บทที่27 ความไว้ใจ
ฟ่งเบิ่งนัยน์ตากว้าง เลื่อนมือขึ้นขยับแว่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผู้เอ่ยทักเป็นเด็กหนุ่มวัยราวๆ สิบเก้ายี่สิบปี สวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีกรมท่า คาดแถบเหลือง ผมสีดำ และนัยน์ตาสีดำสนิท ใบหน้าบ่งบอกว่าเป็นชาวเอเชีย และแน่นอนว่าต้องเป็นคนไทยแน่ๆ
“พี่ฟ่ง?” น้ำเสียงนั้นเอ่ยอย่างไม่แน่ใจอีกครั้ง บางทีอีกฝ่ายอาจจะคิดว่าตัวเองทักคนผิด ในที่สุดฟ่งก็โพล่งออกมา
“กฤษต์?!”
สีหน้าลังเลของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างอย่างดีใจทันที
“พี่ฟ่งจริงๆ ด้วย พี่มานี่ได้ไงเนี่ย?!”
ฟ่งสะอึกเล็กน้อยกับคำถามของเด็กหนุ่ม เขาพยายามนึกหาคำตอบที่ดีกว่าการพูดความจริง กฤษต์มองไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวชาวยุโรปที่ดูเหมือนว่าจะมาด้วยกันแล้วพูดขึ้นต่อ
“พี่มาเที่ยวกับเพื่อนเหรอ?”
ฟ่งพยักหน้า นึกดีใจที่อีกฝ่ายช่วยคิดคำตอบให้ เด็กหนุ่มมองหน้าเขาและมองไปด้านหลังอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากอย่างไม่แน่ใจ
“นี่ผมรบกวนเวลาพี่รึเปล่า?”
ฟ่งรีบส่ายหน้าทันที “เปล่าเลย พี่กำลังนึกอยากเจอเพื่อนคนไทยอยู่พอดี”
กฤษต์ทำหน้าดีใจระคนแปลกใจ ชายหนุ่มสวมแว่นจึงรีบพูดขึ้นต่อ “เธอมาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย พี่คิดว่าจะเรียนมหาลัยเสียอีก”
“อ้อ ผมได้ทุนมาเรียนต่อวิศวะที่นี่น่ะ”
“เก่งนี่” ฟ่งเอ่ยชม ผู้ถูกชมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับคำชมนั้น และพูดขึ้นต่อ
“พี่เจอพงษ์มันบ้างรึเปล่า ก่อนมานี่ผมล่ะปวดหัวกับมันจริงๆ เรียนจบแล้วท่าทางมันจะยิ่งอาการหนัก ไม่รู้ตอนนี้จะผ่าตัดแปลงเพศไปแล้วรึเปล่า” พูดพลางทำสีหน้าละเหี่ยใจ
ฟ่งยิ้มแห้งๆ กฤษต์เป็นน้องชายแท้ๆ ของเพื่อนสนิทของเขา วุฒิพงษ์ หรือที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นพัชไปแล้ว คำถามของกฤษต์ทำให้ฟ่งแน่ใจว่ากฤษต์ยังไม่รู้เรื่องที่พงษ์ผ่าตัดแปลงเพศ แปลว่าพี่น้องสองคนนี่คงไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว
แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่พงษ์และกฤษต์แทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ทั้งเรื่องความชอบส่วนตัว การเรียน นิสัย ยกเว้นความใกล้เคียงกันของหน้าตา และนั่นทำให้กฤษต์รู้สึกหัวเสียทุกครั้งที่มีใครทักเขาว่าเหมือนพี่
กฤษต์เป็นเด็กหนุ่มที่ร่าเริง และกล้าแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ชอบอะไรก็พูดอย่างนั้น และแน่นอนว่าเขาไม่ชอบใจสักนิดที่พี่ชายของตัวเองมีความผิดปกติทางเพศ นั่นทำให้พี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร อย่างไรก็ดี ดูเหมือนกฤษต์จะถูกชะตากับฟ่งอยู่มาก นั่นทำให้พงษ์อดจะแขวะทั้งคู่บ่อยๆ ไม่ได้ว่า กฤษต์น่าจะไปเกิดเป็นน้องชายของฟ่ง มากกว่าเกิดเป็นน้องชายเขา
“วันก่อนเพิ่งนัดรวมรุ่นกันไปน่ะ” ฟ่งกล่าว และเลือกที่จะไม่พูดเรื่องที่พงษ์แปลงเพศแล้ว กฤษต์ยักไหล่ แสดงทีท่าว่าไม่อยากให้ความสำคัญกับผู้เป็นพี่ชายมากเท่าไรนัก
“พี่มาซื้อของเหรอ?” เขาเอ่ยถามอีก และหันไปเอ่ยทักทายชายหนุ่มสองคนและหญิงสาวที่คิดว่าเป็นเพื่อนของฟ่งเป็นภาษาฮังกาเรียน “Jo nappot kivanok A nevem Krish, Fong baradja vagyok.”
