ของหมดสต๊อก แต่ตอนนี้ก็กำลังผลิตอย่างด่วนๆอยู่จ้า
แต่ตอนนี้เครื่องจักรเริ่มจะอืด เนื่องจากระบบสั่งงานเริ่มมีปัญหา
ตอนที่15 จึงแต่งมา2เดือนแล้วไม่จบสักที
คาดว่าวันนี้คงได้ฤกษ์เปิดไหดอง(บอร์ดอื่นเขารอกันแหง็กอ่ะ
)
แต่ไม่ต้องห่วงบอร์ดนี้ไม่ดองแน่ หมายถึงช่วงนี้นะ
========================================================================
“เฮ้ย!” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ รีบก้มตัวหลบอย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไรของแกไอ้กาย ฉันยังไม่ได้ขับรถชนคนสักหน่อย” ไอ้เรโอที่เป็นคนขับหันมามองผมอย่างแปลกใจ
ก็จะไม่ให้ผมตกใจได้ไงล่ะ ชาวต่างชาติที่เรโอบีบแตรใส่เมื่อกี้ ผมรู้สึกคุ้นตาอย่างไรไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเองอุปทานไปเองหรือป่าว แต่ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอย่างไรชอบกล
หันหลังกลับไปดูทางกระจกหลังอีกทีเพื่อความแน่ใจ แต่ปรากฏว่าชายคนนั้นได้หายไปแล้ว ผมอาจจะตาฝาดเบลอไปเองคนเดียวก็เป็นได้
“มองหาใครวะ? แกนี้ชอบทำตัวแปลกๆขึ้นทุกวันนะ”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” ผมหันมานั่งสงบเสงี่ยมตามเดิม แล้วตีหน้านิ่งตามปกติ
“เดี๋ยวส่งแกเสร็จ ฉันจะเข้าไปดูร้านเลย กลางวันนี้ไม่แวะไปหานะ กินข้าวให้ตรงเวลาแล้วก็กินยาด้วยล่ะ จะกลับกี่โมงก็โทรมา ฉันจะได้ขับรถมารับ ช่วงนี้แกห้ามขับรถไปไหนมาไหนเองจนกว่าจะหายสนิท เข้าใจไหม? ” มันมาเป็นชุด จนผมแทบกุมขมับ นี่ผมเป็นเพื่อนมันหรือเป็นลูกมันกันแน่เนี่ย
“เออน่า! พูดมากจริง” ผมตอบรับอย่างแกนๆ เมื่อรถจอดสนิทที่ลานจอด ผมก็เปิดประตูก้าวออกจากรถทันที หันไปล่ำลามันคำหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปที่ทางเขา ซึ่งมีลิฟต์ส่วนบุคคลขึ้นไปยังชั้นบน
กดลิฟต์ไปชั้นบนสุด ที่เป็นชั้นทำงานของผม เมื่อก้าวออกมาจากลิฟต์ก็เห็นว่าเลขาสาวประจำตัวผมเพิ่งจะเดินผ่านไป เห็นเธอสะดุ้งนิดๆก่อนจะค่อยๆหันหน้ามาทางผมที่ยืนมองเธออยู่
“อะ...อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านประธาน” เธอกล่าวแม้น้ำเสียงจะยังดูตื่นๆก็ตาม
“ครับ เพิ่งมาหรือคุณสุภวรรณ”
“ค่ะท่าน”
“แล้วเอกสารที่ผมให้เตรียมไว้ล่ะ?” ผมลองถามคำถามที่คิดว่าเธอกลัวที่สุด เพราะเมื่อคืนนี้ผมได้ส่งเมล์ไปหาเธอ บอกให้เธอเตรียมเอกสารที่ผมต้องการเอาไว้ให้พร้อมในเช้าวันนี้ ฉะนั้นเธอก็น่าจะมาก่อนเวลาสักนิดเพื่อเตรียมเอกสารที่ผมสั่งตามความมอบหมาย
แต่เช้านี้ผมไม่อยากจะดุว่าใคร ให้เสียพลังงานสมอง ทั้งๆที่เธอขาดความรับผิดชอบ
“เอ่อ... รอสักครู่นะคะ ดิฉันจะรีบนำไปให้ท่านที่ห้องค่ะ” เธอตอบหน้าซีดๆ
“อืม กาแฟด้วยนะ” สั้นๆง่ายๆไม่ติดใจเอาความ แล้วผมก็เดินผ่านหน้าเธอเข้าห้องทำงานไป
เมื่อเข้ามาในห้องทำงานสิ่งแรกที่ผมเห็นคือกองแฟ้มเอกสารขนาดย่อมๆร่วมสองกอง วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ทำเอาผมแทบหน้ามืดไปเมื่อได้เห็น
ทำใจอยู่สักพักก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่ หยิบแฟ้มทีละแฟ้มเปิดอ่านก่อนจะเซ็นลงไป
