:m31:ลิงตาตี่มาปักหมุดแล้วคับ มาต่อไวๆน้า
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
^
^
....
...
..
.
เอาล่ะมาเจอนายกายกัน
----------------------------------------------------------------
“มีอะไรติดหน้าพี่เหรอครับ?” ผมถามขึ้นด้วยความงุนงง
หลังจากที่ผมงีบหลับไปได้สักพัก นายนิคก็ขึ้นมาตามผมให้ลงมาทานข้าวด้วยกัน แม้จะรู้สึกขัดใจที่เขามารบกวนการนอนของผม แต่เมื่อถูกปลุกมาแล้ว จะนอนหลับต่อก็หลับไม่ลง
ตั้งแต่ผมลงมาร่วมโต๊ะ จนกระทั่งเริ่มทานข้าวกัน น้องหยกเธอจ้องหน้าผมมาตลอด จนหนักๆเข้าผมก็เริ่มทำอะไรไม่ถูก มันก็แน่ล่ะที่จะเป็นแบบนี้ ใครล่ะจะชอบให้คนอื่นมาจ้องหน้าตัวเองแบบนี้นานๆ มันเหมือนกับว่าจะทำอะไรก็ไม่เป็นส่วนตัว เพราะคนอื่นคอยมองจับผิดเราตลอด
ตอนนี้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมไอ้พวกอันธพาล เวลาเจอคนมอง ต้องไปหาเรื่องต่อยตีกับเขา ด้วยคำพูดติดปากที่ว่า ‘มองหน้าหาเรื่องเหรอ?’
แต่กับน้องหยกคงไม่ใช่กรณีนี้... แต่การกระทำของเธอก็น่าจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง ผมครุ่นคิดแต่ปากก็ถามคำถามพื้นๆไปก่อน บางที...หน้าผมอาจจะมีอะไรผิดปกติติดอยู่ก็ได้
“อ๋อ... เปล่าค่ะ หยกแค่รู้สึกว่าพี่กายหล่อขึ้นนะ ไม่ใช่สิ...ดูน่ารักขึ้นมากกว่านะหยกว่า” นี่คือเหตุผลที่เอาแต่จ้องหน้าผมมาตลอดงั้นเหรอ?? เล่นเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน...
“ได้คำชมว่าหล่อขึ้นพี่จะรับไว้ด้วยความดีใจนะ แต่ไอ้น่ารักเนี่ยย! น้องหยกเก็บไว้กับตัวเถอะ ไม่ต้องโยนมาให้พี่หรอก” ผมสัพยอกคืนอย่างขำๆ
“พี่กายอ่ะ หยกอุตส่าห์ชมนะ ” เธอทำหน้าง้ำ ก่อนจะตักแกงในชามตรงหน้าเธอใส่จานข้าวผม “นี่! เอานี่ไปทานเลยค่ะ แกงพะแนงเนี่ยหยกใช้ใจทำเลยนะ ฮิๆ”
“ขอบคุณครับ ดูน่ากินจัง แต่ไม่รู้อร่อยรึเปล่านะ หึหึ” ผมว่าอย่างไม่จริงจัง แล้วตักกับข้าวเข้าปากลิ้มรสดู
“โหย...ฝีมือชั้นไหนแล้ว รับรองติดใจจนอยากจะขอหยกไปเป็นแม่ครัวประจำที่บ้านพี่ คิกๆ”
ผมตอบรับยิ้มๆ เริ่มชักรู้สึกแม่งๆแล้ว คงเป็นเพราะคำพูดและการกระทำของเธอในวันนี้มันแปลกๆไป แต่ก็เข้าใจว่าเธอแค่กำลังหยอกเย้าผมสนุกๆเท่านั้น เลยไม่ได้ติดใจอะไรนาน
แม้ว่าผมกับน้องหยกจะรู้จักคุ้นเคยกันได้ไม่นาน แต่เราทั้งคู่กลับสนิทใจกันได้เร็วจนน่าเหลือเชื่อ อาจบางทีเพราะพวกเรามีความเข้าใจซึ่งกันและกัน และไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของบุพการีด้วยกันทั้งคู่กระมัง
สำหรับผมนะไม่เท่าไหร่หรอกไอ้เรื่องการหมั้นหมาย ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่เลวร้ายอะไร ผมก็คงพอรับได้ แต่เมื่อทราบว่าน้องหยกเธอมีคนรักเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ทำให้ผมต้องกลับมาคิดในเรื่องของตัวเองใหม่ ว่าผมจะยอมหมั้นยอมแต่งกับใครก็ได้ที่ไม่ได้ทำความรู้จักหรือเกิดความรักขึ้นมาก่อนได้เลยเหรอ มาคิดๆดูผมก็แค่จะตัดความรำคาญที่มีต่อพ่อก็เท่านั้น ผมไม่ได้สนใจข้อปลีกย่อยเรื่องการใช้ชีวิตคู่สักเท่าไหร่
