[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 247307 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2012 14:09:36 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #1 เมื่อ23-05-2011 20:10:10 »

สวัสดีค่ะ...เรื่องนี้เป็นนิยายYเรื่องแรกที่เขียนค่ะ (แล้วก็ยังเขียนอยู่....)

เนื้อหาเกี่ยวกับคนข้างห้องสองคนที่มีวิถีชีวิตอยู่คนละโลกแต่บังเอิญมีเหตุให้มาพัวพันกันด้วยเรื่องราวหลายๆ อย่างค่ะ (คนข้างห้องที่ยาวเป็นมหากาพย์)

เนื้อหาหลักสำหรับเรื่องนี้จบไปแล้วนะคะ (เตือนไว้ก่อนว่ายาวมาก) เอามาลงประเดิมก่อนห้าตอนแรกค่ะ

เรื่องนี้มีรวมเล่มแล้วนะคะ ทั้งหมด9เล่มค่ะ (8เล่มจบ อีกเล่มเป็นตอนพิเศษค่ะ)

**อนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่นิยายรัก แต่เป็นนิยายลุ้นว่าเมื่อไหร่จะรักกันได้(?) และติดจะซีเรียสหน่อยๆ ถึงซีเรียสมากนะคะ เหมาะสำหรับคนชอบอะไรหนักๆ (เพราะยาวจริงๆ)

------------------------------------------------
บทที่1 คนข้างห้อง
   เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังแหวกความเงียบภายในห้องพักขนาดเล็กที่ตกแต่งอย่างประณีต ผู้อยู่ในห้องเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอมคอมพิวเตอร์แบบพกพาสีดำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหน้า หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ กรอกเสียงลงไปอย่างร่าเริง
   “Привет!” ภาษาต่างชาติถูกกล่าวออกมาด้วยสำเนียงเจ้าของ เสียงปลายสายตอบกลับมาอย่างไม่ใคร่จะร่าเริงเท่าไหร่นัก คนพูดปิดโป๊ะไฟบนโต๊ะ พยุงตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปที่หน้าต่างแหวกม่านยาวสีโอลด์โรสออก แสงแดดยามเย็นที่ส่องผ่านม่านเข้ามาส่องให้เห็นรูปร่างสูงใหญ่และสันทัดแบบคนยุโรปในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวกางเกงขาสั้นสีดำ ชายหนุ่มขยับหน้าต่างให้เปิดออก ในขณะที่เสียงปลายสายดังอู้อี้
   ไอร้อนจากท่อไอเสียบนถนนและเสียงเครื่องยนต์คำรามลอยขึ้นมากระทบใบหน้าและหู จนรู้สึกร้อนผ่าว ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังมีแก่ใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“Well, If you think like that. I will throw it out.” กล่าวพลางคลี่ยิ้มบางๆ ปอยผมสีดำสนิทซอยสั้นพลิ้วไหวไปตามสายลมอุ่นร้อนที่พัดขึ้นมา เสียงปลายสายดูจะไม่ตลกด้วย แต่คนพูดยังคงทำท่าทีไม่ทุกข์ร้อน   
“We work together for long, didn’t trust me? Oh don’t say that, you know who I am.”
   บทสนทนายังดำเนินต่ออยู่อีกพักหนึ่งจึงยุติ โดยจบที่คำพูดเย้าแหย่อย่างสนิทสนม ชายหนุ่มระบายลมหายใจด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง หย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง ขบวนรถจอดติดไฟแดงเรียงรายกันราวกับของเล่น เมื่อมองลงมาจากชั้นสิบเอ็ด  แสงสีส้มสุดท้ายของวันกำลังทาบทาบนท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดงฉาน บ่งบอกว่าอีกไม่นานความมืดจะมาเยือน
   ร่างสูงสมส่วนถอนหายใจอีกรอบ พาตัวเองกลับเข้ามาในห้องที่ถูกปรับอุณหภูมิเอาไว้ด้วยเครื่องปรับอากาศ เขามองไปรอบๆ ด้วยสายตาอนาทร คอมพิวเตอร์แบบพกพาที่อยู่บนโต๊ะเข้าสู่โหมดรักษาหน้าจอไปเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง ขยับเมาส์เบาๆ ภาพถ่ายและเนื้อหาที่เป็นทั้งลายมือเขียน และไฟล์ดิจิตอลปรากฏขึ้นมา แสงของมันสะท้อนอยู่ในดวงตาสีแปลก
   อ่านต่อไปอีกพักใหญ่ ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ มัดกล้ามเนื้อบนลำแขนเรียงกันเป็นระเบียบได้รูป เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ เขาจัดแจงเก็บคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเข้ากระเป๋า ก่อนจะสอดไว้ใต้ที่นอน บิดขี้เกียจอีกรอบหนึ่งก่อนจะก้าวเท้าสบายๆ ไปยังประตูห้อง ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ถึงจะไม่หิวเท่าไหร่ แต่ถ้าต้องนั่งจ้องข้อมูลพิสดารแบบนี้ เลือกลงไปเพิ่มน้ำหนักดูจะเป็นทางเลือกที่แทบไม่ต้องคิดเลย
   แสงไฟสีส้มอ่อนๆ ของดวงไฟทางเดินส่องทาบทาใบหน้าซึ่งเปิดประตูออกมา เผยให้เห็นเครื่องหน้าได้รูป คิ้วเรียวดกดำ จมูกโด่งอย่างชาวยุโรป ริมฝีปากหนาพองาม นัยน์ตาเรียวแผงความขี้เล่นเอาไว้เล็กๆ และส่วนที่สะดุดตาที่สุด ดูจะเป็นสีของนัยน์ตาคู่นั้น ข้างซ้ายหนึ่งเป็นสีเขียวแกมน้ำตาล ขณะที่อีกข้างหนึ่งเป็นสีเทาน้ำข้าว
   เสียงวัตถุหนักกระทบกับผิวคอนกรีตทำให้ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีแปลกเบือนหน้าไปมองอย่างไม่ตั้งใจ มันดังมาจากห้องติดกันนี่เอง เขามองเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังพยายามจะดันกล่องใส่ของขนาดใหญ่แทบจะพอดีกับประตูเข้าไปในห้องพัก ท่าทางจะเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่
   หลังจากดูท่าว่าเจ้าตัวคงจะเอาเข้าไปคนเดียวไม่ไหวแน่ หนุ่มต่างชาติจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา “Let me help?”
   ผู้ถูกเอ่ยถามสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเบือนหน้ากลับมามองอย่างงุนงง ดวงตาใต้แว่นตาหนาเตอะดูจะแดงเรื่อผิดปกติ เขากะพริบตาอยู่พักหนึ่งอย่างคนตัดสินใจอะไรไม่ถูก หนุ่มต่างชาติเลยก้มลงขยับกล่องนั้นให้พอดีกับประตูด้วยเรี่ยวแรงที่ชวนให้แปลกใจสำหรับเจ้าของกล่อง ก่อนจะช่วยกันเคลื่อนมันเข้าไปในห้องได้สำเร็จ
   “Thank you” หนุ่มสวมแว่นเอ่ยอย่างประหม่า พลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า และพลาดปาดเอาแว่นตาด้วย คนมาช่วยยิ้มอย่างใจดี
   “Never mind. อืม...ผมพูดไทยได้”
   อีกฝ่ายเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนบอกขอบคุณอีกครั้ง และหันไปขนของอย่างอื่นต่อ แต่แล้วเขาก็งุนงงมากขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายช่วยหอบข้าวหอบของเข้ามาราวกับเป็นเพื่อนสนิทกัน หรือไม่ก็ถูกวานมาให้ช่วย ขณะที่อ้าปากจะพูดอะไร ทางนั้นก็เหมือนจะเดาความคิดของเขาออก
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่ห้องข้างๆ นี่เอง ช่วยๆ กันเดี๋ยวก็เสร็จ”
   สำเนียงแม้แปร่งอยู่บ้าง แต่ก็ฟังชัดเจนและคล่องแคล่วพอตัว คนถูกช่วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่พยักหน้า ปล่อยให้คนข้างห้องที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อช่วยขนสัมภาระของตนเข้าไปไว้ในห้องพัก   
“ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ” ผู้ย้ายมาใหม่กล่าวพลางขยับแว่นให้เข้าที่อีกครั้ง คราวนี้เขาปาดเหงื่อโดยไม่พลาดไปโดนแว่นตาอีก แต่กระนั้นขอบตาก็ยังแดงระเรื่ออยู่ แถมใบหน้าออกจะดูซีดๆ เหมือนคนกำลังป่วย
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องแค่นี้เอง” หนุ่มร่างสูงยิ้มอีกครั้ง โบกมือไม่ใส่ใจ “เอ้อ.. ถ้ายังไง ลงไปทานอาหารด้วยกันไหมครับ นี่ก็ค่ำแล้ว”
   ฝ่ายถูกถามอึ้งไปอีกพักใหญ่ สีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด แต่ในที่สุดก็ตอบตกลง
   “กะ..ก็ได้ครับ”

   เสียงคำรามของเครื่องยนต์จากเหล่าบรรดายวดยานบนถนนดังหึ่งๆ มากระทบโสตประสาท ขณะที่ทั้งคู่เดินมาถึงแผงขายบะหมี่ ซึ่งจอดขายอยู่ตรงซอยด้านหน้าทางเข้าคอนโดที่พัก  หนุ่มต่างชาติสั่งอาหารเป็นภาษาไทยอย่างคล่องแคล่วจนอีกฝ่ายรู้สึกแปลกใจ
   “มาอยู่เมืองไทยนานแล้วหรือครับ?” ผู้ถูกชวนเอ่ยปากถาม ขณะที่ทั้งคู่นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกซึ่งคั่นกลางตัวโต๊ะเหล็กสีน้ำเงิน ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม จะหยิบตะเกียบขึ้นมาเช็ดด้วยกระดาษทิชชู่ และส่งให้ผู้ร่วมโต๊ะ
   “ก็เคยมาสองสามครั้งน่ะครับ พอดีแม่ผมเป็นคนไทย”
   “อ้อ…. ขอบคุณครับ” อีกฝ่ายกล่าว ยื่นมือออกไปรับช้อนและตะเกียบ “เป็นคนที่ไหนหรอครับ”
   “รัสเซียน่ะครับ  เอ้อ..ผม รูฟัส เวสธ์ แล้วคุณ...”
   “เอ้อ.. อภิวัฒน์ครับ เรียกฟ่งก็ได้”
   เวลาผ่านมาตั้งนาน เพิ่งนึกจะแนะนำตัวกันตอนกินข้าว รูฟัสอมยิ้ม มองดูใบหน้าคนนั่งตรงข้ามและกล่าวต่อ “อ้อ..คนจีนสินะครับ”
   “พ่อกับแม่น่ะครับ” ฟ่งตอบ เขาเป็นชายหนุ่มอายุคงราวๆ ยี่สิบสี่ยี่สิบห้า สูงสักร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ รูปร่างผอมอยู่พอสมควรสำหรับคนส่วนสูงเท่านี้ นอกจากสวมแว่นสายตาหนาเตอะแล้ว เรือนผมดำออกสีน้ำตาลยาวปรกต้นคอก็ดูยุ่งๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะสางให้ดี หัวคิ้วมนยาวจรดหางตาเรียว ที่ดูออกจะโตกว่ามาตรฐานเชื้อสายชาวจีนอยู่บ้าง จมูกไม่หนาไม่บาง แต่ริมฝีปากดูตกเหมือนคนกำลังอมทุกข์ตลอดเวลา เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่แดงระเรื่อขึ้นมาในบางระยะ คงมีเรื่องอะไรอยู่ในใจที่บอกใครไม่ได้
   “เอ่อ..ตานั่น..เป็นมาแต่เกิดหรอครับ” ฟ่งเอ่ยถาม หลังจากตั้งสติมองหน้าคนที่จู่ๆ ก็เข้ามาช่วยยกของและชวนมากินข้าวได้อย่างชัดๆ ตอนแรกเขานึกระแวงเหมือนกันว่าจะเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ แต่คงไม่มีสิบแปดมงกุฎคนไหนชวนคนที่จะต้มลงมากินแผงบะหมี่ข้างทางแบบนี้หรอก
รูฟัสคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ครับ ติดมาจากพ่อน่ะครับ”
   บทสนทนายุติลงเมื่อเด็กหนุ่มยกชามบะหมี่เข้ามา

   “ขอบคุณที่ชวนทานข้าวนะครับ” ฟ่งเอ่ยขึ้น ขณะที่ทั้งคู่เดินกลับมายังห้องพัก
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่า กินข้าวคนเดียวน่ะเหงาจะตายไป” รูฟัสพูดยิ้มๆ โดยไม่ได้สังเกตว่าคู่สนทนาเงียบไป
   “แล้วเจอกันนะครับ” ชายหนุ่มตาสองสีกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง ขณะที่ผลักประตูห้องพักเข้าไป
   “เอ้อ ครับ” ฟ่งรับคำแบบงงๆ ก่อนจะผลักประตูห้องเข้าไปเช่นกัน
   ทันที่ที่ประตูปิดลง ชายหนุ่มโยนทุกอย่างลงกับพื้น กระแทกตัวลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้อง โดยไม่สนใจจะจัดวางข้าวของให้เข้าที่ก่อน
   “ดา..” ฟ่งพึมพำกับตัวเอง ขณะที่น้ำใสๆ ไหลรินออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น
----------------------------------
   เสียงเคาะประตูเบาๆ ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้น ฟ่งกะพริบตา รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านความฝันแสนเศร้า หลังจากควานหาแว่นที่หลุดหล่นอยู่บนโซฟาพักหนึ่งและพบว่ามันไม่ได้เสียรูป เขาจึงสวมมันกลับไปบนหน้า ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ สิบโมงเช้าแล้วหรือนี่
   ชายหนุ่มถอดแว่นเพื่อขยี้ตาอีกรอบ รีบเดินไปเปิดประตูโดยไม่ทันมองลอดตาแมว
   “สวัสดีครับ.... รบกวนรึเปล่า” คนมาเคาะเอ่ยทักทายพลางยิ้ม เป็นหนุ่มนัยน์ตาสองสีข้างห้องที่เจอเมื่อวานนี่เอง
   “มีธุระอะไรหรือครับ” ฟ่งถาม สีหน้ายังคงงงๆ
   “อ้อ คือจะมาชวนไปทานข้าวน่ะครับ แต่..เอ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอโทษด้วย”
ดูท่าฝ่ายนั้นจะเปลี่ยนความคิดเพราะเห็นสารรูปดูไม่ได้ของเขาแน่ๆ
   “อ้อ..ไม่เป็นไร  รอแป๊บนึงนะครับ”
   ด้วยสีหน้ารู้สึกผิดของคนข้างห้อง ฟ่งเลยรู้สึกผิดไปด้วย ชายหนุ่มรีบผลุนผลันกลับเข้าไป  เปิดก๊อกน้ำล้างหน้าแปรงฟันอย่างลวกๆ และคุ้ยเสื้อที่ยังพับอยู่ในกระเป๋าเดินทางที่ขนมาเมื่อวานขึ้นมาใส่แบบรีบร้อนเต็มที่
   “ขอโทษที่ให้รอนะครับ” ฟ่งเปิดประตูออกมาในสภาพที่ดีกว่าตอนแรกเล็กน้อย เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีครีมอ่อน กางเกงสแลคสีน้ำตาล ซึ่งยับยู่ยี่ทั้งคู่ ใบหน้าเหมือนคนอดนอน แถมผมก็ยังไม่ได้หวี
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองต้องขอโทษด้วยที่มารบกวน” รูฟัสพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ คนมองพยายามแค่นยิ้มตอบอย่างยากลำบาก
   ทั้งคู่เดินลงไปทานข้าวที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ถัดออกไปอีกสองซอย รูฟัสพยายามจะหาบทสนทนาระหว่างนั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าของฟ่งแล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ
   อาหารมื้อนั้นเป็นไปอย่างค่อนข้างจืดชืด ในที่สุด ฟ่งก็ลุกขึ้น
   “ขอโทษนะครับ ผมขอตัวก่อน”
   ชายหนุ่มพาใบหน้าเซียวๆ ออกจากร้าน ทิ้งให้รูฟัสนั่งทำอะไรไม่ถูกอยู่คนเดียว
-----------------------------
   เครื่องปรับอากาศส่งเสียงหึ่งๆ ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นลง  ฟ่งนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง ซึ่งล้อมรอบไปด้วยกองข้าวของ  นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อลอย น้ำใสๆ ไหลซึมออกมาจากร่องหางตา
   “ฟ่ง” เสียงใสๆของหญิงสาวที่เขาคุ้นหูดังล่องลอยอยู่ในหัว  น้ำตายิ่งไหลออกมาเรื่อยๆ  ภาพในอดีตย้อนกลับเข้ามาเหมือนภาพยนตร์ที่เล่นซ้ำ
   พิฌาดา หญิงสาววัยยี่สิบสามที่รักเขาและเขาก็รักเธอ ตลอดเวลาหกปีที่คบกัน เธอไม่เคยทำอะไรไม่ถูกต้องเลย เขาต่างหาก  เขานั่นแหละที่ทำสิ่งเลวร้ายกับเธอ
   น้ำตาไหลออกจากดวงตาดั่งทำนบแตก  ฟ่งใช้ท่อนแขนปิดหน้า สะอื้นเบาๆ
   เขาไม่อาจทนเห็นเธอร้องไห้ได้อีก ดาต้องหลั่งน้ำตาทุกครั้งที่เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ และโมโหใส่เธอ มันไม่ใช่ความผิดของดาเลยสักนิด แต่เป็นตัวเขาเองที่ไม่สามารถจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้  ฟ่งรู้ดีว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และดาจะต้องเจ็บปวดมากขึ้น  เขาจึงตัดสินใจบอกเลิกเธอในวันครบรอบการคบกันในปีที่หก
   ดาร้องไห้ ร้องไห้อย่างเสียใจที่สุดตั้งแต่ทั้งคู่คบกันมา น้ำตาแต่ละหยดกรีดแทงหัวใจเขาให้เจ็บปวดยิ่งกว่าถูกคมมีดเสียดแทงเสียอีก ชายหนุ่มได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ครั้งที่แหละจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ดาจะเสียน้ำตาให้กับเขา
   หลังจากที่เขายังยืนกรานหนักแน่น ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมแพ้  ดาปล่อยให้หยดน้ำตาร่วงหล่นลงมาเป็นสาย
   “ถ้าฟ่งคิดแบบนั้น ดาคงช่วยอะไรฟ่งไม่ได้  ดาเสียใจ เสียใจที่ช่วยฟ่งไม่ได้ ดาเสียใจจริงๆ” หญิงสาวร้องไห้โฮขึ้นมาอีกครั้ง  ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง พยายามสะกดกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้  ดาพยายามจะหยุดร้องไห้ เธอบีบผ้าเช็ดหน้าซึ่งเปียกชุ่ม ก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างยากลำบาก “ฟ่งไม่ต้องเป็นห่วงดาหรอกนะ ดาทำใจได้”
   เธอหยุดสะอื้นพักหนึ่ง “ดาหวังว่าฟ่งจะเจอคนที่ช่วยฟ่งได้ ดารักฟ่ง ดาเสียใจจริงๆ ดาขอโทษ”
   ชายหนุ่มรวบตัวหญิงสาวเข้ามาในอ้อมกอด เธอสะอื้นไห้  ส่วนตัวเขาเองก็ปล่อยให้ธารน้ำตาไหลรินลงมาอาบร่องแก้ม
   นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาพบกับดา หลังจากนั้นสามวัน ฟ่งตัดสินใจย้ายที่อยู่ เขาทนกับสภาพและบรรยากาศเดิมๆ ไม่ได้ มันช่างเจ็บปวดเมื่อภาพเหตุการณ์เก่าๆยังคงวนเวียนอยู่รอบกาย
ชายหนุ่มปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง เขาจะรับมืออย่างไรกับความเจ็บปวดเช่นนี้ ฟ่งหลับตา ปล่อยให้หัวใจจมลงสู่ห้วงแห่งความเศร้า

   นัยน์ตาสีน้ำตาลกะพริบสองสามครั้ง  ฟ่งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดสนิท เสียงเครื่องปรับอากาศและอุณหภูมิที่ลดต่ำลงจนขนลุกทำให้เขาทราบว่าเผลอหลับอีก ชายหนุ่มขยับตัวควานหาแว่นตาบนเตียงอีกพักหนึ่ง พอตื่นเต็มตาก็รู้สึกท้องไส้โหวงเหวง  ร่างผอมพยายามยันตัวลุกขึ้น ร่างกายเริ่มเรียกร้องหาสิ่งที่เรียกว่าอาหาร  ฟ่งรู้ดีว่าหากปล่อยทิ้งไว้จะแย่กับตัวเอง  เขาไม่อยากให้ใครต้องเสียใจอีก หากรู้ว่าตนเป็นอะไรไป
   ชายหนุ่มเดินแหวกข้าวของฝ่าความมืดเพื่อควานหาสวิตไฟ แสงจากหลอดฟูออเรสเซนต์สว่างวาบขึ้นทันที เขากะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้คุ้นชิน ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือ
ทุ่มครึ่ง
   เขาคงหลับไปนานพอดู ชายหนุ่มพลันนึกถึงคนที่เขาทิ้งไว้ที่ร้านอาหาร ผู้ชายต่างชาติคนนั้น
   ฟ่งถอดเสื้อออก คุ้ยผ้าเช็ดตัวจากกระเป๋าใบหนึ่ง เดินเข้าห้องน้ำ สายน้ำเย็นจากฝักบัวทำให้หัวของเขาดีขึ้น แต่จิตใจกลับหนักอึ้ง
   นี่เขาคงแสดงกริยาไม่ดีออกไปแน่ๆ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายมาชวนด้วยความหวังดีแท้ๆ
   ชายหนุ่มถอนหายใจ ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นในความคิด  เขาหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาเปลี่ยน  ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตู
------------------
   รูฟัสชะงักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น  เขารีบเก็บมันสอดไว้ที่เดิม  ก่อนจะเดินไปมองลอดช่องตาแมว และรู้สึกแปลกใจกับภาพที่ปรากฏ
   “เมื่อกลางวันต้องขอโทษด้วยนะครับ” นั่นเป็นคำพูดแรกที่หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม ตอนที่เขาเปิดประตูออกไป
   ฟ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเทาอ่อน กางเกงขายาวสีน้ำเงิน ผมหวีเรียบร้อย หน้าตาดูดีขึ้นกว่าตอนที่เดินออกไปจากร้านอาหาร ถึงกระนั้นก็ยังปรากฏริ้วรอยแห่งความหม่นหมองอยู่อย่างชัดเจน
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต่างหากที่รบกวน”
   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป รูฟัสจึงเริ่มบทสนทนาต่อ “อาการดีขึ้นแล้วหรือครับ?”
   “อ่า...ครับ” ฟ่งพยายามจะยิ้ม แต่เหมือนมุมปากถูกถ่วงไว้ด้วยตุ้มเหล็ก “คือจะมาชวนไปทานข้าวน่ะครับ” ชายหนุ่มกล่าว หลังจากเค้นรอยยิ้มออกมาไม่ได้ซักที
   “ดีเลยครับ ผมกำลังจะลงไปพอดี” รูฟัสพูดพลางยิ้มกว้าง เลยพลอยทำให้ฟ่งแอบอมยิ้มออกมาด้วย
   “ขอเวลาสักครู่นะครับ” รูฟัสหันกลับไปยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ แม้จะเพียงแวบเดียว แต่รอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของฟ่งเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกสบายใจ
   ไม่รู้ว่าชายหนุ่มมีปัญหาเรื่องอะไร  แต่การที่เห็นใบหน้าอมทุกข์แบบนั้น ทำให้เขานึกถึงตัวเองในสมัยเด็ก
   รูฟัสรู้สึกว่าเขาต้องช่วยเหลือ อย่างน้อยถ้าตอนนี้มีใครอยู่ข้างๆ ซักคน ฟ่งคงดีขึ้นในไม่ช้า
--------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-11-2011 09:34:11 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #2 เมื่อ23-05-2011 20:10:45 »

   เสียงเมโลดี้แบบไลท์มิวสิกดังเบาๆ ประกอบกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในร้านอาหารกึ่งผับที่คนไม่พลุกพล่านนัก ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น ทั้งคู่เลือกนั่งตรงมุมข้างหน้าต่าง ร้านอาหารแห่งนี้เปิดอยู่ฝั่งตรงข้ามคอนโด แน่นอนว่าผู้ที่มาใช้บริการส่วนใหญ่มักเป็นชาวต่างชาติ รูฟัสให้เหตุผลง่ายๆว่า เขาไม่ต้องการเผชิญกับฝุ่นควันและยุงในช่วงหัวค่ำ  ซึ่งกรณีหลังฟ่งรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง
   “ทำงานแถวนี้หรอครับ” รูฟัสเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน หลังจากบริกรเดินออกไปแล้ว
   “เปล่าหรอกครับ” ฟ่งพยายามพูดโดยมองหน้าคู่สนทนา แสงไฟสีส้มอ่อนๆ จากหลอดไฟที่ติดอยู่เหนือโต๊ะ ยิ่งทำให้ใบหน้าคมเข้มนั้นดูมีเสน่ห์ดึงดูด
“เอ้อ...” ชายหนุ่มพยายามจะพูดต่อ เมื่อถูกนัยน์ตาสองสีคู่นั้นจ้องกลับมา “ผมทำฟรีแลนซ์เกี่ยวกับพวกออกแบบน่ะครับ”
“ออกแบบบ้านหรือครับ?” อีกฝ่ายถามอย่างสนใจ
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกตกแต่งภายใน นิทรรศการ บางทีก็งานกราฟฟิกนิดหน่อย”
“อย่างนั้นก็ไม่ต้องเข้าออฟฟิศสินะครับ” รูฟัสพูด พอดีกับที่บริกรยกน้ำเปล่ามาเสิร์ฟ
“บางทีก็ต้องเข้าไปเหมือนกันน่ะครับ แล้วแต่บริษัท” ฟ่งยกแก้วน้ำที่เพิ่งถูกวางลงมาใหม่ขึ้นมาจิบน้ำ เพื่อบรรเทาอาการปั่นป่วนภายในช่องท้อง เขารู้สึกดีที่มีคนมาทานอาหารเป็นเพื่อน แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างเพราะเพิ่งเจอกัน แต่ดูท่าทางรูฟัสไม่น่าจะเป็นคนเลวร้ายอะไรนัก
   “แล้วคุณล่ะครับ” ชายหนุ่มถามขึ้นบ้าง
   “มาติดต่อธุระกิจน่ะครับ” รูฟัสตอบ แล้วก็หัวเราะขึ้นมา “พูดให้หรูไปแบบนั้นแหละครับ  จริงๆ แล้วผมกำลังหางานอยู่”
   “เอ๋?” ฟ่งส่งเสียงแสดงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายยิ้มกว้าง และหัวเราะเบาๆ
   “ตกใจหรอครับ ผมไม่ได้ร่ำรวยอะไรหรอก พอดีมีสมบัติเก่าเหลือติดตัวนิดหน่อย เลยคิดว่าจะลองมาหากินที่นี่ดู”
   เมื่อเห็นสีหน้าแสดงความสงสัยของฟ่ง รูฟัสจึงรีบพูดต่อ
   “ผมไม่ได้มาทำงานไม่ดีนะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด จริงๆ แม่ผมเล่าให้ฟังเกี่ยวกับประเทศนี้บ่อยมาก ผมเลยอยากจะมาลองอยู่น่ะครับ”
   “อ้อ  ครับ  จริงๆประเทศนี้ก็น่าอยู่สำหรับชาวต่างชาตินะครับ”
   ฟ่งพูด น้ำเสียงเหมือนประชดนิดๆ เล่นเอารูฟัสทำหน้าไม่ถูก อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้สึกตัวว่าไม่สมควร เลยรีบพูดต่อ “แล้วทางบ้านล่ะครับ”
   “เสียหมดแล้วน่ะครับ”
   “อ่า..ขอโทษด้วยนะครับ” ฟ่งทำหน้าสลด รู้สึกตัวเองพูดไม่ดีเอาเสียเลย แต่รูฟัสรีบโบกมือห้าม
   “ขอโทษทำไมล่ะครับ คุณไม่ผิดซักหน่อย แล้วมันก็เรื่องนานมาแล้ว เอ้อ พรุ่งนี้ว่างรึเปล่าครับ?” อีกฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
   “ทำไมหรือครับ?”
   “เอ้อ.. ฮ่ะๆ” รูฟัสหัวเราะเขินๆ “อาจจะดูเป็นการรบกวนมากไปหน่อยนะครับ คือผมอยากไปเที่ยวในเมืองน่ะครับ แต่ว่าไม่ค่อยรู้จักเส้นทาง ก็เลย...”
   “อ๋อ..” ฟ่งพูด แล้วหยุดไป เพราะบริกรยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟพอดี
   “ถ้าอย่างนั้นไม่มีปัญหาหรอกครับ ทางผมเองก็ยังไม่มีงานเหมือนกัน”
   รูฟัสยิ้มกว้าง หน้าตาดีใจทีเดียว
   “ขอบคุณมากๆนะครับ ตอนนี้ทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด”
   ฟ่งนึกขำ กับวิธีการพูดเป็นงานเป็นการของอีกฝ่าย

   หลังทานอาหารเสร็จ ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นมาก อย่างน้อยกระเพาะของเขาก็ไม่ก่อปัญหาอีกซักระยะ ทั้งคู่นั่งสนทนากันต่อถึงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ดูเหมือนรูฟัสจะสนใจเส้นทางที่จะไปสนามหลวงเป็นพิเศษ เขาถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่างๆ และร้านอาหารแถวนั้น ดังนั้นเป้าหมายการไปเที่ยวในวันรุ่งขึ้นจึงเป็นสนามหลวง
   ฟ่งกลับมาถึงห้องตอนสามทุ่มเศษ  รูฟัสไม่ได้ขึ้นมาด้วยกัน  ชายหนุ่มตาสองสีขอแยกตัวไปทำธุระตอนออกจากร้าน
   ห้องมืดสนิท ฟ่งเอาคีย์การ์ดสอดเข้าไปในช่องที่ติดอยู่ตรงผนังข้างประตู ไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศทำงานทันที  ชายหนุ่มกวาดตามองข้าวของที่กองอยู่รอบๆ ห้อง  ความหดหู่เข้ามาครอบงำอีกครั้ง เขาพยายามบอกตัวเองดั่งเช่นที่แม่เคยพร่ำสอน
   เราต้องอยู่คนเดียวได้
   ปรากฏรอยยิ้มรันทดขึ้นมาบนใบหน้าซีดๆ ชายยกมือขยี้ตาที่เริ่มแดงเรื่อ ก่อนจะเดินไปแกะกล่อง ยกเอาเครื่องเสียงขนาดเล็กออกมาเสียบปลั๊ก แล้วหยิบแผ่นซีดีที่ใส่รวมอยู่ในกล่องเดียวกันใส่ลงไปในเครื่องเล่น
   แผ่นซีดีสีทองเลื่อนหายเข้าไปในเครื่อง  สักพักเสียงเพลงป๊อบแจ๊สที่มีท่วงทำนองสนุกสนานก็ดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มขยับตัวไปยังกระเป๋าสองใบที่วางอยู่บนพื้น หยิบเสื้อและไม้แขวนออกมา ค่อยๆ ทยอยจัดใส่ตู้เสื้อผ้าอย่างใจเย็น
-----------------------------
   รูฟัสรู้สึกหัวเสีย ขณะย่ำเท้าผ่านแอ่งน้ำสรกปรก ซึ่งขังตัวอยู่ระหว่างรอยยุบของถนนในตรอกแคบๆ แสงไฟสลัวๆ ที่ส่องลอดเข้ามาจากภายนอกสว่างพอแค่ให้รู้ว่าตรอกนี้ยังทอดตัวต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นสภาพภายในตรอกอย่างชัดเจนนัก กลิ่นเหม็นอับของน้ำครำประกอบกับขยะสดที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาดบนลอยมาแตะจมูก ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างตรอกที่ขนาบด้วยอพาร์ตเม้นต์แบบเก่าทรุดโทรมขนาดสี่ชั้นและโรงหนังซึ่งใกล้จะปิดทำการ  มันเป็นทางลัดเชื่อมระหว่างถนนใหญ่และตลาดซึ่งอยู่ในซอยถัดไป
   ชายหนุ่มไม่ได้หัวเสียเพราะความสกปรกของพื้นที่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาหัวเสียคือผืนบ้าใบสีฟ้าขนาดยาวราวสองเมตร ซึ่งขึงพาดอยู่เหนือศีรษะ รูฟัสถึงกับสบถออกมาเมื่อเดินมาพบสิ่งนี้ มันทำให้เขาพลาดมุมเหมาะๆ ในการเฝ้าดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในห้องพักชั้นสามในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
   หนุ่มตาสองสีหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินเลยออกไปจากบริเวณนั้นอีกประมาณห้าหกเมตร  ล้วงเอาวัตถุเล็กๆ สีดำ ลักษณะคล้ายปืนที่มีปากเป็นรูปท่อออกมา อาศัยจังหวะเสียงเร่งเครื่องของรถบรรทุกที่ดังมาจากอีกฟากของถนน กดปุ่มเล็กๆ บนท่อทรงกระบอกนั้น ฉมวกสีดำสนิทพุ่งตรงแหวกอากาศตรงไปยังคานคอนกรีตที่ยื่นออกมาจากดาดฟ้า เสียงกระแทกดังขึ้นเบาๆ หัวฉมวกจมลึกเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปในมุมืดข้างถังขยะซึ่งวางระเกะระกะอยู่ รอจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครได้ยินเสียงเมื่อครู่ รูฟัสเคลื่อนกายออกมาจากมุมมืด ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าจุดที่ยิงไม่ได้คลาดเคลื่อนไปจากที่คิดเท่าไหร่นัก เขาดึงสายสลิงสีดำที่เชื่อมกับตัวตะขอเพื่อตรวจดูความมั่นคง  จากนั้นหยิบอุปกรณ์ลักษณะคล้ายที่จับหรือ สต๊อปเปอร์สอดเข้าไประหว่างสาย ก่อนจะเอาปลายเกี่ยวเข้ากับเข็มขัดที่เอว  ชายหนุ่มค่อยๆ ดึงตัวเองขึ้นไปจนอยู่ห่างจากหน้าต่างห้องพักที่ต้องการไม่ถึงสองเมตร  รูฟัสมองลงมาเบื้องล่าง อย่างน้อยถ้าเขาร่วงลงไป ผ้าใบเจ้ากรรมผืนนั้นคงช่วยรองรับไว้ได้  แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเหตุการณ์แบบนั้นไม่มีวันเกิดขึ้น
   ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากพื้นดินราวๆ ห้าเมตรโดยปราศจากสิ่งยึดเหนี่ยวนอกจากสายสลิงสีดำบางๆ เส้นนั้น เสื้อยืดสีน้ำตาลดำที่มีลายเลอะๆ กับกางเกงขายาวสีหม่นๆ ซึ่งเขาซื้อมาจากข้างทางประกอบกับเงาดำของโรงหนังที่พาดลงมา ทำให้ยากที่จะสังเกต
   ชายหนุ่มพบเส้นทางนี้เมื่อสองวันที่แล้ว แน่นอน เขามั่นใจว่าไม่ใช่คนแรกที่คิดถึงมัน
   ในที่สุดไฟในห้องพักห้องนั้นก็สว่างขึ้น พร้อมกับเสียงพูดคุยเบาๆ รูฟัสพยายามเงี่ยหูฟัง
   เสียงพูดคุยนั้นเบาจนน่าหงุดหงิด  และดูเหมือนคนในห้องบางคนจะคิดเช่นเดียวกับเขา ไม่นาน เสียงการพูดโต้ตอบก็ค่อยๆ ดังขึ้น
   “อั๊วะรู้ว่าตำรวจคอยตามติดเราแจ  แต่ก็นั้นแหละ พวกมันไม่มีทางได้ของไปหรอก” เสียงที่พูดดังที่สุดเหมือนจะเป็นของชาวจีน ไม่นานก็มีเสียงถามอย่างไม่ค่อยสบายใจ
   “พวกลื้อไม่ต้องวิตก แค่พวกลื้อทำตัวให้ตำรวจสนใจต่อไป รับรองปลอดภัย”
   “แล้วสถานที่ต่อไปล่ะเฮีย” อีกเสียงซึ่งคาดว่าเป็นคนไทย ถามขึ้นมาอีก
   “ลื้อหยุดถามก่อนน่า...” เสียงนั้นตอบแบบรำคาญๆ “สิ่งที่ต้องทำตอนนี้มีแค่....”
   เสียงหน้าต่างถูกเปิดออก เสียงคล้ายนกหวีดต่ำๆ ดังขึ้นเบาๆ รูฟัสรีบแนบตัวเข้ากับกำแพง  กล่องสี่เหลี่ยมขนาดประมาณครึ่งฟุตคูณครึ่งฟุตห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ถูกโยนลงมา  เงาร่างสีดำร่างหนึ่งที่โผล่พรวดจากมุมหนึ่งของตึกออกมารับกล่องนั้นไว้อย่างพอดิบพอดี ก่อนจะเดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รูฟัสรู้สึกเสียวสันหลังวาบ นี่คงเป็นการนัดแนะกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คนคนนั้นมาอยู่ตรงนั้นเมื่อไหร่กันนะ เขามั่นใจว่าตรวจสอบรอบๆเรียบร้อยแล้ว หรือว่าจะมาจากโรงหนัง?
   ชายหนุ่มมองร่างนั้นเดินหายลับไปในความมืด  แม้จะสวมเสื้อและกางเกง แต่รูฟัสมั่นใจว่าผู้ที่โผล่ออกมาจากมุมมืดเป็นผู้หญิงแน่นอน จากลักษณะการเดิน เขารู้สึกคุ้นเคยกับท่าทางแบบนี้อยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหน
   เสียงบทสนทนาในห้องพักดึงความสนใจไปอีกครั้ง แม้จะได้ยินเพียงแผ่วเบา แต่ก็ทำให้รูฟัสยิ้มออกมา..
   ชื่อของสถานที่นัดพบแห่งต่อไป
------------------------
   กว่าจะกลับมาถึงห้องพักก็เป็นเวลากว่าเที่ยงคืนไปแล้ว รูฟัสอดไม่ได้ที่จะหันไปมองประตูห้อง1127  ขณะที่เดินผ่าน
   เด็กคนนั้นคงไม่เป็นอะไรหรอกนะ
   เขาคิดด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเดินไปที่ห้องของตน
----------------------------------------------   
   ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำ  เสียงรอสายโทนเดียวดังเป็นจังหวะอยู่พักหนึ่ง ระหว่างที่รอสายเขาใช้ผ้าขนหนูสีขาวเช็ดผม น้ำหยดลงจากเรือนผมสีดำไล้เลียไปตามแผงอกกว้างอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ หุ่นของชายหนุ่มจัดว่าอยู่ในระดับนายแบบแถวหน้าได้สบายๆ รูฟัสอยู่ในสภาพเกือบเปลือย อากาศที่นี่ร้อนกว่าที่ที่เคยอยู่มากนัก  ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนที่จะหาเสื้อผ้าใส่ อีกอย่างนี่ก็เป็นห้องส่วนตัวของเขา คงไม่ต้องกังวลว่าใครจะแอบมอง และถึงแอบมองเขาก็ไม่หวงอะไร
   ในที่สุดท้างโน้นก็รับสาย
   “สวัสดีครับ” รูฟัสทักขึ้นก่อน เสียงตอบรับฟังดูแปลกใจ
   “เรื่องที่ให้สืบ ผมได้มาแล้วนะครับ” ชายหนุ่มเล่าเรื่องที่เพิ่งพบเมื่อครูให้อีกฝ่ายฟัง แต่ไม่ได้พูดเรื่องคนที่มารับของว่าเป็นผู้หญิง บางทีเขาอาจจะคาดผิดไป รูฟัสไม่กล้ายืนยัน
   “ถ้ามันสำเร็จ ผมจะช่วยเรื่องที่คุณขอแล้วกัน” ทางโน้นตอบกลับมาเรียบๆ
   “ขอบคุณล่วงหน้านะครับ ท่านผบ.” รูฟัสทำเสียงเหย้าแหย่ เล่นเอาปลายสายต้องรีบเอ็ดขึ้นมา ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางสายไป
------------------------
   ฟ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ออกจากลิฟต์มายังล็อบบี้ชั้นล่างของคอนโด  เขาตื่นสายกว่าเวลานัดไปพอสมควร การหักโหมจัดห้องเมื่อคืนทำให้เขาเผลอหลับเป็นตาย หนำซ้ำตื่นเช้ามายังทำมีดโกนบาดหน้าอีก เลยมีพลาสเตอร์สีน้ำตาลใต้คางไปเป็นของแถมด้วย
   รูฟัสนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษอยู่บนโซฟาในล็อบบี้ ชายหนุ่มใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้าอ่อน กับกางเกงขาสั้นสีขาวแบบมีเส้นสีดำพาดด้านข้าง เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั่วไป เขาพกกระเป๋าเป้สีดำที่ใส่ขวดน้ำดื่มไว้ด้านข้างด้วย
   หนุ่มนัยน์ตาสองสีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ โบกมือให้ผู้ที่กำลังเดินเข้ามา
   ฟ่งรู้สึกประหม่าและเสียหน้าที่มาสาย เลยทำให้หน้าแดงออกไปโดยไม่รู้ตัว เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตหลวมๆ แขนสั้นสีขาว กางเกงยีนส์ขายาวสีสนิม และสวมรองเท้าผ้าใบ สิ่งที่พกติดตัวมีแค่โทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์
   ชายหนุ่มโบกมือตอบรับ พยายามดันแว่นให้เข้าที่
   “เอ้อ ต้องขอโทษจริงๆนะครับ พอดีว่าผมตื่นสาย” เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า รูฟัสทั้งขำทั้งสงสารกับท่าทีลุกลี้ลุกลนของชายหนุ่ม
   “Never mind.... อย่าสนใจไปเลยครับ เรารีบไปกันดีกว่า” รูฟัสยิ้ม พร้อมกับลุกขึ้นยืน  ฟ่งยกมือปาดเหงื่อ ขยับแว่นอีกครั้ง
------------------------
   ฟ่งเสนอให้นั่งแท็กซี่ แต่รูฟัสยืนกรานอยากที่จะนั่งรถเมล์ ทั่งคู่เลยมาถึงที่หมายในเวลาเกือบจะเที่ยง
   อากาศที่สนามหลวงร้อนจนแทบจะเอาเสื้อที่เพิ่งซักมาใส่ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นหวัด  ฟ่งพารูฟัสเดินไปตามทางเท้าเล็กๆ ข้างมหาวิทยาลัยชื่อดังซึ่งมีผู้คนจอแจ ชายหนุ่มทำท่าจะเดินเลี้ยวเข้าไปในร้านขายข้าวมันไก่ซึ่งดูคนบางตา แต่แล้วก็พลันเปลี่ยนใจ หันไปเข้าร้านขายข้าวหน้าเป็ดที่คนพลุกพล่านแทนโดยให้เหตุผลว่า ร้านนี้อร่อยกว่า
   เพราะมากันแค่สองคน ทั้งคู่เลยหาที่นั่งได้ง่าย ฟ่งเรียกเด็กในร้านเข้ามาสั่งน้ำและอาหาร ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อซึ่งผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าราวกับเม็ดฝน แต่เพราะใส่แว่น ท่าทางเลยดูเก้ๆ กังๆ เข้าไปอีก รูฟัสแอบอมยิ้ม ตัวเขาเองก็รู้สึกร้อนไม่แพ้กัน ชายหนุ่มล้วงผ้าขนหนูผืนเล็กๆ จากกระเป๋าออกมาซับเหงื่อ ไอแดดทำให้หน้าของเขาแดงระเรื่อ
   ในร้านแม้จะเต็มไปด้วยลูกค้า แต่กลับใช้เวลารออาหารไม่นานนัก และคงเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากน้ำตั้งแต่เช้า สุดท้ายเลยสั่งเพิ่มอีกคนละจาน
   สองคนออกจากร้านอาหารในเวลาเที่ยงกว่าๆ และตรงไปยังวัดพระแก้ว ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
   ท่าทางรูฟัสจะดูตื่นตากับสถาปัตยกรรมที่ได้พบเจอมาก เขาร้องอุทานหลายหน และถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ในขณะที่ฟ่งอ้าปากหาววอดๆ อากาศและแดดที่ร้อนทำให้เขานึกด่าตัวเองว่าควรจะเอาหมวกมา ในขณะที่รูฟัสเตรียมตัวมาอย่างดี
   ชายหนุ่มขยับหมวกแก๊ปสีขาวให้เข้าที่ ขณะพยายามถ่ายรูปยอดเจดีย์ทรงระฆังสีทองอร่าม ฟ่งอดขำไม่ได้เมื่อเห็นรูฟัสพยายามจะย่อตัวเพื่อเก็บภาพให้หมด
   “ถ่ายรูปให้ไหมครับ” หนุ่มสวมแว่นถาม หลังจากที่เดินไปดื่มน้ำบริเวณตู้น้ำเย็นที่ติดตั้งเอาไว้ภายในวัด รูฟัสหันหน้ามามองอย่างแปลกใจ แก้มของเขาแดงระเรื่อเพราะความร้อน ก่อนจะสั่นศีรษะ พูดยิ้มๆ “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ชอบรูปถ่ายตัวเองน่ะ”
   “อ่อ ครับ” ฟ่งพูด สีหน้าผิดหวังเล็กน้อย  ก่อนจะเดินไปนั่งใต้ต้นไม้  รูฟัสดูเหมือนจะรู้ตัว เลยเดินตามเข้ามา
   “คือเพิ่งนึกได้นะครับ ว่าเพื่อนเค้าอยากเห็นซักรูปหนึ่ง เค้าไม่เชื่อว่าผมจะมาอยู่ประเทศนี้น่ะ”
   “ครับ” ฟ่งรับคำ สีหน้าดูดีขึ้นมาทันที อย่างน้อยเขาก็มีอะไรทำบ้าง
   ท่าทางชายหนุ่มจะพอใจกับภาพที่ถ่ายออกมาอยู่ไม่น้อย เขาเอ่ยปากชม และซักถามเกี่ยวกับวิธีจัดภาพ
   ท้ายที่สุดเลยกลายเป็นว่า มีภาพของรูฟัสเต็มกล้องไปหมด

   “ผมเพิ่งเคยถ่ายรูปตัวเองเยอะขนาดนี้เป็นครั้งแรกนะนี่”
   ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ในร้านพิซซ่าบริเวณถนนข้าวสาร ฟ่งหัวเราะแหะๆ พยายามปิดพลาสเตอร์ที่กำลังลอกออก
   “ผมเรียนมานิดหน่อยน่ะครับ”
   “ดีจัง ผมอยากเรียนแบบนี้บ้าง” เขาพูด พลางหยิบเมนูขึ้นมาเปิด
   “แล้วคุณเรียนทางไหนมาหรือครับ” ฟ่งถามขึ้นบ้าง  ขณะเอามือเขี่ยเมนูเล่น
   “ทางเศรษฐศาสตร์น่ะครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่” รูฟัสเงยหน้าขึ้นจากเมนู พูดยิ้มๆ นัยน์ตาสองสีคู่นั้น มองกี่ครั้งก็ยังดูน่าสนใจเสมอ
   “รังเกียจอเมริกันแชร์ไหมครับ” ชายหนุ่มถามต่อ พลางพลิกเมนู
   “อ่อ ไม่เลยครับ”    ฟ่งรีบพูด ทั้งคู่เลยช่วยกันเลือกรายการอาหาร  โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอีกคู่หนึ่งกำลังมองดูอยู่
----------------------------
   “วันนี้ขอบคุณมากๆ เลยจริงๆ นะครับ” รูฟัสพูด ขณะที่ทั้งคู่เดินออกมาจากลิฟต์ ฟ่งยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไรหรอกครับ”
   หนุ่มตาสองสียิ้มตอบ “ถ้ามีเรื่องอะไร เรียกได้นะครับ”
   เขาพูด ก่อนจะเข้าห้องไป  ฟ่งปิดประตู ยิ้มเศร้าๆ
   เราต้องอยู่คนเดียวให้ได้...
-------------------
   “ไง.. วันนี้ไปเที่ยวสนุกไหม” เสียงค่อนแคะเป็นภาษารัสเซียลอดออกมาจากโทรศัพท์  รูฟัสหัวเราะอย่างร่าเริง เขากดดูรูปถ่ายที่อยู่ในกล้อง
   “ผมบังเอิญถ่ายรูปตัวเองมาเพียบเลย ไว้จะส่งให้ดูซักรูปนะ”
   เสียงอุทานอย่างไม่ค่อยพอใจดังมาจากอีกฟาก  ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง “ไม่ต้องตกใจน่า เดี๋ยวผมจะลบ”
   “ไม่เสียดายรึไง เด็กคนนั้นอุตส่าห์ถ่ายให้เชียวนะ”    ทางโน้นพูดแหย่ รูฟัสไม่ตอบ เขาสั่งลบรูปถ่ายตัวเองทั้งหมดจากเมมโมรี่ในกล้อง
   “หวังว่าคงไม่ไปหลงรักเข้าหรอกนะ” ปลายสายพูดต่อ เมื่อเห็นคู่สนทนาเงียบไป ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง
“ไม่เอาน่า ราฟี่ ผมมาทำงานนะ นี่คุณตามดูผมอยู่ตลอดใช่ไหมเนี่ย”
   “ก็ยังอีกแค่วันสองวันนี้แหละ จะมาพบกันได้เมื่อไหร่ล่ะ?”
   “พรุ่งนี้เลยก็ได้ งานใกล้เสร็จแล้วรึ?”
อีกฝ่ายรับคำในลำคอ
   “งั้นตกลงพรุ่งนี้ แหมเสียดายจัง ไม่ได้เอารูปถ่ายให้คุณดู”
   “ไม่ต้องหรอก เบื่อหน้าแกจะแย่อยู่แล้ว รีบๆ มาล่ะไอ้ตัวแสบ”
   รูฟัสหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะวางสายไป
--------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #3 เมื่อ23-05-2011 20:12:06 »

บทที่2 คนอ่อนโยนที่ไร้หัวใจ
   รูฟัสก้าวพ้นอากาศร้อนของกรุงเทพเข้ามาในร้านอาหารฝรั่งเศสที่ถูกตกแต่งไว้อย่างหรูหรา เขาพยักหน้าให้พนังงานเปิดประตู ก่อนจะสืบเท้าเดินไปด้านใน พนักงานต้อนรับสาวที่ยืนอยู่ข้างประตูทักขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นลูกค้า
   “Could I help you?” หล่อนพูด ชายหนุ่มผู้เดินเข้ามาใหม่หันมายิ้มให้หล่อน
   “ผมมาหาเพื่อนน่ะครับ” เป็นภาษาไทยที่ชัดเจนพอสมควรสำหรับคนต่างชาติ หญิงสาวหน้าแดงเล็กๆ แอบเหลือบมองใบหน้าคมเข้ม โดยเฉพาะดวงตาสองสีที่ดูดึงดูดคู่นั้น  ก่อนจะหันไปสะกิดเพื่อนที่ยืนอยู่ด้านหลังเมื่อชายหนุ่มเดินผ่านไป
   “มาสายนะ” ผู้ที่นั่งอยู่แล้วเอ่ยปากขึ้นเป็นภาษาฮังกาเรียน เมื่อรูฟัสนั่งลงที่เก้าอี้บุหนังที่วางอยู่ตรงข้าม
   “ติดธุระนิดหน่อย ก็โทรมาบอกแล้ว” ผู้โดนถามตอบกลับเป็นภาษาฮังกาเรียนเช่นกัน แต่อีกฝ่ายยังไม่วายพูดต่อ
   “ติดธุระพาหนุ่มไปทานข้าวสินะ”
   “เลิกแหย่ผมซักทีเถอะน่า ราฟี่” รูฟัสพูดแบบรำคาญ ยิ่งทำให้อีกฝ่ายถูกใจมากขึ้น ถึงขนาดระเบิดหัวเราะออกมา
   ราฟาแอล หรือราฟี่ที่เป็นชื่อเรียกเล่นๆ เป็นชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบกว่าปี ผมสีบลอนด์ยาวประบ่า นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเล ใบหน้าดูสบายๆ ออกเหลี่ยมเล็กน้อย ไว้เคราสั้นๆ แบบแฟชั่น มุมปากมีร้อยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์และมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เขาอยู่ในชุดเสื้อโปโลสีน้ำเงินปกขาวกับสแลคสีน้ำตาล ดูเหมือนดวงตาสีเขียวคู่นั้นจะสังเกตเห็นอาการของพนักงานหญิงในร้าน จึงหันมาพูดกับผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาอีก
   “นี่ไปโปรยเสน่ห์อะไรใส่แม่สาวๆ พวกนั้นอีกล่ะ?”
   “หืม?” รูฟัสเลิกคิ้ว หันหลังกลับไปมอง สองสาวเห็นเข้าก็รีบหลบมุมทันที
   “อันนี้ไม่ใช่ความผิดผมนะ” เขาหันกลับมายกมือโบกไปโบกมาอย่างขอการอโหสิ อีกฝ่ายหัวเราะ
   “แล้วไม่พามาด้วยกันล่ะ เด็กคนนั้นน่ะ”
   “อา....” นัยน์ตาสองสีหรี่ลงก่อนลากเสียงยาวด้วยความระอา “หยุดล้อเล่นซักทีเถอะ นี่ถ้าพามาจริง คุณคงยิ้มไม่ออกแน่ๆ”
   ราฟาแอลหัวเราะอีก “ท่าทางน่ารักดีออก”
   รูฟัสหันไปสั่งอาหารกับบริกร ก่อนจะหันกลับมาพูดต่อ “ไม่ยักรู้มาก่อนว่าคุณมีรสนิยมพรรณนี้ด้วย”
   อีกฝ่ายยกนิ้วชี้ขึ้นโบกไปมาราวกับจะปรามคนนั่งตรงข้าม
   “ก็ไม่เลวนักหรอก ถ้าเทียบกันแกน่ะนะ”
   “โห...ผมไม่อยากถูกรสนิยมของคุณนักหรอก ถ้าเกิดคุณดันกลายเป็นตาแก่ตันหากลับขึ้นมา ผมก็แย่เอาน่ะสิ!” รูฟัสลากเสียงอย่างยียวนกวนประสาท ราฟาแอลยกมือขึ้นห้ามอีกฝ่าย
   “พอๆ มาว่าเรื่องธุระของเราดีกว่า”
   พูดพลางล้วงมือไปหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ   เป็นแฮนดรีไดรฟ์สีดำตัวหนึ่ง รูฟัสรับมาและใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง
   “แล้วเรื่องที่ที่จะให้ผมไปแฝงตัวล่ะ?” รูฟัสพูดต่อ ราฟาแอลพยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาในทันที นัยน์ตาสีเขียวหรี่มองคนนั่งตรงข้ามอย่างใช้ความคิด
   “นี่ รูฟัส แกพูดภาษาไทยคล่องขึ้นมากมั้ยหลังจากไปไหนมาไหนกับเด็กคนนั้นน่ะ”
   คนถูกทักขมวดคิ้วยุ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมราฟาแอลถึงได้วกเข้าเรื่องคนข้างห้องที่เขาแค่ชวนไปกินข้าวเฉยๆ ทุกที ชายหนุ่มตอบคำถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก
   “ผมพูดคล่องกว่าคุณแล้วกัน”
   คนถามหัวเราะอีก เหมือนว่ารูฟัสทำอะไรสำหรับเขาตอนนี้ก็ขบขันทั้งนั้น คนนั่งตรงข้ามตีหน้าบึ้งใส่อย่างไม่สงวนท่าที
   “เฮ้ย อย่าทำหน้าดุแบบนั้น ปกติแกชอบยิ้มโปรยเสน่ห์ไม่ใช่เหรอ? ที่ที่จะให้แกเข้าไปใช้ต้องอาศัยความมีเสน่ห์ของแกนะ”
   “พูดงี้แปลว่างานนี้ผมต้องจีบสาวอีกล่ะสิ” รูฟัสกล่าวอย่างรู้ทัน งานที่เขาทำส่วนใหญ่มักจะมีเรื่องแบบนี้มาพ่วงด้วย ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เขาทำงานแบบคนปกติธรรมดาที่ไหนล่ะ
   ราฟาแอลพยักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันโม้เรื่องแกกับหล่อนไว้เยอะ เพราะฉะนั้น อย่าให้เสียราคาคุยล่ะ”
   รูฟัสยักไหล่อย่างไม่แยแส “เรื่องของคุณสิ ถ้ากลัวเสียหน้ามากขนาดนี้ จีบสาวแข่งกับผมดูไหมล่ะ?”
   “ริอาจจะมาจีบหญิงแข่งกับฉันยังเร็วไปร้อยปี” คนถูกท้าพูด “แต่ตอนนี้ฉันไม่ว่างรับคำท้าของแกหรอก คนของเบื้องบน เรียกตัวฉันยิกๆ แล้ว”
   หนุ่มนัยน์ตาสองสีทำหน้าแปลกใจ “นี่ผมคิดว่าคุณจะรีบกลับไปหลีสาวต่อที่ฮังการีเสียอีกนะเนี่ย เบื้องบนเรียกตัวคุณไปทำไมกัน? ยังมีงานอีกเหรอ?”
   ราฟาแอลผงกศีรษะ พลางกล่าว “เห็นว่ายังไม่แน่ใจว่างานนี้จะมีผู้สมรู้ร่วมคิดอื่นอีกไหม ฉันคงต้องไปจีนกับอเมริกาสักพักหนึ่งเพื่อเช็คข่าวน่ะ”
   “โห..ไหนตอนแรกบอกงานเล็กๆ ไง ผมน่ะยังมึนกับข้อมูลของมิสเตอร์ ดี เอ็น แอล อยู่เลย ไอ้เรื่องเคมีน่ะพอรู้มาบ้างหรอกนะ แต่ละเอียดขนาดนี้มันชวนปวดหัวยังไงไม่รู้”
   “ตรวจสอบก่อนแค่คร่าวๆ ก็พอ ยังไงคนของเบื้องบนก็ต้องตรวจสอบอีกทีอยู่แล้ว
   “คร่าวๆ ของคุณกับของเบื้องบนมันไม่เหมือนกันน่ะสิ”
   รูฟัสสวนคำ ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเข้าใจ ความจริงเขาเองก็ไม่ได้อยากจะรับงานของเบื้องบนนักหรอก แต่เพราะเป็นเบื้องบนนี่แหละ ถึงไม่อยากรับก็ต้องจำใจรับอยู่ดี ช่วยไม่ได้ ทำงานแบบนี้มันก็ต้องหาอำนาจหลายแบบในการคุ้มนี่ และรูฟัสเองก็ดูจะเข้าใจความจำเป็นนี้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มยักไหล่
   “ช่างเบื้องบนก่อน ตะกี้คุณพูดถึงที่ที่จะให้ผมไป อืม.. หล่อนเป็นสาวแบบไหนกันน่ะ?”
   ราฟาแอลหรี่ตา ยิ้มยียวน
“แกทำตัวเป็นเด็กหนุ่มวัยขบเผาะไหวไหมล่ะ?”
------------------
   เสียงคลิ๊กๆ ดังแทรกเสียงวิทยุที่เปิดเอาไว้เบาๆเป็นระยะ  ฟ่งนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์  พยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้นึกถึงเรื่องในอดีต แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลนัก  เขาใช้นิ้วปาดหยดน้ำตาที่เอ่อออกมา  พลางเหลือบมองนาฬิกา
   ทุ่มครึ่ง...
   ชายหนุ่มถอดแว่นออกมาเช็ด นึกแปลกใจตัวเองว่าทำไมต้องเหลือบมองดูนาฬิกาบ่อยๆด้วย แล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้น
   ฟ่งสะดุ้งแทบจะทำแว่นหลุดมือ  เขาปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนจะรีบเดินไปที่ประตู แววดีใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเซียวๆนั้น
----------------
   รูฟัสออกจากที่พักอีกครั้งตอนสามทุ่มเศษ  เขาโบกมือเรียกแท็กซี่  ชายหนุ่มนึกถึงใบหน้าของผู้ที่เขาเพิ่งทานอาหารด้วย ขณะนั่งลงตรงเบาะหลัง  ฟ่งดูดีขึ้นกว่าวันแรกที่พบกันมากทีเดียว  หนุ่มตาสองสีอมยิ้ม เขารู้สึกดีที่มีส่วนช่วยในเรื่องนี้
   แสงไฟจากรถและหลอดนีออนที่ติดตามป้ายข้างทางลอดเข้ามาในรถ  รูฟัสบอกให้แท็กซี่จอดหน้าถนนซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีขึ้นชื่อของกรุงเทพ  ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจ่ายเงิน ชายหนุ่มเดินทอดน่องผ่านร้านต่างๆ มาเรื่อยๆ จนเข้ามาหยุดหน้าไนต์คลับแห่งหนึ่ง  เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดลำลองแขนยาวสีกรมท่าขลิบขอบด้วยสีฟ้าเข้ม กางเกงยีนส์สีสนิม ผมสีดำหวีปัดให้เป็นทรงแปลกออกไปจากปกตินิดหน่อย ชายหนุ่มมองดูภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกตัดแสงสีดำแล้วนึกขำตัวเองเล็กๆ
   คนอายุยี่สิบปลายๆ เกือบสามสิบแบบเขาจะกลายเป็นเด็กหนุ่มวัยขบเผาะไปได้ยังไง ใครมันจะบ้าจี้ทำตามคำราฟาแอลไปหมดทุกอย่างกันล่ะ
   รูฟัสทำงานกับราฟาแอลมานานจนพอจะรู้นิสัยอยากเอาคืนของเพื่อนร่วมงานอยู่บ้าง ความจริงเขาก็ไม่ค่อยได้แกล้งอะไรฝ่ายนั่นบ่อยนัก ทำไมพอมีโอกาสถึงได้อยากจะดึงขาเขาทุกที ชายหนุ่มตัดสินใจจะมาในมาดสบายๆ จริงๆ แล้วคำพูดของราฟาแอลก็ใช่ว่าจะตอหลดตอแหลไปเสียหมด คนที่เขาจะต้องเข้าหาคงชอบอะไรสดใสๆ นั่นแหละ รูฟัสหวังอย่างเดียว ขออย่าให้เป็นยายแก่เหนียงยานหรือตาแก่ตันหากลับเลย ถ้าเป็นสองอย่างนี่เขาจะกลับไปฆ่าราฟาแอลทิ้งกับมือ แล้วจะเอาศพไปแขวนไว้ที่บ้านพักคนชราไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
   ชายหนุ่มค่อยๆ ผลักประตูกระจกสีดำบานนั้นเข้าไป เขาถูกตรวจค้นอาวุธโดยชายฉกรรจ์สองคน  ก่อนจะส่งสัญญาณให้พนักงานเปิดประตูซึ่งอยู่ถัดเข้าไป
   ในที่สุดเขาก็พาตัวเองเข้ามาอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ ซึ่งถูกตกแต่งด้วยไฟหลากสี และเสียงเพลงดิสโก้ดังอยู่เป็นจังหวะ  ตรงกลางเป็นเวทีซึ่งกำลังมีการแสดงมายากล  ล้อมรอบด้วยโต๊ะสีดำขนาดกะทัดรัดที่มีโซฟาหนังล้อมไว้ครึ่งหนึ่ง แบ่งสัดส่วนระหว่างโต๊ะได้อย่างลงตัว ผู้คนดูไม่เยอะและไม่บางตาจนเกินไป  และส่วนใหญ่มักเป็นชาวต่างชาติ
   ชายหนุ่มเดินตรงไปยังส่วนที่เรียกว่าบาร์ เขารู้ดีว่าไนต์คลับแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่คนทั่วไปจะเข้ามาเที่ยว  รูฟัสสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ที่ประจำอยู่  สักพัก ของเหลวไม่มีสีในแก้วคริสตัลใสก็ถูกวางลงตรงหน้า เขาจรดมันเข้ากับริมฝีปาก ก่อนซดลงไปรวดเดียว
   รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเกิดไปขณะหนึ่ง น่าแปลกอยู่สักหน่อยที่ยังมีของแบบนี้ขายในเมืองที่ร้อนแทบตาย ความรู้สึกร้อนวาบไหลผ่านลำคอลงไปถึงกระเพาะ แต่ด้วยอุณหูภูมิที่ลดต่ำจากเครื่องปรับอากาศทำให้เขารู้สึกไม่อึดอัดนัก ถ้ามีหัวบีตรูต อกูร์ซึย*(แตงกวาเล็ก กินกับวอดก้า) ด้วยคงดีพิลึก
   “Oh! You‘re newbie?”
   เสียงใสๆ เสียงหนึ่งร้องทักขึ้น  รูฟัสหันไปตามเสียง หญิงสาวคนหนึ่ง สูงราวร้อยหกสิบกว่าๆ ในชุดราตรีสายเดี่ยวสีดำหยุดยืนอยู่ข้างๆ รอยยิ้มแบบไร้เดียงสาปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขาทันที
   “คุณคงเป็นมาดามของที่นี่สินะครับ” ชายหนุ่มลุกขึ้น โค้งให้เธอครั้งหนึ่ง  หญิงสาวร้องอุ๊ย
“พูดไทยได้หรือคะเนี่ย เก่งจัง”
   รูฟัสรู้มาจากฟาราแอลว่า หล่อนอายุเกินสามสิบห้าแล้ว แต่ที่เขาเห็น ดูคล้ายหญิงสาวอายุราวยี่สิบปลายๆ เท่านั้นเอง  ผมดำที่ดัดเป็นลอนพอสวยงามสยายตามไหล่ขาวผ่องที่ใครเห็นก็อดมองไม่ได้ ใบหน้ารูปไข่ นัยน์ตาไม่โตมากนัก ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงได้รูป  โดยเฉพาะไฝเม็ดเล็กๆที่ใต้ตาซ้าย ยิ่งทำให้หล่อนมีเสน่ห์ดึงดูด และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้รูฟัสจดจำหล่อนได้
   หญิงสาวโปรยยิ้มหวาน รอยยิ้มที่ราวกับดอกไม้แรกแย้ม ไม่น่าแปลกใจเลยหากจะมีหนุ่มหลายคนหลงรักหล่อนในเสี้ยววินาทีแรกที่พบกัน รูฟัสยิ้มตอบ หนึ่งในนั้นคงไม่ใช่เขาแน่นอน
   “ถ้าไม่รังเกียจ ไปนั่งคุยกับดิฉันสักหน่อยที่โต๊ะตรงโน้นดีไหมคะ?” หล่อนพูด ส่งสายตาเชิญชวน
   “ไม่เลยครับ ด้วยความยินดี” ชายหนุ่มรีบตอบ เขารู้จุดเด่นของตัวเองดี ตอนนี้หน้าของเขาคงแดงปลั่งเพราะพิษวอดก้าเมื่อครู่อยู่แน่ๆ หล่อนพาเขามานั่งที่โต๊ะส่วนตัวที่อยู่ตรงมุมใกล้กับเคาน์เตอร์บาร์ เรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่ม ก่อนจะหันมายิ้มหวาน
   “ใครแนะนำมาหรือคะ”
   “เพื่อนเก่าคนหนึ่งน่ะครับ” รูฟัสตอบ ก่อนจะหันไปสั่งเครื่องดื่มบ้าง
   “แหม อยากรู้จังนะคะว่าใคร อุตส่าห์แนะนำหนุ่มรูปหล่อแบบคุณมาถึงที่นี่”
   “เขาไม่อยากให้บอกนะครับ คงกลัวคุณจับตี”
   หญิงสาวหัวเราะร่วน  ร่างเล็กๆสั่นเบาๆ “แหม... ช่างพูดเล่นนะคะ ดิฉันคงไม่ไปตีใครหรอกค่ะ  แต่ก็ไม่แน่นะคะ ถ้าเป็นหนุ่มๆแบบคุณ อาจจะทำให้ดิฉันคันไม้คันมือขึ้นมาบ้างก็ได้”
   รูฟัสหัวเราะ หญิงสาวกวาดสายตามองชายหนุ่มตรงหน้า หน้าตาเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นเพอเฟกซ์ แล้วยังรู้จักเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเองอย่างร้ายกาจ ลำพังแค่หัวเราะออกมาก็แทบจะทำให้คนหัวใจละลายอยู่แล้ว ใครบ้างจะไม่หลงเพ้อ
   “ชอบดื่มแบบแรงๆ เหรอคะ คุณ เอ้อ...”
   “อยากเรียกผมว่าอะไรล่ะครับ มาดาม”
   ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ อีกฝ่ายหัวเราะเอียงอาย
   “เลิกเรียกดิฉันว่ามาดามเถอะค่ะ ดิฉันชื่อเมี่ยง”
   “เมี่ยง?” รูฟัสทวนคำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ คำที่เขาออกเสียงไปดูแปร่งๆนิดหน่อย หญิงสาวหัวเราะชอบใจ
   “แปลกใจหรือคะ สามีดิฉันก็เคยพูดว่าไม่เหมาะ แต่ดิฉันออกจะชอบชื่อนี้นะคะ จำง่ายดี”
   ชายหนุ่มได้แต่ยิ้ม “เจ้าของร้านแบบคุณลงทุนมาต้อนรับผมด้วยตัวเองแบบนี้ ผมออกจะรู้สึกเกรงใจอยู่มากเลยเชียวครับ”
   หญิงสาวยิ้มตอบ หยิบแก้วคอกเทลสีแดงสดที่เพิ่งถูกนำมาวางขึ้นมาจิบเล็กน้อย
   “แหม เราต้องรักษาลูกค้านี่คะ ยิ่งเป็นลูกค้าน่ารักๆแบบคุณ ยิ่งไม่น่าปล่อยให้หลุดมือไปหรอกค่ะ”
   รูฟัสยิ้มอีกครั้ง คำพูดของเธอทำให้เขารู้สึกเหมือนเด็กๆ
“ฉันควรเรียกคุณว่าอะไรดีคะเนี่ย” เมี่ยงกล่าว พลางเอานิ้วจิ้มจมูกอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู รูฟัสหัวเราะอีก
“คุณยังไม่รู้ชื่อผมจริงๆ หรือครับ?”
เขาย้อนถาม เมี่ยงพยักหน้า เอ่ยเสียงใส
“แหม..ก็พวกคุณเคยใช้ชื่อจริงกับเขากันที่ไหนล่ะคะ คุณอยากให้ฉันเรียกคุณชื่อไหนดี”
“เรียกรูฟัสก็ได้ครับ เพราะตอนนี้ผมใช้ชื่อนี้อยู่”
“ว้า...ตอนนี้หรือคะ งั้นนี่ก็ยังไม่ใช่ชื่อจริงสินะคะ แหม.. ฉันได้ยินมาด้วยน่ะค่ะ ว่าสีตาคุณไม่เสมอ”
รูฟัสยกมือขึ้นแตะหน้าตัวเองอย่างเคยชิน และเพิ่งนึกได้ว่าใส่คอนแทคเลนสี จริงๆ คือเขาใส่มันเป็นประจำเวลาทำงานอยู่แล้ว ชายหนุ่มยิ้มออกมา
“ให้ผมเดินไปเดินมากับตาสีประหลาดไม่ค่อยจะดีมั้งครับ ถ้าคุณอยากเห็น เราไปหาที่เงียบๆ ว่านี้กันดีกว่า แล้วผมจะถอดให้คุณดู” พูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม คนฟังจึงหยิกเข้าให้ทีหนึ่ง แต่ก็ไม่แรงมาก เรียกว่าหยิกแก้เก้อน่าจะได้
“แหม.. ทะลึ่งจังเลยนะคะ ว่าแต่ที่พูดว่าจะถอดนี่ พูดจริงไม่ได้พูดเล่นใช่ไหมคะ?”
“พิสูจน์ดูไหมล่ะครับ”
ชายหนุ่มกล่าวพลางยุดข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ หล่อนจึงยกมือขึ้นผลักอกเขาเบาๆ
“ตายล่ะ ราฟี่ส่งตัวร้ายมาให้ฉันจริงๆ ด้วย”
-----------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #4 เมื่อ23-05-2011 20:12:51 »