ไม่นานเลขาสาวของผมก็เข้ามาในห้องพร้อมเอกสารที่ผมสั่ง แล้วเดินออกไปอีกครั้งเพื่อนำกาแฟมาเสิร์ฟ
ผมนั่งเคลียร์เอกสารต่างๆที่คั่งค้างไว้ในระหว่างที่ผมไม่อยู่ อย่างไม่หยุดพัก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่เอกสารที่อยู่บนโต๊ะก็ยังไม่หมดไปจากโต๊ะผมสักที
จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานผมดังขึ้น จากการติดต่อของเลขาสาวหน้าห้อง
[“ท่านประธานคะ มีคนมาขอพบท่านประธานค่ะ”]
“ใครครับ?” ผมเอ่ยถาม
[“เอ่อ... คุณหยกฟ้าค่ะ”]
คนที่มาเยี่ยมเยียนผมในเวลานี้ ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าน้องหยกมีธุระอะไรสำคัญกับผมหรือเปล่า เธอถึงได้มาหาผมถึงที่ทำงานแบบนี้
“เชิญเธอเข้ามาพบผมได้เลย แล้วอย่าลืมจัดเตรียมเครื่องดื่มให้แขกของผมด้วย”
[“ค่ะท่าน”]
ไม่นานประตูห้องทำงานของผมก็ถูกเปิดออก พร้อมกับที่ร่างบางระหงส์หรือ ว่าที่คู่หมั้นกำมะลอของผม เดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้มทักทาย
“หยกมารบกวนพี่รึเปล่าคะ?” เธอเอ่ยถามพลางกวาดตามองไปรอบๆห้องทำงานผม ก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่ที่กองเอกสารบนโต๊ะทำงาน
หลังจากที่ผมพบกับเธอครั้งแรกในตอนนั้น ผมกับน้องหยกก็สนิทใจกันมากขึ้นกว่าก่อน ต่างคนต่างให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน เพราะเราทั้งสองต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการคลุมถุงชนที่คร่ำครึโบราณ ที่บุพการีของเราเห็นชอบนักหนา
“ไม่หรอกครับ พี่ก็กะว่าจะโทรหาน้องหยกอยู่เหมือนกัน เมื่อวานต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่น้องหยกมาหาแล้วพี่ดันหลับน่ะ”
ผมลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินนำเธอมาที่ชุดโซฟารับแขกภายในห้อง
“เชิญตามสบายครับ” ผายมือเชิญเธอนั่งแล้วผมจึงค่อยนั่งตาม เห็นเธอนั่งมองผมอยู่สักพักไม่ได้พูดอะไร เหมือนกับกำลังลังเลอะไรบางอย่าง ไม่กล้าที่จะพูดออกมา
“น้องหยกมีอะไรหรือเปล่าครับ? ถ้าพี่พอจะช่วยได้พี่ก็ยินดี” กล่าวเกริ่นเอาไว้เพื่อให้เธอสบายใจ แม้จะไม่รู้ว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้าง
“คือว่า... เรื่องที่หยกมาเมืองไทยครั้งนี้น่ะค่ะ มันมีสาเหตุ...” เธอหยุดค้างไว้ ช้อนตามองผมอย่างไม่แน่ใจ
“พี่ก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าต้องมีสาเหตุ ลองบอกมาดูสิครับว่าเป็นยังไง เผื่อจะได้ช่วยกันแก้ไข น้องหยกจะได้สบายใจขึ้น”
“คือ... ไม่รู้ว่าจะรบกวนพี่รึเปล่า เห็นพี่งานยุ่งๆก็เลยยิ่งไม่กล้าพูด กลัวว่ามันจะเป็นปัญญาให้พี่วุ่นวาย ” ผมได้แต่ยิ้มบางๆให้ รอให้เธอพูดต่อ
“เรื่องของเรื่องก็คือ...” แล้วน้องหยกก็คลายความหนักใจทั้งหมดของเธอออกมาให้ผมได้รับรู้ ซึ่งผมก็หนักใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ฟังเธอเล่าจนจบ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ตัวต้นเหตุก็คือ พ่อผมคนเดียวไม่ใช่ใครที่ไหนเลย...
