสีขาวออกมา บรรจงเช็ดเลนส์อย่างช้าๆ พร้อมกับดวงตาสีดำที่แสดงอาการครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด
--------------------------------
“ผมต้องขออภัยที่ไม่ได้แจ้งการมาพบครั้งนี้ให้ทราบล่วงหน้า”
หลี่ซื่อกล่าวขึ้น เมื่อเห็นผู้ที่เขารอพบในชุดสูทสีน้ำตาลเดินลงมาในห้องรับรองพิเศษ เขาเป็นชายวัยกลางคนในชุดนอกเครื่องแบบเสื้อซาฟารี รูปร่างท้วม ไว้หนวดทรงเขี้ยว มีรอยยิ้มที่คล้ายกับตัวตลกในหนังสือการ์ตูนเก่าๆ และดูเหมือนเขาจะชอบยิ้มแบบนั้นเสียด้วย
“ไม่เป็นไร มีธุระอะไรกับผมหรือครับ?”
ผู้ถูกรบกวนกลางเวลาทำงานเอ่ย นัยน์ตาสีดำเรียวมองผ่านแว่นตากรอบทองมายังคู่สนทนาอย่างใคร่รู้ ขณะที่หย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาบุหนังสีเทาฝั่งตรงข้าม โดยปกติตำรวจไม่ค่อยจะแวะเวียนมาที่นี่บ่อยนัก เป็นที่รู้กันว่าตระกูลเว่ยมีสายสัมพันธ์อันดีกับตำรวจ และหลี่ซื่อก็เป็นหนึ่งในนั้น
“อ่า... เรื่องมันค่อนข้างจะสำคัญและเป็นความลับน่ะครับ คุณชายเว่ย ผมขอแนะนำคนคนหนึ่งให้คุณรู้จักก่อน นี่คือเจ้าหน้าที่มิลเลอร์ คอยล์ สังกัดอยู่หน่วยสอบสวนพิเศษของกรมตำรวจอังกฤษครับ”
ผู้ถูกแนะนำตัวเป็นชายวัยราวๆ สามสิบเศษๆ ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีเทาเขียว รูปร่างค่อนข้างสูงโปร่ง เขายิ้มแยกเขี้ยว และตะเบ๊ะมืออย่างหยอกล้อ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณจินหยิน”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ มิสเตอร์คอยล์ ผมดีใจที่คุณพูดภาษาจีนได้”
เว่ยจินหยินกล่าว และยิ้มอย่างเป็นมิตร คอยล์ยิ้มกว้าง
“ผมเรียนรู้เพื่อที่จะมาพูดกับคุณโดยเฉพาะเลยครับ รอยยิ้มของคุณน่ารักมาก”
เว่ยจินหยินค้างรอยยิ้มของเขาเอาไว้ แต่ในใจเกิดความรู้สึกบางอย่าง
“สารวัตรหลี่ คนของสก๊อตแลนยาร์ตมีธุระอะไรกับผมหรือครับ”
สารวัตรหลี่ถูมือไปมา แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม ผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยินคงไม่พอใจกับคำพูดของคอยล์เมื่อครู่นัก เขาผิดเองที่ไม่ได้เตือนในเรื่องนี้
คุณชายรองคนนี้ไม่ชอบให้คนอื่นพูดจาหรือมีทีท่าล้อเล่น
“เรื่องนี้ให้ผมอธิบายจะดีกว่า”
คอยล์พูด สีหน้าดูเป็นจริงเป็นจังขึ้น เขาล้วงเอาบัตรประจำตำแหน่งยื่นให้กับเว่ยจินหยินผ่านโต๊ะรับแขกกระจกสีดำที่คั่นระหว่างทั้งคู่ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ
“ผมได้รับคำสั่งมาให้สืบเรื่องเกี่ยวกับการค้ายาเสพติดผ่านทางเรือขนส่งสินค้าของกลุ่มริเวิล”
คำว่าริเวิลทำให้นัยน์ตาสีดำราวกับสุนัขจิ้งจอกของของเว่ยจินหยินไหววูบ ริเวิล กลุ่มธุรกิจใหญ่ของฮ่องกงที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของตระกูลเว่ย หรือจะพูดให้ตรงกว่านั้น ริเวิลเป็นศัตรูที่เว่ยชิง พ่อของเขารังเกียจเสียจนอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ และด้วยเหตุผลนี้ เว่ยชิงจึงลากเอาลูกๆ ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าสู่วังวนนี้ด้วย