   เสียงถอนหายใจอย่างมีความสุขดังขึ้นเบาๆ ภายในห้องสีโอลด์โรสที่ถูกตกแต่งคล้ายห้องสวีท  หญิงสาวเบียดกายเข้าหาชายหนุ่มอีกครั้ง ร่างของหล่อนสั่นน้อยๆ
   “หนาวหรือครับ”
   รูฟัสใช้มือรวบร่างเปลือยเปล่าที่แสนจะบอบบางเข้ามาแนบตัว ก่อนจะจูบเบาๆ ที่หน้าผาก
   “อ่อนโยนจังนะคะ” เมี่ยงยิ้ม  ยกมือขึ้นลูบใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่ม มองลึกลงไปในดวงตาต่างสีคู่นั้น
   “ตาคุณสวยมากจริงๆ ดีใจจังที่ได้เห็น”
   “อืม...คงมีแต่คุณเท่านั้นล่ะครับที่ชมผมแบบนี้ เพื่อนๆ ผมชอบหาว่าผมตาพิการอยู่เรื่อย” รูฟัสพูด ทำหน้าอย่างคนทุกข์โศกเสียเต็มประดา หญิงสาวหัวเราะร่วน
   “ไม่เชื่อหรอกค่ะ ตาคุณออกจะมีเสน่ห์ขนาดนี้ ถ้าให้เลือกได้ ฉันอยากมองแบบนี้ทุกวันเลยค่ะ”
   “ถ้าคุณชอบ ผมมาให้คุณมองทุกวันเลยดีไหมครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างยั่วเย้า พลางไล้มือบนใบหน้าของหญิงสาว “คนสวยๆ แบบคุณ ผมยอมให้มองไปจนตายเลยล่ะครับ”
   คนถูกยอยกมือขึ้นแตะปากชายหนุ่ม และยิ้มขัดเขิน
   “อย่าโปรยเสน่ห์บ่อยๆ ได้ไหมคะ ระวังเดี๋ยวดิฉันจะหลงเอาจริงๆ นะคะ พ่อหนุ่มคาสโน
วา”
   รูฟัสตัดสินใจไม่รุกหล่อนต่อ จุดประสงค์ของเขาแค่เพื่อให้อีกฝ่ายพอใจเท่านั้น ไม่ใช่จะให้หลงหัวปักหัวปำ และเมี่ยงก็เป็นคนที่รู้พื้นเพของเขาอยู่
   “คุณพอจะผสมเครื่องดื่มได้หรือเปล่าคะ?”
   รูฟัสพยักหน้า หญิงสาวยิ้มและพูดต่อ
   “งั้นดีเลยค่ะ ฉันจะให้คุณทำงานตำแหน่งบาร์เทนเดอร์ จะได้ไม่ดูสะดุดตา แล้วก็มีโอกาสสังเกตคนที่คุณต้องการหา ดีไหมคะ?”
   “ผมต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ นะครับ” ชายหนุ่มกล่าวและยกมือหล่อนขึ้นมาจูบเบาๆ เมี่ยงยิ้มอย่างพอใจ
   “มีคุณมาทำงาน ลูกค้าสาวๆ ฉันคงเพิ่มขึ้นเพียบแน่ๆ เลยค่ะ จริงสิคะ ถ้าคุณเจอคุณราฟาแอล ฝากบอกเขาด้วยนะคะ ว่าดิฉันเข็ดแล้ว”
   “เห?” รูฟัสเอ่ยอย่างแปลกใจ เมี่ยงหยิกเขาเบาๆ ทีหนึ่งและพูดต่อ
   “แหม.. ก็เขาเล่าให้ฉันฟังว่าคุณเป็นคนน่ารัก เสน่ห์แรง ฉันเลยอยากจะลองดูสักทีหนึ่ง”
   “ลองแล้วเป็นไงล่ะครับ?” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ คนถูกถามหยิกเขาอีกที
   “ลองแล้วไม่อยากลองซ้ำเลยล่ะค่ะ กลัวจะติด” หล่อนว่า และหัวเราะอีก
   “ฉันว่าจะทำเคาน์เตอร์บาร์ใหม่อยู่พอดี คงรออีกพักหนึ่งนั่นแหละค่ะ คุณไม่รีบใช่ไหมคะ?”
   “ตามสะดวกเลยครับ ผมทำอย่างอื่นรอไปพลางๆ ก็ได้” คนถูกถามตอบและก้มลงจุมพิตหน้าผากหญิงสาวเบาๆ เมี่ยงยกมือขึ้นไล้ใบหน้าเขา
   “ต้องมีคนน้ำตาเช็ดหัวเข่ากับคุณมาเยอะแล้วแน่ๆ เลยค่ะ คุณเคยชอบใครจริงๆ จังๆ บ้างรึเปล่าคะเนี่ย?”
   รูฟัสสั่นศีรษะแทนคำตอบ เรื่องนั้นสำหรับเขาเหมือนเป็นเรื่องในจินตนาการเสียมากกว่า ชายหนุ่มใช้ชีวิตแบบนี้มานานจนลืมเรื่องอ่อนไหวพวกนั้นไปหมดแล้ว
---------------------------------   
   แสงแดดยามสายลอดมาจากช่องที่ถูกทำด้วยกระจกเพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า  ราฟาแอลหยิบมือถือที่ดังขึ้นมาแนบหู ขณะพาตัวและกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆเดินพ้นประตูเลื่อนทรงกลมขนาดใหญ่ ที่ติดตั้งอยู่หน้าทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ
   “Привет!” ประโยคทักทายแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนโทรมาเป็นใคร ชายหนุ่มผมบล็อนด์ตอบกลับเสียงงึมงำ อีกฝ่ายกรอกเสียงต่อ
   “ผมไปเจอคุณเมี่ยงมาแล้วล่ะ”
   “อ้อ..เป็นไงล่ะ?” ราฟาแอลเอ่ยถามพลางก้าวเท้าไปตามทางเดินยาวเหยียดตรงไปยังประตูทางขึ้นเครื่อง รูฟัสพูดตอบ “ก็ดี ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าถ้าเป็นยายแก่จิตกลับจะแว้บไปซัดคุณสักเปรี้ยง”
   “อืม...ฉันไม่คบกับผู้หญิงที่อายุเกินสามสิบห้าที่หาความสวยไม่ได้หรอกนะ”    ราฟาแอลเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี รูฟัสทำเสียงค่อนแคะ
   “ผมคิดว่าขอให้ไม่มีหาง คุณก็หน้ามืดหมดเสียอีก”
   “น้อยๆ หน่อย” อีกคนปรามพลางพูดต่อ “คุณเมี่ยงเป็นเพื่อนฉัน ฟังแล้วแกจะแปลกใจ แต่ฉันยังไม่เคยขั้วกับเธอหรอกนะ”
   “คุณต้องไปบอกคลาวเดียแล้วล่ะ เธอต้องไม่เชื่อยิ่งกว่าผมแน่ๆ” คนปลายสายย้อน ราฟาแอลหัวเราะลงลูกคอ
   “ไว้จะเร่งงานแล้วจะรีบกลับไปบอก”
   “ฝากความคิดถึงถึงคลาวเดียด้วยแล้วกัน ท่าทางรอบนี้ผมจะอยู่ยาว คุณอยู่สนามบินแล้วใช่ไหม”
   ฝ่ายตรงข้ามส่งเสียงตอบรับ พลางย่นคิ้วมองทางเดินที่ดูเหมือนจะยาวไม่มีที่สิ้นสุด
   “ฉันล่ะไม่เคยเห็นสนามบินที่ไหนต้องเดินยาวๆ แบบนี้มาก่อนเลย”   เขาบ่นพึมพำและได้รับการปลอบประโลมที่ชวนให้นึกคันมืออยากซ้อมคู่สาย
   “แหม...คุณจะขี้เกียจเดินไปไหนกันนะ เดี๋ยวผมซื้อพวกรองเท้าติดล้อแบบที่เด็กๆ ชอบเล่นไปให้คุณดีกว่า คลาวเดียน่าจะชอบถ้าเห็นคุณใส่ของพวกนี้”
   “พอเลยๆ นี่แกคิดจะกวนประสาทฉันไปอีกนานมั้ย?” ราฟาแอลเอ็ด ขณะยกกระเป๋าผ่านเครื่องสแกนที่ติดตั้งอยู่ก่อนถึงประตูออกไปขึ้นเครื่อง ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ
   “แค่นี้ก่อนนะครับ มีอะไรฉุกเฉินผมจะติดต่อไป ได้เวลาทานข้าวแล้วล่ะ”
   “อ้อ...กับเด็กข้างห้องคนนั้นอีกล่ะสิ อย่าถึงขั้นติดอกติดใจจนไม่เป็นอันทำงานล่ะ” ราฟาแอลค่อนแคะ คนปลายสายหัวเราะอีก
   “คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง แค่นี้ก่อนนะครับ ไว้เจอกัน”
   รูฟัสวางโทรศัพท์ ก่อนจะบิดขี้เกียจ และเดินไปเปิดประตู เขาหันไปยิ้มให้คนข้างห้องที่เปิดประตูออกมาเช่นกัน วันนี้ฟ่งมีรอยยิ้มให้เขานิดหน่อย ชายหนุ่มรู้สึกพอใจที่เห็นรอยยิ้มนั้น แต่นี่มันยังห่างไกลจากเรื่องที่ราฟาแอลกังวลอีกหลายร้อยเท่า เขาไม่ติดใจคนข้างห้องหน้าตาธรรมดาๆ ที่พาไปกินข้าวด้วยทุกวันหรอก
   หัวใจของเขาไม่ได้มีไว้สำหรับเรื่องแบบนี้ เพราะเขาลืมมันไปนานแล้ว
-----------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #5 เมื่อ23-05-2011 20:14:11 »

บทที่3 ซินเดอเรลล่า
   เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น  ฟ่งวางมือจากคอมพิวเตอร์ พยายามค้นหาแหล่งที่มาของเสียงจากกองข้าวของระเกะระกะในห้อง  ท้ายที่สุดก็พบมันวางอยู่ใต้กองหนังสือหน้าบนโต๊ะที่เขารื้อออกมาเพื่อหาข้อมูล ชื่อที่แสดงบนจอมือถือทำให้ชายหนุ่มชะงักไปอย่างลังเล  แต่ในที่สุดก็กดรับสาย
   “ฟ่ง.. นี่ดาเองนะ” เสียงที่ดังลอดออกมาทำให้เขารู้สึกดีใจระคนตกใจนิดๆ  นับตั้งแต่วันที่เลิกกันก็ผ่านมากว่าเดือนแล้ว ทั้งเขาและดาไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
   “ฟ่ง เป็นอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงห่วงใยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าคู่สายเงียบเสียงไป
   “อ๊ะ! เปล่าจ้ะ” ฟ่งรีบพูด แก้มแดงแดงระเรื่อด้วยความตื้นตัน อย่างน้อยน้ำเสียงของดาก็ไม่ได้รังเกียจเขา
   “ดีใจจัง ที่ฟ่งยังรับโทรศัพท์ดา” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจ ยิ่งทำให้ชายหนุ่มอดหวั่นไหวไม่ได้
   “ดาสบายดีหรือ?” เขาถาม ในสมองตื้อตันจนเค้นคำพูดออกมาได้ยาก
   “ค่ะ” หญิงสาวตอบ ก่อนจะพูดต่อ “ฟ่งคะ ฟ่งย้ายไปไม่บอกแบบนี้ดาเป็นห่วงมากเลย ดาคิดว่าฟ่งจะเป็นอะไรไปแล้ว แต่ได้ยินเสียงฟ่งแบบนี้ดาก็ดีใจล่ะ”
   “ฟ่งดีใจที่ดาโทรมานะ….”   เขาพูด พยายามจะรักษาระดับน้ำเสียงให้ปกติที่สุด แต่วรรคสุดท้ายก็ถูกกลืนหายไปในลำคอที่ตีบตันขึ้นมาอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มเงียบไปพักหนึ่งจนคู่สายต้องพูดขึ้น
   “ฟ่ง ดาไม่เป็นไรหรอกนะ ฟ่งอย่าคิดมากนะคะ ดาแค่อยากรู้ว่าฟ่งสบายดี ไว้เดี๋ยววันหลังเราค่อยคุยกันใหม่นะ”
   คนฟังยังเงียบไปอีกนาน กว่าจะเค้นเสียงออกมาได้ “อืม..จ้ะ”
   น้ำเสียงของเขายังคงหายเข้าไปในลำคออย่างห้ามไม่ได้ หญิงสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกับอยากจะพูดอะไร แต่แล้วก็ตัดสินใจวางสายไป ฟ่งกะพริบตาถี่ๆ วางโทรศัพท์มือถือลงกับโต๊ะ พลางสูดหายใจลึก ก่อนจะระบายออกมา
   ดีแล้ว แบบนี้ดีแล้ว ไม่เอาน่า อย่าร้องไห้
   ชายพยายามปลอบใจตัวเอง  บางครั้งเขาก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญอารมณ์แบบนี้  ฟ่งเดินไปเปิดตู้เย็นที่วางอยู่ข้างอ่างล้างจาน หยิบน้ำขึ้นมาดื่ม แต่คงดื่มเร็วไปหน่อย เลยสำลักน้ำ ฟ่งปล่อยให้ตัวเองสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหล ดวงตาของชายหนุ่มเป็นสีแดงเรื่อ
--------------------------------------------
   ไฟสีแดงกะพริบไปอยู่ที่ตำแหน่งWarmบนกาต้มน้ำไฟฟ้า นิ้วมือยาวกดปุ่มสีแดงด้านบน น้ำเดือดไหลลงสู่ภาชนะที่รองอยู่เบื้องล่าง  ไอสีขาวลอยกรุ่นท่ามกลางอุณหภูมิห้องที่ถูกปรับจนต่ำลง รูฟัสหยิบซองชาสีขาวหย่อนลงไป ก่อนจะหยิบแก้วเซรามิคสีเบจไปที่โต๊ะ  ชายหนุ่มนั่งลงจรดปากกาลงในสมุดโน้ตสีน้ำเงินเล่มเล็กๆ ด้วยภาษาและตัวอักษรต่างๆ เขาจำเป็นต้องทำบันทึกการทำงานเอาไว้ เผื่อในกรณีที่มองข้ามอะไรไปบางอย่าง แน่นอนว่าภาษาที่ใช้จดไม่ใช่ภาษาที่คนปกติจะสามารถถอดความหมายที่ซ่อนอยู่ได้ รูฟัสจดบันทึกด้วยลายมือละเอียดสวยงามเสมอ แม้ว่าสมุดบันทึกแบบนี้จะมีแต่เขาที่เป็นผู้อ่านอยู่คนเดียวก็ตาม บางทีคงเป็นความเคยชินไปแล้ว ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่เคยหวังให้ใครหยิบมันไปอ่านต่อ เพราะหลังจากจบงาน เขาก็ต้องเผามันทิ้งอยู่ดี
   ชายหนุ่มวางปากกาลงเมื่อชาพร่องไปครึ่งถ้วย เก็บสมุดบันทึกเล่มเล็กไว้กับตัว และเปิดคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ตารางข้อมูลที่เขาทำการคัดแยกเอาไว้ก่อนหน้านี้เด้งพรึบออกมาอย่างละลานตาทันทีที่เปิดมันออก ชายหนุ่มตรวจเช็คอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเข้ารหัสป้องกัน และส่งมันผ่านระบบเครือข่ายเฉพาะที่สงวนไว้สำหรับคนที่เกี่ยวข้อง พลางนึกย้อนไปถึงตอนเริ่มต้นที่เพื่อนเขารับงานชิ้นนี้
   มันเป็นงานที่แทบจะไม่มีข้อมูลอะไรชัดเจนเลย มีแค่เบาะแสเล็กๆ น้อยๆ จากคนที่ใช้ชื่อแฝงว่า มิสเตอร์ ดี เอ็น แอล แต่กระนั้นดูเหมือนเบื้องบนจะให้ความสนใจกับข้อมูลเลือนรางนี้อยู่พอสมควร แม้จะออกหน้าเองไม่ได้เพราะข้อมูลไม่พอ แต่ก็ยังอุตส่าห์หาคนมาจ้างวานพวกเขาให้ช่วยสืบเรื่องนี้ ถ้าไม่ติดว่าคนที่มาติดต่อเป็นคนรู้จักเก่าแก่ เขาคงยุให้ราฟาแอลปฏิเสธไปแล้ว ทำงานกับเบื้องบนทีไรปวดหัวทุกที แถมยังจ่ายช้าอีกต่างหาก ราฟาแอลเองก็คงคิดเหมือนกัน แต่ติดที่เป็นคนรู้จักและเป็นการไหว้วานจากเบื้องบนนี่แหละ ต่อให้ไม่อยากทำแค่ไหนก็ต้องจำใจทำอยู่ดี ใครมันใช้ให้เบื้องบนใหญ่ขนาดนั้นกันล่ะ แล้วถ้ามีการคุ้มครองจากเบื้องบน ชีวิตของพวกเขาก็ง่ายขึ้น ปัญหาคือตอนนี้รูฟัสรู้สึกชีวิตตัวเองไม่ง่ายเลย
   ชายหนุ่มนึกทบทวนแผนงานของตัวเองและข้อมูลที่มีอยู่เงียบๆ พลางคิดว่างานนี้จะมีอะไรอย่างที่เบื้องบนคาดการจริงๆ หรือ? เรื่องมันดูเหลือเชื่อจนไม่น่าเชื่อ คงต้องรอราฟาแอลที่ไปสืบข้อมูลติดต่อกลับมาอีกที ระหว่างนี้เขาคงต้องทำตามแผนเดิมไปก่อน
   เที่ยงคืนสี่สิบห้า….
   เขาเดินตรงไปที่หน้าต่างที่เปิดม่านทิ้งไว้ เปิดมันออก สูดอากาศยามดึกสงัดเพื่อพักสมองจากข้อมูลวุ่นวายที่เขาใช้เวลาคัดแยกมาตลอดบ่าย แม้จะดึกมากแล้ว แต่ท้องถนนยังคงมีรถวิ่งให้เห็นพอสมควร คนที่อยู่บนรถพวกนั้นทำอะไรอยู่ เพิ่งกลับจากการหาความสนุก หรือกำลังออกไปหาความสนุกในชีวิตกันแน่ กับชีวิตง่ายๆ ที่ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวายมากนัก แค่ทำงาน หาเงิน หาความสุขไปวันๆ
   ชีวิตธรรมดา...
   รูฟัสถอนหายใจ ปล่อยเสียงให้ลอยไปกับสายลมที่พัดผ่าน สำหรับเขาชีวิตธรรมดาแบบนี้ช่างดูห่างไกล เหมือนความธรรมดากลายเป็นความไม่ธรรมดาไปนานแล้ว นานเท่าไรนั้น รูฟัสเองก็ขี้เกียจจะนึก ยังไงนี่ก็เป็นชีวิตของเขา และเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด ถึงอย่างนั้นบางทีในชีวิตพิสดารก็ยังมีเรื่องง่ายๆ อยู่บ้าง เรื่องง่ายๆ เช่นการชวนคนข้างห้องไปทานอาหาร ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีการวางแผนเค้นอะไร แค่ไปทานข้าว ง่ายๆ แค่นี้เอง
   นัยน์ตาสองสีหลับพริ้มลง มุมปากมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อนึกถึงสีหน้าที่สดชื่นขึ้นของคนข้างห้อง
   บางทีเรื่องง่ายๆ ก็ทำให้ชีวิตมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ
--------------------------------
   ปากกาเน้นคำหลากหลายสีถูกเสียบไว้ในตะกร้าวางเรียงราวกับสายรุ้ง  รูฟัสมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ด้วยอาการแบบคนทำอะไรไม่ถูก
   วันนี้คนข้างห้องทำให้เขาแปลกใจด้วยการเสนอให้มาทานอาหารกลางวันในห้าง  ทั้งๆ ที่ปกติฟ่งมักจะเลือกร้านข้างทาง ไม่ก็ร้านที่ตั้งอยู่แถวๆคอนโด
   “ผมจะเข้าไปซื้อของมาไว้ทำงานน่ะครับ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”
   ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีหงิมๆ เช่นเคย  เมื่อถูกถามในตอนเช้า  ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจของเขาจะกลับเป็นปกติแล้ว  แต่เหมือนความเคยชิน รูฟัสตอบตกลงไปอย่างง่ายๆ
   ตอนนี้ชายหนุ่มต้องมาผจญกับโลกที่เขาไม่รู้จัก  อุปกรณ์เครื่องเขียนนานาชนิดวางเรียงรายอยู่ทุกมุมทุกกระเบียดนิ้ว  ฟ่งบอกเขาว่าร้านขายเครื่องเขียนที่นี่ใหญ่ที่สุดในบรรดาห้างด้วยกัน  รูฟัสยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เมื่ออยู่ตรงหน้าเหล่าบรรดาปากกาหลากสีที่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องผลิตออกมามากมายขนาดนี้
   ดูเหมือนคนข้างห้องจะมีความสุขเมื่ออยู่ท่ามกลางอุปกรณ์ประหลาดเหล่านี้  ฟ่งก้มๆ เงยๆ หยิบปากกาแบบโน้นแบบนี้ใส่ตะกร้า  ก่อนจะเดินไปตามล็อคต่างๆ  รูฟัสมองตามหลังเพื่อนข้างห้องที่คล้ายหลุดเข้าไปในดินแดนพิศวง แล้วตัดสินใจพาตัวเองลงไปโซนขายซีดีบริเวณชั้นหนึ่ง เขาหยุดยืนดูภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ในทีวีขนาดยี่สิบเอ็ดนิ้วซึ่งวางอยู่ใกล้บันไดเลื่อน  มีคนไทยสองสามคนยืนดูอยู่หนึ่งในนั้นคงเป็นพนักงานของร้านเมื่อดูจากเครื่องแบบ คิดว่าคงเป็นหนังตลก ดูจากประโยคคำพูดและลักษณะของตัวแสดง รูฟัสไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ขันของคนไทยนัก ดังนั้นเขาจึงเดินต่อไปยังส่วนที่ขายซีดีคลาสสิก ซึ่งตัวเองพอมีความรู้อยู่บ้าง
ส่วนนี้ตั้งแยกออกไปจากแผงขายซีดีและวีซีดี รูฟัสหยิบกล่องซีดีขึ้นมาดูรายชื่อ  เสียงเพลงคลาสสิกที่เปิดคลอไว้เบาๆ ทำให้เขานึกถึงตอนที่เขาต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของเพลงต่างๆ
   เทปเพลงและซีดีกองมหึมากองอยู่หน้าเครื่องเล่น เขาต้องจำรายละเอียดต่างๆและแยกประเภทของเพลงต่างๆ ให้ได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่จำเป็นในอาชีพของเขา
   รูฟัสยิ้มน้อยๆ เมื่อคิดถึงคืนวันเก่าๆ แม้บางทีอาจจะดูโหดร้ายและเข้มงวดไปบ้าง แต่ อเล็กเซก็เป็นคนดึงเขาออกมาจากปลักโคลน
   ในที่สุดชายหนุ่มก็ซื้อซีดีออกมาแผ่นหนึ่ง  เขากลับมายืนรออยู่หน้าร้านชั้นสอง ไม่นานฟ่งก็หอบถุงใสสกรีนชื่อร้านใบใหญ่ออกมา
   “ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มรีบเอ่ยปาก ทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายยืนรออยู่แล้ว
   “Не за что!  เอ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ” รูฟัสรีบแก้คำ เมื่อรู้ตัวว่าพูดภาษาบ้านเกิดออกไป อีกฝ่ายมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา
   “เอ่อ ไปทานข้าวกันเถอะครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”
   ฟ่งขยับแว่น ก่อนจะเดินนำหน้าไป  รูฟัสมองดูถุงใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยม้วนกระดาษและถุงใบเล็กๆ ที่ซ้อนอยู่ข้างใน อย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก พลางเดินตามไปเงียบๆ
   ดูเหมือนห้างจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน รูฟัสมองดูรอบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าห้างในประเทศไทย  ชายหนุ่มนึกเปรียบเทียบกับห้างที่เขาเคยเจอ มันก็ดูไม่เล็กเลยทีเดียว  เขารู้สึกชอบส่วนทางเดินที่เป็นกระจก นอกจากจะต้องใช้ไฟในช่วงกลางวัน ยังทำให้เห็นทัศนียภาพภายนอกด้วย  ฟ่งพาเขาเดินลัดเข้าไปตามซอกเล็กๆ ก่อนจะไปโผล่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง  จริงๆ รูฟัสอยากจะเข้าร้านอาหารไทยที่ตั้งอยู่ด้านหน้าตรงที่เดินผ่านมามากกว่า แต่เพราะอีกฝ่ายบอกว่าจะเลี้ยง เขาเลยไม่อยากเสียมารยาท
   พนักงานต้อนรับสาวเดินมาส่งเมนู ก่อนจะเอาถาดใส่ผ้าเช็ดมือสีขาวซึ่งฆ่าเชื้อมาด้วยความร้อนมาวางให้ ทั้งคู่หันไปบอกขอบคุณพร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ พนักสาวอมยิ้ม สองหนุ่มหัวเราะแห้งๆ เปิดเมนูขึ้นมาสั่งอาหาร  พนักงานอธิบายให้ฟังเกี่ยวกับรายละเอียดของอาหารเซ็ตต่างๆ  ฟ่งสั่งข้าวหน้าปลาทูน่าสด ในขณะที่รูฟัสเลือกจะสั่งอาหารเซ็ตของร้าน เพราะเห็นว่าแปลกดี
   “เอ้อ คุณรูฟัสเป็นคนรัสเซียสินะครับ” ฟ่งเอ่ยขึ้น หลังจากสั่งอาหารไปแล้ว
   “ครับ” รูฟัสตอบ  ฟ่งพูดต่อ
   “อยากลองไปเที่ยวจัง ผมยังไม่เคยเห็นโดมรูปหัวหอมของจริงเลยซักครั้ง”
   “อ่อ ที่เซร์กีเยฟ โปซัด สินะครับ”
   สำเนียงแปลกหูจนคนฟังต้องขมวดคิ้ว ฟ่งอ้าปากถามต่อ
   “มันเรียกแบบนั้นหรือครับ ผมเคยเห็นภาพตอนสมัยยังเรียนมหาลัย”
   “อ๋อ อันนั้นเป็นชื่อเมืองน่ะครับ ที่นั่นเรียกกว่าทรินีตี-เซนต์เซร์จีอุส หรือว่าบางทีคุณอาจจะหมายถึงซาโบร์ วาซิเลีย บลาเซนนาวา”
   “อะไรนะครับ?” ฟ่งทวนคำ  คงเพราะความไม่คุ้นเคยกับภาษา บวกกับคนที่พูดเป็นเจ้าของภาษา การฟังจึงยากลำบาก ความจริงเขาก็ไม่อยากขัดนักหรอก แต่มันฟังแทบจะไม่รู้เรื่องจริงๆ
   “ทรินีตี-เซนต์เซร์จีอุส กับ ซาโบร์ วาซิเลีย บลาเซนนาวา ครับ” รูฟัสพูดซ้ำอีกครั้ง พยายามสะกดช้าๆ ให้อีกฝ่ายฟังง่ายๆ ฟ่งจำเป็นต้องพยักหน้าด้วยความจำใจ เพราะขืนให้พูดอีกเขาคงต้องไปเข้าคอร์สเรียนภาษารัสเซียเป็นแน่
   “แต่อากาศที่โน่นหนาวมากนะครับ ถ้าคุณไปคงปรับตัวลำบากทีเดียว” รูฟัสกล่าวพลางมองคนนั่งตรงข้ามและยิ้ม เขากำลังจินตนาการถึงฟ่งตอนที่ใส่หมวกกับเสื้อขนสัตว์ คงดูแปลกพิลึกสำหรับคนตัวผอมๆ แบบนี้ ชายหนุ่มพลันนึกถึงสัตว์ตัวเล็กๆ ที่มีขนปุกปุย
   “ฮ่ะๆ นั่นสินะครับ ก็ที่นี่มันร้อนเสียขนาดนี้” ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะ  ก่อนจะถามต่อ
   “แล้วงานคุณ เป็นยังไงบ้างครับ”
   “อ้อ...” รูฟัสเอามือเกาหลังหู แล้วยิ้มแห้งๆ “ยังหาอยู่เลยครับ”
   “เอ...” อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะนึกอะไรบางอย่าง
   “ไม่ลองเป็นครูสอนภาษาดูล่ะครับ” ฟ่งเสนอ  คนได้ยินได้ยินหัวเราะร่วน
   “โอ๊ย ไม่ไหวหรอกครับ ผมไม่ได้เรียนดีอะไร อีกอย่าง ใครที่ไหนจะมาสนใจภาษารัสเซีย”
   “ไม่แน่นะครับ เดี๋ยวนี่คนไทยออกจะนิยมภาษาต่างชาติ” คนเสนอตั้งข้อสังเกตด้วยสีหน้าจริงจัง รูฟัสอมยิ้ม
   “ไว้ถ้าคุณจะไปรัสเซียเมื่อไหร่ ผมจะเปิดสอนให้แบบคิดพิเศษแล้วกันนะครับ”
   ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ  ก่อนจะยกมือไปช่วยรับถาดอาหารที่พนักงานเสิร์ฟยกมาเสิร์ฟพอดี
---------------
   รูฟัสกลับมาถึงห้องในช่วงบ่าย  ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ฟ่งพาไปทำอาหารได้ไม่เลวทีเดียว แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับรสชาตินัก ชายหนุ่มกดปุ่มเปิดโทรทัศน์ เดินมานั่งตรงโซฟา รายการเกมโชว์ช่วงบ่ายปรากฏขึ้น
   ผู้เป็นเจ้าของห้องอ้าปากหาวเมื่อรายการเกมโชว์จบลง  เขาเดินไปหยิบกระบอกน้ำจากตู้เย็น รินใส่แก้ว แล้วกลับมานั่งที่โซฟาอีกรอบ  คราวที่นี้รายการต่อไปเป็นละครยามบ่าย รูฟัสนึกสงสัยเกี่ยวกับตัวละครที่ดูท่าทางคล้ายแม่บ้านซึ่งโดนดูถูกอยู่มาก ชายหนุ่มนึกถึงแม่บ้านที่เขาพบในคอนโดก็ไม่เห็นจะเป็นแบบในละคร  หรือว่าจะเป็นเฉพาะในบ้านของเศรษฐี คงต้องลองถามใครซักคน
   ในที่สุดสิ่งที่ชายหนุ่มเฝ้ารอก็มาถึง รายการข่าวต้นชั่วโมง  รูฟัสกดรีโมทเพื่อเร่งเสียงให้ดังขึ้น
   “ข่าวด่วน ตำรวจได้บุกเข้าจับกุมขบวนการค้ายาข้ามชาติ เมื่อเที่ยงวันนี้  โดยเมื่อเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการบุกเข้าจับกุมนายเส็งทอง และพวก รวมแปดคน ในคอนโดมิเนียมหรู บริเวณถนนสาธร โดยมีของกลางเป็นเฮโรอีน จำนวนห้ากิโลกรัม ประเมินมูลค่าเบื้องต้นประมาณสิบล้านบาท”
   รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่ม งานยากลำบากของเขาเสร็จไปชิ้นหนึ่งล่ะ
------------------
   เสียงเพลงที่ขาดๆ หายๆ ทำให้ฟ่งขมวดคิ้ว เขาเดินไปยังเครื่องเสียง ดีดแผ่นที่กำลังเล่นอยู่ออกมา พลิกดูพลางขมวดคิ้วกับรอยข่วนมากมายที่อยู่บนแผ่น ชายหนุ่มเก็บมันใส่กล่อง ก่อนจะสอดไว้ในถุงก๊อบแก๊บที่วางอยู่ข้างๆ
   ฟ่งหยิบแผ่นซีดีแผ่นอื่นที่สอดอยู่ในชั้นใส่เข้าไปแทบที่ ก่อนจะกดปุ่มะเล่น เสียงเพลงระรื่นหูค่อยๆ ดังแว่วขึ้น ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ เสียงเพลงกระตุกแบบนั้นเป็นใครก็คงหงุดหงิดล่ะ เขาเดินกลับไปที่โต๊ะเขียนแบบสีดำขนาดเอศูนย์ที่เพิ่งกางมันออกมา หยิบกระดาษขาวที่วางแผ่อยู่บนพื้นขึ้นวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะใช้เทปกาวแบบพิเศษสีครีมติดที่ขอบด้านข้าง ฟ่งขยับไม้บรรทัดใสที่วางขวางอยู่ โดยที่ปลายสองข้างมีเชือกสอดอยู่ เพื่อตรวจสอบว่ามันตั้งฉากและขยับได้อยู่หรือไม่  เขาก้มลงไปแกะเชือกเส้นเล็กๆ ที่พันอยู่กับตะขอที่ปลายโต๊ะ แล้วผูกมันใหม่ ลอง
ขยับทีสไลต์อีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนมันจะใช้การได้ดี
   ชายหนุ่มกดปุ่มเปิดโป๊ะไฟที่ติดอยู่กับโต๊ะ แสงสีขาวนวลสาดลงมาบนกระดาษสีขาว เขาหยิบดินสอขึ้นมา และเริ่มลงมือลากเส้น
   แม้จะมีโปรแกรมช่วยในการเขียนแบบ แต่บางครั้งฟ่งก็ยังชอบเขียนแบบด้วยมือ คงเป็นความเคยชินมาจากตอนเรียนมหาวิทยาลัย และเวลาอยู่บนกระดาษ ความคิดของเขาแล่นได้ดีกว่านั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์
   เสียงบทสนทนาของเพื่อนๆ และอาจารย์เมื่อครั้งยังเรียนแว่วขึ้นในหัว  ใบหน้าของชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคืนวันเก่าๆ
   เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปลุกเขาจากภวังค์ ฟ่งรีบวางมือจากกระดาษเขียนแบบซึ่งเขาเพิ่งขึ้นโครงร่างไปเพียงบางส่วน เดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางชาร์ตแบ็ตเตอรี่อยู่ข้างเตียง
   “สวัสดีครับ ครับ ใช่ครับ” ฟ่งนิ่งฟังเสียงปลายสายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากตอบ
   “ครับ งั้นพรุ่งนี้ช่วงเย็นๆ ผมจะเข้าไปนะครับ ครับ ได้ครับ สวัสดีครับ” ฟ่งวางโทรศัพท์ เดินกลับมาที่โต๊ะเขียนแบบอีกครั้ง เขามองดูผลงานตัวเอง แล้วนึกขำ มันเป็นเพียงแค่การเตรียมตัวเพื่อรับงานเท่านั้น  ชายหนุ่มปิดสวิตไฟ ก่อนจะเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ เขาเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเอาเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนแขนยาวกับกางเกงสแลคสีน้ำตาลเข้มออกมา ก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง
-----------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #6 เมื่อ23-05-2011 20:14:39 »

   แสงไฟนีออนจากร้านซักรีดพอจะทำให้ตรอกแห่งนี้สว่างขึ้นมาบ้าง แม้ว่าตัวคอนโดเองจะเปิดไฟไว้ตลอด แต่พอตกช่วงหัวค่ำ ไฟตรงส่วนลอบบี้ที่เป็นกระจกก็ถูกดับลง ทำให้บริเวณทางเข้าดูมืดลงไปถนัด เนื่องจากเป็นที่ส่วนบุคคล
   ฟ่งนึกโมโหตัวเองที่ไม่ได้ใส่กางเกงขายาวลงมา เขายืนตบยุงอยู่หน้าร้านซักรีด โดยที่อีกมือหนึ่งถือไม้แขวนเสื้อที่มีเสื้อและกางเกงแขวนอยู่ ท่าทางทุลักทุเล ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านซักรีดจะออกไปทำธุระข้างนอกแต่คงไปไม่นาน เพราะไม่ได้เขียนป้ายติดไว้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะยืนรอ ขณะที่กำลังยืนตบยุงด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจ เขาก็เหลือบไปเห็นเงาคนเดินออกมาจากคอนโด ร่างสูงใหญ่นั้นคงไม่ใช่ใครอื่น ฟ่งทำท่าจะร้องทัก แต่เสียงอีกเสียงก็ดึงความสนใจของเขาไปเสียก่อน
   “ตายจริง มารอนานแล้วหรือคะ” หญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีขาวสกรีนลายมัดผมม้าด้านหลัง ที่กำลังเดินเข้ามาจากต้นซอยร้อง ก่อนจะรีบเปิดประตูร้าน
   “ทำอะไรคะ?”
   “รีดเสื้อน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบ พลางยกเสื้อผ้าส่งให้ทางช่องสี่เหลี่ยมที่เจาะไว้เหมือนหน้าต่าง หญิงสาวรับเสื้อผ้าไปแขวนไว้ที่ราวด้านหลัง ก่อนจะหันกลับมาถามรายละเอียด
   “เอาวันไหนดีคะ”
   “พรุ่งนี้ ซักก่อนเที่ยงได้ไหมครับ”
   “ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำ  ฟ่งยิ้มให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับไป  ไม่มีวี่แววของรูฟัส ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่พลาดการทักทายกับคนข้างห้อง เอาเถอะ ทางนั้นคงรู้แหละว่าเขาทำธุระ ไม่ใช่ว่าเขาเมินไม่สนใจเสียหน่อย
------------------------
   รูฟัสกระโดดขึ้นรถเมล์ครีมแดงเบอร์เดียวกับที่ฟ่งเคยพาเขาขึ้นตอนที่เจอกันวันแรก  กระเป๋ารถเมล์เดินเข้ามาเก็บค่าโดยสารพร้อมมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ  ชายหนุ่มล้วงเศษเงินจากกระเป๋ากางเกงจำนวนพอดีกับค่าโดยสาร ยื่นให้กับพนักงาน ก่อนจะรับตั๋วมาสอดเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ  เขาใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีสีเทาแก่กางเกงสแลคสีกรม สวมรองเท้าหนังสีดำ นัยน์ที่เคยมีสองสีตอนนี้กลายเป็นสีน้ำตาล หวีผมแสกขวา รูฟัสนึกดีใจที่ฟ่งไม่ได้หันมาทักเขา  เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นเขาในตอนนี้
   ชายหนุ่มกดกริ่งลงป้ายก่อนจะรถเมล์จะเลี้ยวเข้าไปยังส่วนของมหาวิทยาลัย เขาเดินทอดน่องไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน ผ่านต้นมะขามที่ปลูกรายล้อมอยู่บริเวณนั้น  กลิ่นของเสียที่มีคนมาถ่ายทิ้งไว้ตามต้นมะขามลอยมาแตะจมูกเป็นระยะ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่เท่ารถยนต์คันหนึ่งที่จอดเทียบเข้ามาในระยะประชิด
   “น้อง เท่าไหร่?” หนุ่มวัยกลางคนที่อยู่ในรถเชฟโรเลตสีดำไขกระจกลงมา พร้อมกับยิงคำถาม  รูฟัสเกาศีรษะ  ก่อนจะยกมือชูสัญลักษณ์เพศชายให้แทบคำตอบ รถยนต์คันนั้นรีบขึ้นกระจกขึ้นขับออกไปทันที  ชายหนุ่มมองตามด้วยสายตาสะใจเล็กๆ ก่อนจะออกเดินต่อ
   มีหญิงสาวเดินอยู่ประปรายแถวนั้น บางแต่งชุดนักศึกษา บ้างก็แต่งตัวในชุดลำลอง แบบกางเกงสาสั้น สายเดี่ยว รูฟัสสังเกตเห็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นเดินปะบนอยู่ด้วย  รถยนต์หลายคันแล่นโฉบเข้ามา หลังจากคุยกับครู่หนึ่ง เขาหรือเธอเหล่านั้นก็ก้าวขึ้นไปบนรถ ก่อนจะวิ่งฉิวออกไป
   หญิงสาวผมยาวประบ่าคนหนึ่งยืนแอบอยู่ตรงเสาไฟฟ้าที่ประดับลวดลายตรงฐานครอบ  ท่าทางไม่ค่อยอยากให้ใครมาเห็น  รูฟัสตัดสินใจเดินเข้าไปหา
   “รอใครหรือครับ?” เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยประโยคธรรมดาที่สุด เธอสะดุ้งโหยง รีบพูดขึ้น
   “คะ?”
   รูฟัสสังเกตเครื่องแต่งกายของหญิงสาว เธออยู่ในชุดที่เขาคิดว่าคงเป็นชุดนักศึกษา แต่ได้ติดกระดุมหรือเข็มที่แสดงเครื่องหมายสถาบันเอาไว้  ชายหนุ่มถามต่อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำตัวไม่ถูก
   “ถามชื่อได้ไหมครับ”
   เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยอาการประหม่า  แสงไฟสีส้มทำให้มองสีไม่ค่อยชัด แต่พอเดาได้ว่าเป็นชาวต่างชาติ
   “เจนค่ะ” เธอตอบ ก่อนจะก้มหน้าเอามือบิดชายเสื้อไปมา ชายหนุ่มยิ้มละไม
   “โอเคครับเจน  ถ้าไม่รังเกียจ ไปทานข้าวกับผมนะครับ”
   หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กๆ
-------------------------------------------
   บรรยากาศกลางคืนในถนนข้าวสารคึกคักไปด้วยผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เสียงจากจอโทรทัศน์ที่ฉายภาพยนตร์อยู่ในร้านอาหารดังแว่วออกมาเป็นระยะๆ เจนซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดรัดรูปสีชมพูสด และกางเกงยีนส์ขาสั้น เดินตามชายหนุ่มชาวต่างชาติซึ่งแนะนำตัวว่าชื่อเจฟฟรีย์  เขาบอกว่าเธอควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน  โชคดีที่เจนพกเสื้อลำลองมาในกระเป๋าถือของหล่อนมาด้วย
   รูฟัสชะลอฝีเท้า ยื่นแขนให้หญิงสาว เธอเกาะแขนเขาอย่างเขินๆ ทั้งคู่เดินเข้าไปในร้านอาหารที่ดูคล้ายบาร์เบียร์ ชายหนุ่มเลือกที่นั่งบริเวณมุมหนึ่งของร้าน เขาเชิญให้เธอนั่งก่อน จากนั้นจึงนั่งลงข้างๆ  บริกรสาวเดินมาถามรายการอาหารเป็นภาษาอังกฤษ รูฟัสซึ่งตอนนี้ใช้ชื่อว่าเจฟฟรีย์หันมาถามเจน “อยากทานอะไรครับ?”
   หญิงสาวลนลานหยิบเมนูขึ้นมาเปิดดู ทั้งหมดเขียนด้วยภาษาอังกฤษ หล่อนขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้รายการอาหารให้บริกรดู  ชายหนุ่มแอบยิ้มเล็กๆ ก่อนจะพูดสั่งอาหารเป็นภาษาอังกฤษ
   “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ครับ” รูฟัสพูดขึ้นหลังจากที่บริกรเดินออกไป  เขาสังเกตเห็นหญิงสาวนั่งนิ่ง
   “เอ่อ..ขอโทษค่ะ”
   “ไม่เป็นไรครับ ทำตัวตามสบายนะครับ ผมไม่ได้เจตนาอะไรไม่ดีหรอกครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม พลางชวนคุย แม้จะไม่ค่อยเชื่อใจนัก แต่เจนก็อดทึ่งไปกับทักษะการพูดภาษาไทยของเขาไม่ได้
   “มาอยู่เมืองไทยนานแล้วหรือคะ?” ในที่สุดเธอก็ถามขึ้น  รูฟัสพยักหน้า
   “ครับ หลายปีอยู่”
   “อ้อ มิน่า คุณดู อืม..พูดภาษาไทยคล่องมากเลยน่ะค่ะ” หญิงสาวว่า แอบเหลือบมองใบหน้าของชายหนุ่ม  เป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสได้มองหน้าของเขาชัดๆ แสงไฟในร้านนั้นดูดีกว่าไฟข้างถนนมากนัก เจนพบว่าชาวต่างชาติที่พาเธอมานั้น หน้าตาดีกว่าที่คิดไว้มากเลยทีเดียว  ความรู้สึกนี้ทำให้หญิงสาวผ่อนคลายขึ้น
   ในที่สุด อาหารที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มให้เกียรติเธอก่อนเช่นเคย ถึงตอนนี้เจนลดอาการประหม่าลงได้มากจนเริ่มเป็นฝ่ายชวนคุยแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่รูฟัสต้องการ
   เขากำลังสังเกตชายวัยกลางคนชาวตะวันตกวัยกลางคนรูปร่างท้วม ที่มีผมสีน้ำตาลแซมเทาเดินเข้ามาในร้าน พร้อมกับหญิงสาวสวยในชุดแขนกุดรัดรูปและชายฉกรรจ์ชาวตะวันตกอีกสองคน  ทั้งหมดนั่งลงตรงโต๊ะที่ทางร้านเพิ่งจัดให้เป็นพิเศษ อยู่ในแนวทแยงจากโต๊ะที่รูฟัสนั่งอยู่พอดี
   ชายหนุ่มตอบคำถามหญิงสาว พลางชำเลืองมองออกไปยังโต๊ะเป้าหมายในขณะที่เธอเผลอ เขานึกขอบคุณการจัดโต๊ะของทางร้านที่ทำให้การสังเกตการณ์ครั้งนี้สะดวกกว่าที่คาดไว้
   ชายที่รูฟัสจับตามองคือ ดอน ฟาบิโอ หนึ่งในเจ้าพ่อวงการธุรกิจใต้ดินของอิตาลี่ หรือที่เรียกกันอีกนัยหนึ่งว่า มาเฟีย   ดูเหมือนทางฝ่ายโน้นจะไม่ได้ระวังตัวอะไรมากนัก ฟาบิโอ สั่งอาหารกับพนักงาน พร้อมกับหันไปถามลูกน้อง
   “เอ้อ เจฟคะ” เสียงของหญิงสาวดึงให้เขาต้องหันมาทางหล่อนอีกครั้ง
   “คุณแต่งงานแล้วยังคะเนี่ย?”
แก้มของเจนแดงระเรื่อ  เธอสั่งเบียร์ต่อจากอาหาร บางทีอาจจะเพื่อย้อมใจ รูฟัสไม่ได้ขัดใจหล่อน การที่หญิงสาวเมาบ้างย่อมเป็นเรื่องดี แต่เขาไม่ต้องการให้เจนเมาแอ๋ ดังนั้นเขาจึงแอบรินน้ำเปล่าลงไปแทนที่บ้าง
   “ผมยังโสดนะครับ” รูฟัสตอบคำถาม หญิงสาวหัวเราะ
   “แหม โกหกรึเปล่า ท่าทางอย่างคุณเนี่ยนะคะ”
   “ผมจะโกหกคุณทำไมล่ะ” รูฟัสพูดยิ้มๆ ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ
   “ก็คุณออกจะหล่อขนาดนี้ มันจะรอดไปได้ยังไงล่ะคะ หรือว่าคุณชอบใช้ชีวิตไปเรื่อยๆแบบนี้?”
   ชายหนุ่มหัวเราะกับคำถาม “ก็ไม่แน่นะครับ ผมยิ่งเป็นพวกชอบค้ากำไร”
   หญิงสาวหัวเราะขึ้นบ้าง “ปากดีจังนะ”
   รูฟัสแอบเทเบียร์ที่เหลืออยู่ใส่แก้วตัวเองจนหมด ก่อนที่จะยกขึ้นมาจิบ
   “ปกติกินเหล้าบ่อยเหรอ?” เจนถามต่อ
   “ก็มีบ้าง เอ้อ” ชายหนุ่มแกล้งอุทาน เขาเห็นคนของฟาบิโอกำลังทยอยลุกออกไป
   “ขอโทษนะครับ” รูฟัสหันมาพูดกับหญิงสาว “เหมือนผมจะเห็นเพื่อนเก่าแวบๆตะกี้ ผมมีธุระอยากคุยกับเขานิดหน่อย  ถ้ายังไง ช่วยรอที่นี่ก่อนได้ไหมครับ”
   หญิงสาวพยักหน้าอย่างงงๆ หวั่นเหมือนกันว่าคนที่พาเธอมาจะชักดาบหนี แต่อาจจะดีก็ได้ ลำพังค่าเครื่องดื่มแค่นี้เธอจ่ายเองได้อยู่แล้ว ที่สำคัญ ผู้ชายคนนี้ยังไม่ได้แสดงพฤติกรรมอะไรที่ควรจะทำกับเธอเลย ชายหนุ่มอมยิ้ม “ช่วยอย่าเมาก่อนที่ผมจะกลับมานะครับ”
   เธอหัวเราะเบาๆ พยักหน้าอีกครั้ง
   รูฟัสลุกจากโต๊ะ เดินไปคุยอะไรบางอย่างกับพนักงาน ก่อนที่จะก้าวเท้าอย่างรีบร้อนออกไปนอกร้าน ทำให้ชนเข้ากับลูกน้องของฟาบิโออย่างไม่ได้ตั้งใจ ชายหนุ่มรีบพูดขอโทษโดยไม่ได้หันมามอง ก่อนจะก้าวเท้าออกไปอย่างเร่งร้อน เหมือนกำลังตามใครบางคน
-------------------------------------------
   รูฟัสกลับเข้ามาในร้านหลังจากฟาบิโอไปได้ไม่นาน เขาอยู่ในสภาพเหนื่อยหอบ เจนร้องทักเขาอย่างดีใจ
   “คิดว่าจะชิ่งหนีแล้วเสียอีก เจอไหม?”
   ชายหนุ่มแบมือออกสองข้าง พร้อมกับยักไหล่
   “บ้าชะมัด ไม่รู้มันหายไปไหนแล้ว ไวจริงๆ เลย” เขาบ่น หญิงสาวหัวเราะ
   “เขาเป็นหนี้คุณรึไง?”
   “ยิ่งกว่านั้นอีก” รูฟัสแสร้งทำเป็นหงุดหงิด เขายกแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มอีกอึกหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
   “ช่างมันเถอะ เรากลับกันดีกว่า”
   เจนมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย  ชายหนุ่มเรียกบริกรมาชำระเงิน ก่อนจะพาหญิงสาวเดินออกไป
---------------------------------
   “เราจะไปไหนกันต่ออีกรึเปล่าคะ?” หญิงสาวถาม เมื่อทั้งคู่เดินออกมาพ้นถนนข้าวสารแล้ว ตอนนี้เธอเดินเกาะแขนชายหนุ่มโดยไม่เขินอายอีก รูฟัสดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะหันมาพูดกับหญิงสาว
   “ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ได้เวลากลับบ้านแล้วนะ สาวน้อย”
   “ล้อเล่นรึเปล่าคะ” เธอหัวเราะ เบียดตัวเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มยิ้ม
   “ไม่ได้ล้อเล่นหรอก เจ้าหญิงน้อย บ้านคุณอยู่ไหนล่ะ ผมไปส่ง”
   “ใจดีจัง ฉันทำให้คุณหมดอารมณ์รึเปล่า?” เธอพูด น้ำเสียงเจือความผิดหวังอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับมากนัก
   “ไม่ใช่หรอก พรุ่งนี้ผมต้องตื่นไปทำงานตอนเช้า”
   เจนหัวเราะ “อืม..เข้าใจล่ะ คุณเป็นซินเดอเรลล่านี่เอง พอถึงเที่ยงคืนก็ต้องกลับแล้ว แล้วยังไงคะ หลังเที่ยงคืนแล้ว จากหนุ่มรูปหล่อ จะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดรึเปล่า?”
   ชายหนุ่มหัวเราะบ้าง “อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะครับ ใครจะไปรู้”
   เขาโบกแท็กซี่ โชคดีที่บ้านของเจนอยู่ไม่ไกลมากนัก เธอบอกเขาว่าอยู่หอพัก

“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” หญิงสาวกล่าว หลังจากที่ลงจากรถแล้ว ดูเหมือนเธอจะได้สติมากขึ้น  รูฟัสยิ้ม
   “ผมไม่ห้ามถ้าคุณจะทำอาชีพแบบนี้หรอกนะครับ แต่ผมว่าคนสวยอย่างคุณยังทำอะไรอย่างอื่นได้อีกเยอะ”
   เธอยิ้มแห้งๆ “ขอโทษจริงๆค่ะ”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ หวังว่าคงไม่เจอคุณในที่แบบนั้นอีกนะครับ”
   “ไม่หรอกค่ะ” เธอรีบพูด “โชคดีนะคะ พ่อหนุ่มซินเดอเรลล่า”
เจนโบกมือลา มองดูแผ่นหลังของชายหนุ่มหายลับไปในความมืด  เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกนึกขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เธอพบกับคนดีๆ แบบเจฟฟรีย์ โชคดีที่เขาไม่ได้ทำอะไรเธอ เห็นทีพรุ่งนี้ต้องไปยกเลิกเกมบ้าๆนี่กับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเสียที
-----------------------
   รูฟัสหยิบอุปกรณ์รูปทรงคล้ายเครื่องคอมพิวเตอร์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง หลังจากที่พาตัวเองเข้ามาในรถแท็กซี่  จอแอลซีดีขนาดเล็กบอกเส้นทางและชื่อถนน มีจุดสีแดงกะพริบอยู่ เมื่อครู่ตอนชนเข้ากับลูกน้องของฟาบิโอ เขาได้แอบติดเครื่องส่งสัญญาณขนาดเล็กเข้าไปใต้ชายเสื้อ ชายหนุ่มต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะไม่รู้ว่าเครื่องส่งสัญญาณจะถูกตรวจพบเมื่อไหร่ เขาคาดว่าฟาบิโอคงอยู่ที่โรงแรมที่ไหนซักแห่ง
   เป็นไปตามคาด ในที่สุดแท็กซี่ก็พามาหยุดอยู่หน้าโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มจ่ายเงินค่ารถ และแถมค่าเสียเวลาให้คนขับอีกพอสมควร
   เขาเดินไปที่ลอบบี้ของโรงแรม ตกลงเช่าห้องคืนหนึ่ง โดยใช้ชื่อว่าแฟรงค์ รูฟัสเลือกห้องที่อยู่ชั้นเจ็ดซึ่งเป็นชั้นบนสุด ปัญหาคือ ฟาบิโอพักอยู่ชั้นไหนกันแน่ 
โชคดีที่เป็นตอนดึกและไม่ใช่หน้าเทศกาล ดังนั้นคนมาใช้บริการในช่วงดึกจึงน้อยมาก ชายหนุ่มเดินไปที่ลิฟต์ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสองตัว รูฟัสยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลือกเข้าลิฟต์ตัวทางขวา เขาพิจารณาดูปุ่มกดบอกชั้นทั้งเจ็ดปุ่ม เพื่อหาว่ารอยกดอันไหนใหม่ที่สุด รูฟัสจดเบอร์ชั้นต่างๆ เรียงลงในสมุด ก่อนจะออกไปที่ลิฟต์อีกตัวหนึ่ง  แล้วทำเหมือนกับลิฟต์ตัวแรก แล้วเขาก็สุ่มกดหมายเลขของชั้นแรกที่ได้จากลิฟต์ตัวทางขวาก่อน
   เขาไม่พบห้องที่ดูว่าน่าจะใช่ในชั้นนั้น รูฟัสเลือกชั้นใหม่ คราวนี้ไม่ต้องใช้เวลาหานาน  เขาพบลูกน้องของฟาบิโอสองคนยืนคุยกันอยู่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง ชายหนุ่มแอบยิ้ม 
ถึงเจ้านายใจดียังไง ลูกน้องก็ต้องทำหน้าที่ลูกน้องอยู่วันยันค่ำ
   รูฟัสเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมายทันที เขายิ้มอย่างเป็นมิตร เมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างแปลกใจ ก่อนจะชกเข้าเต็มกรามของชายฉกรรจ์ผมสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ด้านซ้าย ชายผู้ถูกชกใส่อย่างไม่ทันตั้งตัวเซถลาออกไปชนกับประตู  แรงกระแทกตรงกรามส่งผลให้ระบบประสาทรับรู้ชะงักไปชั่วขณะ นานพอพอที่รูฟัสจะจัดการกับชายอีกคนหนึ่ง
   ดูเหมือนฟาบิโอจะรู้สึกถึงความผิดปกติด้านนอก ชายวัยกลางคนส่งเสียงถามออกมาเป็นภาษาอิตาลี รูฟัสลากร่างของชายฉกรรจ์สองคนที่หมดสติมาพิงไว้ข้างฝา ก่อนจะคลานไปนั่งสบายๆ หน้าประตู  เขาไม่ต้องการให้ฟาบิโอเห็นอะไรผ่านตาแมว ชายหนุ่มลงมือเคาะประตู เป็นจังหวะ หรือที่เรียกกันว่ารหัสมอส หลังจากเสียงของฟาบิโอเงียบลง เสียงต๊อก ต๊อก ต๊อกดังขึ้นเบาๆ สื่อความหมายถึงคนที่ยังอยู่ในห้อง
   “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
   สักพักมีเสียงเคาะตอบมาจากอีกฝ่าย
   “คุณเป็นใคร?”
   รูฟัสเคาะตอบไป
   “ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ กรุณาตอบคำถามของผม”
   “จะถามเรื่องอะไร?”
   เสียงเคาะฟังดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด รูฟัสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มเคาะต่อ
   “Tezcatlipoca(เทซกาลิโพกา)”
   ความเงียบที่ชวนอึดอัดก่อตัวขึ้นทันที  รูฟัสเฝ้ารอคำตอบอย่างรอคอย  ในที่สุด เสียงเคาะเสียงแรกที่ทำลายความเงียบ ก็มาจากฟาบิโอ
   “คุณรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้?”
   “ใช่”
   “แล้วคุณต้องการถามอะไรกันแน่?” อีกฝ่ายเคาะถามด้วยอาการร้อนรน
   “พวกคุณนัดประชุมกันที่ไหน?” รูฟัสถาม คราวนี้เสียงเคาะดังขึ้นแทบจะทันที สั้นๆ และแสดงเจตนาชัดเจน
   “ไม่” เป็นคำตอบที่สั้นและหนักแน่น ชายหนุ่มสูดหายใจ ก่อนจะเคาะกลับไป
   “คุณมีเวลาคิด” เขาเว้นจังหวะก่อนจะเคาะต่อ“ก่อนที่ผมจะหาวิธีเข้าไปถามคุณในห้อง”
   หยุดไปอีกครั้ง
   “ผมเชื่อว่าคุณไม่โง่ที่จะเสียเวลารอเรื่องแบบนั้น”
   อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปอีกครู่ใหญ่ หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเจ็ดปีกำลังประเมินสถานการณ์ของตัวเองและฝ่ายตรงข้าม  รูฟัสเริ่มเคาะอีกครั้งเพื่อช่วยให้ฟาบิโอตัดสินใจง่ายขึ้น
   “ผมอุตส่าห์มาหาคุณถึงที่ไม่ใช่เพราะอยากให้คุณรู้ว่าผมรู้เรื่องนี้เฉยๆ หรอกนะ”
เสียงจากอีกด้านของประตูยังคงเงียบ
   “คุณคงรู้ว่าผมหวังคำตอบ”
   รูฟัสเว้นช่วงยาว
   “ผมมาหาคุณถึงนี่ได้ผมก็เข้าไปได้ อย่าให้ผมรอนานจะดีกว่า”
   อีกอึดใจหนึ่ง ก็มีเสียงเคาะตอบกลับมา
   “ก็ได้”
   เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง
   “แต่ถึงผมจะบอก คุณก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี”
   “ผมอยากให้คุณตอบคำถาม ไม่ใช่บอกผมว่าเข้าไปยังไง”
   ในที่สุด เมื่อเห็นว่าหมดวิธีต่อรองแล้ว ฟาบิโอจึงยอมบอกสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ
   “พวกคุณวางแผนจะทำอะไรกัน?” เสียงเคาะถาม หลังจากบอกความลับไปแล้ว
   “...................................”
   รูฟัสเงียบ เขากำลังปลดเครื่องส่งสัญญานออกจากชายเสื้อของหนึ่งในชายฉกรรจ์ที่หมดสติอยู่
   “ผมไม่ได้มาเพื่อตอบคำถามคุณ”   เขาเคาะกลับอย่างยียวน และเคาะซ้ำอีกครั้ง
   “ผมส่งลูกน้องของคุณเข้านอนชั่วคราว ราตรีสวัสดิ์ ขอให้ฝันดี”
   ฟาบิโอยกมืออูมๆ ขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลโทรมใบหน้าขัดกับอากาศเย็นในห้องหลังจากเสียงเคาะเงียบไปพักใหญ่ โชคยังดีที่ทางนั้นไม่ได้คิดถึงขั้นจะฆ่าจะแกง แต่มีใครบางคนรู้ถึงโปรเจคลับนี้แล้ว และคงไม่ได้อยากรู้เพื่อจะขอการสนับสนุนแน่ๆ เขาโบกมือให้หญิงสาวที่กำลังจะอ้าปากถามเงียบ  ชายวัยกลางคนผู้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากเกือบห้าทศวรรษ กำลังเค้นสมองคิดถึงรายชื่อบุคคลที่กล้าพอจะทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนี้ได้ สุดท้ายเขาก็ได้แต่รำพึงออกมา
   “ช่างเป็นผีห่าซาตานที่สุภาพจริงๆ”
--------------------
   รูฟัสกลับมานั่งอยู่บนรถแท็กซี่อีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายของเขาคือการกลับที่พัก ชายหนุ่มมองดูนาฬิกาที่ข้อมือซึ่งเข็มที่ไปที่เลขสี่ พลางอมยิ้มเล็กๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของหญิงสาว
   ซินเดอเรลล่า...
   น่าเสียดายที่สิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ไม่ใช่รองเท้าแก้ว แต่เป็นความรู้สึกพรั่นพรึงและเรื่องน่าปวดหัวต่างหาก
-------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #7 เมื่อ23-05-2011 20:18:01 »

บทที่4 ผู้มาทีหลัง
   เสียงเคาะประตูตอนเช้าตรู่ทำให้คนที่นอนอยู่ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด  ชายหนุ่มคลำหาแว่นที่ถอดเอาไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง ก่อนเดินสะลึมสะลือไปที่ประตูพลางนึกด่าคนที่มาเคาะในใจ แต่ทันทีที่เห็นผู้มาเยือนจากช่องตาแมว ฟ่งรีบเปิดประตูอย่างไม่รอช้า
   “เจ๊ มาได้ไงเนี่ย?” เขาส่งเสียงอย่างดีใจ ผู้มาเยือนเป็นหญิงสาววัยราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าของห้องอย่างเห็นได้ชัด เธอมีผมสีน้ำตาลแดงซอยสั้น สวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวเข้ารูปแบบผู้หญิงกับกางเกงยีนส์ยืดสีน้ำเงินเข้ม
   “ขับรถมาสิยะ” อีกฝ่ายตอบ พลางยกถุงใบใหญ่ขึ้นมา คนในห้องรีบรับเอาไว้ทันที
   “ซื้อของกินมาฝากด้วยหรือ?” ฟ่งถาม เปิดประตูให้กว้างขึ้นพลางแบะถุงดูอย่างใคร่รู้
   “รื้อออกมาสิ เดี๋ยวจะทำให้กิน” หญิงสาวตอบ ขณะก้มลงถอดรองเท้าบูทสั้นสีน้ำตาลออก หล่อนวางมันไว้บนชั้นวางรองเท้าแล้วก็หยิบรองเท้าของน้องชายที่วางระเกะระกะอยู่ยัดกลับเข้าไปด้วย
   “รักเจ๊จัง” ฟ่งพูดหลังจากดูของในถุงแล้ว ชายหนุ่มเดินไปที่อ่างล้างจาน รื้อของจากถุงอย่างอารมณ์ดี ลืมความง่วงเป็นปลิดทิ้ง
   “ไม่ต้องมารักฉันตอนนี้เลย” พี่สาวพูด เอาเข่าถองตะโพกน้องชายเบาๆ
   “ย้ายที่อยู่ทำเอาวุ่นวายไปทั่ว หม๊าเป็นห่วงใหญ่”
   ฟ่งเอามือลูบก้น หัวเราะแห้งๆ หันไปมองหน้าพี่สาวอย่างรู้สึกผิด
   “เจ๊ช่วยพูดให้ล่ะ ว่าเธออาจจะยังช็อคอยู่ คงยังไม่อยากคุยกับใครตอนนี้”
   หญิงสาวกล่าวพลางเปิดตู้เย็น หยิบกระบอกน้ำมาเทใส่แก้ว ก่อนจะเดินไปนั่งตรงเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์
   “หม๊าบ่นเสียดายอาดา เจ๊เลยบอกว่า เธอคงมีเหตุผลที่ทำอย่างนั้น เอ๊ะ! นี่คงไม่ไปสะกิดต่อมหรอกนะ”
   “ไม่หรอก” ฟ่งพูด รู้สึกสะอึกนิดหน่อย พอมีใครพูดถึงเรื่องดาทีไร เขารู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ทุกที แต่วิธีนี้คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาทำได้แล้ว
   “ผมโทรหาหม๊าดีกว่า” ชายหนุ่มเดินมาหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ ขึ้นมากดเบอร์
“ไม่ต้องก็ได้ ถ้าเธอยังไม่พร้อม” ฝ่ายที่นั่งอยู่พูดขึ้น มองหน้าน้องชายด้วยความเป็นห่วง ฟ่งยิ้มให้หล่อน
   “ไม่เป็นไรหรอก ผมออกจะดีใจ เจ๊อุตส่าห์มาหา โทรไปหาหม๊าให้ชื่นใจด้วยเลยดีกว่า”เขากดโทรศัพท์ ก่อนจะหันมาบอกพี่สาว
   “เออ..เจ๊ รื้อของเสร็จแล้วนะ”
   ผู้โดนเรียกแค่นหัวเราะ “แหม... ทีเรื่องกินล่ะไวเชียวนะ มันน่าจะปล่อยให้อดดูจริงๆ”
   ฟ่งหัวเราะร่วน
“กว่าเจ๊จะมา ผมอดไปหลายมื้อแล้วนา...” ชายหนุ่มทำเสียงอ้อน ขณะที่หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปที้เคาน์เตอร์ครัวข้างอ่างล้างจาน
   “โหลว หม๊าหรอครับ เป็นไงบ้าง”
   เสียงตอบจากปลายสายถูกเสียงโหวกเหวกดังขึ้นด้านหลังรบกวนจนฟังไม่ถนัด
   “เฮ้ย!ฟ่ง หม้ออยู่ไหน?”
   “อยู่ในตู้ขวาบนน่ะเจ๊” ชายหนุ่มตอบ ก่อนจะหันมาคุยโทรศัพท์ต่อ
   “ครับหม๊า  เจ๊เพิ่งมาเมื่อกี้นี้เองครับ ทำกับข้าวอยู่ครับ”
   เสียงโลหะกระทบกันดังแว่วมาเป็นระยะๆ ฟ่งตัดสินใจเดินออกไปคุยตรงระเบียง
-----------------------------------------
   “หม๊างอนรึเปล่า?” หญิงสาวถาม ทันทีที่เห็นน้องชายเดินเข้ามา
   “เปล่า” คนถูกถามตอบ ขณะยกเท้าเขี่ยประตูกระจกบานเลื่อนให้ปิดลงโดยไม่หันกลับไปมอง
   “หม๊าบอกว่าว่างให้แวะไปเยี่ยมบ้าง แล้วก็บ่นว่าระวังเล้งมันจะได้แต่งงานก่อน”
   คนเป็นพี่สาวหัวเราะชอบใจ ฟ่งทำหน้าบูด
   “หัวเราะไร  ว่าแต่เจ๊เหอะ เมื่อไหร่จะแต่ง ทำตัวเหมือนสาวโสดอยู่ทุกที ระวังเฮียโชคเค้าหลุดมือไปนะ” ชายหนุ่มพูดแหย่  พลางเดินเข้ามาทำท่าชะโงกดูสิ่งที่อยู่บนเตา
   “โห...นั่นปากรึ อย่ากินเลยดีไหม มื้อนี้”
   หญิงสาวหันกลับมาถลึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง ฟ่งรีบยกมือทำท่ายอมแพ้
   “ล้อเล่นคร๊าบ  เออเจ๊ ทำกับข้าวไว้เยอะรึเปล่า?” ชายหนุ่มถาม ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้
   “ก็พอสมควร ทำไมหรือ?”
   “ก็ว่าจะไปชวนเพื่อนห้องข้างๆ มากิน”
   คนได้ฟังทำตาโต ราวกับได้ยินเรื่องสัตว์ประหลาดในห้องข้างๆ ก่อนจะพูดออกมาอย่างแปลกใจ
   “เดี๋ยวนี้หัดคุยกับคนข้างห้องแล้วรึ? พัฒนานี่ เอาสิ ชวนมาเลยก็ได้ แต่อาบน้ำก่อนก็ดีนะ”
   ประโยคสุดท้ายทำให้ฟ่งรู้สึกตัว เขาอยู่ในชุดนอนผ้าฝ้ายแขนสั้นกางเกงขายาวสีฟ้าอ่อน ผมไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งลุกจากที่นอน แถมฟันยังไม่ได้แปรงอีก ชายหนุ่มรีบเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนราว และเดินเข้าห้องน้ำ  ผู้เป็นพี่สาวมองตามหลัง ถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
---------------------------------------
   เป็นครั้งแรกที่รูฟัสมีโอกาสได้มาเยี่ยมเยียนห้องข้างๆ  เขาก้าวเท้าเข้ามาในสภาพหัวเปียกนิดหน่อย แน่นอนว่าเขาเองก็ตื่นสายเอาการ เป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อมูลนรกแตกที่ถูกส่งเข้ามาเพิ่มเมื่อคืนนั่นแหละ
   “เจ๊ นี่รูฟัส เพื่อนข้างห้องผมเอง” ฟ่งแนะนำผู้มาเยือนกับพี่สาวที่กำลังล้างมืออยู่ตรงอ่างล้างจาน เธอหันมาแล้วทำหน้าตกใจ  
   “เอ่อ.. นั่นเจ๊ผิง พี่สาวผม” ฟ่งหันมาแนะนำ รูฟัสยกมือไหว้  ผิงรีบยกมือไหว้ตอบ  พลางคิดในใจว่า ตัวเองดูแก่ขนาดนั้นเชียวหรือ
   “สวัสดีครับ” เขาพูด  ผิงเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา   
   “โอ๊ะ!! พูดไทยได้ ดีจัง ฮ่ะๆ” พี่สาวพูดพลางท่าทางโล่งใจอย่างจริงๆ จังๆ จนน้องชายอดหัวเราะไม่ได้ เขาหันมาพูดกับเพื่อนข้างห้อง
   “เจ๊เขาเป็นโรคกลัวฝรั่งน่ะ”
   “หืม?” รูฟัสส่งเสียงด้วยความสงสัย  ผิงรีบพูดขึ้น
   “ไม่ได้กลัวย่ะ ฉันแค่ไม่ชอบพูดเท่านั้นแหละ” เธอตอบอย่างพยายามรักษามาด นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายหัวเราะหนักขึ้นไปอีก
   “แหม เจ๊ จริงๆ แล้วรูฟัสเพิ่งหัดพูดภาษาไทยได้ไม่กี่คำเอง”
   “หา!!” หญิงสาวร้องเสียงหลง มองดูคนต่างชาติในห้องขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะรีบเดินปราดๆเข้ามาคว้าแขนน้องชาย
   “ไอ้ฟ่ง พามาแล้วก็แปลด้วยแล้วกัน เจ๊ไม่พูดภาษาอังกฤษหรอกนะ!”
   ฟ่งหัวเราะคิกคัก ขณะที่ผิงดูท่าทางเอาเรื่อง ทำให้รูฟัสไม่ค่อยสบายใจ
   “เอ่อ...ผมทำให้รู้สึกแย่รึเปล่าครับ?”
   “อ้อ ไม่ใช่หรอกค่ะ” หญิงสาวรีบพูดต่อ เธอเขม่นมองน้องชายที่หัวเราะอย่างสนุกสนาน ก่อนยกมือขึ้นฟาดก้นเจ้าตัวเสียงดับป๊าบ ฟ่งร้องโอ๊ย รูฟัสยืนอึ้งไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะสงสารหรือขบขันกับเรื่องตรงหน้าดี เหมือนจะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นชีวิตครอบครัวที่สนิทชิดเชื้อกันแบบนี้
   “อย่าไปสนใจมันเลยค่ะ เข้ามานั่งก่อนสิ” ผิงเอ่ยปาก พลางพยายามยิ้มอย่างเป็นมิตร รูฟัสพยักหน้าและยิ้มตอบ ขณะที่ฟ่งลูบก้นป้อยๆ และทำหน้าบูด
   “เจ๊ตีผมทำไม นี่ถ้าผมเจ็บจนพูดไม่ออก ใครจะมาแปลภาษาให้เจ๊ฟังล่ะ?”
   เสียงป้าบดังขึ้นอีกแทนคำตอบ ฟ่งครางเสียงอ่อย พลางลูบก้นป้อยๆ ก่อนเดินหนีไปที่โต๊ะ และโวยวายเรื่องที่ผิงเอาโต๊ะไฟมาทำโต๊ะกินข้าว แต่หญิงสาวไม่สนใจคำร้องเรียนดังกล่าว
   “ก็มันไม่มีโต๊ะว่างแล้วนี่”   เธอให้เหตุผล ฟ่งทำหน้าเศร้า แต่ก็ยอมหยิบจานมาตักข้าว รูฟัสมองดูพฤติกรรมของสองพี่น้องแล้วอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มในใจ
   ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวนี่อบอุ่นดีจริงๆ
   ดูเหมือนว่าผิงจะไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรชาวต่างชาติข้างห้องนัก คงเป็นเพราะรูฟัสพูดภาษาไทยได้ ดูท่าทางหญิงสาวจะสนุกที่ได้ถามคำถามต่างๆ เกี่ยวกับตัวเขา โดยมีฟ่งพูดแทรกบ้างเป็นระยะๆ ที่สำคัญ ฝีมือทำอาหารของเธอจัดว่าเยี่ยมทีเดียว
   “อาหารอร่อยมาก เลยครับ ขอบคุณที่ชวนมาทานนะครับ”   รูฟัสพูดตบท้ายด้วยความจริงใจ เขาเพิ่งช่วยเก็บจานไปส่งให้ฟ่งล้าง ชายหนุ่มพูดคำชมออกมาเป็นครั้งที่หกตั้งแต่เริ่มต้นมื้ออาหาร เล่นเอาคนถูกชมยิ้มแก้มแทบปริ
   “แหม...เล็กๆ น้อยๆ น่ะค่ะ” ผิงกล่าว พลางหัวเราะเขินๆ ดูมีความสุขที่ได้เห็นคนกินรู้สึกอร่อยกับอาหารที่ตัวเองทำ
   “ชมมากระวังเจ๊เค้าลอยติดเพดานนะครับ” ฟ่งที่กำลังล้างจานอยู่พูดแทรก  รูฟัสได้แต่ยิ้มงงๆ เขาไม่เข้าใจความหมายของคำเย้าแหย่นั้น แต่ฟ่งคงพยายามจะพูดให้มันดูตลกนั่นแหละ ผลคือเขาถูกพี่สาวตีก้นอีกรอบ คนถูกตีทำหน้าบู้บี้ หันกลับไปล้างจานต่อ คราวนี้รูฟัสดันรู้สึกขำขึ้นมาจริงๆ เขาขำหน้าฟ่ง ขำที่เจ้าตัวยังพยายามจะแหย่พี่สาว ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะโดนตีอยู่ทุกที การอยู่ท่ามกลางบรรยากาศพี่น้องที่ไม่มีอะไรแอบแฝงเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับบ้าน
   บ้านที่เขาจากมา และครอบครัวที่จากเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
------------------------------------------
   หลังจากคุยสัพเพเหระต่อกันอีกพักหนึ่ง รูฟัสก็ขอตัวกลับ
   “ความจริงผมมีธุระช่วงบ่าย ตอนแรกกะจะออกไปกินข้าวด้านนอกแล้วเลยไปเลย ขอบคุณจริงๆ นะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างจริงใจขณะบอกลาเพื่อนข้างห้องและพี่สาว ผิงยิ้มกว้าง
   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงฝากดูแลน้องชายตัวยุ่งของฉันด้วยนะคะ”
   รูฟัสยิ้มน้อยๆ มองดูฟ่งซึ่งยืนสั่นศีรษะพลางกระตุกเสื้อพี่สาวด้านหลัง และส่งเสียงพึมพำว่าผมโตแล้วนะ อย่างเอ็นดู
   “ได้สิครับ ยังไงก็อยู่ห้องติดกันอยู่แล้ว” เขาว่าก่อนจะเอ่ยคำอำลาสั้นๆ แล้วเดินกลับห้องไป ผิงหันหลังเดินกลับมาหาน้องชายที่ยืนทำหน้าบูดอยู่ด้านหลัง
   “เดี๋ยวนี้พัฒนาหัดมีเพื่อนเป็นฝรั่งแล้วนี่” หล่อนกล่าวพลางยิ้ม ฟ่งได้ทีหยอกอีก
   “ไว้คราวหลังผมจะหาแบบพูดภาษาไทยไม่ได้มาคุยกับเจ๊ดีกว่า ท่าทางน่าสนุกดี”
   หญิงสาวเดินเข้ามาฟาดก้นน้องชายอีกรอบ
   “โอ๊ย เจ๊ เดี๋ยวก็นั่งไม่ได้พอดี” ฟ่งโวยยกมือลูบก้นป้อยๆ วันนี้เขาโดนตีไปกี่หนแล้วล่ะนี่ ชายหนุ่มหันมองพี่สาวที่เดินกลับเข้าไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ในห้อง
   “เจ๊จะกลับล่ะหรือ?”
   คนถูกถามพยักหน้า น้องชายมีสีหน้าแปลกใจ
   “รีบกลับจัง”
   “ตอนบ่ายต้องไปธุระต่อน่ะ”
   “ออ”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก นึกดีใจที่พี่สาวอุตส่าห์แวะมา แต่ก็นึกใจหายที่ไม่นานก็ต้องไปแล้ว ผิงเดินมาหาน้องชายและโอบกอดเบาๆ
   “ดูแลตัวเองดีๆหน่อยนะ” เธอพูดพร้อมกับลูบศีรษะน้องชายด้วยความเอ็นดู
   “เจ๊ก็ด้วยนะ” ฟ่งกอดพี่สาวแน่นด้วยความรัก  เธอเป็นพี่สาวคนเดียวของเขา และเป็นคนที่เขารักมากที่สุด

