ดีใจจังที่ยังมีคนติดตามอยู่
ขอบคุณทุกคนมากค่ะ
แหะๆ ไม่ได้ตั้งใจให้ค้างกันนะ
ตอนนี้คงได้หายค้างกันแล้วแหละ
=====================================
Chapter : 20 จนได้...
เส้นทางข้างหน้าพร่ามัวด้วยน้ำตา... ผมกดลิฟต์ลงมาชั้นล่าง ตามหาเขาจนทั่ว แต่ก็ไม่พบ... ไม่เห็นแม้แต่เงา...
อาจเป็นเพราะเวลายังเช้าอยู่ ตอนนี้ที่ชั้นล่างเลยยังไม่ค่อยมีคน ไม่งั้นถ้ามีคนเห็นผมตอนนี้ คงคิดว่าผมบ้าไปแล้ว ซึ่งผมก็บ้าจริงๆ บ้าถึงขนาดวิ่งออกไปดูที่ถนนหน้าคอนโดฯ
ผมกำลังทำอะไรอยู่...
ผมกำลังกดโทรศัพท์หาเขาอยู่ครับ แต่...ไม่มีใครรับ
ผมเริ่มใจเสีย เขาไปจริงๆเหรอ...??
ผมกำลังทำอะไร? นี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ผมถามตัวเองแบบนี้ เพื่ออะไร?
...ไปซะได้ก็ดี จะได้เลิกวุ่นวาย หมดปัญหาสักที ผมสบายใจ ผมสบายใจได้แล้ว...
เดินกลับมาที่ห้องด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อา...ขึ้นลิฟต์มาตอนไหนยังไม่รู้เลย เปิดประตูห้องเข้าไป ทำไมใจมันหนักอึ้งแบบนี้นะ... ผมเงยหน้าพิงประตูสูดหายใจเข้าลึกๆ ปาดน้ำตาบนใบหน้าที่ยังไหลไม่หยุดแล้วเดินเข้าห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียง ตอนนี้ในสมองของผมลำดับความคิดอะไรไม่ได้เลย มันตื้อไปหมด...
โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ผมรีบคว้ามันมาดูอย่างรวดเร็ว แต่คนที่โทรเข้ามาเป็นน้องหยก ผมหลับตาลงด้วยความผิดหวัง นี่ผมกำลังคาดหวังให้เขาโทรมางั้นเหรอ?
“ครับ”
[“พี่กายออกมารึยังคะ หยกเตรียมตัวเสร็จแล้วค่ะ”]
“คือ... พี่ขอโทษนะครับ พี่คงไปพร้อมกับน้องหยกไม่ได้แล้ว พอดีมีธุระด่วนเข้ามา น้องหยกไปก่อนได้รึเปล่าครับ? หรือจะรอพี่”
[“ไม่เป็นไรค่ะพี่ หยกไปเองได้ หยกนัดกับริชาร์ตเขาไว้แล้วด้วย ”]
“อ่าครับ... ยังไงไปไหนมาไหนกับแฟนก็ระวังตัวด้วยนะ เดี๋ยวสายสืบของคุณลุงกับพ่อพี่จะมาเห็นเข้าก็แย่เลย ถึงแล้วโทรบอกด้วยนะ แล้วพี่จะรีบไปสมทบ”
[“ค่า ทราบแล้วค่ะ แล้วพี่เป็นอะไรรึเปล่า เสียงดูเนือยๆยังไงไม่รู้ ไม่สบายรึเปล่าคะ?”]
“อืมม์... สงสัยเหนื่อยล่ะมั้ง ไม่เป็นไรหรอก”
[“อ่ะค่ะ ธุระไม่ต้องรีบนะคะ หยกรอได้ค่ะ แค่นี้นะคะพี่ชาย พักผ่อนเยอะๆนะคะ”]
“ครับๆ” ผมโยนมือถือไว้บนเตียง ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา
พอออกมาจากห้องน้ำ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าเป้ใบใหญ่วางอยู่ข้างๆตู้เสื้อผ้าของผม นี่มัน... ของหมอนั่นนี่นา...