“ครับ.. แล้วมีอะไรให้ผมช่วยเหลือหรือครับ คุณคงรู้ว่าเรากับริเวิลไม่ได้มีสายสัมพันธ์ที่ดีกันสักเท่าไหร่ ทำไมคุณไม่ไปแฝงตัวในริเวิลแทนล่ะ”
“คุณคงได้ยินข่าวศพที่ถูกงมขึ้นจากอ่าวฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นั่นแหละคนของเรา”
คอยล์เอ่ย เว่ยจินหยินพยักหน้า เขาได้ยินข่าวที่ว่า และกำลังคิดว่าตำรวจอังกฤษตรงหน้าเขาต้องการอะไรกันแน่
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกมาหาคุณ คุณจินหยิน”
คอยล์พูดและยิ้มยิงฟันอีกครั้ง เว่ยจินหยินรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าเขาเกลียดผู้ชายคนนี้ เผลอๆ จะเกลียดยิ่งกว่าน้องชายต่างมารดาที่ชื่อว่าเว่ยเฟิงปิงเสียอีก
“ผมอยากจะอาศัยเครือข่ายของหน่วยงานของคุณ ผมทราบว่าคุณมีโกดังตามท่าเรือต่างๆ เยอะมาก และมีคนดูแลอยู่เยอะด้วย”
เว่ยจินหยินพยักหน้า และยิ้มอีกครั้ง
“เข้าใจล่ะครับ ไว้ผมจะส่งข้อมูลที่พอมีให้คุณแล้วกัน”
คอยล์รีบโบกมือ
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ คุณไม่ต้องส่ง คุณแค่ให้ผมเข้าไปใช้ ครับ ใช่ครับ ผมอยากให้คุณรับผมเข้าทำงาน”
รอยยิ้มของเว่ยจินหยินชะงักค้างไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา
“สารวัตรหลี่ คุณกับเพื่อนของคุณคิดจะเล่นตลกอะไรกับผมมิทราบ พวกคุณคิดจะทำให้เกิดสงครามระหว่างกลุ่มหรือไง?”
หลี่ซื่อพยายามจะปั้นรอยยิ้มให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ และรีบพูด
“เราไม่ทำแบบนั้นแน่นอนครับ และคงไม่รบกวนคุณเปล่าๆ ด้วย คุณชายเว่ย ผมคิดว่าทางอังกฤษคงมีผลตอบแทน..”
“อ้อ...”
เว่ยจินหยินลากเสียงยาวและหันไปหาคอยล์อีกครั้ง หนุ่มชาวอังกฤษยิ้มกว้าง
“ครับ ถ้าคุณให้ความร่วมมือ รัฐบาลเราจะให้คุณเช่าโกดังแถบเกาลูนในราคาถูก และอนุญาตให้คุณเข้าใช้ท่าเรือของเราด้วย”
“อา... พวกคุณมีข้อเสนอที่น่าสนใจ”
เว่ยจินหยินกล่าวในที่สุด เขายังคงยิ้มอยู่
“งั้นลองมาว่ารายละเอียดกันนะครับ ผมต้องทำอะไรอีกบ้าง แค่รับเข้าทำงานก็จบหรือ? แล้วมีหลักฐานอะไรที่ว่าผมจะได้รับผลตอบแทนตามที่ว่า”
“มันจะตามมาเองหลังจากคุณให้ความร่วมมือกับเราจนงานเสร็จเรียบร้อยครับ ผมคิดว่าคุณคงกระตือรือร้นจะร่วมงานกับผม ก่อนที่โอกาสนี้จะหลุดไปอยู่ในมือของน้องชายคุณ”
“คุณหมายถึงเฟิงปิงรึ?”
คอยล์พยักหน้า เว่ยจินหยินหัวเราะออกมา
“คุณไม่รู้หรือว่าเฟิงปิงไม่มีธุรกิจด้านท่าเรือ? จริงๆ แล้วคุณไม่ควรจะเอาชื่อเขามาพูดให้ผมได้ยินคุณคอยล์ ไม่รู้ว่าคุณเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับผมมาขนาดไหน แต่แผนขู่แบบนี้เกรงว่าอาจจะทำให้ผมหงุดหงิด”
“แล้วแบบไหนคุณชายถึงจะพอใจล่ะครับ?”