   “แล้วเจ๊จะแวะมากวนใหม่”
   ผิงโบกมือลาผ่านกระจกรถ  ฟ่งโบกมือตอบ เขาตัดสินใจเดินมาส่งพี่สาวด้านล่าง ชายหนุ่มมองดูฮอนด้าซีวิคสีบรอนด์คันนั้นแล่นฉิวออกไปจากลานจอดรถจนสุดสายตา พยายามบอกกับตัวเองไม่ให้รู้สึกใจหายมากนัก พลางก้าวเท้ากลับขึ้นคอนโด เขาสวนกับรูฟัสตรงล็อบบี้   หนุ่มลูกครึ่งรัสเซียอยู่ในชุดเสื้อทีเชิ๊ตกางเกงขาสั้นอีกเช่นเคย เขาสะพายเป้ใบเดิม      ฟ่งโบกมือทักทันทีพลางนึกถึงวันที่พบกันแรกๆ รูฟัสดูจะชอบออกไปเที่ยวมากกว่าหางานทำจริงๆ จังๆ เสียอีก นี่คงเพราะมีสมบัติเก่าติดตัวไม่เหมือนเขาที่ต้องปากกัดตีนถีบไปวันๆ ล่ะมั้ง
   “พี่สาวกลับแล้วหรือครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเป็นมิตรเช่นเคย ฟ่งมองดูดวงตาสีแปลกของรูฟัสแล้วนึกขำ คนคนนี้คงไปไหนมาไหนโดยที่ไม่มีใครจำได้ไม่ได้หรอก ก็สีตาออกจะเด่นขนาดนี้
   “ครับ” ฟ่งตอบ รูฟัสยิ้มเหมือนทุกวัน ก่อนจะโบกมือลาพลางเดินลงบันไดไป  ฟ่งทำท่าเหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่าง ส่งเสียงเรียกชายหนุ่มไว้
   “เอ้อ  รูฟัส เย็นนี้ผมไม่อยู่นะครับ”
   รูฟัสหันกลับมาทำหน้าแปลกใจแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า ฟ่งยิ้มแหยๆ ให้เขา ก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์
------------------------------
   อากาศตอนบ่ายสามในวันที่แดดร้อนเปรี้ยงของประเทศไทยนั้นแย่พอๆ กับการเข้าไปเดินในเตาอบเลยทีเดียว รูฟัสยกผ้าเช็ดหน้าขนหนูสีขาวขึ้นมาซับเหงื่อไหลหยดอย่างกับเพิ่งอาบน้ำ ก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม เขาเพิ่งลงจากรถเมล์ และกำลังมองหาประตูทางเข้าตามรั้วเหล็กสีเขียวเข้มที่งอกสูงขึ้นมาจากฐานคอนกรีตฉาบหินกรวดบดละเอียด แบ่งอาณาเขตระหว่างพื้นผิวการจารจรที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันจากท่อไอเสีย และพื้นที่ที่เรียกกันว่าปอดของกรุงเทพมหานคร
   ในที่สุด หลังจากเดินเลียบขอบรั้วมาพักหนึ่ง เขาก็พบประตูที่มีผู้คนเดินเข้าออกพลุกพล่าน ผู้คนมากมายต่างพาครอบครัวมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์  รูฟัสมองดูกลุ่มวัยรุ่นทั้งชายและหญิงที่ปั่นจักรยานสามตอนแข่งกันผ่านหน้าไปด้วยความสนใจ  เขาไม่เคยมีโอกาสได้ทำเช่นนี้เลย ท่าทางมันคงสนุกน่าดู เขาพยามนึกชื่อคนที่น่าจะมาเล่นอะไรแบบนี้กับเขาได้ แต่แล้วก็ต้องทำหน้าย่น เมื่อคนแรกที่นึกถึงคือราฟาแอล หมอนั่นคงไม่มาเล่นอะไรแบบนี้กับหนุ่มๆ อย่างเขาหรอก แต่ถ้าเป็นสาวๆ ชวนคงวิ่งเข้าใส่แบบไม่คิดอะไรเลยเป็นแน่ รูฟัสถอนหายใจอย่างนึกขำกับความคิดตัวเอง ชีวิตของเขาไม่เอื้ออำนวยจะให้ทำอะไรแบบนั้นเท่าไหร่หรอก ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณอีกครั้ง
   เด็กหญิงวัยหกเจ็ดขวบในชุดเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมกางเกงขาสั้นสีขาว  มองดูว่าวสีเขียวรูปงูหางยาวที่ติดอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะของเธอด้วยสายตาละห้อย และพยายามจะดึงมันลงมา แต่ยิ่งดึงเหมือนจะยิ่งติด ขณะที่เด็กหญิงกำลังพยายามจัดการกับว่าวอย่างสุดความสามารถ ร่างสูงชะลูดก็เดินเข้ามาเอื้อมมือขึ้นไปดึงมันลงมาให้  เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างประทับใจและรับว่าวจากมือชายหนุ่ม
   “ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มจนตาหยีด้วยความดีใจ คนมาช่วยยิ้มตอบ พอดีกับที่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา
   “ตาขา พี่คนนั้นเขาช่วยเก็บว่าวให้หนูด้วยค่ะ”   เด็กหญิงวิ่งเข้าไปหาคุณตาของเธอ  เขาเป็นชายวัยกลางคน มีผมเรียบสั้นสีดำมีหงอกแซมเล็กน้อย รูปร่างค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน ผู้เป็นตาเบือนหน้ามาตามที่หลานสาวบอก ชายหนุ่มชาวต่างชาติลุกขึ้นโบกมือให้ ตาจูงหลานเดินเข้าไปหา
   “Thanks very much” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพจริงใจ แม้สำเนียงติดออกจะแปร่งไปบ้าง ชาวต่างชาติผู้นั้นยิ้มเล็กน้อย
   “ไม่เป็นไรครับ”
   เด็กหญิงกระตุกขากางเกงของคุณตาอย่างตื่นเต้น
   “พี่เขาพูดภาษาไทยได้ด้วย เหมือนในหนังเลย”
   ตาก้มลงมองหลานด้วยความเอ็นดู “แล้วเราบอกขอบคุณพี่เขาหรือยัง”
   เด็กหญิงพยักหน้า  ตาเลยพูดต่อ
   “พี่คนนี้เขาใจดีอุตส่าห์ช่วย เราวิ่งไปบอกคุณยายว่าขอแบ่งส้มใส่ถุงมาให้พี่เขาหน่อยได้ไหม”
   “ค่ะ” เด็กน้อยรับคำรับคำ ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ออกไป เขาหันมาหาผู้ที่ยืนอยู่
   “เธอ...คือ รูฟัสสินะ” ผู้ถูกถามพยักหน้า
   “ผมมาขอคำยืนยันเรื่องการช่วยเหลือน่ะครับ ผมทำตามที่คุณขอแล้ว ส่งข้อมูลให้คุณไม่ขาดสักหนึ่งพยางค์” เขาพูด  ชายกลางคนรับคำในลำคอ
   “ก็ใช่อยู่ แต่เราจับคนที่เป็นคนส่งยาไม่ได้ มันแทงคนของเราบาดเจ็บไปสองคน”
   “เอ๊ะ?” ชายหนุ่มอุทานอย่างแปลกใจ
   “ไม่ได้ลงไว้ในข่าวทีวีล่ะสิ คุณไม่สังเกตหรือว่ามันมีพวกมาอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นชาวต่างชาติ เป็นผู้หญิงด้วยล่ะมั้ง” อีกฝ่ายพูดขึ้น และเหลือบตาขึ้นมองเขาราวกับจะถามว่าที่เขาพูดออกมาเป็นจริงทั้งหมดรึเปล่า รูฟัสจ้องตากลับ ยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง ในที่สุดอีกฝ่ายก็เบือนหน้าออกและถอนหายใจ
   “เอาเถอะ ผมจะถือว่าคุณทำงานสำเร็จ อย่างน้อยคุณก็ให้ข้อมูลที่เป็นประโยคมาก”
   รูฟัสยิ้มออกมา ทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงหนึ่งทำให้เขาต้องหยุดปากตัวเองเอาไว้
   “ตาจ๋า” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงดังแว่วมาแต่ไกล ดึงความสนใจของทั้งคู่ เธอหิ้วถุงพลาสติกสีขาวขุ่นที่ดูเหมือนจะใส่ส้มเอาไว้ข้างในสามถึงสี่ลูก
   “ไหน ยายใส่อะไรมาบ้าง ขอตาดูหน่อยซิ?”
   ผู้เป็นตาขอถุงจากหลานสาว ขณะรับมาเขาแอบสอดอะไรลงไปบางอย่างก่อนจะส่งถุงคืนให้หลานสาว
   “เอาไปให้พี่เขาสิ อย่าลืมบอกขอบคุณด้วยนะ” พูดพลางลูบศีรษะหลานด้วยความเอ็นดู เด็กหญิงพยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามา
   “ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มพูด ขณะย่อตัวลงรับของ
   “ขอบคุณค่ะ ตาพี่แปลกจัง ทำไมคนละสีกันล่ะคะ?” เธอถามด้วยความสงสัย เขายิ้มกับคำพูดของเด็กหญิง เธอคงคิดว่าเขาสวมคอนแทคเลนส์ส์สีแปลกอะไรแนวนั้นอยู่ล่ะมั้ง รูฟัสชอบที่จะแสดงตาสีประหลาดของเขาในชีวิตทั่วไป เพราะรู้ว่าคนทั่วไปจะจำตาของเขาได้ก่อนจะจำหน้าเสียอีก เหมือนคนที่มีไฝเม็ดใหญ่อยู่บนหน้านั่นแหละ ใครๆ ก็จำได้ว่าเป็นคนมีไฝ แต่พอเอาไฝออก คนก็จำไม่ได้ทันที กรณีของเขาก็เช่นเดียวกัน แทนที่คนจะสนใจจำหน้าเขา ก็จะจำได้แค่ตาสีแปลกเท่านั้น พอเขาเปลี่ยนสีตา ก็ไม่มีใครจำได้แล้ว  ชายหนุ่มยกมือลูบหัวเด็กน้อย
   “มันเป็นมาแต่เกิดน่ะ พี่ก็มองเห็นเหมือนเรานี่แหละ” เขาว่า เด็กหญิงยิ้มตอบ
   “พี่ไปเล่นว่าวกับหนูมั้ยคะ เดี๋ยวหนูจะแบ่งให้พี่เล่นก่อนเลย” รูฟัสหัวเราะอย่างเอ็นดู ขณะที่ผู้เป็นตาเดินเข้ามาใกล้ และส่งเสียงปราม
   “แพรว อย่าไปรบกวนพี่เค้าสิลูก”
เด็กหญิงมองหน้าคุณตา และหันไปมองชายหนุ่มอย่างอ้อนวอนหาเพื่อนเล่น รูฟัสยิ้มอย่างใจดีและสั่นศีรษะ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“พี่ต้องรีบไปแล้วล่ะ พอดีนัดเพื่อนเอาไว้” เขาว่า ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นตา
   “ผมไปก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับส้มนะ” เขาโบกมือให้สองตาหลาน ก่อนจะเดินแยกออกมา  เด็กหญิงคว้าแขนคุณตา
   “ตาคะ พี่คนตะกี้เขาต้องเป็นดาราแน่ๆ เลยค่ะ”
   “ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ” คนเป็นตาถาม
   “ก็พี่เค้าหล่อกว่าคนในทีวีอีกนี่คะ” ชายวัยกลางคนหัวเราะกับคำตอบ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเกือบจะไม่เชื่อตัวเองว่าเพิ่งได้เจอกับคนที่มีคนต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งของโลก แต่ตาสีแปลกแบบนั้นคงไม่ผิดตัวแน่ ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นที่ต้องการเพราะใบหน้าหรือสีตา แต่เพราะสิ่งที่เขาทำต่างหาก
   ผู้เป็นตาจูงมือหลานกลับไปหาภรรยาที่นั่งจัดตะกร้าใส่อาหารอยู่ พลางนึกถอนใจ บางทีสิ่งที่เขาให้ไปพร้อมกับส้มอาจจะไม่ถูกใช้เลยก็ได้ แต่หากถูกใช้ เรื่องราวใหญ่โตก็คงรออยู่เบื้องหน้า เขาควรเตรียมพร้อมเผื่อเอาไว้สำหรับกรณีนี้
------------------------
บทที่6-10 >> http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25824.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2011 20:28:30 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #8 เมื่อ23-05-2011 20:19:23 »

   รูฟัสเสียบการ์ดเข้ากับช่องข้างประตู  เสียงทำงานของเครื่องปรับอากาศดังขึ้นทำลายความเงียบในห้อง ชายหนุ่มถอดเสื้อโยนใส่ตะกร้า คว้านมือลงไปในถุงใส่ส้ม หยิบซองกระดาษสีขาวเล็กๆ ที่ใส่อยู่ด้านใน ก่อนจะวางถุงลงบนเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มถือซองกระดาษเดินมานั่งที่โซฟา ค่อยๆ แกะซองอย่างระมัดระวัง ด้านในมีกระดาษแผ่นหนึ่ง จดด้วยลายมือหวัดๆ เป็นตัวเลขสามชุด ชายหนุ่มพลิกกระดาษใบนั้นอีกรอบ ดูจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรอีก จึงหันไปดูที่ตัวซอง ก่อนจะเก็บทั้งสองอย่างไว้เหมือนเดิมและใช้ลวดเย็บกระดาษเย็บติดไว้กับสมุดโน๊ตเล่มเล็กที่เขาพกติดตัวเสมอ
   เขาจะต้องส่งเลขรหัสชุดนี้ไปยังฐานข้อมูลที่เบื้องบนดูแลอยู่ ให้ตายสิ งานนี้มันจะลึกลับอะไรนัก เพราะข้อมูลที่มีมันเบาบางมากเหลือเกิน กระทั่งเบื้องบนไม่อยากออกหน้าเอง เลยใช้ให้เขากับราฟาแอลเป็นนายหน้าซ้อนนายหน้าอีกทีหนึ่ง แถมนอกจากเป็นนายหน้าแล้ว ยังต้องทำงานเองอีกด้วย รูฟัสนึกสงสัยว่าจบงานนี้เบื้องบนจะจ่ายโบนัสให้พวกเขาบ้างรึเปล่า แต่ขอแค่ให้จ่ายเงินให้ตรงเวลาก็ดูจะเป็นเรื่องอัศจรรย์แล้ว อย่าไปหวังถึงขั้นโบนัสเลยดีกว่า
   อุณหภูมิในห้องค่อยๆ ลดต่ำลง  รูฟัสรอจนเหงื่อแห้งจึงลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ  เสียงละอองน้ำกระทบกับผิวกายดังสะท้อนอยู่ในห้องน้ำที่บุกระเบื้องสีเบจ ชายหนุ่มปล่อยให้สายน้ำไหล่ผ่านศีรษะราวกับจะล้างความร้อนที่ได้รับมาทั้งวันออกจากร่างกาย เขาคร้านจะแช่น้ำ การแช่น้ำเย็นก็ไม่ใช่การผ่อนคลาย มันเหมือนนอนนิ่งๆ ให้ตัวเปื่อยในน้ำมากกว่า รูฟัสขยี้แชมพูลงไปบนศีรษะอย่างไม่เร่งร้อน วันนี้เขาไม่จำเป็นต้องรีบมาก เพราะคนข้างห้องไม่อยู่ และเขานัดทานอาหารเย็นกับคนอื่นไว้แล้ว ซึ่งยังอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลา พอนึกถึงฟ่ง รูฟัสก็อดอมยิ้มไม่ได้ ฟ่งดูดีขึ้นกว่าวันแรกๆ มากจริงๆ ยิ่งได้เห็นท่าทางสดชื่น และการพูดคุยหยอกล้อกับพี่สาวในวันนี้ คงพูดได้เต็มปากว่าฟ่งเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว คงได้เวลาที่เขาจะปลีกตัวเสียที ถึงอย่างนั้นรูฟัสกลับรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆ การได้ทานข้าวโดยไม่มีเรื่องใดแอบแฝงกับคนข้างห้องเหมือนเป็นกิจวัตรหนึ่งของเขาไปแล้ว มันทำให้เขาสบายใจอย่างประหลาด เหมือนได้พักผ่อนไปในตัว แต่ความสัมพันธ์แบบนี้อาจเป็นที่สะกิดตาของใครเข้าก็ได้ เกิดฟ่งซวยเพราะดันมารู้จักกับเขา รูฟัสคงรู้สึกผิดมากจริงๆ เขาแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนในตอนที่ผู้ชายคนนั้นมีแผลใจ ในเมื่อหายดีแล้ว ก็คงถึงเวลาที่จะต้องร่ำลากันเสียที
   รูฟัสหยิบผ้าเช็ดตัวสีขาวที่พาดอยู่บนราวในห้องน้ำขึ้นมาเช็ดศีรษะ พลางนึกหาเหตุผลในการบ่ายเบี่ยงการร่วมมื้ออาหารกับคนข้างห้องอย่างไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตนัก ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งๆที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อ ปล่อยให้ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศกระทบกับร่างกาย พลางคิดถึงสิ่งที่ต้องทำในคืนนี้
   ชายหนุ่มเดินไปหยิบแผ่นซีดีเพลงคลาสสิกที่เขาซื้อมาวันก่อน พนักงานที่นั่นเลือกกระดาษห่อของได้ไม่เลวเลย มันดูเรียบร้อยและภูมิฐานอยู่ในตัว สมกับสิ่งที่ห่อ เขานึกโล่งใจที่ไม่ต้องไปหาซื้อกระดาษมาห่อเอง แต่ก็ทำให้มีเวลาว่างเหลือมากขึ้น รูฟัสคร้านที่จะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาทำงานในตอนนี้ แม้จะมีเวลาเหลือ แต่คงไม่มากพอจะใช้อ่านข้อมูลหฤโหดพวกนั้น เอาไว้กลับมาแล้วค่อยจัดการดีกว่า ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ หยิบตลับใส่คอนแทคเลนส์ส์ที่วางอยู่บนอ่างล้างหน้าขึ้นมา ใช้นิ้วเขี่ยแผ่นเลนส์สีน้ำผึ้งขึ้นมา
   ในบางเวลา เขาจำเป็นต้องอำพรางตาสีแปลกนี้บ้างเหมือนกัน เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากไปนัก
--------------------------
   ฟ่งขยับตัวด้วยความกระวนกระวาย ขณะนั่งอยู่บนโซฟาหนังสีครีมอ่อนที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษ  ผู้ที่ว่าจ้างต้องการให้เขาออกแบบส่วนต่อเติมของเคาน์เตอร์บาร์  ซึ่งการคุยกันในรายละเอียดต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ชายหนุ่มรู้สึกประทับใจที่ลูกค้าไม่ได้พยายามยัดเยียดรสนิยมของตัวเองเข้ามามากนัก แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดคือการต้องมานั่งทานข้าวในสถานที่ปิดแบบนี้ เสียงดนตรีที่หนักไปทางเบสและกลิ่นน้ำหอมทำให้รู้สึกเวียนหัวเล็กๆ ความจริงฟ่งไม่ค่อยได้เข้ามาในสถานที่ทำนองนี้บ่อยนักนัก เพราะไม่ชอบการต้องพบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตาในสถานที่แคบๆ ที่สำคัญเขาแพ้กลิ่นน้ำหอม
   ชายหนุ่มจามฟาดใหญ่เกือบจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดไม่ทัน เขาเช็ดจมูกที่เริ่มกลายเป็นสีแดงเรื่องพลางนึกดีใจที่วันนี้ไม่ลืมพกผ้าเช็ดหน้ามามา ฟ่งเหลียวมองไปรอบๆ บรรยากาศในคลับแห่งนี้ถือว่าดีทีเดียวหากมองในสายตาคนทั่วไป เขาสั่งน้ำมูกดังพรืด พลางนึกเสียดายที่ไม่ลากลับไปก่อน แต่คำชักชวนและท่าทีที่สุภาพของผู้จ้างงานสาวสวยทำให้เขาปฏิเสธไม่ลง ชายหนุ่มยกน้ำฝรั่งที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่ม ความรู้สึกที่ของเหลวเย็นๆ ไหลผ่านลำคอลงไป ทำให้หัวเขาโล่งขึ้นบ้าง
   จริงๆ นี่ก็สมควรจะได้เวลาอาหารแล้ว แต่เจ้าของงานดูเหมือนจะติดธุระกระทันหันเลยบอกให้เขาทานไปก่อน ฟ่งตัดสินใจจะรักษามารยาทจึงตกลงที่จะรอ แต่ก็ไม่ลืมที่จะปฏิเสธเสียงแข็งเรื่องบริกรหญิงที่จะมานั่งเป็นเพื่อน  ในที่สุดคนที่เขารอก็เดินเข้ามาในคลับ พร้อมกับชายอีกคนหนึ่ง แวบแรกที่ฟ่งมองเห็น เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย   ร่างนั้นดุคุ้นตามากทีเดียว แต่เสียงหวานๆ ของหญิงสาวที่เดินนำหน้ามาดึงความสนใจไปเสียก่อน
   “ขอโทษจริงๆ นะคะที่ต้องให้รอ ดิฉันมีแขกมาเพิ่มน่ะค่ะ”   สาวสวยในชุดกระโปรงเข้ารูปสีน้ำเงินแขนสั้นเอ่ยปากขึ้น ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ติดกัน
   “คิดว่าคุณคงไม่รังเกียจ ถ้าหากจะมีคนร่วมโต๊ะเพิ่มนะคะ”
   ฟ่งยิ้มให้หล่อน “ไม่เป็นไรครับ”
   แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อหนุ่มร่างสูงที่เดินตามมานั่งลง แสงไฟสีขาวส้มจากหลอดอินแคนเดสเซนต์ที่ห้อยลงมาจากเพดาน ส่องให้เห็นใบหน้าคมสันนั้น
   “รูฟัส!!”   ฟ่งอุทานขึ้น ดูเหมือนอีกฝ่ายก็จะอุทานขึ้นเช่นกัน
   “อ้าว รู้จักหรือคะเนี่ย?” หญิงสาวพูดอย่างแปลกใจ  รูฟัสพยักหน้า เขาไม่คาดคิดว่าจะมาเจอคนข้างห้องที่นี่ ส่วนอีกทางนั้นถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว ในที่สุดเสียงหัวเราะใสๆ ของหญิงสาวที่มีชื่อค่อนข้างจะไม่เหมาะสมกับตัวดังขึ้นทำลายความเงียบ
   “แหม...ดิฉันนี่ก็จุดไต้ตำตอจริงๆ เป็นเพื่อนกันสินะคะ”
   รูฟัสฝืนยิ้ม ฟ่งต้องสังเกตเห็นถึงสีตาที่เปลี่ยนไปของเขาแน่ๆ ดูจากสายตาที่แสดงความสงสัยนั้น เขาอุตส่าห์ใส่คอนแทคเลนส์ส์สีมาเพื่อไม่ให้เตะตาคนอื่นแท้ๆ แต่ดันกลายเป็นมาเจอคนข้างห้องเสียได้ รูฟัสพยายามเค้นหาคำแก้ตัวที่น่าเชื่อถือหากถูกถามอะไรแปลกๆ หลังจากนี้ ได้ยินจากเมี่ยงว่าหล่อนนัดคนออกแบบเคาน์เตอร์บาร์คนใหม่เอาไว้ รูฟัสเห็นว่าไม่น่ามีอะไรเสียหายเลยตกลงตามมาด้วย แต่ดูเรื่องจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิด
   “เอ่อ...ก็อยู่ห้องติดกันน่ะครับ” ในที่สุดผู้มาทีหลังก็เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน  ฟ่งรู้สึกแปลกๆ กับคำว่าห้องติดกัน เขากะพริบตาปริบๆ ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบไป เมี่ยงที่ตอนแรกตั้งใจจะแนะนำคนทั้งคู่ให้รู้จักกันคร่าวๆ ถึงกับมึนไปด้วยเหมือนกัน เธอไม่รู้ว่าฟ่งรู้จักรูฟัสมากแค่ไหน แต่รูฟัสคงไม่ได้เปิดเผยตัวเองกับเพื่อนข้างห้องคนนี้หรอก ดูจากแววตาที่แสดงความสงสัยนั่นก็รู้ หญิงสาวคิดว่าต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อเบนความสนใจของฟ่งที่มีต่อคนข้างห้อง จึงเรียกบริกรสาวที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามา
   “สั่งอาหารกันเถอะค่ะ คุณฟ่งคงหิวแล้ว  ดิฉันก็ด้วยค่ะ”
   “เอ้อ ครับ” ฟ่งรับเมนูมาอย่างงงๆ ลืมเรื่องแพ้น้ำหอมเสียสนิท เขานึกสงสัยเรื่องตาที่เปลี่ยนสีไปของรูฟัส บางทีฝ่ายโน้นอาจนึกอายเรื่องตาสีแปลกของตัวเองก็ได้ ฟ่งยอมรับว่าสีตารูฟัสดูแปลกและจำง่ายมากจริงๆ เขาจำผู้ชายคนนี้ได้เพราะสีของดวงตานี่แหละ คงเพราะแบบนี้ด้วยมั้ง พอใส่คอนแทคเลนส์ส์สีแล้วทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนละคนกันเลย ฟ่งพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก ก็แค่เพื่อนข้างห้องมาเจอกันโดยบังเอิญ ความจริงเขาน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่ได้มาเจอคนรู้จักในสถานที่แบบนี้ แต่ทำไมรูฟัสต้องมาที่คลับแบบนี้ด้วย เห็นเมี่ยงบอกว่าคลับที่นี่รับเฉพาะสมาชิกนี่นา หรือรูฟัสจะเป็นสมาชิก แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขานี่
   รูฟัสรับเมนูมาเปิด และแทบอยากจะเอามันบังหน้าตัวเอง เมื่อเหลือบเห็นว่าฟ่งมองหน้าเขาพลางขมวดคิ้วอย่างงุนงงสงสัย เขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้เจอคนรู้จักที่นี่ แถมเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาจริงๆ อีก หนำซ้ำยังเป็นคนข้างห้องที่เขาพาไปกินข้าวทุกวัน ชายหนุ่มภาวนาให้ฟ่งไม่สงสัยอะไรมาก เขาอธิบายเรื่องคอนแทคเลนส์ส์สีได้ อธิบายเรื่องการมาที่นี่ได้ ทุกอย่างดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกกังวลกับแววตาสีน้ำตาลคู่นั้นมากนักนะ
   การเลือกอาหารแค่ไม่กี่อย่างดูจะกินเวลาเนิ่นนานในความรู้สึกของคนข้างห้องที่บังเอิญมาเจอกัน แม้แต่เมี่ยงเองก็พลอยรู้สึกอึดอัดไปด้วย หล่อนไม่คิดว่าคนอย่างรูฟัสจะมีท่าทีกระวนกระวายแบบนี้ ถึงจะออกมานิดหน่อยทางแววตาก็เถอะ สังเกตว่าชายหนุ่มเลือกที่จะหลบสายตาของอีกฝ่ายที่มองมาอย่างจงใจ หรือว่าสองคนนี่ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนข้างห้องกัน
   บริกรหญิงจดรายการอาหารลงบนเครื่องปาล์ม ก่อนจะโค้งตัวแล้วเดินออกไป รูฟัสรู้สึกว่าตัวเขาแปลกออกไป ทำไมเขาต้องกระวนกระวายกับคนข้างห้องที่แทบจะไม่ได้รู้จักอะไรกันมากมายแบบนี้ด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาบังเอิญได้เจอคนที่ไม่อยากเจอในสถานที่ที่ไม่น่าจะเจอ แต่ทุกครั้งเขาก็ผ่านมันมาได้อย่างเรียบร้อย คราวนี้ก็คงไม่ต่างกัน ที่สำคัญ ฟ่งดูจะเชื่อถือเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับไปถึงห้องปั้นเรื่องนิดๆ หน่อยๆ ฝ่ายนั้นก็คงไม่สงสัยหรอก ที่สำคัญ เขามาที่คลับแบบนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา ทำไมทางนั้นถึงได้ดูมีสีหน้าแปลกใจมากมายขนาดนั้นนะ อย่างกับไม่คิดว่าคนแบบเขาจะมาในที่แบบนี้งั้นแหละ
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าตัวเองคิดเรื่องคนข้างห้องมากไปแล้ว เขาไม่ควรจะเสียเวลาไปกับเรื่องไม่คาดคิดแบบนี้ เดิมทีรูฟัสตั้งใจจะหาพยานว่าเขากำลังตีสนิทกับเมี่ยง เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตนักในการเข้ามาทำงานในที่แบบนี้ อีกทั้งยังกันเจ้าหล่อนออกจากวงต้องสงสัยหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นด้วย ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะทำตามแผนเดิม ได้ฟ่งมาเป็นพยานก็ดี เขาจะได้หาข้ออ้างในการปลีกตัวเวลาอยู่ที่ห้องได้ง่ายขึ้น
   “คุณเมี่ยงครับ ผมมีอะไรมาเซอร์ไพรส์คุณนิดหน่อย” รูฟัสพูดพลางยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยตามเรื่อง แต่ก็ไม่วายเหลือบตาไปมองคนข้างห้องอยู่ดี พลางนึกสงสัยว่าทำไมฟ่งทำหน้าเหมือนหงุดหงิดแบบนั้น เมี่ยงมองดูรูฟัสและเข้าใจทันทีว่าฝ่ายนั้นยังคงทำตามแผนเดิม ถึงจะดูกังวลจนน่าแปลกใจอยู่บ้าง แต่ระดับนี้แล้วคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก
   “เอ..เซอร์ไพรส์อะไรหรือคะ?” หล่อนกล่าวพลางยิ้มหวาน ร่วมเล่นละครไปกับชายหนุ่มด้วย แต่ก็ยังสังเกตเห็นว่ารูฟัสเหลือบมองเพื่อนข้างห้องของเขาอยู่บ่อยๆ รูฟัสยังคงปั้นหน้าเล่นละครต่อ โดยพยายามบอกตัวเองให้หยุดกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องสักที
   “ไม่มีราคาค่างวดอะไรนักหรอกครับ” เขาว่าพลางหยิบเอากล่องใส่ซีดีที่ห่อเรียบร้อยมายื่นให้อีกฝ่าย จงใจจับมือของเมี่ยงให้ฟ่งเห็น หญิงสาวยิ้มกว้างกว่าเดิม
   “แหม...อะไรกันคะเนี่ย ฉันแกะดูเลยได้ไหมคะ?”
   “ได้สิครับ ผมอยากเห็นคุณตอนทำหน้าแปลกใจ” รูฟัสกล่าวด้วยสีหน้าปลื้มอกปลื้มใจอย่างเต็มที่ เขาพยายามไม่เหลือบมองฟ่ง ไม่ว่าเจ้าตัวจะทำสีหน้าแบบไหนก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเขาสักนิด เดี๋ยวกลับไปห้องค่อยอธิบายทีหลังก็ได้
   ฟ่งรู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าพอสมควร เขาเพิ่งรู้ว่าคนข้างห้องรู้จักกับนายจ้างคนใหม่ของเขา แถมยังมีความสัมพันธ์ที่ดูไม่ธรรมดา อืม..ถึงจะน่าแปลกใจก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกตินี่นา เมี่ยงก็เป็นสาวสวย และรูฟัสก็เป็นชายหนุ่มรูปหล่อ ถ้าสองคนนี่จะคบกันเขาก็ควรจะเห็นดีเห็นงาม แต่ไม่รู้ทำไม ท่าทีกะลิ้มกะเหลี่ยของรูฟัสตอนนี้ถึงทำให้เขารู้สึกไม่สบใจนัก บางทีคงเพราะเขารู้สึกว่ารูฟัสเป็นผู้ชายเรียบร้อยก็ได้ ใช่สิ เขาไม่ใช่ผู้หญิงนี่นา ฝ่ายนั้นจะมาทำเจ้าชู้กับเขาทำไมล่ะ ในเมื่อสองคนกำลังจีบกันอยู่ เขาก็ไม่ควรจะนั่งเป็นก้างขวางคอ ยิ่งเห็นรูฟัสเหลือบตามองเขาบ่อยเท่าไหร่ เหมือนกับเป็นสัญญาณไล่ให้เขาเดินออกไปก่อนนั่นแหละ ฟ่งพอเข้าใจอารมณ์ของผู้ชายเวลากำลังจีบผู้หญิงดี เพราะเขาเองก็เคยเป็นมาก่อน แม้จะดูไม่ชำนาญอย่างรูฟัสก็เถอะ แต่อาหารยังไม่มา การที่เขาจะลากลับก่อนก็ใช่ที่ ดังนั้นฟ่งจึงตัดสินใจปลีกตัวไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ โดยให้เหตุผลว่าเขาจะได้รู้สึกถึงความต้องการของลูกค้าว่าต้องการอะไรยังไงบ้าง เมี่ยงพยักหน้า และยิ้มหวานให้เขา ขณะที่รูฟัสเหมือนจะปั้นรอยยิ้มส่งเขาได้นิดหนึ่ง
   ชายหนุ่มเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ที่อยู่ไม่ไกลนักด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวใจแบบแปลกๆ รูฟัสจีบเมี่ยงต่อหน้าเขาแบบนี้ก็หมายความว่าอนาคตเขาสองคนก็คงไม่ได้สนิทกันแบบก่อนอีกแล้ว ผู้ชายยามทุ่มเทจีบผู้หญิงสักคนหนึ่ง ไม่มีใครหน้าไหนสนใจจะให้เวลากับเพื่อนฝูงหรอก ตัวเขาเองเป็นผู้ชายก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีนี่นา อีกอย่าง รูฟัสก็แค่คนข้างห้อง ไม่ใช่เพื่อนสนิทที่คบกันมานานจนตัวติดกันเสียหน่อย
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเคาน์เตอร์บาร์ตัวเก่า พยายามมองหาข้อดีข้อเสียของมัน แต่สมองกลับนึกวนเวียนเรื่องคนข้างห้องอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเก็บมาคิดเลยสักนิด ในเมื่อไม่สามารถมีสมาธิอยู่กับงานได้ และขวดเครื่องดื่มหลากสีที่วางเรียงรายกันอยู่ก็ดูน่าทดลอง ฟ่งจึงตัดสินใจสั่งเครื่องดื่มบางอย่างมาทาน เผื่อสมองเขาจะทำงานเป็นปกติขึ้นบ้าง
   “รูฟัสคะ?” เมี่ยงเอ่ยเรียกชื่อคนที่นั่งอยู่ใกล้หล่อน รูฟัสหันมามองอย่างงงๆ
   “ทำไมหรือครับ?” เขาถาม เมี่ยงมองหน้าเขาและกะพริบตาปริบๆ
   “คุณกับคุณอภิวัฒน์ รู้จักกันแบบไหนหรือคะ?”
   “เขาอยู่ห้องข้างๆ ผม อืม...ก็เคยไปกินข้าวด้วยกันน่ะ” รูฟัสตอบ โดยเลี่ยงจะพูดเรื่องจริงว่าเขากับฟ่งไปกินข้าวกันแทบทุกมื้อ ไม่ใช่แค่ทุกวัน พอมาคิดดู ณ จุดนี้ รูฟัสรู้สึกกระดากตัวเองมากจริงๆ เขาไม่เคยพาใครไปกินข้าวด้วยกันบ่อยขนาดนี้มาก่อน บ่อยจนน่าจะผิดปกติด้วยซ้ำ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนนี่นา เมี่ยงมองหน้าเขาอย่างตั้งคำถาม
   “แค่นั้นจริงๆ หรือคะ? คือฉันไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงชีวิตส่วนตัวคุณหรอกนะคะ แต่ถ้าเป็นแค่คนรู้จักผิวเผินแบบนั้น คุณไม่น่าจะดูกระวนกระวายอะไรนี่คะ หรือว่าคุณกลัวว่าเขาจะสงสัยคุณ?”
   รูฟัสสั่นศีรษะทันที “ผมจะกลัวเขาสงสัยไปทำไมล่ะครับ เขาไม่รู้เรื่องผมหรอก แล้วผมเองก็เตรียมคำแก้ตัวดีๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
   หญิงสาวยังคงเอียงคอนั่งมองเขา ดูไกลๆ เหมือนสองคนกำลังคุยกระหนุงกระหนิงกันอยู่
   “แต่คุณดูจะระวังสายตาเขาอยู่มากนี่คะ ปกติฉันไม่เคยเห็นคุณลุกลี้ลุกลนแบบนี้” เมี่ยงกล่าว พลางคิดว่าถ้ารูฟัสดูลนลานแบบนี้ทุกครั้งคงไม่รอดมาได้ถึงขนาดนี้หรอก นั่นทำให้เธอสงสัยว่าเขากับฟ่งอาจจะมีสัมพันธ์อะไรมากกว่าแค่เพื่อนข้างห้อง รูฟัสสั่นศีรษะ ทำหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด
   “ผมก็ไม่ได้ลุกลี้ลุกลนอะไรมากนี่...” ชายหนุ่มกล่าวและรู้สึกขึ้นมาในตอนนั้นว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองพูด เขาลุกลี้ลุกลนอย่างที่เมี่ยงตั้งข้อสังเกตจริงๆ รูฟัสเหลือบมองฟ่งที่นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์อย่างห้ามตัวเองไม่ได้อีกครั้ง ดูเหมือนฟ่งจะสั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลผสมอยู่ ไม่รู้ว่าตั้งใจจะดื่มประชดเขารึเปล่า แล้วทำไมฟ่งจะต้องประชดเขาด้วยล่ะ?
ขณะที่กำลังพยายามมองหาเหตุผลที่ตัวเองรับได้เกี่ยวกับพฤติกรรมของคนข้างห้อง เสียงของเมี่ยงก็ดังขึ้นอีก
“คุณจะเดินไปหาเขาก็ได้นะคะ”
ชายหนุ่มหันมามองอย่างงุนงงทันที เมี่ยงยิ้มพลางถอนหายใจ
“ก็คุณดูเป็นห่วงเขาเสียขนาดนั้น ไปเคลียร์กันให้เข้าใจก่อนเถอะค่ะ แล้วค่อยมาว่าธุระกันอีกที ฉันไม่อยากเสียคนร่างแปลนฝีมือดีไปเพราะเข้าใจผิดกันหรอกนะคะ”
“เปล่าเข้าใจผิดอะไรนี่ครับ ผมกับเขาก็แค่อยู่ห้องข้างๆ กัน” รูฟัสปฏิเสธเสียงแข็ง เขาจะสนใจเรื่องฟ่งมากไปทำไม ยังไงเขาก็ตั้งใจจะหยุดความสัมพันธ์แบบสนิทสนมไว้แต่แรกอยู่แล้ว ดูเหมือนเมี่ยงจะยังไม่วางใจ ดูจากสายตาที่จ้องมองมายังเขา รูฟัสจำต้องยืนยันหนักแน่นกว่าเดิม ราวกับตอกย้ำตัวเองไปด้วย
“ผมไม่ได้สนใจอะไรเขามากขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่คนรู้จักกันผ่านๆ เฉยๆ”
“อ้อ..” เมี่ยงลากเสียงยาว พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเบิ่งนัยน์ตากลมโต และอุทานออกมา “ตายจริง!”
รูฟัสหันไปมองตามหล่อนทันที วินาทีนั้นเขาถึงกับขาดสติไปโดยสมบูรณ์ ภาพของฟ่งที่ล้มฟุบไปบนเคาน์เตอร์บาร์ทำให้สมองของรูฟัสเหมือนถูกระเบิด กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเขาก็กำลังหิ้วปีกคนข้างห้องออกมาด้านนอกคลับแล้ว
   เมี่ยงตามออกมาส่งด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าจะเอ็นดูหรือสงสารดี หล่อนเห็นแล้วว่าฟ่งดื่มเหล้าเข้าไปมาก แถมยังไม่ได้ทานอาหารเย็นก่อน การที่จะเมาฟุบก็ต้องเป็นเรื่องธรรมดา แต่ปัญหาคือทำไมฟ่งต้องดื่มเหล้าเข้าไปมากขนาดนั้น แล้วทำไมรูฟัสถึงได้ดูกระวนกระวายนัก ถึงเจ้าตัวจะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่พอถึงจุดนี้รูฟัสคงพูดอะไรไม่ออกอีก สีหน้าของชายหนุ่มเหมือนคนถูกทุบหัว ทั้งงุนงง ทั้งโมโหอยู่บ้าง แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่หล่อนเจอก่อนหน้านี้ ตอนนี้รูฟัสเหมือนเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มรู้สึกพิเศษกับใครสักคนโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวมาก่อน
   “ระวังตัวด้วยนะคะ” เมี่ยงกล่าวขณะที่รูฟัสพยายามลากฟ่งขึ้นรถ ซึ่งเจ้าตัวแม้จะพาสังขารไม่รอดแล้วแต่ก็ยังมีแรงพอจะอาละวาดเปะปะ รูฟัสพยักหน้าหน่อยๆ ด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หญิงสาวโบกมือให้หลังจากแท็กซี่เคลื่อนออกไปแล้ว พลางภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องราวอะไรไปมากกว่านี้
   ภาวนาอย่าให้สองคนนี่ถลำลึกกันไปมากกว่านี้เลย
-----------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #9 เมื่อ23-05-2011 20:19:51 »

   ความจริงฟ่งไม่ได้ตั้งใจจะกินเหล้าประชดใคร แต่จู่ๆ เขาดันเกิดอยากลองเครื่องดื่มพวกนั้นขึ้นมา และเพราะท้องว่างมาตั้งแต่บ่าย อาการที่เรียกว่าเมาเลยมาถึงตัวเขารวดเร็วเหลือเกิน คนเราพอเมาแล้วขาดสติอย่างที่พระท่านว่าจริงๆ และตอนนี้เขากำลังอาละวาดโวยวายใส่คนข้างห้องที่พยายามพาเขากลับห้องแทนที่จะเอ่ยขอบคุณ
   “ปล่อยผมได้แล้ว!” ฟ่งโวย พยายามจะปัดมือรูฟัสที่ทั้งพยุงทั้งลากเขาออก ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่รูฟัสดูจะจับตัวเขาลากอย่างไม่เกรงใจ อย่างกับโกรธอยู่นั่นแหละ ในความไร้สติ ฟ่งถึงกับนึกพาลใส่อีกฝ่ายว่ารูฟัสจะโกรธอะไรอีก เขาสิสมควรจะโกรธมากกว่า ความคิดนั้นยิ่งทำให้ฟ่งอาละวาดหนักขึ้น ถึงกับผลักร่างสูงออกอย่างไม่แยแส ก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปชนเข้ากับประตูห้องตรงข้าม เดือดร้อนถึงรูฟัสต้องเดินไปลากตัวเขาออกมาและกล่าวขอโทษขอโพยเจ้าของห้องนั้นอยู่พักใหญ่
   ฟ่งอาละวาดหนักเอาเรื่อง ทั้งเตะทั้งต่อยตอนที่รูฟัสเข้าถึงตัวอีกหน ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงต่อยคว่ำไปแล้ว จะจัดการกับคนเมาแล้วอาละวาดก็คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้น ถ้าไม่ฟาดให้สลบก็คงต้องทนรำคาญไปอีกนาน รูฟัสมีประสบการณ์จัดการกับคนเมาในรูปแบบนี้อยู่บ่อยๆ แต่ในกรณีของฟ่ง เขากลับทำใจต่อยเพื่อนข้างห้องให้สลบไม่ลง แต่ปล่อยให้อาละวาดแบบนี้ก็ไม่สนุกอีกเหมือนกัน ครั้นจะให้เข้าห้องไปทั้งอย่างนี้ก็ไม่รู้จะเมาอาละวาดออกมาทุบประตูห้องคนอื่นอีกรึเปล่า หรืออาจจะไปล้มฟาดอยู่ในห้องน้ำโดยที่ไม่มีใครเห็นก็ได้ ในที่สุดหลังจากคิดพลางพยายามหยุดการอาละวาดที่ดูจะหนักข้อขึ้นทุกทีของคนข้างห้อง รูฟัสก็ตัดสินใจจะพาฟ่งไปสงบสติอารมณ์และสงบความเมาในห้องเขาก่อน ชายหนุ่มเปิดประตูห้อง และถอดรองเท้าคั่นเอาไว้ ก่อนจะลากตัวคนข้างห้องเข้ามาใกล้
   “หือ!” หนุ่มสวมแว่นร้องเสียงแปลกเมื่อร่างกายถูกยกลอยจากพื้น หยุดการเตะเปะปะไปชั่วคราว แต่ก็แค่ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น พอพยุงตัวได้สิ่งแรกที่ฟ่งทำคือดิ้นจนรูฟัสแทบจะปล่อยให้เจ้าตัวหล่นลงไปกระแทกพื้น เป็นคนอื่นคงตวาดใส่ไปแล้ว แต่การตวาดกับคนเมาแบบนี้มีแต่จะทำให้ยิ่งอาละวาดมากขึ้น รูฟัสใช้ความอดทนอย่างที่สุด อุ้มฟ่งที่ดิ้นอย่างเหลือร้ายเข้าไปในห้อง ก่อนจะกึ่งวางกึ่งโยนเจ้าตัวลงบนโซฟา ได้ยินเสียงทางนั้นร้องโอ๊ยขึ้นมาคำหนึ่ง คงจะตกใจเสียมากกว่าเจ็บล่ะมั้ง เพราะเขาก็ดูแล้วว่าหัวคงไม่น่าจะไปกระแทกอะไร ความตกใจและความงุนงงทำให้ฟ่งหยุดอาละวาดไปหลายนาที นานพอที่รูฟัสจะเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาเทลงแก้วและส่งให้
   “Take it!” เขาสั่งด้วยอารมณ์ที่ต้องบอกว่าขุ่นเคืองอยู่พอสมควรเลยจริงๆ รูฟัสไม่เข้าใจว่าฟ่งจะกินเหล้าจนเมาไม่ได้สติขนาดนี้เพื่ออะไร และที่ดูน่าหงุดหงิดกว่านั้น ทำไมตัวเขาต้องมาเดือดร้อนใจกับเรื่องนี้ด้วย ฟ่งถลึงตาที่ดูยังไงก็ไม่ได้สติมองเขาอย่างหงุดหงิดไม่แพ้กัน และดื้อแพ่งไม่ยอมรับน้ำไปดื่ม คนเมากับคนไม่เมาจ้องตากันอยู่พักใหญ่ ท้ายที่สุดในฐานะคนที่สติสมบูรณ์กว่า รูฟัสจึงพูดต่อ
   “ดื่มน้ำเข้าไปหน่อยเถอะนะครับ” ชายหนุ่มพยายามลดน้ำเสียงลงจนแทบจะขอร้อง และคิดว่าถ้าฟ่งยังดื้ออยู่อีกเขาจะทุบให้สลบไปเลย โชคดีที่ฟ่งดูจะฟังคำพูดแบบอ่อนโยนรู้เรื่อง เจ้าตัวรับแก้วน้ำมาอย่างเสียไม่ได้ และดื่มลงไป รูฟัสจึงเทน้ำให้อีกแก้วหนึ่ง คราวนี้ฟ่งรับมันไปและดื่มเหมือนถูกตั้งโปรแกรม
   หลังจากกินน้ำเข้าไปหลายแก้ว อีกฝ่ายก็ดูจะได้สติมากขึ้น ฟ่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมลงพลางพูดอ้อมแอ้ม
   “ขอโทษ”
   คำนี้ทำให้รูฟัสยิ้มออกมาได้ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่กำลังคิดว่าฟ่งคงรู้สึกตัวขึ้นบ้างแล้ว เสียงพูดต่ออย่างหงุดหงิดก็ทำให้เขาหุบยิ้มแทบไม่ทัน
   “ผิดที่คุณนั่นแหละ!”
   คนถูกโบ้ยใส่อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่มองดูคนพูดอย่างงุนงงทันที ฟ่งตอนนี้ตาแดงก่ำ ไม่สนใจจะบัดแว่นที่เบี้ยวอยู่บนหน้าให้เข้าที่ดีๆ ด้วยซ้ำ หน้าที่ปกติดูเซียวๆ ก็แดงเรื่อขึ้นมาเพราะพิษแอลกอฮอล นัยน์ตาสีน้ำตาลถลึงใส่เขาอย่างจ้องจะเอาผิดให้ได้
   “ทำไมคุณต้องจีบคุณเมี่ยงต่อหน้าผมด้วย อยากจะจีบกันก็ไปจีบกันที่อื่นสิ!”
รูฟัสอ้าปากค้าง สรุปแล้วฟ่งกินเหล้าประชดเขาเรื่องนี้? คำพูดแก้ตัวที่คิดเอาไว้พลันดูโง่เง่าไปหมด หลังจากยืนอึ้งอยู่นานหลายนาที หนุ่มสวมแว่นก็ลุกพรวดขึ้น ทำเอารูฟัสต้องรีบคว้าแขนเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง เจ้าตัวปัดมันออกอย่างไม่แยแส
   “ไม่ต้องยุ่ง! ผมจะไปเข้าห้องน้ำ” ฟ่งกล่าวเสียงขุ่น พลางเดินตุบตัดตุบเป๋เข้าห้องน้ำด้วยท่าทางชวนหวาดเสียว แล้วก็ชนเข้ากับประตูห้องน้ำโครมใหญ่ จนรูฟัสอดไม่ได้ต้องถลันเข้าไปหมายจะช่วยประคองอีกรอบ แต่ก็ถูกปัดมือทิ้งทันที
   ท้ายที่สุด ฟ่งก็เข้าห้องน้ำไปทั้งๆ ที่ยังทรงตัวได้ไม่ดีนั่นแหละ ถึงจะเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่พอได้ยินเสียงกดชักโครกและเสียงเปิดประตู รูฟัสก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย ฟ่งโผล่ออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แว่นตาเอียงกระเท่เร่ไปอีกข้างหนึ่ง เหมือนพยายามจะปัดให้เข้าที่แต่คงปัดแรงไป กางเกงที่ควรจะรูดซิปเรียบร้อยก็ดันรูดไปได้ครึ่งๆ กลางๆ แถมตะขอก็ไม่ยอมจะติด เจอคนเมาหนักขนาดนี้ รูฟัสไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรืออะไรกันแน่ เขายืนมองฟ่งเดินโซซัดโซเซกลับมานั่งแผละที่โซฟาด้วยสายตาบอกไม่ถูก ก่อนที่จะได้อ้าปากพูดอะไร ฟ่งก็คว้าแก้วน้ำกับขวดน้ำในมือของเขาไป พยายามจะเทน้ำลงในแก้วด้วยตัวเอง แต่ด้วยอารามเมา น้ำเลยหกล้นออกจากแก้วใส่ตักของเขาจนเปียก ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง มองขวดน้ำ สลับกับแก้วในมือ ก่อนจะยกขึ้นดื่มอักๆ ผลคือเสื้อเชิ้ตของเขาก็พลอยเปียกน้ำไปด้วย รูฟัสจึงคว้าแก้วน้ำกับขวดกลับคืนมาก่อนที่เพื่อนข้างห้องของเขาจะทำอะไรเลอะเทอะไปกว่านี้ ฟ่งถลึงตามองเขาอีกรอบ คราวนี้รูฟัสจำเป็นต้องพูดบ้าง
   “คุณโมโหผม?”
   คนถูกถามหรี่นัยน์ตาสีน้ำตาลราวกับกำลังพินิจพิจารณาคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะแค่นเสียง “เออ”
   “คุณโมโหผมทำไม? คุณชอบคุณเมี่ยง?”
   “เหอ........” ฟ่งลากเสียงยาว จนคนได้ยินขมวดคิ้วบ้าง
   “ผมเพิ่งเจอคุณเมี่ยงวันนี้ ผมจะไปชอบเธอทำไม? ใช่สิ! คุณจะจีบใครมันก็เรื่องของคุณนี่ เชิญแสดงฝีมือให้เต็มที่เลย ไม่ต้องกลัวว่าผมจะไปขัดความสุขคุณหรอก” หนุ่มสวมแว่นกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ขณะที่รูฟัสพยายามจะอ้าปากเพื่อกล่าวคำแก้ตัว ฟ่งก็ยกมือขึ้นโบกอย่างรำคาญ
   “พอๆ ไม่ต้องพูดล่ะ ผมง่วงแล้ว” ไม่รอให้ใครพูดอะไรต่อ ร่างผอมไถลตัวลงนอนบนโซฟา หลับตาลงอย่างไม่อยากรับรู้อะไรอีก รูฟัสได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองดูร่างของเพื่อนข้างห้องที่นอนแผ่หลาอย่างไม่เกรงใจ นึกไม่ออกเลยว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
หลังจากมองดูเสื้อเชิ้ตที่แนบลงไปบนผิวเนื้อของอีกฝ่ายเพราะความเปียกชื้น รูฟัสจึงตัดสินใจเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว นั่งลงข้างๆ ร่างที่นอนอยู่ ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายออก เรือนร่างที่กลายเป็นสีแดงเรื่อเพราะพิษเหล้าปรากฏออกมาต่อสายตา รูฟัสซับผ้าเช็ดตัวไปบนร่างผอมและตัดสินใจถอดกางเกงที่เปียกของฟ่งออกด้วย จริงๆ เขาปล่อยให้ฟ่งหลับไปทั้งที่ตัวเปียกแบบนี้ก็ได้ แต่ก็ดันนึกเป็นห่วงว่าจะเป็นหวัดอีก รูฟัสเช็ดตัวเพื่อนข้างห้องไปพลางนึกสงสัยตัวเองอยู่เงียบๆ ทำไมเขาถึงได้เป็นห่วงเป็นใยคนข้างห้องที่เพิ่งรู้จักกันมากขนาดนี้ ที่กำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่เขาสมควรจะทำหรือ?
โชคดีที่ฟ่งเหมือนจะหลับไปแล้ว รูฟัสจึงจัดการเช็ดตัวและเอาเสื้อผ้าของตัวเองมาเปลี่ยนให้ เพราะฟ่งตัวเล็กกว่าเขามาก สวมแค่เสื้อก็ปิดลงมาจนเกือบถึงเข่า ชายหนุ่มพลิกร่างคนข้างห้องให้นอนให้เรียบร้อย เขาถอดแว่นตาที่แทบจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่นั้นออกจากใบหน้าที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง พลางมองร่างผอมในเสื้อผ้าของเขา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดินกลับเข้าไปในห้อง หยิบผ้าห่มมาห่มให้ผู้ที่นอนอยู่
หนุ่มตาสองสีกะพริบตามองร่างที่นอนหลับสนิทอย่างไม่รับรู้อะไรอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นอีกครั้ง ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ในสมองเกิดคำถามมากมาย
ทำไมฟ่งถึงต้องโมโหเขาเรื่องเมี่ยง?
ทำไมเขาถึงได้ใส่ใจคนข้างห้องที่ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกันเลยมากมายขนาดนี้?
ทำไมตอนนี้เขาถึงได้กระวนกระวายใจนัก?
รูฟัสตัดสินใจเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำเปล่าออกมาอีกขวด ดื่มมันลงไปจนเกือบหมด ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง
บางทีเขาเองอาจจะกำลังเมาอยู่
-------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
« ตอบ #9 เมื่อ: 23-05-2011 20:19:51 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #10 เมื่อ23-05-2011 20:21:42 »