เขารีบร้อนจากไปถึงขนาดลืมทิ้งไว้เลยเหรอ? ผมรู้สึกใจชื้นขึ้น ในส่วนลึกรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ยังไงเขาก็ต้องกลับมาเอากระเป๋าล่ะน่า...
แต่ถ้าไม่ล่ะ?
ผมถือวิสาสะค้นกระเป๋าของเขาดู เผื่อเจอสิ่งของสำคัญที่ทำให้เขาต้องกลับมาเอา
“อ่ะ! นี่ไง” ผมเจอพาสปอร์ตของเขาในกระเป๋า ของสำคัญแบบนี้ยังไงเขาก็ต้องกลับมาเอาแน่ๆ
เอ๊ะ! แล้วนี่อะไร มือผมปัดไปโดนกรอบรูปเล็กๆใบหนึ่งในกระเป๋า ด้วยความสงสัยเลยหยิบขึ้นมาดู ตอนแรกในใจผมคิดว่า ต้องเป็นรูปพ่อแม่หรือครอบครัวของเขาแน่เลย แต่ที่ไหนได้... ดันเป็นรูปผม!
มันโรคจิตจริงๆด้วย! นี่มันรูปในนิตยสารนี่นา ถึงขนาดตัดใส่กรอบเลยเหรอเนี่ย... เจอเข้าแบบนี้บอกไม่ถูกว่าผมรู้สึกยังไง แต่ที่แน่ๆผมอึ้งไปเหมือนกัน อะไรจะขนาดนั้น... เขาช่างทำไปได้
ที่สำคัญผมรู้สึกขำมากกว่า ก็ไอ้หมอนั่นมันบ้าจริงๆ...
ผมเก็บกรอบรูปนั้นกลับไว้ที่เดิม ปิดกระเป๋าแล้วเดินกลับไปนอนที่เตียง ลืมตามองเพดานห้องสีขาวโพลน รู้สึกเหงาๆยังไงไม่รู้ ชีวิตผมมันเงียบเชียบถึงขนาดนี้เชียวเหรอ?
“เฮ้ออ...” ถอนหายใจให้กับตนเอง แต่ก่อนผมไม่เคยมีความคิดแบบนี้นี่นา... นี่มันเป็นชีวิตประจำวันของผมไม่ใช่เหรอ? ผมชินกับการอยู่กับตัวเองมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมผมต้องรู้สึกว่าเหมือนกับมีอะไรบางอย่างขาดหายไป... น่าปวดหัวจริงๆ
ไม่รู้ตัวว่าหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกที่ก็บ่ายโมงแล้ว ไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด แต่ลำคอแห้งผาดไปหมด... เลยลุกขึ้นไปหาน้ำกินในครัว ตอนนี้ผมรู้สึกไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เพราะทุกอย่างมันดูน่าเบื่อไปหมด
จนบ่ายแล้ว หมอนั่นก็ยังไม่กลับมาสักที ไม่รู้ว่าไปที่ไหน คุ้นเคยกับทางในกรุงเทพฯรึเปล่าก็ไม่รู้ ผมถอนหายใจยาวเหยียด ทำไมผมต้องเป็นกังวลถึงขนาดนี้นะ ไม่เคยมีครั้งไหนเลย ที่ผมจะรู้สึกกับคนๆหนึ่งถึงขนาดนี้มาก่อน อึดอัดข้างในใจเหลือเกิน จนไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี...
ผมเดินมาที่ระเบียงห้อง ตั้งใจจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อย เผื่อว่าความคับแน่นในอกจะบรรเทาเบาบางลงบ้าง ผมเลื่อนบานเลื่อนประตูกระจกออก แต่เมื่อมองไปที่ระเบียงห้องก็ต้องชะงักเท้าไว้ด้วยความตื่นตะลึง!