คลาวเดียกล่าวทักทายกลับพร้อมยิ้มอย่างเป็นมิตร ขณะที่ราฟาแอลตอบพอเป็นพิธี
“เพื่อนกันหรือครับ?” รูฟัสผู้ที่แค่พยักหน้าให้ เอ่ยถามเป็นภาษาไทยออกมา ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ และถอยห่างออกมาอย่างลืมตัวอีกครั้ง รูฟัสถอนหายใจเบาๆ ขณะที่ราฟาแอลหัวเราะขึ้นจมูก
กฤษต์มีสีหน้าประหลาดใจ และเปลี่ยนเป็นอยากรู้อยากเห็น “พูดภาษาไทยได้ด้วย! เพื่อนพี่ฟ่งที่เมืองไทยเหรอ?”
“อืม” ฟ่งส่งเสียงตอบรับในลำคอ ก่อนจะพูดต่อ “เพื่อนข้างห้องน่ะ”
คำว่าเพื่อนข้างห้องที่ฟ่งพูดออกมา ทำเอารูฟัสรู้สึกเหมือนถูกต่อย ทำไมน้ำเสียงและวลีนั่นถึงได้ดูเย็นชาและห่างไกลนัก กฤษต์เบิ่งตากว้าง มองรูฟัสขึ้นๆ ลงๆ อย่างสำรวจ นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีรู้สึกไม่ค่อยพอใจ มันทำให้รู้สึกว่าเด็กคนนี้พลอยจะไม่ไว้ใจเขาไปอีกคน
“สนิทกันจัง เพื่อนผมที่อยู่ห้องติดกันมันยังไม่ยอมพาผมไปเที่ยวเลย อยู่ประเทศตัวเองแท้ๆ”
ฟ่งหัวเราะแห้งๆ นี่ถ้าเด็กคนนี้รู้ว่าเขากับคนข้างห้องมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งเกินกว่าเพื่อนข้างห้อง จะทำสีหน้าแบบไหนนะ เมื่อนึกถึงสีหน้าของกฤษต์เมื่อพูดถึงพงษ์แล้วชายหนุ่มก็ตกลงใจว่าจะไม่ยอมให้กฤษต์รู้เรื่องของเขาอย่างเด็ดขาด
“พี่จะอยู่ที่นี่นานรึเปล่า ผมพักอยู่หอที่เวสเปรมนี่เอง” กฤษต์เปลี่ยนเรื่อง ฟ่งขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวสเปรมคืออะไร กฤษต์มองหน้าเขา และเหมือนจะรู้ว่าฟ่งไม่เข้าใจ จึงรีบพูดขึ้นต่อ “มันอยู่เมืองถัดไปนี่เองพี่ นั่งรถบัสไปสักสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว”
“พี่นั่งไม่เป็นหรอก”
“พี่ให้เพื่อนช่วยพาไปก็ได้” เด็กหนุ่มว่า แต่พอหันไปมองสีหน้าของรูฟัส เด็กหนุ่มชะงักไปนิดหน่อย และหยิบประเป๋าสตางค์ขึ้นมา
“เอางี้ พี่ขึ้นรถบัสไปก็ได้ ถ้าจากถนนนี่ก็ไปขึ้นที่ป้ายฝั่งตรงข้าม เลือกสายที่ไปตามถนนเปเตอฟี ชานดอร์นะ นั่งสายอื่นเลยไปถึงติฮานย์ผมไม่รู้ด้วย ตรงป้ายรถเมล์มันจะมีตารางเวลาที่บัสมาถึง ก็ดูเวลาไว้แล้วก็มารอนะครับ แล้วเอาตั๋วนี่ตอกกับเครื่องสีแดงๆ ในรถ นั่งไปประมาณเกือบๆครึ่งชั่วโมงได้มั้ง ถึงเวสเปรมแล้วก็รู้เอง เพราะมันจะไปจอดตรงท่ารถบัสเลยง่ายกว่า ผมอยากให้พี่แวะมาหาก่อนกลับ จริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าจะได้เจอคนรู้จักที่นี่หรอก”
“พี่ก็ไม่คิดว่าจะเจอเหมือนกัน” ฟ่งว่า หลังจากฟังคำอธิบายยาวเหยียดที่เขายอมรับว่าจำได้ไม่ถึงครึ่ง
กฤษต์หยิบตั๋วรถบัสออกมา และหยิบปากกาขึ้นมาเขียนตัวเลขชุดหนึ่งลงไปบนเศษกระดาษและยื่นให้ฟ่ง “นี่ตั๋วรถกับเบอร์โทรผม พี่ลงรถแล้วโทรมาก็ได้ เดี๋ยวผมไปรับ ช่วงนี้ปิดเทอมอยู่น่ะ”