บทที่5 กำแพง
   อาการปวดปัสสาวะแบบสุดขีดปลุกให้ชายหนุ่มต้องลุกขึ้น ฟ่งหรี่ตาเมื่อเจอกับแสงสว่างที่ส่องผ่านผ้าม่านสีโอลด์โรสที่ปิดอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง ก่อนจะพยายามยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เขาปัดผ้าห่มออก รู้สึกปวดศีรษะ ชายหนุ่มรีบเดินไปเข้าห้องน้ำจนไม่ทันสังเกตตัวเองและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง จนกระทั่งทำธุระเสร็จ เขาถึงเพิ่งเห็นว่าตัวเองสวมแค่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มแขนยาวตัวเดียว แถมยังใหญ่โคร่งจนไม่น่าใช่เสื้อผ้าของเขาเอง ชายหนุ่มเปิดประตูออกมา หรี่ตาดูรอบๆ
   นี่ไม่ใช่ห้องของเขา!!
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ แม้ว่าการตกแต่งจะใกล้เคียงกันแต่นี่ไม่ใช่ห้องเขาแน่นอน ชายหนุ่มพยายามจะนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาจะหลับอย่างตั้งใจท่ามกลางอาการปวดหัวตุบๆ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
   “Мто случилорь?” ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีแปลกโผล่หน้าออกมาจากประตูห้องนอน ดวงตาสองสีหรี่มองเขาอย่างง่วงงุน ปะปนกับความสงสัย ฟ่งมองกลับด้วยสายตาสงสัยปะปนงุนงงไม่แพ้กัน รูฟัสกะพริบตาสองสามครั้งจึงพูดต่อ
   “What’s happen? Um  มีอะไร?” ท่าทางจะสับสนด้านภาษาพอดู ฟ่งกะพริบตาบ้าง มองดูหน้ารูฟัสอยู่นานโดยไม่พูดอะไร จนอีกฝ่ายทักขึ้น
   “Are you OK?”
   ฟ่งยังคงยืนนิ่ง ไม่ตอบและไม่แสดงท่าทีอะไร เขากำลังลำดับเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อวานเขาไปเจอรูฟัสโดยบังเอิญที่คลับของเมี่ยง นายจ้างคนใหม่ของเขา และเพราะเหมือนรูฟัสจะไม่อยากให้เขานั่งเป็นก้างขวางคอ เขาเลยจำต้องหาข้ออ้างไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ ทดลองชิมนั่นชิมนี่ไปตามเรื่องจนกระทั่ง.....
   ฟ่งมีสีหน้าเลิกลั่กขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงตอนนี้ เสไปมองทางอื่น ก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงค่อย “แว่นผมล่ะ?”
   รูฟัสมองดูผู้ชายตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะชี้มือไปที่โต๊ะข้างโซฟา ฟ่งเดินไปเงียบๆ และหยิบแว่นที่ตั้งอยู่มาสวม ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่พาดอยู่ขึ้นมา รูฟัสทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อฟ่งก้าวพรวดๆ ไปที่ประตู และเดินราวกับจะวิ่งออกไปทั้งๆ ที่ใส่แค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวแบบนั้น
   เหมือนจะได้ยินเสียงรูฟัสแว่วมาด้านหลังแต่ฟ่งไม่สนใจ เขารีบเดินจ้ำอ้าวมาถึงหน้าห้องและควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋ากางเกง โชคดีที่ไม่มีใครผ่านมาในตอนนั้น ฟ่งผลักประตูเข้าไปและปิดอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวอากาศภายนอกจะเข้า ก่อนหอบหายใจเสียงหนัก ร้อนวาบไปทั่วทั้งตัว นึกอยากจะทุบหัวตัวเองสักยี่สิบรอบ เมื่อคืนเขาทำอะไรลงไป!?
ฟ่งยกมือขึ้นลูบหน้า ภาวนาให้รูฟัสไม่คิดอะไรมากนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขายอมรับว่าเสียมารยาทมากๆ จริงๆ ที่ไปรบกวนทางนั้นจนเดือดร้อนแล้วยังผลุนผลันออกมาแบบนี้ แต่ฟ่งไม่กล้าทนยืนอยู่ในห้องนั้นนานๆ อีก ไม่กล้ายืนมองหน้าของอีกฝ่ายที่คงได้ยินทุกอย่างที่เขาพูดออกไปเมื่อวาน ฟ่งถอดเสื้อผ้าซึ่งก็น่าจะเป็นของรูฟัสโยนใส่ตะกร้า ก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำโดยไม่ได้หยิบผ้าเช็ดตัว ด้วยจิตใจร้อนรุ่มและกระวนกระวาย
   ชายหนุ่มเปิดฝักบัวจนสุด สายน้ำที่กระแทกศีรษะและไหล่ของเขาช่วยเรียกเอาสติกลับมาได้บ้าง ฟ่งยกมือลูบหน้า อยากจะต่อยตัวเองหนักๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเมื่อคืน
   มันคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรซักอย่างนั่นแหละ.... เขาไม่ได้ตั้งใจจะเมา แล้วรูฟัสก็ดันถามในตอนที่เขาเมา เขาจะรักษาสติตอบไปได้ยังไง ความคิดคนเมาเชื่อถือได้ที่ไหน.....
   ฟ่งภาวนาให้รูฟัสอย่าถือสากับคำพูดของเขาเมื่อคืน เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าพูดออกไปแบบนั้นได้อย่างไรเหมือนกัน ก็คงเพราะเหล้าเข้าปากนั่นแหละ ชายหนุ่มเดินเปลือยออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก ฟ่งไม่อยากถูกรูฟัสเกลียดขี้หน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดขอโทษอีกฝ่ายอย่างไรดี เขาคงต้องอธิบายเหตุผลให้รูฟัสฟังก่อนว่ามันเป็นเพราะเหตุเข้าใจผิด แต่สำหรับสมองที่ปวดตุ๊บๆ เพราะพิษเหล้าแบบนี้คงจะสรรค์หาคำพูดอะไรดีๆ ออกมาพูดไม่ได้แน่
   หนุ่มสวมแว่นเช็ดตัวลวกๆ ก่อนจะหยิบเสื้อนอนออกมาจากตู้และใส่มันด้วยอาการเหม่อลอยอย่างคนที่ยังเมาค้าง ในที่สุด หลังจากพยายามลำดับสติอยู่นาน ฟ่งก็ยอมแพ้ เขาล้มตัวนอนลงบนเตียงโดยไม่สนใจจะติดกระดุมเสื้อให้ครบเม็ด และไม่สนใจกระทั่งหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่ม ชายหนุ่มผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น
----------------------------
   รูฟัสยังคงยืนอึ้งอยู่อีกพักใหญ่หลังจากที่ฟ่งวิ่งออกไปแล้ว เขาได้ยินเสียงปิดประตูดังปึงมาจากห้องข้างๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง พยายามขบคิดยังไงก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
   ฟ่งที่ตื่นมาแล้วก็เดินหนีออกไปดื้อๆ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนอาละวาดโวยวายใส่เขาแทบตาย หรือว่าจะรู้สึกตัวว่าพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา?
   เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคนบางคนเวลารู้สึกกระดากกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมักมีปฏิกิริยาแปลกๆ แต่การวิ่งออกไปทั้งๆ ที่ใส่เสื้อไม่ครบชิ้นแบบนี้เขาเพิ่งเคยเห็น ที่สำคัญคนทำเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่า ไม่ใช่เด็กเล็กๆ ด้วย ชายหนุ่มภาวนาไม่ให้มีใครผ่านมาเห็นฟ่งตอนนั้น เขาคงทำใจลำบากหากต้องลงไปกินข้าวกับคนข้างห้องที่ถูกมองจากคนอื่นๆ ว่าใส่แค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวเดินไปเดินมา
   นี่เขายังอยากจะไปทานข้าวกับฟ่งอยู่อีกหรือ?
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ เขาตัดสินใจพาตัวเองเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวราดลงบนศีรษะ ความคิดของเขาชักจะไม่เข้าร่องเข้ารอยมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคืนหลังจากฟ่งสงบไปแล้ว ตัวเขาเองดันเกือบนอนไม่หลับ การกระทำและคำพูดของทางนั้นวนเวียนอยู่ในหัว
   ฟ่งโมโหเขาเพราะเขาจีบเมี่ยงต่อหน้า แต่ฟ่งไม่ได้ชอบเมี่ยง แล้วอย่างนั้น.....?
   ชายหนุ่มบีบแชมพูใส่ฝ่ามือ ขยี้มันลงบนศีรษะ ก่อนจะล้างออก รูฟัสคิดว่าเขาควรจะสระผมกับน้ำแข็ง เผื่อจะทำให้สมองของเขาเป็นปกติกว่านี้ กระทั่งถูสบู่จนเช็ดตัวเสร็จ ความคิดแปลกประหลาดพิสดารก็ยังคงไม่หายไปจากห้วงคำนึง
   ให้ตายสิ คนข้างห้องที่ไม่ได้มีผลอะไรกับงานของเขาเลยแบบนั้น จะไปสนใจให้มากมายทำไมกัน จะชอบใครเกลียดใครก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเขาเลยสักนิด
   รูฟัสเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เขาเดินตรงไปยังโซฟา หยิบผ้าห่มที่พาดอยู่ขึ้นมา พลางนึกว่าควรจะส่งซักเลยหรือว่าอย่างไรดี กลิ่นกายอ่อนๆ ชอนไชเข้าสู่นาสิกอย่างไม่ได้ตั้งใจ นี่เป็นกลิ่นกายเฉพาะของคนข้างห้องของเขาไม่ผิดแน่ รูฟัสมักจำกลิ่นต่างๆ ได้ดีเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และกลิ่นของฟ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา แต่ทำไมตอนนี้หัวใจของเขาถึงได้เต้นแรงผิดปกติ
   ราวกับว่าคนข้างห้องกำลังอยู่ในอ้อมกอดของเขา
   รูฟัสขมวดคิ้ว กะพริบตาปริบๆ
   บ้า...เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
   ชายหนุ่มโยนผ้าห่มกลับไปบนโซฟา เดินไปหยิบเสื้อที่แขวนอยู่ในตู้ออกมาใส่ ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
----------------------------------------
   เสียงกดชักโครกดังขึ้น ฟ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ยกมือกดขมับ ทั้งปวดหัวทั้งเวียนหัวอันเป็นอาการไม่พึงปรารถนาที่เรียกกันว่าเมาค้าง ขณะที่กำลังคิดว่าควรจะนอนต่อหรือลุกขึ้นไปทำอย่างอื่นดี เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูโดยลืมที่จะดูผ่านช่องตาแมว
   ผู้ที่มาเคาะประตูดันเป็นคนข้างห้องที่เขาเพิ่งวิ่งหนีออกมาตอนเช้า ฟ่งยืนอึ้ง ไม่คิดว่ารูฟัสจะเป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน ดูจากสีหน้าแล้วบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าโกรธหรืออะไรกันแน่ ดูเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดเสียมากกว่า เมื่อเห็นเจ้าของห้องเงียบไปนาน รูฟัสจึงพยายามจะคลี่ยิ้มและพูดขึ้นก่อน “ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ?”
   แม้จะรู้สึกกระอักกระอวน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายก็ดูไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดอะไร ฟ่งจึงพยักหน้าและเปิดประตูให้คนข้างห้องเข้ามา
   “ผมซื้อข้าวมาให้ คิดว่าคุณคงยังไม่ได้ทาน” รูฟัสกล่าว พยายามจะปั้นสีหน้าให้ปกติธรรมดาที่สุด เขามองสบดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น เพื่อยืนยันความรู้สึกของตัวเอง แล้วก็พบว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่ฟ่งก็ดูเหมือนอย่างทุกวันนั่นแหละ หรือถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้น อาจจะดูแย่กว่าทุกวันด้วยซ้ำ เพราะนอกจากสีหน้าอิดโรยอันเป็นผลมาจากอาการเมาค้างแล้ว ผมยังยุ่งไม่เป็นทรง แถมยังใส่เสื้อนอนไม่เรียบร้อยอีกต่างหาก
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก รับถุงใส่กล่องอาหารจากมือของรูฟัส นึกซาบซึ้งใจที่ทางนั้นยังมีแก่ใจเป็นห่วงเป็นใยเขา ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขาก่อเรื่องเอาไว้มากมายแท้ๆ ชายหนุ่มพยายามกวาดข้าวของลงจากโต๊ะรับแขก และวางกล่องข้าวลงบนนั้น ก่อนจะเชื้อเชิญให้คนข้างห้องทานข้าวด้วยกัน เพราะโซฟามีตัวเดียว รูฟัสจึงต้องนั่งลงข้างๆ ฟ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ กลิ่นอายที่เขาสมควรจะคุ้นชินนานแล้วลอยเข้าแตะนาสิก
   ตลอดอาหารมื้อนั้น รูฟัสแทบจะไม่รับรู้รสชาติอะไรเลย เหมือนจมูกและสมาธิทั้งหมดทุ่มเทไปกับการแยกแยะกลิ่นกายกรุ่นของคนข้างห้อง กลิ่นตัวของฟ่งหอมอ่อนๆ เหมือนเป็นกลิ่นสบู่ผสมเข้ากับยาสระผม รูฟัสไม่เคยนึกพิจารณาเรื่องนี้มาก่อนเลย เขาเพิ่งนึกได้เหมือนกันว่าฟ่งเป็นผู้ชายที่ไม่ใส่น้ำหอม แต่ก็ไม่ได้มีกลิ่นตัว เอาเข้าจริงผู้ชายคนนี้ก็มีกลิ่นตัว แถมเป็นกลิ่นที่น่าพึงใจอีกด้วย หนุ่มนัยน์ตาสองสีแทบสำลักอาหารที่เคี้ยวอยู่ นี่เขากำลังคิดอะไรกับคนข้างห้องกันนะ
   ฟ่งทานอาหารอย่างรู้สึกโล่งอก เขากลัวแทบตายว่ารูฟัสจะโกรธเขาจนไม่อยากมองหน้า แต่ดูฝ่ายนั้นจะไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดในยามเมาของเขามากนัก ชายหนุ่มนึกนับถือเพื่อนข้างห้องจากใจจริง ด้วยความคิดนี้หลังจากทานอาหารเสร็จ เขาจึงหันไปยิ้มกับรูฟัสอย่างไม่ได้ตั้งใจ
   รูฟัสเกือบสำลักออกมาจริงๆ เขาห้ามตัวเองไม่ให้เหลือบมองฟ่งระหว่างที่กินกำลังทานอาหารกันอยู่ กระนั้นสายตาเจ้ากรรมก็ยังเหล่มองทั้งปากทั้งจมูก ทั้งหลังใบหู ทั้งท้ายทอยที่มีเรือนผมสีน้ำตาลปรกอยู่บางๆ ซึ่งเป็นอะไรที่เขาไม่เคยทำมาก่อน หากรูฟัสอยากใช้สายตาและเล็มใครสักคน เขาจะทำมันอย่างเปิดเผย ไม่ใช่มาเหลือบๆ มองๆ แบบนี้ ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าสมองเขาคงทำงานผิดปกติเข้าทุกที และพอฟ่งหันมายิ้มแบบนั้น ความคิดของรูฟัสถึงขั้นกระเจิดกระเจิง
   เกิดมาเขายังไม่เคยหัวใจเต้นกับรอยยิ้มของใครแบบนี้มาก่อนเลย
   หลังจากตั้งสติได้ รูฟัสเดินตามฟ่งไปด้วยอาการสงสัย เขาเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของฟ่งมาหลายหน แม้ไม่บ่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะน่าประทับใจขนาดที่ทำให้หัวใจเขาแทบกระดอนออกมาได้ แล้วทำไมจู่ๆ วันนี้เขาถึงได้รู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ล่ะ?
   ฟ่งเอากล่องอาหารใส่ถุงและเอาไปวางไว้ข้างประตู เผื่อตอนออกไปจะได้หิ้วไปทิ้ง เขาเดินกลับมาเพื่อล้างมือ และเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนข้างห้องที่ยืนล้างมืออยู่ก่อน
   “ขอบคุณนะครับ เมื่อคืนผมต้องขอโทษมากจริงๆ”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” รูฟัสพูดพลางมองดูใบหน้าสำนึกผิดด้วยความรู้สึกแปลกไปจากทุกวัน ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไร ฟ่งก็ผละไปหยิบน้ำมารินให้เขา
   “คุณใจดีกับผมจัง” ฟ่งพูดและยิ้มอย่างไม่คิดอะไร ขณะยื่นแก้วออกไป เขาหมายความตามที่พูดและรู้สึกแบบนั้นจากใจจริง รูฟัสใจดีกับเขาเสียเหลือเกิน จนเขารู้สึกผิดที่ทำให้ทางนั้นเดือดร้อน รูฟัสก้มรับแก้วน้ำ มองหน้าคนที่ยืนอยู่อย่างชั่งใจ ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าคนข้างห้องของเขาจะดูน่ารักขนาดนี้ เวลายิ้มแล้วยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่
   “ฟ่งครับ ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณสักหน่อย” รูฟัสตัดสินใจพูดออกมาหลังจากดื่มน้ำเสร็จแล้ว ฟ่งหันมามองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองผู้พูดอย่างงุนงง
   “เรื่องอะไรเหรอ?”
   “นั่งก่อนสิครับ” ชายหนุ่มกล่าว และเดินไปนั่งที่โซฟา อีกฝ่ายเลยต้องนั่งตามไปด้วย แต่เหมือนจะจงใจเว้นระยะห่างมากกว่าตอนที่นั่งทานข้าวด้วยกันอยู่ หนุ่มสวมแว่นรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่ารูฟัสเพิ่งนึกจะไล่เบี้ยเรื่องเมื่อคืนกับเขาหรอกนะ
   “อืม....” หนุ่มตาสองสีครางในลำคอ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเริ่มต้นตรงไหน เขาหันไปมองหน้าคนข้างห้อง และพบว่าทางนั้นพยายามหลบสายตาเขาอยู่
   “Я.....”
   ภาษาและการออกเสียงที่แปลกทำให้ฟ่งขมวดคิ้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดอีกรอบ และต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของรูฟัสแดงก่ำ เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้หน้าแดงมาก่อน หัวใจของฟ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่นขณะทางนั้นขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น
   “I….um…..I didn’t know how I can say about this.” รูฟัสเปลี่ยนเป็นภาษาที่อีกฝ่ายฟังง่ายขึ้น เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นว่าอย่างไร ยิ่งถ้าต้องถอดความเป็นภาษาไทยก่อนคงไม่ได้พูดอะไรแน่ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาพูดอะไรแบบนี้กับคนอื่น คำพูดแบบที่เขาไม่เคยคิดและรู้สึกอยากจะพูดมาก่อน
   “Um…You know? You made me crazy last night. I have never been feeling like this before.”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสด้วยความตกใจ รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน
   “ผมขอโทษ ผมรับรองว่าจะไม่ทำอีก”
   สีหน้าสำนึกผิดของฟ่งทำเอารูฟัสต้องยิ้มออกมา ทำไมกันนะ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกเลยว่าคนข้างห้องคนนี้เป็นคนมีเสน่ห์ ในความรู้สึกเขาฟ่งเป็นแค่ผู้ชายอายุยี่สิบกว่าๆ ที่ดูจะมีปัญหาหัวใจจนไม่เป็นอันกินอันนอน แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าฟ่งนั้นดูน่ารักไปหมด ไม่ว่าจะตอนเดิน ยืน หรือว่านั่ง จะทำอะไรก็ดูน่ามองทั้งนั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ช้อนมองทำให้รู้สึกวูบวาบในหัวใจ
   ฟ่งทำให้เขาเป็นบ้าได้จริงๆ
   “ผมไม่โกรธคุณหรอก” รูฟัสกล่าว พยายามจะเค้นสมองให้มากที่สุดเพื่อประดิษฐ์คำพูดต่อเป็นภาษาไทย “ผมหมายถึง คำพูดที่คุณพูดกับผมเมื่อคืนต่างหาก”
“คุณ...คุณไม่ควรจะถือสากับคำพูดของคนเมา” ฟ่งพูดด้วยสีหน้าเลิกลั่ก เดาไม่ออกว่ารูฟัสคิดยังไงกันแน่ อาจจะโกรธ หรือจะอย่างอื่น ชายหนุ่มตัวชาวาบเมื่อคิดถึงแนวโน้มความเป็นไปได้ เขาขอให้รูฟัสโกรธเขาดีกว่าที่จะให้เป็นอย่างนั้น ฟ่งรีบพูดต่อ
   “ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไปหรอกนะ ผมขอโทษคุณแล้วกัน คุณจะโกรธผมก็ได้”
   “Um….” หนุ่มตาสองสีครางในลำคอ พยายามนึกหาคำพูดภาษาไทยที่ฟ่งฟังได้ง่ายๆ แต่จนแล้วจนรอดสิ่งที่เขานึกออกคือภาษาบ้านเกิด ที่อย่างมากก็ได้แค่ถอดความออกมาเป็นภาษาอังกฤษอีกที รูฟัสก้มลงมองดวงหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าของฟ่งที่ดูประหม่าร้อนตัวยิ่งทำให้ดูน่ารักหนักเข้าไปอีก แก้มเซียวๆ นั่นดูจะแดงปลั่งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปใกล้ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
   “I don't quite understand it myself, but I think I love you.”
ฟ่งตัวชาวูบ เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้าม สมองเหมือนถูกระเบิดจนขาวโพลนไปหมด ก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัว เมื่อมือเรียวยาวยื่นขึ้นมาแตะใบหน้า หนุ่มสวมแว่นพยายามจะขยับหนี แต่ใบหน้ากลับถูกรั้งเอาไว้ เขาเห็นดวงตาสองสีที่มองตรงมา พร้อมกับรอยยิ้มละมุนบนใบหน้า
   “My heart falling, Can you take it? Pleas….”
ฟ่งอ้าปากพยายามจะพูดอะไรออกไป แต่กลับพบว่าใบหน้าของรูฟัสเลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เขามองดวงตาสีแปลกนั้นไม่เห็นอีก ความรู้สึกต่อมาคือริมฝีปากหนาที่ขยับมาแนบกับริมฝีปากของเขา
   ฟ่งขยับตัวหนีทันที แต่แทนที่อีกฝ่ายจะปล่อย แขนทรงพลังนั้นกลับรั้งตัวเขาเข้ามาแนบอก ข้างหนึ่งช้อนท้ายทอยของเขาเอาไว้ ขยับริมฝีปากให้แนบแน่นขึ้น ฟ่งตกใจจนตัวแข็งทื่อขณะที่ปลายลิ้นร้อนล้วงเข้าในในช่องปากของเขาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ เหมือนว่าอัดอั้นความต้องการเอาไว้เป็นเวลานานแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะโดนผู้ชายที่เป็นเพื่อนข้างห้องจูบ
   จูบของผู้ชายด้วยกัน!
   ความจริงรูฟัสคิดว่าตัวเองควรจะรอให้ฟ่งพูดอะไรออกมาก่อน เขามาที่นี่เพื่อที่จะสารภาพความรู้สึกของตัวเอง และฟังคำยืนยันความรู้สึกนั้นจากคนข้างห้อง คำพูดของฟ่งเมื่อคืนทำเอาใจเขาปั่นป่วนมาจนถึงเมื่อครู่ รูฟัสพยายามจะยับยั้งตัวเองอย่างมากตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนี้ เขาอยากจะจูบฟ่งก่อนหน้านี้ตั้งหลายหน ซึ่งไม่เคยมีคนไหนเลยที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกต้องการมากมายจนเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้ ท้ายที่สุด เขาก็รอให้ฟ่งพูดไม่ไหว ริมฝีปากที่คุ้นชินสายตานั้น ยามนี้เพียงแค่เผยออ้าออกนิดหน่อยก็ฉุดสติที่พยายามยับยั้งการกระทำให้หลุดลอยไปไกล รูฟัสห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ยิ่งพบว่าใบหน้าของฟ่งร้อนผ่าวเมื่อถูกปลายนิ้วสัมผัสถูกยิ่งอยากจะสัมผัสให้มากขึ้น เขาแนบริมฝีปากลงไปด้วยอาการแทบจะเรียกได้ว่าหิวกระหาย ไม่น่าแปลกเลยหากอีกฝ่ายจะตกใจจนแสดงอาการขัดขืนอย่างเห็นได้ชัด รูฟัสไม่แน่ใจว่าฟ่งเคยถูกผู้ชายด้วยกันจูบรึเปล่า แต่เรียวลิ้นที่พยายามเบี่ยงหนีอยู่นั้นไม่ไร้เดียงสาขนาดพูดได้ว่าเป็นจูบแรก มันคงเกิดจากความตกใจเสียมากกว่า ชายหนุ่มตัดสินใจรุกไล่หนักขึ้น เขากวาดปลายลิ้นไปทั่วโพรงปากนั้นอย่างตื่นเต้น เกี่ยวดึงเรียวลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามาขบกัดเบาๆ ร่างบางในอ้อมกอดถึงกับสะดุ้งจนตัวโยน อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นจนรู้สึกได้ ยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ของเขาพุ่งสูง
ฟ่งรู้สึกหูอื้อ จูบนี้ของคนข้างห้องต่อให้ไม่คิดอะไรเลยก็คงต้องคิด มันไม่ใช่จูบแบบธรรมดาทั่วไปที่เพื่อนควรจะมีให้กันแน่ๆ ความประสงค์ถูกแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดในการกระทำนี้ หนุ่มสวมแว่นพยายามจะต่อต้านอย่างเต็มที่ เขาไม่คุ้นชินกับการถูกจูบแบบนี้ หนำซ้ำยังเป็นจูบจากผู้ชายด้วยกัน ที่ไม่กระโดดต่อยใส่ก็ถือว่าแปลกมากแล้ว แต่การต่อต้านที่เขาแสดงออกไปช่างปวกเปียกจนน่าหงุดหงิด เขายกสองมือพยายามจะผลักร่างสูงใหญ่นั้นออก แต่ก็ผลักได้ไม่เต็มที่ เพราะเรี่ยวแรงคล้ายถูกชั้นเชิงการจูบที่ชำนิชำนาญดูดดึงไปจนหมด สองมือที่ตอนแรกพยายามจะผลักไส ตอนนี้ทำได้เพียงเกาะไหล่กว้างของอีกฝ่ายเอาไว้ราวกับกลัวตัวเองจะหล่นลงไป การต่อต้านในช่องปากนั้นแทบจะเรียกได้ว่าพ่ายแพ้เต็มรูปแบบ ยิ่งเขาพยายามจะป้องกลับมากเท่าไหร่ ยิ่งเหมือนกระตุ้นให้ทางนั้นรุกเพิ่มมากขึ้น ปลายลิ้นร้อนตวัดไล่ไปทั่วโพรงปากของเขา สยบการต่อต้านและสร้างความหฤหรรษ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับจากผู้ชายด้วยกัน ฟ่งครางเสียงหนักในลำคอ ตาพร่าไปหมด ตอนนี้เขาทำได้เพียงประคองสติไม่ให้ขาดหายไปเพราะรสจูบรุนแรงที่อีกฝ่ายกระทำลงมา สองมือบีบลงไปบนหัวไหล่ของอีกฝ่ายแน่นจนปลายนิ้วชาไปหมด ร่างกายร้อนวูบวาบเหมือนมีกระแสน้ำร้อนไหลผ่าน
รูฟัสเปิดโอกาสให้คนข้างห้องได้พักหายใจบ้างนิดหน่อย ใบหน้าสีชมพูระเรื่อกับริมฝีปากที่แดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดยิ่งทำให้ฟ่งดูเซ็กซี่อย่างร้ายกาจ เสียงหายใจหอบกระเส่าปลุกเร้าอารมณ์ความต้องการที่มีสูงอยู่แล้วให้พุ่งสูงเข้าไปอีก
ฟ่งเงยมองหน้าคนข้างห้องอย่างขอความเมตตา หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีก ชายหนุ่มคิดจะใช้สายตาวิงวอนให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำก่อนที่มันจะเลยเถิดออกไปมากกว่านี้ แต่สิ่งที่เขาสบด้วยคือดวงตาสองสีที่ฉ่ำวาวบ่งบอกความปรารถนาที่คุกรุ่นอยู่ภายใน ความร้อนพุ่งวาบขึ้นมาในร่างกายทันที รูฟัสโน้มหน้าเข้ามาใกล้อีก และประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้งด้วยอาการที่เรียกได้ว่ากระหายเต็มที่ สติของฟ่งหลุดออกจากร่าง เกือบจะไม่รับรู้แล้วว่ากำลังถูกจูบโดยผู้ชายด้วยกัน ชั้นเชิงของรูฟัสดีเยี่ยมจนเขารู้สึกดีไปหมด วงแขนผอมบางเกี่ยวกระหวัดรอบร่างสูงที่โอบกอดตนเองอยู่อย่างลืมตัว ปลายลิ้นที่เคยถอยหนีกลับตอบรับอีกฝ่ายอย่างอดทนทนไม่ได้ รูฟัสบดริมฝีปากและขยี้ปลายลิ้นหนักขึ้นจนได้ยินเสียงครางหนักๆ การตอบสนองของฟ่งยังผลให้หัวใจของเขาเต้นแรงมากขึ้น
นี่ถือเป็นการตอบรับคำขอของเขาด้วยรึเปล่า?
   การถอนริมฝีปากออกกะทันหันทำให้ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามอย่างตกใจ ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววงุนงงอย่างเห็นได้ชัด ความจริงตอนแรกรูฟัสตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ถามคำยืนยันจากฟ่งอีกครั้ง แต่พอเห็นแววตาแบบนั้น ความคิดเดิมก็พลันกระเจิดกระเจิงไปอีกหน ชายหนุ่มโน้มหน้าลง ปรนเปรอจูบวาบหวามให้ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างไม่ต้องการจะคิดอะไรให้ยุ่งยากอีก
   ฟ่งร้อนวาบไปทั่วทั้งตัว ฝ่ามือร้อนผ่าวที่เดิมประคองร่างของเขาให้รับการจูบเริ่มขยับไปต่ามส่วนต่างๆ ทั้งแผ่นหลัง เอว ตะโพก โดยมีเพียงแค่ชุดนอนเนื้อบางที่เขาสวมอยู่คั่นกลางเอาไว้ และไม่นานความร้อนผ่าวบนฝ่ามือนั้นก็สัมผัสเข้ากับร่างกายของเขาโดยตรง ฟ่งสะท้านกายเฮือก ความร้อนวูบแผ่ขยายไปตลอดเรือนร่างซึ่งสั่นสะท้านน้อยๆ
   อาการสั่นน้อยๆ เรียกความต้องการให้เพิ่มขึ้นได้อีกมากโข รูฟัสโลมลูบร่างผอมบางนั้นอย่างดุดัน สอดมือทั้งสองข้างผ่านขอบกางเกงลงไปคลึงเค้นตะโพกแน่นที่ซ่อนอยู่เบื้องล่าง เล็บของฟ่งจิกแน่นลงมาอีก ในขณะที่ลำคอส่งเสียงครางหนัก
   การถูกสัมผัสอย่างค่อนข้างจะคุกคามบริเวณนั้นทำให้สติของฟ่งกลับคืนมา เขาพยายามปัดป่ายมือไม้ของอีกฝ่ายที่ขยับไปมาอย่างซุกซนออก เมื่อซอกคอถูกสัมผัสด้วยปลายจมูก ร่างจึงบางพยายามเค้นเสียงที่มีทั้งหมดกล่าวคำพูดออกมา
   

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #11 เมื่อ23-05-2011 20:22:33 »

“อย่า!! อ๊า!!”
   คำร้องห้ามเปลี่ยนแปรเป็นเสียงร้องครางในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อรูฟัสตวัดปลายลิ้นเล็มเลียหลังใบหู และกดร่างของเขาลงบนโซฟา ฟ่งดิ้นขลุกขลักขณะที่ร่างสูงใหญ่นั้นทาบลงมา มือใหญ่ที่ประโลมลูบร่างผอมบางอย่างหิวกระหาย ทำให้ลมหายใจของเขาเริ่มติดขัด อุณหภูมิในร่างกายพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่คู่สัมผัสเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่บางสิ่งบางอย่างในร่างกายก็เริ่มแสดงความต้องการออกมาบ้างแล้ว
   ร่างที่แนบสนิทชิดกันทำให้รูฟัสทราบถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงบนร่างกายที่นอนหงายอยู่ส่วนแข็งขึงที่เริ่มดุนดันหน้าขาของเขาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจ เขาเลื่อนริมฝีปากต่ำลงมา ไล้ผ่านลำคอขาว ขบกระดูกไหปราร้าของอีกฝ่ายเบาๆ ฟ่งผงะร่างอย่างตระหนก ก่อนจะสะดุ้งจนตัวลอยเมื่อยอดอกสีอ่อนถูกดูดดึงเข้าไปในช่องปากร้อนผ่าว
   ปลายลิ้นเปียกชื้นบดเบียดยอดอกอุ่นอย่างยั่วเย้า ตวัดเลียตลอดปลายยอดและขบกัดเบาๆ ดูดดึงจนปุ่มเนื้อที่เคยอ่อนหยุ่นเริ่มแสดงอาการแข็งขืน เสียงครางอย่างหักห้ามใจไม่อยู่ดังลอดขึ้นมาเป็นระยะ ผิวกายขาวละเอียดบัดนี้กลายเป็นสีชมพูซ่าน
   ไม่เคยรู้มาก่อนว่าหน้าอกของตัวเองจะเป็นจุดที่ไวสัมผัสมากเหมือนของผู้หญิง ชายหนุ่มจิกเล็บลงบนเบาะโซฟาด้วยความเสียวกระสันขณะที่ปลายยอดสีชมพูถูกทางนั้นใช้ทั้งลิ้นและปลายนิ้วหยอกเย้านวดคลึงจนตั้งชัน ถึงอย่างนั้นร่างบางก็ยังพอจะหลงเหลือสติว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง เขาจึงพยายามจะส่งเสียงห้ามปรามออกไปอีกครั้ง
   “อย่า..รูฟัส! ผมไม่ใช่ผู้ห.. อ๊า!!!”
   ร่างผอมบางสะดุ้งเฮือกจนได้ยินเสียงแผ่นหลังกระแทกกับเบาะ เมื่อกางเกงนอนของเขาถูกมือใหญ่ดึงร่นลงต่ำ ก่อนที่ส่วนอ่อนไหวกลางหว่างขาจะถูกดูดกลืนเข้าไปในโพรงปากร้อนระอุ ชายหนุ่มร้องไม่เป็นภาษา ลืมเลือนสิ่งที่ตัวเองคิดไปจนหมด ริมฝีปากและปลายลิ้นปรนเปรอส่วนนั้นของเขาอย่างเชี่ยวชาญและช่ำชองจนแทบจะเรียกได้ว่าส่งขึ้นสวรรค์ ฟ่งครางเสียงสั่น แอ่นร่างให้อีกฝ่ายอย่างไม่คำนึกถึงศักดิ์ศรี ชั้นเชิงของรูฟัสทำเอาเขาแทบเป็นบ้า เรียวขาอ่อนขาวแบะอ้าออกอย่างไม่ทันได้ยั้งคิด เพียงเพราะต้องการให้อีกฝ่ายสัมผัสกับส่วนที่แข็งขืนสะดวกขึ้น รูฟัสผละริมฝีปากออก จูบเย้าปลายยอดสีชมพูที่เปรอะไปด้วยเมือกลื่น ก่อนจะก้มลงพรมจูบไปทั่วขาอ่อน เสียงครางอ่อนหวานยิ่งและเรียวขาที่แบะอ้ามากขึ้นทำให้หัวใจของเขาเต้นถี่ ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงความต้องการออกมาให้เห็นได้ชัดเจนขนาดนี้ไหนเลยจะหักใจเอาไว้ได้อีก รูฟัสก้มใบหน้าลงต่ำ สัมผัสกับช่องทางปิดสนิทด้านหลัง ความตึงแน่นราวกับไม่เคยผ่านการใช้งานนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว หลังจากสร้างความเปียกชื้นให้ส่วนนั้นอยู่พักหนึ่ง ปลายนิ้วเรียวก็ค่อยๆ สอดผ่านช่องทางเร้นลับเข้าไปสำรวจด้านใน
   ร่างบางสะท้านกายเฮือก สัมผัสนี้ดึงสติเขากลับมาได้อีกบางส่วน ฟ่งรับรู้ว่านี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่เขาจะหยุดยั้งเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ร่างบางอ้าปาก พยายามจะกล่าวคำพูดออกไปอีกครั้ง แต่โพรงปากอุ่นร้อนที่จู่ๆ ก็ขยับพรวดเข้ามาห่อหุ้มส่วนอ่อนไหวที่ยังคงผงาดชูชันอยู่กลางลำตัวลงไปและดูดดึงอย่างตะกรุมตะกรามทำเอาคำพูดทั้งหมดหลุดกลับเข้าไปในคอ พร้อมกับสติที่แทบจะถูกกระชากออกจากร่าง ฟ่งหลุดเสียงครางออกมา แอ่นร่างไม่อาจต้านทานกับความต้องการที่ถูกกระตุ้นจนจวนเจียนจะถึงขีดสุด
   รูฟัสถอนริมฝีปากออกแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่ของเหลวร้อนผ่าวพุ่งทะลักออกมา ฟ่งหอบหายใจหนัก ทั้งใบหน้าและร่างกายเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ นัยน์ตาสีน้ำตาลปรือมองร่างสูงที่ขึ้นคร่อมเขาอย่างงุนงง ความรู้สึกสุขสมเมื่อครู่ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนปวกเปียก ไร้เรี่ยวแรงและสติที่จะต่อต้านการกระทำที่รุกคืบมากขึ้น ประกอบกับอาการเมาค้างที่มีอยู่ก่อน ฟ่งปล่อยให้รูฟัสรั้งตะโพกของเขาสูงขึ้นโดยไม่แสดงอาการขัดขืน จวนจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ร้อนผ่าวซึ่งจ่อประชิดเข้ามาตรงแอ่งเว้า จึงได้สติอีกครั้ง ชายหนุ่มยกมือที่เกือบจะสิ้นเรี่ยวแรงขึ้นผลักไส แต่ก็ถูกรวบกดลงบนโซฟา รูฟัสหอบหายใจถี่หนัก นัยน์ตาสองสีมองดูร่างที่นอนราบอยู่เบื้องล่างด้วยแววตาแสดงความต้องการอย่างไม่ปิดบัง มือข้างหนึ่งขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อที่ยังเหลือติดอยู่ไม่กี่เม็ดออก ก่อนจะดึงแว่นตาที่เอียงกระเท่เร่บนใบหน้าแดงซ่านโยนลงไปบนพื้น ก้มลงประโลมจูบริมฝีปากแดงก่ำเบื้องล่างอีกครั้ง พร้อมกับดุนดันส่วนนั้นเข้ามาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
   ร่างบางสั่นสะท้านด้วยความแตกตื่น ความจริงก่อนหน้านี้เขาก็แทบจะมองอะไรไม่เห็นชัดอยู่แล้ว การเล้าโลมของรูฟัสทำเอาตาพร่าไปหมด แต่พอถูกถอดแว่นตาออกแบบนี้ เรียกได้ว่าแทบจะมองอะไรไม่ออกเลยจริงๆ เขารับรู้ได้เพียงรสสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ กลายเป็นว่าเมื่อถูกจำกัดการรับรู้อยู่เพียงเท่านี้ ห้วงอารมณ์ความต้องการของฟ่งกลับถูกกระตุ้นให้พุ่งสูงขึ้น สัมผัสร้อนเร่าที่อีกฝ่ายมอบลงมาบนเรือนร่างอีกครั้งทำให้เขาแยกขาออกกว้างมากขึ้นอย่างไม่รู้สติ ตอบรับส่วนร้อนผ่าวที่รูฟัสเลื่อนเข้ามาใกล้ ช่องทางหลืบเร้นที่ถูกกระตุ้นจนขยายกว้างออกก่อนหน้านี้ถูกดุนดันอย่างเหลือความอดทนน้อยเต็มที รูฟัสถอนริมฝีปากออก ก้มลงขบกัดยอดอกของร่างที่นอนอยู่อีกรอบ เลื่อนมือทั้งสองข้างของตัวเองลงมาประคองตะโพกตึงแน่นให้จ่อรับกับส่วนแข็งขึงของตนเอง ก่อนจะออกแรงดันอีกครั้ง
   ฟ่งอ้าปากกว้างด้วยความตระหนก เสียงครางหลุดหายเข้าไปในลำคอเมื่อความร้อนผ่าวชำแรกเข้ามาในร่าง ไม่อยากเชื่อว่าปากทางจะถูกนวดคลึงจนขยายกว้างพอจะตอบรับสิ่งใหญ่โตนั้นเข้ามาโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สมควรจะเป็นมากนัก ถึงกระนั้นหยาดน้ำตาก็ยังไหลทะลักออกมาอยู่ดี รูฟัสขยับตัวเข้าๆ ออกๆ อีกหลายครั้ง ขณะที่อีกฝ่ายทำได้เพียงครางเสียงต่ำๆ ดื่มด่ำรสชาติของความวาบหวามในความทรมานอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ท้ายที่สุดเมื่อท้องน้อยอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งแตะเข้ากับตะโพกเปียกชื้น การขยับอย่างรุนแรงร้ายกาจจึงเริ่มต้นขึ้น
   ร่างบางหลุดเสียงครางออกมาอย่างไม่อาจยับยั้ง ตะโพกที่ถูกกระแทกกระทั้นด้วยกำลังแรงยังความรู้สึกเสียวซ่านผ่านเข้ามาจนถึงแกนสมอง ตลอดร่างคล้ายถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจนหมดสิ้น  รูฟัสกระแทกตัวใส่เขาอยู่ในท่านั้นพักใหญ่ ก่อนจะจับร่างอ่อนปวกเปียกพลิกขึ้น ทิ้งตัวลงไปบนโซฟา ประคองฟ่งให้นั่งอยู่บนหน้าขาของตนเอง โดยที่สองส่วนยังคงเชื่อมประสานกันแนบแน่น ร่างบางแทบจะหมดสติ เขาปล่อยให้รูฟัสประคองร่างเอาไว้ด้วยสองมือร้อนผ่าวขณะที่ถูกกระแทกกระทั้นอย่างต่อเนื่องอยู่บนตัก ความรู้สึกวาบหวามประเดประดังเข้ามาจนของเหลวขุ่นคลักไหลทะลักออกมาอีกครั้งอย่างกลั้นไม่อยู่ อีกฝ่ายเปิดโอกาสให้เขาได้พักหายใจเพียงครู่เดียวก็ผุดลุกขึ้น ฟ่งตวัดแขนและขาโอบรัดร่างสูงด้วยสัญชาตญาณ ก่อนจะครางเสียงพร่าเมื่อรูฟัสอุ้มเขาเดินไปทั้งแบบนั้น ทุกจังหวะก้าวเดินยังความสุขสมเข้ามาในร่างจนขาสั่นไปหมด
   รูฟัสวางร่างผอมบางลงบนเตียง รั้งเรียวขาขาวทั้งสองข้างขึ้นและขยับตะโพกสานต่อจังหวะเมื่อครู่ในระดับที่ลึกกว่าเดิม ฟ่งครางกระเส่า บิดร่างด้วยความเสียวสะท้านอย่างไม่อาจอดรนทนได้ ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนร้อนผ่าวของรูฟัสเคลื่อนเข้าออกในร่างกายเขาด้วยจังหวะที่เรียกได้ว่ารุนแรงเจียนจะคลั่ง ริมฝีปากหนาพรมจูบลงมาอย่างหลงใหล ขบกัดเรือนร่างที่สั่นไหวด้วยอารมณ์วาบหวาม เสียงหอบหายใจและเสียงครางดังถี่ตามห้วงอารมณ์ที่พุ่งสูง ในยามที่สติพร่าเลือนอย่างเต็มที่ ฟ่งรู้สึกถึงลมหายใจปั่นป่วนของอีกฝ่ายที่ดังอยู่ตรงข้างใบหู กับเสียงกระซิบถ้อยคำอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“Я вас люốлю”
   ความร้อนผ่าวราวกับจะลวกแล่นเข้ามาในร่าง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเลือนหายไป
-----------------------------------------------
   ชายหนุ่มผมสีตาลขยับตัวอย่างอึดอัด รู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งร่าง โดยเฉพาะบริเวณตะโพก ฟ่งพลิกตัวและดึงท่อนแขนหนาหนักที่โอบรัดร่างของเขาเอาไว้ออกอย่างรำคาญ ก่อนจะถูกรวบตัวเข้าไปกอดเอาไว้แน่น นัยน์ตาสีน้ำตาลกะพริบถี่อย่างรู้สติแทบจะในทันที
   ความเจ็บปวดบนร่างกายถูกบดบังด้วยอาการชาวูบ ฟ่งใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาที ระลึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขณะที่รูฟัสยังคงกอดก่ายเขาเอาไว้ พลางแนบริมฝีปากได้รูปเข้ากับแก้มของเขาเบาๆ ชายหนุ่มคลำเปะปะไปบนหัวเตียง พยายามควานหาอะไรบางอย่าง และถูกวงแขนแกร่งรวบร่างลงไปอีกครั้ง ฟ่งหันกลับไปหาอีกฝ่ายอย่างลืมตัว รูฟัสโน้มหน้าลงแตะริมฝีปากของตนเองเข้ากับริมฝีปากของเขาเบาๆ ก่อนจะหยิบแว่นตาที่วางอยู่บนหัวเตียงมาสวมให้อีกฝ่าย พลางคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
   “Доốрое утро“
   ฟ่งมองรูฟัสผ่านเลนส์แว่นด้วยสีหน้าของคนที่พูดอะไรไม่ออก ท่อนบนของรูฟัสเปลือยเปล่า ส่วนอีกครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม เขาเห็นดวงตาสองสีที่มองลงมาอย่างหลงใหล และได้ยินคำพูดที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา
   “Hurt?”
   เมื่อเห็นว่าฟ่งไม่กล่าวอะไรนอกจากมองตาค้างอยู่แบบนั้น รูฟัสจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู พลางถอนหายใจ
   “ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้กับคุณมาก่อน แต่คุณทำให้ผม อืม...รู้สึก...เอ่อ...” เว้นระยะไปพักหนึ่งเหมือนกับพยายามจะลำดับคำพูด ในที่สุดอีกฝ่ายก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ”ผมชอบคุณนะฟ่ง ผมรักคุณ”
คำกล่าวนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกเต็มตื้นที่เอ่อท้นขึ้นมาจากใจจริง หลังจากคำพูดของฟ่งในคืนก่อน และภายหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน รูฟัสแน่ใจความรู้สึกที่ตัวเองมีอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่เขาน่าจะลืมไปนานแล้ว แต่กลับถูกผู้ชายที่อยู่ในอ้อมแขนดึงกลับออกมาอย่างช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว และในตอนนี้เขาก็พร้อมที่จะมอบมันให้อีกฝ่ายอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ อีก
ฟ่งรู้สึกเย็นวาบตลอดปลายมือปลายเท้า เหมือนถูกโยนลงไปในทุ่งน้ำแข็ง อาการชาที่มีมาแต่เมื่อครู่ยิ่งดูจะรุนแรงขึ้น สมองของเขาหมุนคว้าง ตาพร่า ลมหายใจติดขัดขึ้นมาในทันที รูฟัสยังมีรอยยิ้มอ่อนหวาน เหมือนโลกทั้งโลกสว่างสดใสไปหมด เขาพูดต่อโดยไม่ได้สนใจอาการที่ผิดแปลกไปของผู้ที่อยู่ในอ้อมแขน
“ตอบรับผมหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากฟังจากปากคุณ”
หน้าของฟ่งที่ปกติซีดเซียวอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งซีดหนักกว่าเก่า ลมหายใจขาดห้วงเป็นระยะ ชายหนุ่มใช้เวลาขยับปากอยู่นาน กว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้
“ออกไป..”
คำพูดแม้ไม่ดังมาก แต่เนื้อหารุนแรงพอจะทำให้สีหน้าของรูฟัสแปรเปลี่ยน เขามองดูร่างผอมบางในอ้อมแขนอย่างไม่เชื่อหู ฟ่งก้มหน้านิ่ง ตลอดร่างเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
“ออกไป” ฟ่งพูดอีกครั้ง และรู้สึกถึงมือของรูฟัสที่ขยับเข้ามาจับใบหน้าของเขาไว้
“ฟ่ง?!” ชายหนุ่มตาสองสีพูดค้างเมื่อเห็นหยดน้ำตาที่เอ่ออยู่ในดวงตาคู่งาม ฟ่งเม้มปากแน่น สะกดกลั้นทำนบน้ำบนดวงตาไม่ให้ปริแตกออก เค้นเสียงออกไปอย่างยากลำบาก
“ออกไป!” หยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาอย่างไม่อาจห้ามได้อีก เขาปัดมือของอีกฝ่ายออก กระชากเสียงจนแทบจะตะโกน
“ไปให้พ้น!!”
รูฟัสรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนเอามีดแทงทะลุหน้าอก ทั้งงุนงงทั้งเจ็บปวด ชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าและออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น ฟ่งก็ร้องไห้ออกมา
--------------------------
   ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีกลับมาถึงห้องพักด้วยสภาพจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก เขาได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากห้องข้างๆ หัวใจของรูฟัสปวดแปลบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
   ทำไมกัน เขาทำอะไรพลาดตรงไหน?
   ชายหนุ่มยอมรับว่าเขาอาจจะรีบร้อนไปหน่อยที่ไม่ได้รอให้อีกฝ่ายพูดจาแสดงความรู้สึกออกมาก่อนที่จะทำอะไรแบบนั้นลงไป แต่ตอนนั้นฟ่งดูยั่วยวนจนเขาห้ามใจไม่อยู่ แล้วอีกอย่างระหว่างทำก็เหมือนอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือเต็มที่ ดูจะพอใจอยู่มากด้วยซ้ำ เขายังจำได้ดีถึงเสียงครางที่บ่งบอกถึงความสุขสมอย่างเต็มที่ รวมถึงวงแขนที่โอบรัดร่างเขาเอาไว้ในช่วงเวลาแบบนั้น ถ้าไม่พอใจจริงๆ ใครมันจะโอนอ่อนขนาดนี้กันล่ะ แต่ท่าทีของฟ่งตอนที่ไล่เขาออกมาทำเอารูฟัสนึกเข้าข้างตัวเองต่อไม่ออก
   หรือว่าฟ่งเข้าใจผิดว่าเขาทำอย่างนั้นเพราะความอยากเฉยๆ
   เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนก่อนฟ่งแสดงอาการเหมือนจะหึงเขาที่ทำท่าทางเหมือนจีบเมี่ยง รูฟัสรู้สึกพลาดถนัด เพราะเขาไม่ได้คิดแบบนั้นกับเมี่ยงจริงๆ จึงลืมไปเลยว่าฟ่งอาจจะยังคงรู้สึกค้างคาเรื่องนั้นอยู่ ชายหนุ่มถอนหายใจเสียงยาว
   สิ่งที่รูฟัสรู้สึกกับฟ่งก่อนหน้านี้คือ อยากจะช่วยให้ผู้ชายคนนี้มีรอยยิ้มสดใส ผ่านเวลาร้ายๆ ในชีวิตไปได้อย่างมีใครสักคนคอยอยู่เป็นเพื่อน แต่เขากลับทำให้ฟ่งต้องร้องไห้อีกครั้ง
   น้ำตานั่น ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ฟ่งคงไม่ต้องหลั่งมันออกมา
   รูฟัสไม่แน่ใจแล้วว่าเขาควรจะอธิบายเรื่องนี้กับคนข้างห้องยังไง การเดินไปเคาะประตูห้องฟ่งอีกครั้งในตอนนี้รังแต่เขาจะถูกไล่กลับออกมาอีกเท่านั้น ฟังจากเสียงสะอื้นที่ดังให้ได้ยินแผ่วๆ นั้นแล้วยิ่งทำให้หัวใจของรูฟัสปวดแปลบ เขาไม่อยากสูญเสียคนข้างห้องไปในสภาพแบบนี้ สภาพที่ยังไม่ได้พูดจาทำความเข้าใจอะไรกันเลย
   ไม่อยากสูญเสียความรักไปอีกแล้ว
ความรู้สึกปวดมวนแล่นสูงขึ้นมาจากกระเพาะอาหาร รูฟัสเดินไปที่ห้องน้ำ สำรอกเมือกเหลวสีเขียวออกมาก้อนใหญ่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า นานมากแล้วจริงๆ ที่เขาไม่มีอาการทางร่างกายแบบนี้ เหมือนฟ่งดึงทั้งความรู้สึกดีๆ และความรู้สึกเลวร้ายที่เขาลืมไปแล้วทั้งสองอย่างกลับมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกันจนน่าตกใจ รูฟัสเดินไปหยิบน้ำออกมาจากตู้เย็น ดื่มมันเข้าไปอึกสองอึก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบ เขาตอบตัวเองไม่ได้เลยว่ารสชาติขมเฝื่อนของน้ำย่อยที่ถูกขย้อนออกมากับความรู้สึกที่กำลังเกาะกินในจิตใจอะไรแย่กว่ากัน
----------------------------------------------
   ทั้งอาการเมาค้างและการร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้ศีรษะของฟ่งยังคงหนักอึ้ง ชายหนุ่มร้องไห้จนหลับไปพักหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาความรู้สึกหดหู่ก็เข้าครอบงำหัวใจของเขาทันที หยาดน้ำตาอุ่นไหลหยดลงบนหมอนหนุนที่เขาดึงขึ้นมากอดเอาไว้ สำหรับเขา รูฟัสคือเพื่อนคนเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้ ผู้ชายคนนั้นใจดีกับเขา คอยปลอบโยนห่างๆ เป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมากในช่วงเวลาที่เขากำลังอ่อนแอทางจิตใจ แต่แล้ว.....
   ใบหน้าเซียวซุกลงไปบนหมอน หลับนัยน์ตาลง เขาไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้รูฟัสพูดกับเขาแบบนั้น อาจจะเพราะฝ่ายนั้นอยากขอโทษเขาในเรื่องเมื่อคืนวาน ถ้าอย่างนั้นรูฟัสแปลเจตนาในคำพูดนั้นของเขาไปในแนวทางไหนกันล่ะ? ฟ่งไม่อยากจะคิด ในคลับของเมี่ยง รูฟัสเหมือนกลายเป็นผู้ชายที่ดูเจ้าชู้ต่างจากคนที่เขารู้จัก นี่อาจจะเป็นนิสัยจริงๆ ของผู้ชายคนนั้นก็ได้ คงเคยผ่านมาทั้งผู้ชายและผู้หญิง ฟ่งขบริมฝีปากอย่างปวดร้าว แม้จะรู้อย่างนั้น แต่ความรู้สึกที่ตกค้างมาจากเมื่อคืนยังหลงเหลืออยู่บนร่างกายเขา ความอบอุ่น น้ำเสียง และคำพูดหวานหูนั้นเหมือนความฝัน ฟ่งรู้สึกปวดแปลบในหัวใจ
   สุดท้ายเขาก็สูญเสียเพื่อนคนเดียวที่เขามีในตอนนี้ไปเพราะความอ่อนไหวชั่ววูบของตัวเอง
   ฟ่งปล่อยให้หยดน้ำตารินไหล ในความเงียบงัน เหมือนได้ยินเพียงแค่เสียงหัวใจเต้น สภาพเตียงยังคงยุ่งเหยิง ผ้าปูที่นอนยับย่นและกลิ่นอายของอีกฝ่ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ตอกย้ำให้หวนคำนึงถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้น เดินอย่างเลื่อนลอยไปยังห้องน้ำ
   ฟ่งยังคงสวมเสื้อนอนตัวเดิม เขาใส่มันหลังจากรูฟัสออกไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังค่อยๆ เปลื้องมันออก รอยจ้ำสีชมพูจำนวนมากบนร่างกายปรากฏให้เห็นในเงาสะท้อนของกระจก อาการชาวูบแล่นจากไขสันหลังไล่ไปตามปลายมือปลายเท้า สัมผัสลึกซึ้งที่อีกฝ่ายมอบให้เมื่อคืนคล้ายแจ่มชัดขึ้นมาในจินตนาการ ชายหนุ่มรีบเบือนหน้าออกจากกระจก ก้าวเท้าอย่างเร่งร้อนไปยังอ่างอาบน้ำ และรู้สึกชาวูบอีกครั้ง เมื่อของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากช่องเปิดที่ถูกบุกรุก ฟ่งยกมือขึ้นปิดหน้า น้ำตาแทบจะไหลออกมา เขาเปิดฝักบัวด้วยอาการร้อนรน สายน้ำเย็นช่วยชำระล้างคราบอารมณ์บางส่วนบนร่างกายออกไป แต่ใจหัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพังของความรู้สึก
----------------------------------------------
เสียงหัวเราะครืนจากรายการตลกยามค่ำคืนทางโทรทัศน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดรายการหนึ่ง  ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ที่นั่งดูอยู่เลยแม้แต่น้อย แววตาสีน้ำตาลใต้แว่นนั้นดูเลื่อนลอย ฟ่งกอดหมอนคู้ตัวอยู่บนโซฟา ยังคงรู้สึกตึงๆ หลงเหลืออยู่ตรงสะโพก เสียงใครบางคนเดินผ่านหน้าประตูห้องทำให้เขาขยับตัวอย่างตื่นเต้น ก่อนจะดูหงอยไปถนัดเมื่อเสียงนั้นทอดยาวออกไป ไม่มีเสียงเคาะประตูอย่างที่เคยเป็นเช่นทุกวัน
เหมือนเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หากเขาไม่ลงไปเอง รูฟัสก็มักจะมาเคาะประตูและชวนเขาออกไปทานอาหารด้วยกันเกือบตลอด แม้เรื่องราวจะเลยเถิดมาจนถึงจุดนี้ เขายังกลับหวังให้ทางนั้นกลับไปเป็นเหมือนเดิมอยู่
   ฟ่งหัวเราะสมเพสความคิดตัวเอง มันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร ในเมื่อความรู้สึกดีๆ ทุกอย่างพังทลายหมดแล้ว ใบหน้านั้นซุกลงกับหมอนโดยไม่ยอมถอดแว่น เขายังไม่อยากไปที่เตียง เพราะกลิ่นอายแห่งค่ำคืนก่อนยังคงตกค้างอยู่ แต่การนั่งบนโซฟาก็ใช่ว่าจะทำให้ลืมไปได้ เพียงแต่หลักฐานที่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยสายตานั้นมีน้อยมากเหลือเกินเมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนเตียงนอน ฟ่งหรี่นัยน์ตา พยายามตั้งสมาธิกับรายการรอบดึกบนโทรทัศน์
   ร่างสูงค่อยๆ เดินมาทางด้านข้าง ทรุดตัวลงนั่งใกล้ หลังมือใหญ่สัมผัสกับพวงแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน ฟ่งแนบใบหน้าเข้ากับหลังมือนั้น ก่อนจะเบือนสายตาขึ้นมอง
   รูฟัส!
   เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือที่กระแทกกับเคาน์เตอร์ไม้ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นจากภวังค์   เขาแทบอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาดเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อครู่
   “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มพยายามทำเสียงให้ดูเป็นปกติที่สุด บางทีอาจจะเป็นลูกค้าที่มาติดต่อใหม่ เพราะเป็นเบอร์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
   “สายคุณอภิวัฒน์ครับ”
   “พูดอยู่ครับ” ฟ่งตอบ ท่าทางจะเป็นลูกค้าใหม่ เพราะเสียงแบบนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ เหมือนจะเป็นเสียงของผู้ชายอายุราวๆ สักสามสิบขึ้น เสียงนั้นแม้สุภาพแต่แฝงความดุดันเอาไว้อย่างงำไม่อยู่
   “ผมมีงานอยากจะให้คุณช่วยออกแบบน่ะครับ” ทางนั้นกล่าว ฟ่งขมวดคิ้วทันที โดยปกติถ้าเป็นลูกค้าใหม่ก็ควรจะแนะนำตัวเองก่อน อย่างน้อยควรบอกให้เขารู้ว่าใครเป็นคนแนะนำ ไม่ใช่จู่ๆ ก็มาพูดจาห้วนๆ แบบนี้
   “ขอทราบชื่อกับรายละเอียดงานด้วยครับ” ฟ่งพูดสวนไป พยายามรักษาความสุภาพในน้ำเสียง ทางนั้นร้องเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
   “อ้อ ครับ เรียกผมว่ารัตน์ก็ได้ ผมอยากให้คุณช่วยออกแบบห้องให้ผมสักหน่อย”
   “เป็นห้องแบบไหนล่ะครับ?” ฟ่งถาม เตรียมกระดาษกับดินสอมาเพื่อจดรายละเอียด พลางนึกทบทวนว่าเขาเคยเจอใครที่ชื่อรัตน์และเป็นผู้ชายวัยกลางคนบ้างรึเปล่า ทำไมทางนั้นถึงพูดราวกับว่ารู้จักเขาดิบดี
   “อธิบายยากอยู่น่ะครับ คุณว่างช่วงไหนครับ ผมอยากคุยโดยตรง”
   ฟ่งขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดที่ดูไม่ค่อยจะเกรงใจของคู่สนทนา แม้จะอายุห่างกันมาก แต่ในฐานะคนทำงาน ฟ่งต้องการการเคารพในระดับหนึ่ง ชายหนุ่มกล่าวตอบด้วยเสียงห้วนขึ้น “ผมต้องทราบรายละเอียดมากกว่านี้ก่อนจะนัดเจอนะครับ”
   ฝ่ายนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนคิดทบทวนว่าควรจะพูดต่อหรือวางสายดี ฟ่งถือสายรออย่างอดทน เกือบเดือนที่ผ่านมา เขาเพิ่งได้งานมาแค่หนึ่งชิ้น หากได้งานเพิ่ม ย่อมต้องดีกับชีวิตการเป็นอยู่ของเขา และที่สำคัญ เขาจะได้หยุดคิดเรื่องคนข้างห้องเสียที
   “เป็นงานออกแบบห้องนอนครับ” ฝ่ายนั้นตอบกลับมาในที่สุด ฟ่งขมวดคิ้วหนักขึ้น เขานิ่งไปบ้าง
   “ผมไม่ถนัดออกแบบห้องนอน ทำไมคุณไม่ไปจ้างคนอื่นล่ะครับ” 
   ปลายสายเงียบไปอีก คงคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดแบบนี้
   “ผมไม่รับงานจากลูกค้าที่พูดจาไม่เคลียร์นะครับ” ฟ่งพูดต่อ และคิดว่ากำลังจะวางหู เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงหัวเราะลอดออกมา
   “โอเค จะอย่างนั้นก็ได้ พรุ่งนี้บ่ายสามผมจะไปหาคุณ ทำตัวให้ว่างไว้นะ”
   ทางนั้นกล่าว และชิงวางสายไปก่อน ฟ่งพ่นลมหายใจออกมาอย่างขัดเคือง บางทีเขาอาจจะเจอโทรศัพท์โรคจิต ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มล้มตัวลงบนโซฟา ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมาเหมือนกดเทป ทำให้หยดน้ำเปรอะขนตาอีกครั้ง เขาถอดแว่นออก มองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะเล็กข้างโซฟา
   เรามันบ้า!!!
----------------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #12 เมื่อ23-05-2011 20:23:02 »

   รูฟัสวางขวดยาสีขาวลงบนโต๊ะข้างตัว ความเจ็บปวดในช่องท้องทำให้ใบหน้าของเขาซีดกว่าปกติ ชายหนุ่มเอนหลังพิงโซฟา หลับตาลงพยายามข่มใจหยุดคิดเรื่องที่ทำให้กระเพาะปั่นป่วน
   ทำไมเขาถึงไม่หักห้ามใจให้มากกว่านี้...
   ภาพนัยน์ตาสีน้ำตาลย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง แววตาแฝงความเศร้าที่มองมายังเขาอย่างงุนงง ขัดเขิน เอียงอาย รูฟัสนึกไม่ออกว่าในสภาพแบบนั้นเขาจะห้ามตัวเองได้อย่างไร เขาคงคิดหาเหตุผลจะอธิบายให้ฟ่งฟังได้เกี่ยวกับเรื่องเมี่ยง หวังเพียงแต่ตัวเขาเองจะไม่ตีความคำพูดและการกระทำของฟ่งในคืนนั้นผิด
   เพียงหวังว่าฟ่งจะมีความรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา
-------------------------
   ฟ่งลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหลังที่แย่กว่าเมื่อวาน ไม่รู้ว่าเพราะนอนบนโซฟาหรือเพราะการถูกโหมใช้งานแบบไม่เคยเป็นมาก่อนกันแน่ ชายหนุ่มหยิบแว่นขึ้นมาใส่ เดินไปเข้าห้องน้ำทั้งๆ ที่มือยังกดบริเวณบั้นเอวอยู่  หลังเสร็จธุระ เขาเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ หยิบโทรศัพท์สายในขึ้นมากดเบอร์ เขาควรจะจัดการกับเตียงนอนแทนที่จะมานอนบนโซฟาแบบนี้ ฟ่งแจ้งให้ทางคอนโดส่งแม่บ้านขึ้นมารับผ้าปูที่นอนไปทำความสะอาด ก่อนจะโทรไปสั่งอาหารจานด่วน แบบส่งให้ถึงห้อง เพราะเขาไม่ต้องการจะออกไปเผชิญหน้ากับคนข้างห้องในตอนนี้
   ไม่รู้ว่ารูฟัสคิดกับเขายังไง แต่ที่แน่ๆ ตัวเขาคงไม่อาจกลับไปรู้สึกเหมือนเก่าได้อีกแล้ว
--------------------
   รูฟัสยังคงนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้เหมือนเช่นทุกวัน หนังสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศสองฉบับที่แขวนอยู่ตรงชั้นวางถูกอ่านจนแทบจะไม่เหลืออะไรไว้ให้อ่านอีก เขานั่งอยู่ตรงนั้นมากว่าสองชั่วโมงแล้ว และดูตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงคนเดินลงมาจากชั้นบน
   แต่สุดท้ายคนที่เขารอก็ไม่ลงมา
   รูฟัสไม่กล้าจะเดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ ด้วยกลัวว่าจะไปกระตุ้นอารมณ์ของอีกฝ่าย เขาควรปล่อยให้ฟ่งสงบสติอารมณ์สักพัก ชายหนุ่มพยายามปลอบใจตัวเองว่าอีกฝ่ายคงยังไม่หายโกรธ ไม่ก็อาจจะยังไม่สะดวกออกไปไหนมาไหน เขาตัดสินใจผุดลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอกอย่างเศร้าๆ สวนทางกับพนักงานส่งพิซซ่าที่เดินเข้ามา
--------------------
   ฟ่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่พิซซ่ามาก่อนแม่บ้าน เขาจ่ายเงินให้กับพนักงานก่อนจะเอากล่องไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มหยิบพิซซ่าออกมากินได้สองคำก็รู้สึกเบื่อ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ย้ายมาที่เขาต้องทานอาหารคนเดียว ความรู้สึกหดหู่เริ่มเข้ามาเกาะกุมจิตใจ
   หรือจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเฉยๆ?
   ความคิดนี้ถูกปฏิเสธแทบจะทันที ใครมันจะเฉยๆ กับเรื่องแบบนี้ได้กันล่ะ แถมเขายังเป็นฝ่ายถูกกระทำอีก แค่คิดว่าต้องเงยหน้ามองผู้ชายที่ปลุกปล้ำเขาในห้องก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น...ทำไมเขาถึงได้......
   เสียงเคาะประตูหยุดความคิดฟุ้งซ่าน ฟ่งเดินไปเปิดประตู แม่บ้านหญิงวัยกลางคนหอบผ้าปูที่นอนชุดใหม่เข้ามา เขายิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาท่ามกลางกองหมอน  ไม่นานนักเธอก็หอบผ้าปูชุดเก่าออกมา ฟ่งตัดสินใจยกพิซซ่าให้ทั้งกล่องเป็นของแถมไปด้วย เขาไม่รู้สึกอยากทานมันอีก
   ชายหนุ่มล้มตัวลงบนที่นอนที่เพิ่งเปลี่ยนผ้าปูใหม่ด้วยความรู้สึกอ่อนล้าอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่อยากจะเอาแต่นอนเพียงอย่างเดียว ร่างบางดีดตัวขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบแผ่นดีวีดีภาพยนตร์ที่ซ้อนกันอยู่ตรงชั้นวางใส่เครื่องเล่น ด้วยหวังว่ามันคงจะบรรเทาอารมณ์หดหู่ที่เกิดขึ้นได้บ้าง
-----------------------------------
   รูฟัสไม่ได้กลับเข้าคอนโดทันทีที่ทานอาหารเสร็จ เขาแวะร้านยาใกล้ๆ เพื่อซื้อยาเคลือบกระเพาะแบบเม็ด ก่อนจะเดินไปตามฟุตบาทไปจนถึงย่านธุรกิจที่รายล้อมด้วยห้างขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
   ชายหนุ่มเอาใบปลิวที่เขาเผลอรับมาตลอดทางใส่เข้าไปในถังขยะ เสียงโห่ร้องดังแว่วมาดึงความสนใจ เขาเดินไปยังส่วนที่เรียกว่าเกมเซนเตอร์ เด็กหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปี กำลังเล่นเกมที่ใช้ปืนอินฟราเรด เป็นอุปกรณ์ด้วยท่าทีราวกับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ท่ามกลางกลุ่มผู้คนที่แวะมาหยุดดู รูฟัสอมยิ้ม ท่าทางของเด็กหนุ่มทำให้คนดูรู้สึกสนุกสนานกับเกมที่เขาเล่นไปด้วย
   เสียงปรบมือด้วยความประทับใจดังขึ้นเมื่อเฮลิคอปเตอร์ถูกยิงตกด้วยปืนบาซูกา ในท่วงท่าลีลาที่ดูสมจริงสมจัง ก่อนที่เกมจะจบลง ผู้คนต่างแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตัวเอง รูฟัสนึกถึงราฟาแอล ถ้าผู้ชายคนนั้นมาด้วยบางทีเขาอาจจะต้องโดนลากให้ไปเล่นเกมพวกนี้ก็ได้  ชายหนุ่มถอนหายใจเดินกลับไปทางโซนที่เป็นโรงภาพยนตร์ หลังจากยืนดูตารางฉายอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปซื้อตั๋วภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งที่มีนักแสดงนำหน้าตาค่อนข้างแปลกพอดู ท่าทางเหมือนจะเป็นภาพยนตร์แนวแอคชั่น
----------------------------------------------------------------
   เรื่องราวในภาพยนตร์ดำเนินมาจนใกล้ถึงบทสรุป ภาพตัวละครเอกทรุดนั่งลงบนพื้นหิมะสีขาวโพลน ถูกขัดจังหวะโดยเสียงโทรศัพท์ภายใน ฟ่งกดหยุดชั่วคราว ก่อนจะเดินไปรับสาย
   “สวัสดีค่ะ คุณอภิวัฒน์ คุณรัตน์รอพบคุณที่ล็อบบี้ค่ะ”
   ฟ่งนิ่งนึกชื่อของผู้ที่มาพบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปอย่างงงๆ   “เอ่อ ครับ เดี๋ยวผมจะลงไปนะครับ”
   ชายหนุ่มเดินไปกดหยุดก่อนจะดีดแผ่นดีวีดีออกมาเก็บใส่กล่องไว้เหมือนเดิม เขาหยิบเสื้อเชิ้ตสีครีมจากตู้ออกมาเปลี่ยน พลางนึกสงสัยในใจ
-----------------------------------
   ผู้ที่มารอพบเป็นชายวัยกลางคนผิวสองสีติดไปทางคล้ำ สวมเสื้อเชิ้ตผ้าเสิร์จสีน้ำเงินเข้ม ตัดผมสั้นเรียบร้อย ใบหน้ารูปเหลี่ยมเห็นสันกรามนูนออกมาเล็กน้อย ที่ดูจะเด่นสะดุดตาคงเป็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ใต้ตาขวา เขาลุกขึ้นทันทีที่เห็นฟ่งเดินเข้ามา
   “เอ่อ คุณอภิวัฒน์ใช่ไหมครับ”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างงงๆ ก่อนจะยกมือไหว้อย่างเก้ๆ กังๆ “สวัสดีครับ”
ฝ่ายนั้นยกมือไหว้ตอบก่อนจะเชื้อเชิญให้นั่ง
   “ผม รัตน์ ที่โทรมาเมื่อคืน คงจำได้นะครับ”
   “ครับ” ชายหนุ่มนั่งลงโซฟาขนาดสามที่นั่งที่วางอยู่ตรงข้าม คั่นกลางด้วยโต๊ะกระจกใสที่ด้านล่างเป็นตู้ปลาสวยงาม เขามองผู้มาเยือนด้วยสีหน้าไม่วางใจ ชายวัยกลางคนยิ้มเหมือนรู้ทัน
   “ผมมีธุระสำคัญและเป็นความลับมาก ถ้ายังไงเราไปคุยกันที่อื่นที่สะดวกกว่านี้ดีไหมครับ”
   “คุยที่นี่แหละครับ” ฟ่งยืนยัน รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจากสีหน้าของอีกฝ่าย
   “งั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
   ชายฉกรรจ์สองคนในชุดเสื้อคอโปโลสีขาวและสีน้ำตาลเข้มเดินเข้ามา ก่อนจะนั่งลงขนาบข้าง ความเย็นเยียบจากปากกระบอกโลหะของอาวุธที่ได้ชื่อว่าอันตรายที่สุดถูกส่งผ่านสีข้างขึ้นมาถึงสมอง
   “จะไปกันได้หรือยังครับ” ฝ่ายโน้นถาม กวาดตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม และยิ้มอย่างผู้ชนะ
   “ผมจะคุยที่นี่ครับ” ฟ่งพูดยิ้มตอบ นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องกลับอย่างไม่หวั่นไหว ชายกลางคนที่อ้างตัวว่าชื่อรัตน์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะขึ้น
   “ไม่เอาน่า คุณไม่ใช่คนโง่นี่นา”
   “ครับ ผมไม่โง่” ชายหนุ่มตอบ ใบหน้ายังคงยิ้มอยู่ “คุณเป็นลูกค้าที่ผมไม่ได้นัด ที่สำคัญคุณยังไม่บอกรายละเอียดงานเลย การที่ผมลงมานั่งคุยด้วยแบบนี้ถือว่าเกินมามากแล้วนะครับ”
   กระบอกปืนถูกขยับเข้ามาอีกอย่างคุกคาม แต่สีหน้าของฟ่งยังไม่เปลี่ยนแปลง เขาสบนัยน์ตาของอีกฝ่ายโดยไม่หลบเลี่ยง ทั้งคู่นั่งประจันหน้ากันอยู่แบบนั้นหลายนาที ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะถอนหายใจ
   “ยอด ยอดมาก นอกจากคุณจะดูเด็กกว่าที่ผมคิดแล้วยังมีลูกบ้าอีกด้วย” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง “แต่อย่าคิดว่าแค่ลูกบ้าจะต่อรองกับผมได้นะ”
   ฟ่งหัวเราะ เขาหัวเราะอยู่นานจนอีกฝ่ายขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
   “ขำอะไร?”
   ชายหนุ่มยกมือห้าม พยายามหยุดหัวเราะ “ขอโทษนะครับ บางทีผมก็มารยาทไม่ดี แต่ว่าคุณเองมีอะไรมาต่อรองกับผมหรือครับ?”
   อีกฝ่ายชะงัก นักออกแบบหนุ่มขยับแว่น
   “ถ้าคุณอยากจะจ้างผมจริงๆ เราน่าจะคุยกันดีๆ ดีกว่าไหมครับ? คุณคงรู้ใช่ไหมว่าคนตายทำงานไม่ได้”
   “ครับผมรู้ คุณคงไม่อยากเป็นคนตาย”
   “อ้อ..ครับ แต่รู้ไว้อีกอย่างนะครับ ผมพอใจจะรับงานจากคนที่พูดดีๆ มากกว่าคนที่พูดไม่รู้เรื่อง ตกลงคุณอยากจะจ้างผม หรืออยากจะเก็บผมกันแน่ล่ะ?
   รันต์นิ่งไปอีกพักหนึ่ง ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณ ปืนทั้งสองกระบอกเลื่อนออกจากสีข้างของคู่สนทนา ฟ่งพูดต่อ
   “ขอบคุณครับ แล้วก็...ช่วยเอาคนของคุณออกไปด้วย ผมไม่ชอบให้คนไม่รู้จักมานั่งใกล้ๆ หวังว่าคงเข้าใจนะครับ”
   ชายฉกรรจ์สองคนขยับตัว มีทีท่าเหมือนกำลังจะทำอะไรซักอย่าง แต่ชายวัยกลางคนกลับพยักหน้าง่ายๆ “ตกลง”
   แม้จะมีทีท่าไม่ค่อยเต็มใจ แต่ทั้งสองคนก็ยอมลุกไปนั่งโซฟาที่นั่งเดียวที่อยู่ตรงหัวโต๊ะทั้งสองข้าง ฟ่งถือโอกาสแอบสังเกต
   ชายที่นั่งอยู่ขวามือมีผิวสีคล้ำ ผมหยิก ท่าทางเหมือนคนทางใต้ นัยน์ตาดุดัน ส่วนอีกคนที่สวมเสื้อสีน้ำตาลเป็นหนุ่มผิวขาวแบบคนจีน ผมหยักศก ยาวประบ่า หน้าตาสวยคล้ายผู้หญิง อายุคงพอๆกับเขา นัยน์ตาเป็นประกายเย็นเย็บคู่นั้นจับจ้องมา ฟ่งรู้สึกแปลกใจระคนโล่งใจเล็กน้อย ดีที่หัวหน้ามีสมอง ไม่งั้นท่าทางเขาจะแย่เสียเอง
   “พอใจหรือยัง?”   ชายวัยกลางคนถาม ฟ่งเอนหลังพิงโซฟา ไขว่ห้าง เอามือวางบนหน้าตัก
   “อันนั้นต้องถามคุณล่ะครับ ว่าต้องการอะไร”
   ผู้อ้างตัวว่าชื่อรัตน์ถอนหายใจ “ผมต้องการให้คุณออกแบบห้องให้ห้องหนึ่ง เป็นห้องนิรภัย แบบหนาแน่นที่สุด”
   “ก็ธรรมดานี่ครับ ทำไมถึงลำบากมาจ้างผม มีคนอื่นที่มีประสบการณ์เยอะแยะกับการออกแบบห้องอย่างนั้น” ฟ่งพูด แต่ในความรู้สึกแปลกใจ เขากลับมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง คนถูกถามคลี่ยิ้มที่ดูจะคุกคามมากกว่าปลอบใจ ก่อนจะพูดต่อ
   “ห้องนิรภัยที่ผมพูดถึงนี่ คงมีคุณคนเดียวเท่านั้นแหละครับที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ ผมเคยเห็นงานเก่าๆ ของคุณแล้ว นักออกแบบที่มีความคิดพิสดารแบบนี้หาไม่ง่ายในเมืองไทยเลยนะครับ”
   ฟ่งพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงสีหน้าอะไรออกไปมากนัก เขายอมรับว่าเคยออกแบบอะไรแปลกๆ เอาไว้ และโพสมันลงในอินเตอร์เน็ตอย่างไม่คิดอะไร ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีใครสนใจงานแบบนั้นของเขาด้วย แถมยังเป็นคนที่ดูไม่น่าไว้ใจอีก
   “ผมจำไม่ได้ว่าคุณไปเอาเรื่องมาจากไหนนะครับ เท่าที่รู้ ผมไม่เคยประกาศตัวในเรื่องแบบนี้ อีกอย่างคุณจะทำห้องแปลกๆ ไปทำไม จะจัดโชว์ของแปลกหรือครับ?”
   “เอาล่ะ” ฝ่ายตรงข้ามทำท่าเหมือนจะหมดความอดทน “พวกผมได้เห็นงานออกแบบทุกอย่างของคุณแล้ว เอาว่า เราสืบข้อมูลของคุณมามากกว่าที่คุณคิด และลงความเห็นกันว่าคุณเหมาะสมที่จะทำงานนี้มากที่สุด สำหรับเรื่องราคา เรายอมจ่ายเท่าที่คุณเรียกร้อง”
   “ก็คงมากจริงๆ ล่ะครับ” ฟ่งพูด เขาจำได้ว่าตั้งแต่ย้ายออกจากที่เก่า ยังไม่เคยปริปากบอกใครเลยว่าย้ายมาอยู่ที่นี่ คนพวกนี้ทำยังไงถึงได้รู้ที่อยู่เขานะ เขามองหน้าคู่สนทนาที่มีแผลเป็นใต้ตาและประเมินสถานการณ์ของตัวเองเงียบๆ
   “คุณแน่ใจได้ยังไงว่าผมจะทำงานนี้ได้”
   นักออกแบบเปลี่ยนทีท่ามานั่งหลังตรง ก้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ชายหนุ่มทราบว่าเขาต้องตัดสินใจแล้ว คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคงไม่ใช่คนที่ทำอาชีพปกติธรรมดาแน่ๆ คนธรรมดาไม่มีใครเขาเปิดการเจรจาด้วยปากกระบอกปืนกันหรอก ฟ่งพยายามหาช่องทางที่จะเอาตัวรอดจากปัญหานี้ แม้จะเห็นว่ามันดูเหลือน้อยเต็มที
   “เพราะคุณเป็นคนเดียวที่สามารถจะออกแบบห้องที่แม้แต่เทวดาก็ไม่อาจจะผ่านเข้าไปได้น่ะสิ” รัตน์กล่าว และยิ้มกว้าง ฟ่งฝืนหัวเราะออกมา ช่องทางน้อยนิดเหมือนถูกหินถล่มปิดไปในบัดดล
   “ผมเป็นคนนะครับ จะไปสู้รบปรบมือกับเทวดาได้ไง แต่ถ้าเป็นคนด้วยกันล่ะก็พอไหวอยู่”
   นัยน์ตาของอีกฝ่ายเป็นประกายทันที เขากล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
   “เป็นอันว่าตกลง?”
   ชายหนุ่มนิ่งคิดไปอีกพักหนึ่ง คนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คงเป็นผู้มีอิทธิพลอะไรซักอย่าง และดูเหมือนว่างานออกแบบนี้จะมีความสำคัญมากทีเดียว ถ้าหากปฏิเสธออกไป โอกาสที่จะถูกฆ่าปิดปากมีสูงเพราะเขาทราบถึงรายละเอียดบางอย่างแล้ว  ถ้ารับงาน เขายังมีโอกาสต่อรองอยู่
   “ครับ”
   แววตายินดีฉายอยู่ในแววตาที่กร้านโลกนั้นอย่างเห็นได้ชัด
   “ไม่ทราบว่าเริ่มงานอย่างเร็วที่สุดได้เมื่อไรครับ”
ฟ่งยิ้มอีกครั้ง “อีกสักสองอาทิตย์ครับ พอดีผมมีงานอื่นค้างอยู่”
   “แล้วผมจะติดต่อมาอีกที” ชายวัยกลางคนพูด ทำท่าจะลุกขึ้น ชายหนุ่มรีบโบกมือ
   “ไม่ครับ ผมจะติดต่อกลับไปเอง สะดวกบอกเบอร์รึเปล่าครับ?”
   คนถูกถามชะงักไปหน่อยหนึ่ง แต่ก็พยักหน้า “ใช้เบอร์ที่โทรมาเมื่อคืนก็ได้ ขอบคุณที่ยอมรับงานนะครับ คุณอภิวัฒน์”
   รัตน์ยิ้มอย่างผู้มีชัย ฟ่งยิ้มตอบ มองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย
   “ครับ หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไร”
   “เช่นกัน หวังว่าคงเป็นเรื่องไว้เป็นความลับนะ แต่คนอย่างคุณไม่ต้องอธิบายก็คงพอเข้าใจ”
   สายตาแข็งกร้าวนั้นมองเข้ามาราวกับจะเจาะทะลุเข้าไปในจิตใจ ฟ่งไม่ได้ตอบ เขาเพียงแค่หัวเราะในลำคอ
-----------------------------
   รูฟัสผลักประตูเข้ามาในคอนโด อากาศที่ถูกปรับอุณหภูมิให้ต่ำลงกระทบร่างกายที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขาเพิ่งเดินกลับมาจากห้าง ตอนจบของภาพยนตร์ที่ดูเหมือนจะเป็นการทะเลาะกันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ชายหนุ่มเผลอมองไปยังบริเวณโซฟาในล็อบบี้แล้วก็ต้องใจเต้น ผู้ชายที่นั่งตรงกลางคือฟ่งไม่ใช่หรือ เขาจำรูปร่างและทรงผมยุ่งๆ นั้นได้ รูฟัสอยากจะเดินเข้าไปทักแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคุยธุระอยู่ เขาเลยตัดสินใจเดินผ่านไปอย่างเงียบๆ
   ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสียกผ้าเช็ดตัวขึ้นเช็ดศีรษะที่เปียกชุ่ม ขณะกดน้ำร้อนลงแก้วเพื่อชงชา เขาสวมเพียงแค่กางเกงขาสั้นสีดำ รูฟัสจิบชาพลางเปิดประตูออกไปตรงระเบียง การจราจรเบื้องล่างไม่แออัดเหมือนช่วงกลางวันแต่ก็ยังดูหนาตาอยู่ จู่ๆ หนุ่มผู้ใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงเสี่ยงภัยมาตลอดกลับรู้สึกอยากใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาบ้าง 
ถ้าได้ไปเที่ยวกับคนข้างห้องคนนั้นซักวัน คงมีความสุขพิลึก
รูฟัสรู้สึกหัวใจเต้นแรง เขาต้องหาโอกาสไปปรับความเข้าใจกับคนข้างห้องให้ได้
---------------------------------------------------
คนข้างห้องที่ว่าตอนนี้อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงเมตร เพียงแต่ฝาผนังตรงระเบียงกั้นอยู่เท่านั้น
ฟ่งใช้มือซ้ายค้ำราวระเบียง ขณะที่มือขวาถือแก้วเซรามิคสีขาวที่มีหูจับสองหู โกโก้ร้อนในแก้วส่งกลิ่นหอมกรุ่น แต่จิตใจของเขากลับรู้สึกหนักอึ้ง ชายหนุ่มรู้สึกพ่ายแพ้ การคุกคามนั้นแย่จนไม่อยากคิดถึงมันอีก อย่างน้อยชีวิตเขาน่าจะยังปลอดภัยจนกว่างานจะเสร็จ แต่หลังเสร็จงานแล้ว ฟ่งแน่ใจว่าทางโน้นต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่นอน ในเมื่อมันดูจะเป็นความลับและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้มีอิทธิพล
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ
   อยากจะคุยกับใครซักคน แต่ว่า...ใครล่ะ?
   ฟ่งรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ เขายกแก้วโกโก้ขึ้นมาดื่ม น้ำใสๆ หยดจากดวงตาลงไปในแก้ว
---------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #13 เมื่อ23-05-2011 20:29:11 »