อาจเป็นเพราะประตูกระจกมีม่านบังไว้ ทำให้ก่อนหน้านี้ผมไม่ทันสังเกตเห็น เก้าอี้ไม้หวายบนระเบียงห้องถูกยึดครองโดยหนุ่มฝรั่งร่างสูง ที่ก่อนหน้านี้ผมนึกถึงแล้วมัวแต่กระวนกระวายเป็นบ้าอยู่คนเดียว ทั้งที่เขาก็อยู่ใกล้แค่เนี้ย! ผมไม่รู้ว่าเขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พึ่งมาตอนผมหลับ หรือว่าอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกก็ไม่รู้...
เขานั่งหันหลังให้กลับผม เหมือนไม่รู้สึกตัวว่าผมมา หรือว่าจงใจเมินเฉยก็ไม่รู้ แต่ผมก็ดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้พบเขา
ผมรู้สึกสองข้างแก้มตึงๆ เลยยกสองมือขึ้นมาจับที่แก้ม อะไรกัน... นี่ผมกำลังยิ้มอยู่เหรอเนี่ย! ฮึ้ย! อยากจะเอาหน้าแทรกซีเมน ทำไมต้องดีใจที่ได้พบหมอนี่ถึงขนาดนี้ก็ไม่รู้ ดีใจถึงขนาดไม่สามารถหุบยิ้มลงได้ ถ้าหมอนี่มาเห็นเข้าคงได้ขายหน้ากันพอดี บ้าชิบ!
แต่เมื่อเจอเขาแล้ว ผมจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ ตอนแรกก็กระวนกระวายไม่สบายใจ อยากเจอเขาให้ได้ แต่พอมาพบตัวจริงๆ กลับทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะพูดหรือเริ่มยังไงดี ผมควรจะทำยังไงดีล่ะ?
“เอ่อ...คือ เอ่อ...” พูดอะไรดีล่ะ? ผมก้มหน้ากำชายเสื้อแน่น
“นายอยู่ตรงนี้ตลอดเลยเหรอ?”
เขานิ่งเงียบไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ มันทำให้ผมกลัวใจเขามากขึ้น นี่เขาโกรธผมมากขนาดนี้เชียวเหรอ?
ทำไงดีล่ะ? ในชีวิตนี้ผมไม่เคยง้อใครมาก่อนเลยนะ ผมจะต้องเริ่มจากตรงไหนดีเพื่อทำให้เขาหายโกรธผม ทำให้ความไม่สบายใจและอึดอัดในอกนี้หมดไปเสียที
เอาล่ะ! เป็นไงเป็นกัน!
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับเขา
แต่ปรากฏว่า...
หนุ่มฝรั่งกำลังนั่งหลับอยู่...
จะบ้าตาย...นี่ผมพูดอยู่คนเดียวเหรอเนี่ย!!
น่าหมั่นไส้ชะมัด! ผมอุตส่าห์มาง้อนะ แต่ดูเขาทำสิ... แล้วผมจะเอายังไงต่อไปดี...
ผมมองหน้าเขาอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะเอื้อมมือไล้นิ้วเบาๆที่ขนตาสีอ่อนของเขา ขนตางอนยาวสั่นระริกไปมา หัวคิ้วเริ่มขมวดกันมุ่นด้วยความรำคาญ ก่อนที่มือแกร่งจะยกขึ้นปัดมือผมออกไปเหมือนปัดแมลง ทำให้ผมต้องชักมือกลับมา
ขณะที่ยืนคิดไม่ตกว่าจะปลุกเขามาคุยกัน หรือจะปล่อยไว้แบบนี้ดี เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว...
เขาจ้องมองผมที่ยืนอยู่ตรงหน้า โดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ผมสังเกตได้จากแววตาเศร้าๆของเขา ว่าผมได้ทำร้ายจิตใจเขามากแค่ไหน ทุกอย่างมันสื่อผ่านสายตาของเขาได้ทั้งหมด
คำพูดที่ผมเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ ติดขัดอยู่ในลำคอ ไม่สามารถเปล่งถ้อยคำใดๆออกมาได้ เพิ่งจะรู้ว่าการพูดจาภายใต้สายตาที่มองผมอย่างค้นหา มันยากลำบากถึงเพียงนี้....