ถ้าคิดอย่างจริงจัง ว่าน้องหยกไม่ได้มีคนรักมาก่อน แล้วยอมรับการหมั้นหมายนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงซ้ำรอยเดิมของพ่อกับแม่ผม... การแต่งงานทางธุรกิจและสังคม... แล้วจุดจบอย่างหนึ่งของสิ่งนี้ สามารถดูได้จากพ่อและแม่ผมเป็นตัวอย่าง ความคิดที่น่ากลัวนี้ ทำให้จากการที่ง่ายๆอะไรก็ได้ของผม กลายเป็นร่วมกันต่อต้าน และต่อให้น้องหยกมีคนรักหรือไม่มี ผมก็คงจะไม่ยอมเหมือนเดิมแล้ว
การเป็นคู่หมั้นหลอกๆ เป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ หรือเป็นพี่ชายน้องสาว ทำให้ผมกับน้องหยกอยู่ในฐานะพิเศษของกันและกัน และคงจะไม่มีใครเข้าใจพวกเรายิ่งกว่าเราทั้งคู่
“อ้าว! ไม่กินล่ะ ไม่อร่อยเหรอไง นายก็ร่วมมือทำด้วยนี่?” ผมถามเมื่อหันไปเห็นหนุ่มฝรั่งที่นั่งอยู่ด้านข้างกำลังเขี่ยข้าวในจานไปมาอย่างเซ็งๆ
“ก่อนหน้านี้ผมชิมจนอิ่มแล้ว” เขาบอกโดยไม่หันมามองหน้าผม น้ำเสียงติดจะแข็งๆหน่อยๆ จนผมแปลกใจว่าเขาเป็นอะไร?
“งั้นเหรอ...” ผมนิ่งคิด พลางชำเลืองมองคนหน้าบูดไปด้วย แล้วก็ได้คำตอบที่ว่า เขาคงจะไม่พอใจที่ผมมัวแต่คุยกับน้องหยกคนเดียว โดยที่ไม่สนใจเขา เข้าใจว่าเขาเพิ่งเจอกับน้องหยกไม่นานเลยยังไม่สนิทกันเท่าไหร่ ก็เลยไม่รู้จะร่วมวงสนทนายังไง
“ไหน... จานไหนนายเป็นคนทำล่ะ ลองตักมาให้ฉันชิมดูหน่อยสิ” ผมเปิดประเด็นใหม่ ชวนเขาคุยบ้าง เดี๋ยวมื้อนี้จะเป็นอันกร่อยไปซะก่อน
“เอาสิคะนิค อย่าให้หยกได้หน้าคนเดียวสิ” หญิงสาวเสริมขึ้น แล้วหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี
นายนิคหันมามองผมแวบหนึ่ง แต่ยังคงปั้นหน้าบึ้งๆอยู่ จากนั้นก็ตักผัดเปรี้ยวหวานลงในจานของผม โดยไม่พูดอะไรสักคำ
“หืมม์...อร่อยเหมือนกันแฮะ” ผมอุทานเมื่อลิ้มรสอาหารฝีมือของชายหนุ่ม เหลือบสังเกตสีหน้าของเขาไปด้วย เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งของเขา ผมก็ต้องแอบหัวเราะในใจ โห่...ที่แท้ก็ทำเป็นเต๊ะท่าเรียกร้องความสนใจ
“ไอ้ผัดนี่มันเรียกว่าอะไรเหรอ?” ผมแสร้งถามต่อ พยายามฉุดดึงให้เขามีส่วนร่วมในการพูดคุย
“ผัดเปรี้ยวหวานคนที่ถูกลืม” เขาตอบกลับเสียงเรียบแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม แต่คำตอบมันประชดผมชัดๆ
“นิคคะ ทำไมตั้งชื่อไม่เป็นมงคลแบบนั้นล่ะ เปลี่ยนๆ มาหยกตั้งให้ดีกว่า...” น้องหยกท้วงพร้อมกรอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด แล้วยิ้มเผล่ออกมาเหมือนนึกอะไรได้
“ต้องชื่อนี้สิ ผัดเปรี้ยวหวาน จี๊ด! ถึงใจ!”
