ขอโตดดดที่คราวที่แล้วสั้นเกินปายย

ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ

===================================
ผมกดโทรศัพท์มือถือโทรหาเรโอ เมื่อเช้าตอนผมอาบน้ำมันโทรมาแต่ผมไม่ได้รับ ไม่รู้มันมีอะไรรึเปล่า?
“ฮัลโหลเรโอ มีอะไรรึเปล่าว๊ะ?”
[“อ่าวกาย... ฉันกำลังจะขึ้นไปหาแกนะ แล้วมัวทำไรอยู่วะโทรศัพท์ไม่รับ”] ใจผมหล่นวูบเมื่อได้ยินคำพูดของมัน นี่ถ้าผมออกจากห้องช้าอีกนิดเดียว เจ้าเรโอคงขึ้นมากดกริ่งหน้าห้องแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ ไม่อยากจะคิดเลย...
“เฮ้ยๆ ไม่ต้องขึ้นมาแล้ว ฉันออกมาแล้ว เจอกันที่รถเลยแล้วกัน แค่นี้นะ” กดวางสาย พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถ้าเรโอมันพบไอ้นายแบบนั่นในห้องผม เช้าวันนี้คงได้วินาศยิ่งกว่าเดิม
“เฮ้อ! ชีวิตบัดซบ!” ผมสบถออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ
เรโอมาส่งผมที่บริษัทแล้วมันก็มานั่งเล่นในห้องทำงานผมต่อ ซึ่งก็เป็นปกติของมันอยู่แล้วที่จะมาขลุกอยู่กับผมแบบนี้ ถ้ามันไม่มีงานที่ร้านหรือธุระสำคัญอะไร หรือถ้าเกิดผมงานยุ่งหรือมีประชุมมันก็จะไม่อยู่กวน
“แกโอเครึป่าววะกาย” เมื่อเลขาของผมออกไปมันก็ถามผมขึ้นมา เหมือนกับรอจังหวะอยู่ก่อนแล้ว
“หมายความว่าไง?” ผมไม่เข้าใจ
“ก็ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลยว่ะ ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตอนที่ไปส่งนาย นายดูท่าทางแปลกๆไป ” มันบอกคิ้วขมวด จ้องมองผมเขม็งเหมือนจะคาดคั้นเอาคำตอบ
รสชาติของกาแฟที่เลขาสาวนำมาเสริฟ์ ฝืดเฝื่อนลงไปโดยปริยาย ผมมองมันอย่างหนักใจ รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นห่วงผม แต่ผมคงจะบอกอะไรมันไม่ได้หรอก เพราะผมไม่อยากให้เรื่องมันลุกลามใหญ่โต ไม่อยากให้ใครมาร่วมรับรู้ด้วย เดี๋ยวเรื่องมันจะยิ่งบานปลายเข้าไปกันใหญ่
“ไม่มีอะไรหรอก นายคิดมากไปเองน่า ” ผมยิ้มให้มันเป็นเชิงว่าผมสบายดี มันจะได้หายข้องใจ
“หรือฉันจะคิดมากไปเอง… ท่าจะประสาทแล้วว่ะ ฮ่าๆ” มันมองหน้าผมส่ายหัวไปมา
“แกน่ะ ประสาทมานานแล้วต่างหาก ฮึๆ”
“ฮ่าๆได้โอกาสว่าใหญ่เลยนะเพื่อน” มันขำจนตัวงอ
“แล้วไม่ไปทำงานทำการฟะ อีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะมีประชุมแล้วนะ” ผมบอกมัน เห็นมันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาพลางขมวดคิ้วมุ่น
“ว่าจะไปดูร้านตอนเที่ยงว่ะ ของีบก่อน เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ไม่ไหวจริงๆ” มันนวดกระบอกตาไปมา แล้วเอนตัวนอนราบไปกับโซฟา
“ทำไมวะ?” ผมถามอย่างข้องใจ เพราะดูท่าทางมันเหนื่อยล้าอย่างที่พูดจริงๆ
“ก็สินค้าที่ฉันไปเช็คมีปัญหา เลยต้องวุ่นหาต้นตอความผิดพลาด สาเหตุก็คือบรรจุภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานเพียงพอ เลยทำให้ความชื้นเข้าไปทำให้เครื่องเทศเสียหาย” มันปิดตางึมงำบอก พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เพิ่งจะรู้ ว่าแกก็เอาการเอางานเป็นเหมือนกัน” ผมบอกมันยิ้มๆ มันลืมตาหันมามองหน้าผม แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์แฝงความนัย
“ไม่ทำก็อดมรดกน่ะสิ ที่ฉันทำก็เพื่อแสดงให้แด๊ดเห็นว่าฉันสามารถรับผิดชอบกิจการได้ ฮ่าๆ”
“ไอ้ลูกเวร…” ผมสบถด่ามัน แต่ก็รู้อยู่ว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่ไอ้เจ้าเรโอพูดหรอก ที่มันทำก็เพื่อแบ่งเบาภาระพ่อแม่ เตรียมตัวเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนพ่อมัน
“เออ… งั้นแกหลับไปนะ เดี๋ยวฉันตรวจเซ็นเอกสารก่อน ต้องการอะไรก็บอกเลขาฉันละกัน” ผมบอกพลางลุกขึ้น เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน
“ต้องการตัวเลขาสาวสวยได้ไหมวะ” มันบอกน้ำเสียงทะเล้น
“อย่ามาละเมอ นอนไปเลยไป”
...