รับรู้ได้เลยว่า คำพูดของผมต่อไปนี้จะเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับผม และเขากำลังรอให้ผมตัดสินใจ...
ผมลองคิดทบทวนเหตุผลในจิตใจ ว่าในใจผมต้องการอะไรกันแน่ ลองช่างน้ำหนักในจิตใจดูว่า ระหว่างบทสรุปสองอย่าง อย่างไหนที่ผมต้องการมากกว่ากัน
ระหว่างไล่เขาออกไปจากชีวิต กับการให้เขายังอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าในฐานะอะไรก็ตาม...
และผมก็ได้ข้อสรุปว่าถ้าไล่เขาไปจริงๆ ผมคงจะมีอาการเหมือนเมื่อเช้า มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนักหรอก...
จากการได้คิด ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่า เขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว แล้วถ้าขาดเขาไป บอกไม่ถูกจริงๆว่าผมจะเป็นยังไง...
นี่ผมกลายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...?
ผมขบริมฝีปากแน่น หรือผมจะตัดเนื้อร้ายออกไปแต่เนิ่นๆดี??
สิ่งที่ผมกลัวมาตลอดมันคือสิ่งนี้เอง... ผมกลัวว่าถ้าเขายังอยู่ข้างๆผมแบบนี้ โลกของผมจะไม่เป็นโลกของผมอีกต่อไป โลกที่ผมสร้างสรรค์ขีดเส้นแบ่งกำหนดทุกอย่างเอาไว้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลง... กลัวว่าถ้าเกิดมีใครก้าวล้ำมาในพื้นที่ของผม ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม มันจะกลายเป็นอนาคตที่ผมมองไม่เห็น...
ในขณะที่ผมกำลังสับสนลังเลใจ อยู่ๆเขาก็ลุกจากเก้าอี้ จ้องมองผมนิ่ง แล้วทำถ้าจะเดินออกไป แววตาของเขานั้นฉายชัดว่าผิดหวังในตัวผมเหลือเกิน...
ผมใจสั่นไปหมด จ้องมองแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆห่างออกไป หยุดความคิดทุกอย่างลง แล้วตัดสินใจทำตามความรู้สึกของผมในตอนนี้!
ผมวิ่งเข้าไปกอดเขาไว้จากด้านหลัง...
“ฉันขอโทษ...อย่าไปนะ...อย่าไป” น้ำตาผมไหลออกมา สองแขนกอดรัดเอวเขาไว้แน่น ผมไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น ไม่อยากคิดอีกต่อไปแล้ว...
หนุ่มฝรั่งยืนนิ่งเงียบไป ก่อนจะพูดคำพูดที่ทำให้ผมชะงักเสียงสะอื้นลง
“จริงหรือครับ? คงไม่ใช่เพราะสงสารหรือเห็นใจผมหรอกนะ ผมก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ ถ้าไม่ใช่ความต้องการจากใจคุณจริงๆ ผมคงต้อง...”
“ไม่! ไม่ใช่อย่างนั้น...” ผมตัดบทเขา
“มันเป็นความรู้สึกของฉัน...เป็นความต้องการของฉัน... จริงๆนะ จริงๆ...ฮึก...”
สองมือแกร่งที่ตกห้อยข้างลำตัวของเขา ถูกยกขึ้นมากุมมือของผมเอาไว้ เขาดึงแขนของผมที่กอดเขาไว้ออก ก่อนจะหันกลับมาสวมกอดผมไว้ในวงแขนอย่างแนบแน่น
“ผมดีใจจัง... ดีใจที่คุณก็ต้องการผมเหมือนกัน” หนุ่มฝรั่งมองตาผมอย่างหวานซึ้ง ยกมือเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มผมเบาๆ ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงพรมจูบทั่วใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยน จรดริมฝีปากลงบนปากผมอย่างนุ่มนวลและเนิ่นนาน...
************************************************************