จะเอาฉากต่อจากมะกี๊อ่ะพี่พอนเน่ โฮปจาอาววววววว
^
^
^
ฉากต่อจากมะกี้ไหนเหรอ
หนูโฮปไปจิ้นต่อเองและกัน
...
เอาล่ะมาตามดูนายเรโอกัน จะปั่นป่วนขนาดไหน
===================================
ใกล้เที่ยงคุณกายก็พาผมไปที่รีสอรท์ของเขา เราไปทานกลางวันกันที่นั่นเพราะคุณกายบ่นหิวไม่อยากรอผมทำกับข้าว รีสอร์ทของเขาบรรยากาศดีมากเลย การตกแต่งก็กลมกลืนกับธรรมชาติดูแล้วสบายตาดี
ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ คุณกายบอกว่าพนักงานระดับล่างไม่ค่อยมีใครได้เห็นหน้าเขาหรอก ส่วนใหญ่รู้จักแต่ชื่อกันเท่านั้น นี่ถ้ารู้นะว่าใครมา คงกรูกันออกมาต้อนรับกันเอิกเกริกเชียวแหละ
แต่เขาจงใจมาเงียบๆเพื่อตรวจดูการทำงานตลอดจนการบริการทั้งหลาย เขาบอกว่าถ้าแจ้งมาก่อนว่าจะมาดู คงได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้ดีไร้ที่ติไปหมด คุณกายไม่ชอบผักชีโรยหน้าที่หวังจะได้รับคำชมแบบนั้น เขาอยากให้ทุกอย่างดีพร้อมอยู่เสมอมากกว่า
“อาหารที่นี่อร่อยดีนะครับ ต้องเป็นเชฟมีชื่อแน่เลย” ผมชื่นชมหลังจากที่เราอิ่มหนำกันแล้วเรียบร้อย และกำลังรออาหารที่คุณกายสั่งกลับไปที่บ้าน
ผมค่อนข้างหงุดหงิดเล็กน้อยที่สุดที่รักผม ห่วงใยนึกถึงปากท้องของไอ้บ้านั่นที่นอนอืดอยู่ที่บ้าน คนคิดไม่ซื่ออย่างมันไม่เห็นจะต้องให้คุณกายของผมทำถึงขนาดนี้เลย ให้ตายสิ!
“ก็เป็นเชฟที่มีคุณภาพน่ะ หัวหน้าเชฟเป็นคนไทยด้วยนะ ที่นี่เราจะเน้นเมนูอาหารไทย ให้คนต่างชาติได้ลองทานอาหารไทยอร่อยๆกัน” คุณกายบอก สักพักพนักงานก็เดินเอาอาหารที่สั่งมาให้
คุณกายพูดคุยกับพนักงานคนนั้น บอกให้ไปแจ้งเชฟให้เตรียมของทำบาร์บิวคิวมาส่งที่บ้านพัก จากนั้นเขาก็ยื่นนามบัตรให้ พนักงานคนนั้นทำหน้าตาตื่นเมื่อเห็นชื่อในนามบัตร รีบรับคำไปปฏิบัติโดยด่วน แถมยังอาสาเอาอาหารที่สั่งไปส่งให้ถึงที่อีก
“ฉันว่าเรารีบไปจากที่นี่กันดีกว่า ตอนนี้ฉันยังไม่อยากพบผู้คนเท่าไหร่”
เราเดินออกมาจากรีสอร์ท ก้าวเอื่อยๆลัดเลาะริมชายหาดไป วันนี้อากาศดีจริงๆท้องฟ้าโปร่งแสงแดดสดใส น้ำทะเลสีฟ้าส่องกระทบแสงแดดระยิบระยับจับตา
“เล่นน้ำกันไหมครับ” ผมเอ่ยชวน
“นี่มันเที่ยงตรงนะ แดดแรงจะตาย” คุณกายหันมาทำหน้าแหยงๆใส่ผม
“ก็ทาครีมกันแดดสิครับ เดี๋ยวผมทาให้!” ผมยิ้มกว้าง รีบขันอาสา ไอ้เรื่องแตะเนื้อต้องตัวสุดที่รักผม ยังไงก็ไม่มีวันเบื่อหรอก หึหึ
คุณกายมองผมด้วยสายตารู้เท่าทัน เดินนำผมไปไม่พูดตอบรับอะไร ผมยิ้มรีบเดินตามไปกอดคอเขาไว้
“ทำอะไรเนี่ย! ยังไม่พ้นเขตโรงแรมเลยนะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” เขาโวยวาย ทำท่าจะแกะมือผมออก
“แค่กอดคอเอง ไม่มีใครคิดมากเหมือนคุณหรอกน่า”
ผมทำเป็นไม่สนใจ โอบไหล่เขาเดินต่อไป คุณกายทำหน้าหงิกมองค้อนผมแต่ไม่ได้ห้ามอะไรอีก ผมว่าเขาหวาดระแวงจนเกินไป ถึงคนอื่นมาเห็นก็คงไม่มีใครคิดทุกคนหรอกว่าพวกเราเป็นแฟนกัน นอกจากพวกคนที่เป็นแบบพวกผม หรือพวกที่ช่างสังเกตจริงๆ
พวกเราเดินกลับมาถึงบ้านพักในเวลาไม่นาน เข้ามาในบ้านก็เห็นว่าไอ้อิตาเลี่ยนมันกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร ที่มันโซ้ยอยู่ก็อาหารที่คุณกายสั่งมาให้มันกินนั่นแหละ พนักงานก็ดันบริการส่งให้รวดเร็วถึงใจดีจริงๆ แทนที่จะช้าๆหน่อยปล่อยให้หมอนี่มันหิวไส้ขาดไป
เห็นหน้ามันผมก็ยิ่งหงุดหงิด พาลนึกถึงเรื่องเมื่อเช้าที่ผมปะทะคารมกับมันหลังจากที่คุณกายเดินนี้เข้าบ้านไปก่อน...