การประชุมตอนเช้าเสร็จสิ้นลงโดยที่ผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลย สงสัยผมคงต้องไปอ่านเนื้อหาการประชุมจากเลขาซะแล้วล่ะ ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมรู้สึกไม่สบายใจ เลยไม่ค่อยจะมีสมาธิจดจ่อกับการประชุมเท่าไรนัก
ผมไม่สบายใจเรื่องไอ้บ้านั่น ไม่รู้ป่านนี้มันจะออกไปจากคอนโดตามที่ผมบอกรึเปล่า? คิดไปคิดมาคนอย่างหมอนั่นหรือจะยอมทำตามง่ายๆ ลองได้โอกาสดีๆที่จะได้ใกล้ชิดผมอย่างนี้ มีหรือที่เขาจะยอมถอนตัวจากไปง่ายๆ ท่าทางผมจะคิดตื้นไปจริงๆ
มาลองคิดดูแล้วหมอนั่นก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแต่ที่ผมไม่ชอบใจเลยจริงๆคือไอ้วิธีการทุเรศๆของมัน ทั้งตอนที่มันปล้นสวาทผมตอนเจอกันครั้งแรก และเรื่องหลอกหลวงที่เขาสร้างขึ้นเมื่อวานนี้ ผมยอมรับไม่ได้จริงๆให้ตายสิ
ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยติดใจเอาความใครนานขนาดนี้ แต่สำหรับเรื่องนี้คงยอมง่ายๆไม่ได้ นอกจากว่าเขาจะเลิกยุ่งกับผมแล้วไปให้พ้นหูพ้นตา ผมถึงจะยอมหลับหูหลับตา ลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น กลับมาใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิม
ผมลองนึกทบทวน ถ้าเทียบกับตอนที่ผมรู้จักหมอนั่นครั้งแรก ความเกียจชังเป็นสิ่งที่บ่งบอกความรู้สึกของผมในตอนนั้นได้อย่างเด่นชัด แต่พอมาตอนนี้… ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันเริ่มจางหายไปตั้งแต่เมื่อไร กลับกลายเป็นความรู้สึกหมั่นไส้และไม่อยากยอมแพ้เสียมากกว่า
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผมรู้สึกกลัว… ผมไม่อยากจะยอมรับความเปลี่ยนแปลงนี้เลย เพราะมันทำให้ความรู้สึกของผมไขว้เขว
ทำไม? ทั้งที่มันเป็นความรู้สึกของตัวผมแท้ๆ แต่ทำไมผมถึงไม่สามารถควบคุมมันได้ เหตุใดมันถึงได้พยายามเบี่ยงเบนจากความตั้งใจที่ผมกำหนดล่ะ ผมไม่เข้าใจจริงๆ…
มันเป็นความซับซ้อน ที่ยากเกินกว่าจะอธิบายให้เข้าใจ เพราะขนาดตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจเลย แม้จะใช้ตรรกะใดๆก็คงไม่สามารถอธิบายความผสมปนเปในจิตใจของผมตอนนี้ได้หรอก
เที่ยงกว่าแล้ว แต่ผมไม่มีความรู้สึกอยากอาหารเลย ความคิดคำนึงของผมล่องลอยไปไกล…
ตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว ผมไม่เคยเชื่อถือในความรัก
เมื่อจำความได้ ผมไม่เคยเห็นใบหน้าของแม่มีรอยยิ้มเลย… มีเพียงแววตาเศร้าๆที่ทอดมองมายังผมอยู่เสมอ และหยดน้ำตาที่ไหลรินหลังจากที่พ่อหมางเมินใส่เท่านั้น
ความทุกข์ทรมานเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของแม่ เป็นสิ่งที่ผมชินหูชินตา
แม่รักพ่อมาก ทุ่มเททุกอย่าง แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ช่วยอะไรเลย…
แม้กระทั่งการให้กำเนิดลูกสองคน ก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งพ่อไว้ได้นาน
ผมรู้ว่าที่พ่อแต่งานกับแม่ไม่ใช่เพราะความรัก แต่มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์และความมีหน้ามีตาในสังคม ผิดกับแม่ที่รักพ่อและยอมทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อตอบสนองในความรักที่ทุ่มเทให้