บทที่6 เค้าลางแห่งพายุ
   เด็กชายผมสีดำตัดสั้น วัยราวๆ สักเจ็ดแปดปี ในชุดเสื้อเชิ้ตขาวเอี๊ยมสีน้ำตาลเข้ม กำลังโบกมือให้กับเด็กหญิงผมสีบลอนด์ตัวเล็กๆ อายุประมาณสี่ปีที่นั่งอยู่บนตักมารดาในรถเก๋งสีน้ำเงิน มีชายหนุ่มผมสีเดียวกันอายุราวๆ ยี่สิบแปดปีเป็นคนขับ  หญิงสาวผมดำยาวสลวยที่อุ้มเด็กหญิงอยู่จับมือเล็กๆ นั้นโบกให้เด็กน้อย รอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาปรากฏขึ้นบนริมฝีปากน้อยน่ารัก เด็กชายยิ้มตอบ พลางโบกมือให้เด็กหญิงตัวน้อย ทันใดนั้น รอยยิ้มและมือน้อยๆ นั้นพลันอันตรธานหาย รถบรรทุกสีดำคันใหญ่ก็วิ่งเข้ามา บดขยี้ทุกคนในรถคันนั้นไปต่อหน้าต่อตาเด็กชาย
   นัยน์ตาสีเขียวและเทาคู่นั้นพลันเบิกโพลง  เม็ดเหงื่อผุดออกมาทั่วใบหน้าและหลัง ทั้งๆ ที่อุณหภูมิลดต่ำลงถึงสิบแปดองศา ภายในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากตึกภายนอกเล็กน้อยลอดผ่านเข้ามาตามช่องที่ผ้าม่านปิดไม่ถึง  ชายหนุ่มยกมือลูบหน้า ก่อนจะเดินสะเปะสะปะไปที่ตู้เย็น แสงไฟสีส้มจากดวงไฟหลอดเล็กๆ ส่องให้เห็นใบหน้าที่ซีดจนแทบจะไม่มีสีเลือด  เขากินน้ำเข้าไปสองแก้ว ก่อนจะยกมือปาดเหงื่อ  นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาตีสาม  ร่างสูงล้มตัวลงไปบนเตียงอีกครั้ง พยายามข่มตาให้หลับ  แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล  ภาพความฝันเลวร้ายตามมาหลอกหลอนทุกครั้งที่หลับตา  ชายหนุ่มพลิกตัวด้วยความทรมาน สองสามวันมานี้เขาแทบไม่ได้ทำอะไร นอกจาก รอ รอ และรอ เขาใช้เวลาครึ่งเช้าของทุกวันไปกับการนั่งรอที่ล็อบบี้ แต่ละนาทีที่ผ่านไปดูยาวนานราวกับชั่วโมง แม้จะรู้สึกทรมานกับการเฝ้ารอที่ไร้ความหมาย ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือไม่พอใจอีกฝ่าย ตรงกันข้าม ความรู้สึกเป็นห่วงยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลายครั้งที่เขาอยากจะยกมือขึ้นเคาะประตูที่ปิดสนิทบานนั้น แต่ทุกครั้ง ความรู้สึกบางอย่างกลับทำให้เขาเดินผ่านไปเฉยๆ
   ถ้าหากประตูบานนั้นไม่ยอมเปิด...
   ถ้าหากคนคนนั้นไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป....
   ถ้าหากคนคนนั้นพูดคำว่า ไปให้พ้น...
   รูฟัสยกมือขึ้นกุมหน้าอก รู้สึกปวดแปลบ ชายหนุ่มกำมือแน่น
   นี่เขากำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่....
   ถ้าหากว่าจะไม่ได้เห็นใบหน้านั้นอีก….
   มือที่กุมหน้าอกกำแน่น กำอยู่ตรงตำแหน่งของหัวใจที่ปวดเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แสงอรุณยามเช้าช่างมาถึงเชื่องช้าเหลือเกิน.....
------------------------------
   ฟ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนแบบ มองกระดาษร้อยปอนด์ขนาดเอหนึ่งที่ยังคงขาวสะอาด ปราศจากเส้นใดๆ นอกจากเส้นกรอบด้วยสายตาเหม่อลอย แสงแดดยามสายส่องทะลุช่องผ้าม่าน ทาบลงบนพื้นพรมดูคล้ายเสาออโรร่าเล็กๆ เมี่ยงเพิ่งโทรศัพท์เข้ามาถามไถ่ข่าวคราวด้วยความเป็นห่วง แม้จะไม่ได้พูดถึงเรื่องงาน แต่ฟ่งก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เขายังไม่ได้ออกแบบอะไรที่มันดูเป็นชิ้นเป็นอันเลย ชายหนุ่มใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาไปกับการดูภาพยนตร์เก่าๆ ที่ซื้อเก็บไว้และอ่านหนังสือ ทุกครั้งที่เขาจับดินสอหรือเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อจะเริ่มทำงาน ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากก็พุ่งเข้าครอบงำจิตใจ ฟ่งรู้สึกเบื่อหน่ายตัวเอง ยอมรับว่าไม่มีปัญญาที่จะทำงานในสภาวะอารมณ์แบบนี้ บางทีเขาอาจจะต้องยกเลิกสัญญากับเมี่ยง นั่นยิ่งทำให้รู้สึกแย่ เมี่ยงเป็นลูกค้าที่ดีทีเดียว เขารู้สึกประทับใจหล่อน ไม่ใช่เรื่องเลยที่เขาจะยกเลิกสัญญาเพราะอารมณ์แปรปรวนของตัวเอง
   จู่ๆ ท้องฟ้าภายนอกก็เริ่มมืดครึ้ม แสงแดดค่อยๆ จางหาย ลมพัดกรรโชกมาเป็นระยะๆ ชายหนุ่มเดินออกไปเก็บชั้นในที่ตากอยู่ตรงระเบียงมาโยนเอาไว้บนเตียง ความรู้สึกหดหู่ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น เขาทรุดนั่งลงบนโซฟา เหม่อมองเมฆฝนดำทะมึนที่เริ่มตั้งเค้าขึ้น รู้สึกเหมือนเป็นแมลงตัวเล็กๆ ที่ขังตัวเองอยู่ในกล่อง เฝ้ารอความตาย
   เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ฟ่งสะดุ้ง ชายหนุ่มสะบัดหัวอย่างรุนแรงเพื่อไล่ความคิดบ้าๆ ออก ก่อนจะเดินไปที่ประตู
   !!
   ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ เมื่อมองผ่านช่องมองออกไป ผู้ที่มาเคาะเป็นคนที่เขาทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอมากที่สุด ฟ่งไม่ได้สังเกตสีหน้าของรูฟัส เพราะทันทีที่รู้ว่าเป็นใคร เขาก็แทบอยากจะหลับตาลงทันที
   ฟ่งตอบตัวเองไม่ได้เลยว่ารู้สึกยังไงกับผู้ชายคนนี้
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกและดูเหมือนจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ ผู้เป็นเจ้าของห้องมุ่นคิ้วอย่างหงุดหงิด ในความสับสน ฟ่งกระชากประตูให้เปิดออกเตรียมจะตะโกนใส่หน้าผู้มาเยือน แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าดีใจที่เหมือนดังสุนัขได้พบเจ้าที่ฝ่ายนั้นแสดงออกมา เขาแทบจะร้องไห้
   “ช่วยเลิกยุ่งกับผมเสียที” ฟ่งพูดเสียงสั่น พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลทะลักออกมา รูฟัสไม่ได้พูดอะไรตอบ เพียงมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนระคนเจ็บปวดใจ รอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าได้รูป ฟ่งไม่อาจจะทนมองต่อไปได้อีก เขาปิดประตูใส่หน้าของรูฟัส วิ่งไปที่เตียงนอน น้ำตาไหลทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก
----------------------------------------------------
   รูฟัสยืนนิ่งอยู่หน้าประตู รอยยิ้มเศร้าๆ ยังคงค้างคาบนใบหน้า
-----------------
   ฟ่งค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นจากเตียง รู้สึกปวดร้าวไปทั้วกระบอกตา ชายหนุ่มพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อมองนาฬิกา
   สี่โมงเย็น
   เขาคงร้องไห้จนเผลอหลับไป บรรยากาศภายนอกยังคงมืดครึ้ม เม็ดฝนโปรยปรายให้เห็นเป็นละอองเล็กๆ ชายหนุ่มเดินโซเซมาที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่บนราวในห้องน้ำมาเช็ด ฟ่งมองดูตัวเองในกระจกรู้สึกเหมือนดวงตาจะบวมอยู่พอสมควร  ชายหนุ่มก้าวเท้าออกมานอกห้องน้ำ ความอ้างว้างครอบคลุมไปทั่วห้อง แม้ฝนจะตก แต่เขากลับมีความรู้สึกอยากจะออกไปเดินเล่น เพราะอย่างน้อยมันคงดีกว่าจับเจ่าอยู่ในห้องแบบนี้ อาจจะช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้นบ้าง  ฟ่งหยิบร่มที่แขวนอยู่ข้างชั้นวางหนังสือ เดินไปเปิดประตูห้อง ทันใดนั้นตลอดร่างของเขาก็รู้สึกเหมือนถูกแช่แข็ง
   ร่างสูงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาสองสีที่มองสวนขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู กับรอยยิ้มเศร้าๆ ที่ฉายอยู่บนใบหน้า ทำให้ฟ่งรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า
   “คิดว่าคุณจะไม่ยอมเปิดอีกแล้ว” น้ำเสียงนั้นยังคงสุภาพ และนุ่มนวลเหมือนเช่นทุกวัน
   “ทำไมคุณถึงยังอยู่ที่นี่?” ฟ่งโพล่งออกมา เสียงพร่าไปเล็กน้อย
   “ผมอยู่รอพบคุณ”
   คำตอบที่ได้รับทำเขารู้สึกว่าลิ้นของตัวเองนั้นช่างขยับยากเสียเหลือเกิน “คะ..คุณนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้า?”
   รูฟัสพยักหน้า ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น นัยน์ตาสองสีเปี่ยมเสน่ห์คู่นั้นมองตรงเข้ามา เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง
   “ผมอยากคุยกับคุณ แต่ถ้าคุณยังไม่พร้อม ก็ไม่เป็นไร ผมยินดีที่จะรออยู่แบบนี้ต่อไป จนกว่าคุณจะพร้อม”
   ฟ่งก้มหน้า เขาไม่มีความกล้าพอที่จะสบสายตาที่มองมาด้วยความมุ่งมั่นแบบนั้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่นความรู้สึกสับสนประดังเข้ามา เขาอยากจะชกหน้าคนพูดซักเปรี้ยง
   “คุณมันบ้า บ้า บ้ากันไปหมดแล้ว” ฟ่งพึมพำด้วยความโกรธ ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามา รูฟัสคิดว่าเขาคงโดนชก นัยน์ตาสองสีคู่นั้นปิดลง
เอาเถอะ โดนชกก็ยังดี
น้ำหนักตัวของผู้ชายที่โตเต็มที่เข้าใส่โดยไม่มีการออมแรง ชายหนุ่มเซไปด้านหลังเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างตกใจ
“บ้าที่สุด” เสียงพูดเบาๆดังขึ้นข้างหู วงแขนผอมบางโอบรัดอยู่รอบคอ รูฟัสรู้สึกเหมือนได้ของล้ำค่า รีบรวบร่างนั้นเข้ามาแนบตัวราวกับกลัวว่าจะหนีหายไปอีก
คล้ายโลกทั้งโลกหยุดนิ่ง ร่างบางๆนั้นสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอด หัวไหล่ด้านขวาของรูฟัสเปียกชุ่ม
ในที่สุด ฟ่งก็ค่อยๆผลักอีกฝ่ายออกเบาๆ
“เข้าไปคุยในห้องเถอะ ผมกลัวใครผ่านมาเห็น”
รูฟัสยิ้มบางๆ ค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปใต้แว่น เช็ดน้ำตาที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าซึ่งเขาเฝ้าคิดถึงมาตลอด
---------------------------------
   เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานเบาๆ ฟ่งยื่นแก้วน้ำสแตนเลสให้รูฟัสที่นั่งอยู่บนโซฟา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ด้วยท่าทีเคอะเขินเล็กน้อย  เขาแอบเหลือบมองใบหน้าเรียวที่กำลังจิบน้ำอยู่ข้างๆ ก่อนจะหลบตาเมื่ออีกฝ่ายมองกลับมา  รูฟัสยิ้มเล็กน้อย ลุกเอาแก้วน้ำไปวางที่โต๊ะข้างโซฟา และเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าเจ้าของห้อง
   รูฟัสก้มหน้า ราวกับเป็นอัศวินที่รอรับการลงโทษจากพระราชา  การกระทำของเขาเหนือความคาดหมายเสียจนอีกฝ่ายแทบจะสำลักน้ำ ฟ่งละล่ำละลักพูดขึ้น
   “เดี๋ยว คุณทำอะไรน่ะ?”
   ผู้ถูกถามก้มหน้านิ่ง ก่อนจะพูดเสียงหนักแน่น “ผมอยากขอโทษคุณ”
   ฟ่งรู้สึกงง เขาไม่เข้าใจว่ารูฟัสขอโทษเรื่องอะไร ขณะที่กำลังจะถามอีกครั้ง ร่างสูงใหญ่ที่คุกเข่าอยู่นั้นก็เริ่มพูดต่อ
   “ผมยอมรับว่าเรื่องเมื่อวานผมไม่ได้ตั้งใจจะทำมาก่อน แต่...ผมชอบคุณจริงๆ นะครับ”
   รูฟัสเงยหน้าขึ้นมอง ฟ่งรู้สึกร้อนบริเวณใบหน้า เขาเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายขอโทษเรื่องอะไร
   “ระ...เรื่องนั้น” ฟ่งพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอวนเต็มที่ เรื่องเมื่อคืนวานเป็นอะไรที่เขาไม่ต้องการจะนึกถึงอีก จริงๆ แล้วเขาไม่ควรจะอนุญาตให้รูฟัสเข้ามาในห้องอีกรอบด้วยซ้ำ แต่....พิษความเหงาและความโดดเดี่ยวทารุณจิตใจเขาเสียเหลือเกิน เขาไม่แน่ใจว่ารูฟัสพูดความจริงรึเปล่า ไม่รู้ด้วยว่ารูฟัสรออยู่แบบนั้นตลอดเลยจริงๆ ไหม แต่เพราะความอ้างว้างและจิตใจที่อ่อนแอ เพียงแค่ได้เห็นใบหน้ากับดวงตาที่มองมาอย่างอาทรนั้นอีกครั้ง ฟ่งก็ทนไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ยังอยากจะมีใครสักคนอยู่ข้างๆ และก็ดูจะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นในสถานการณ์แบบนี้
   ฟ่งพ่ายแพ้กับความอ่อนแอของหัวใจและยินยอมรับคนข้างห้องของเขากลับมาโดยไม่ยอมคำนึงถึงเหตุผลและความเป็นจริงที่จะดำเนินต่อไป
   เขาแค่อยากมีใครสักคนคอยอยู่ข้างๆ เท่านั้น
   “ผะ...ผม...ผมไม่ได้โกรธคุณมากหรอก เพียงแต่...คุณไม่ควรจะทำอย่างนั้น ผมไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่เครื่องระบายอารมณ์”
   “ผมไม่ได้รู้สึกว่าคุณเป็นผู้หญิงหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ” รูฟัสพูดตอบแทบจะในทันที เขาฉวยมือฟ่งขึ้นมากุมเอาไว้ ชายหนุ่มสะดุ้ง และทำท่าจะดึงมือกลับ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยง่ายๆ รูฟัสพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง
   “ที่ผมทำลงไปอย่างนั้น เพราะผมชอบคุณจริงๆ นะครับ ถ้าผมแค่คิดชั่ววูบกับคุณ ผมไม่มาง้อคุณแบบนี้หรอก ได้โปรดเถอะครับฟ่ง ตอบรักความรักของผมนะครับ”
   ถ้อยคำอาจจะดูเหมือนเคยพูดมาแล้ว แต่ความรู้สึกที่รูฟัสใส่ลงไปในตอนนี้เป็นความจริงทั้งหมด ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อนเลย ฟ่งมองลงมาด้วยสายตาที่อ่านไม่ได้ว่ารู้สึกยังไงกันแน่ ทั้งความสับสน อ่อนไหวดูปนเปกันไปหมดในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ท้ายที่สุดฝ่ายนั้นก็เบือนหน้าหนีไปเสียเฉยๆ
   “ฟ่ง?” รูฟัสเอ่ยเรียกชื่อคนข้างห้องอีกครั้ง และพบว่าแก้มของฟ่งเริ่มเป็นสีแดงระเรื่อ หัวใจของเขาเต้นตึกตัก
   ไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่ไม่ดีใจหากถูกใครสักคนบอกรัก ยิ่งเป็นคนที่น่าพอใจแบบนี้ด้วยแล้ว การห้ามหัวใจไม่ให้เต้นแรงขึ้นมาคงจะเป็นไปไม่ได้ ฟ่งพร่ำบอกตัวเองว่ารูฟัสเป็นผู้ชาย ถึงฝ่ายนั้นอาจจะมีรสนิยมที่ผิดปกติแต่ตัวเขาไม่ใช่ ฟ่งไม่เคยมีอารมณ์กับผู้ชายหน้าไหนมาก่อน เขาก็เป็นเหมือนคนหนุ่มทั่วไป ชอบมองผู้หญิง ชอบสาวๆ สวยๆ ถึงอย่างนั้นแล้ว..ทำไม.....
   มือที่ถูกรูฟัสกุมอยู่เหมือนมีไอร้อนแผ่ขยายเข้ามาในร่างกาย คำบอกรักที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จก็ทำให้หัวใจเขาอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูก แต่ฟ่งต้องการแค่คนที่จะอยู่เคียงข้าง ไม่ใช่คนที่จะรักเขา
   เขาไม่ต้องการให้ใครรักเขาอีกแล้ว
   ตั้งแต่ตัดสินใจเลิกกับดาเมื่อกว่าเดือนก่อน ข้อนี้เป็นสิ่งที่เขาตอกย้ำตัวเองมาโดยตลอด ฟ่งจำต้องข่มใจตอกย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง แม้ว่าหัวใจของเขายามนี้จะอ่อนไหวบอบบางมากมายเหลือเกิน
   “ผมไม่น่ารักหรอก” ชายหนุ่มกล่าว รู้สึกเบาหวิวไปทั้งตัว ถ้าเขาพูดจบแล้วรูฟัสจากไป เขาจะทำอย่างไรกันนะ ความอ่อนแอสับสนทำให้ฟ่งเผลอบีบมือลงไปบนมือแกร่งที่กุมอยู่อย่างลืมตัว
   “ผมนิสัยไม่ดีหรอก ทั้งเอาแต่ใจ ขี้โวยวาย แถมยัง...เห็นแก่ตัว” ฟ่งพูดไปนึกสะท้อนใจตัวเองไป การที่ยอมให้รูฟัสกุมมือแบบนี้ก็คงเรียกว่าเห็นแก่ตัวด้วย เขาไม่อยากเชื่อถือคำพูดของอีกฝ่าย แต่กลับเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆ เอาไว้ ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจจริงๆ
   “อย่าชอบผมเลย....”
   คำตอบที่รูฟัสมอบให้กับฟ่งคือการยกมือที่กุมอยู่ขึ้นมาจูบอย่างรักใคร่ เขาอยู่มาเกือบสามสิบปี ผ่านอะไรๆ มามาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งได้ยินคนที่ถูกบอกรักตอบปฏิเสธความรักทั้งๆ ที่ยังกุมมือกันอยู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองลงมาอย่างตระหนก แววตาที่เหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ดูจะตื่นกลัวไปเสียทุกอย่าง ความปวดร้าวฉายลึกอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น รูฟัสไม่รู้ว่าฟ่งผ่านเหตุการณ์อะไรมากันแน่ ถึงได้ดูจะหวาดกลัวกับการจะรักใครสักคนแบบนี้ เขายังคงกุมมือข้างนั้นแนบแน่น และฟ่งก็ดูไม่มีท่าทีจะดึงออก นัยน์ตาสองคู่สบกันอยู่นาน ท้ายที่สุดฟ่งก็ยังเป็นฝ่ายที่เบือนหน้าหนี
   “เดือนที่แล้วผมเพิ่งเลิกกับแฟน” ฟ่งกล่าวและขบริมฝีปากอย่างเจ็บปวด ความจริงเขาไม่ควรจะพูดเรื่องพวกนี้ให้รูฟัสฟังเลย มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันสักนิด แต่ฟ่งอยากให้คนตรงหน้ารู้ว่า ตัวเขาไม่ได้มีดีอะไรพอที่จะได้รับคำพูดหรือการกระทำเช่นนี้ เขาแค่หวังว่าหลังจากรู้เรื่องราวของเขาแล้วรูฟัสจะยุติการกระทำดังกล่าว ฟ่งคิดว่าตนเองทนรับความรักจากใครไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยความจริงใจ หรือเสแสร้งก็ตาม
   รูฟัสขยับตัวฟังอย่างตั้งใจ เขาอยากฟังอดีตของฟ่ง แม้จะรู้สึกปวดจี๊ดที่ได้ยินว่าฟ่งเคยมีแฟนมาแล้ว อาการซึมเศร้าแบบนั้นถ้าไม่อกหักจะเรียกว่าอะไรได้อีก รูฟัสไม่เคยมีประสบการณ์อกหัก เขาไม่เคยรักใคร และไม่เคยแคร์คนอกหักด้วย เพียงแต่อาการโศกเศร้าของฟ่งทำให้เขานึกถึงความโศกเศร้าของตัวเองในอดีต หากเป็นแค่อาการอกหัก ทำไมฟ่งถึงได้ฝังจิตฝังใจมากมายขนาดนี้
   “ผมคบกับเธอมาหกปี” ฟ่งกล่าวต่อ เมื่อนึกถึงดา น้ำตาของเขาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “หกปีที่ผมไม่เคยทำให้เธอมีความสุขเลย ผม....”
   รูฟัสมองดูหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลด้วยความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาเริ่มมองเห็นเค้าลางต้นตอของความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้แล้ว ดูท่าฟ่งจะเป็นคนที่ไม่เคยยอมให้อภัยความผิดพลาดของตัวเองเลย
   “ผม...ผมเป็นคนรักให้คุณไม่ได้หรอก ผม...ผมไม่ดีพอ”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” รูฟัสกล่าวและยกมือข้างนั้นขึ้นมาจูบอีกรอบ ฟ่งมองหน้าเขาอย่างงุนงง
   “รูฟัส ผมเป็นคนบอกเลิกกับแฟนคนเก่าเองนะ ผม..ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้แหละ” ร่างบางโพล่งออกมา ด้วยร่างกายที่สั่นเทา และเผลอบีบมือลงไปบนมือของอีกฝ่ายแน่น รูฟัสช้อนตามองดูทางนั้นด้วยความเอ็นดูระคนสงสาร การกระทำกับคำพูดของฟ่งดูจะผิดกันไปไกลลิบ เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงมีเจตนาอย่างที่พูดจริงๆ แต่ความอ่อนไหวก็ถูกแสดงออกมาในทางพฤติกรรมด้วย ไม่รู้ว่าเขาตัดสินใจถูกรึเปล่าที่ตกหลุมรักคนที่สับสนอ่อนไหวเช่นนี้ แต่เรื่องรัก ใครจะห้ามได้ล่ะ และหากฟ่งไม่ได้สับสน ไม่ได้อ่อนไหว ไม่มีความรู้สึกอะไรที่ทำให้เขาสะทกสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลนี้ เขาจะสนใจผู้ชายคนนี้หรือ
   แม้หลุมรักจะลึก จะดูไร้ก้นบึ้ง แต่รูฟัสตัดสินใจร่วงลงไปแล้ว เขาจะไม่ตะกายกลับขึ้นมาอีก
   รักก็คือรัก
   “แต่คุณก็ยอมรับผมไม่ใช่หรือครับ?” รูฟัสพูดขึ้นบ้าง เขาเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย โดยหวังว่าฟ่งจะยอมหันมาสบตากับเขาบ้าง นัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นเหลือบมาแวบหนึ่งแล้วก็หลุบลงไปอีก ร่างผอมบางเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด
   “ผมแค่...แค่อยากมีใครสักคนอยู่ข้างๆ” ฟ่งสารภาพออกมาในที่สุด เขาเบือนหน้ากลับมามองคู่สนทนา หยาดน้ำตารินไหลออกมาอีกสาย
   “คุณทำให้ผมหวั่นไหว คุณ...ไม่น่ามาเจอผมเลย”
   รูฟัสยันตัวลุกขึ้น โน้มร่างเข้าไปใกล้ฝ่ายที่นั่งอยู่ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนพวงแก้มนั้นเบาๆ ฟ่งสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยม่านน้ำตาหันมองเขาอีกครั้ง รูฟัสใช้มือจับใบหน้าของฝ่ายนั้นไว้เบาๆ
   “ผมดีใจที่ได้พบคุณ ฟ่ง” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ย พร้อมรอยยิ้ม รูฟัสมองลงไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ในความปนเปสับสน ยิ่งเหมือนดึงดูดให้เขารู้สึกรักผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก ภายในอกแน่นไปด้วยความรู้สึก ชายหนุ่มกล่าวต่อ
   “คุณทำให้ผมเรียนรู้ที่จะรัก คุณทำให้ผมรู้สึกถึงสิ่งที่เกือบจะลืมไปแล้ว” เว้นระยะไปพักหนึ่งจึงกล่าวต่อ “อย่าทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างอีกเลยนะครับ เปิดใจให้ผมเถอะ เรารักกันได้”
   ฟ่งหลับนัยน์ตาลงอย่างปวดร้าว หยาดน้ำตาระอุอุ่นไหนซึมออกมาอีกรอบ เขารู้ว่าความรักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ว่ารูฟัสจะจริงใจกับเขาหรือไม่ก็ตาม ฟ่งรู้ตัวดีว่าเขารักใครไม่ได้ เขาเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะรักใครได้อีก เขาเป็นเพียงแค่คนที่มีอารมณ์อ่อนไหวและสับสนปนเปคนหนึ่ง ริมฝีปากที่มักบูดบึ้งอยู่เสมอมเม้มแน่น เขาควรจะตอบปฏิเสธรูฟัสอย่างไรดี ในเมื่อมือของเขาก็ยังกุมอยู่กับผู้ชายคนนี้ ยังรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ผู้ชายคนนี้มอบให้ ฟ่งรู้สึกตีบตันในลำคออย่างแท้จริง เขาต้องพยายามเอาชนะความอ่อนแอนี้
   ชายหนุ่มพยายามดึงมือที่ถูกกุมอยู่ออก แต่อีกฝ่ายก็ออกแรงดึงเอาไว้อย่างจริงจัง เหมือนไม่ยอมให้จากไปง่ายๆ ฟ่งลืมตาขึ้น เขาจำต้องอธิบายให้รูฟัสเข้าใจอีกรอบว่าเขาไม่สมควรจะได้รับความรู้สึกแบบนี้ แต่พอลืมตาขึ้นมา สิ่งที่พบคือดวงตาสองสีที่มองมาอย่างอ่อนโยน ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกดีๆ ดวงตาที่มองมาด้วยความรัก น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวคำพูดออกมา
   “ผมรักคุณนะ”
   กำแพงความรู้สึกและสามัญสำนึกทุกอย่างของฟ่งพังทลายลงในบัดนั้น นัยน์ตาสองสีเปี่ยมเสน่ห์ที่จ้องมองมาอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึก ดึงทึ้งสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้ความผิดถูกของเขาไปจนหมด เหมือนถูกระเบิด สิ่งเดียวที่ตกค้างอยู่ในความรู้สึกส่วนลึกคือเขาอยากให้ผู้ชายคนนี้อยู่ข้างๆ
   “อา....” ฟ่งทำได้เพียงแต่เผยอปากและส่งเสียงที่ฟังไม่เป็นภาษาออกมาจากลำคอ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรในวินาทีนี้ รูฟัสโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอบอุ่น นัยน์ตาสองสีมองตรงมาอย่างอ่อนโยน เหมือนท่าทีของเขาได้ตอบคำถามของอีกฝ่ายนั้นเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากหนาแนบลงมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะสนิทแน่นมากขึ้น พร้อมกับอ้อมกอดที่เคลื่อนเข้าหากันช้าๆ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ฟ่งปล่อยให้หยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันไหลซึมออกมาจากร่องหางตา
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2011 21:20:36 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #14 เมื่อ23-05-2011 21:17:57 »

จูบครั้งที่สองผ่านไปอย่างอบอุ่น
   รูฟัสถอนริมฝีปากออก คลี่ยิ้มมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเอ็นดู ฟ่งช้อนตาขึ้นมองเขา และเหมือนได้สติ ร่างบางยกมือขึ้นปิดปาก พวงแก้มกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ รูฟัสขยับเข้ามาใกล้เข้ามากขึ้น สองมือเลื่อนเข้ามาโอบร่างผอมบางเข้าไปแนนชิดอีกครั้ง คราวนี้ฟ่งผลักเขาออกอย่างจริงจัง
   “ยังโกรธผมอยู่หรือครับ?” รูฟัสพูด พลางทำหน้าเศร้า หยุดการผลักไสได้อย่างชะงัก ฟ่งนิ่งค้าง เหมือนนึกอะไรไม่ออก ระหว่างนั้นก็ถูกขโมยจูบ
   “อ๊ะ!” คนถูกจูบเขินจนหน้าแดง พยายามจะถอยออกแต่ก็ยังถูกรั้งเอาไว้อย่างแน่นหนา รูฟัสโน้มหน้าเข้ามา นัยน์ตาฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างเห็นได้ชัด ฟ่งรีบยกมือยันหน้าอีกฝ่ายไว้
   “อย่า! รูฟัส ผมเป็นผู้ชายนะ”
   รูฟัสหัวเราะหึๆ ในลำคอ อ้าปากเลียนิ้วมือที่ฝ่ายนั้นยันเข้ามา ฟ่งสะดุ้งเฮือก
   “ผู้ชายแล้วไงล่ะครับ ผมชอบคุณ รักคุณ คุณจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงผมไม่สนหรอก”
   คนได้ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว นิ้วมือของเขาถูกอีกฝ่ายดูดดึงเข้าไปในช่องปาก เรียวลิ้นร้อนเล็มเลียไปทั่ว แจ้งความต้องการได้อย่างไม่ต้องไต่ถามอีก ฟ่งรู้สึกตัวทันทีว่าถ้าปล่อยให้ทางนั้นรุกไล่ไปเรื่อยๆ เรื่องต้องลงเอยแบบเมื่อคืนวานอีก แต่ปัญหาคือเขาไม่มีเรี่ยวแรงพอจะดึงมือออก
   “รูฟัส! ถึงคุณไม่รังเกียจแต่ใช่ว่าผมจะชอบเรื่องแบบนี้นะ!” ฟ่งพยายามพูดเสียงเด็ดขาด ขณะกล้ำกลืนเสียงครางลงไปอย่างเต็มที่ ถ้อยคำที่กล่าวออกไปจึงฟังดูตะกุกตะกัก รูฟัสช้อนตามองเขาเหมือนจะท้าทาย แต่พอเห็นสีหน้าแดงก่ำที่ออกไปในทางโทสะแล้วก็ยอมจะหยุดการกระทำ
   “ขอโทษนะครับ แต่คุณน่ารักจนผมหยุดตัวเองไว้ไม่อยู่ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคิดว่าจะเป็นบ้าไปเสียแล้ว คิดว่าจะไม่ได้คุยกับคุณอีกแล้ว ผม...ผมคิดถึงคุณมากเลยนะ”
   ฟ่งไม่ตอบ ได้แต่เบือนหน้าหนี เขารู้สึกตัวแล้วว่ารูฟัสรุกเร้าคนได้เก่งจริงๆ
   “ให้อภัยผมเถอะนะครับ” ฝ่ายนั้นกล่าวต่อ ฟ่งเบือนหน้ากลับมามองอย่างงุนงง เขาไม่ได้โกรธขึงอะไรรูฟัสมากมาย ก็แค่...เสียใจเท่านั้น พอเห็นใบหน้าวิงวอนจนดูน่าสงสาร ฟ่งก็พลันรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย ความจริงเขาควรจะพูดกับรูฟัสให้รู้เรื่องเสียในตอนนั้นแทนที่จะไล่อีกฝ่ายไป แต่...ในสถานการณ์แบบนั้นใครมันจะทันคิดกันล่ะ
   “ผม...ผมไม่โกรธคุณหรอก” ร่างบางกล่าวเสียงค่อย ด้วยคิดว่าคงจะพอทำให้อีกฝ่ายเลิกทำหน้าอ้อนแบบนั้นเสียที รูฟัสยิ้มอย่างดีใจและรวบตัวฟ่งขึ้นไปนั่งบนตัก ร่างบางสะดุ้งเฮือก เขาจำได้ดีว่าครั้งแรกที่นั่งบนตักรูฟัสเกิดอะไรขึ้น
   “ปล่อยผม!” ฟ่งโวยวาย ออกอาการขัดขืนอย่างเห็นได้ชัด รูฟัสพยายามปลอบประโลมด้วยการกอดอีกฝ่ายแน่น
   “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกครับ ผมแค่อยากกอดคุณเอาไว้เฉยๆ” หนุ่มร่างสูงกล่าวและยืนยันคำพูดโดยการรัดวงแขนเข้าหากันแน่น ชนิดที่เกือบทำให้คนในอ้อมแขนอึดอัดตาย ฟ่งร้อนวูบไปทั้งตัว
   “ผมหายใจไม่ออก!” ร่างบางแค่นเสียงออกมาอย่างยากเย็น ครั้งนี้รูฟัสยอมผ่อนปรนท่าทีลงบ้าง ทันทีที่ขยับตัวได้ ฟ่งหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนด้านหลังอย่างรวเร็ว
   “รูฟัส คุณเข้าถึงตัวคนอื่นแบบนี้ด้วยทุกคนรึเปล่า?” คำถามพ่วงด้วยใบหน้าขึงขังทำให้รูฟัสอึ้งไปพักใหญ่ ชายหนุ่มนึกทบทวนตัวเอง เขาไม่เคยเข้าหาใครแบบจริงจังอย่างนี้มาก่อน หนุ่มตาสองสีสั่นศีรษะไปตามความรู้สึก คิ้วสีอ่อนขมวดเข้าหากัน
   “วันก่อนคุณยังจีบคุณเมี่ยงต่อหน้าผมอยู่เลย ก่อนหน้านี้คุณอาจจะทำตัวเรียบร้อย แต่ตอนนี้คุณหลอกผมแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”
   แทนที่จะสำนึกผิด หรือตกใจ สิ่งที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรูฟัสคือรอยยิ้มแบบที่พยายามจะกลั้นยังไงก็กลั้นไม่อยู่ สุดท้ายเขาเลยปล่อยให้ตัวเองยิ้มกว้าง มองดูคนในอ้อมแขนอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ฟ่งรู้สึกตัวเหมือนทำอะไรพลาดไปสักอย่าง เขาพูดเสียงตะกุกตะกัก
   “ยิ้มอะไรของคุณ?”
   “ผมคงบ้า” รูฟัสพูด แต่ยังยิ้มอยู่ เขาช้อนตามองฟ่งอย่างมีเลสนัย “ผมกำลังดีใจที่เห็นคุณหึงผม”
   “ใครจะไปหึงคุณ!” ฟ่งสวนกลับทันที ก่อนจะรู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้า ขณะที่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่าย รูฟัสยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ไม่บอกก็รู้ว่าไม่ได้ประสงค์ดีกับตัวเขาแน่ ฟ่งผลักใบหน้านั้นออกและโวยวายซ้ำ
   “คุณมันเจ้าชู้น่าดู!”
   เป็นปกติ หากถูกใครโวยวายใส่แบบนี้ รูฟัสคงรู้สึกหงุดหงิด เขาไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเจ้าชู้ เพราะเขาไม่เคยนึกอยากมีเจ้าของ แต่ตอนนี้ความรู้สึกกลับกลายเป็นตรงกันข้าม หัวใจของรูฟัสอิ่มเอิบเมื่อถูกคนข้างห้องแสดงอาการหึงหวงอย่างเห็นได้ชัด ช่วยให้เขาแน่ใจว่าไม่ได้ตีความหมายความรู้สึกของฟ่งผิดไป รูฟัสดึงมือที่พลักไสเขาขึ้นมาจูบ
   “ผมเปล่าเจ้าชู้นะครับ” เขาแก้ตัว ฟ่งถลึงตามองเขาอย่างไม่เชื่อ รูฟัสรีบฉวยโอกาสพูดต่อ
   “ผมไม่ได้จีบคุณเมี่ยง ผมแค่ทำตามมารยาท ผมกำลังจะไปทำงานในคลับของเธอน่ะครับ” รูฟัสแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ ซึ่งประกอบด้วยความจริงแบบเกินครึ่ง แต่คำแก้ตัวตามความเป็นจริงที่ดูขุ่นคลั่กแบบนี้ ใครมันจะยอมเชื่อกันล่ะ ถึงอย่างนั้น อารมณ์ของฟ่งดูเหมือนจะสงบลงไปบ้าง
   “พูดจริงๆ หรือ?” ชายหนุ่มถามอย่างไม่แน่ใจ รูฟัสส่งเสียงรับคำแข็งขัน ฟ่งเบือนหน้าไปทางอื่นอีกรอบ
   “ผมขอโทษนะ อืม... ผมไม่ควรซักไซ้เรื่องส่วนตัวคุณแบบนี้ ทั้งๆ ที่คุณเองก็ดีกับผมมาก”
   ชายหนุ่มพยักหน้า รู้สึกงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ความจริงเขาไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเลยกับอาการหึงหวงที่ฟ่งแสดงออกเมื่อครู่ ออกจะพอใจมากด้วยซ้ำ แต่พอเห็นอีกฝ่ายหงอยไปแบบนี้ รูฟัสก็พลอยหงอยไปด้วย
   “ทำไมคุณถึงสนใจผม” จู่ๆ ฟ่งที่เงียบไปนานก็เอ่ยถามขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองอย่างสงสัยใคร่รู้ รูฟัสกลืนน้ำลาย เขาจะเริ่มตอบคำถามนี้ยังไงดี ชายหนุ่มนึกลำดับอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
   “ผมเคยมีครอบครัว” เขาเริ่มต้นเล่า มองดูดวงตาสีน้ำตาลที่นิ่งฟังอย่างรู้สึกสุขในหัวใจ
   “ เป็นครอบครัวของผมเองน่ะครับ มีพ่อแม่ แล้วก็น้องสาว” เสียงของรูฟัสพร่าลง
   “ตอนนั้นผมเรียนอยู่ เอ่อ..คงซักเกรดหก น้องสาวผมเพิ่งอายุได้สี่ปี น่ารักเหมือนตุ๊กตาเลยล่ะ ผมจำดวงตาสีดำสนิทเหมือนอัญมณีนั้นได้ดี” รูฟัสหยุดกลืนน้ำลาย ฟ่งรู้สึกว่าร่างสูงใหญ่สั่นเล็กน้อย “วันหนึ่ง ตอนที่ทุกนขับรถมาส่งผมที่โรงเรียน รถบรรทุกคันหนึ่งก็พุ่งเข้ารถของพวกเขา อุบัติเหตุน่ะครับ ทุกคนตายต่อหน้าผม ตอนนั้นผมเลยนึกไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีก”
   นัยน์ตาของฟ่งไหววูบ เรื่องเล่าจากอดีตของรูฟัสดูน่าสลดจนเขารู้สึกเสียใจที่ถามออกไป ฟ่งบีบมือรูฟัสที่กุมอยู่เบาๆ ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขาอีกครั้ง และเล่าต่อ
   “ความเศร้าสร้อยในแววตาของคุณที่ผมเจอวันแรก ทำให้ผมนึกถึงตัวเองในตอนนั้น ผมเลยอยากจะช่วยคุณ แต่ว่า...ผมไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดมาถึงขนาดนี้หรอกนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะจีบคุณ แต่ผมก็หลงรักคุณแล้ว”
   ฟ่งเบือนหน้าหนีออกไปอีกครั้งทันที เขากำลังนึกสงสารรูฟัส แต่แล้วทางนั้นก็ยังฉวยโอกาสสร้างความเขินอายให้เขาจนได้ รูฟัสยิ้มกริ่ม พลางโน้มหน้าลงจูบพวงแก้มที่แดงระเรื่อ ฟ่งหันกลับมาทันที
   “คุณจะไปทำงานอะไรที่คลับของคุณเมี่ยงน่ะ” ร่างบางหันมาไล่เบี้ยกับเขาเรื่องเดิมอีกรอบ รูฟัสดีใจที่ฟ่งแสดงอาการหึงหวงเขาแบบนี้ จนนึกสนุกอย่างยั่วอีกฝ่ายต่อ
   “ไม่บอกคุณได้ไหมครับ ทีคุณยังไปที่นั่นเลย”
   “ผมไปทำงาน คุณเมี่ยงเขาจ้างผมให้ออกแบบเคาน์เตอร์บาร์ใหม่” ฟ่งตอบกลับ สะบัดหน้าหนีอย่างขุ่นเคือง “ไม่บอกก็ช่างคุณสิ ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับผม”
   “ไม่ง้อผมหน่อยหรือครับ?” ฝ่ายนั้นทำเสียงอ้อน ฟ่งหันมาถลึงตาใส่ทันที “ทำไมผมต้องง้อคุณด้วย !!” ร่างบางถึงกับต้องกลืนคำพูดลงไป เมื่อเห็นสายตาหวานเยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้ รูฟัสยื่นหน้าขึ้นจูบปากเขาเบาๆ อีกรอบ ก่อนจะพูดต่อ
   “ผมชอบให้คุณหึงผมแบบนี้นะ ผมจะได้รู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกรักคุณข้างเดียว”
   “บะ..บ้าเหรอ ผมเนี่ยนะหึงคุณ!?” ฟ่งพูดตะกุกตะกัก ก่อนจะพยายามดิ้นหนีออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย “ปล่อยผมนะ!”
   รูฟัสไม่ยอมปล่อยตามคำขอ เขารั้งตัวฟ่งแน่นเข้ามาอีก ขโมยหอมพวงแก้มแดงเรื่อนั่นอีกหลายครั้ง ขณะถูกอีกฝ่ายผลักไสอย่างเอาเรื่อง
   “ผมจะไปเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นั่น” รูฟัสยอมตอบในที่สุด เพราะฟ่งเริ่มทุบตีเขาอย่างหนักมือขึ้นเรื่อยๆ ร่างบางหยุดมือทันที
   “พูดจริงๆ เหรอ?” คนถูกถามพยักหน้า และได้ทีพูดต่อ “พูดจริงสิครับ ไม่อย่างนั้นคุณเมี่ยงเขาจะพาผมไปเจอคุณทำไม เขาบอกผมว่าเผื่อผมอยากได้อะไรเพิ่มเติมจะได้คุยกับคนออกแบบเลย”
   “อ้อ..” ฟ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจในที่สุด ท่าทีดูสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
   “อืม... คุณอยากได้อะไรเพิ่มล่ะ” เขาเอ่ยถาม รูฟัสยิ้มกริ่ม พลางยื่นหน้าเข้ามาขโมยจูบอีกรอบ ฟ่งยกมือขึ้นผลักไสเขาออกทันที
   “ปล่อยผมเลยนะ ผมหิวข้าวแล้ว” ร่างผอมบางโวยวาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย ฟ่งจึงหันกลับมาสบตาโดยตรง เน้นคำพูด
   “รูฟัส...ผมหิวแล้วน่ะ ผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า”
   เจอแบบนี้ แม้ใจอยากจะกอดไปจนถึงเย็น แต่รูฟัสก็ต้องยอมปล่อย ฟ่งดีดหัวหนีเขาทันที จนรู้สึกเหมือนถูกเย็นชาใส่ ชายหนุ่มอ้าปากค้าง จังหวะนั้นเองที่ฟ่งหันมามองเขา ไม่รู้อะไรดลใจ แวบหนึ่ง ใบหน้าของฟ่งโฉบเข้ามาใกล้ ริมฝีปากแตะกับริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เจ้าตัวจะถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
   “ไปหาอะไรกินกันเถอะ” ฟ่งกล่าว ขณะที่หัวใจของรูฟัสเต้นถี่ เขามองดูคนตรงหน้า อยากที่จะกลืนกินลงไปแทนอาหารเย็นเสียจริงๆ ฟ่งมองหน้าเขาอย่างสงสัย ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
   “เลิกชอบผมตอนนี้ยังทันนะ”
   รูฟัสดีดตัวลุกขึ้น เขาตอบคำถามของฟ่งโดยการดึงตัวฝ่ายนั้นเข้ามาหอมแก้มและจูบลงไปอีกหลายครั้ง
-------------------------------------------
   ฟ่งนอนลืมตาท่ามกลางความมืด ลมหายใจอุ่นๆ ที่สัมผัสท้ายทอยทำให้เขาไม่อาจข่มตาลงได้ หลังจากทานข้าว รูฟัสยืนกรานจะขอค้างด้วย แม้จะรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจนัก แต่คำยืนยันหนักแน่นที่ว่าจะไม่ทำอะไรรอบแล้วรอบเล่าทำให้ชายหนุ่มใจอ่อน มานึกดูตอนนี้เขารู้สึกว่าไม่ควรทำแบบนั้น หนุ่มรัสเซียผู้มีนัยน์ตาสองสีนอนอยู่เบื้องหลัง ใช้มือสองข้างกอดเขาไว้หลวมๆ ลมหายใจสม่ำเสมอของอีกฝ่ายทำให้คาดเดาได้ว่าน่าจะหลับไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่สายลมอุ่นๆ นั้นสัมผัสโดนร่างกาย หัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ รสจูบและสัมผัสในคืนนั้นยังคงตกค้างอยู่ในความทรงจำ ส่วนลึกกำลังเรียกร้องโหยหาความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้ง ฟ่งรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ขยายขึ้นมาจากท้องน้อย หงุดหงิดที่อีกฝ่ายนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ ร่างบางขยับตัวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก แต่นั่นเพียงพอที่จะทำให้ผู้ที่นอนกอดเขาอยู่รู้สึกตัว
   “นอนไม่หลับหรือครับ?” รูฟัสกระซิบถาม พลางขยับตัวเข้ามา ฟ่งพยายามที่จะแสร้งทำเป็นหลับ แต่เสียงเรียกร้องนั้นทวีขึ้นในจิตใจจนเขาต้องหันมาเผชิญหน้ากับผู้อยู่ด้านหลัง
   “รูฟัส คุณสัญญากับผมอีกครั้งได้ไหม ว่าจะไม่ทำอะไร” ฟ่งพูด แววตาดูวิงวอนอย่างถึงที่สุด แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่รูฟัสก็รับปากอีกครั้ง
   “จริงๆ นะ ผมไว้ใจคุณนะ”
   รูฟัสพยักหน้า ก่อนจะรู้สึกถึงริมฝีปากที่ประกบเข้ามาอย่างกระหาย รูฟัสจับร่างนั้นไว้แน่น ปลายลิ้นที่สอดสัมผัสเข้ามานั้นทำให้เขารู้สึกตกใจ ฟ่งเบียดตัวเข้ามา ร่างกายสั่นน้อยๆ ทว่าการรุกรานภายในปากยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หลังจากที่เริ่มเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รูฟัสก็เริ่มรุกกลับ จนทำให้อีกฝ่ายถึงกับผงะ ฟ่งดันตัวเองออก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเบาๆ
   “สัญญานะ รูฟัส” เสียงพูดนั้นแทบจะเป็นเสียงคราง รูฟัสรู้สึกถึงความร้อนจากร่างของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็รู้สึกสับสนกับคำพูด
   “กอดผม” ฟ่งกระซิบอีกครั้ง ลมหายใจร้อนผ่าวระลอกแล้วระรอกเล่าสัมผัสกับแผงอก รูฟัสรวบร่างนั้นเข้ามา ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากที่เผยอขึ้นรอรับ เสียงครางลอดออกมาจากลำคอของอีกฝ่าย ขณะที่ร่างบางนั้นเริ่มบิดไปมา พร้อมกับวงแขนที่เกี่ยวรัด รูฟัสรู้สึกเจ็บเล็กน้อยที่หลัง ฟ่งใช้เล็บข่วนเบาๆ ก่อนจะผละออกไป เสียงครางแสนรัญจวนดังลอดออกมาอีกครั้ง ก่อนที่การเคลื่อนไหวจะสงบลง พร้อมกับเสียงถอนหายใจ
รูฟัสแทบคลั่ง เขามองดูร่างบางที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอด ด้วยความไม่รู้ว่าสมควรจะทำอย่างไรต่อไป ลมหายใจนั้นเริ่มมีจังหวะสม่ำเสมอ ชายหนุ่มพยายามระงับความต้องการที่ถูกปลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ตอนนี้เขากลายเป็นฝ่ายที่นอนไม่หลับเสียเอง
--------------------------
   เสียงเพลงแจ๊สจากสเตอริโอที่ดังขึ้นเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว รูฟัสกะพริบตาเพื่อให้ชินกับแสงสว่าง ก่อนจะยันร่างขึ้นจากเตียง
   “หนวกหูรึเปล่า?” เสียงคุ้นหูถามขึ้น ฟ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นเช่นเคย เขาไม่ได้ติดกระดุมด้านหน้า เผยให้เห็นแผงอกเรียบเนียน สวมกางเกงขาสั้นสีเทาอ่อน
   “เปล่า” รูฟัสตอบ พลางขยี้ตา เขามองเห็นเรียวขาขาวๆ เดินออกไปจากห้อง ชายหนุ่มกระโดดลงจากเตียง เดินออกมาด้านนอก ร่างบางยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์กำลังชงอะไรบางอย่าง
   “นอนหลับรึเปล่าครับ?”
   ฟ่งหันกลับมาถาม สีหน้าไร้เดียงสานั้นทำเอารูฟัสปวดหัวอีกครั้ง เขาอยากจะกดร่างบางๆ นั้นลงกับเคาน์เตอร์ เอาคืนเรื่องเมื่อคืนเสียให้เข็ด แต่แววตาที่ดูเหมือนไม่เข้าใจเรื่องราวใดๆ ทำให้ชายหนุ่มได้แต่ครางอืมในลำคอ
   “อาบน้ำก่อนไหมครับ ผมชงโกโก้ร้อนไว้เผื่อ ถ้าคุณไม่รังเกียจ..”
   “ไม่เลยครับ” รูฟัสรีบตอบ ความรู้สึกไม่พอใจที่ติดมาจากเมื่อคืนหายไปราวกับโดนล้าง
   “วันนี้คุณว่างรึเปล่า?” หนุ่มตาสองสีถามต่อ อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างงง “ทำไมหรือ?”
   “ไปเที่ยวกับผมได้ไหม?”
   “ได้สิ” ฟ่งยิ้ม ทำให้รูฟัสอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มขาวๆนั้นอีกครั้ง
----------------------------
   ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศกระทบร่างกาย ขณะที่สองหนุ่มยืนมองดูตารางภาพยนตร์อยู่หน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋ว ฟ่งขมวดคิ้วยุ่งอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็สั่นศีรษะ
   “ผมไม่ดูดีกว่า” เขาว่าพลางทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างสุดแสน รูฟัสได้แต่ยิ้ม เสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีขาวที่ฟ่งใส่ออกมาทำให้ดูน่ามองกว่าทุกวัน ความจริงเขาแค่อยากออกมาเดินเล่นกับฟ่งเฉยๆ แค่ได้เดินใกล้ๆ พูดคุยกันเรื่องมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว แต่ดูเหมือนฟ่งจะจริงจังกับการมาเที่ยวครั้งนี้มาก เมื่อหาภาพยนตร์ที่อยากดูไม่ได้ หนุ่มสวมแว่นจึงพยายามมองหาอย่างอื่นแทน
   “ไปเล่นเกมกัน” เขาว่า ก่อนจะเดินตัวปลิวนำหน้าไป พลอยทำให้รูฟัสต้องจ้ำตามไปด้วย ฟ่งวนดูเครื่องเกมส์ต่างๆ ที่วางอยู่ในเกมเซนเตอร์อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะไปที่เคาน์เตอร์แลกเหรียญ แล้วเดินมาหยุดหน้าตู้เกมHouse of Dead 4 ฟ่งหัวเราะ ก่อนจะวางเหรียญที่แลกมาไว้ข้างตู้หยอด
   

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #15 เมื่อ23-05-2011 21:18:26 »

“ดีจังที่วันนี้ไม่ค่อยมีคน คุณเคยเล่นไหม?”
   รูฟัสส่ายหน้า พลางมองกองเหรียญที่ฟ่งกองไว้ด้วยความสงสัย ท่าทางจะหลายบาทอยู่
   “มันเป็นเกมที่เราจะต้องไล่ยิงผีไปเรื่อยๆ น่ะ พอถึงบอสมันจะมีจุดอ่อนมาให้ ก็ยิงตรงนั้น แค่นั้นแหละ” หนุ่มสวมแว่นอธิบาย ทั้งๆ ที่รูฟัสเป็นคนชวนมาแท้ๆ แต่พอถึงตรงนี้ ดูเหมือนฟ่งจะยึดเอาตารางการเดทไปจัดการเองจนหมด อาการกระตือรือร้นของฟ่งทำให้รูฟัสอดรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้
   “เล่นบ่อยหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องหน้าจอตู้เกมอย่างจริงจัง ฟ่งส่ายหน้า
   “เปล่า ผมเล่นเกมพวกนี้ห่วยมาก แต่ก็อยากเล่นน่ะ” หนุ่มสวมแว่นตอบ พลางหยิบปืนอินฟาเรทที่วางอยู่ส่งให้รูฟัส หนุ่มรัสเซียรับไปอย่างงงๆ ร่างบางก้มลงหยอดเหรียญลงไปด้านละเหรียญ หยิบปืนขึ้นมาถือแบบเก้ๆ กังๆ ท่าทางนั้นทำให้รูฟัสเผลอยิ้มออกมา
   แล้วเขาก็เข้าใจว่าทำไมฟ่งถึงต้องแลกเหรียญมาเยอะแยะ ความแม่นยำในการเล็งเป้าหมาย และความไวสายตาของฟ่งอยู่ในระดับแย่ แม้ว่าจะพยายามช่วยแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังรักษาแต้มที่ใช้เล่นต่อไม่ได้อยู่ดี
   “โอ๊ย ฮ่ะฮ่ะ”
   ฟ่งหัวเราะ ตอนที่ตะเกียงไฟในจออันสุดท้ายหายไป เพราะขวานที่ลอยมาจากตรงไหนซักแห่งของฉาก เหรียญที่กองเอาไว้หมดพอดี รูฟัสมัวแต่หันมามองอากัปกิริยาของอีกฝ่าย จนพลอยโดนสับไปด้วย
   “เสียดายจัง” ร่างบางพูด ขณะที่อีกฝ่ายขึ้นContinueมาเช่นกัน รูฟัสยิ้มพลางถามอย่างเอ็นดู “จะเล่นต่อรึเปล่าครับ?”
   ฟ่งสั่นศีรษะ ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ “คุณเล่นสิ ผมคอยลุ้น”
   รูฟัสยักไหล่ พลางแบมือ ทำหน้าสยดสยอง “ไม่เอาล่ะครับ ผมไม่ชอบอะไรผีๆ”
   ฟ่งหัวเราะ เมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของอีกฝ่าย “คุณต้องอำผมแน่ๆ ขนาดไม่ชอบคุณยังยิงแม่นขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณจะเล่นครั้งแรก”
   รูฟัสหัวเราะอีกครั้ง พลางคิดว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาทำอะไรมาบ้างคงหัวเราะไม่ออกแน่ๆ ฟ่งมีสีหน้าครุ่นคิด และเงียบไปอีกพักหนึ่ง
   “เอ..ไปไหนต่อดี?” ในที่สุดเขาก็หันมาถาม หลังจากที่เดินออกมาจากเกมเซนเตอร์
   “โยนโบวลิ่งไหมล่ะครับ?” รูฟัสเสนอ เขาเห็นลานอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ยืนนัก ฟ่งทำหน้าเหลอหลา “ผมโยนไม่เป็นนะ”
   “เอาน่า ผมสอนให้” รูฟัสยิ้มกว้าง ก่อนจะคว้ามือของอีกฝ่ายเดินเข้าไปในลานโบวลิ่ง เล่นเอาคนถูกจูงพูดไม่ออก
   อากาศในลานโบวลิ่งดูเหมือนจะถูกปรับให้มีอุณหภูมิต่ำลงจากบริเวณปกติ เสียงลูกบอลไฟเบอร์กลาสตันๆ กระแทกกับพื้นไม้ขัดมันดังทึบ ตามด้วยเสียงพินที่ถูกกระแทกล้มกราว ดังขึ้นเป็นระยะๆ ฟ่งถือโอกาสขณะที่รูฟัสจ่ายเงินค่าชั่วโมงสลัดมือออกอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินสำรวจรอบๆ พลางนึกถึงตอนสมัยอยู่มหาวิทยาลัย เขาเคยมาลานโบวลิ่งครั้งหนึ่งเพราะคำชวนของเพื่อนต่างคณะ จำได้ว่าตอนนั้นมีเพียงสามคนที่เล่นไม่เป็น และเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสคุยกับดาเป็นการส่วนตัว
   ฟ่งกะพริบตาถี่ๆ ภาพความหลังค่อยๆ ย้อนมาอีกครั้ง เขาพยายามสูดหายใจลึก หยาดน้ำบางๆ เคลือบอยู่บนขนตางอนนั้นเล็กน้อย ชายหนุ่มยกมือปาดออก เป็นจังหวะเดียวกับที่รูฟัสเดินเข้ามาพอดี
   “ฟ่ง” เสียงทุ้มๆ ที่เรียกมาทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง ฟ่งหันตัวไปทางเสียงเรียก รูฟัสนั้นเป็นผู้ชายรูปร่างสูง นอกจากหน้าตาดีแล้ว รูปร่างก็ดูดีมากจริงๆ ใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงขายาวธรรมดาก็ดูเด่นจนใครๆ ก็หันมองแล้ว ฟ่งไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าอย่างไรออกไป รู้แต่รูฟัสก้มลงมองเขาและขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “มีอะไรรึเปล่าครับ?”
   ร่างบางรีบสั่นศีรษะ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป
   “ผมไม่เคยเล่นเลยนะ” ฟ่งตอบเสียงอ่อยๆ รูฟัสยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
   “เล่นไม่อยากหรอกครับ สอนแป๊บเดียวเดี๋ยวก็เป็น”
   ว่าแล้วก็ฉวยมือของอีกฝ่ายจูงไปที่ล็อกเกอร์เก็บรองเท้า
------------------------------------------------
   ฟ่งรู้สึกเหมือนหัวไหล่จะหลุดตอนเดินออกมาจากลานโบวลิ่ง เขานึกดีใจที่พนักงานไม่มาต่อว่า พลางคิดว่าพื้นในลานกะเทาะไปกี่จุด รูฟัสรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินคลำไหล่ป้อยๆ
   “เจ็บหรือครับ?” เขาถามอย่างเป็นห่วง ฟ่งหันมายิ้มแห้งๆ
   “ก็นิดหน่อย ผมไม่ถนัดเล่นกีฬาน่ะ แต่ก็สนุกดี แล้วก็..เอ่อ... คราวหลังถ้าจะจับมือบอกก่อนได้ไหมครับ ผมอาย”
   รูฟัสหัวเราะแก้เก้อ ใจจริงเขาอยากจะกุมมือนั้นไว้ตลอดเวลาด้วยซ้ำ ฟ่งยกมือขึ้นดันแว่น มองไปรอบๆ ตัว เนื่องจากนานๆ ทีเขาจะได้ออกกำลังกาย จึงทำให้รู้สึกเหนื่อยไม่ใช่น้อย ชายหนุ่มอยากจะนั่งหย่อนก้นสบายๆ เพื่อพักแขนและขาอันเมื่อยล้า ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนขึ้นก่อน
   “ทานไอศกรีมไหม?” ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่ดูเหมือนว่ารูฟัสจะมีสีหน้าแปลกใจที่ได้ยินคำตถาม บางทีอาจจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะชวนเข้าร้านไอศกรีม ถึงกระนั้นร่างสูงใหญ่ก็ยังคงตอบตกลงอย่างว่าง่าย
   ทั้งคู่เดินเข้าไปในร้านไอศกรีมที่ตั้งอยู่ติดกับร้านขายขนมปังทำมือ ฟ่งเลือกที่นั่งตรงริมมุมร้าน หยิบเมนูส่งให้รูฟัส ชายหนุ่มรับเมนูมา แต่สายตากลับจับจองใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม อย่างไม่วางตา ความจริงเขาเองก็ชอบทานไอศกรีมอยู่ แต่ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้ากลับชวนให้สนใจมากกว่า ชายหนุ่มนั่งเหม่อจนอีกฝ่ายทักขึ้น
   “ไม่สั่งหรือครับ?” ฟ่งถาม รูฟัสรู้สึกตัวจากภวังค์ พลางยิ้มเขินๆ
   “เอาฟัจน์บราวนี่ที่หนึ่งครับ” เขาหันไปสั่งกับพนักงานสาว ซึ่งดูเหมือนจะมายืนรออยู่ครู่หนึ่งแล้ว
   “ช็อกโกแลต มูส รอยัล ที่หนึ่งด้วย” ฟ่งหันไปสั่งต่อ หญิงสาวจดรายการลงในเมนู ก่อนจะพูดทวนอย่างรวดเร็ว รูฟัสพยักหน้า พลางหันมาถามคนนั่งตรงข้าม
   “ชอบทานช็อกโกแลตหรือครับ?”
   “ครับ” ชายหนุ่มรับปาก ก่อนจะเกาหัวแกรกกราก เมื่อเห็นพนักสาวที่เพิ่งจดเมนูออกไป แอบอมยิ้มพร้อมกระซิบกระซาบกับเพื่อนพนักงานอีกคนหนึ่ง แล้วโบ้ยหน้ามาทางโต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่ รูฟัสคงรู้สึกถึงความผิดปกติจากใบหน้าของฟ่ง จึงหันไปมองบ้าง
   ทั้งคู่ได้แต่ฝืนยิ้มให้กัน บรรยากาศอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้น ฟ่งไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อไอศกรีมมาถึง เขาก็ก้มหน้าก้มตาทานอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับจะไปแข่งชิงแชมป์โลก รูฟัสคิดว่าควรต้องทำอะไรซักอย่างกับเหตุการณ์แบบนี้ ถูกหรอกว่าเขาไม่ค่อยจะใส่ใจกับเสียงกระซิบกระซาบของคนทั่วไปมากนัก เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นที่สนใจของคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่ถ้ามันทำให้คู่เดทรู้สึกอึดอัดแบบนี้ รูฟัสก็เริ่มมีโมโหแล้วเหมือนกัน ขณะที่กำลังคิดหาวิธีแก้ปัญหา เสียงทักของใครบางคนก็ดังขึ้น
   “ฟ่ง ใช่ฟ่งรึเปล่า?” ฟ่งชะงักมือ พลางเงยขึ้นมองเจ้าของเสียง ทำให้รูฟัสต้องหันไปมองตามด้วย เจ้าของเสียงเป็นสาวร่างสูง ผิวสีแทน ผมสีน้ำตาลยาวสลวย หล่อนสวมเสื้อสายเดี่ยวสีเขียวดำ ยีนส์ขาสั้นโชว์เรียวขาเรียบเนียน  สวมร้องเท้าส้นสูงสีขาว มือข้างขวาหิ้วถุงกระดาษใบเล็กๆ คงเป็นเครื่องสำอางที่ซื้อจากร้านใดร้านหนึ่ง
   หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ หล่อนหันไปบอกขอโทษขอโพยรูฟัสที่รบกวน ก่อนจะหันมามองฟ่ง “ใช่นายจริงๆ ด้วย”
   ฟ่งยิ้มเฝื่อนๆ ยกมือดันแว่นให้เข้าที่ พยายามนึกว่าเคยเจอสาวสวยคนนี้ที่ไหน แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก
   “ฉันเอง พงษ์ไง” เธอพูดยิ้มๆ แล้วหันไปบอกขอบคุณรูฟัสที่ยกเก้าอี้ให้  ฟ่งอ้าปากค้าง ท่าทางเหมือนปลาขาดออกซิเจน
   “ไอ้พงษ์!!!” ในที่สุดชายหนุ่มก็ครางออกมา คนชื่อพงษ์หัวเราะหึหึ ฟ่งยกลูบหน้า ก่อนจะพูดต่อ   “ไปผ่าตัดแปลงเพศมาแล้วเรอะ”
   คนถูกถามพยักหน้า พลางลุกขึ้น “ฉันไปก่อนล่ะ ไว้เจอกัน”
   “อ่าว เพิ่งเจอกันแล้วจะรีบไปไหนน่ะ?” ฟ่งพูดอย่างงุนงง พงษ์หันกลับมา “ก็นายคุยธุระกับลูกค้าอยู่นี่”
   ฟ่งมีสีหน้าแปลกใจ เขาหันไปมองรูฟัส แล้วก็หัวเราะขึ้นมา
   “คนนี้ไม่ใช่ลูกค้าหรอก นั่งก่อนสิ” ชายหนุ่มกล่าว อดีตเพื่อนที่เคยเป็นชายเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง หล่อนหันมามองหน้ารูฟัส แล้วหันกลับไปมองเพื่อน
   “พงษ์ นี่รูฟัสนะ แล้วก็นี่พงษ์ เพื่อนตอนสมัยเรียนมหาลัยของผม” ฟ่งแนะนำทั้งคู่ รูฟัสยิ้มให้พงษ์เล็กน้อย คนถูกแนะนำพูดทักทายอีกฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะหันไปพูดกับฟ่ง
   “จริงๆ ฉันเปลี่ยนชื่อแล้วด้วยนะ เปลี่ยนเป็นพัช”
   “อ้อ จะไปเป็นนักร้องหรือไง” ฟ่งแซว พงษ์หรือพัชหัวเราะเบาๆ
   “บ้า แล้วตาฝรั่งนี่ใครน่ะ?” พัชเอ่ยถาม พลางหันหน้าไปมองคนร่วมโต๊ะที่ถูกแนะนำให้รู้จักอีกครั้ง ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบไป รูฟัสฝืนยิ้ม เขารู้ตัวว่าอาจจะอยู่ไม่ถูกที่นักสำหรับการพบกันของเพื่อนเก่า พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
   “ผมขอตัวสักครู่นะครับ” ร่างสูงพูดพลางผุดลุกขึ้น ฟ่งพยักหน้าน้อยๆ รูฟัสยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เดินเนิบๆ ออกไปด้านนอกร้าน
   ทันทีที่ร่างสูงเดินลับออกไป พัชลากฟ่งเข้ามาใกล้ๆ ทันที
   “ตาย พูดภาษาไทยได้ด้วย ฉันล่ะเกือบจะนินทาไปแล้วเชียว คนอะไร หน้าตาดีเป็นบ้า หุ่นก็สุดยอด นี่เขาเป็นอะไรกับนายน่ะ?”
   “เพื่อนข้างห้องน่ะ” ฟ่งตอบแบบไม่คิดอะไร ได้ยินเสียงเพื่อนพูดต่อ
   “เออ เดี๋ยวนี้นายพาคนข้างห้องมากินไอติมด้วยกันสองต่อสองเหรอ? นี่นายคงไม่ได้เลิกกับดาเพราะฝรั่งคนนี้หรอกนะ?”
   ฟ่งพ่นไอศกรีมที่กำลังกินอยู่ออกมาละล่ำละลักพูดขึ้น “จะบ้าเรอะ!!”
   พัชมองหน้าเพื่อนอีกครั้งด้วยสายตาไม่เชื่อถือ คนถูกมองทำหน้ายุ่ง “ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”ร่างบางย้ำอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อ
   “ฉันเลิกกับดาเพราะเรื่องเดิมๆน่ะแหละ ไม่เกี่ยวกับหมอนั่นหรอก”
   เมื่อเอ่ยถึงแฟนเก่า ฟ่งมีสีหน้าสลดลง พัชตบไหล่เป็นเชิงปลอบ “โทษที ก็มันชวนให้คิดนี่นา คนธรรมดาที่ไหนเขาชวนกันออกมากินไอติมกันสองต่อสองบ้างล่ะ หรือนายจะบอกว่ายังมีเพื่อนคนอื่น?”
   ฟ่งได้แต่นิ่งเงียบ ตอบไม่ออก ดวงตาของเพื่อนเป็นประกายทันที “มากันสองคนจริงๆ งั้นสิ แค่คนข้างห้องแน่เร้อ”
   “บอกว่าข้างห้องก็ข้างห้องสิฟ่ะ” ฟ่งตอบอย่างมีอารมณ์ พัชพยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็ไม่วายตั้งข้อสังเกตต่อ
   “งั้นทำไมมากันแค่สองคนล่ะ นายชวนเขาหรือเขาชวนนายฮึ?”
   “ไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้นายหัดทำตัวเป็นพ่อแม่ฉันแล้ว” ฟ่งพูดสวนทันที แต่แทนที่เพื่อนเก่าจะสำนึกตัว กลับจีบปากจีบคำพูดต่อ
   “ต๊าย! ถามแค่นี้ก็ไม่ได้หรือไง หรือว่าไม่อยากจะตอบ นี่ไม่ใช่ว่าเคยนอนด้วยกันแล้วหรอกนะ?”
   ฟ่งรู้สึกเหมือนไอศกรีมติดคอ เขาเงยหน้ามองเพื่อนด้วยความรู้สึกแน่นหน้าอก เห็นอีกฝ่ายทำตาโต อุทานเสียงแปลก “เฮ้ย! ฟ่ง.. หน้าแดง...ฟ่งหน้าแดง”
   คิ้วของฟ่งขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกโบว์ได้ เขาจ้องหน้าเพื่อน พยายามกล้ำกลืนไอศกรีมเข้าไปในคอ ถลึงตาใส่คนพูดอย่างเอาเรื่อง พอเห็นคนถูกล้อมีสีหน้าเคร่งเครียดแบบนั้น คนล้อเลยยอมสงบปากสงบคำลงนิดหน่อย
   “แหม...เรื่องแบบนี้จริงๆ ไม่ต้องปิดกันหรอก มีอะไรกับคนหล่อๆ แบบนี้ฉันไม่ถือสานายหรอกนะ”
   “ฉันไม่ใช่เกย์!” ฟ่งแค่นเสียง เพิ่งเคยเจอเม็ดอัลมอนเม็ดใหญ่ขนาดนี้ในไอศกรีม เขาถึงกับต้องคว้าน้ำขึ้นมาดื่มจนหมดแก้วถึงจะรู้สึกว่ามันไหลลงคอไป สีหน้าจริงจังจนออกแนวมีโมโหทำให้อีกฝ่ายยอมเปลี่ยนเรื่อง
   “ไม่ใช่ก็ไม่ใช่..อืม...เจอนายก็ดีแล้ว ขอเบอร์โทรหน่อยสิ มือถือเครื่องเก่าฉันหาย เบอร์ก็เลยปลิวไปด้วยน่ะ” พัชพูดและอธิบายเหตุผลเสร็จสรรพ ฟ่งพยักหน้า ก่อนจะบอกเบอร์มือถือตัวเองออกไป
   “วันที่ยี่สิบแปดนี้มีงานมีตติ้งที่คณะ ยังไม่มีใครบอกนายสินะ?” ฟ่งสั่นศีรษะ อีกฝ่ายจึงพูดต่อ
   “โอเค งั้นฉันบอกเลย หกโมง..ที่คณะ เตรียมตังไปด้วยล่ะ งานนี้ไม่ฟรีหรอกนะ น้องๆ เค้าจัด” ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ แต่ก็กะพริบตาปริบๆ งานมิตติ้ง? ดาจะไปด้วยรึเปล่า?
   ฟ่งยังนึกไม่ออกว่าจะทำหน้ายังไงหากได้เจอแฟนเก่า ขณะที่กำลังจะบอกเพื่อนว่าอาจจะไปไม่ได้ พัชก็ชิงลุกขึ้น
   “ฉันไปก่อนล่ะ ไม่อยากอยู่ขัดความสุขพวกนาย เออ..แล้วงานมีตติ้งน่ะ...ไปให้ได้ล่ะ อย่าให้ฉันต้องถ่อไปลากคอนายออกมา” น้ำเสียงช่วงหลังถูกขยายขึ้นเหมือนจงใจขู่ ฟ่งได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ เอาเถอะ ถึงวันนั้นเขาคงคิดวิธีจะเผชิญหน้ากับอดีตของตัวเองได้ พัชโบกมือให้เขา และก้าวออกไปอย่างมาดมั่น ฟ่งพลันนึกสงสัยตัวเองว่า เขาคบเพื่อนแบบนี้มาได้ยังไงตั้งหลายปี แต่นอกจากอาการผิดเพศแล้ว พัชหรือพงษ์ก็ไม่ได้นิสัยแย่อะไร และที่เขาคบกับเพื่อนคนนี้มาได้หลายปี เพราะเจ้าหมอนี่ไม่เคยแสดงอาการอยากจะแตะตัวเขาหรืออะไรที่มันเกินกว่าความเป็นเพื่อนด้วยแหละ
   จู่ๆ ฟ่งก็เกิดอาการขนลุก แล้วรูฟัสล่ะ คนข้างห้องที่รู้จักกันไม่เท่าไหร่ ก็ถึงเนื้อถึงตัวเขาจนเลยเถิด คนแบบนี้สมควรที่เขาจะคบต่อหรือ ขณะที่กำลังขบคิดอย่างจริงจัง เสียงของรูฟัสก็ดังขึ้น
   “เพื่อนกลับแล้วหรือครับ?” ชายหนุ่มถามเสียงอ่อนโยน พอเห็นรอยยิ้มบางๆ ที่ดูห่วงใยบนใบหน้าคมสันนั้นแล้ว ฟ่งก็ขี้เกียจจะคิดอะไรให้มากอีก เขายิ้มตอบรูฟัส ก่อนจะพยักหน้า
   “จะไปไหนต่อรึเปล่า?” คนถูกถามสั่นศีรษะ พลางล้วงเงินออกมาจ่ายค่าไอศกรีม
   “ผมว่าเรากลับกันดีกว่า”
--------------------------------------------
   สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาปะทะใบหน้า รูฟัสยกมือเสยผม ท้องฟ้าในกรุงเทพเต็มไปด้วยหมอกควันเสียจนไม่อาจจะมองเห็นดวงดาวได้ถนัด ความจริงคืนนี้เขาจะตั้งจะง้องอดขอนอนกับคนข้างห้องอีกคืน แต่โทรศัพท์ที่เข้ามาเมื่อช่วงเย็นทำให้หัวใจของรูฟัสหนักอึ้ง
   เว่ยเฟิงปิงกำลังจะมาประเทศไทย
   นั่นคือข้อความที่ราฟาแอลโทรมาแจ้ง สายลมพัดรุนแรงขึ้น เค้าเมฆสีแดงก่อตัวมาจากท้องฟ้าทางทิศเหนือ  ชายหนุ่มหลับตาลง ภาพของนัยน์ตาสีฟ้าที่เต็มไปด้วยความแค้นผุดขึ้นในจิตสำนึก รูฟัสถอนหายใจ เขาลืมตาขึ้นมองหมู่เมฆทะมึนนั้นอีกครั้ง
---------------------------