ฟ่งพยักหน้า แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะไปหาตามที่ว่าได้อย่างไร
“พี่จะลองไปแล้วกัน” เขาเอ่ย เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะถูกเรียกด้วยเสียงโหวกเหวกด้านหลัง
“โอ๊ย! ต้องไปแล้วพี่ ไอ้เพื่อนมันมาตามแล้ว ไว้เจอกันนะ” กฤษต์พูดเร็วปรื๋อ ขณะที่เสียงตะโกนเรียกดังซ้ำขึ้น ฟ่งโบกมืออย่างงงๆ ขณะมองเด็กหนุ่มวิ่งกลับไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนชาวต่างชาติ
---------------------------------------
แสงสว่างแรกจากดวงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่เข้ามาในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีดำสนิทตัดสั้นหรี่นัยน์ตาสีฟ้าใสเพื่อปรับให้เข้ากับแสงสว่างนั้น พลางคิดว่านานเท่าไรกันนะที่เขาไม่เคยเปิดผ้าม่านเพื่อรับแสงแดด
เว่ยเฟิงปิงบิดตัวอย่างเกียจคร้านภายใต้ผ้าห่มนวมสีครีมอ่อน เขาอยู่ในชุดนอนแพรสีน้ำตาล ปกติเว่ยเฟิงปิงไม่ได้ตื่นสาย แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นเช้าขนาดนี้ การที่จางซื่อเยี่ยนย้ายเข้ามาอยู่ร่วมห้องด้วยทำให้วิถีชีวิตของเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อย
หนุ่มชาวฮ่องกงวัยยี่สิบสี่คนนี้ ถูกพ่อของเขาเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก เว่ยชิงชุบเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้หลายคน จุดประสงค์ก็เพื่อไว้ใช้ทำงานสำคัญภายในแก๊ง บางครั้งเว่ยเฟิงปิงก็นึกอิจฉาว่า ทำไมพ่อของเขาจึงไม่เลี้ยงดูเขาบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะนำมาขบคิดให้วุ่นวาย เพราะอย่างไรเสีย เวลาก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว และเว่ยเฟิงปิงก็ไม่เคยคิดอยากจะย้อนกลับไปด้วย
แม้ว่าจะย้ายมาอยู่ร่วมห้องกันแล้ว แต่จางซื่อเยี่ยนยังคงใช้ชีวิตประจำวันแทบจะตามตารางเดิมทุกอย่าง เขาตื่นแต่เช้าตรู่ จัดการเรื่องเวรยาม เตรียมเอกสาร สั่งแม่บ้านให้เตรียมอาหาร และปลุกเจ้านาย เว่ยฟิงปิงคิดว่าสิ่งที่จางซื่อเยี่ยนได้ทำเพิ่มคือการลุกอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เขาตื่น ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะเขาก็ตื่นขึ้นมาทุกที
เว่ยเฟิงปิงซุกกายกลับเข้าไปในผ้าห่ม แสงสว่างจากม่านหน้าต่างที่จางซื่อเยี่ยนเปิดทิ้งไว้ทุกเช้าไม่ใช่สิ่งที่รบกวนเวลานอนของเขา
ไฟล์ลับที่ได้จากรูฟัสเมื่อวันก่อนต่างหาก ที่ทำให้เขานอนหลับไม่สนิทมาหลายคืน
ไม่ใช่เพราะว่ามันผิดพลาด หรือเปิดไม่ได้ แต่เพราะว่าข้อมูลที่ได้มานั้นมีมูลค่ามากกว่าที่เว่ยเฟิงปิงคาดเอาไว้มาก ชายหนุ่มกำลังลังเลใจว่าจะเก็บข้อมูลบางส่วนไว้ หรือมอบมันให้กับเว่ยชิงทั้งหมดดี