ความต่างกันนี้เป็นเส้นขนานสองเส้นที่ไม่อาจโคจรมาบรรจบเป็นเส้นเดียวกันได้
แต่ผมไม่เคยคิดว่าผลลัพธ์ของพ่อและแม่ของผมจะลงเอยด้วยความเลวร้ายเช่นนี้…
…ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวอะไรอีก กับ ผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีความต้องการที่ไม่เคยพอ…
ผมหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
กับหยกฟ้าคู่มั่นที่พ่อเลือกให้ ถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้มีคนรักอยู่ก่อน แล้วเธอนึกชอบพอผมขึ้นมา ผมก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไร กลับคิดว่าถ้าได้ผู้หญิงดีๆอย่างเธอมาเป็นภรรยา ชีวิตของผมก็คงจะสมบูรณ์จนผู้ชายหลายคนนึกอิจฉา
แต่พอมาคิดถึงเหตุผลของจิตใจดู ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะรักเธอหรือเปล่า? บางที…มันอาจจะมีประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเกิดขึ้นกับผม แบบชีวิตของพ่อกับแม่ก็ได้ ผมจึงไม่สนับสนุนความคิดที่ว่า ‘แต่งๆกันไปอยู่ด้วยกันเดี๋ยวก็รักกันเอง’ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จะมากำหนดความรู้สึกของคนสองคนได้เสมอไป
โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะทำงานสั่นครืดๆขัดจังหวะความคิดของผม ดูที่หน้าจอเป็นเบอร์ที่ผมจำได้ติดตาตั้งแต่เมื่อวาน มือไวกว่าความคิดกดรับสายไป ทั้งๆที่ไม่คิดจะเสวนาด้วย แล้วทำไมผมต้องตื่นเต้นไปกับการโทรมาของคนที่นึกเกลียดด้วย!!
[“ฮัลโหลๆ คุณกายครับ”] ไอ้โรคจิตคนเมื่อวานนั่นแหละ เหอๆ
“นายโทรมาทำไม นี่มันเวลางานนะ ฉันยุ่งอยู่!” ผมว่าเสียงดุ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอย่างที่บอกเลยสักนิด
[“เวลางานอะไรกันครับ! นี่มันเวลาพักเที่ยงแล้วไม่ใช่เหรอ!?”]
“…” ผมจนคำพูด
[“นี่อย่าบอกนะว่า… ตอนนี้คุณยังนั่งทำงานอยู่! ฮึ่ม! ทำไมคุณชอบเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยเนี่ย ดูเวลาซะมั่งสิครับ ตอนนี้คุณควรจะวางมือจากงานทุกอย่างก่อน แล้วไปหาอะไรใส่ท้องซะ! ไม่งั้นผมจะไปหาคุณถึงที่ทำงาน แล้วลากคุณมาทานข้าว!”]
“หยุดเลยนะ! อย่าแม้แค่จะคิด” ผมรีบพูด กลัวไอ้บ้านี่มันทำจริงๆอย่างที่พูด ยิ่งบ้าๆอยู่ด้วย
[“งั้นคุณก็ออกไปทานข้าวซะ แล้วผมจะโทรเช็คอีกที”]
“นี่นายเป็นพ่อฉันหรือไง! ออกคำสั่งอยู่ได้! แล้วนี่อย่าบอกนะว่า… นายยังอยู่ที่ห้องฉัน?” ผมได้ยินเสียงเพลงคลาสสิคดังเบาๆจากปลายสาย ซึ่งเป็นแผ่นเพลงที่ผมฟังค้างไว้เมื่อวันก่อนแล้วยังไม่ได้เอาแผ่นออกจากเครื่อง
[“ก็ใช่น่ะสิครับ ใครจะไปให้โง่ล่ะ หึหึ”]
“ไอ้ๆ…” ผมยังไม่ทันได้ด่ากลับ ไอ้บ้านั่นก็วางไปเสียก่อนอย่างรู้ทัน ทิ้งให้ผมจ้องมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างนึกสาปแช่ง ผมลุกออกจากโต๊ะทำงาน แล้วเปิดประตูออกไปจากห้อง
นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่! ยอมเชื่อฟังทำตามคำสั่งของหมอนั่นเหรอ?
ไม่ๆ ไม่หรอก ผมส่ายหัวไปมา เป็นเพราะผมหิวแล้วต่างหาก ถึงได้จะออกไปกินข้าว
ต้องเป็นแบบนั้นแหละ!
_____________จบตอน______________