ออฟไลน์ คนริมคลอง

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +117/-1
Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
«ตอบ #16 เมื่อ23-05-2011 21:18:50 »

ยาวสะใจ แนวสายลับชอบครับ

เป็นกำลังใจให้ครับ  :L2:

อ้าวเวรกรรม ขออภัยที่มาปาดหน้าครับ นึกว่าหมดแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2011 21:29:23 โดย คนริมคลอง »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #17 เมื่อ23-05-2011 21:23:08 »

บทที่7 เว่ยเฟิงปิง
   เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังขึ้นเป็นระยะๆ ชายวัยกลางคนร่างท้วม ผิวสีน้ำผึ้ง สวมเสื้อซาฟารีหลวมๆ นั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ชายหาดที่ตั้งอยู่บริเวณระเบียงของสปาแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา สายลมอ่อนๆ พัดเอาควันจากซิการ์ที่อยู่ในมือซ้ายฟุ้งหายออกไป ฟาบิโอขยับตัวลุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
   ผู้มาเยือนเป็นบุรุษหนุ่ม อายุคงราวๆ ยี่สิบกว่าๆ ผมรองทรงสีดำยาวถึงบริเวณกกหู หวีแสกขวา ในชุดเสื้อเชิ้ตสบายๆสีเทาอ่อน กางเกงสแลคสีขาวปลอด ตัดกับรองเท้าหนังสีดำสนิทที่ถูกขัดจนมันปลาบคู่นั้น ริมฝีปากบางกล่าวคำทักทายเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างชัดเจน ผิดกับใบหน้าที่ติดไปทางเอเชียแบบชาวจีน
   นี่เป็นครั้งแรกฟาบิโอได้พบกับบุตรชายคนที่เจ็ดของตระกูลเว่ย หนึ่งในตระกูลผู้มีอิทธิพลของฮ่องกง ผู้มีนามว่าเว่ยเฟิงปิง
   ใบหน้าเรียวยาวนัยน์ตาหรี่เล็กและรอยยิ้มที่ดูปั้นแต่ง ทำให้ดอนแห่งอิตาลีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก มันทำนึกถึงงูตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
   ผู้ที่ติดตามมาด้านหลังเป็นคนที่เขาจำได้ดี ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผู้มีผมยาวสีดำสนิทมัดรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย ใบหน้าคมสันได้รูป มาในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำกับกางเกงสีดำสนิท ชายคนนี้มีชื่อว่าจางซื่อเยี่ยน หนึ่งในนักฆ่าระดับพระกาฬของตระกูลเว่ย ซื่อเยี่ยนเคยทำงานให้ฟาบิโอครั้งหนึ่ง ซึ่งฝีมือเป็นที่ประทับใจจนเขาแทบจะเอ่ยปากขอตัวให้ไปทำงานด้วย
   คนของฟาบิโอรีบยกเก้าอี้เข้ามา เว่ยเฟิงปิงหย่อนกายลงนั่งอย่างไว้เชิง ก่อนจะยกมือปฏิเสธซิการ์ที่ฟาบิโอยื่นให้อย่างสุภาพ
   “จะเริ่มคุยธุระได้รึยังครับ?” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเป็นฝ่ายพูดก่อน ฟาบิโอโบกมือให้ลูกน้องของตนกลับเข้าไปในตัวตึก เฟิงปิงหันไปมองซื่อเยี่ยน ชายหนุ่มเอ่ยภาษาจีนขึ้นมาสองสามประโยค ก่อนที่จะโดนสายตาคมกริบกดดันให้ต้องถอยออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ผู้มีดวงตาเหมือนพญางูใหญ่หันกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ทำให้คนเห็นเกิดความสบายใจเลย ฟาบิโอกระแอมไอ ก่อนจะเคาะขี้เถ้าซิการ์ลงบนที่เขี่ยบุหรี่ดินเผารูปแมวที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างๆ “ได้ยินว่าคุณตามล่าสายลับคนหนึ่งอยู่”
   เฟิงปิงพยักหน้า ฟาบิโอสังเกตเห็นว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์นั้นเป็นสีฟ้าอ่อน ช่างขัดกับหน้าตาเสียจริงเชียว
   “มิสเตอร์เว่ย เรื่องนี้เป็นความลับที่สุด เมื่อไม่นานมานี้ผมคิดว่าได้เจอกับคนที่คุณตามหา”
   “ครับ” เฟิงปิงรับคำ สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง “คุณทราบได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนที่ผมตามหา?”
   ประกายตาเจ้าเล่ห์ฉายออกมาอีกครั้ง ฟาบิโอถอนหายใจ ก่อนจะพูดเรียบๆ
   “บอกคุณตามตรง ผมไม่ได้เห็นหน้าตาหรือรูปร่าง หรือแม้แต่เสียงของเขาเลย”
   สีหน้าของเฟิงปิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงกระนั้น ก็ยังคงรักษาท่าทีอันสง่างามเอาไว้ได้
   “แต่ลูกน้องของผมได้เห็นเขาแวบหนึ่ง คุณอยากจะคุยด้วยตัวเองไหมล่ะ?”
   เฟิงปิงโบกมือ “ไม่ล่ะครับ เขาคงเล่าให้คุณฟังหมดแล้ว อีกอย่าง ผมไม่ค่อยชินกับภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลี่ยนเสียด้วยสิ”
   ประโยคสุดท้ายคล้ายเหน็บแนมเล็กๆ ฟาบิโอฝืนยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ “คนที่พวกเขาเห็นเป็นชายหนุ่มผมสีดำ สูงราวๆ ร้อยแปดสิบกว่าๆ แข็งแรงพอสมควรเลยล่ะ”
   “สีตาล่ะครับ?” จู่ๆ เฟิงปิงก็ถามขึ้น น้ำเสียงเจือความร้อนรนจนจับได้
   “ไม่เห็นหรอก” ฟาบิโอแบมือออก มองหน้าเรียวๆ ของฝ่ายสนทนาอย่างรู้ทัน ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้างแล้ว
   “ตาแบบนั้นใครเห็นก็จำได้ เขาคงไม่โง่”
   “ครับ” น้ำเสียงของเฟิงปิงกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ฟาบิโอยกซิการ์ขึ้นมาสูบอีกครั้ง
   “ผมควรจะเสี่ยงกับคำบอกเล่าแค่นี้ของคุณหรือครับ” ชายหนุ่มกล่าวเรียบๆ ดอน ฟาบิโอ อมยิ้มเล็กๆ
   “เสี่ยงหรือไม่เสี่ยงมันก็แล้วแต่คุณ คุณคงไม่บินจากฮ่องกงมาที่นี่โดยเชื่อแค่สิ่งที่ผมบอกหรอกนะ”
   เฟิงปิงหัวเราะในลำคอ “ใครจะไปรู้ล่ะครับ บางทีผมอาจจะบ้าแบบที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้”
   นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ราวงูนั้นหรี่เล็กลง
   “คุณเล่าเรื่องทั้งหมดมาให้ละเอียดดีกว่าครับดอน ถ้าคุณไม่เล่าให้หมด มันก็ไม่คุ้มค่าเสี่ยงของผม” ริมฝีปากบางนั้นหยุดยิ้มเล็กน้อย “ผมรู้ว่าคุณหวังจะใช้ผมเป็นหมาล่าเนื้อ แต่ผมไม่ยอมโดนใช้ฟรีหรอกนะครับ เล่ามาดีกว่าว่าเขามาเค้นความลับอะไรจากคุณ”
   ชายร่างท้วมฝืนยิ้ม เขาวางซิการ์ลงบนที่เขี่ย ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง
   “หนุ่มๆ สมัยนี้บ้าคลั่งกันดีนะ พวกคุณทำให้ผมเหมือนกลายเป็นสุนัขแก่ๆ”
   เฟิงปิงยิ้มอีกครั้ง พลางโบกมือ
   “ไม่หรอกครับ ผมน่ะเคารพผู้ใหญ่ อีกอย่างผมพอจะเดาได้ว่าเขามาหาคุณเพราะเรื่องอะไร”
   ฟาบิโอเลิกคิ้วสูง มองดูนัยน์ตาหรี่เล็กสีฟ้าคู่นั้นด้วยความหวาดหวั่น
   “Tezcatlipoca(เทซคาทลิโพคา)”
   เฟิงปิงพูดจบแล้วก็หัวเราะ ในขณะที่ฟาบิโอหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
   “คุณพ่อผมทราบเรื่องแล้ว ท่านฝากบอกคุณมาว่าคิดถึงให้ไปเยี่ยมบ้าง”
   ฟาบิโอหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะถามขึ้นบ้าง “อย่างนั้นคุณก็มาเพราะเรื่องนี้ด้วยสินะ”
   “ไม่ใช่หรอกหรับครับ คุณพ่อบอกปัดเรื่องนี้ไปแล้ว ผมมาเพราะเรื่องอื่น แต่ก็ไม่ต่างจากคุณเท่าไหร่ เราทั้งหมดเหมือนฝูงแมลงวันเลยนะครับ ตอมได้ไม่เลือก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสกปรกขนาดไหน” ริมฝีปากบางนั้นคลี่ยิ้มอีกครั้ง ช่างเป็นรอยยิ้มที่ทิ่มแทงและเย้ยหยันเสียนี่กระไร ฟาบิโอได้แต่ฝืนยิ้มตอบ
   “ดอนครับ เห็นแก่ที่คุณกับคุณพ่อผมเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ผมจะทำงานนี้ให้คุณ ถือว่าเป็นภารกิจเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างอยู่นี่แล้วกันครับ คงไม่รังเกียจ ถ้าจะขอของตอบแทนเป็นงานศิลปะสักสองสามชิ้นที่คุณเก็บสะสมอยู่ผมอยากได้มันมาประดับที่สำนักงาน”
   ฟาบิโอยกมือขึ้นลูบคางอูมๆ คิ้วสีบรอนด์หนาเป็นปื้นขมวดเข้าหากัน แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “ช่างต่อรองดีนะ เอาเถอะ ฉันให้ ทำงานให้สำเร็จแล้วกัน”
   “แหม.. พูดจาเหมือนเป็นเจ้านายผมเลยนะครับ” เฟิงปิงกระแนะกระแหน “แต่อะไรที่ทำให้คุณคิดว่า คนที่คุณเจอเป็นคนคนนั้นล่ะครับ?”
   ฟาบิโอโคลงศีรษะ พูดเนิบนาบ “มีคนบ้าไม่มากหรอกนะที่จะทำเรื่องแบบนี้ ฉันมานั่งนึกทบทวนดูแล้ว จากลักษณะและรูปแบบการทำงาน คงไม่พ้นต้องเป็นหมอนั่นแน่ๆ”
   เว่ยเฟิงปิงผงกศีรษะ ชื่อชื่อหนึ่งหลุดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบ
   “รูฟัส เวสธ์”
---------------------------
   รูฟัส เวสธ์
   ซื่อเยี่ยนรู้สึกหงุดหงิดอยู่ลึกๆ ทุกครั้งที่นึกถึงชื่อนี้ ก่อนหน้านี้เขาทำงานให้กับหน่วยงานที่มีไว้กำจัดสายลับและคนทรยศของตระกูลเว่ย หรือที่เรียกกันว่าหน่วยดำ ซึ่งขึ้นตรงกันเว่ยชิง ผู้เป็นเจ้านายใหญ่และเป็นบิดาของเว่ยเฟิงปิง เขาย้ายเข้ามาทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้เฟิงปิงตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน ในช่วงที่แก๊งกำลังระส่ำระสายเพราะมีการโจรกรรมข้อมูลสำคัญภายในแก๊งออกไปขายให้กับแก๊งคู่แข่ง และผู้ที่ให้การช่วยเหลือการโจรกรรมกลับไม่ใช่ใครอื่น นอกจากลูกชายคนที่เจ็ดของเว่ยชิงที่เพิ่งกลับมาจากประเทศอังกฤษ
   อดีตหน่วยดำยังจำได้ดีถึงวันที่เฟิงปิงรับสารภาพต่อหน้าสมาชิกแก๊งเกือบแทบทุกระดับ ว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง เว่ยชิงไม่ลังเลที่จะลงโทษบุตรชายของตนเพื่อที่จะไม่ให้สมาชิกคนอื่นเอาเยี่ยงอย่าง แน่นอนว่าเขาลงมือด้วยตัวเอง ไม่มีเสียงห้าม ไม่มีใครกล้ากะพริบตา วิธีการลงโทษนั้นช่างเรียบง่ายและโบราณ แต่ความทารุณนั้นกลับไม่อาจดูแคลนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการกระทำของพ่อตัวเอง แส้หนังที่ติดหนามเล็กๆไว้ตลอดเส้นหวดโบยลงบนร่างของเด็กหนุ่มซึ่งมีวัยเพียงสิบแปดปี โดยไม่มีการยั้งมือ สร้างรอยแผลแตกยับไว้เต็มร่าง เสียงร้องโหยหวนตอนที่น้ำเกลือถังใหญ่ถูกสาดลงไปบนร่าง ทำให้ทุกคนในที่นั้นเบือนหน้า
   เว่ยชิงยื่นข้อเสนอให้กับบุตรชายซึ่งหายใจรวยรินในตอนนั้น ว่าถ้าหากอยากจะกลับเข้ามาในแก๊งก็จงคลานขึ้นมาจากระดับล่างสุด แต่หากไม่ต้องการก็จงหายหน้าไปให้พ้นจากฮ่องกง แล้วให้เลิกใช้แซ่เว่ย นั่นคล้ายเป็นคำสั่งอัปเปหิออกจากตระกูลกลายๆ เฟิงปิงเลือกข้อแรก ถึงกระนั้นการลงโทษก็ยังคงไม่หยุดลง เว่ยชิงออกคำสั่งห้ามทุกคนในแก๊งให้การสนับสนุนเฟิงปิง หากใครฝ่าผืน จะถูกลงโทษจากหน่วยดำทันที นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ซื่อเยี่ยนได้เข้ามาสัมผัสกับเส้นทางชีวิตของชายผู้มีชื่อว่าเว่ยเฟิงปิง
   เขาได้รับคำสั่งลับๆ จากเว่ยชิงให้คอยจับตาดูเฟิงปิงหลังจากการพักฟื้น และแน่นอนว่ารวมไปถึงการจัดการกับผู้ขัดคำสั่งทั้งหลายด้วย หลังจากการปฏิบัติการระดับมาตรฐานของหน่วยดำสองสามครั้ง ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือเฟิงปิงอีก
   บางทีเฟิงปิงอาจจะไม่ทราบ การที่เว่ยชิงแอบส่งเขามาคอยเฝ้าดูนั้น เป็นการยื่นมือเข้าช่วยเหลือลูกชายตัวเองแบบเงียบๆ  ชื่อเยี่ยนให้รับอนุญาตให้ช่วยเหลือเฟิงปิงได้ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการช่วยให้พ้นมือแก๊งคู่อริต่างๆ แต่นั้นก็ต้องรอจนถึงระดับอันตรายถึงชีวิตเท่านั้น
   หนึ่งปีให้หลัง เฟิงปิงกลับมาผงาดในแก๊งด้วยผลงานที่มากมายเสียจนทุกคนอดแปลกใจไม่ได้ ลูกงูหางขาดที่ถูกทิ้งลงไปในโคลนเลน จะกลับกลายมาเป็นมังกรได้อีกครั้ง ซื่อเยี่ยนได้รับคำสั่งให้เป็นบอดี้การ์ดประจำตัวในวันที่เฟิงปิงถูกรับกลับเข้าตระกูลอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนว่าทางนั้นจะไม่ได้ให้ความสนใจเขาเท่าใดนัก แต่ซื่อเยี่ยนกลับรู้สึกดีใจ เพราะเขาไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ ในการคอยปกป้องบุตรชายคนนี้ของหัวหน้าอีกต่อไป
   หลังจากวันที่เว่ยเฟิงปิงรับตำแหน่ง เขาพยายามช่วยเหลือกิจการของตระกูลที่เสียหายจากการกระทำของตนอย่างสุดความสามารถ และจุดมุ่งหมายในการตามล่าผู้ที่กระทำการโจรกรรมนั้น ก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในปีที่สามหลังจากรับตำแหน่ง ก็ไม่มีใครข้องใจกับจุดประสงค์ของเว่ยเฟิงปิงอีก เมื่อเขาประกาศกับพ่อตัวเองว่า จะทำทุกวิถีทางเพื่อนำเอาตัวสายลับคนนั้นกลับมาให้ได้
   รูฟัส เวธส์
-------------------------
   รูฟัสจามออกมาฟืดใหญ่ ทำเอาฟ่งซึ่งนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ต้องหันกลับมามอง
   “สงสัยใครนินทามั้งครับ” ฟ่งพูด รูฟัสยกมือขึ้นลูบจมูก สูดหายใจแรง พลางทำหน้าสงสัย หนุ่มผู้นั่งปุอยู่หน้าคอมพิวเตอร์จึงอธิบายต่อ
   “ที่นี่เค้าถือกันว่า ถ้าจามหนึ่งครั้งแปลว่ามีคนคิดถึง ถ้าจามสองครั้งแปลว่ามีคนนินทาครับ”
   “แล้วถ้าจามสามครั้งล่ะ” รูฟัสถามต่อ ฟ่งอมยิ้ม “แบบนั้นแปลว่าเป็นหวัดครับ”
   หนุ่มร่างใหญ่หัวเราะ พลางถือจานใส่เงาะมาวางตรงโต๊ะวางคอมพิวเตอร์ ฟ่งหันหน้าไปมองเขาอย่างสงสัย
   “ผมไม่ได้จามลงไปหรอกน่า” รูฟัสพูด ฟ่งยกมือเกาคิ้ว
   “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ คือผมคงไม่สะดวกจะกินเงาะตอนนี้น่ะ”
   “เอ.. ไม่ใช่ว่ากินได้เลยหรอกรึ?” สีหน้าที่ดูจริงจังนั้น ทำให้ฟ่งอดหัวเราะออกมาไม่ได้
   “มันต้องใช้มีดผ่าน่ะครับ”
   ว่าแล้วร่างบางก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ ไปหยิบมีดปอกผลไม้ที่เสียบอยู่ตรงเคาน์เตอร์มาจัดการกับเงาะในจาน “แบบนี้ครับ”
   รูฟัสมองดูเนื้อเงาะสีขาวที่โผล่พ้นขอบเปลือกที่เหลืออยู่ในมือของฟ่งด้วยสีหน้าแปลกใจ
   “อ้าปาก” ฟ่งพูด ก่อนจะบีบเงาะเข้าปากรูฟัสไป ร่างบางหัวเราะอีก เมื่อเห็นใบหน้าแปลกใจของอีกฝ่าย รวมถึงแก้มที่ตุ่ยออกมาข้างหนึ่ง
   “มีเม็ดนะครับ” รูฟัสพยักหน้า เดินไปตรงถังขยะหลังเคาน์เตอร์เพื่อบ้วนเมล็ดเงาะออก ก่อนจะเดินกลับมาที่เดิมอีกครั้ง
   “Вкусно” ฟ่งหันไปมองหน้าเขาอย่างงงๆ รูฟัสยิ้มแก้เก้อ “เอ้อ ผมหมายถึง อร่อยดีครับ”
   ฟ่งยิ้มกว้าง ซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก “ถ้าจะกินก็หยิบได้เลยนะครับ”
   พลางกลับไปนั่งทำงานต่อ  รูฟัสหยิบเงาะขึ้นมาทานอีกผล ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือขนาดต่างๆ ก่อนจะมาหยุดที่เจ้าของห้อง ซึ่งยังคงง่วนอยู่กับงานตรงหน้า
   “งานใหม่หรือครับ?” รูฟัสเดินอ้อมมาด้านหลัง หยุดดูฟ่งใส่ตัวเลขเข้าไปในช่องโปรแกรม ซึ่งกำลังประมวลผลตัวเลขดังกล่าวออกมาเป็นโครงสร้างต่างๆ
   “ครับ” ฟ่งรับคำงึมงำอยู่ในลำคอ
   “ผมแวะไปดูเคาน์เตอร์ของคุณมาแล้วนะครับ สวยดีทีเดียวครับ”
   “ขอบคุณครับ”
   รูฟัสยิ้มให้กับใบหน้าที่เงยขึ้นมา จากวันที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ข้ามพ้นความเป็นเพื่อนก็ผ่านมาได้สามอาทิตย์แล้ว ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบพวงแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ ฟ่งสะดุ้ง รีบเบือนหน้ากลับไปทันที รูฟัสถอนหายใจ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย สามสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งคู่แทบจะไม่ได้เจอกันเลย ยกเว้นตอนทานข้าว ดูเหมือนว่าฟ่งจะมีงานยุ่งและตัวเขาเองก็ไม่ได้ต่างไปนัก
   การมาของเว่ยเฟิงปิง ทำให้เขาต้องทำงานด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ดูเหมือนว่าเฟิงปิงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาตามสืบด้วย มันทำให้รูฟัสรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะจากข้อมูลที่ได้รับในตอนแรก ตระกูลเว่ยได้ถอนรายชื่อออกไปแล้ว ที่เว่ยเฟิงปิงมาเมืองไทยในคราวนี้อาจจะด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง อาจจะมาเพราะคำสั่งลับจากผู้เป็นพ่อ  รูฟัสหวนนึกถึงใบหน้าของชายวัยหกสิบเศษผู้มีร่างกายแข็งแรงและกระฉับกระเฉงเหมือนคนอายุสี่สิบกว่าๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันน่าเกรงขาม เว่ยชิงใจกว้างกับทุกคน ทำให้หุ้นส่วนและลูกน้องต่างเคารพนับถือ แต่นั่นไม่ใช่กับบุตรชายคนที่เจ็ดที่มีชื่อว่าเว่ยเฟิงปิง
   รูฟัสพบเว่ยเฟิงปิงครั้งแรกตอนที่มารายงานผลเรื่องการขยายอาณาเขตการคุ้มครอง เด็กหนุ่มผมยาววัยสิบแปดสิบเก้าปีที่ไม่เคยเห็นหน้าเลยในช่วงสามเดือนที่เข้ามาเป็นสมาชิกแก๊ง เว่ยเฟิงปิงโผล่พรวดออกมาจากห้องทำงานของเว่ยชิง ก่อนใช้ไหล่ชนเขาอย่างแรงแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาขอโทษ รูฟัสได้รู้หลังจากนั้นไม่นานว่าจริงๆ แล้วเด็กหนุ่มตั้งใจชนเพราะรังเกียจชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวยุโรป และดูเหมือนว่าเฟิงปิงจะเกลียดเขาอย่างจริงๆ จังๆ เด็กหนุ่มวางแผนสารพัดเพื่อให้เขาหลุดไปออกจากแก๊ง แม้กระทั่งกุเรื่องขึ้นว่าเขาเป็นสายลับ ซึ่งทำให้รูฟัสต้องทำงานพิสูจน์ตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่นั่นกลับกลายเป็นผลดีเพราะทำให้เว่ยชิงไว้ใจเขามากขึ้น หากเรื่องเป็นแบบนี้รูฟัสเองคงไม่ต้องหนักใจเมื่อต้องพบกับเฟิงปิงอีก อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องลังเลใจหากจะต้องปลิดชีพอีกฝ่ายเพื่อรักษาความมั่นคงในการทำงาน
   ใบหน้าของเฟิงปิงในครั้งสุดท้ายที่พบกันเป็นสิ่งที่รูฟัสไม่อยากนึกถึง ยิ่งเรื่องราวหลังจากนั้น เขายิ่งไม่อยากนึก ตอนนั้นรูฟัสอายุราวยี่สิบสามปี เขาได้รับมอบหมายให้แฝงตัวเข้าไปในตระกูลเว่ย เพื่อขโมยข้อมูลลับทางธุรกิจและเส้นทางการค้า หลังจากที่โดนเฟิงปิงกลั่นแกล้งจะแทบจะต้องประมือกับหน่วยดำ จู่ๆ ท่าทีของเฟิงปิงก็เริ่มเปลี่ยนไป เด็กหนุ่มเริ่มทำดีกับเขามากขึ้น ในตอนแรกรูฟัสคิดว่าเฟิงปิงงัดกลยุทธ์แบบใหม่ออกมาจัดการกับเขา ดังนั้นเขาเลยแกล้งเออออห่อหมกด้วย และอาศัยช่วงจังหวะเหล่านั้นขโมยข้อมูล จนถึงตอนนี้รูฟัสก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วเขาหลอกใช้เว่ยเฟิงปิงหรือเปล่า
   มันเป็นคืนหนึ่งในฤดูฝน ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาปรอยๆ ภายในห้องพักขนาดเล็กของโรงแรมชั้นเลวในฮ่องกง รูฟัสถอดแว่นสีชาวางลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบจดหมายจากซองสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ข้างเตียงนอนขึ้นมาอ่าน
   ข้อความในจดหมายไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นเหมือนจดหมายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบที่คนทั่วไปเขียนถึงกัน แต่สำหรับรูฟัสแล้ว ทุกคำในนั้นคือรหัสลับ แน่นอนว่ามันเป็นการนัดแนะช่องทางในการหลบหนี รูฟัสหันไปมองนาฬิกาติดผนังซึ่งชี้บอกเวลาสี่ทุ่มสิบแปดนาที เขาเหลือเอกสารบางอย่างที่จำเป็นจะต้องใช้กำลังในการเข้าไปขโมย ชายหนุ่มจ่อกระดาษจดหมายเข้าไปในไฟตะเกียงซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะวางลงบนจานเขี่ยบุหรี่ที่ทำจากเหล็กหยาบๆ นัยน์ตาสองสีคู่นั้นสะท้อนเปลวไฟวูบวาบ
   รูฟัสเขี่ยเศษขี้เถ้าสีดำในถ้วยให้กระจายออกจากกัน หยิบเสื้อคลุมสีเทาอ่อนที่วางอยู่ปลายเตียงขึ้นมาพาดบ่า เหลือเวลาอีกแปดชั่วโมงก่อนที่คนของราฟาแอลจะมารับ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ เสียงเพลงหนี่จั่มมอซั่ว(รักกะล่อน)ดังขึ้นเบาๆ เขาไม่อยากให้คนในโรงแรมรู้ตัวเร็วนักว่าเขาไม่ได้อยู่ห้องในคืนนี้
   รูฟัสเหน็บปืนพกเข้ากับสายคาดที่รัดอยู่กับเสื้อเชิ้ตตัวใน ก่อนจะขยับเสื้อคลุมสีเทาให้เข้าที่ เขาเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปเบื้องล่าง มันอยู่สูงจากพื้นดินราวๆ ห้าเมตร ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังสำรวจว่ามีคนผ่านไปผ่านมาในเส้นทางนั้นบ้างรึเปล่า เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   คิ้วสีดำเรียวยาวคู่นั้นขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ ปกติไม่เคยมีใครมาหาเขาในเวลาดึกแบบนี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง รูฟัสนึกสบถ เขาคงต้องเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนสักหน่อย และบางทีเขาอาจจะต้องขอให้คนคนนั้นนอนอยู่ในห้องนี้ไปตลอดกาล
   ชายหนุ่มเดินไปบิดลูกบิดประตู แวบแรกที่เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน รูฟัสแทบคิดว่าตัวเองเปิดประตูผิด
   “ขอผมเข้าไปหน่อย” เสียงนั้นเบาแทบจะเป็นเสียงกระซิบ แต่ปลายเสียงแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น รูฟัสคลายมือที่จับประตูออก ร่างบางรีบเบียดตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แสงไฟกระทบกับเส้นผมสีดำสลวยยาวประบ่าที่รวบไว้อย่างหลวมๆ รวมทั้งประกายตาสีฟ้าใสราวกับน้ำทะเลที่มองลอดผ่านปอยผมที่ปรกหน้าคู่นั้น
   “คุณชายเจ็ด ทำไม...?”
ร่างบางเสยผมที่เปียกชื้นขึ้น ริมฝีปากบางแดงคลี่ยิ้มออกมา “แปลกใจที่เป็นผมหรือ?”
   รูฟัสพยักหน้า เขาคาดไม่ถึงว่าบุตรชายคนที่เจ็ดของเว่ยชิงจะมาหาเขาในสภาพแบบนี้ บางทีเฟิงปิงอาจจะมีแผนอะไรบางอย่าง รูฟัสไม่ค่อยไว้ใจเด็กหนุ่มคนนี้มากนัก แม้ในช่วงหลังเฟิงปิงจะหันมาทำดีกับเขาแบบไม่น่าเชื่อ แต่นั้นยิ่งเพิ่มความคลางแคลงใจให้รูฟัสหนักเข้าไปอีก
   “ตัวคุณเปียกฝนนี่” รูฟัสพูด เมื่อสังเกตเห็นเฟิงปิงตัวสั่นเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตสีขาวบางเปียกให้เห็นเป็นหย่อมๆ เขาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนเก้าอี้ ส่งให้เด็กหนุ่ม
   

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #18 เมื่อ23-05-2011 21:23:48 »

“ขอบใจ” เว่ยเฟิงปิงรับผ้าเช็ดตัวสีเทาผืนนั้นมาเช็ดหน้า พลางเหลือบตามองฝ่ายตรงข้ามอย่างสนใจใคร่รู้
   “กำลังจะออกไปข้างนอกหรือ” เด็กหนุ่มถาม พร้อมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่เปียกออก  รูฟัสรีบเดินไปหยิบเสื้อของตัวเองที่แขวนอยู่ส่งให้ทันที
   “อ๊ะ ขอบใจ” เฟิงปิงยิ้มอย่างดีใจ  ขณะที่เปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อเชิ้ตสีเหลืองที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาเองอยู่พอสมควร รูฟัสเลื่อนเข้าอี้มาให้เฟิงปิงนั่ง เขารู้สึกกระอักกระอวนเวลาต้องเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มผู้นี้
   “คุณรีบหรือเปล่า” เสียงนั้นถามขึ้นมาอีก รูฟัสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะรั้งตัวเฟิงปิงเอาไว้สักพัก
   “เปล่า” ชายหนุ่มตอบเรียบๆ พลางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอน เพราะเก้าอี้ในห้องมีเพียงตัวเดียว
   “ถ้าไม่รีบ ทำไมคุณไม่ถอดเสื้อคลุมออกก่อนล่ะ?”    เฟิงปิงยิ้มอีกครั้ง มันเป็นรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กๆ แต่กลับทำให้รูฟัสรู้สึกใจหาย
   “ผมช่วย” ร่างบางผุดลุกจากเก้าอี้ตรงเข้ามาแทบจะทันที นิ้วเรียวยาวสอดเข้าไประหว่างอกเสื้อของอีกฝ่าย รูฟัสพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปัดมือนั้นออกอย่างสุภาพ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการ เมื่อปลายนิ้วของเว่ยเฟิงปิงสัมผัสโดนโลหะทรงกระบอกเย็นเยียบที่ซ่อนอยู่ภายในเสื้อคลุม
   เด็กหนุ่มชะงักมือ ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมาอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาสีฟ้านั้นฉายแววแตกตื่นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
   “กำลังจะออกไปทำเรื่องไม่ดีสินะ?” เฟิงปิงถามเสียงพร่า รูฟัสฝืนยิ้ม
   “ครับ ขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ”
   คิ้วของเฟิงปิงขมวดเข้าหากัน ก่อนจะถอนหายใจยาว
   “ปีเตอร์” เขาเรียกชื่อของอีกฝ่าย  ก่อนจะทรุดนั่งลงข้างๆ รูฟัสหันมามองด้วยสายตาไม่ค่อยไว้ใจเท่าใดนัก ปีเตอร์เป็นชื่อที่รูฟัสใช้อยู่ตอนนี้ เฟิงปิงหันมามองสบตากับรูฟัสก่อนจะพูดต่อ
   “ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้ชื่อปีเตอร์หรอก ใช่ไหม?”
   นัยน์ตาสองสีฉายแววอำมหิตขึ้นมาแวบหนึ่ง เฟิงปิงฝืนยิ้ม “ผมไม่ได้เดาผิดไปสินะ”
   รูฟัสหลับตา พยายามหาวิธีที่ละมุนละม่อมที่สุดในการจัดการกับปัญหาตรงหน้า
   “คุณชายเจ็ด คุณคงไม่มาหาผมกลางดึกเพราะเรื่องตลกแบบนี้หรอกนะครับ”
   “อืม..” เด็กหนุ่มรับคำ พลางขยับตัวเข้ามาใกล้
   “ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาแกล้งคุณหรอก ผมแค่เอาสิ่งที่คุณอยากได้มาให้” ซองกระดาษยับย่นซองหนึ่งถูกดึงออกมาจากกระเป๋ากางเกง เจ้าตัวยื่นมันให้รูฟัส ชายหนุ่มรับมาเปิดออกดูอย่างงงๆ แล้วก็ต้องเบิ่งตาค้างด้วยความตกใจ
   มันคือเอกสารที่เขาตั้งใจจะเข้าไปขโมยในคืนนี้
   รูฟัสหันกลับมามองเฟิงปิงอย่างไม่เชื่อสายตา โดยที่มือของเขายังกำซองกระดาษซองนั้นอยู่ เฟิงปิงยิ้มเหมือนเด็กๆ ที่กำลังจะอ้อนขอรางวัล
   “เอามาถูกใช่ไหมล่ะ?” พลางขยับตัวเข้ามาใกล้ จนปลายจมูกของทั้งคู่แทบจะชนกัน รูฟัสกลืนน้ำลาย พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า
   “ต้องการอะไร?”   ชายหนุ่มพูดพร้อมกับผลักร่างของอีกฝ่ายออกไปเบาๆ เฟิงปิงมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่คำตอบของอีกฝ่ายก็แสดงให้เขาเห็นว่าทางนั้นไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเสียเลยทีเดียว
   “ผมอยากรู้ชื่อจริงของคุณ”
   รูฟัสขมวดคิ้ว สายตาของเฟิงปิงที่มองมาทำให้เขารู้สึกแปลกๆ “คุณชายเจ็ด คุณรู้รึเปล่าว่ากำลังทำอะไร”
   เฟิงปิงพยักหน้า “ผมรู้ว่าคุณเป็นสายลับ คุณ เอ้อ..”
   รูฟัสเพ่งพินิจพิจารณาเด็กผู้ชายตรงหน้า ยังไงเสียเขาก็จะหนีไปในคืนนี้อยู่แล้ว ทิ้งชื่อเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย สำหรับพวกเขา ชื่อไม่ได้หมายถึงหน้า แต่เป็นเครื่องหมายการค้าในการทำงานต่างหาก ริมฝีปากของชายหนุ่มขยับช้าๆ
   “รูฟัส”
   นัยน์ตาของเฟิงปิงเป็นประกาย เขาเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ “รูฟัส........... พาผมหนีไปด้วยได้ไหม?”
   รูฟัสเบิ่งตากว้าง พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ริมฝีปากแดงบางของอีกฝ่ายกลับเบียดแนบเข้ามาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสองสีเบิ่งโพล่งอย่างตกใจ ปลายลิ้นเรียวรุกไล่เข้ามาในช่องปาก เขาพยายามดันใบหน้านั้นออก
   “ผมชอบคุณนะ ชอบมากๆ เลย” เฟิงปิงกระซิบ วงแขนผอมบางเลื่อนมาโอบรอบลำคอ นัยน์ตาสีฟ้านั้นมองมาอย่างลุ่มหลง รูฟัสรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามใบหน้าของตน  เขานึกไม่ออกว่าเฟิงปิงจะมาไม้ไหน แต่สายตาที่มองมานั้นทำให้รูฟัสรู้สึกกระอักกระอวน ดูเหมือนว่าทางนั้นจะไม่ได้โกหก
   “ผมพาคุณไปด้วยไม่ได้” รูฟัสใช้มือทั้งสองข้างจับหัวไหล่ของเฟิงปิง แล้วผลักออกจากตัวเบาๆ เด็กหนุ่มมีสีหน้าผิดหวังชัดเจน แต่ก็ยังพยายามส่งเสียงออดอ้อน
“พาผมไปด้วยเถอะ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ ผมเกลียดพ่อ”
   หางเสียงของเฟิงปิงเกรี้ยวกราดขึ้นเมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย รูฟัสกลืนน้ำลายอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเฟิงปิงมีเรื่องอะไรกับเว่ยชิง แต่การจะพาเด็กคนนี้ไปด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องราวอะไรของเขาเลย
   “ไม่ได้หรอก คุณควรจะอยู่ที่นี่” รูฟัสพูดย้ำอีกครั้ง พยายามให้น้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความหมายเปลี่ยนไป
   “ทำไมกันล่ะ ก็ผมทำทุกอย่างที่คุณต้องการแล้วนี่!” เว่ยเฟิงปิงกระชากเสียง คล้ายกับเด็กที่ไม่ได้ของตามต้องการ
   “ผมต้องไปแล้ว” รูฟัสพูดพลางลุกขึ้น เฟิงปิงรีบฉุดปลายเสื้อคลุมยาวนั้นไว้
   “ไม่นะ คุณต้องพาผมไปด้วย” เขากล่าว พลากระชากปลายเสื้อของอีกฝ่ายด้วยกำลังแรง รูฟัสหันตัวไปคว้าข้อมือบางนั้นเอาไว้
   “ไม่.. คุณจะต้องอยู่ที่นี่ คุณอาจจะอ้างว่าโดนผมหลอกมาหรืออะไรก็ได้ แต่คุณต้องอยู่ที่นี่”
   หยดน้ำใสไหลทะลักออกมาจากดวงตาสีฟ้าใสที่แทบจะถลนออกมาจากเบ้า เฟิงปิงเบิ่งตากว้าง ขบริมฝีปากแน่น
   “รูฟัส!”
   นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเฟิงปิงที่รูฟัสได้ยิน ก่อนที่เขาจะใช้สันมือกระแทกท้ายทอยของอีกฝ่ายให้สลบไป คำพูดที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว และความอาฆาตแค้น
--------------------------------
   “รูฟัส?”   ฟ่งเรียกชื่อของหนุ่มชาวรัสเซียที่ยืนเหม่ออยู่หน้าเคาน์เตอร์เป็นรอบที่สาม ดูเหมือนร่างสูงจะสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมา “Что?”
   ฟ่งยกมือขึ้นเกาคิ้ว พลางคิดว่าอีกหน่อยเขาอาจจะต้องไปหัดเรียนภาษารัสเซีย
   “ดูหนังรึเปล่าครับ?” ชายหนุ่มถาม แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าแปลกใจ
   “เอ้อ Do you want to watch movie?”
   “Yes, which one?”
   “อืม... มาลองเลือกดูไหมครับ” ฟ่งพูด พลางขยับตัวลุกออกจากเก้าอี้เดินตรงไปยังโต๊ะวางโทรทัศน์ เขารู้สึกเกรงใจรูฟัสอยู่บ้างที่จู่ๆ ก็เรียกมาอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้ ชายหนุ่มรื้อดีวีดีภาพยนตร์ที่ซื้อเก็บเอาไว้ออกมาจากชั้น พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาเผชิญมาเมื่อสองวันก่อน
   รถยนต์ยี่ห้อนิสสัน เซฟีโร่สีดำขับเข้ามาจอดภายในลานจอดรถของคอนโดเพื่อรับตัวเขา ความจริงน่าจะเรียกว่าการขู่บังคับให้ขึ้นรถเสียมากกว่า ชายหนุ่มหน้าสวยที่มากับรัตน์เมื่อคราวก่อนเป็นคนผลักเข้าขึ้นไปบนรถ ก่อนจะเบียดตัวเข้ามานั่งข้างๆ ภายในรถมีชายวัยฉกรรจ์อีกสองคนซึ่งฟ่งไม่เคยเห็น คนหนึ่งทำหน้าที่ขับรถ ส่วนอีกคนนั่งขนาบเขาอีกด้านหนึ่ง ฟ่งทราบในภายหลังว่าหนุ่มหน้าสวยคนนั้นมีชื่อว่า เดช
   ทันทีที่ขึ้นมาบนรถ เขาถูกใส่กุญแจมือและผูกผ้าปิดตาทันที ฟ่งรู้สึกโมโห แต่วัตถุแข็งทรงกระบอกที่พอจะเดาเอาได้จากสัมผัสว่าเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพทำลายล้างในระยะประชิด ที่มาจ่ออยู่บริเวณสีข้างทำให้เขาต้องกล้ำกลืนคำพูดเอาไว้ ตลอดเวลาราวหนึ่งชั่วโมงของการเดินทางนั้นเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงถอนหายใจ
   ชายหนุ่มถูกผลักลงจากรถอีกครั้ง ก่อนจะถูกจูงผ่านพื้นหญ้าหยาบๆ ที่ชื้นแฉะ ไปยังพื้นที่คิดว่าน่าจะเป็นหินขัดหรือหินอ่อน ผ้าคาดตาถูกปลดออก หลังจากที่เขาก้าวผ่านสิ่งที่คิดว่าเป็นลิฟต์ออกมาได้ซักสามสิบก้าว สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือ อุโมงค์ดินขนาดมโหฬารที่โครงสร้างผิวนอกถูกค้ำยันไว้ด้วยโครงสร้างเหล็กชิ้นบางๆ เท่าท่อพีวีซีขนาดสองหุนครึ่ง ฟ่งยืนตกตะลึง ลืมเรื่องที่ทำให้โมโหเมื่อครู่ชั่วคราว โครงสร้างเหล็กพวกนี้เป็นผลพวงมาจากนาโนเทคโนโลยีอย่างไม่ต้องสงสัย เขาคาดไม่ถึงเลยว่าเหล็กบางๆ เหล่านี้จะรับน้ำหนักดินจำนวนหลายตันที่กองถมอยู่โดยรอบได้ กับนวัตกรรมแบบนี้บางทีอาจจะเหมาะกับงานออกแบบของเขาก็ได้
   คนงานที่สวมชุดสีขาวตัดกับสีชั้นของดิน ง่วนอยู่กับการทำงานโดยไม่สนใจผู้ที่มาใหม่ ฟ่งกวาดสายตาดูโดยรอบ คนงานทั้งหมดมีราวๆ ยี่สิบ ท่าทางเหมือนกำลังจัดเตรียมของบางอย่าง บางส่วนกำลังตกแต่งพื้นผิวของอุโมงค์ รัตน์เดินออกมาจากกลุ่มคนงานกลุ่มหนึ่ง ดู
เหมือนเขาจะเพิ่งเสร็จจากการสั่งงาน
   “ดีใจที่คุณมาถึงที่นี่ได้นะครับ” เขาพูดพลางล้วงกุญแจดอกเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ ปลดล็อคกุญแจมือที่คล้องอยู่ออก ฟ่งลูบข้อมือตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป รัตน์จึงพูดต่อ
   “นี่เป็นสถานที่ที่เราจะทำเป็นห้องน่ะครับ คุณเห็นว่าไง?”
   “ไม่เห็นบอกผมมาก่อนเลยว่าอยู่ใต้ดิน” ฟ่งพูดเรียบๆ พยายามรักษาสภาพอารมณ์ในอยู่ในระดับปกติ
   “คือ เราอยากให้คุณเห็นสถานที่จริงเอง บอกไปอาจจะไม่ชัดเจน”
   ฟ่งส่งเสียงอืมในลำคอ พลางเงยมองด้านบนสุดของอุโมงค์ มันคงจะสูงราวๆ ยี่สิบสามสิบเมตร
   “ผมอาจจะต้องออกแบบระบบระบายอากาศด้วย ตอนนี้คุณมีแค่เครื่องทำออกซิเจนสินะ”
   “ครับ จริงๆทางเราก็อยากจะทำเรื่องระบบระบายอากาศให้เสร็จก่อน”
   “อืม ผมคงต้องขอทราบรายละเอียดทั้งหมดของอุโมงค์นี้หน่อยนะครับ พวกความลึก ความกว้างอะไรพวกนี้”
   “มาทางนี้เลย” รัตน์พูด พลางเดินนำออกไป ฟ่งเดินตามโดยมีเดชเดินคู่ไปด้วย รัตน์พาเขาเลี้ยวเข้าไปในมุมหนึ่งของอุโมงค์ ที่นั่นมีห้องอยู่ห้องหนึ่ง หรือถ้าจะพูดตามภาพที่เห็นน่าจะเรียกกว่ากล่องกล่องหนึ่งเสียมากกว่า มันเป็นกล่องสีขาวขนาดราวๆ สี่คูณห้าเมตร ที่ออกแบบคล้ายห้องพัก ชายวัยกลางคนบิดลูกบิดประตูสีเงิน พาทั้งหมดเข้าไปในห้อง
   ห้องนั้นถูกตกแต่งไว้อย่างง่ายๆ แต่ดูมีระเบียบ มีโต๊ะเขียนแบบ ห้องน้ำ เตียงนอน คอมพิวเตอร์ระบบแมคอินทอช โต๊ะทำงาน และเก้าอี้
   “ข้อมูลทั้งหมดที่คุณต้องการเราได้รวบรวมมาไว้ในนี้แล้ว” รัตน์ผายมือไปยังกองเอกสารขนาดต่างๆที่วางกองอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะพูดเสริม “หรือคุณจะดูเอาจากโน้ตบุ๊คเครื่องนั้นก็ได้”
   ฟ่งมองไปยังโน้ตบุ๊คเครื่องสีดำที่วางอยู่ใกล้ๆ กับกองเอกสาร ก่อนจะเดินเข้าไปเปิดดูเอกสารทั้งหมดแบบผ่านๆ
   “คุณคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมถ้าผมจะเอาเอกสารพวกนี้กลับไปด้วย” ชายหนุ่มพูด ขณะหยิบเอาเอกสารที่ดูคล้ายพิมพ์เขียวของอุโมงค์ขึ้นมาดู
   “อันนั้นเห็นทีว่าจะทำไม่ได้ล่ะครับ” รัตน์พูด
   “แล้วผมจะทำงานได้ยังไง” เสียงของฟ่งมึนตึงขึ้น เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมามองหน้าของอีกฝ่าย
   “คุณก็ทำงานที่นี่ไง” รัตน์พูด น้ำเสียงฟังดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่นั้นทำให้ฟ่งวางเอกสารลงและหันหน้ามาทันที
   “ผมไม่ทำ” น้ำเสียงนั้นแม้จะไม่ดังมาก แต่แข็งกร้าวและแฝงแววรั้นเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด รัตน์ถอนหายใจ บางทีเขาอาจจะรู้สึกเหมือนกำลังรับมือกับเด็กที่พยายามจะเอาแต่ใจคนหนึ่ง
   “ไม่เอาน่า คุณอภิวัฒน์ คุณก็รู้ว่าข้อมูลของเราเป็นความลับ จะให้เอาออกไปคงทำไม่ได้หรอก”
   ฟ่งพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “คุณรัตน์ ผมจะพูดให้คุณฟังชัดๆ อีกครั้ง ผมไม่ทำ! วิธีการตั้งแต่ที่คุณไปเจรจากับผม รวมกับวิธีที่คนของคุณพาผมมาที่นี่ นั่นก็ทำให้ผมแทบจะเหลืออดอยู่แล้ว นี่คุณยังจะมาให้ผมต้องทำงานในสถานที่อุดอู้ใต้ดินที่ไม่รู้เดือนรู้ตะวันนี่อีก ผมทำไม่ได้ คุณเข้าใจรึเปล่า?!”
   เสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ รัตน์หน้าเครียดขึ้น
   

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #19 เมื่อ23-05-2011 21:25:18 »

“คุณอภิวัฒน์ ไม่ว่าคุณจะอ้างเหตุผลยังไงก็ตาม ตอนนี้คุณได้มาอยู่ที่นี่แล้ว คุณไม่มีสิทธิ์จะต่อรองอะไรกับผมทั้งนั้น คุณจะต้องทำงานอยู่ที่นี่!”
   “คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งผม!” ฟ่งพูดสวนขึ้นทันที น้ำเสียงแทบจะตะโกน ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว
   “คนอย่างคุณคงไม่รู้สึกจนกว่าจะโดนจริงๆ สักครั้งสินะ” รัตน์พูดเสียงเรียบๆ แต่แผงไว้ด้วยความอำมหิต เขาเดินเข้ามาใกล้ “ตอนนี้ผมอาจจะตัดขาคุณ ทำให้คุณเดินไม่ได้ หรือฉีดยาเสพติดให้คุณ จนคุณติดจนถอนตัวไม่ขึ้น คุณอภิวัฒน์ ยังมีเรื่องเลวร้ายอีกหลายอย่างที่คุณคิดไม่ถึง”
   “อย่างนั้นก็เชิญคุณทำเลย ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า ตอนผมขาขาด ยังจะมีอารมณ์ทำงานให้คุณอีกรึเปล่า” ฟ่งใช้มือกวาดเอกสารทั้งหมดลงจากโต๊ะ แทบจะพรัอมกับที่พูดจบ รัตน์อ้าปากค้าง ก่อนจะตบหน้าอีกฝ่ายด้วยความโกรธ ร่างบางเสียหลักเล็กน้อย ก่อนจะชกกลับ หมัดนั้นโดนใบหน้าคู่สนทนาเข้าอย่างถนัดถนี่ จนพวกคนงานที่ทำงานอยู่ต้องวิ่งมาดึงตัวชายหนุ่มเอาไว้
   รัตน์เช็ดเลือดที่ติดอยู่ตรงมุมปาก ก่อนจะหันมามองคู่กรณีที่โดนล็อกตัวอยู่ เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากมุมปากของฟ่ง นัยน์ตาสีดำคู่นั้นลุกโพลงด้วยความโกรธเกรี้ยวและบ้าคลั่ง เหมือนพร้อมจะพุ่งเข้าใส่อะไรก็ได้โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง
   “บ้าชิบ”   ชายวันกลางคนสบถ ก่อนจะต่อยเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายอย่างแรง ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาขุ่นแค้น ก่อนจะหมดสติไป
----------------------------------------
   ชายหนุ่มรู้สึกตัวเองอีกทีตอนที่นอนอยู่บนเตียงสีขาว มีผ้าชุบน้ำเย็นโปะอยู่ตรงแก้ม ผู้ชายผมสีดำแซมขาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขอบเตียง ฟ่งผุดลุกขึ้น ชายคนนั้นรีบยื่นมือเข้ามาช่วยพยุง
   “ต้องขอโทษแทนคนของผมมากๆจริงๆครับ” เสียงที่กล่าวออกมาดูสุภาพและถ่อมตัว ฟ่งพยายามหรี่ตามมองหน้าของอีกฝ่าย แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก เพราะเขาไม่ได้สวมแว่นตา ดูเหมือนชายคนนั้นจะยิ้มเล็กน้อย เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อน
   “แว่นของคุณเดี๋ยวผมจะคืนให้นะครับ ส่วนรายละเอียดงาน ผมให้คนเอาใส่โน้ตบุ๊คไว้ให้คุณแล้ว” น้ำเสียงที่เรียบง่ายและดูเป็นกันเองทำให้ฟ่งผ่อนคลายลง
   “ขอบคุณครับ คุณ..”
   “ทวีศักดิ์” อีกฝ่ายช่วยต่อคำพูดให้ ก่อนจะพูดเสริม “คุณอยากจะกลับเลยหรือเปล่าครับ หรือว่าจะอยู่ดูรายละเอียดสถานที่ต่ออีกหน่อย”
   ฟ่งมีทีท่าอึกอัก ความจริงเขาอยากจะกลับออกไปไวๆ ด้วยซ้ำ แต่ทีท่าของคนที่พูดคุยอยู่กับเขาตอนนี้ทำให้เขารู้สึกเกรงใจขึ้นมา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านใจเขาออก
   “ผมทราบเรื่องของคุณแล้ว ต้องขอโทษอีกทีจริงๆ ครับ ผมไม่รู้จะชดใช้ให้คุณยังไง เอาเป็นว่า ผมส่งคุณกลับเลยดีกว่า แล้วถ้าเกิดมีปัญหายังไง คุณค่อยติดต่อกลับมา ดีไหมครับ”
   “ก็ดีครับ” ชายหนุ่มตอบ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาในระดับหนึ่ง
   “คุณอยากได้อะไรเพิ่มเติมไหมครับ จำพวกรายละเอียดวัสดุ อะไรพวกนี้”
   เสียงนั้นถามต่อ ฟ่งสั่นศีรษะ ก่อนจะรีบพูดขึ้นเพราะนึกได้ “เอ่อ ถ้าไม่รบกวนมากไปนัก ผมขอตัวอย่างเหล็กที่ใช้ค้ำยันพวกนั้นด้วยได้ไหมครับ มันดูน่าสนใจมากเลย”
   “ได้สิครับ เดี๋ยวผมจะให้คนเตรียมไว้ให้ มันจะอยู่ในกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คตอนที่คุณกลับขึ้นไปแล้วน่ะครับ แต่ผมคงต้องรบกวนคุณอีกรอบนะครับ คุณต้องปิดตาก่อนจะกลับขึ้นไป โอเคไหมครับ”
   ฟ่งหัวเราะแห้งๆ “ได้ครับ แต่ไม่ต้องล็อกกุญแจมือผมหรอก”
   “อ่า” น้ำเสียงของอีกฝ่ายมีทีท่าสำนึกผิด “เรื่องนั้นผมได้กำชับเอาไว้แล้วนะครับ ขอโทษมากๆ จริงๆ”
   ชายผู้ที่เรียกตัวเองว่าทวีศักดิ์มาส่งถึงบริเวณหน้าลิฟต์ ก่อนที่ฟ่งจะโดนปิดตาและกลับขึ้นไปด้านบน เขากลับมาถึงคอนโดในตอนหัวค่ำโดยรถคันเดิม แต่คราวนี้มีเพียงเขาและคนขับอีกหนึ่งคน ซึ่งไม่พูดไม่จาอะไรตลอดทาง
--------------------------------------
   ฟ่งสะดุ้งเมื่อลมหายใจอุ่นๆ สัมผัสหลังใบหู รูฟัสยื่นหน้ามาจบแทบจะชิดกับใบหน้าของเขา ก่อนจะมองข้ามไหล่ไปยังกองดีวีดีที่ถูกรื้อออกมา
   “ซื้อเก็บไว้เยอะเลยนะครับ”
   “ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” ฟ่งยิ้มฝืนๆ ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นทำให้เขาทำตัวไม่ถูก สองวันทีผ่านมา ฟ่งไม่สามารถบังคับตัวเองให้มีสมาธิกับงานได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอุโมงค์นั้นทำให้เขารู้สึกแย่ ฟ่งยอมรับอย่างจำใจว่าเขาต้องการที่พึ่ง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตามรูฟัสมาที่ห้องในวันนี้
   การมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนทำให้ฟ่งรู้สึกอุ่นใจขึ้น แต่เขายังทำตัวไม่ถูกเวลาที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับหนุ่มรัสเซียคนนี้อยู่ดี
   “แล้วคุณจะมาดูกับผมรึเปล่า?” รูฟัสถาม เขายังคงมองข้ามไหล่ของอีกฝ่าย ฟ่งนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง มันออกจะดูไม่มีมารยาทอยู่สักหน่อยที่เขาจะปลีกตัวไปทำงานต่อ และเขาก็นั่งทำงานติดกันมาหลายชั่วโมงแล้ว ลุกมายืดเส้นยืดสาย พักสมองบ้างก็ดี ชายหนุ่มผงกศีรษะ
   “งั้นผมไม่ดูล่ะ” รูฟัสพูด พลางรวบร่างบางเข้ามากอด ฟ่งตกใจจนเผลอทำกล่องดีวีดีหลุดมือ
   “ทำอะไรน่ะ?!”
   เสียงกล่องกระแทกของกล่องพลาสติกดังขึ้นในจังหวะเดียวชายหนุ่มเสียหลักหงายหลังตกเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
   “คุณคิดว่าผมจะทำอะไรล่ะ?” รูฟัสกระซิบ พลางขบใบหูของอีกฝ่ายเบาๆ
   “อ๊ะ!” ฟ่งร้องอุทาน รู้สึกร้อนวาบไปทั่วตัว เขาพยายามแกะมือที่เกาะกุมอยู่ออก
   “ผมต้องทำงานนะ” ร่างบางพยายามดิ้นรนขณะที่มือของรูฟัสเลื่อนเข้าไปในอกเสื้อ
   “ก็คุณเพิ่งบอกผมว่าจะมานั่งดูด้วยกัน”
   “แต่คุณไม่ได้ดูแล้วนี่” ฟ่งโวยวายสุดฤทธิ์ เขาผลักใบหน้าของอีกฝ่ายที่เบียดเข้ามาออก
   “รังเกียจผมเหรอ?” รูฟัสพูดเสียงละห้อย ลมหายใจอุ่นๆ ตรงหลังใบหู ทำเอาฟ่งปรับอารมณ์ไม่ถูก
   “ปะ..เปล่า” ร่างบางพูดเสียงค่อย ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา คนฟังอมยิ้ม
   “รู้หรือเปล่า สามสัปดาห์ที่ผ่านมานี่ผมคิดถึงคุณแค่ไหน?” รูฟัสพูดพลางไถใบหน้าไปตามลำคอของอีกฝ่าย ฟ่งหลับตาปี๋ขณะที่ถูกหอมแก้ม เขาไม่มีเวลาจะคิดหาคำตอบกับคำถามนั่นมากนัก รูฟัสลูบไล้ฝ่ามือลงบนร่างผอมบาง อ้าปากขบกัดใบหูที่เป็นสีแดงเรื่อเบาๆ ฟ่งสยิวร่างอย่างทนไม่ได้ สัมผัสนี้ทำให้เขารู้สึกวูบวาบ
   หนุ่มตาสองสีซุกหน้าเข้ากับซอกคออุ่น ไซ้มันจากด้านหลัง จูบขบติ่งหูและเริ่มประทับรอยรักลงบนผิวขาวผ่อง สองมือที่โลมลูบอยู่เลื่อนขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ห่อหุ้มร่างบอบบางโดยไม่ต้องใช้ตามองให้ยุ่งยาก ไม่นานนัก หัวไหล่เรียบเนียนก็ปรากฏขึ้นเมื่อรูฟัสดึงเสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมไปบางส่วนออก ชายหนุ่มฝังจูบลงไปบนหัวไหล่นั้นและดูดดุนมันอย่างเอาแต่ใจ
   ฟ่งรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงที่ถูกดูด เขามองไม่เห็นหน้ารูฟัส เนื่องจากฝ่ายนั้นอยู่ด้านหลัง ที่รู้สึกคือไอร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายสูงใหญ่ และสัมผัสเชิงลวนลามที่ส่อเจตนาเอาไว้อย่างชัดเจน แต่กระนั้นเขากลับไม่มีแรงพอจะส่งเสียงห้าม ได้แต่ขยับหนีไปมาอยู่ในอ้อมกอดแข็งแกร่ง ซึ่งยังไงก็คงหนีไม่พ้นอยู่ดี
   การรุกเร้าของรูฟัสหนักข้อขึ้นเมื่อเสื้อเชิ้ตถูกดึงรั้งจนลงไปกองที่แขน ปลายนิ้วมืออุ่นโลมไล้ผ่านไหล่กว้าง ไล่ไปตามเนินอก หยุดตรงยอดปลายสีอ่อน เพียงสะกิดเบาๆ ก็พอจะทำให้ร่างผอมบางสะดุ้ง ชายหนุ่มจูบขบเนินหัวไหล่ขาว ขณะที่สองมือบีบดึงยอดถันอุ่นอ่อน ฟ่งยันสองมือเข้ากับหน้าขาแกร่ง แอ่นร่างอย่างทนไม่ได้ เขาเม้มปากแน่น ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าพอถูกผู้ชายคนนี้สัมผัสแล้ว ทำไมร่างกายถึงได้ตอบสนองไวแบบนี้
   ท่าทางที่ฟ่งแสดงออกมาทำให้หัวใจของรูฟัสเต้นถี่ขึ้น ตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาแทบจะคิดเรื่องฟ่งอยู่ตลอด คิดถึงค่ำคืนที่มีสัมพันธ์กันลึกซึ้ง คิดถึงผิวละเอียดที่ได้สัมผัส คิดถึงเสียงครางกระเส่าที่อีกฝ่ายเปล่งออกมายามไปถึงจุด คิดถึงทุกๆ อย่างในตัวของคนข้างห้องคนนี้ ท่าทีเย็นชาในบางเวลาของฟ่งทำให้รูฟัสใจหาย เหมือนฟ่งจะไม่ชอบให้เขาทำตัวใกล้ชิด แต่ให้อยู่ใกล้กันแบบนี้ โดยไม่ได้แตะต้องเลยมันก็ดูจะทรมานตัวเขามากเกินไป รูฟัสยอมรับว่าเขาไม่มีรสนิยมเรื่องการขืนใจใครมาก่อน โดยปกติทุกคนก็วิ่งเข้าหาเขาจนคร้านจะหาเปลี่ยนได้รายวัน แต่กับฟ่งนั้นผิดกัน รูฟัสเป็นฝ่ายต้องการก่อน แถมยังต้องการเอามากๆ ด้วย ถึงขนาดถ้าใช้กำลังฝืนบังคับหัวใจกันได้ เขาคงจะทำไปแล้ว แต่เขาไม่อยากเห็นฟ่งร้องไห้อีก ดังนั้นรูฟัสจึงจำต้องหาโอกาสเหมาะๆ ทดลองเข้าหาคนข้างห้องดูอีกครั้ง
   ดูท่าฟ่งเองก็คงไม่ได้รังเกียจรังงอนเรื่องแบบนี้เท่าไหร่
   ร่างผอมบางสะดุ้งอีกครั้ง เมื่ออุ้งมืออุ่นล้วงผ่านสายเข็มขัดลงไปปลดตะขอกางเกงก่อนจะเลื่อนผ่านขอบชั้นในลงไปแตะส่วนปิดเร้นที่ซ่อนอยู่ เขาหันหน้ากลับไปมองรูฟัสด้วยความตกใจทันที ริมฝีปากได้รูปเคลื่อนเข้ามาผนึกริมฝีปากของเขาเอาไว้โดยไม่ยอมเปิดโอกาสใดๆ
   ฟ่งส่งเสียงครางหนักในลำคอ จูบของรูฟัสในคราวที่แล้วเมื่อเทียบกับคราวนี้ความรู้สึกกลับแตกต่างกันออกไป ครั้งที่แล้วรูฟัสจูบเขาแต่ละทีล้วนแต่เป็นการจูบที่ดุดันและรุกไล่อย่างไม่ยอมเปิดโอกาส แต่ครั้งนี้รูฟัสดูจะเปิดโอกาสมากขึ้น บางครั้งทำทีหยอกเย้าให้เขารุกกลับ ขณะที่กำลังนึกหาวิธีรับมือกับเรื่องดังกล่าว รูฟัสก็ถอดกางเกงของเขาออกจนไปกองอยู่ที่หัวเข่าแล้ว ร่างบางส่งเสียงเอะอะในลำคออีกครั้ง คล้ายจะโวยวายเรื่องกางเกงที่ถูกถอดออกไป รูฟัสจึงผละริมฝีปากออก จังหวะที่ฟ่งพยายามจะอ้าปากพูดหลังจากสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้ว ร่างของเขาก็ถูกจับพลิก ขณะที่กางเกงที่กองอยู่ถูกดึงพ้นขาและโยนไปข้างๆ ฟ่งหันมาเผชิญหน้ากับรูฟัสด้วยท่อนล่างเปลือยเปล่า และท่อนบนที่เกือบจะเปลือยจนหมด ขาสองข้างพาดเลยไปบนหน้าขาแกร่ง หนั่นตะโพกจึงวางอยู่บนตักของรูฟัสพอดิบพอดี ฟ่งรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางที่ดุนดันตะโพกของเขาอยู่ ความร้อนพุ่งวาบขึ้นมาจากท้องน้อยทันที ใบหน้าของเขาแทบจะชนกับใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาสองสีมองมาอย่างเป็นประกาย ขณะที่ริมฝีปากได้รูปมีรอยยิ้มเล็กๆ ฟ่งรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า เขายกมือขึ้นเพื่อผลักรูฟัสออกด้วยความเขินอาย แต่กลับถูกอีกฝ่ายรั้งข้อมือไว้ และเริ่มดูดดึงปลายนิ้วของเขาเข้าไปในปาก
   เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าการสัมผัสตามนิ้วมือสามารถปลุกอารมณ์รักได้ แต่ฟ่งไม่เคยคิดว่ามันจะใช้ได้จริงๆ จนรูฟัสทำกับเขาเมื่อหลายวันก่อน แค่ไม่กี่วินาทีหัวใจของเขาก็เบาหวิว ไม่ต้องเทียบกับที่ทำให้ในคราวนี้ รูฟัสใช้เวลาไม่นานก็ทำให้ฟ่งส่งเสียงครางแรกออกมาได้ นี่เพิ่งเริ่มแค่นิ้วมือเท่านั้นเอง ร่างบางสะท้านกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับอีกฝ่ายดูดดึงพลังชีวิตของเขาออกไปโดยผ่านปลายนิ้ว รูฟัสถอนริมฝีปากออก ก่อนจะยืนหน้าไปจูบริมฝีปากที่เผยออ้าอย่างเคลิบเคลิ้มนั้นอีกรอบ จูบครั้งนี้ดุดันจนฟ่งต้องตะกายมือขึ้นกอดหัวไหล่กว้างเอาไว้ด้วยความตกใจ ลมหายใจสะดุดเป็นห้วงๆ ขณะดื่มด่ำรสจูบวาบหวามที่ทำให้ร่างกายร้อนวูบวาบขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
   รูฟัสเพิ่งรู้ว่าฟ่งนอกจากจะเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวแล้ว ส่วนต่างๆ ของร่างกายก็ยังอ่อนไหวมากอีกด้วย เพียงแต่แตะเบาๆ ทางนั้นก็สะดุ้งอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะแตะต้องมากขึ้นไปอีก เขาผละออกจากริมฝีปากอุ่น ไล้จูบไปตามพวงแก้ม ซอกคอ เลยมาจนถึงเนินอกต่ำ ระหว่างนั้นฟ่งสะดุ้งแทบจะตลอด และเมื่อเขาดูดดึงยอดอกสีอ่อนที่ถูกกระตุ้นด้วยนิ้วมือเอาไว้ก่อนหน้า ร่างผอมบางก็สะดุ้งจนตัวโยน จิกเล็บลงมาบนไหล่ของเขาแทบจะในทันทีทันใด รูฟัสดูดดึงยอดอกนั้นจนอีกฝ่ายตัวสั่น ขณะที่ฝ่ามืออุ่นประโลมลูบท่อนล่างเปลือยเปล่าอย่างดุดัน ทั้งบีบทั้งขยำหนั่นตะโพกแน่น ฟ่งร้องครางเสียงพร่า รู้สึกเหมือนรูฟัสจะกลืนกินยอดอกของเขาเข้าไป ทั้งกัดทั้งดูดจนคัดตึงไปหมด ไม่ใช่แค่ข้างเดียว รูฟัสจัดการให้มันคัดตึงเท่ากันเกือบทั้งสองข้าง คราวนี้แค่เอาปลายนิ้วลูบผ่านๆ ฟ่งก็สะดุ้งจนแทบจะหน้าหงายแล้ว
   ร่างบางครางเสียงสั่น ยอดอกที่ถูกดูดดึงจนรู้สึกดียังไม่หนักหนาสาหัสเท่าส่วนกลางลำตัวที่กำลังถูกอุ้งมืออุ่นกอบเอาไว้ อุ้งมือและปลายนิ้วที่ขยับอย่างคล่องแคล่ว เรียกอาการคัดตึงจากส่วนนั้นของเขาได้ไม่ยาก ไม่นานนักฟ่งก็เริ่มหายใจติดขัด จังหวะและองศาในการดึงรูดที่รูฟัสใช้สมบูรณ์แบบ เผลอๆ จะดีเสียกว่าตอนที่เขาทำให้ตัวเองเสียอีก ประกอบกับจุดไวความรู้สึกบริเวณอกที่ถูกกระตุ้นต่อเนื่อง ฟ่งถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ด้วยอาการกระตุกเกร็งอย่างรุนแรง ร่างบางซบหน้าลงบนไหล่กว้างขณะที่หยาดหยดแห่งความสุขเปรอะเลอะบนเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
   รูฟัสถอนหายใจอย่างเอ็นดู ยกมือข้างที่ไม่เปื้อนลูบเรือนผมยุ่งเหยิงของอีกฝ่าย ฟ่งที่หอบหายใจฮั่กๆ และตัวร้อนผ่าวดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เขารอจนฝ่ายนั้นหายใจสงบลง จึงค่อยคืบปลายนิ้วที่เปรอะเปื้อนเข้าไปในช่องสงวนด้านหลัง
   ฟ่งเงยศีรษะขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาเห็นผ่านเลนส์แว่นพร่าเลือนคือใบหน้าได้รูปที่กำลังยิ้มกริ่ม รูฟัสยื่นหน้าขึ้นมาหอมแก้มเขา และจัดแจงดึงแว่นตาที่เอียงกระเท่เร่ออก ฟ่งสะดุ้งเมื่อรูฟัสจับร่างของเขายกขึ้น ส่วนแข็งขืนและร้อนผ่าวจ่อประชิดแอ่งตะโพกทันที ร่างบางร้อนวาบไปทั้งตัว เขามองหน้ารูฟัสไม่ชัด ไม่รู้ว่าทางนั้นทำสีหน้าอย่างไร แต่ในท่าทางแบบนี้ ทางนั้นคงเห็นเขาชัดเจนแทบทุกอย่าง ฟ่งอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รูฟัสก้มลงเล็มเลียหน้าท้องของอีกฝ่ายเบาๆ ผิวละเอียดทีเปลี่ยนเป็นสีชมพูเรื่อยิ่งทำให้ความต้องการเขาเขาพุ่งสูง ฟ่งนั้นดูน่ารักมากจริงๆ ในเวลาที่ร่วมรักกันแบบนี้ ความเขินอายและอาการสั่นกระตุกทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ กระตุ้นห้วงอารมณ์วาบหวามของผู้กระทำได้อย่างน่าตกใจ
   ส่วนร้อนผ่าวคัดตึงถูกดุนดันเข้ามาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ขณะที่ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่บนยอดอก ฟ่งขาสั่น ถ้าไม่มีมือของรูฟัสช่วยประคองเขาคงจะทรุดลงไปแล้ว มือแกร่งประคองตะโพกของเขาอย่างมั่นคงและกดลงไปอย่างช้าๆ ส่วนร้อนระอุค่อยๆ แทรกเข้าไปในช่องเปิดที่ถูกนวดคลึงจนขยายกว้าง ด้วยน้ำหนักตัวที่เป็นแรงกดอยู่แล้วส่วนหนึ่ง รูฟัสจึงสอดใส่เข้าไปจนสุดความยาวในเวลาไม่นานนัก แต่กลับทำให้ฟ่งส่งเสียงครางหนักแทบจะตลอดเวลา เทียบกันแล้วครั้งนี้ดูหนักหน่วงกว่าครั้งก่อนหน้าพอสมควร แต่ก็ยังไม่ถึงกับเจ็บมาก ร่างบางสั่นสะท้านไปตลอดทั้งตัว แค่อีกฝ่ายขยับร่างเพื่อให้ร่างกายได้สมดุลขึ้น เขาก็หลุดเสียงร้องครางออกมาแล้ว และเมื่อรูฟัสเริ่มต้นขยับจริงๆ ฟ่งก็แทบขาดใจตาย
   ไม่รู้ว่าอยู่แบบนั้นนานเท่าไหร่ รู้เพียงว่ากว่าที่รูฟัสจะยอมเปลี่ยนท่า ร่างผอมบางก็หอบจนสั่นไปหมด ร่างสูงช้อนร่างสั่นเทาในอ้อมกอดวางลงบนพื้นพรม รั้งขาข้างหนึ่งขึ้นและกระแทกกระทั้นเข้ามาอีกรอบ ฟ่งร้องเสียงหลง ความวาบหวามรุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้าแทบจะพาสติของเขาให้โบยบิน ในบทเพลงรักที่เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ถ้อยคำพร่าเลือนถูกกระซิบออกมา
“Я вас люốлю”
-------------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My neighbor is a spy
« ตอบ #19 เมื่อ: 23-05-2011 21:25:18 »





ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #20 เมื่อ23-05-2011 21:26:59 »

บทที่8 YOU’RE MY HOME.
   รูฟัสโถมน้ำหนักทับร่างที่นอนอ้าขาอย่างหมดสภาพ หอบหายใจถี่หนัก ก่อนจะจูบเคลียพวงแก้มชื้นเหงื่อ ฟ่งปรือนัยน์ตาจนเกือบจะหลับ เรียวแรงเหมือนถูกสูบไปจนหมด เขาปล่อยให้รูฟัสซุกไซ้ไปตามใบหน้าและลำคออย่างแทบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใด สองคนนอนซบกันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ขณะที่หยาดความสุขอุ่นร้อนไหลเอื่อยอยู่ในร่าง ท้ายที่สุด ยังคงเป็นรูฟัสที่ขยับตัวได้ก่อน
   “อ๊ะ!!” ฟ่งหลุดเสียงร้องด้วยความตกใจเมื่อส่วนที่เชื่อมประสานหลุดออกจากกัน สีเลือดฝาดที่จางไปแล้วกลับมาอยู่บนเรือนร่างอีกครั้ง ขณะที่ของเหลวอุ่นระอุไหลเยิ้มออกมาอาบร่องตะโพก รูฟัสก้มลงมองเรือนร่างสีชมพูที่นอนแผ่อยู่เบื้องล่าง ก่อนจะจูบริมฝีปากแดงระเรื่อที่เผยออ้าอยู่อย่างรักใคร่ พลางใช้นิ้วมือหยอกเย้ายอดอกที่ยังคงตั้งชัน เหมือนต้องการจะเปิดฉากรักฉากใหม่อีกครั้ง ฟ่งสะดุ้ง พยายามส่งเสียงพูดกระก่อนกระแท่น
   “พะ...พอก่อน” น้ำเสียงถึงแม้จะเบา ก็ยังฟังได้ความหมายชัดเจน แต่ดูเหมือนคนอยู่ด้านบนจะไม่สนใจ ริมฝีปากร้อนก้มลงดูดดึงยอดอกสีอ่อนอีกครั้ง ฟ่งบิดกายอย่างอ่อนล้า แม้จะรู้สึกดีอยู่ แต่ร่างกายเขาทนรับเรื่องแบบนี้ไม่ไหวแล้ว
   “พอ...พอเถอะ....” ฟ่งยกมือไร้เรี่ยวแรงผลักศีรษะรูฟัสออก กระท่อนกระแท่นพูดอีกรอบ “พอเถอะ พอ...ผม..ขอร้องล่ะ”
   เสียงอ้อนวอนแผ่วเบาสิ้นเรี่ยวแรงฟังดูน่าสงสาร แต่กระนั้นฝ่ายกระทำก็ยังไม่ยอมหยุดมือ ฟ่งขมวดคิ้วมุ่น ไอ้ดีมันก็ดีอยู่หรอก แต่แบบนี้มันออกจะเกินไปหน่อย เขาพยายามจะปัดมือของรูฟัสออก และเมื่อไม่ได้ผล ฟ่งก็ใช้วิธีคำรามในลำคออย่างไม่พอใจแทน
ไม้นี้ดูเหมือนจะได้ผล อีกฝ่ายยอมละริมฝีปากออกในที่สุด แต่ก็ยังไม่วายพรมจูบไปทั่วเรือนร่างผอมบางและจุมพิตริมฝีปากอ่อนอีกครั้ง ฟ่งพยายามใช้มือปกปิดส่วนสงวนของตัวเอง เขายังต้องใช้เวลาหอบหายใจอีกสักพัก ถึงจะเรียกเรี่ยวแรงกลับคืนมาได้ ขณะที่รูฟัสยังคงคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง
   นอนนิ่งๆ อยู่พักใหญ่ ฟ่งถึงมีแรงลุกขึ้นมาได้ รูฟัสหยิบแว่นส่งให้ และช่วยประคองร่างที่ยังทรงตัวไม่มั่นไปยังห้องน้ำ ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลหันกลับมาแกะมือนั้นออกในตอนที่เดินไปถึงประตูห้องน้ำ
   “ผมอาบน้ำคนเดียวได้”
   รูฟัสได้แต่ยิ้มแห้งๆ ขณะที่ประตูถูกปิดดังปัง ไม่รู้ว่าฟ่งจงใจปิดประตูใส่หน้าเขาด้วยรึเปล่า ชายหนุ่มเดินกลับมานั่งบนโซฟา ยอมรับว่าเขาเองอาจจะต้องการมากไปหน่อยจริงๆ แต่ฟ่งน่ารักขนาดนี้ใครจะไปทนไหว รูฟัสถอนหายใจยืดยาว หวังว่าฟ่งคงจะงอนไม่นาน เขาไม่อยากถูกเจ้าตัวเมินใส่แบบในครั้งแรกอีก ร่องรอยความวาบหวามยังคงเปรอะอยู่บนเสื้อผ้า คงต้องรอให้ทางนั้นอาบน้ำเสร็จแล้วค่อยไปล้างออก
---------------------------------------------
   ร่างบางพาดผ้าเช็ดตัวกับราวในห้องน้ำ แล้วเดินมาเปิดฝักบัวด้วยขาที่ยังสั่นเทา สายน้ำเย็นตกกระทบศีรษะ ฟ่งยกมือขึ้นลูบตะโพก ล้างเอาคราบรอยแห่งอารมณ์ที่ยังคงสดใหม่อยู่ออก ขายังคงสั่นอยู่ แม้จะรู้สึกดีจนเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกอับอายและหงุดหงิด ที่ยอมให้ผู้ชายด้วยกันมีอะไรด้วย แถมยังเป็นฝ่ายรับอีก ฟ่งรู้สึกเสียศักดิ์ศรีความเป็นชายอย่างไรพิกล
   หลังจากชำระล้างร่างกายจนเป็นที่พอใจแล้ว ฟ่งก็ก้าวออกมาจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวครึ่งตัว ปล่อยให้น้ำหยดจากศีรษะลงบนพรม เขาเหลือบไปมองร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองอยู่หลายส่วน ทั้งๆ ที่รูฟัสเองก็ดูไม่มีความผิดอะไร ขณะที่กำลังนึกประชดในใจว่าดีจริงๆ ที่ทางนั้นไม่ต้องล้างคราบอะไรให้ยุ่งยาก สายตาก็เหลือบไปเห็นรอยเปรอะบนชายเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่าย ฟ่งหน้าแดงวูบ รอยเยอะขนาดนั้น ของเขาเองทั้งหมดเลยหรือ?
   “ผะ..ผมเอาเสื้อมาให้คุณเปลี่ยนดีกว่า” ชายหนุ่มพูดตะกุกตะกัก พลางถอดแว่นที่เลอะหยดน้ำจากเรือนผมออกมาเช็ดกับปลายผ้าเช็ดตัวแก้เขิน ฟ่งจำไม่ได้ว่าตัวเองถึงจุดไปกี่ครั้ง แต่อย่างน้อยๆ คงไม่ต่ำกว่าสอง คิดถึงตรงนี้ร่างกายก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ได้ยินเสียงรูฟัสพูดอ่อนโยน
   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมล้างเอาก็ได้”
   ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลพยักหน้า ทั้งๆ ที่ยังก้มเช็ดแว่นอยู่ รูฟัสต้องพยายามห้ามตัวเองอย่างหนัก ร่างของฟ่งที่เต็มไปด้วยรอยจูบ แถมยังเปลือยท่อนบน ลำพังแค่ผมเปียกน้ำก็ดูเซ็กซี่แทบตายแล้ว เจ้าตัวดันจะมาถกปลายผ้าเช็ดตัวขึ้นเช็ดแว่นอีก ไม่รู้เลยหรือว่าคนที่เขายืนมองขาขาวๆ อยู่จะรู้สึกยังไง รูฟัสตัดใจหลับหูหลับตาเดินเข้าห้องน้ำ เพราะขืนอยู่คุยต่อเขาคงมีอันต้องหน้ามืดอีกครั้งหนึ่งแน่ๆ
   รูฟัสกลับออกมาจากห้องน้ำและรู้สึกโล่งใจที่ฟ่งสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาคลี่ยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟา แต่กลับได้รับสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งเป็นการตอบแทน
   หรือฟ่งยังมีเรื่องอะไรไม่พอใจเขาอีก?
   ความจริงฟ่งไม่ได้ไม่พอใจรูฟัส เพียงแต่รู้สึกกระอักกระอวนที่ถูกฝ่ายนั้นกด แล้วตัวเขาเองก็ดันยอมง่ายๆ ทั้งๆ ที่ฟ่งแน่ใจว่าเขาไม่เคยมีรสนิยมผิดเพศแบบนี้มาก่อน คิดมาคิดไปยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แต่พอเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของรูฟัส ความหงุดหงิดนั่นก็เหมือนหายไปครึ่งหนึ่ง ฟ่งขัดใจส่วนนี้ของตัวเองจริงๆ ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ
   “โกรธผมหรือครับ?” รูฟัสเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ขณะเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาสองสีที่มองมาอย่างวิงวอนขอความเมตตาทำเอาฟ่งต้องก้มหน้าหลบพร้อมกับสั่นศีรษะ ได้ยินเสียงฝ่ายนั้นพูดขึ้นต่อ
   “งั้นมองผมหน่อยสิครับ” ฟ่งตอบรับคำขอนั้นด้วยการเหลืองตาขึ้นมองคนพูดแวบหนึ่ง และก็ถูกวงแขนแกร่งรวบเอาไว้ทันที รูฟัสก้มลงมองใบหน้าที่แดงเป็นลูกมะเขือเทศอย่างนึกสนุก ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ
   “หัวเราะอะไร?” คนมีรูปร่างผอมบางกว่าส่งเสียงถามอย่างสงสัย รูฟัสยิ้มกริ่ม ยกมือเชยคางของอีกฝ่ายขึ้น โน้มหน้าไปใกล้ แก้มของฟ่งที่ยิ่งแดงอยู่แล้วแดงเข้าไปอีกเมื่อสัมผัสกับลมหายใจอุ่น ริมฝีปากได้รูปของหนุ่มตาสองสีเอ่ยคำพูดแผ่วเบา
   “เวลาคุณอาย น่ารักจัง”
   ฟ่งอ้าปากค้าง พูดไม่ออกแล้วจริงๆ เมื่อเจอประโยคตอบแบบนี้ ระหว่างนั้นคนข้างห้องก็ขโมยจูบเขาอีกรอบ หนุ่มสวมแว่นยกมือขึ้นปิดปาก ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง
   “ปล่อยผมนะ!” คนถูกกอดโวยวายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อยมือ รูฟัสทำหน้าน่าสงสารก่อนกล่าวสืบเนื่อง
   “สัญญาก่อนสิครับว่าจะไม่โกรธผม”
   ฟ่งถลึงตาใส่อีกฝ่ายทั้งที่แก้มยังแดงระเรื่อ ก่อนจะพูดเร็วปรื๋อ “ถ้าคุณยังไม่ปล่อย ผมจะโกรธคุณเดี๋ยวนี้แหละ”
   รูฟัสหัวเราะในลำคออีกครั้ง แต่ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ทันทีที่หลุดออกมาได้ ฟ่งรีบยันตัวถอยกรูดจนติดพนักพิงโซฟา เหลือบตาขึ้นมองรูฟัสขึ้นๆ ลงๆ พอสบเข้ากับนัยน์ตาสีแปลก ก็เฉไปมองทางอื่น
   “ลงไปซื้อข้าวให้ผมหน่อยสิ” ร่างบางเอ่ย ปกติเขาไม่ใช่คนที่อยากออกคำสั่งหรือใช้ให้ใครทำอะไรให้ แต่ครั้งนี้เห็นที่จะต้องให้รูฟัสรับผิดชอบการกระทำตัวเองบ้าง ขาของเขาที่ตอนนี้ยังสั่นกึ่กๆ ก็เพราะทางนั้นเป็นต้นเหตุ จะให้เดินลงไปทั้งๆ ที่ตัวยังเบาหวิวอย่างนี้คงไม่แคล้วได้เข่าอ่อนระหว่างทางแน่ๆ
   รูฟัสคลี่ยิ้มอ่อนโยน เขาฉวยมือเรียวของผู้ที่นั่งอยู่ขึ้นมา จุมพิตลงไปเบาๆ ก่อนเอ่ยสั้นๆ “As you wish, my lord.”
--------------------------------------------
   เสียงปิดประตูไม่ได้ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ริมระเบียงสนใจหรือแม้แต่จะหันมามอง ลมทะเลพัดสาดเข้ามาในห้อง พร้อมกับกลิ่นบางอย่างที่ทำให้ผู้เดินเข้ามาใหม่ขมวดคิ้ว
   “สูบบุหรี่อีกแล้วหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยทักเจ้านายของเขา เว่ยเฟิงปิงเคาะก้นกรองบุหรี่ที่จำจากเงินลงบนราวสเตนเลสเบาๆ ขี้เถ้าสีขาวปลิวไปตามแรงลม ก่อนจะยกขึ้นมาจรดริมฝีปาก ควันสีขาวลอยละล่องไปบนอากาศก่อนจะม้วนตัวหายไป ปกติเว่ยเฟิงปิงไม่ใช่คนที่สูบบุหรี่จัดนัก เขามักจะสูบในเวลาที่รู้สึกกดดันหรือมีเรื่องน่าหนักใจให้ต้องขบคิด  จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจ ทำท่าจะอ้าปากห้าม แต่แล้วก็ต้องกล้ำกลืนคำพูดไว้ เพราะรู้ดีว่ามันจะไม่มีผลต่อเจ้านายของเขาแต่อย่างใด นอกจากจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้น
   “ถ้ามีเรื่องจะพูดแค่นี้ก็กลับออกไปซะ” เว่ยเฟิงปิงพูด พลางเดินกลับเข้ามาในห้อง ขยี้ก้นบุหรี่ลงบนที่เขี่ยบุหรี่คริสตัลที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองผู้ที่ยืนอยู่กลางห้อง จางซื่อเยี่ยนรอให้เฟิงปิงจัดการกับก้นบุหรี่จนเสร็จ เขาชินชากับคำพูดที่ไม่แยแสสนใจแบบนี้ของเจ้านายเสียแล้ว แม้ว่าบางครั้งมันอาจจะทำให้เขารู้สึกน้อยใจและเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่เทียบกับสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงเคยเผชิญมา
   “มีโทรศัพท์จากเจ้านายใหญ่ถึงคุณ”
   “คุณพ่อน่ะรึ?” เสียงของเว่ยเฟิงปิงกระด้างขึ้น จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือให้ ผู้เป็นเจ้านายยื่นมือเรียวขาวออกมารับ ก่อนจะยกขึ้นแนบหู
   ซื่อเยี่ยนถอยฉากหลบออกจากห้อง ไม่ใช่เรื่องสมควรนักที่เขาจะยืนอยู่ระหว่างที่คนทั้งคู่สนทนากัน

   “คุณพ่ออยากได้ข้อมูลลับของ ริเวิล” เว่ยเฟิงปิงก็พูดออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ขณะยื่นโทรศัพท์คืนให้เขา
   “ทำอย่างกับว่าฉันจะได้ตัวหมอนั่นแน่นอนงั้นแหละ” เสียงนั้นขึ้นจมูกอย่างไม่ค่อยพอใจนัก จางซื่อเยี่ยนสอดมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
   “เข้ามาก่อนสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” เว่ยเฟิงปิงผลักประตูให้เปิดออก เดินกลับเข้าไปในห้อง จางซื่อเยี่ยนเดินตามเข้ามา ผู้เป็นเจ้านายนั่งปุลงบนเก้าอี้บุนวมที่วางอยู่ข้างโต๊ะ นัยน์ตาสีฟ้านั้นวาวโรจน์ราวกับสัตว์ร้าย
   “ฉันจะกลับเข้ากรุงเทพพรุ่งนี้ นายช่วยจัดการเรื่องการเดินทางด้วย”
---------------------------
   แสงจันทร์สีเงินยวงสาดลงมาต้องร่างเพรียวบางที่อยู่ตรงระเบียงในเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาว ไฟสีแดงตรงปลายบุหรี่สว่างวาบเป็นพักๆ ควันสีขาวลอยขึ้นบนอากาศก่อนจะม้วนหายไปกับสายลม ดูเหมือนลมทะเลจะทำให้บุหรี่ไหม้เร็วขึ้น คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยก้าวเท้ากลับเข้ามาในห้อง ขยี้บุหรี่ในมือลงบนที่เขี่ยบุหรี่ที่เต็มจนแทบจะล้น ก่อนจะเปิดกล่องใส่บุหรี่ที่ทำจากเงินอันวางอยู่บนโต๊ะออก และพบว่ามันว่างเปล่าเสียแล้ว เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ มีไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เขาสูบบุหรี่จัดขนาดนี้ แน่นอนว่าแทบทุกครั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายที่มีชื่อว่ารูฟัส
   ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะหาบุหรี่มาสูบต่อ เพราะรู้ดีว่าลูกน้องตัวดีคงจะจัดการเอาไปซ่อนหมดแล้ว โดยปกติจางซื่อเยี่ยนไม่ใช่คนที่แสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวบ่อยนัก หลายครั้งที่เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดเวลาที่คุยด้วย มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังสั่งงานกับหุ่นยนต์ที่ไม่เคยตอบสนองต่ออารมณ์ใดๆ แต่ถึงกระนั้นซื่อเยี่ยนก็ยังไม่เคยทำงานพลาดเลยสักครั้ง นั่นยิ่งทำให้เว่ยเฟิงปิงอยากจะเรียกเขาเสียใหม่ว่า มิสเตอร์โรบอท บางทีการที่จางซื่อเยี่ยนชอบขัดเวลาที่เขาสูบบุหรี่ อาจจะเป็นเพราะคำสั่งของผู้ที่เขาเรียกว่า คุณพ่อ ก็เป็นได้
   เฟิงปิงหันมาเปิดตู้เย็น ก่อนจะขมวดคิ้ว เมื่อพบว่าเหล้าที่แช่ไว้ถูกเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหมด ร่างบางแค่นหัวเราะ ก่อนจะหยิบแก้วที่วางอยู่หลังตู้เย็นมารินน้ำลงไป ถึงเขาจะโทรไปต่อว่าจางซื่อเยี่ยนตอนนี้ ก็คงไม่พ้นได้รับคำตอบว่า
ผมไม่อยากแบกคุณขึ้นรถพรุ่งนี้
   ชายหนุ่มยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม พลางเดินกลับออกไปตรงระเบียง
   กรุงเทพ สถานที่ที่เขาผ่านตอนที่ลงจากเครื่องบิน สถานที่ที่เขาเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เฟิงปิงทราบจากจางซื่อเยี่ยนว่ากรุงเทพนั้นกว้างและอันตรายกว่าฮ่องกง วันพรุ่งนี้แล้วสินะที่เขาจะไปยืนอยู่ในเมืองเดียวกับชายที่เขาตามหามากว่าห้าปี
   ถ้าหากบังเอิญเดินสวนกันคนคนนั้น เขาจะทำตัวยังไงนะ
   เฟิงปิงแค่นหัวเราะ
   นั่นไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเลย เขาควรจะกังวลเรื่องการสืบหาที่อยู่ของรูฟัสมากกว่า
   ริมฝีปากบางเรียบปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน น้ำตาหยดเล็กๆไหลซึมออกมาจากดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้น
------------------------------
   กว่าจางซื่อเยี่ยนจะกลับมาถึงที่พักก็เป็นเวลาเกือบๆ ตีหนึ่ง การหาเช่ารถไปกรุงเทพในวันรุ่งขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่เคยทำมาก่อน
   “อ้าว พี่จาง” เสียงคุ้นเคยร้องทัก ซื่อเยี่ยนโบกมือให้เด็กหนุ่มวัยราวๆ สิบแปดสิบเก้าปี ผู้ที่เฟิงปิงเรียกว่า อาเง็ก เพราะปานเขียวที่คอของเขา
   “พี่หิวหรือเปล่า อาโจวมันเพิ่งลงไปหาซื้อของกิน พี่จะรอกินด้วยกันเลยไหม”
   จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า ก่อนจะถามขึ้น “คุณชายล่ะ?”
   “คงนอนแล้วล่ะครับ เห็นเข้าห้องไปตั้งแต่หัวค่ำ”
   “อืม...พวกนายเตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้วหรือ?”
   อาเง็กพยักหน้า
“รถออกบ่ายสองนะ ฉันให้เข้ามาที่นี่เลย”
   “ครับ” อาเง็กพยักหน้า ก่อนจะมองดูซื่อเยี่ยนเดินหายลับไป เขาอดทึ่งกับการทำงานราวกับหุ่นยนต์ของชายคนนี้ไม่ได้

   จางซื่อเยี่ยนเดินมาหยุดหน้าห้องของผู้เป็นนาย ยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะไขกุญแจเข้าไปในห้อง แสงไฟสีส้มแดงจากโคมไฟเหนือหัวนอนทาบลงบนร่างเพรียวบางที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่  เสื้อคลุมอาบน้ำที่คาดไว้หลวมๆ ทำให้เห็นสัดส่วนต่างๆ ของเรือนร่างนั้นค่อนข้างชัดเจน จนคนมองอดใจเต้นไม่ได้
   “มีอะไร?” เว่ยเฟิงปิงถามเสียงเรียบๆ เมื่อเห็นว่าผู้เข้ามาไม่ยอมพูดอะไรซักที
   “ผมมาเรียนว่า พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันตอนบ่ายโมง ขอให้คุณเตรียมตัวด้วยครับ”
   “อือ” เว่ยเฟิงปิงขานรับในลำคอ ยังคงไม่ละสายตาจากหนังสือที่อ่าน ดูเหมือนมันจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับประเทศไทย จางซื่อเยี่ยนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีคำสั่งอะไรแน่แล้ว จึงถอยกลับออกไป

   ภาพเรือนร่างของเฟิงปิงเมื่อครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว จางซื่อเยี่ยนหอบหายใจ ขณะที่ของเหลวสีขาวขุ่นไหลทะลักออกมากองอยู่ตรงหว่างขา ชายหนุ่มเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้ เสียงถอนใจดังขึ้น
   เขาไม่ควรคิดแบบนี้กับเว่ยเฟิงปิง
   เขาไม่ควรจะคิดเรื่องบ้าบอแบบนี้กับลูกชายของผู้มีพระคุณกับชีวิตของเขา
   จางซื่อเยี่ยนเอามืออีกข้างก่ายหน้าผาก ถอนหายใจยืดยาว
   ถึงจะรู้อยู่แก่ใจ แต่เขาก็ไม่อาจจะลบภาพนั้นออก ยิ่งไม่อาจลบความรู้สึกที่มีต่อเฟิงปิงได้ แม้ว่าความฝันเหล่านั้นไม่มีวันจะเป็นจริงเลยก็ตาม
------------------------------------------------
   ฟ่งล้มตัวลงนอนบนโซฟา พร้อมด้วยความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่าง เขาเพิ่งส่งงานส่วนที่สองไปเมื่อวาน  เป็นส่วนของโครงสร้างภายนอก และระบบป้องกันชั้นที่หนึ่ง เป็นเวลาร่วมสองสัปดาห์แล้วที่เขารับทำงานชิ้นนี้ ตอนแรกฟ่งยอมรับว่ารู้สึกกดดัน และไม่ค่อยพอใจนัก แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ เขากลับพบว่าตัวเองสนุกกับการออกแบบโครงสร้างที่น่าประหลาด และยากแก่การเข้าถึงนี้โดยไม่รู้ตัว เขานึกอยากเห็นหน้าคนที่จะมาทำลายระบบป้องกันเหล่านี้ ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกกลัวว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่แย่เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการ ถ้าหากตำรวจจะต้องบุกเข้าไปจับกุมคนในห้องนี้ล่ะก็...
   ชายหนุ่มไม่อยากคิดต่อ มันพาลจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นโรคประสาท ตอนนี้เขากลัวการที่จะต้องออกไปไหนมาไหนคนเดียว และเริ่มรู้สึกหวาดกลัวคนแปลกหน้า ได้แต่ชวนให้รูฟัสออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนด้วย ฟ่งคิดไม่ออกว่าหลังจากที่ทำงานเสร็จแล้วเขาจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง หรือว่าตัวเขายังจะรักษาชีวิตอยู่ได้อีกหรือไม่
   เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ความคิด เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ กดปุ่มรับสาย เสียงดัดๆ ที่ฟังดูแปลกหูดังแทบจะทะลุลำโพงออกมา
   “เฮ้ย! ฟ่ง นี่ฉันเองนะ พงษ์”
   “เออ มีอะไร” ฟ่งกรอกเสียงลงไป การได้ยินเสียงของเพื่อนเก่าอย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้น
   “อย่าบอกนะว่าลืม ห๊ะ?!” เสียงปลายสายแว๊ดขึ้นมาทันที ฟ่งยกมือเกาหู พลางนึกว่าเขาลืมอะไร
   “โทษที พักนี้ทำงานจนเบลอน่ะ”
   เสียงสบถดังขึ้นนิดหน่อย ก่อนอีกฝ่ายจะพูดต่อ “วันพฤหัสนี้มางานเลี้ยงรุ่นที่คณะด้วย ลืมได้ไงเนี่ย?!”
   “อ้อ โทษทีๆ” ฟ่งพูดขึ้นอย่างนึกได้ เขาลืมไปเสียสนิท วันพฤหัสนี้เป็นกำหนดส่งงานวันสุดท้ายเสียด้วย ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
   “นายเอาเอารถมารับฉันได้ไหม ฉันไม่มีรถ”
   “ได้ๆ เดี๋ยวฉันจะโทรนัดนายอีกที รักษาสุขภาพด้วยล่ะ อย่าตรากตรำมาก เดี๋ยวจะตายก่อนแก่”
   ฟ่งแหะๆ กับคำเตือน ก่อนที่อีกฝ่ายจะว่างสายไป เขาวางโทรศัพท์ลงที่เดิม ย้ายตัวเองไปหยุดตรงหน้าคอมพิวเตอร์ กดปุ่มเปิดเครื่อง แล้วนั่งแหมะลงบนเก้าอี้ หยิบเอาท่อทรงกระบอกสีเงินที่มีความยาวราวๆ สิบห้าเซ็นติเมตรที่วางอยู่บนโต๊ะวางจอขึ้นมาพลิกดู มันเป็นตัวอย่างวัสดุค้ำยันที่เขาขอมาจากทวีศักดิ์เมื่อตอนที่ไปรับงาน แม้ภายนอกมันจะดูเหมือนอลูมิเนียม แต่ผิวสัมผัสของมันเรียบลื่นเหมือนแก้ว ค่อนข้างจะโปร่งแสง ที่สำคัญมันสามารถยืดหยุ่นได้ในระดับหนึ่ง
   จู่ๆ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหยิบค้อนออกมาจากกล่องเครื่องมือ วางวัตถุทรงกระบอกนั้นบนพรม แล้วฟาดค้อนลงไปอย่างแรง ความรู้สึกชาวูบเข้าสู่ฝ่ามือที่กำค้อนอยู่ ฟ่งก้มลงไปมองท่อทรงกระบอกนั้น มันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เขาสะบัดมือไล่ความเจ็บปวด แล้วจึงเดินเอาค้อนไปเก็บ  ความคิดพิสดารผุดขึ้นในหัวสมอง
   น่าจะลองเอาไปให้รถเหยียบ
   ฟ่งนึกภาพตัวเองยืนซุ่มอยู่ข้างถนนรอให้รถมาเหยียบท่อแล้วอดขำไม่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจยาว กลับมาให้ความสนใจกับโปรเจคงานที่ยังคงทำค้างอยู่
   ลองมีวัสดุแบบนี้ ห้องพิสดารที่เขาเคยวาดฝันไว้คงจะปรากฏรูปโฉมในความเป็นจริงได้ไม่ยาก
-------------------------------
   เสียงเพลงWILL ALWAYS LOVE YOU ดังแว่วท่ามกลางเสียงพูดคุยเบาๆ ของบรรดาแขกเหรื่อซึ่งล้วนแต่เป็นสมาชิกระดับวีไอพีทั้งสิ้น มีทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ ผู้มีอิทธิพล หรือแม้กระทั่งดารานักแสดง
   อิทธิเดช หรือที่เรียกกันเล่นๆ ว่าเดช ขยับแก้วไวน์ในมือช้าๆ สีแดงกุหลาบของลาเกรนโรซาโต ทำให้เขานึกถึงคนที่เคยเรียกว่าแม่ แม่เป็นคนชอบดอกกุหลาบ ทุกมุมของบ้านมักจะมีดอกกุหลาบประดับไว้อยู่เสมอ จนกระทั่งวันที่แม่ยิงตัวตาย ท่ามกลางกองกุหลาบ ในห้องนอนสีกุหลาบของตัวเอง ทิ้งหนี้สินมหาศาลไว้ให้เขาซึ่งในเวลานั้นเป็นเพียงแค่นักเรียนมัธยมต้นเป็นผู้รับผิดชอบ อิทธิเดชไม่เคยเห็นหน้าผู้เป็นพ่อ ดูเหมือนว่าท่านจะเสียไปตั้งแต่เขาเกิด ในบ้านไม่มีรูปของพ่อเลย แม่คงจะทำลายทิ้งไปหมด  เหลือแต่ดอกกุหลาบ นั่นถือเป็นตัวแทนของพ่อกระมัง
   อิทธิเดชยกไวน์ขึ้นจิบช้าๆ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยออกไป เขาพอใจรสชาติเครื่องดื่มของที่นี่ แม้ว่าเจ้าของซึ่งเป็นหญิงสาวสวยพริ้งคนนั้นจะทำให้เขารู้สึกนึกถึงแม่อยู่บ้าง

   เมี่ยงชำเลืองมองหนุ่มวัยยี่สิบสามผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายผู้หญิงที่นั่งจิบไวน์อยู่ที่โต๊ะเยื้องกับเคาน์เตอร์บาร์ที่เพิ่งทำใหม่แวบหนึ่ง จริงๆ หล่อนควรจะเดินเข้าไปพูดคุยกับเขาเหมือนแขกคนอื่น แต่เมี่ยงพอจะดูออกว่า อิทธิเดชคงไม่รู้สึกชอบใจตนนัก หล่อนจึงเพียงแค่เอ่ยทักตอนเข้าร้านพอเป็นพิธีเท่านั้น อิทธิเดชไม่ได้มาที่ร้านของหล่อนเป็นประจำ แต่ลักษณะเฉพาะตัวของเขาทำให้เมี่ยงจำได้แม่นยำ ที่สำคัญชายหนุ่มหน้าสวยคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่บาร์เทนเดอร์ของหล่อนกำลังตามสืบอยู่
   เมี่ยงมองดูบาร์เทนเดอร์ที่เพิ่งมาทำงานได้หนึ่งอาทิตย์ด้วยสายตาเสียดายเล็กๆ ชายหนุ่มวัยราวๆ ยี่สิบแปดปี ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดาสวมทำด้วยเสื้อกั๊กสีดำแบบบาร์เทนเดอร์ทั่วไป กำลังผสมเครื่องดึ่มให้กับลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว ถึงจะพยายามทำตัวให้ธรรมดาขนาดไหน แต่ใบหน้าคมสันได้รูปนั้นก็ยังเป็นที่สะดุดตาอยู่ดี แม้ว่าสีตาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้วก็ตาม สังเกตได้จากบรรดาลูกค้าสาวๆ ซึ่งดูเหมือนจะเลือกไปนั่งที่เคาน์เตอร์กันมากขึ้น เมี่ยงถอนหายใจ หล่อนแอบคิดถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นของเขาที่มีให้ในวันแรกที่พบกัน การที่จะหวังให้มีช่วงเวลานั้นอีกครั้งคงเป็นไปไม่ได้ เมื่อหล่อนลองถามเลียบๆ เคียงๆ ดูถึงความสัมพันธ์ของเขากับคนข้างห้องหลังจากเหตุการณ์ที่บาร์ในวันนั้น  ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหัวเราะเบาๆ ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเหมือนเด็กๆ แม้จะไม่ได้ตอบตรงๆ แต่เมี่ยงก็พอจะเดาได้ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นอย่างไร อภิวัฒน์เป็นเด็กน่ารัก แม้จะดูรั้นและเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่ประสิทธิภาพในการทำงานและความสุภาพนอบน้อมของเขาทำให้หล่อนรู้สึกประทับใจ  หญิงสาววัยสามสิบสี่เศษถอนหายใจยาวอีกครั้ง หวังว่าทั้งคู่คงไม่จริงจังกันมากนัก เพราะสุดท้ายบทสรุปสุดท้ายอาจจบลงด้วยความเจ็บปวด
   

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #21 เมื่อ23-05-2011 21:28:34 »

   “What would you like to drink, madame?.” รูฟัสเอ่ยถามหญิงสาวในชุดเสื้อคอเต่าแขนกุดสีดำที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะวางใบสะระแหน่ลงบนแก้วคอคเทล ก่อนจะบรรจงส่งให้กับหญิงสาวอีกนางที่โปรยยิ้มหวานมาให้
   “What your name?” หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนที่เพิ่งยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาจิบเอ่ยถาม
   “เชน (Shayne) ครับ”
   “พูดไทยได้ด้วย ดีจัง แล้วมีแฟนหรือยังคะเนี่ย?”
   รูฟัสอมยิ้ม ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเจอคำถามลักษณะนี้นับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มต้องคอยตอบคำถามของเหล่าบรรดานักเที่ยวราตรีทั้งสาวเล็กสาวใหญ่ ที่แวะเวียนมาที่บาร์มากขึ้นกว่าปกติ
   “บอกไม่ได้หรอกครับ” เขาพูดอ้อมๆ พลางยื่นมือขึ้นไปหยิบมาร์ตินี่ที่วางอยู่ในชั้นด้านบนลงมา นึกชมคนออกแบบที่จัดวางส่วนที่เป็นช่องเก็บของต่างๆให้หยิบได้สะดวกและใกล้มือ รูฟัสเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงใบหน้าบูดๆ ของเจ้าของงานออกแบบเคาน์เตอร์บาร์ชิ้นนี้
   “แอบคิดถึงใครอยู่รึเปล่าคะ?” เสียงใสๆของเมี่ยงถามขึ้น หล่อนก้าวเข้ามานั่งตรงมุมอีกด้านหนึ่ง รูฟัสหัวเราะแก้เก้อ การมาของหล่อนดึงความสนใจของทุกคนไปได้จังหวะหนึ่ง เปิดโอกาสให้เขาได้ลอบสังเกตพฤติกรรมของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าสวยราวกับหญิงสาวที่ยังคงนั่งจิบไวน์อยู่

   คิ้วเรียวบางของอิทธิเดชขยับเข้าหากันเล็กน้อย เสียงคุยจ๊อกแจ๊กที่ดังมาจากบาร์ทำให้ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพวกผู้หญิงถึงดูมีความสุขกันง่ายนัก
   “ไวน์รสชาติแย่หรือไง”
   อิทธิเดชสะดุ้ง หันหน้าไปหาที่มาของเสียง เด็กหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ โดยไม่บอกกล่าว ผมซอยสั้นสีดำแบบสมัยนิยมที่ถูกแต่งทรงด้วยแว๊กซ์ดูเข้ากับใบหน้าห้าวๆ นั้นอย่างลงตัว อิทธิเดชขยับหนี แต่กลับถูกอีกฝ่ายใช้มือรั้งไว้
   “เธอมาที่นี่ได้ยังไงน่ะ” ชายหนุ่มหน้าสวยพูด พลางพยายามแกะมือที่โอบไหล่นั้นออก
   “ผมอายุยี่สิบแล้วนะ” ผู้ที่มาใหม่ขยับมือหนีจากหัวไหล่ลงมาอยู่ที่ปั้นเอว ก่อนจะเอ่ยปากสั่งเครื่องดื่มกับบริกรสาวสวยที่เดินเข้ามา
   “ปล่อยนะ ฉันจะไปคุยกับเจ้าของร้าน” อิทธิเดชโวยวาย แต่อีกฝ่ายยังคงไม่ยอมทำตาม
   “ผมเป็นสมาชิกที่นี่แล้วน่า ทำไมช่วงนี้คุณถึงหลบหน้าผม”
   “ฉันน่ะรึหลบหน้าเธอ?”
   เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้   “งั้นทำไมคุณจะต้องตกใจตอนเจอผมที่นี่ด้วยล่ะ คุณเข้าใจว่าผมจะเข้ามาไม่ได้ใช่ไหม?”
   “วรุต!!” อิทธิเดชขึ้นเสียงพลางจ้องเขม็ง จนอีกฝ่ายต้องล่าถอยออกไป
   “เรียกเสียเต็มยศเลยนะ คุณคิดจะเบี้ยวสัญญาหรือไง”
   “เธอ!!”
   เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าวรุตยิ้มอย่างผู้ชนะ เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามมีท่าทีอึกอัก
   “ไม่คิดจะปล่อยให้ฉันได้พักบ้างหรือไง” อิทธิเดชพยายามจะต่อรอง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
   “ผมปล่อยคุณมาหลายวันแล้วนะ ได้ข่าวว่าคุณกับอารัตน์โดนคุณพ่อดุ สถาปนิกคนนั้นอาละวาดมากเลยหรือไง?”
   “สนใจด้วยหรือ” อิทธิเดชเมินใส่ หันไปยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ วรุตทำคิ้วย่นพลางถอนหายใจ หยิบเบียร์ที่บริกรสาวเพิ่งเอามาวางขึ้นมาจิบบ้าง อิทธิเดชชายตามองการกระทำของเด็กหนุ่ม
   “ผมไม่เมาหรอก” อีกฝ่ายพูดขึ้นมาเหมือนรู้ใจ คิ้วบางคู่นั้นขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหันหน้าหนี วรุตหัวเราะในลำคอ “จะกลับกี่โมงล่ะ หรือจะค้างที่นี่ ได้ข่าวว่าห้องพักก็ไม่เลวทีเดียว เผื่อคุณอยากเปลี่ยนบรรยากาศ”
   “หยุดพูดจากับฉันแบบนี้ซักที” อิทธิเดชโพล่งออกมาอย่างทนไม่ได้ แต่วรุตทำเป็นไม่สนใจ
   “ทำไมล่ะ หรืออยากให้ผมพูดมากกว่านี้ เวลาที่คุณ..”
   “เธอจะเอายังไงกับฉัน” อิทธิเดชพูดสวนขึ้นมาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเด็กหนุ่ม “คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ คนสวย”
   อิทธิเดชปัดมือที่ยื่นมาเชยคางออก ก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานมาคิดราคาค่าเครื่องดึ่ม วรุตหยิบเงินออกมาจ่ายค่าเครื่องดื่มให้อีกฝ่าย อิทธิเดชหันมามองอย่างไม่ค่อยพอใจ
   “ไม่เอาน่า ผมไม่คิดจะซื้อตัวคุณด้วยเงินแค่นี้หรอก” วรุตกล่าว พลางฉุดมือของอิทธิเดชจูงออกจากคลับไป ทั้งหมดนี้ไม่รอดพ้นสายตาของรูฟัสไปได้

   “เอ.. คุณเชนวันนี้ไม่กลับหรือคะ เห็นบอกว่าติดธุระ” จู่ๆ เมี่ยงก็พูดขึ้นท่ามกลางวงสนทนาของสาวๆ ที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ รูฟัสหันไปมองนาฬิกาแล้ว แล้วหัวเราะเขินๆ “นั่นสินะครับ ผมก็มัวแต่คุยเสียเพลินเลย ทุกคนน่ารักมากจริงๆ”
   เมี่ยงขยิบตาให้รูฟัสอย่างรู้กัน ชายหนุ่มพูดเสริมต่อ “ผมคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะครับ ขอโทษด้วยจริงๆ”
   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็คุณติดธุระสำคัญนี่นา เดี๋ยวฉันจะให้เด็กอีกคนมาทำแทนนะคะ”
   “ขอบคุณมากครับ มาดาม”
   สาวๆ ที่นั่งอยู่ทำท่าเสียดาย รูฟัสยิ้มให้พวกหล่อน ก่อนจะก้มลงเก็บของแล้วเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องสำหรับพนักงานที่อยู่ด้านหลัง
   ชายหนุ่มกลับออกมาทันเห็นเป้าหมายทั้งคู่กำลังขึ้นรถพอดี เสียงเถียงกันดังแว่วมาในอากาศ ก่อนที่อิทธิเดชจะก้าวขึ้นรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยูคันสีดำอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก รูฟัสทำทีเดินเข้าไปจะถอยรถคันที่จอดอยู่ข้างๆ แล้วทำกุญแจหล่น ถือจังหวะนั้นแอบติดเครื่องส่งสัญญาณขนาดเล็กใต้ท้องรถ เขาเงยหน้าขึ้นมาขณะที่บีเอ็มคันนั้นถอยออกไปพอดี  ชายหนุ่มรอให้รถเป้าหมายขับไกลออกไปพอสมควร ก่อนจะเดินออกมาโบกแท็กซี่ตรงถนนด้านหน้าอย่างใจเย็น
---------------------------
   เสียงกดล็อกประตูดังบาดลึกเข้าไปในจิตใจของอิทธิเดช เขาเดินเลี่ยงเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาหา วรุตโอบแขนรอบเอวของผู้ที่กำลังเดินหนี ก่อนจะรั้งเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
   “ไม่อาบน้ำหรือไง?” อิทธิเดชถาม ขณะที่อีกฝ่ายก้มลงไซ้ไปตามซอกคอ
   “แล้วแต่คุณสิ อยากอาบน้ำก่อนรึ?” วรุตตอบโดยที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา อิทธิเดชขยับตัวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
   “เธอไปอาบก่อนแล้วกัน” เขาพูด วรุตนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะผละออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เด็กหนุ่มหยิบผ้าเช็ดตัวสีขาวที่พาดอยู่ เดินเข้าห้องน้ำไป  อิทธิเดชทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หวายที่วางอยู่ในห้องถอนหายใจหนักหน่วง ห้องพักแห่งนี้เคยเป็นที่ส่วนตัวที่เขารู้สึกผ่อนคลาย จนกระทั่งเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าวรุตก้าวเข้ามาในชีวิต
   วรุตเป็นลูกโทนของเจ้านายที่เขาทำงานให้อยู่ ทวีศักดิ์ ชายผู้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขาจากภาวะล้มละลายอันมีผลมาจากมารดาผู้ล่วงลับ อิทธิเดชได้รู้ถึงเหตุผลของการช่วยเหลือในครั้งนี้เมื่อวันครบรอบวันเกิดปีที่สิบเจ็ด ทวีศักดิ์ขอร่วมรักกับเขาเป็นครั้งแรก อิทธิเดชไม่ได้รังเกียจชายผู้มีวัยมากกว่า ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกดีที่มีโอกาสตอบแทนความช่วยเหลือนั้น แม้จะเป็นไปในทางที่ไม่ค่อยจะดีนัก ชายหนุ่มยอมรับว่าตัวเองไม่มีอารมณ์กับผู้หญิง ดังนั้นเขาจึงตอบรับข้อเสนอนั้นไปโดยง่าย แต่หลังจากนั้น ทวีศักดิ์ไม่ได้แตะต้องเขาอีกเลย ดูเหมือนเจ้าตัวจะตัดสินใจมีสัมพันธ์เชิงอย่างนั้นกับเขาด้วยเหตุผลส่วนตัวอะไรบางอย่าง แม้ไม่ได้มีอะไรกันอีกแล้ว ทวีศักดิ์ก็ไม่ได้เขี่ยเขาทิ้ง ยังคงให้การสนับสนุนด้านการเงินและความช่วยเหลือต่างๆ เสมอมา อิทธิเดชรู้สึกกระอักกระอวนกับเรื่องนี้ เขาจึงตัดสินใจขอทำงานให้ทวีศักดิ์แลกกับความช่วยเหลือดังกล่าว ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมตกลง นั่นทำให้อิทธิเดชยังคงเคารพในตัวเจ้านายของเขาอยู่เสมอมา
   อิทธิเดชไม่เคยพบลูกชายของเจ้านายตัวเองมาก่อน จนกระทั่งเมื่องานวันครบรอบวันเกิดปีที่สี่สิบห้าของทวีศักดิ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทวีศักดิ์เปิดตัวลูกชายของเขาที่เพิ่งกลับมาจากเยอรมัน คืนนั้นเองที่วรุตแอบตามอิทธิเดชมาถึงห้อง และลงมือข่มขืนเขาจนสำเร็จ ชายหนุ่มไม่สามารถจะต่อต้านอะไรได้มากนัก เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกชายของเจ้านายผู้มีพระคุณ หนำซ้ำยังวรุตถ่ายรูปเอาไว้แบลคเมล์อีกด้วย
   ผ้าเช็ดตัวที่ถูกโยนมาทำให้อิทธิเดชตื่นจากภวังค์ เขาดึงมันออกจากศีรษะ ก่อนจะหันหลังกลับไป
   “ไปอาบสิ ผมรอ” เด็กหนุ่มที่นุ่งผ้าครึ่งตัวกล่าว พลางนั่งปุลงบนเตียง อิทธิเดชลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างเสียมิได้
   ชายหนุ่มปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านศีรษะลงไปอย่างช้าๆ ขณะหยิบสบู่ขึ้นมาถูตัวอย่างเหม่อลอย อิทธิเดชไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับวรุต ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีความปรารถนาที่ไม่เคยพอ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องคอยหลบหน้าเด็กหนุ่มคนนี้อยู่เสมอมา
   ร่างผอมบางค่อยๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ ราวกับกลัวว่าจะมีใครเห็น อิทธิเดชหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเช็ดผม พยายามเดินเลี่ยงจากเตียงไปตู้เสื้อผ้า แต่กลับถูกมือของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาราวกับงูร้าย ฉุดรั้งจนหงายหลังลงไปบนเตียง
   “คุณนี่ชอบทำอะไรไร้ประโยชน์จังนะ คิดว่าจะหลบผมได้หรือไง แต่นั่นแหละที่ทำให้ผมชอบคุณ”
   “เงียบเถอะ” อิทธิเดชขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ ขณะที่วรุตขึ้นคร่อมเหนือร่าง เด็กหนุ่มก้มตัวลงมาพร้อมร้อยยิ้มประสงค์ร้าย
   “คุณนี่พูดจาน่ารักๆไม่เป็นหรือไงนะ เวลาคุณนอนกับคุณพ่อผม คุณพูดอะไรบ้าง”
   “วรุต!!!”   อิทธิเดชพยายามผลักร่างที่ขึ้นคร่อมอยู่ให้ออกไป แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล วรุตรวบแขนของอีกฝ่ายขึ้นไปเหนือหัว ก่อนจะผูกมันเข้าด้วยกันกับผ้าขนหนูที่ตกอยู่
   “ทำให้ผมพอใจสิ บางทีผมอาจจะยอมปล่อยคุณไปซักวัน ว่าไงล่ะ หรือว่าคุณร้องครางเป็นอย่างเดียว”
   “ฉันเกลียดคนอย่างเธอที่สุด” อิทธิเดชพูดใส่หน้า ดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจอยู่มาก แววตาของวรุตจ้องมาราวจะกินเลือดกินเนื้อ
   “งั้นผมจะทำให้คุณเกลียดชนิดที่ขาดผมไม่ได้เลย”
   ก่อนจะบดขยี้ริมฝีปากลงมาพร้อมกับเปิดฉากรุกรานอย่างรุนแรงจนอิทธิเดชดิ้นพราด เขาไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้จงเกลียดจงชังจนต้องทำกันถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มกล้ำกลืนเสียงร้องเอาไว้ในอก หยดน้ำใสๆ ไหลซึมเป็นทางออกมาจากหางตา เวลาแห่งคำคืนอันแสนทรมานนี้ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
-------------------------
   รูฟัสมองท้องฟ้าที่เริ่มกลายเป็นสีเทาหม่น ก่อนจะอ้าปากหาว ชายหนุ่มเคยผ่านการอดหลับอดนอนนับเป็นสัปดาห์ เมื่อครั้งเข้าร่วมกับกองทหารรับจ้างในสงครามเรื้อรังของเชสเนีย โดยการชักชวนปนขู่บังคับของแฟรงค์และราฟาแอล อัตราการเต้นของหัวใจและระดับการหลั่งของอะดรีนาลีนในเลือดเมื่อคราวนั้น เทียบไม่ได้กับตอนนี้แม้แต่นิดเดียว รูฟัสหาวหวอดอีกรอบ แม้จะถูกฝึกมาให้อดหลับอดนอนเพื่อรอคอยได้ถึงสามวัน แต่ความน่าเบื่อนั้นบางทีก็แย่พอๆ กับการต้องคอยผวาตื่นเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ ในสนามรบเลยทีเดียว เสียแต่ที่มันแย่แบบตรงกันข้ามเท่านั้น
   ในตอนนี้รูฟัสต้องพยายามหาอะไรที่ทำให้เขาผวาตื่น ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ที่บังเอิญมีโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ห่างจากอพาร์ตเม้นที่เป็นเป้าหมายไม่ไกลนัก เขาเลยได้ใช้เวลาแห่งการรอคอยอยู่ในสถานที่ที่ดูสะดวกสบายและสงบกว่าตามสุมทุมพุ่มไม้อยู่มากโข สิ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกขัดลูกกะตามากที่สุดตอนนี้เห็นจะเป็นเตียงนอนสีขาวที่วางอยู่ในห้อง เขาอยากจะยกมันออกไปให้พ้นๆ การต้องมาทนอดนอนทั้งๆ ที่มีเตียงนอนโล่งๆ วางอยู่ข้างๆ มันช่างดูน่าทรมานเหมือนการไม่ได้กินข้าวทั้งๆ ที่มีกับข้าวแสนอร่อยวางอยู่ตรงหน้า  ยิ่งพอนึกเดาถึงเหตุที่ทำให้เป้าหมายของเขากลับเข้าที่พักอย่างกะทันหันแล้ว รูฟัสยิ่งรู้สึกหงุดหงิดกับเตียงนอนที่วางอยู่มากขึ้น เวลานี้เขาน่าจะได้นอนอยู่บนเตียงกับคนข้างห้องมากกว่า เมื่อนึกถึงใบหน้าเวลาเขินอายของอีกฝ่ายแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปเปิดม่านให้กว้างขึ้น แสงสีทองเริ่มจับที่ขอบฟ้า เวลาแห่งการรอคอยของเขาคงสิ้นสุดลงในไม่ช้า

   วรุตก้มมองร่างเพรียวบางอ้อนแอ้นราวกับหญิงสาวที่นอนหมดสติอยู่ข้างตัวแล้วถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ เด็กหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ และกลับออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดเดิม เขามองร่างที่หลับใหลอยู่บนเตียงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจจะลบความจริงที่ว่า ชายผู้นี้เคยตกเป็นของพ่อของเขามาก่อน วรุตก้มลงจุมพิตหน้าผากของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะใช้มือลูบผมหยักเป็นลอนด้วยความรัก เด็กหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือ แล้วผละออกจากห้องไป
   วันนี้เขาคงต้องลางานให้อิทธิเดชอีกวัน

   รูฟัสนั่งอยู่บนรถแท็กซี่  ผู้ที่เขาหมายตาไม่ใช่ชายหนุ่มที่มีชื่อว่าเดช แต่เป็นเด็กหนุ่มที่กำลังขับรถบีเอ็มคนนี้ต่างหาก รูฟัสรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นคนทั้งคู่ลงมาด้วยกันในตอนเช้า แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก การที่เด็กหนุ่มออกมาคนเดียวทำให้เขาสามารถติดตามได้ง่ายขึ้น
   วรุต วินทร์วีรยะ เป็นลูกชายคนเดียวของทวีศักดิ์ วินทร์วีรยะ นักธุรกิจผู้นำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์ทางเคมีรายใหญ่รายหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังการประชุมที่มีชื่อเรียกกันอย่างลับๆว่า เทสการิโพกา รูฟัสไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจของชายผู้นี้มากนัก ดูเหมือนว่าเขาจะมีธุรกิจผิดกฎหมายเกี่ยวกับวัตถุเคมีและวัสดุทางเคมีภัณฑ์อีกหลายอย่าง และมีเครือข่ายเชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจผลิตยาของสหรัฐและเยอรมัน ชายหนุ่มทราบจากฟาบิโอว่าการประชุมจะเริ่มจัดขึ้นราวๆ อีกสองเดือน ระหว่างนี้ผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศต่างๆ จะค่อยๆ ทยอยเดินทางเข้ามา เพื่อไม่ให้ตัวเลขการเดินทางเป็นที่สะดุดตามากนัก
   ทวีศักดิ์นั้นค่อนข้างจะเก็บตัวและออกสังคมน้อยมาก รอบตัวของเขารายล้อมไปด้วยผู้คุ้มกัน ยากแก่การเข้าถึง ตรงข้ามกับลูกชาย ซึ่งดูเหมือนว่าจะติดพันสมาชิกในแก๊งคนหนึ่ง และไม่ค่อยมีการป้องกันเท่าใดนัก จึงง่ายแก่การติดตาม
   คนขับแท็กซี่มองมาที่ชายหนุ่มชาวต่างชาติที่แต่งตัวเหมือนนักธุรกิจ ซึ่งกำลังก้มมองสิ่งที่ดูคล้ายคอมพิวเตอร์มือถือในมืออย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยปากถาม
   “คุณจะไปไหนหรือครับ?”
   “ขับไปตามที่ผมบอกก็พอ” รูฟัสตอบโดยไม่เงยหน้า เขากำลังจดรายชื่อถนนที่รถบีเอ็มคันนั้นแล่นผ่าน เพื่อทำแผนที่ โดยไม่ได้สังเกตว่าคนขับรถแท็กซี่เหลือบมองไปกระเป๋าหนังที่เขาวางไว้ข้างตัวอย่างไม่วางตา
   “จะไปไหน?” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากเครื่องติดตามเมื่อรู้สึกว่ารถเลี้ยวไปคนละทางกับเส้นทางที่ตนบอก คนขับรถแท็กซี่ ซึ่งอยู่ในวัยฉกรรจ์รีบตอบคำถาม
   “ผมจะพาคุณไปทางลัดน่ะ”
   รูฟัสขมวดคิ้ว ดูเหมือนรถจะวิ่งออกไปในทางตรงข้ามกับเป้าหมายออกไปทุกที ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปบางทีเขาอาจจะคลาดกับบีเอ็มคันนั้นก็ได้

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #22 เมื่อ23-05-2011 21:29:22 »

   “เลี้ยวรถกลับเดี๋ยวนี้” เขาสั่ง แต่ดูเหมือนคนขับรถจะทำทีเป็นไม่ได้ยิน รูฟัสยกมือขึ้นเสยผมบนหัวด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ บางทีเขาอาจจะกำลังถูกโกงมิตเตอร์ หรือถ้าเลวร้ายกว่านั้นก็คงถูกปล้น นั่นหมายถึงเขากำลังจะเสียเวลา รูฟัสตัดสินใจยุติปัญหาด้วยวิธีสามัญแบบที่ราฟาแอลใช้เป็นประจำ
   “กลับรถ” รูฟัสสั่งอีกครั้ง คราวนี้คนขับรถแท็กซี่ปฏิกิริยาตอบโต้ทันที “มะ มันเป็นทางวันเวย์น่ะครับท่าน”
รูฟัสชายตามองสภาพถนนด้านข้างซึ่งค่อนข้างจะโล่งพอสมควร ก่อนจะขยับปลายปลายกระบอกปืนสีเงินวาวในมือชิดกับศีรษะของคนขับรถมากขึ้น
   “ก็ฝ่าไปสิ”
   คนขับแท็กซี่เหลือบตามองผู้โดยสารของเขาในกระจกมองหลัง ก่อนจะตัดสินใจเลี้ยวรถกะทันหัน และขับย้อนศรทวนขึ้นไปในทิศทางที่หลุดออกมา
   “ขอบคุณครับ แล้วก็ขับไปเรื่อยๆตามที่ผมบอก คงเข้าใจนะครับ”
   คนขับแท็กซี่พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเหยียบคันเร่ง ขับกลับไปตามเส้นทางเดิม รูฟัสเอนหลังลงพลางถอนหายใจ ตอนนี้เขาหวังว่าจะไม่คลาดกับบีเอ็มคันนั้นไปเสียก่อน
   วิธีการแบบราฟี่ใช้ได้ผลทุกครั้งจริงๆ
------------------------------------------------
   วรุตเลี้ยวรถผ่านป้อมยามด้านหน้าโดยไม่ต้องตรวจบัตร บีเอ็มดับเบิลยูสีดำแล่นฉิวผ่านถนนซีเมนที่ตัดผ่านสนามหญ้าเตียนโล่ง เข้าไปในตัวอาคารสีขาวขนาดราวสิบสี่ไร่ สูงสี่ชั้นลักษณะคล้ายอาคารโรงงาน เด็กหนุ่มลงจากรถ  กดนิ้วเข้ากับเครื่องสแกนลายนิ้วมือ ก่อนจะเปิดประตูกระจกนิรภัยเข้าไปในตัวตึก
   “อ้าว วิน นึกไงมาที่นี่เนี่ย?” ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อซาฟารีสีฟ้าอ่อนเอ่ยปากทัก เมื่อเห็นวรุตเดินเข้ามา เด็กหนุ่มยิ้มให้อีกผ่าย พลางมองดูรอบๆตัวอาคารที่ถูกแบ่งออกเป็นชั้นๆ เชี่ยมโยงกันด้วยบันไดวนและลิฟต์ขนของ เสียงเครื่องจักรทำงานดังหึ่งๆ ที่นี่เป็นโรงงานผลิตยาแห่งหนึ่งของทวีศักดิ์ ที่ผลิตทั้งยาที่ถูกและผิดกฎหมาย
   “สวัสดีครับอารัตน์ คุณพ่ออยู่หรือเปล่า?”
   “อยู่ จะให้พาไปหาไหม?”
   “ครับ” วรุตพยักหน้า ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายลึกเข้าไปในโรงงาน
   “ได้ข่าวว่าอาทะเลาะกับคุณพ่อหรือครับ?”
   รัตน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันมามองเด็กหนุ่มเป็นเชิงถาม วรุตเลยพูดต่อ “ก็เห็นว่าเรื่องเกี่ยวกับสถาปนิกที่จะมาทำงานให้เรานี่ครับ”
   “อ๋อ เรื่องนั้นน่ะหรือ” รัตน์ทำหน้าโล่งใจ ขณะกดลิฟต์ลงไปชั้นใต้ดิน
   “ไม่ได้ทะเลาะกันหรอก อาแค่ทำรุนแรงไปหน่อย พี่เค้าเลยเตือนน่ะ”
   “เอ๋? อาเนี่ยนะครับ ทำรุนแรง ผมเห็นปกติอาใจดีจะตาย คนคนนั้นเขาวุ่นวายมากหรือไงครับ”
   “ก็ไม่เชิงหรอก จะว่าไป อาก็มีส่วนผิดอยู่” รัตน์พูด พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือ เด็กคนนั้นบ้าดีเดือดเกินกว่าที่เขาจะรับมือไหวจริงๆ
   “พ่อเธออยู่ในห้องทำงานน่ะ จะให้อารอเป็นเพื่อนไหม?”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอบคุณมาก” วรุตพูด พลางยกมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปตามทางเดินหินแกรนิตสีขาว ที่ทอดไปสู่ห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ
   “ท่านครับ คุณวรุตมาพบครับ” เสียงเลขาหนุ่มดังมาจากลำโพงเครื่องตอบรับอัตโนมัติ ทวีศักดิ์พูดตอบกลับไป ก่อนจะกดปุ่มเปิดประตู เด็กหนุ่มวัยยี่สิบปี ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเลือดหมูเข้ารูปผ่าอกเดินเข้ามาพร้อมกับยกมือไหว้ทักทาย
   “มีเรื่องอะไรถึงมาที่นี่ล่ะ จะทานอะไรหรือเปล่า?” ผู้เป็นพ่อถาม ขณะทำท่าจะกดปุ่มเรียกเลขา วรุตส่ายหน้า ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมทรงตัวแอลที่วางอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงาน
   “ผมมาลางานให้พี่เดช”
   “ทำไม เมื่อคืนเล่นหนักมือไปหรือไง?”
   วรุตไม่ตอบคำถาม ผู้เป็นพ่อถอนหายใจ “อย่าหมกมุ่นกับเดชให้มากนักเลย อนาคตลูกยังอีกไกล”
   เด็กหนุ่มยังคงนิ่งเงียบ ทวีศักดิ์รู้ว่าป่วยการที่จะพูดต่อ ลองนิ่งแบบนี้แสดงว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมฟังเหตุผลแน่ เขาเข้าใจถึงความดื้อรั้นของลูกชายคนนี้ดี
   “ว่าแต่ มีใครตามลูกมาบ้างรึเปล่า?”
   “ไม่มีนี่ มีอะไรหรือ?” วรุตมองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย ทวีศักดิ์ตอบเสียงเรียบๆ
   “เพื่อนพ่อที่เพิ่งมาจากฮ่องกงเค้าเล่าเรื่องสายลับให้ฟังน่ะ พ่อว่าลูกระวังๆ ไว้หน่อยก็ดี”
   “ใครเขาจะสนใจผม ถ้ามีก็ดีสิ ผมว่าน่าตื่นเต้นดีออก” เด็กหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะรีบหุบปากลงเมื่อถูกปราม
   “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้ามีมาจริงรับรองว่าขำไม่ออกแน่”
   สายตาของวรุตส่อแววไม่พอใจเล็กน้อย ทวีศักดิ์นิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดต่อ จึงเอ่ยถามขึ้น “ลูกคงไม่ได้มาที่นี่แค่เพราะมาลางานให้คนอื่นหรอกนะ บอกซิว่ามีเรื่องอะไรอีก”
   วรุตแสดงท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “ผมจะมาขอเลื่อนเรื่องเรียนต่อไปเป็นปีหน้า” สีหน้าของทวีศักดิ์เครียดขึ้นทันที วรุตรีบพูดต่อ “มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องพี่เดชหรอกนะพ่อ ผมยังไม่อยากรีบไปตอนนี้ ผมเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่เดือนเอง”
   “แล้วพ่อจะรู้ได้ยังไงว่าลูกจะไปเรียนต่อปีหน้าแน่ๆ ถ้าเกิดลูกหลงเดชจนหน้ามืดแล้วไม่ยอมไปล่ะ”
   วรุตขบกรามแน่นด้วยความไม่พอใจ “พ่อไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ถึงเวลาผมจะพาพี่เดชไปด้วย”
   “วิน!!!” ทวีศักดิ์ตวาดใส่ลูกชาย วรุตหันมาจ้องหน้าผู้เป็นพ่ออย่างไม่หวั่นเกรง
   “ผมมีเรื่องจะพูดแค่นี้แหละ” เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเปิดประตูออกไปโดยไร้คำร่ำลา ทวีศักดิ์ถอนหายใจ เขาไม่น่าให้ลูกชายคนนี้มาพบกับอิทธิเดชเลย
------------------------------
   รูฟัสตกอยู่ในสภาพขำไม่ออก แต่ก็ไม่รู้จะร้องไห้ดีหรือเปล่า เขาสั่งให้รถแท็กซี่จอดส่งห่างไกลจากบริเวณที่เป้าหมายหยุดพอสมควร  แล้วก็ต้องเกาหัวแกรกๆ เมื่อพบกับกำแพงสีขาวตระหง่าน หุ้มอาคารที่ถูกล้อมด้วยทุ่งหญ้าโล่งเตียน หนำซ้ำยังมียามเดินตรวจการณ์โดยรอบ รูฟัสค่อนข้างมั่นใจว่านี่คือสถานที่ที่เขาตามหา แต่จะเข้าไปพิสูจน์ข้างในอย่างไรดี ชายหนุ่มเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนโล่งๆ พลางนึกข้อแก้ตัวหากมีคนเดินเข้ามาถาม รูฟัสมองหาช่องโหว่ตามขอบกำแพงที่ด้านบนขึงไว้ด้วยลวดสลิงที่มีกระแสไฟฟ้าแรงสูงปล่อยออกมาตลอดเวลา นึกสาปแช่งคนที่ออกแบบอาคารหลังนี้ แม้จะฝ่าด่านกำแพงเข้าไปได้ เขายังต้องเผชิญกับพื้นที่ว่างโล่งที่ไร้เครื่องกำบังใดๆ นั่นอีก  บางที่สถานที่โล่งแจ้งก็อันตรายที่สุดสำหรับผู้ที่มีอาชีพที่ต้องซ่อนอยู่ในเงามืดอย่างเขา ชายหนุ่มเริ่มเกิดอาการท้อใจ ประกอบกับความง่วงงุ่นและแสงแดดที่แผดร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รูฟัสอยากจะกลับไปนอนพักแล้วค่อยกลับมาอีกทีในช่วงค่ำ แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกให้เขาจัดการกับเรื่องนี้ให้เสร็จๆ ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจใช้กระเป๋าหนังต่างฉนวนไฟฟ้า ปีนกระย่อยกระแย่งขึ้นไปบนรั้ว ก่อนจะพาดกระเป๋าเข้ากับลวดสลิง ใช้มันต่างฐานรองมือบนบาร์กระโดดข้ามรั้วนั้นลงไปที่พื้นเบื้องล่าง มหกรรมเสี่ยงตายเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนคงต้องบอกว่ารูฟัสโปรดปรานมันเป็นที่สุด แต่ตอนนี้ชายหนุ่มยอมรับว่าความคิดของเขาเปลี่ยนไปมาก เขารู้สึกรักชีวิตตัวเองมากขึ้น อย่างน้อยก็มีคนที่อยากจะกลับไปหา
   รูฟัสเก็บกระเป๋าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดีที่เขาย้ายปืนเข้าไปไว้ในอกเสื้อแล้ว กระเป๋าเลยว่างเปล่า ชายหนุ่มรีบถอดรองเท้าทันทีที่ได้ยินเสียงย่ำเท้าบนพื้นหญ้าของยามใกล้เข้ามา เหมือนกิจกรรมเล่นซ่อนหา รูฟัสกึ่งวิ่งกึ่งย่องผ่านมุมตึกหนึ่งไปยังอีกมุมหนึ่ง ก่อนจะหลบเข้าไปตรงเงามืดระหว่างเสา โชคดีที่ยามคนนี้ไม่ช่างสังเกตนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเสียเวลาไปกับการซ่อนศพ ชายหนุ่มโผล่ออกมาจากที่ซ่อนหลังจากที่ยามเดินผ่านไปแล้ว ก่อนจะไปพบความจริงอันน่าตระหนก เมื่อหนทางเดียวที่จะเข้าไปในตัวอาคารนั้นได้คือการต้องผ่านประตูกระจกที่ใช้ระบบสแกนนิ้วมือ  หลังจากลำดับความคิดอยู่พักใหญ่ รูฟัสตัดสินใจว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในคราวหลัง การลอบเข้าไปแบบปุ๊บปั๊บอาจก่อจะให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ชายหนุ่มกลับออกมาด้านนอกด้วยวิธีการเดิม ตอนนี้เขากำลังเดินอยู่บนถนนว่างเปล่าท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุยามสายเพื่อมองหารถแท็กซี่ซักคัน
------------------------------
   เสียงตวาดแวดของตัวอิจฉาในละครช่วงบ่ายกระตุ้นให้ชายหนุ่มผู้มีผมกระเซอะกระเซิง รีบเดินไปกดปิดโทรทัศน์ด้วยความหงุดหงิด หลายวันมานี่ฟ่งเหมือนถูกบีบบังคับกลายๆ ให้ทำงานอยู่แต่ในห้อง ทางด้านรูฟัสดูเหมือนจะมีธุระยุ่ง การที่ต้องทำงานคนเดียวภายใต้สภาวะการบีบบังคับเช่นนี้ทำให้ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้บ้าเข้าไปทุกขณะ ชายหนุ่มตัดสินใจเดินฉับๆออกไปที่ประตู วันนี้แหละเขาจะต้องขอเบอร์มือถือของคนข้างห้องให้ได้
   ฟ่งเปิดประตูออกไปในจังหวะเดียวกับที่รูฟัสเพิ่งออกมาจากลิฟต์พอดี
   “Hi, miss you so much.” อีกฝ่ายส่งเสียงทักขึ้นก่อน ฟ่งไม่รู้ว่าควรจะดีใจกับคำทักทายนั้นดีรึเปล่า เขาสังเกตว่าสีหน้าของรูฟัสดูเซียวๆ ผิดไปจากปกติ เหมือนเพิ่งผ่านการตรากตรำร่างกายมาอย่างหนัก
   “ไม่สบายรึเปล่าครับ?” หนุ่มสวมแว่นถามด้วยความเป็นห่วง รูฟัสยิ้มแหย่ๆ การได้เห็นหน้าอาทรแบบนี้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นโขแล้ว
   “นิดหน่อยน่ะครับ คุณมาอยู่เป็นเพื่อนผมได้ไหม?”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างงงๆ  แม้จะรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจนัก แต่ท่าทางของรูฟัสก็ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ รูฟัสยิ้มด้วยความดีใจ ขณะที่ไขประตูห้องเข้าไป
   เป็นครั้งที่สองที่ฟ่งมีโอกาสได้เข้ามาในห้องของชายที่เอ่ยปากบอกรักเขา ห้องของรูฟัสนั้นเรียบร้อยเหมือนเพิ่งย้ายมาใหม่ มีเพียงของใช้เล็กๆ น้อยๆ วางอยู่บนเคาน์เตอร์
   “ผมชงชาให้นะครับ” รูฟัสพูดพลางหยิบชาถุงออกมาจากชั้นบนอ่างล้างจาน ฟ่งรีบห้าม “ไม่ต้องหรอกครับ คุณไปอาบน้ำดีกว่า”
   “ครับ” รูฟัสรับคำ พลางเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างว่าง่าย ฟ่งถอนหายใจ พลางคิดว่าเขาควรจะชวนรูฟัสไปห้องตัวเองมากกว่า
   