คอยล์เปลี่ยนสรรพนามที่เรียกเว่ยจินหยินเสียใหม่ คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะโบกมืออย่างรำคาญ
“ผมตกลงรับคุณเข้าทำงาน เท่านี้เป็นอันใช้ได้ใช่ไหม?”
คอยล์ยิ้มกว้าง รอยยิ้มของเขาก็ดูสดใสดี นั่นยิ่งทำให้เว่ยจินหยินหงุดหงิด เขาหันไปจ้องหลี่ซื่อ
“พอใจหรือยัง?”
คนถูกจ้องรีบพยักหน้า
“ขอบคุณคุณชายเว่ยมากครับ ถ้ามีเรื่องไม่สะดวกอะไร ผมยินดีจะจัดการให้เท่าที่ทำได้
“ดี ถ้าพวกคุณไม่มีธุระแล้ว ผมต้องขอตัวไปทำงานต่อ”
เขากล่าว และหันไปสั่งโจกับไมเคิลซึ่งเพิ่งเดินมาสมทบ
“เอาตัวเจ้าหมอนี่ไปทำประวัติ ตอนนี้เขาเป็นลูกน้องฉันแล้ว”
-----------------------------------------
“ทำไมนายถึงมาอยู่ในห้องทำงานของฉัน”
เว่ยจินหยินกล่าว หลังจากเหลือบตาขึ้นมองลูกน้องคนใหม่อยู่หลายรอบ เมื่อสิบห้านาทีก่อนเขาเปิดประตูเข้ามาและยืนอยู่อย่างนั้น
“ผมมารอรับคำสั่งครับคุณชาย”
คอยล์พูด และยิ้มกว้าง คิ้วได้รูปของเว่ยจินหยินจะขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเอกสารต่อ หนุ่มอังกฤษถอนหายใจเล็กๆ เขาทราบเรื่องราวเกี่ยวกับเว่ยจินหยินเมื่อไม่นานานมานี้เอง เว่ยจินหยินเป็นบุตรชายคนรองของเว่ยชิง ผู้นำสูงสุดของตระกูลเว่ย มีพี่น้องเก้าคน แต่ตายไปแล้วสอง ไม่ถูกกับน้องชายคนที่เจ็ดที่ชื่อว่าเว่ยเฟิงปิง เป็นผู้ชายที่คาดเดาอารมณ์ยาก เจ้าเล่ห์ และค่อนข้างจะเลือดเย็น แต่ที่เขาเห็นจากรูปคือชายชาวจีนวัยสามสิบเศษที่หวีผมเรียบแปล้จนน่าขัน แถมยังใส่แว่นตากรอบทองที่แสนจะเชย ถึงอย่างนั้นกลับมีรูปหน้าที่ชวนมองมากทีเดียว สำหรับการพบตัวจริง มันให้ความรู้สึกประทับใจกว่านั้นมาก
ผู้ชายคนนี้ยิ้มและหัวเราะได้มีเสน่ห์มากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก
เป็นครั้งแรกที่เว่ยจินหยินรู้สึกรำคาญลูกน้องของตัวเอง ไม่สิ นี่ไม่ใช่ลูกน้องของเขา แต่เป็นคนที่มาอาศัยตำแหน่งลูกน้องบังหน้าต่างหาก แล้วทำไมถึงไม่ยอมไปทำงานของตัวเองสักทีล่ะ มายืนเกะกะลูกกะตาอยู่ได้ เขาเกิดนึกถึงน้องชายที่ชื่อเว่ยเฟิงปิงขึ้นมา ที่เว่ยเฟิงปิงรำคาญจางซื่อเย่เพราะแบบนี้หรือเปล่านะ แต่ช่างมันเถอะ ในเมื่อเจ้าหมอนี่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ จะทำหรือไม่ทำก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาสักนิด เขาก็แค่ทำตามที่ตกลง รอแค่ผลประโยชน์ที่จะวิ่งเข้ามาเท่านั้น
“ถ้าคุณว่างแล้ว ไปกับผมสักครู่ได้หรือเปล่า?”