เรื่องมันมีอยู่ว่า... เมื่อสองวันก่อน พ่อผมได้ไปหาพ่อของน้องหยกที่เป็นเพื่อนกันที่ลอนดอน ทั้งคู่คุยกัน แล้วตกลงกันเองว่า ช่วงซัมเมอร์นี้จะให้น้องหยกมาอยู่ที่ไทย เพื่อให้น้องหยกกับผมกระชับความสัมพันธ์กัน โดยไม่มีการถามความเห็นของเราทั้งคู่แต่อย่างใด แถมน้องหยกยังถูกบังคับอย่างเสียไม่ได้ เพราะเธอกลัวว่า ถ้าปฏิเสธไป พ่อเธอจะสงสัย และอาจจะสาวไปถึงแฟนหนุ่มของเธอที่แอบคบกัน
พ่อของน้องหยก ท่านไม่ชอบให้น้องหยกคบหาแฟนเป็นพวกฝรั่งมังค่าผลผลิตต่างชาติ ไม่ชอบชนิดที่ว่า สั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ท่านนิยมแต่ของไทยและใช้ของไทย โดยเฉพาะหนุ่มที่มาคบกับลูกสาวตน จะต้องเป็นคนไทยเท่านั้น แถมยังเลือกคุณภาพ ให้เหมาะสมกับลูกสาวอีกต่างหาก
และไม่รู้ว่าเป็นกรงกรรมกรงเกวียนอะไรของผม ที่ดันเกิดเป็นลูกชายเพื่อนสนิทของพ่อหล่อนเสียได้ แต่ท่าทางปัญญาหาของน้องหยกจะหนักยิ่งกว่าผม เพราะผมไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อเรื่องแบบนี้เท่ากับเธอ
หยุดซัมเมอร์ เป็นช่วงที่เธอกับแฟนหนุ่มเฝ้ารอคอยอยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่วางแผนกันว่าจะไปสวีทคลายร้อนกันที่มัลดีฟให้สุขสันต์ แต่พ่อผมดันไปทำลายแผนการทุกอย่างของทั้งคู่พังครืนลงอย่างไม่ได้เจตนา น้องหยกนำเรื่องนี้ไปปรึกษาแฟน ทั้งคู่จึงตกลงกันว่า จะเปลี่ยนสถานที่สวีท จากมัลดีฟเปลี่ยนไปที่ภูเก็ตเมืองไทยแทน
แต่ปัญญาของเธอก็ติดตรงที่ว่า จะไปหาแฟนหนุ่มที่รออยู่ที่ภูเก็ตอย่างไร โดยไม่ทำให้พ่อผมสงสัย!
เอาอีกแล้วเรื่องหน้าปวดหัว! เป็นปัญหาวุ่นวายอย่างที่เธอว่าก่อนหน้านี้จริงๆ แล้วผมจะช่วยเธอได้ยังไงเนี่ย! แต่จะทำเมินเฉยก็คงจะไม่ได้ เพราะปัญหานี้ก็มีผมเป็นส่วนเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน
====================================================================
ขอบคุณในทุกรีพลายค่ะ