“แค่กๆ!!” เสียงไอสำลักน้ำอย่างรุนแรง ทำให้ผมต้องหันไปมองคนข้างๆด้วยความตกใจ รีบเอามือลูบหลังให้เขาโดยอัตโนมัติ
“เป็นไงมั่ง?” ผมถามพลางหยิบกระดาษทิชชู่ยื่นส่งให้เขา เพราะไอ้หมอนี่มันสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหลเลย
เขาส่ายหน้าตอบไปมา “แค่ก... ไม่เป็นไรแล้วครับ... แค่ชื่อที่คุณหยกตั้งให้มันจี๊ดถึงใจจริงๆ แค่กๆ”
“นายก็นะ...กินน้ำยังไงให้สำลัก” ผมยังคงลูบหลังให้เขาต่อไป แต่อดไม่ได้ที่จะบ่น
“นิคสำรักก แบบนี้หยกก็เคยเป็นเหมือนกัน แถมเป็นบ่อยด้วย คิกๆ” น้องหยกบอกพลางหัวเราะ จนผมต้องหันไปสนใจเธอบ้าง ปรากฏว่าเธอกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองผมกับนายนิคสลับกันไปมา
“น้องหยกเป็นบ่อยเหรอครับ หลอดลมกับหลอดอาหารทำงานผิดปกติรึเปล่า เคยไปให้หมอตรวจมาหรือยัง?” ผมถามอย่างเป็นห่วง เพราะถ้าสำลักบ่อยๆคงจะทรมานน่าดู แล้วถ้าสำลักอาหารก็ยิ่งเสี่ยงอันตรายไปกันใหญ่
“เอ่อ... หยกไม่เป็นไรแล้วค่ะ แหะๆ เอ้อใช่! พี่กายให้น้องตั้มไปรับมาเหรอคะ?” หญิงสาวรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด
ผมนิ่งคิดว่าหยกพูดถึงอะไร ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าผมให้ตั้มมันไปรับแฟนของหยกที่พักอยู่อีกโรงแรม ให้มาพักที่นี่
“อ๋อ...ใช่ๆ น่าจะมาตั้งนานแล้วนี่ ไปไหนซะล่ะ ทำไมไม่เรียกให้มาทานข้าวด้วยกัน”
“เขากินมาจากโรงแรมแล้วค่ะ ตอนนี้ก็ตามน้องตั้มไปติดต่อเช่าเรือกับอุปกรณ์ไว้ไปดำน้ำดูปาการังกันพรุ่งนี้เช้า” เธออธิบาย
ผมหันไปดูคนข้างๆอีกครั้ง เห็นเขากำลังนั่งมองผมกับน้องหยกคุยกันอย่างงงๆ
“นี่ยังไม่ได้แนะนำให้รู้จักกันเหรอ…?” ผมหันไปถามน้องหยกอย่างแปลกใจ และก็ได้รับคำตอบจากเธอแค่การส่ายศีรษะยิ้มๆเท่านั้น
“แนะนำใครเหรอครับ” นายนิคถามผมอย่างสงสัย
แต่ในขณะที่ผมจะหันไปอธิบายที่มาที่ไปให้เขาเข้าใจ น้องหยกกลับโพล่งตอบแทนผมเสียก่อน
“อ้อ เพื่อนหยกเองค่ะ เป็นเพื่อนที่เรียนที่เดียวกันที่อังกฤษน่ะค่ะ เขาตามมาเที่ยวพร้อมกับหยกด้วย อีกไม่นานก็คงได้เจอกันแล้วล่ะค่ะ”
ผมหันขวับไปมองหน้าเธออย่างอึ้งๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงแนะนำริชาร์ตแฟนหนุ่มของเธอกับนายนิคแบบนี้ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไร ในเมื่อทั้งหมดมาอยู่ร่วมบ้านเดียวกันแบบนี้แล้ว
ที่ผมไม่ได้อธิบายเรื่องแผนการที่ผมร่วมมือกับน้องหยกให้นายนิครู้ก่อนมา เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของน้องหยก ถ้าผมปากโป้งบอกใครไปก่อนที่จะได้รับความเห็นชอบจากเธอ กลัวเธอจะไม่พอใจ ฉะนั้นผมก็เลยกะว่าจะให้ทำความรู้จักกันก่อน แล้วค่อยบอกแผนการในการร่วมมือกัน
แต่เมื่อน้องหยกแนะนำแฟนว่าเพื่อน ทำให้ผมพูดอะไรต่อไม่ออกอีก กลายเป็นอาการของคนเอ๋อแทน งุนงงและไม่เข้าใจในการกระทำของเธอ มีเหตุผลอะไรกันแน่ที่ทำแบบนี้?!
------------------------------จบตอน----------------------------
:L2:ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
ปล. เด๋ววันนี้จะอยู่กด+1ให้ทุกคนเลย