คอยล์เอ่ยขึ้น หลังจากที่เว่ยจินหยินเซ็นต์เอกสารแผ่นสุดท้ายของวันเสร็จ หนุ่มสวมแว่นหันมามองเขาอย่างแปลกใจ
“มีอะไร?”
“ผมอยากชวนคุณไปทานอาหารเย็น”
คอยล์ตอบ นัยน์ตาสีดำราวสุนัขจิ้งจอกไหววูบ เจ้าหมอนี่จะมาไม้ไหนอีก
“ถ้านายจะทานข้าวที่นี่ล่ะก็ นายลงไปบอกเสี่ยวผิงที่ห้องครัว เดี๋ยวฉันจะให้ไมเคิลพาไป”
ตำรวจหนุ่มยิ้มกว้าง
“ผมไม่ได้คิดจะทานอาหารที่นี่ ผมอยากไปทานอาหารกับคุณ คิดว่าเรามีเรื่องหลายอย่างต้องคุยกันเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย”
เว่ยจินหยินหรี่ตาลง เขาหันไปสั่งโจกับไมเคิลให้เตรียมรถ
“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?”
เว่ยจินหยินเอ่ยถามประโยคที่ดูเหมือนเขาจะเคยถามไปแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อพบว่าคอยล์มุดเข้ามาในรถคันเดียวกับเขา
“ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของลูกน้องที่ดีที่จะต้องตามอารักขาเจ้านาย คุณไม่คิดแบบนั้นหรือ?”
เว่ยจินหยินเหยียดสายตามองผู้พูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าออกไปมองนอกกระจก ขณะที่รถเคลื่อนออก คอยล์อมยิ้มเล็กๆ
“นี่คุณชายเว่ย คุณชาย คุณชายจินหยิน คุณชายรอง อืม... คุณว่าผมควรเรียกคุณว่าอะไรดี?”
คอยล์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเว่ยจินหยินหันไปมองด้านนอก คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยหันมาถลึงตาใส่ ก่อนจะหลับตาลงอย่างพยายามจะสงบสติอารมณ์ และหันกลับไปมองนอกหน้าต่างต่อ
“ทำไมคุณถึงดูเย็นชาจัง”
ได้ยินเสียงเว่ยจินหยินถอนหายใจยาว นี่ถ้าเจ้าหมอนี่ไม่ใช่ตำรวจล่ะก็ เขาคงสั่งให้ไมเคิลจับเอาไปเทซีเมนต์ถ่วงลงอ่าวฮ่องกงไปแล้ว ผู้ชายอะไร น่ารำคาญเป็นบ้า
“ถ้านายหัดหุบปาก นายจะรู้สึกเองว่าฉันไม่ใช่คนเย็นชา”
เขากล่าว และภาวนาให้ทางนั้นหุบปากไปก่อนที่เขาจะต้องสั่งให้หยุดด้วยวิธีรุนแรงกว่านี้ ได้ยินเสียงคอยล์หัวเราะหึๆ
“คุณจะไปทานข้าวที่ไหน?”
“ภัตตาคารที่ฉันดูแลอยู่ ใกล้อ่าว คิดว่านายน่าจะสนใจ”
คอยล์พยักหน้า รู้สึกว่าเว่ยจินหยินไม่ใช่คนเย็นชาจริงๆ นั่นแหละ เขาขยับเข้าไปใกล้หนุ่มสวมแว่นอีก ทำท่าจะขยับปากพูด แต่ก็เปลี่ยนใจในที่สุด กลายเป็นว่าเว่ยจินหยินพูดขึ้นแทน
“ฉันคิดว่าคนอังกฤษจะมีมารยาทมากกว่านี้เสียอีก”
คอยล์หัวเราะแหะๆ ขยับห่างออกมาหน่อยหนึ่ง
“ผมมีเชื้อสายดัชท์ไม่ใช่อังกฤษแท้ๆ หรอก แต่คนอังกฤษแท้ๆ ก็ใช่ว่าจะมารยาทดีไปเสียทุกคนเสียหน่อย”
เว่ยจินหยินหลับตา เขาอยากจะพูดว่าประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นคือฉันกำลังจะด่าว่านายมันช่างมารยาททรามต่างหาก แต่ดูจะไร้สาระเกินไปที่เขาจะเสียเวลาพูดเรื่องนี้กับเจ้าคนไร้มารยาทนี่
“ว้าว นี่คืออ่าวฮ่องกงเหรอ?”