หากเขาทำตัวตรงไปตรงมา มอบข้อมูลทั้งหมดไป สิ่งที่ได้กลับมาคงเป็นความไว้วางใจที่เพิ่มมากขึ้น และผู้เป็นบิดาของเขาอาจจะเปิดทางให้เขาก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงไปกว่านี้ แต่นั่นก็หมายถึงว่าเขากำลังทำตัวเป็นเครื่องมือที่ซื่อสัตย์และแสนดีให้ผู้เป็นบิดา ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มพอใจเท่าไรนัก
ในทางกลับกัน เว่ยชิงไม่มีทางรู้เลยว่าเขาได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง ดังนั้นการเก็บไว้บางส่วนน่าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยนัก และการเก็บข้อมูลบางส่วนเอาไว้ในมือทำให้เขามีอำนาจในการต่อรองเพิ่มขึ้นอีกในภายภาคหน้า อย่างไรก็ตามหากเว่ยชิงเกิดระแคะระคายขึ้นมา เรื่องราวต่างๆ ที่จะตามมาคงไม่ค่อยจะโสภานัก
ชายหนุ่มพลิกตัว พยายามชั่งน้ำหนักเหตุผลเพื่อที่จะตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไร อีกไม่นานหากเขายังเงียบ ผู้เป็นพ่อคงต้องส่งใครมาทวงถาม
ใบหน้าของเว่ยจินหยินผุดขึ้นมาในหัวสมองทันที
คิ้วเรียวได้รูปของเว่ยเฟิงปิงขมวดเข้าหากันเมื่อนึกถึงผู้เป็นพี่ชาย เขาไม่เคยนึกจะชอบหน้าพี่ชายคนนี้นัก ไม่สิ เขาไม่ชอบหน้าพี่น้องสักคนเลยต่างหาก แต่กับเว่ยจินหยินแล้ว คำว่าเกลียดขี้หน้าดูจะเหมาะมากกว่า สำหรับเขาแล้วชื่อของเว่ยจินหยินนั้นเหมือนมีดคมๆ ที่คอยรอท่าจะเสียบเขาอยู่เสียร่ำไป เปิดช่องว่างเมื่อไร อาจจะตายโดยไม่รู้ตัวก็ได้
นอกจากจะรู้จักกันในฐานะคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยแล้ว เว่ยจินหยินยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะ ผู้ชายที่เลวร้ายที่สุดในฮ่องกงอีกด้วย
เว่ยจินหยินได้รับฉายานี้มาก่อนที่เว่ยเฟิงปิงจะมาถึงฮ่องกงเสียอีก จากข่าวลือที่ว่าเขาพยายามจะฆ่าน้องชายตัวเองไปถึงสามคน และทำสำเร็จเสียด้วย แม้ว่าอีกคนหนึ่งจะเป็นเจ้าชายนิททราก็ตาม
เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าข่าวลือนี้มีมูลความจริงมากน้อยเพียงไร แต่ที่แน่ๆ เว่ยจินหยินก็คงไม่พอใจขี้หน้าของเขาเท่าไรนัก ดูจากการมาคอยสอดคอยแทรก หาช่องว่างจะทำลายเขาในแทบทุกเรื่อง แน่ล่ะ ก็เขาทำตัวเป็นคู่แข่งแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลนี่นา
การที่เว่ยเฟิงปิงรู้สึกรังเกียจพี่ชายคนนี้เป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่เพราะเว่ยจินหยินชอบคอยขัดแข้งขัดขาเขาเท่านั้น แต่เป็นเพราะจังหวะในการเข้ามายุ่งย่ามนั้นช่างพอเหมาะพอดีกับช่วงที่เขากำลังจะพลาดไปเสียทุกที
นั่นอาจจะเป็นเพราะเว่ยจินหยินมีวิธีคิดแบบเดียวกับเขาก็ได้ เผลอๆ จะคิดนำหน้าเขาไปอีกก้าวหนึ่งด้วยซ้ำ
เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะยอมรับในข้อนี้ แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ ทุกครั้งที่เขาเจอหน้าพี่ชาย เขาบอกได้แค่ว่าเจ้าหมอนี่คงมีแผนชั่วร้ายอะไรบางอย่าง แต่เว่ยจินหยินกลับดูแผนของเขาออกทะลุปรุโปร่ง เมื่อนึกถึงใบหน้าที่แสร้งทำเป็นแปลกใจตอนที่พบเขาในห้องพักของจางซื่อเยี่ยนแล้ว เว่ยเฟิงปิงยิ่งรู้สึกหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก
สักวันเขาจะต้องลบชื่อของเว่ยจินหยินออกไปจากโลกให้ได้
-----------------------------------------------
“คุณชาย?” เสียงเรียกนั้นไม่ได้ทำให้เว่ยจินหยินสะดุ้ง แต่เกิดจากความรู้สึกหนาวที่วาบเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในจังหวะที่พอดีกับเสียงเรียกนั้นต่างหาก ดูเหมือนผู้ที่เรียกจะพลอยเข้าใจผิดคิดว่าทำให้เขาตกใจ จึงรีบพูดต่อ “ขออภัยครับ”
ชายวัยสี่สิบเศษกล่าวอย่างเคารพให้กับเจ้านายผู้อ่อนวัยกว่าเขาเป็นสิบปี เว่ยจินหยินขยับแว่นตากรอบทองและเขม่นมองใบหน้าที่เหมือนไม่เห็นมานานมากแล้วนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยทักอย่างดีใจ “อ่าว อาซาน”
ผู้ถูกเรียกว่าอาซานยิ้มตอบคำทักทายนั้น เขาเป็นชายวัยสี่สิบเศษที่ดูดีในแบบของคนทำงาน ผมสีดำตัดสั้นที่เริ่มมีสีขาวแซมก่อนวัย ใบหน้าคม สันกรามนูน ผิวคล้ำเพราะแสงแดดเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทราวหินน้ำตก สวมเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนและกางเกงสแลกสีน้ำตาลเข้ม ที่ดูสะดุดตาคงเป็นรอยไหม้เล็กๆ บริเวณใต้แก้มซ้าย
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ”
เว่ยจินหยินรีบโบกมือเป็นเชิงห้าม “ฉันได้ยินเสียงเคาะประตูแล้ว เอาเถอะ ฉันไม่ได้สะดุ้งเพราะเสียงของนายหรอก นั่งก่อนสิ”
ผู้ถูกเชื้อเชิญลากเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ เข้ามานั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของเว่ยจินหยิน และหยิบกระเช้าผลไม้ที่หิ้วเข้ามาวางลงบนโต๊ะ เว่ยจินหยินเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจอีกครั้ง
“คราวนี้ไม่ได้ใส่ถุงพลาสติกมาเหรอ?”
ผู้ถูกทักหัวเราะร่วน “กระเช้านี้อาซิงเป็นคนจัดน่ะครับ ผมแวะไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้เห็นเด็กเร่ขายอยู่เลยช่วยซื้อมา”
“อ้อ เด็กที่ขายส้มเพื่อจ่ายค่าเทอมน่ะรึ? ฉันเห็นในหนังสือพิมพ์แล้วล่ะ แล้วอาซิงสบายดี?”
ชายหนุ่มผู้มีวัยสูงกว่าพยักหน้า “สบายดีครับ ออกเวรมาเห็นถุงส้มวางอยู่คงรู้ว่าจะเอามาให้คุณ เลยเอาไปจัดกระเช้าเสียสวย แต่ว่าคุณไม่ได้เจอกับเธอตอนไปเยี่ยมซื่อเยี่ยนเหรอ?”