ผมกับมันจ้องหน้ากันอยู่นาน รอจนคุณกายหายลับเข้าไปในบ้านผมถึงได้เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นก่อน
“นายต้องการอะไรกันแน่ จุดประสงค์ของนายคืออะไร” ผมถามเสียงเย็น
“ฉันทำอะไรล่ะ” มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ลอยหน้าลอยตาใส่ผม
ผมพยายามข่มอารมณ์ไว้สุดฤทธิ์ “ก็สิ่งที่นายกำลังทำอยู่ไง! นายไปหลอกคุณกายว่านายชอบฉันทำไม”
“ฉันหลอก?” เขายิ้มเยาะ
“คำพูดกับการกระทำของนายมันสวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด เห็นๆอยู่ว่านายกำลังคิดไม่ซื่อ”
ไอ้อิตาเลี่ยนยิ้มแต่แววตาไม่ได้ยิ้มตาม “ฉลาดเหมือนกันนี่!”
ตอนนั้นผมรู้สึกอยากจะเตะมันให้คว่ำจริงๆ แต่ติดตรงที่ว่าไม่อยากให้เกิดเรื่องเกิดราวใหญ่โต กลัวว่าคุณกายจะเกิดความไม่สบายใจ เพราะไอ้นี่มันได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของคนที่ผมรัก ผมจะพยายามทนไว้เท่าที่ทนได้...
“สิ่งที่ฉันเฝ้าถนุถนอนดูแลมาเป็นสิบปี ไม่มีทางหรอก...ไม่มีทางที่หมาอย่างนายจะคาบไปได้ง่ายๆ!” นายเรโอพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด
ผมคาดเดาไม่ผิดจริงๆว่ามันต้องคิดไม่ซื่อกับเพื่อนสนิทตัวเอง แววตาของมันฟ้อง เวลาที่มันมองคุณกายผมรู้สึกว่าสายตามันอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับที่มันมองผมในตอนนี้โดยสิ้นเชิง... ท่าทีการปฏิบัติต่อคุณกายก็ดูจะเกินกว่าที่เพื่อนเขาทำให้กัน และดูเหมือนว่าสุดที่รักผมจะไม่ได้คิดอะไรต่อสิ่งที่มันทำให้เลยสักนิด นั่นก็แสดงว่า... หมอนี่ปฏิบัติต่อคุณกายแบบนี้จนเขาเคยชินแล้ว!
ไม่นึกมาก่อนเลยว่าข้างกายสุดที่รักผมจะมีตัวอันตรายซุ่มอยู่แบบนี้ ดีนะว่าผมกับคุณกายพวกเราเข้าใจกันดีแล้ว ขืนหมอนี่มันเข้ามาก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมกับคุณกายทำศึกต่อสู้กันอยู่ ไม่อยากจะคิดเลย...ว่ามันจะต้องมาฉุดดึงยุยงให้คุณกายเตลิดไปจากผมให้ได้แน่ๆ
มันหาว่าผมเป็นหมาลอบมาคาบคุณกายไปกิน แต่ผมว่ามันนั่นแหละเป็นหมาตัวจริง! เป็นหมาเฝ้ากระดูกที่พร้อมจะแว้งกัดคนที่มาแย่งกระดูกแสนหวงของมันไป แต่ก็นะ...ของแบบนี้ใครดีใครได้ว่ะ
แต่ผมก็ต้องขอบคุณมันเหมือนกันนะ ที่มันยอมเป็นหมาเชื่องๆตัวหนึ่ง ที่ไม่ยอมแตะต้องกระดูกที่วางอยู่ตรงหน้า ไม่อย่างงั้นมันจะมีตกทอดหลงเหลือมาให้ผมได้เหรอ??
“มันไม่ได้ง่ายๆอย่างที่นายคิดหรอก” ผมบอก “และอย่าคิดนะว่านายจะมาขัดขวางสิ่งที่ฉันพยายามทำมาทั้งหมดได้”
หมอนั่นตาแดงฉานด้วยความเคืองแค้น กระชากคอเสื้อผมขึ้น ผมก็ไม่ยอมกระชากคอเสื้อมันเหมือนกัน เราจ้องตากันอย่างไม่ยอมแพ้ และไม่สะทกสะท้าน
“พื้นที่ๆเคยเป็นของฉันคนเดียว ฉันไม่ปล่อยให้แกแย่งไปง่ายๆแน่คอยดู” มันขู่เสียงรอดไรฟัน
“นายมันโง่เอง...น่าจะดูสถานะของตัวเองให้ดีนะ” ผมเย้ยหยัน มันกัดฟันผลักอกผมจนเซ ก่อนจะชี้หน้าผม
“นายเป็นใครมาจากไหน! รู้จักกับกายไม่นานอย่าสำคัญตัวผิดไป!”
ว่าจบไอ้อิตาเลี่ยนก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน โดยที่ผมมองตามแผ่นหลังที่เหมือนมีเงาทะมึนทอทาบบนร่าง ด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจต่อคำพูดของมันเท่าไหร่นัก...