คอยล์ร้องขึ้นและทำหน้าดีใจเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงโต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษบนเรือสำราญ จนเว่ยจินหยินสงสัยว่าเจ้าหมอนี่อายุเท่าไหร่กันแน่
“ที่อังกฤษก็มีอ่าวไม่ใช่หรือไง?”
คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยกล่าว และนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดไว้ คอยล์ยักไหล่
“ทะเลแต่ละที่ไม่เหมือนกันหรอก แล้วผมก็ไม่เคยมานั่งทานอาหารหรูหราแบบนี้ด้วยสิ”
ตำรวจหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ขณะที่เว่ยจินหยินหยิบผ้ากันเปื้อนปูรองบนตัก
“ที่สำคัญนะครับ ได้ทานข้าวกับคนน่ารักๆ แบบคุณ ผมถือเป็นเกียรติมาก”
เว่ยจินหยินเหลือบนัยน์ตาสีดำขึ้นมองคู่สนทนาที่พยายามพูดจ้ออยู่ฝ่ายเดียวแวบหนึ่ง และพูดเรียบๆ
“นายอายุเท่าไหร่?”
“สามสิบสอง”
คอยล์ตอบ เว่ยจินหยินพยักหน้า
“ก็อายุพอๆ กับฉัน ทำไมนายถึงได้ดูงี่เง่านัก หรือคนดัชท์งี่เง่าแบบนายทุกคน”
หนุ่มชาวอังกฤษถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง ด้วยคาดไม่ถึงว่าจะถูกเล่นงานซึ่งๆ หน้าแบบนี้
“ปากร้ายจัง คุณใช้อะไรตัดสินว่าผมงี่เง่าเนี่ย?”
เขาว่าและยิ้มกว้าง เว่ยจินหยินถอนหายใจ
“ไม่อยากเชื่อว่านายเป็นตำรวจเลย ถามจริงๆ เถอะ นายตั้งใจจะทำงานรึเปล่า?”
“ตั้งใจสิครับ แหม.. คุณไม่เห็นหรือว่าผมตั้งใจขนาดไหน ขนาดหัดพูดภาษาจีนเพื่อมาคุยกับคุณเลยนะ”
“ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น!”
เว่ยจินหยินพูดออกมา นานแล้วที่เขาไม่รู้สึกเหนื่อยใจที่จะต้องพูดกับคนอื่นแบบนี้ เจ้าหมอนี่กำลังจะทำให้เขาเกิดอาการ เหนื่อยปาก
“ทำไมนายถึงดูไม่กระตือรือร้นกับสิ่งที่นายต้องทำ!”
คนถูกถามหัวเราะร่าเริง
“คุณกำลังตัดสินผมจากมุมมองของคุณนะครับ ผมไม่จำเป็นจะต้องให้คุณรับรู้ในสิ่งที่ผมทำนี่”
เว่ยจินหยินอึ้งไปพักใหญ่ และเปลี่ยนอิริยาบถไปสนใจอาหารบนโต๊ะแทน เหมือนพยายามจะลืมว่ามีคนนั่งร่วมโต๊ะอยู่
“ผมแกะให้เอาไหม?”
คอยล์ถามเมื่อเห็นท่าทางการแกะกุ้งของเว่ยจินหยิน ก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นคนสะอาดสะอ้าน แต่การแกะกุ้งด้วยช้อนส้อมมันดูจะเหนือความสามารถของคนที่ถูกเรียกว่าคุณชายเกินไป หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้ว
“ไม่ต้อง ฉันจัดการเองได้”
เว่ยจินหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา และแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าทักษะการแกะกุ้งด้วยช้อนส้อมของเขานั้นไม่ธรรมดาอย่างที่คิด คอยล์หัวเราะ
“คุณเป็นคนตลกดี คุณชาย ผมชอบคุณจัง”
คุณชายรองถลึงตาใส่ฝ่ายตรงข้ามอีกรอบ นานมาแล้วที่เขาไม่มีอารมณ์อยากจะฆ่าคน แต่ตอนนี้ล่ะก็ไม่แน่ คอยล์ยื่นกุ้งที่แกะเปลือกแล้วส่งให้เขา
“ถ้าคุณมีมารยาท คุณไม่ควรปฏิเสธน้ำใจของผม”
หนุ่มอังกฤษดักคอทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะอ้าปาก เว่ยจินหยินเก็บคำพูดของเขาเอาไว้ และรับกุ้งจากส้อมของอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ท่าทางจะไม่ค่อยมีใครกล้าขัดใจคุณนะ หรือว่าคุณโดนตามใจจนเคยตัว?”