เว่ยจินหยินสั่นศีรษะ “เปล่า ฉันไม่อยากไปรบกวนเธอ เห็นว่างานยุ่งๆ อ๊ะ ขอบใจ”
ชายหนุ่มกล่าว และรับส้มที่แกะเปลือกแล้วมาทาน อาซาน หรือเถียนซาน กองเปลือกส้มไว้ข้างกระเช้า และเริ่มแกะอีกลูกหนึ่ง เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเถียนซิง และเคยเป็นหัวหน้าของจางซื่อเยี่ยน เถียนซานมองดูบุตรชายคนที่สองของผู้เป็นเจ้านายใหญ่บิส้มเข้าปากแล้วนึกถึงเรื่องราวในอดีต
ตอนสมัยที่อายุได้ราวๆ สิบห้าสิบหกปี เถียนซานได้รับมอบหมายให้ดูแลเว่ยจินหยินที่ตอนนั้นเพิ่งอายุเพียงแค่สี่ขวบ เรื่อยมาจนกระทั่งเว่ยจินหยินไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ หลังจากกลับมา เขาก็ทำงานรับใช้เว่ยจินหยินอีกเป็นเวลาหลายปี ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันเป็นพิเศษ เฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้นที่เว่ยจินหยินจะแสดงท่าทีสบายๆ ออกมา
เว่ยจินหยินเหลือบตามองลอดแว่น ด้วยสายตาตาที่เหมือนกับเด็กๆ ก่อนจะรับส้มที่ปอกเปลือกแล้วไปทานต่อ เขารู้สึกสบายใจเวลาที่มีผู้ชายคนนี้อยู่ใกล้ๆ ไม่ไม่ต้องวางท่า ไม่ต้องปั้นสีหน้า เฉพาะเถียนซานเท่านั้นที่เขาสามารถจะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกไปได้
“นี่” เว่ยจินหยินพูดหลังจากทานส้มลูกที่สี่หมด ส้มเป็นผลไม้โปรดของเขา เรื่องนี้มีแต่สองพี่น้องแซ่เถียนเท่านั้นที่รู้ดี
“วันหลังบอกอาซิงว่าให้ใส่ถุงมาเหมือนเดิมนั่นแหละดีแล้ว ตะกร้านี่เอาไว้ก็เกะกะ”
“ถ้าอาซิงได้ยินคงทำหน้างอนให้ได้ง้อแน่
เว่ยจินหยินหัวเราะเบาๆ พลางนึกถึงใบหน้าของเถียนซิงเวลางอน คงดูไม่จืด
“พักนี้ดูว่าอาซิงจะสนิทกับเฟิงปิงนะ”
“อืม ปกติคุณชายเจ็ดก็ชอบเรียกใช้งานอาซิงอยู่แล้ว ยิ่งซื่อเยี่ยนมาบาดเจ็บแบบนี้อีก ก็คงมีเรื่องให้คุยกันล่ะครับ”
“ฉันได้ยินว่าเฟิงปิงย้ายซื่อเยี่ยนไปอยู่ห้องเดียวกัน นายคิดว่าไง?”
เถียนซานขมวดคิ้วกับคำถาม เว่ยจินหยินเลยอธิบายต่อ “ฉันน่ะ ไม่ได้คิดไม่ดีอะไรกับซื่อเยี่ยนหรอกน่ะ แต่ก็รู้อยู่ว่าเฟิงปิงน่ะไม่ปกติ หมายถึงเรื่องรสนิยมเรื่องพรรณนั้น”
“เรื่องที่คุณเฟิงปิงเป็นเกย์น่ะหรือครับ?”
เว่ยจินหยินพยักหน้า และพูดต่อด้วยสีหน้าค่อนข้างจะรังเกียจ
“บอกตรงๆ ว่าฉันยังรับเรื่องนั้นไม่ค่อยได้ ไม่รู้ว่าคุณพ่อทนรับเด็กนั่นกลับมาได้ยังไง แต่เอาเถอะ ฉันก็แค่กลัวว่าซื่อเยี่ยนจะโดนทำมิดีมิร้าย”
เถียนซานแทบจะหัวเราะออกมา เขากลั้นยิ้มไว้อย่างเต็มที่ จนอีกฝ่ายต้องทัก “ทำไมล่ะ ตลกเหรอ?”
เถียนซานพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด ก่อนจะรีบอธิบาย
“คือ พอนึกภาพว่าคุณชายเจ็ดจะทำอะไรอาซื่อแล้วผมอดขำไม่ได้น่ะ คุณชายเจ็ดคงทำอะไรอาซื่อไม่ได้หรอกครับ ยกเว้นว่าอาซื่อจะสมยอมเอง อันนั้นคงเป็นอีกเรื่อง”
“อืม..” เว่ยจินหยินทำท่าคิดหนัก
“ฉันคงเป็นห่วงมากไป” เขากล่าวพลางถอนหายใจในที่สุด
“บางทีเฟิงปิงคงอยากจับตามองอาซื่อมากกว่า หลายวันนี้เขาไม่ได้ติดต่อมาที่นี่เลย”
“ปกติอาซื่อก็ไม่ค่อยจะติดต่อมาอยู่แล้วล่ะครับ คุณท่านวางใจเขามาก”
“เรียกว่าไม่ใส่ใจจะดีกว่า” เว่ยจินหยินพูดสวนขึ้น พลางทำหน้าแปลกๆ
“ฉันไม่ชอบเลยที่คุณพ่อให้เด็กนั่นกลับเข้ามาในแก๊ง เฟิงปิงเจ้าเล่ห์เหมือนงู เวลามองตาสีฟ้านั่นแล้ว ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย”
เถียนซานลองนึกภาพแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาไม่ค่อยจะได้พบกับเว่ยเฟิงปิงบ่อยนัก แต่ความรู้สึกที่เจอแล้วไม่ทำให้สบายใจเลยนั้นมันเหมือนกับตัวบ่งบอกลักษณะของเด็กผู้ชายคนนั้นได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาสีฟ้าที่เจ้าเล่ห์ราวพญางูนั้น ไม่ว่าใครที่ได้พบก็คงลืมไม่ลงเช่นกัน
“คุณท่านคงอยากให้เกิดการแข่งขันขึ้นในครอบครัวน่ะครับ”
เถียนซานออกความเห็นไปตามตรง ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอ้อมค้อมกับเว่ยจินหยิน การอ้อมค้อมมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายเลิกพูดคุยด้วยเท่านั้น เว่ยจินหยินเป็นคนที่เก่งในเรื่องการพูดอ้อมค้อมวกวน แต่กลับไม่ชอบให้ใครมาพูดจาอ้อมค้อมด้วย เถียนซานคิดว่าการที่เว่ยจินหยินพูดคุยกับเขาแบบนี้ คงมีจุดประสงค์จะสืบเรื่องราวของผู้เป็นน้องชายแน่ๆ
ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังหลังโต๊ะทำงานยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด เขามองดูชายผู้สูงวัยกว่าที่นั่งอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับเปลือกส้ม พลางคิดว่าคนคนนี้แหละที่เข้าใจเขาทะลุปรุโปร่ง และตัดสินใจว่าจะเลิกพูดอ้อมค้อมเสียที
“ก็จริงของนาย แต่ฉันรู้สึกไม่ไว้วางใจเด็กนั่นเลย ก่อนหน้านี้ตอนฉันแวะไปเยี่ยม เฟิงปิงยังไม่ได้ข้อมูลของริเวิล แต่หลังจากนั้นไม่นาน ริเวิลก็เริ่มเคลื่อนไหว”
“ที่บุกไปป้วนเปี้ยนแถวบ่อนของโจวยี่หรือครับ?”
“อืม” เว่ยจินหยินพยักหน้า และพูดต่อ “ดูเหมือนว่าเฟิงปิงจะให้การคุ้มครองสายลับและตัวประกันที่เขาจับมา และให้โจวยี่ส่งสองคนนั่นออกจากฮ่องกงในคืนนั้นเลย เขาคงได้ข้อมูลแล้ว แต่ทำไมถึงยังเงียบอยู่”
“อาจจะกำลังตรวจสอบอยู่ก็ได้ครับ” เถียนซานออกความเห็น แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงการพูดคุยเป็นเพื่อน เขารู้ดีว่าเว่ยจินหยินคิดคำตอบไว้แล้วทุกอย่าง การถามออกมาเป็นเพียงการต่อประโยคเท่านั้น
“ไม่หรอก” ชายหนุ่มกล่าว พลางขยับแว่นอีกครั้ง
“อย่างเฟิงปิงน่ะ จะตรวจสอบข้อมูลพวกนั้นใช้เวลาไม่ถึงวันก็ตรวจได้แล้ว ฉันว่าเด็กนั่นคงคิดว่าจะส่งข้อมูลนั่นให้คุณพ่อทั้งหมด หรือจะเก็บบางส่วนเอาไว้แน่ๆ”
เถียนซานนิ่งนึกไปครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมพูดต่อ จึงพูดแทรกขึ้น “แล้วถ้าเป็นคุณล่ะครับ คุณจะเลือกทำแบบไหน?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากได้รูปของเว่ยจินหยิน ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
“ก็เพราะแบบนี้แหละฉันถึงได้หนักใจ ความจริงฉันน่าจะคุยกับคุณพ่อ แต่พักนี้ท่านไม่ค่อยจะว่าง รู้สึกว่าจะไปดูงานที่บริษัทของพี่ชายใหญ่ คงจะไปแผ่บารมีตามประสาคุณพ่อนั่นแหละ”
เว่ยจินหยินเงียบไปพักหนึ่ง เขามองหน้าเถียนซาน และพูดขึ้น “นี่....นายว่าฉันควรจะแวะไปหาเฟิงปิง หรือว่าจะคุยกับคุณพ่อก่อนดี”
เถียนซานมองหน้าอีกฝ่าย พลางคิดว่าทางนั้นต้องการความเห็นจริงๆ หรือแค่ถามประกอบการพูดเท่านั้น
“ทำอย่างที่คุณคิดเถอะครับ แต่สำหรับผม คิดว่าน่าจะเรียนเรื่องนี้กับคุณท่านไว้สักหน่อย”
เว่ยจินหยินพยักหน้าอย่างเข้าใจ และรับส้มที่แกะเปลือกแล้วไปอีกลูก
“อาซาน ถ้าไม่รีบกลับล่ะก็ ไปทานข้าวด้วยกันสิ เที่ยงนี้ฉันไม่มีนัดหรอก” คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเอ่ยปากชวน หลังจากหมดส้มลูกที่ห้าไปแล้ว เถียนซานพยักหน้า
ดูเหมือนว่าคุณชายรองของเขาคนนี้คงกำลังวางแผนอะไรอยู่อีกแน่ๆ
---------------------------------------------------------------------
รูฟัสมองดูเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เดินเข้ามาคุยกับฟ่ง วิ่งเข้าไปสมทบกับกลุ่มเพื่อน และเดินหายลับออกไปอีกฟากถนน ก่อนจะหันกลับมามองดูร่างบางที่ยืนค้างอยู่ ชายหนุ่มได้ยินและเข้าใจบทสนทนาทั้งหมด เขาเดาว่าเด็กคนนั้นคงเป็นเพื่อนของฟ่งตอนอยู่เมืองไทย สำหรับรูฟัสแล้ว เขาไม่ได้ดีใจสักนิดที่ฟ่งเจอคนรู้จักที่นี่ ตรงกันข้าม เขารู้สึกว่ามันอาจจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมาภายหลัง อย่างไรก็ตาม สีหน้าที่ดูสบายใจขึ้นของฟ่งก็เกือบทำให้เขาหลุดปากไปแล้วว่าจะพาไปเยี่ยมหอพักของเด็กหนุ่มที่เวสเปรมส์
ไม่รู้ว่าคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่รูฟัสไม่ชอบสายตาที่เด็กคนนั้นมองฟ่งเอาเสียเลย มันดูกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างไรพิกล เขามองดูฟ่งอีกครั้ง พลางเค้นสมองคิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นได้ นอกจากเรื่องจะพากลับประเทศไทย และเรื่องที่จะพาไปเยี่ยมหอของเพื่อน
ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส ความจริงเขาคิดว่าจะให้รูฟัสช่วยอธิบายเรื่องการเดินทาง หรือช่วยพาไปดูที่พักของกฤษต์ แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ประกอบกับความรู้สึกไม่ดีบางอย่าง ทำให้ฟ่งเปลี่ยนใจ เขาคิดว่ารูฟัสคงไม่อยากจะพาไปนัก นั่นทำให้ฟ่งรู้สึกแย่หนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มคอตก เก็บตั๋วและกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อ และหยิบถุงกระดาษที่ใส่เสื้อผ้าขึ้นมาหิ้ว เตรียมตัวจะเดินต่อ
“ผมช่วย” รูฟัสพูดขึ้นทันทีที่เห็นว่าฟ่งพยายามจะหอบเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาและคลาวเดียซื้อมาด้วยตัวคนเดียว เขาฉวยเอาถุงสองสามใบมาถือเอาไว้ ก่อนที่ฟ่งจะพยายามอุ้มมันขึ้นไปหมด
“อ๊ะ ขอบคุณ” ฟ่งพูด แต่ยังไม่ทันขาดคำคลาวเดียเดินเข้ามาและเพิ่มภาระให้กับรูฟัสโดยการโยนถุงเสื้อผ้าของตัวเองเพิ่มให้อีกสองถุง นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีทองบ่นขึ้น
“นี่คุณซื้อเสื้อผ้าเพิ่มอีกแล้วเหรอ ผมคิดว่าของเด็กนั่นเสียอีก”
คลาวเดียหันหน้าไปมองราฟาแอลอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “ฉันคิดว่ารูฟัสที่เป็นคนหิ้วน่าจะบ่นมากกว่าคุณนะ นี่ราฟี่ ถ้าคุณอิจฉานักล่ะก็ ฉันให้คุณยืมใส่สักตัวสองตัวก็ได้”