คอยล์กล่าวหลังจากเห็นเว่ยจินหยินกินกุ้งของเขา หนุ่มสวมแว่นเม้มปาก หรี่ตาอย่างรำคาญ
“นายมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน?”
“ก็ผมกำลังคุยอยู่ไงครับ”
คอยล์บอกอย่างอารมณ์ดี และพูดต่อ
“ถ้าคุณชายไม่รังเกียจ เรียกผมว่ามิลเลอร์ก็ได้”
“แต่ฉันรังเกียจ”
เว่ยจินหยินกล่าว ทำเอาอีกฝ่ายปั้นหน้าไม่ถูก
“แหม คุณนี่ไม่มีมารยาทเลย”
“คนแบบนายไม่ควรจะพูดแบบนั้นกับฉัน”
อีกฝ่ายกล่าวเสียงเรียบ คอยล์ถอนหายใจ
“คุณชาย คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับโกดังสิบสามมากแค่ไหน?”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังแทบจะเป็นคนละเรื่องกับก่อนหน้านี้ เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมา
“มันเคยอยู่ในการดูแลของไฮท์เธอธ์ทีน แต่..ตอนนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ไฮท์เป็นชื่อตำแหน่งระดับสูงของกลุ่มริเวิล ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่าคณะผู้บริหาร โดยมีด้วยกันทั้งหมดสิบสามคน เรียงลำดับจากน้อยไปหามาก นั่นคือตำแหน่งเธอธ์ทีนเป็นตำแหน่งสูงสุดของไฮท์นั่นเอง
“เธอธ์ทีนคนเก่าที่ชื่อวิงโก ถูกฆ่าไปเมื่อสี่ปีก่อน รู้สึกจะเป็นฝีมือของสายลับไม่ระบุสังกัด ดูเหมือนว่าริเวิลจะเลือกคนใหม่โดยไม่ได้เลื่อนขึ้นตามลำดับปกติ ฉันไม่ค่อยแน่ใจรายละเอียดนัก แต่เธอธ์ทีนคนปัจจุบันน่าจะมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้บริหารระดับสูง”
“คุณพอจะเจรจาซื้อขายกับเขาได้ไหม?”
คอยล์เอ่ยต่อ เว่ยจินหยินทำหน้ายุ่งยาก
“คุณพ่อไม่ชอบให้สุงสิงกับพวกริเวิล ที่สำคัญเราเป็นศัตรูกันอยู่ ฉันเกรงว่าอาจะทำเรื่องนี้ไม่ได้”
ตำรวจหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มร่าออกมา
“ไม่เป็นไรครับ ผมยังมีเวลาอีก เมื่อกี้เราคุยกันไปถึงไหน อ้อ ใช่ ผมว่าคุณน่ะถูกตามใจมากไปนะ”
เว่ยจินหยินขมวดคิ้วคู่งาม ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้ ขืนคุยด้วยนานๆ ฝ่ายที่ฟิวขาดก่อนอาจจะเป็นเขาก็ได้ ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ต่อปากต่อคำอีก ก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารในจานเงียบๆ
คอยล์ยิ้ม เขามองดูชายหนุ่มสวมแว่นตรงหน้า ถ้าไม่หวีผมเรียบแปล้และสวมแว่นสุดเชยแบบนี้ เว่ยจินหยินคงจะน่ามองมากทีเดียว ข้อเสียเรื่องปากร้ายและดูจะเย็นชานี่ก็พอจะมองข้ามได้หรอก ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะถูกตามใจจนเคยตัว คงเป็นธรรมดาของคนที่เกิดมาในตระกูลร่ำรวยและถูกเลี้ยงดูอย่างดีล่ะมั้ง
--------------------------------------------