   หนุ่มร่างใหญ่นอนแผ่สองสลึงบนเตียงในห้องโดยสวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำขนหนูสีครีมไว้หลวมๆ ฟ่งนอนอยู่ข้างๆ ใช้มือลูบผมสีดำสลวยนั้นเบาๆ รูฟัสคว้ามืออีกข้างของฟ่งเข้ามาจุมพิต
   “คุณทำให้ผมอยากกลับบ้าน”
   “คุณอยากกลับรัสเซียหรือครับ?” ฟ่งถามอย่างงงๆ รูฟัสยิ้มเหมือนเด็กๆ
   “ไม่ใช่หรอกครับ ผมอยากกลับมาหาคุณ คุณเป็นเหมือนบ้านของผม”
   ฟ่งหน้าแดงเล็กๆ เขาไม่รู้ว่าจะต่อคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไรดี
   “จริงๆนะครับ” รูฟัสพูดย้ำ ก่อนจะกุมมือของฟ่งไปวางไว้บนหน้าอก “ผมรบกวนคุณมากรึเปล่า?”
   นัยน์ตาสีเทาเขียวนั้นมองมาเหมือนลูกสุนัขที่ขอความรักจากเจ้าของ ฟ่งระบายลมหายใจเบาๆ ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
   “ไม่หรอกครับ”
   นัยน์ตาสองสีคู่นั้นค่อยๆหลับลงอย่างช้าๆ ไม่นานนักก็เข้าสู่ภวังค์นิททรา ฟ่งลูบศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ใบหน้าของรูฟัสยามหลับนั้นดูเหมือนเด็กๆ ท่าทางเขาจะอดนอนมาทั้งคืน ฟ่งชักอยากรู้ว่าชายคนนี้ทำงานอะไรกันแน่ ชายหนุ่มสังเกตว่าอีกฝ่ายมักจะใส่คอนแทคเลนส์เปลี่ยนสีตาอยู่บ่อยๆ แค่เป็นบาร์เทนเดอร์ ไม่เห็นจะต้องอายกับสีตาแปลกๆ นั่นเลยนี่นา แถมก็ดูไม่น่าจะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนหน้าเซียวแบบนี้ หรือว่ารูฟัสจะมีอาชีพเสริมอื่น?
   เอาเถอะ ไว้เขาตื่นมาค่อยถามแล้วกัน
   ฟ่งคิด พลางก้มลงจุมพิตเบาๆ บนแก้มของอีกฝ่าย ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยกัน
-------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #23 เมื่อ23-05-2011 21:30:56 »

บทที่9 นิยามของความรัก
   กลิ่นหอมของอาหารบางชนิดลอยมาแตะจมูก ฟ่งพลิกตัวช้าๆ ก่อนจะยกมือขยี้ตา พลางควานหาแว่นจนมือไปชนกับแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างโต๊ะเสียงดังเคร้ง ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่ามันไม่ได้หล่นลงไปบนพื้น ฟ่งวางแก้วน้ำไว้ที่เดิม แล้วหยิบแว่นตาที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาสวม เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของห้องเดินเข้ามาในห้องพอดี
   “Доốрое утро  อรุณสวัสดิ์ครับ”
   ฟ่งสะดุ้ง รู้สึกกระดากใจขึ้นมาทันทีเมื่อนึกได้ว่าเขาเผลอหลับยาวจนมาตื่นในรุ่งขึ้นของอีกวัน
   “ผมขอโทษ”
   รูฟัสขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็กลับอุทานออกมาเป็นประโยคทีฟ่งไม่เข้าใจ ก่อนจะผลุนผลันออกไป
   “ทำกับข้าวหรือครับ?” ฟ่งทัก เมื่อเดินตามออกมาเห็นรูฟัสกำลังง่วนอยู่หน้าเตา หนุ่มรัสเซียรับคำงืมงำในลำคอ ก่อนจะใช้ตะหลิวพลิกขนมปังในกระทะอย่างคล่องแคล่ว
   “ความจริงคุณไม่ต้องพูดขอโทษก็ได้ ผมไม่เห็นว่าคุณจะทำผิดอะไรเลยนี่” รูฟัสพูดขณะหยิบจานใส่ขนมปังทอดกับไข่ดาวยื่นให้ฟ่ง ชายหนุ่มผู้สวมแว่นตาหนาเตอะรับจานมาพร้อมกับหัวเราะแหะๆ
   “โทษทีครับ พอดีผมพูดจนติดแล้วน่ะ เอ้อ..”
   “คุณพูดขอโทษอีกแล้ว พูดบ่อยๆ มันไม่ดีนะครับ”
   “ขอโทษ..”
   “ฟ่ง...”
หนุ่มร่างบางทำหน้าย่นเมื่อถูกอีกฝ่ายต้อนคำพูดจนจนมุม รูฟัสยิ้มแห้งๆ ยกมือขึ้นลูบหัวยุ่งๆ นั้น
   “ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าคุณ”
   “คุณก็พูดเหมือนกันล่ะน่า” ฟ่งพูดพร้อมยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ รูฟัสถอนหายใจยกมือยอมแพ้ เขายอมรับว่าเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ถูก ทางที่ดีอย่าทำให้อารมณ์เสียเลยจะดีกว่า 
   ฟ่งหยิบขนมปังขึ้นมากัด แอบรู้สึกดีใจเล็กๆ ที่รูฟัสมีแก่ใจลุกขึ้นมาทำอาหารให้
   “คุณชอบทำอาหารหรือ?”
   “ไม่เชิงหรอกครับ แค่ทำบ่อยเท่าเท่านั้นเอง”
   “อ่อ..เอ่อ...” ฟ่งมีท่าทางลังเล จนรูฟัสต้องหันมามอง
   “มีอะไรหรือ?”
   “คุณทำงานเป็นแค่บาร์เทนเดอร์ที่ผับคุณเมี่ยงจริงๆ หรือครับ?”
   คำถามนี้ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับอึ้ง ปกติฟ่งไม่ค่อยถามเรื่องส่วนตัวของเขามากนัก ดูท่าจะสงสัยสภาพของเขาเมื่อวานนี้แน่ๆ รูฟัสเลือกไม่ถูกว่าเขาสมควรจะโกหก หรือบอกความจริงดี ถ้าหากว่าฟ่งรู้ความจริงแล้วความสัมพันธ์ที่ดำเนินมาจะเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า รูฟัสยอมรับว่าเขาคงไม่อาจโกหกได้ตลอด แต่ในช่วงเวลานี้เขาไม่อยากให้ฟ่งรู้สึกไม่สบายใจ
   “ครับ ผมทำที่นั่นที่เดียว แต่บางทีเจอลูกค้ามีปัญหาก็อาจจะต้องอยู่ดึกสักหน่อย”
   สายตาของฟ่งที่มองมาดูแปลกใจอยู่มากทีเดียว รูฟัสภาวนาขอให้อีกฝ่ายอย่านึกสงสัยให้มากกว่านี้เลย
   “สาบานได้นะครับ ผมไม่แอบไปนอนกับใครหรอก”
   หนุ่มสวมแว่นอึ้งไปพักใหญ่ เขาแค่อยากรู้ว่ารูฟัสทำงานพิเศษอื่นอีกรึเปล่า แต่ไม่ถึงว่าทางนั้นจะหยอดคำพูดแบบนี้กลับมา สีหน้าจริงจังกับคำพูดนั้นของรูฟัสทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาถามต่อ บางทีรูฟัสอาจจะต้องทำบางอย่างที่บอกเขาไม่ได้ ฟ่งพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
   “เอ่อ....ผมขอเบอร์โทรศัพท์คุณได้มั้ย?”
   “....” แววตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปแวบหนึ่ง แต่ก็นานพอที่จะสังเกตเห็น ฟ่งหน้าสลดลงทันที
   “ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”
   “ม่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น” รูฟัสรีบพูด ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด เขาไม่คิดว่าฟ่งจะขอเบอร์โทรศัพท์ สำหรับรูฟัสโทรศัพท์มีความสำคัญในแง่อุปกรณ์ส่งข่าวสาร ซึ่งเขาใช้มันอย่างจำเพาะเจาะจง และเป็นความลับ จึงไม่เคยเปิดเผยเบอร์โทรเข้าของมันให้ใครได้รู้มาก่อนเลย รูฟัสจำต้องใช้เวลาชั่งใจอยู่อีกพักหนึ่งในเรื่องนี้ เขาควรจะให้เบอร์โทรกับฟ่งรึเปล่า ฟ่งไว้ใจได้มากแค่ไหน แต่พอเห็นอีกฝ่ายหันมามองหน้าเขาด้วยสายตาแปลกๆ ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ
   “เอาโทรศัพท์มาสิครับ ผมจะจดเบอร์ให้”
   ฟ่งหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงส่งให้อีกฝ่าย รูฟัสรับไปกดเบอร์โทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา
   “โทรมาได้ตลอดเวลาเลยนะครับ ผมจดเบอร์คุณไว้แล้ว” ชายหนุ่มพูด พลางส่งโทรศัพท์คืนให้กับเจ้าของ ฟ่งรับมาพร้อมกับก้มลองมองดูหมายเลขโทรศัพท์ที่มีชื่อกำกับว่า Rufus ที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอ แล้วพยักหน้า
   “ขนมปังอร่อยดีครับ แต่ผมคงต้องกลับห้องแล้วล่ะ”
   “เดี๋ยวสิครับ” รูฟัสฉวยข้อมือของร่างบางที่ผุดลุกขึ้นอย่างลืมตัว ฟ่งหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ อีกครั้ง
   “ทำไมหรือ?”
   รูฟัสพูดตอบไม่ออก เขารู้สึกถึงความผิดปกติของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ทั้งแววตาและน้ำเสียงของฟ่งเปลี่ยนไป บางทีฟ่งอาจจะรู้สึกแล้วก็ได้ว่าเขากำลังปิดบังบางอย่าง นั่นทำให้รูฟัสรู้สึกไม่ดี
   ฟ่งมองดูใบหน้าของรูฟัสที่ดูจะสับสนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
   “รูฟัส คืนนี้ลงมารับผมที่หน้าคอนโดตอนเที่ยงคืนได้ไหม?”
   ชายหนุ่มรู้สึกงงกับคำพูดของอีกฝ่าย แม้จะไม่เข้าใจเหตุผล แต่เขาก็ตอบตกลงทันที
   “ขอบคุณครับ” ฟ่งยิ้ม ก่อนจะปลดมือของรูฟัสออกอย่างสุภาพ แล้วเดินกลับห้อง
--------------------------
   รูฟัสวางจานที่ล้างเสร็จเรียบร้อยแล้วบนชั้นวางข้างอ่าง ก่อนจะเดินมาล้มตัวลงนั่งบนโซฟา  แววตาของฟ่งที่มองมายังคงตกค้างอยู่ในความรู้สึก ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
   เขาไม่อยากโกหก แต่ถ้าหากพูดความจริงออกไปแล้วล่ะก็....
   รูฟัสเพิ่งสำนึกได้ว่า ความรักนั้นประคับประคองไว้ยากเย็นเพียงไร ร่างสูงเอนหลังพิงกับโซฟา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์ที่เพิ่งจดลงไปเมื่อครู่ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจตัดสายทิ้ง ผุดลุกเดินไปที่ประตู ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความลังเล
   หากว่าความจริงนั้น ทำให้อีกฝ่ายถอยห่างไป
   หากว่าความจริงนั้น ทำให้เวลาที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน
   รูฟัสลดมือห่างออกจากลูกบิดประตู เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกกลัวที่จะพูด
   ในเวลาแบบนี้ ทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก ช่างเลวร้ายไม่ต่างกันเลย
-------------------------------
   ฟ่งไม่ได้อาบน้ำในทันทีที่กลับถึงห้อง เขาล้มตัวลงนอนบนเตียง รู้สึกปวดแปลบที่หน้าอกซ้าย
   รูฟัสกำลังปิดบังบางอย่างกับเขาอยู่
   จากแววตาและการแสดงออกนั้น ฟ่งมั่นใจว่ารูฟัสไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเอง
   ผู้ชายคนนั้นทำงานอะไรกันแน่ บางทีเขาอาจจะเป็นอาชญากรที่กำลังหลบหนี หรือบางทีอาจจะเป็นพวกมาเฟียต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจ
   ฟ่งคว้าหมอนข้างที่วางอยู่ใกล้ๆ มากอด ภายในเวลาไม่กี่นาทีที่ประโยคสนทนาเหล่านั้นดำเนินผ่านไป กลับเปลี่ยนความรู้สึกอบอุ่นและไว้ใจที่ผ่านมาให้กลายเป็นความห่างเหินและหวาดระแวง
   ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองใจง่ายจนไม่น่าให้อภัย ผู้ชายโง่ๆ คนหนึ่ง ที่ยอมปล่อยตัวให้ผู้ชายด้วยกันที่ไม่ได้รู้จักกันลึกซึ้งมีอะไรด้วยถึงสองครั้ง อีกฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกยังไงกับเขากันนะ
   กับคนที่ใจง่ายยิ่งกว่าโสเภณีที่ขายตัวอยู่ตามท้องถนน เพียงแค่ป้อนคำหวาน ก็ได้มาครอบครองอย่างง่ายๆ
   ฟ่งรู้สึกนัยน์ตาพร่า เมื่อนึกถึงคำสารภาพรักของรูฟัส ความอบอุ่นที่ได้รับ ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน
   หยดน้ำตาเล็กๆ ไหลซึมออกมาตามร่องหางตา เขาหวังว่ารูฟัสจะลงมารับในคืนนี้ แล้วอธิบายเรื่องทุกอย่าง
   แม้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องโกหก
   แม้ว่าหมดนี้เป็นเพียงแค่การหลอกลวง
   แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอยากจะเชื่อใจผู้ชายคนนี้ ชายผู้ที่ตอนนี้กลายเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเขา
   รูฟัส
--------------------------------------
   “พี่ชายคะ...” เสียงเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงที่ดังขึ้นในหัวทำให้รูฟัสสะดุ้งตื่นจากภวังค์  ชายหนุ่มหันไปมองรอบห้องก่อนจะกลั้นหัวเราะด้วยความสมเพส
   นานแล้วที่เสียงจากอดีตไม่ตามมาหลอกหลอนเขา
   รูฟัสกดรีโมทปิดโทรทัศน์ ก่อนจะลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้อาจจะเป็นวันทำงานวันสุดท้ายที่คลับของเมี่ยง รูฟัสคาดว่าผู้ชายที่มีชื่อว่าเดชอาจจะไม่กลับไปที่นั่นอีก จากคำบอกเล่าของเมี่ยง ว่าเดชมาที่นี่เพราะต้องการจะหลบหน้าเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าวรุต ซึ่งเธอเองก็ทราบเรื่องนี้แต่แรก และก็เป็นคนที่รับรองวรุตให้เข้ามาเป็นสมาชิก เพื่อให้เข้ากับแผนการของรูฟัส ชายหนุ่มรู้สึกเกรงใจเมื่อทราบว่าอาจจะเป็นต้นเหตุให้หญิงสาวสูญเสียลูกค้า แต่เมี่ยงมีท่าทีไม่ค่อยแยแสนัก
   “แค่ลูกค้าสองคนจะเป็นไรไปคะ อีกอย่าง ดิฉันก็ไม่ได้ทำผิดกฎอะไรด้วย ถ้าคุณรู้สึกผิดนักล่ะก็ ชดใช้ด้วยการมาเป็นบาร์เทนเดอร์ให้ฉันซักปีหนึ่งไหมล่ะคะ”
   รูฟัสอมยิ้ม เมื่อนึกถึงคำพูดทีเล่นทีจริงของหญิงสาว  เขาคงจะใช้เวลาอยู่ที่นี่อีกไม่นานนัก  ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง โดยที่ไม่ลืมจะหยิบปากกาสีเงินที่วางอยู่ข้างๆ ติดไปด้วย
--------------------------------------
   สีดำของรถบีเอมดับเบิลยูตัดกับสีขาวของเสาลานจอดรถในตึกซึ่งอิทธิเดชทำงานอยู่ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายหญิงสาวก้าวถอยหลังออกไปอย่างลืมตัว เมื่อรถคันนั้นขับมาจอดตรงหน้า ก่อนจะลดกระจกลง
   “ได้ยินว่าจะไปเอาของ ขึ้นรถสิ” เด็กหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินลายดำเอ่ยปากทัก อิทธิเดชไม่สามารถมองเห็นแววตาของอีกฝ่ายได้ถนัดนัก เพราะมีแว่นกันแดดสีน้ำตาลอ่อนซ้อนทับอยู่อีกชั้นหนึ่ง แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่เคยไว้ใจบุคคลผู้นี้อยู่แล้ว
   “ฉันต้องไปกับอรุณ”
   “จะไปทำเรื่องไม่ดีกันอีกล่ะสิ” คำพูดดักคอของวรุตทำให้อิทธิเดชเริ่มอารมณ์เสีย
   “เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับเธอ”
   “เกี่ยว!” วรุตพูดโดยไม่สนใจทีท่าของฝ่ายตรงข้าม “คุณจะไปกับผม หรือจะให้ผมไปฉุดขึ้นมา”
   “ฉันบอกว่าฉันต้องไปกับอรุณ” อิทธิเดชยังคงยืนยันคำพูดเดิม  วรุตถอนหายใจ ขยับตัวห่างออกจากพวงมาลัยเล็กน้อย  ก่อนจะพูดตอบกลับไป “ผมคุยกับอารัตน์แล้วให้คุณไปกับผมแทน ไม่เชื่อลองโทรไปถามสิ”
   อิทธิเดชกดโทรศัพท์โทรออกแทบจะในทันที ระหว่างที่ฟังเสียงปลายสายของอีกฝ่ายสีหน้าของเขาก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้น
   “ว่าไง?” วรุตถามทันทีที่อิทธิเดชวางสายด้วยสีหน้าอย่างคนที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ชายหนุ่มหน้าสวยไม่ตอบคำถามได้เพียงแต่เม้มปาก แล้วเดินฉับๆไปเปิดประตูหลัง ก่อนจะพบว่ามันล็อค และดูเหมือนว่าคนในรถจะไม่ยอมปลดล็อคให้เสียด้วย เขาจึงจำต้องเปิดประตูเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับแทน วรุตมองดูใบหน้าสวยๆ ที่ดูท่าทางไม่ค่อยพอใจนักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเหยียบคันเร่ง พาบีเอ็มดับเบิลยูคันนั้นแล่นออกไป

   “ปล่อยไปแบบนี้จะดีหรือครับ” ชายวัยกลางคนผู้มีแผลเป็นใต้ตา หันมาถามผู้เป็นนายซึ่งนั่งอ่านเอกสารอยู่ตรงโต๊ะทำงานสีขาวในห้องที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษ
   “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าวินมันก็นิสัยแบบนั้นแหละ ห้ามไปก็คงไม่ฟัง แล้วอีกอย่าง..” ทวีศักดิ์วางเอกสารลงบนโต๊ะ มองผ่านแว่นตากรอบสีทองที่สวมอยู่ออกมายังรัตน์ด้วยสายตาคมกริบ
   “พักนี้เดชไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นบ่อยเกินไป รอให้เรื่องซาลงหน่อยค่อยจัดการก็ได้ บอกอรุณด้วยนะว่าให้คอยจับตาสถาปนิกคนนั้นไว้ให้ดี ถ้าคิดจะหนีล่ะก็ให้จัดการได้เลย”
   รัตน์พยักหน้า สายตาที่เด็ดขาดและอำมหิตของทวีศักดิ์นั้นไม่ต่างไปจากเมื่อสามสิบปีก่อนเลยจริงๆ
------------------------------------------------
   ความเงียบสนิทเข้าปกคลุมไปทั่วรถ มีเพียงเสียงเครื่องทำความเย็นดังอยู่เบาๆ วรุตที่ประคองพวงมาลัยให้รถวิ่งตรงไปข้างหน้า เหลือบมามองอิทธิเดชที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ด้านข้างคนขับเป็นระยะๆ ในที่สุดจึงเอ่ยปากถามขึ้น
   “ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรือไง?”
   “.....................”   ไม่มีเสียงโต้ตอบจากอีกฝ่าย วรุตยังคงไม่ละความพยายาม
   “คุณกับพี่อรุณคิดจะไปทำอะไรกับสถาปนิกคนนั้น ลักพาตัว หรือฆ่าทิ้งกันล่ะ?”
   “เรื่องแบบนั้นคนอย่างเธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” อิทธิเดชพูดตัดบทเสียงเรียบๆ แต่ดูเหมือนว่าวรุตจะไม่พอใจกับคำตอบ
   “ทำไมล่ะ ผมไม่มีสิทธิ์จะรู้หรือไง ฆ่าคนไปกี่คนแล้วล่ะ คุณทำงานพวกนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อคุณพ่องั้นหรือ?”
   “เธอขับรถอยู่นะ” อิทธิเดชพูดเตือนสติ เมื่อเห็นว่าเสียงของวรุตเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ พยายามควบคุมอารมณ์ให้สงบลง
   “วันนี้คุณไม่ต้องทำตามแผนที่วางไว้กับพวกคุณพ่อหรอก ผมล้มมันหมดแล้ว”
   “มันล่มตั้งแต่ที่เธอมาแทนอรุณแล้วล่ะ” อิทธิเดชตอกกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา วรุตแค่นหัวเราะ
   “ถ้าแบบนั้นให้ผมมาแทนตลอดไปเลยไหม คุณจะได้เลิกทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ซักที”
   “อย่าสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเลย เธอมันก็แค่เด็กที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องนั่นแหละ”
   วรุตหักเลี้ยวกะทันหัน จนศีรษะของอิทธิเดชกระแทกกับกระจกรถ
   “วรุต!!” อิทธิเดชเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ ขณะยกมือขึ้นลูบศีรษะ แต่ดูเหมือนวรุตจะไม่แยแสต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
   “ถึงแล้ว ที่นี่หรือเปล่า?” เด็กหนุ่มถามเสียงเรียบๆ อิทธิเดชพยายามสะกดความไม่พอใจที่ทวีมากขึ้น ก่อนจะมองออกไปนอกรถ
   
   เสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นหินแกรนิตขัดมันดังทึบๆ ชายหนุ่มร่างสูงมีเค้าโครงติดไปทางยุโรปก้าวเท้าจากบันไดส่วนที่เป็นเคาน์เตอร์ติดต่อลงมายังโถงรับแขกด้านหน้าคอนโด ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ต้องสะดุดกับร่างของชายหนุ่มสองคนที่เปิดประตูกระจกบานใหญ่ด้านหน้าเข้ามา
   วรุตกับอิทธิเดช!
   รูฟัสเก็บความรู้สึกพิศวงปนตกใจเอาไว้ ก่อนจะทำทีเดินไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ตรงโซฟาที่ถูกจัดไว้ในโถง
   
   อิทธิเดชรู้สึกแปลกใจอยู่พอสมควร เมื่อพบว่าคนที่เขาต้องการตัวไม่ได้มารออยู่ด้านล่างมีแค่ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ลงมาอ่านหนังสือพิมพ์ ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปถามพนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นกล่องทรงกระบอกที่ใช้ใส่กระดาษเขียนแบบ กับดีวีดีสองแผ่น ทั้งหมดถูกปิดผนึกด้วยเทปใสแล้วปิดด้วยกระดาษแผ่นบางๆ อีกชั้นหนึ่ง ป้องกันการแอบเปิด
   วรุตมองดูของที่อิทธิเดชรับมาแล้วก็นึกชื่นชมคนทำอยู่ลึกๆ ฝ่ายโน้นเองก็คงจะพอรู้ตัวอยู่บ้างแล้วว่าจบงานชิ้นสุดท้ายแล้วตัวเองจะเป็นยังไง เด็กหนุ่มไม่เคยพบหน้าสถาปนิกคนนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขาชักไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับคนคนนี้เสียแล้ว วรุตรู้สึกเสียดาย เขาน่าจะลองคุยกับพ่อ ดูเหมือนคนที่พ่อเค้าต้องการจะกำจัดทิ้งหลังจากเสร็จงานจะสามารถทำอะไรได้อีกหลายๆ อย่าง
   ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคลายผู้หญิงรับของที่ถูกฝากไว้ทั้งหมดด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เขารู้สึกเหมือนตัวเองทำงานพลาด แต่ก็นั่นแหละ แผนการทั้งหมดมันพังไปตั้งแต่เขาถูกสั่งให้มากับวรุตแล้ว
   อิทธิเดชไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเด็กหนุ่มคนนี้ พฤติกรรมของวรุตที่มีต่อเขานั้นแสนจะเลวร้าย ในขณะที่พฤติกรรมที่มีกับคนอื่นนั้นดูเหมือนจะเรียบร้อยและให้ความสำคัญ ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ทำไมมีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่โดนทำร้าย ทำไมเขาถึงต้องโดนลูกชายของคนที่เขาให้ความเคารพและสำคัญมากที่สุดเกลียด หลังจากที่ยุติการมีสัมพันธ์กับทวีศักดิ์ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีประโยชน์กับผู้ชายคนนั้นอยู่คือการทำงานแบบลับๆนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าวรุตกำลังจะทำให้มันหมดความหมาย
   เด็กหนุ่มคนนี้ต้องการจะบดขยี้ชีวิตของเขาให้ป่นปี้จนไม่มีชิ้นดี

   รูฟัสเหลือบตามองตามเสียงรองเท้าที่ดังขึ้นด้านหลัง ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิดเดินกลับลงมาจากเคาน์เตอร์ ในมือมีถุงใส่อุปกรณ์อะไรบางอย่าง  รูฟัสรู้สึกคุ้นตากับวัตถุทรงกระบอกสีดำที่ใส่อยู่ในถุง เหมือนกับว่าเค้าเคยเห็นจากที่ไหนซักแห่ง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นราดใส่หลัง
   นั่นเป็นของที่เขาเคยเห็นในห้องของฟ่ง
--------------------------------
   พงษ์หรือตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นพัช เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพกระโจมอก มองดูร่างของเพื่อนเก่าซึ่งนอนหลับแผ่หลาอยู่บนโซฟาในห้อง เสียงกรนเบาๆ นั้นชวนให้คิดว่าอีกฝ่ายคงเพิ่งผ่านช่วงเวลาวิกฤติบางอย่างมา
   พัชเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รู้สึกแปลกใจอยู่มาก เมื่อฟ่งส่งข้อความมาให้ทางอินเตอร์เน็ตว่า ให้ช่วยมารับในตอนบ่ายครึ่ง ซึ่งเร็วกว่าเวลาที่นัดไว้ก่อนหน้าถึงสี่ชั่วโมง โดยไม่ได้บอกสาเหตุ และผลลัพธ์ที่ได้คือ ชายหนุ่มต้องเข้ามานั่งแกร่วอยู่ในห้องพักของเขาโดยที่ไม่มีอะไรทำ แล้วลงเอยด้วยการนอนในที่สุด
   ผู้เป็นเจ้าของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเข้ารูปสีแดงกับกางเกงสีดำ ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ขึ้นมาเช็ดผม
   นอนไม่เกรงใจกันเลย พัชคิด ขณะเดินผ่านโซฟาที่ฟ่งนอนอยู่ เขารู้จักกับฟ่งตั้งแต่ตอนเรียนอยู่มัธยม เพราะเข้าเรียนวิชาวาดเส้นสถาปัตย์ในกลุ่มเดียวกัน และยังบังเอิญสอบเข้าได้มหาลัยเดียวกันและคณะเดียวกันอีกด้วย พัชยอมรับว่าตอนที่ฟ่งบอกว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันนั้นทำให้เขาดีใจมาก เพราะลำพังตัวฟ่งเองมีความสามารถที่จะสอบติดมหาวิทยาลัยที่คะแนนสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศได้อย่างสบายๆ ฟ่งให้เหตุผลว่าเขาอยากที่จะเข้าเรียนที่นี่เพราะสภาพแวดล้อมที่ดูเป็นกันเองมากกว่า นั่นทำให้พัชพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสอบเข้าที่นี่ให้ได้ แล้วมันก็ประสบผล
   เพราะฟ่งไม่เคยแสดงท่าทีจะรังเกียจ ทั้งในตอนที่พัชเริ่มมีอาการเบี่ยงเบนจากเด็กหนุ่มไปในทางออกหญิง และแม้แต่ในตอนนี้ ฟ่งปฏิบัติตัวกับเขาเช่นเดิมเสมอมา พัชคิดมาตลอดว่าฟ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขา จนกระทั่งวันที่ได้รู้ว่าฟ่งแอบชอบดา ซึ่งเป็นเพื่อนที่อยู่ในคณะเดียวกัน
   พัชเองก็ค่อนข้างจะสนิทกับดาอยู่มาก และเพราะเขาเองที่ทำให้คนทั้งคู่ได้มาพบกัน ในตอนนั้นเองที่พัชได้รู้ว่าเธอคิดกับฟ่งเกินกว่าความเป็นเพื่อน จึงใช้จังหวะที่คนทั้งคู่กำลังเริ่มคบกันตีตัวออกห่างจากฟ่ง เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่น
   พัชตัดสินใจวางกรอบตัวเองให้เป็นแค่เพื่อนของฟ่งต่อไป การที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานทำให้เขารู้ว่านิสัยแบบฟ่งนั้นไม่น่าจะเป็นแฟนที่ดีได้เท่าเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้น ทุกครั้งที่มองฟ่งกับดาทีไร หัวใจก็รู้สึกปวดแปลบได้ทุกที
   ใบหน้าที่นอนโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นของชายหนุ่มทำให้เพื่อนสนิทรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ ฟ่งจะรู้บ้างหรือเปล่า ว่าเพื่อนคนนี้คิดกับเขาไปไกลแค่ไหน พัชก้มลงมองริมฝีปากที่ดูซีดๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรนั้นแล้วรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น เมื่อนึกได้ว่าริมฝีปากนี้อาจจะถูกลิ้มรสด้วยปากของผู้ชายมาแล้ว
   ในตอนแรกที่พบฟ่งกับหนุ่มชาวต่างชาติคนนั้น พัชตั้งใจแค่จะหยอกเล่น แต่ท่าทางของฟ่งกลับแสดงออกให้เห็นว่าความสัมพันธ์กับชายคนนั้นน่าจะเกินระดับปกติ นั่นเป็นสิ่งที่พัชไม่คาดคิดมาก่อน เขายังคงเชื่อว่านี่เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ฟ่งบอกเลิกดา
   ก่อนหน้านี้พัชไม่เคยคิดจะล่วงเกินฟ่ง แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนไปนิดหน่อย เมื่อรู้ว่าฟ่งเองก็เดินข้ามเส้นมาเช่นกัน
   เขาใช้ปลายนิ้วสัมผัสริมฝีปากของร่างที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนโซฟาอย่างแผ่วเบา
   รสชาติของริมฝีปากที่เคยได้แต่มองนี้จะเป็นยังไงกันนะ
   แล้วพัชก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะ


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #24 เมื่อ23-05-2011 21:31:44 »

   ฟ่งสะดุ้งตื่นเมื่อถูกมือเรียวสะกิด
   “โทรศัพท์ย่ะ” พัชพูดใส่หน้า ชายหนุ่มขยี้ตา พลางเอื้อมมือไปหยิบแว่นที่ถอดวางเอาไว้บนโต๊ะเล็กข้างโซฟา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดรับโดยไม่ได้ดูชื่อคนโทร
   “โหล!” ฟ่งกรอกเสียงลงไปอย่างไม่ค่อยพอใจนักเพราะโดนปลุก แต่เสียงที่ดังมาจากปลายสายทำให้เขาตาสว่างทันที
   “คุณอยู่ไหนน่ะ?!” ผู้ที่โทรมากลายเป็นคนที่เขาเพิ่งขอเบอร์โทรไปเมื่อเช้า น้ำเสียงของรูฟัสดูร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก
   “อยู่ห้องเพื่อน มีอะไรหรือ?”
   “ปลอดภัยดีรึเปล่า?” ประโยคต่อมายิ่งทำให้ฟ่งรู้สึกงงเข้าไปอีก
   “ครับ ทำไมหรือ”
   “อ๋อ เปล่า คุณจะกลับมาตอนเที่ยงคืนใช่ไหม?”
   “ครับ”
   “ผมจะรอรับนะ”
   ฟ่งรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย แม้จะไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้อีกฝ่ายโทรเข้ามา แต่คืนนี้เขาคงได้รับคำตอบในเรื่องที่ค้างคาใจอยู่
   “แฟนโทรมาหรือไง?” พัชเอ่ยทักออกมาจากด้านในห้องซึ่งเป็นส่วนโต๊ะเครื่องแป้ง ฟ่งรีบสั่นศีรษะทันที
   “แล้วนี่นายเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหรือเปล่า?” เพื่อนเอ่ยถามต่อขณะที่แต่งผมอยู่หน้ากระจก ฟ่งสั่นศีรษะ
   “เห็นฉันเอาอะไรมาบ้างล่ะ”
   พัชหน้าเบ้ นึกถึงสภาพฟ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินแขนสั้นธรรมดากับกางเกงสแล๊กแล้วรู้สึกหงุดหงิด
   “เมื่อไรนายจะพัฒนาการแต่งตัวกับเขาบ้างนะ แล้วแบบนี้จะมีสาวๆ มามองไหม”
   “ฮ่ะๆ พูดจาเหมือนผู้หญิงเข้าทุกวันแล้วนะนายเนี่ย ฉันเป็นของฉันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว เรื่องผู้หญิงน่ะช่างมันเถอะ”
   “นั่นสินะ ลืมไปว่านายมีแฟนเป็นผู้ชาย”
   ฟ่งนิ่วหน้าทันที
   “ไอ้พงษ์ ถ้าขืนล้ออีกฉันจะต่อยปากนาย”
   “อ๊าย น้องพัชกลัวจังเลยฮ๊า” พัชทำเสียงสะดิ้ง เล่นเอาฟ่งอยากจะเดินเข้าไปต่อยปากจริงๆ
----------------------------
   ลานกว้างใต้ตึกของคณะยังคงดูมืดทึม เหมือนเมื่อปีก่อนไม่มีเปลี่ยน ยิ่งโดยเฉพาะฝูงยุงที่ออกอาละวาดทันทีที่พระอาทิตย์ใกล้จะดับแสงนั้นยังมีจำนวนมหาศาลอย่างที่เคยเป็นมา พิฌาดานึกดีใจที่ตัวเองไม่ลืมที่จะพกโลชั่นกันยุงติดตัวมาด้วย หญิงสาววัยยี่สิบสี่ปี ผมสีดำยาวสลวยถึงกลางหลังเดินเตร็ดเตร่อยู่บริเวณใต้โถงอาคารด้วยความรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก เธอยกนิ้วขึ้นป้ายหยดน้ำตาที่ไหนซึมออกมาบนใบหน้าที่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์น่ารักน่ามอง แม้จะไม่ได้เข้าประกวดดาวมหาลัย แต่ทุกคนก็พร้อมใจยกให้เธอเป็นดาวประจำคณะไปอย่างไม่มีใครคัดค้าน
   พิฌาดานั่งปุลงบนม้านั่งหินอ่อน เหม่อมองออกไปเบื้องหน้าซึ่งถูกขุดเป็นบึงขนาดเล็ก ตกแต่งด้วยต้นไม้และบัวพันธุ์ต่างๆ ม้านั่งตัวนี้เคยเป็นที่ที่ผู้ชายคนหนึ่งมานั่งอยู่เป็นประจำ ผู้ชายที่เธอเคยรักจนหมดหัวใจ อภิวัฒน์หรือที่เพื่อนๆ เรียกกันว่าฟ่ง
   ฟ่งไม่เคยรู้หรอก ว่าเธอเองก็เคยแอบมองเขาตอนที่เข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆ ผู้ชายที่ดูท่าทางไม่ค่อยสนใจตัวเอง และมักจะทำตัวเปิ่นๆ อยู่เสมอคนนั้น กลับดูน่ารักในสายตาของเธอ ในช่วงที่เรียนอยู่ ทุกคนต่างคิดว่าเธอกับฟ่งคงจะไปกันได้ด้วยดีจนถึงขั้นแต่งงาน ซึ่งตัวเธอเองก็คิดเช่นนั้น  แม้ว่าฟ่งจะเป็นคนมีอารมณ์ไม่คงที่ และบางทีก็ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผล แต่เธอก็พยายามทำใจยอมรับ ด้วยหวังว่าซักวันหนึ่ง เขาจะปรับปรุงตัว และอยู่ร่วมกับเธอได้โดยไม่มีปัญหา แต่แล้วทุกอย่างก็ไปไม่รอด ถึงตอนนี้เธอรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วที่จะพูด ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเมื่อแรกเจอ หรือทุกอย่าง มันสูญสลายไปพร้อมกับการจากลานั้นแล้ว พิฌาดาเข้าใจซึ้งแล้วว่า ความรักนั้นแม้ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่พยายามด้วย มันก็ไม่ต่างอะไรกับการไต่เชือกด้วยมือเพียงข้างเดียว ท้ายที่สุดก็ต้องหมดแรงและร่วงหล่นลงไปอยู่นั่นเอง
   “ดา” พิฌาดาหันไปมองตามเสียงเรียก หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูเดินตัวปลิวมาตามทางเดินเลียบบึง พร้อมด้วยกระเป๋าถือขาวอมชมพู
   “รอนานไหม พอดีว่ากุญแจมันตกลงบนใต้พรมน่ะ กว่าจะหาเจอ ขอโทษทีนะ”
   “ไม่เป็นไรหรอก หาเจอก็ดีแล้ว” พิฌาดาพูดยิ้มๆ เพื่อนสาวยิ้มตอบ “ไปที่งานกันเถอะ พวกพลอยคงรอแย่แล้ว”
   “จ้ะ”
   งานเลี้ยงรุ่นถูกจัดขึ้นที่ลานด้านหน้าอาคารเรียนรวม โดยเป็นการรวมเฉพาะศิษย์เก่าที่เพิ่งจบไปเมื่อสองปีที่แล้ว  เพื่อนๆ ต่างทยอยกันเข้ามาจนเกือบจะครบครึ่งหนึ่งแล้ว พิฌาดาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้สนามเหล็ก ท่ามกลางเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว เธอเอ่ยปากทักทายพวกหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหม่อมองไปรอบๆ
   “มองหาใครหรือ?” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น แต่กลับโดนเพื่อนที่ใส่ชุดสีชมพูใช้ศอกกระทุ้งดักคอเอาไว้ พิฌาดาหันมายิ้มแห้งๆ “เปล่า”
   “จริงสิ วันนี้ฟ่งไม่ได้มาด้วยกันหรือ?” เพื่อนอีกคนทักขึ้นบ้าง  หญิงสาวในชุดสีชมพูมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
   “ไม่เป็นไรหรอกแจน คือ ฉันเลิกกับฟ่งแล้วนะ”
   “จริงดิ?” แทบจะทั้งโต๊ะพูดขึ้นพร้อมกัน พิฌาดาพยักหน้า  เพื่อนคนหนึ่งถามด้วยความเป็นห่วง
   “แล้วเธอเป็นอะไรมากหรือเปล่า เอ่อ คือ พวกเราขอโทษด้วยจริงๆนะ”
   “ขอโทษอะไรกัน ฉันไม่เป็นอะไรหรอก พวกเธอไม่ต้องคิดมาก วันนี้เรานัดรวมรุ่นกันนี่นะ ควรจะคุยเรื่องอะไรที่มันสนุกๆ สิ” พิฌาดาพูด พยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อดที่จะสอดส่ายสายตาไปรอบๆไม่ได้ ในที่สุด เธอก็พบบุคคลที่ต้องการ
   ชายหนุ่มที่เดินเก้ๆ กังๆ มากับหญิงสาวสวยพริ้ง คนทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในที่สุดหญิงสาวสวยคนนั้นก็หยุดยืนตรงโต๊ะที่เธอนั่งอยู่
   “ไงย๊ะ ไม่เจอกันตั้งนาน”
   เสียงคุยจ๊อกแจ๊กด้วยความแปลกใจดังขึ้นทั้งโต๊ะทันที
   “ต๊าย พงษ์ ไม่เจอกันปีเดียวสวยเช้งเลยนะ หมดไปกี่แสนกัน”
   “ไม่เยอะหรอกย่ะ ฉันสวยอยู่แล้ว แล้วอีกอย่าง ต่อไปนี้เรียกฉันว่าพัชนะ”
   ระหว่างที่สมาชิกในโต๊ะกำลังทักทายกับผู้ที่มาใหม่อยู่นั้น พิฌาดาก็เงยหน้าขึ้นมองร่างซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังของพงษ์ ชายหนุ่มสวมแว่นในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน ยิ้มแหย่ๆ ให้หล่อนเหมือนเช่นที่เคย
   นี่คือการพบกันครั้งแรกของทั้งคู่ตั้งแต่เลิกกันไปเมื่อเกือบสามเดือนก่อน
   พิฌาดายิ้มตอบพร้อมกับถอนหายใจ “จริงๆ เลยนะ ฟ่งไม่คิดจะแต่งตัวให้มันดีกว่านี้บ้างหรือไง”
   ฟ่งได้แต่ยิ้ม เขาตอบไม่ถูก ดายังคงน่ารักเหมือนเดิม รอยยิ้มนั้นเหมือนเมื่อหกปีก่อน ฟ่งรู้สึกหวั่นไหว แน่นอนว่าเขายังคงรักผู้หญิงคนนี้อยู่
   “ฟ่ง” พิฌาดาเรียกชื่ออดีตคนรักเสียงหวาน เธอแทบจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อนไปจนหมดสิ้น ตอนนี้เพียงต้องการให้เขาเข้ามานั่งใกล้ๆ ได้พูดคุยกันเหมือนเมื่อก่อน ฟ่งยิ้มตอบ เดินเข้าไปหาตามเสียงเรียก แต่โดนพัชรั้งเอาไว้
   “ไม่เป็นไรแน่นะ?” เพื่อนถามด้วยความเป็นห่วง ฟ่งส่ายหน้า “ไม่หรอก ฉันเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร”
   พัชมองหน้าเพื่อนพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า ก่อนจะนั่งลงบ้าง ไม่นานนักบรรยากาศในโต๊ะก็เริ่มตลบอบอวลไปด้วยความทรงจำเก่าๆ และการเล่าความหลังสลับกับประสบการณ์ในการทำงานหลังจากจบไป

   “เอ่อ.. ขอโทษเถอะนะ ดา นี่เธอเลิกกับฟ่งแล้วจริงๆ น่ะเหรอ”
   เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น หลังจากที่ฟ่งและพัชขอตัวออกไปนั่งคุยกับโต๊ะอื่น พิฌาดาหันมามองเพื่อน ก่อนจะยิ้มเศร้าๆ “อือ”
เธอมองตามร่างของชายหนุ่มซึ่งเดินไปคุยกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยกันซึ่งนั่งแยกไปอีกโต๊ะหนึ่งแล้วถอนหายใจ พิฌาดายอมรับว่า เพียงแค่ได้เห็นหน้าในครั้งแรก เธอก็รู้สึกดีใจจนพูดไม่ออกแล้ว เธอคิดว่าฟ่งจะไม่ยอมมางานนี้เสียด้วยซ้ำ ผู้ชายที่อ่อนไหว และเดาอารมณ์ยากคนนั้น หญิงสาวพอจะเข้าใจว่าในขณะที่เธอกำลังทรมานเพราะถูกทิ้ง อีกฝ่ายก็คงรู้สึกทรมานไม่ต่างกัน
   ผู้ชายที่พร้อมที่จะให้อภัยทุกคนยกเว้นตัวเอง ผู้ชายที่มักจะเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น แต่กลับไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามาช่วยเหลือ ผู้ชายที่ปิดตัวเองอยู่ในโลกใบเล็กๆ
   มันคือเหตุผลที่ทำให้เธอรักและสงสารเขาหมดหัวใจ และก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องทิ้งเธอไป
   ฟ่งกำลังยืดอกรับฟังคำประณามของเพื่อนในโต๊ะซึ่งเคยอยู่กลุ่มเดียวกันในสมัยเรียน เรื่องที่เขากล้าหน้าด้านไม่ส่งงานอาจารย์ถึงสามชิ้น แต่ดันได้เอ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนอยู่ปีหนึ่ง
   “ขนาดฉันทั้งส่งครบทั้งแก้ยังได้แค่บีบวกเลย นี่แกแอบใส่ยาเสน่ห์ลงไปในไส้ดินสอหรือไง”
   “เค้าเรียกว่าโปรไง” ฟ่งตอบกวนประสาท เพื่อนอีกคนหนึ่งปรบมือ “โปรจริงๆ ว่ะ  ปีสองนี่ทำเอาพวกเราคิดว่าแกจะโดนรีไทน์เลยทีเดียว”
   เสียงฮาครืนดังขึ้นทั้งโต๊ะ ฟ่งยกมือขึ้นเกาหัว เพื่อนอีกคนพูดขึ้นบ้าง
   “ฟ่ง แกเลิกกับดาแล้วจริงดิ? ขอเอาบาทาแนบหน้าหน่อยได้มั้ย?!! ถ้ารู้ว่าเป็นงี้ฉันแย่งจีบดาตอนสมัยเรียนก็ดี”
   “โหว หน้าอย่างแกเนี่ยนะเต้ หาทางเข้าวัดให้ได้ก่อนดีกว่าว่ะ” พัชพูดดักคอ เสียงหัวเราะดังขึ้นอีก ฟ่งยิ้มแห้งๆ รู้สึกผิดอยู่พอสมควร เขาอาจจะทำลายช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพิฌาดาไปแล้วก็ได้ การที่เธอคบกับเขาถึงหกปีนั้น ไม่รู้ว่าพลาดโอกาสที่จะเจอคนอื่นไปเท่าไหร่ ฟ่งถอนหายใจ เรื่องทั้งหมดมันผ่านไปแล้ว เขาไม่ควรจะคิดมากอีก
   “ดีจ้ะ” เสียงใสๆ เอ่ยทักเหล่าหนุ่มๆ รอบโต๊ะที่กำลังคุยกันออกรส
   “ดีจ้า” บรรดาหนุ่มๆ เอ่ยตอบเสียงหวาน พิฌาดายิ้มตอบเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางฟ่ง
   “เราขอยืมตัวฟ่งแป๊บนึงได้หรือเปล่า?”
   “เอาไปเล้ย มีมันอยู่หนักโต๊ะ” เพื่อนๆ เฮละโลกันไล่ส่ง จนฟ่งพูดเถียงไม่ออก ชายหนุ่มหันไปมองหน้าหญิงสาว
   “ฟ่งอยากไปกับดาหรือเปล่า?”
   ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเดินตามออกไป
-------------------------------
   “Hi ดิฉันคิดว่าคุณจะไม่มาแล้วเสียอีก” เมี่ยงร้องทักทันทีที่เห็นรูฟัสก้าวเข้ามาในห้องเปลี่ยนเสื้อ ชายหนุ่มหัวเราะแก้เก้อ
“พอดีรถติดน่ะครับ”
   “นั่งก่อนสิ ไม่ต้องรีบหรอก ดิฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณสักหน่อย”
   “เรื่องอะไรหรือครับ” รูฟัสถาม ขณะวางกระเป๋าไว้ในล็อกเกอร์ เมี่ยงมีท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “อาจจะดูไม่สมควรอยู่บ้างนะคะ แต่ดิฉันคิดว่าควรจะต้องพูดเรื่องนี้กับคุณ  คุณคิดยังไงกับเด็กที่ชื่ออภิวัฒน์”
   “ฟ่งน่ะหรือครับ?” รูฟัสทวนคำ หญิงสาวพยักหน้า
   “ดิฉันยังไม่เคยคุยเรื่องนี้กับอภิวัฒน์หรอกนะคะ แต่ดูจากทีท่าของคุณแล้ว คิดว่าคุณสองคนคงมีความสัมพันธ์กันเกินกว่าเพื่อนร่วมคอนโดแล้วสินะคะ”
   “จะพูดว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” รูฟัสยอมรับ ขณะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หุ้มเบาะสีน้ำตาลแดงไร้พนักที่วางอยู่ในห้อง
   “ทำไมหรือครับ?”
   “คุณคิดจะจริงจังกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?” คำถามของเมี่ยงเหมือนพะเนินเหล็กที่หล่นปุลงใส่หัวใจของเขา รูฟัสนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
   “ครับ ผมจริงจัง”
   หญิงสาวลากเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมานั่งข้างๆ ก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตาสองสี่คู่นั้น ราวกับต้องการอ่านใจ
   “รูฟัสคะ ดิฉันถามจริงๆ นะคะ คุณกับเด็กคนนั้นรู้จักกันมากแค่ไหน เขารู้เรื่องของคุณหรือเปล่า?”
   “เปล่า ผมไม่ได้บอก” รูฟัสรู้สึกเหมือนตัวเองพ่นเข็มออกจากปาก ความเงียบเข้ามาแทรกระหว่างการสนทนาอีกครั้ง ในที่สุด เมี่ยงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
   “อภิวัฒน์เป็นเด็กมีอนาคตนะคะ แกเพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน ฝีมือการทำงานก็จัดว่าเยี่ยม  ที่สำคัญแกไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเกี่ยวกับคนในวงการนี้เลย”
   “กำลังจะบอกผมว่าอะไรหรือครับ?”
   รูฟัสถามเสียงเรียบๆ รู้สึกเหมือนอากาศในห้องร้อนขึ้นมาถนัด เมี่ยงมองหน้าของรูฟัสแล้วชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เธอคิดว่าอีกฝ่ายคงเริ่มไม่พอใจแล้ว
   “กรุณาอย่าทำลายอนาคตของแกเลยนะคะ”
   แววตาสองสีไหววูบ รูฟัสรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรซักอย่างมาจุกที่คอ เขาพูดตอบไม่ออก ดูเหมือนว่าเมี่ยงจะเดาความรู้สึกของชายหนุ่มออก หล่อนจึงรีบพูดต่อ
“ดิฉันอาจจะพูดแรงไปหน่อย แต่ที่พูดมาทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงคุณทั้งคู่นะคะ  สถานภาพของคุณกับเด็กคนนั้นต่างกันเกินไป  คุณคงเข้าใจนะคะ  ถ้าหากว่าคุณรักเด็กคนนั้นล่ะก็  กรุณาปล่อยแกไปเถอะค่ะ”
   คำพูดแต่ละคำของเมี่ยง เป็นเหมือนมีดที่เสียบทะลุเข้าไปในหัวใจ รูฟัสกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
   “คุณกำลังจะบอกว่า คนอย่างผมไม่สมควรจะไปรักใครงั้นสินะครับ”
   “ไม่ได้หมายความขนาดนั้นหรอกค่ะ” เมี่ยงรีบพูดแก้ ในขณะเดียวกันก็อดที่จะสะท้อนใจไม่ได้ ตัวเธอเองก็มีสภาพไม่ต่างไปจากชายหนุ่มเลย ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในฐานะที่ไม่อาจจะรักใครได้
   “ผมคงทำไม่ได้หรอกครับ”
   “รูฟัส!” เมี่ยงพูดอย่างไม่เชื่อหู รูฟัสยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะกล่าวต่อ
   “ผมเข้าใจว่าคุณมีเจตนาดีครับ ผมเองก็เห็นด้วย แต่ คุณเมี่ยงครับ” สีหน้าของรูฟัสแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมันและจริงจัง “ผมรักเด็กคนนั้น และผมจะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด”
   เมี่ยงมองหน้ารูฟัสอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
   “คำพูดของคุณขัดกับการกระทำนะคะรูฟัส ถ้าคุณจริงจังกับเด็กคนนั้น คุณก็ควรจะให้เขารู้ว่าคุณเป็นอะไร ความรักน่ะตั้งอยู่บนการหลอกลวงไม่ได้หรอกนะคะ”
   ความรู้สึกกระอักกระอวนใจกลับมาอีกครั้ง รูฟัสอ้ำอึ้ง ตัดสินใจไม่ถูก
   “ผมคงรอจนเสร็จงานก่อน แล้วค่อยบอก”
   เมี่ยงเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มร่างสูง ก่อนจะฝืนยิ้ม
   “ดิฉันเตือนคุณแล้วนะคะ” หล่อนพูด ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้รูฟัสนั่งจมอยู่ในห้วงความคิดอันหนักอึ้ง
---------------------------
   แสงจันทร์ข้างแรมที่แหว่งไปครึ่งหนึ่ง สาดทอลงมากระทบพื้นน้ำสีดำสนิทเป็นประกายเรื่อเรืองในความมืด เสียงพูดคุยจากงานเลี้ยงดังแว่วมาเป็นระยะๆ ฟ่งยกมือขึ้นตบยุงเสียงดังเพี๊ยะ ก่อนจะมองดูซากยุงประมาณห้าหกตัวที่แบนราบอยู่ในฝ่ามือ
   “เอายากันยุงไหม?” พิฌาดาถาม พลางหยิบขวดโลชั่นกันยุงออกมาจากกระเป๋าถือ ฟ่งส่ายหน้า แต่ก็ไม่แสดงท่าที่ปฏิเสธ เมื่อหญิงสาวทาโลชั่นให้ตามแขน
   “ตอนนั้นฟ่งก็ตบยุงแบบนี้เหมือนกัน” เธอเริ่มต้นระลึกถึงความหลัง ชายหนุ่มอมยิ้ม
   “อือ ตอนนั้นลืมนึกถึงเรื่องยากันยุงกันเสียสนิทเลยนี่นะ”
   “ฟ่งถอดเสื้อมาคลุมขาให้ดา ยุงเลยกัดหลังฟ่งเต็มไปหมด”
   ฟ่งนึกขำตัวเอง เมื่อนึกถึงช่วงเวลาตอนนั้น ตอนที่เขาบอกรักดา
   “วันนั้นฟ่งกลับไปห้อง ต้องให้พงษ์มันทายาหม่องให้ หลังงี้คันจนแทบจะนอนไม่ได้ แต่ถึงไม่คันฟ่งก็นอนไม่หลับอยู่ดี หลับตาก็เห็นแต่หน้าของดา”
   พิฌาดายิ้มหวาน  เธอหันไปมองหน้าชายหนุ่ม ที่กำลังหันมามองเธอเช่นกัน
   “เหมือนฝันเลยนะฟ่ง ตอนนั้นน่ะ”
   “อือ”
   “แต่มันก็จบลงแล้ว เราสองคนไม่มีวันจะกลับไปเป็นเหมือนตอนนั้นอีก”
   ฟ่งพูดต่อไม่ออก ความรู้สึกต่างๆประดังเข้ามาอีกครั้ง พิฌาดายื่นมือมากุมมือของเขาเอาไว้
   “ฟ่งอย่าคิดมากนะ ดาไม่เคยนึกเสียดายเวลาที่ได้อยู่กับฟ่งเลย จนถึงวันนี้ ดาก็ยังมีความสุขที่ได้พบกับฟ่ง”
   ฟ่งก็เหมือนกัน
นั่นเป็นแค่เสียงที่ดังอยู่ในความคิด ฟ่งได้แต่ยิ้มตอบให้หญิงสาว ทั้งๆที่ในหัวใจเต็มไปด้วยคำเรียกร้อง
   อยากที่จะรักผู้หญิงคนนี้ต่อไป
   อยากที่จะมีเธอไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง
   แต่อ้อมกอดของเขานั้นมีแต่จะทำให้เธอเจ็บปวด  ฟ่งถอนหายใจ “ดา..”
   ดวงตากลมโตอันชวนให้ลุ่มหลงของหญิงสาวจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่วางตา กระตุ้นความรู้สึกส่วนลึกของชายหนุ่ม  ฟ่งยกมือลูบใบหน้าและเส้นผมของพิฌาดาเบาๆ สัมผัสอบอุ่นที่แสนคุ้นเคย  สายลมยามค่ำคืนพัดมาเบาๆ กลิ่นน้ำหอมที่ยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำลอยมาแตะจมูก ชายหนุ่มค่อยๆ โน้มใบหน้าลงช้าๆ ริมฝีปากแดงอวบอิ่มของหญิงสาวที่เผยอขึ้นเล็กน้อย ดึงดูดให้นึกถึงสัมผัสแห่งความสุขในวันเวลาเก่าๆ
   “ฟ่งขอโทษ!” ชายหนุ่มโพล่งออกมา ขณะยั้งตัวเองไม่ให้แนบริมฝีปากลงไป แววตาแห่งความงุนงงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพิฌาดาแวบหนึ่ง แล้วเธอก็หัวเราะออกมา
   “ตกใจหมดเลย  ฟ่งมีแฟนใหม่แล้วสินะ”
   “เอ๋?”
   ประโยคคำถามที่หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ชายหนุ่มรู้สึกงุนงงเช่นกัน   “จริงๆ ดาอยากคุยกับฟ่งเรื่องนี้แหละ พงษ์เล่าให้ดาฟังแล้ว ฟ่งมีแฟนเป็นผู้ชายใช่ไหม?”
   “เดี๋ยวสิ ดา ฟ่งไม่ได้...” ฟ่งรู้สึกตกใจ ปนโมโหเล็กน้อย นึกไม่ออกว่าเขาไปมีแฟนเป็นผู้ขายตั้งแต่เมื่อไหร่ พงษ์เล่าเรื่องบ้าอะไรให้ดาฟังกันนะ
   “ฟ่งไม่ต้องอายดาหรอก ตอนแรกดาก็ตกใจมากๆ เหมือนกัน บอกตรงๆ ว่าดาช็อคไปเลย ดาไม่เคยคิดเลยว่าฟ่งจะ..เอ้อ..จะชอบผู้ชาย”
   “ฟ่งไม่ได้ชอบผู้ชายนะ!” ฟ่งปฏิเสธเสียงแข็ง พิฌาดานิ่วหน้าเล็กน้อย
   “พงษ์บอกว่าฟ่งมีแฟนเป็นฝรั่ง”
   “อ๋อ” ฟ่งนึกขึ้นมาได้ทันที พงษ์คงหมายถึงรูฟัส ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ
   “เขาไม่ใช่แฟนฟ่งหรอก” ฟ่งตอบเสียงอ่อยๆ พิฌาดาพยายามมองหน้าคนรักเก่าที่ดูจะยุ่งยากใจอยู่ไม่น้อย
   “ถ้าเขาไม่ใช่แฟนแล้วเป็นอะไรกับฟ่งล่ะ”
   ชายหนุ่มทำหน้าปั้นยาก ระหว่างเขากับรูฟัสควรจะเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบไหนดี
   “ไม่รู้”
   “ฟ่ง!” พิฌาดาเรียกชี่อคนรักเก่าอีกครั้ง แล้วถอนหายใจ “แปลว่า พงษ์ไม่ได้หลอกอำดา  ฟ่งคบอยู่กับผู้ชายจริงๆ ใช่ไหม”
   “ฟ่งไม่รู้” ชายหนุ่มตอบเสียงพร่า รู้สึกร้อนขึ้นมาทั้งใบหน้า ทำไมดาต้องถามเรื่องนี้กับเขาด้วย จริงๆ แล้วเขากับรูฟัสก็แค่..
   “ตอบดาได้รึเปล่า?”
   “ฟ่งไม่รู้ ดาหยุดถามได้แล้ว!” ฟ่งโพล่งออกมาแทบจะเป็นเสียงตะโกน ทำเอาหญิงสาวหน้าเสีย ชายหนุ่มหันมามองหน้าอดีตคนรักเก่าด้วยสีหน้าตกใจ
   “ฟ่งขอโทษ ฟ่งขอโทษดา ฟ่งขอโทษ” ฟ่งละล่ำละลักน้ำเสียงสั่นเครือ  พิฌาดาบีบมือของอีกฝ่ายแน่น ปฏิกิริยาแบบนี้เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยดี  มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกปวดร้าวทุกครั้ง
   “ไม่เป็นไรนะฟ่ง ใจเย็นๆ ดาขอโทษ ถ้าฟ่งไม่อยากเล่าไม่ต้องเล่าก็ได้”
   ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้า พยายามปรับอารมณ์ให้กลับเป็นปกติ หญิงสาวรอคอยอย่างเงียบๆ
   “ขอโทษนะดา” ฟ่งพูดออกมาในที่สุด
   “ฟ่งไม่รู้จริงๆ ว่าฟ่งกับเขาเป็นอะไรกันแน่ ฟ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นเลย ฟ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าคิดยังไงกับฟ่ง”
   “ฟ่ง..” พิฌาดาพูดต่อไม่ออก รู้สึกทั้งเจ็บปวดทั้งเป็นห่วงอดีตคนรัก เธอเข้าใจว่าอภิวัฒน์เป็นคนอ่อนไหวง่าย  เรื่องทั้งหมดคงเกิดขึ้นในช่วงที่เขาบอกเลิกกับเธอเป็นแน่ หญิงสาวคิดว่าควรจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น จึงพยายามยิ้มออกไป
   “ทำเอาดาพูดต่อไม่ออกเลย ยังไงดีล่ะ ดาแค่จะบอกฟ่งว่า ดาเป็นห่วงฟ่งนะ อยากให้ฟ่งดูแลตัวเอง ระวังตัวบ้าง”
   “ขอบคุณจ้ะ” ฟ่งตอบยิ้มๆ เขารู้สึกแย่ที่เมื่อครู่ตะโกนใส่พิฌาดาไปแบบนั้น แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้ติดใจอะไร ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง
   “ดา อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะ ฟ่งไม่อยากโดนใครหาว่าเป็นเกย์ ฟ่งไม่ได้ชอบผู้ชาย”
   “อือ  ให้ดาพูดว่าเข้าใจคงไม่ได้ แต่คนนี้เป็นกรณีพิเศษของฟ่งสินะ”
   ชายหนุ่มได้แต่กะพริบตาปริบๆ หญิงสาวบีบมือเขาเบาๆ
   “ไม่ต้องห่วงนะ ดาไม่บอกใครหรอก  บางทีแบบนี้อาจจะดีกับฟ่งก็ได้นะ”
   “ไม่รู้สิ” ฟ่งยกมือเกาหัวอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าอนาคตต่อไปจะเป็นเช่นไร ได้แต่หวังว่าเที่ยงคืนนี้คงได้รับคำตอบอะไรบางอย่างที่ชัดเจนขึ้น
-----------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #25 เมื่อ23-05-2011 21:32:57 »

บทที่10  สิ่งสำคัญ
   เสียงเพลงป๊อปแด๊นซ์ที่ถูกบรรเลงโดยวงดนตรีฝีมือเยี่ยม กระตุ้นให้ผู้คนที่นั่งอยู่ตามโต๊ะต่างๆ ลุกขึ้นมาขยับร่างกายตามจังหวะเพลง พื้นที่ที่ถูกจัดเป็นฟลอร์เต้นรำด้านหน้าเวที เริ่มมีผู้คนเข้าไปจับจองพื้นที่เพื่อวาดลีลาการเต้นที่บางรายเข้าถึงระดับมืออาชีพ รูฟัสเขย่ากระบอกผสมเครื่องดื่มด้วยอารมณ์เหม่อลอย แม้บรรยากาศรอบข้างจะดูครึกครื้น แต่จิตใจของเขากลับรู้สึกหดหู่ 
   คำพูดของเมี่ยงดังก้องอยู่ในหัว
   ควรแล้วหรือที่คนอย่างเขาจะเก็บความรักครั้งนี้เอาไว้
   ชายหนุ่มเม้มปากอย่างลืมตัว ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับฟ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา นับตั้งแต่เหตุการณ์สะเทือนขวัญในวัยเด็ก  แต่ช่วงเวลาที่มีความสุขนั้นมักจะสั้น
เที่ยงคืนนี้เขาควรจะทำอย่างไรดี  ควรจะบอกความจริง หรือจะโกหกต่อไป
   “คุณเชนเป็นอะไรไปคะ ดูเหม่อๆ พิกล?” หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ทักขึ้น รูฟัสรีบตอบปฏิเสธ
   “คุณนี่หน้าตาดีนะคะ ก่อนหน้านี้คุณทำงานอะไรหรือคะ เป็นดาราหรือเปล่า?” หญิงสาวถามต่อ รูฟัสไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เธอถามเช่นนั้น
   “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ  ทำงานเกี่ยวกับบัญชีน่ะ” รูฟัสตอบยิ้มๆ พลางมองดูนาฬิกา เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ จะเที่ยงคืน  เขาควรจะรีบกลับไปรอรับฟ่ง รูฟัสไม่รู้ว่าทำไมฝ่ายนั้นถึงได้อยากให้เขาลงไปรับ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฟ่งขอร้องเขาตรงๆ ชายหนุ่มคิดว่าเขาไม่ควรปฏิเสธ อีกอย่าง เขารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล หลังจากที่ได้เห็นสิ่งของในมือของอิทธิเดชในตอนกลางวัน  บางทีฟ่งอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาตามสืบอยู่
   รูฟัสภาวนาให้ตัวเองเดาผิด เขาไม่อยากให้ฟ่งเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องแบบนี้ ตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มตระหนักถึงความหมายที่เมี่ยงต้องการจะบอกเขาแล้ว แต่จิตใจส่วนลึกของเขายังดื้อรั้น อยากจะคว้าเอาคนคนนั้นมาเป็นของตัวเองให้ได้ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอาจจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดของทั้งสองฝ่าย
   “หรือครับ ผมคิดว่าก่อนหน้านี้คุณทำงานเป็นสายลับเสียอีก” เสียงนั่นเอ่ยเป็นภาษาจีนอย่างช้าๆและชัดเจน แววตาของรูฟัสเปลี่ยนเล็กน้อย ผู้ที่เอ่ยคำพูดเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าๆ ไว้ผมยาวมัดรวบด้านหลัง ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้า นัยน์ตาเรียวเล็กสีดำที่เหมือนกับกาจ้องมองมาราวกับใบมีด รูฟัสหัวเราะแก้เก้อ ก่อนจะเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ
   “Can you speak English, please?”
   “ยินดีที่ได้พบ คุณรูฟัส” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจคำขอ เขายังคงพูดภาษาจีนเช่นเดิม รูฟัสฝืนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “I can’t understand you”
   “ไม่เป็นไร ผมจะพูดไปเรื่อยๆ” ชายหนุ่มยังคงยืนยันเป็นภาษาจีน รูฟัสหันไปมองหน้ากับหญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่ ซึ่งก็มีท่าทีงุนงงอยู่เช่นกัน
   ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เข้ามาได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ อีกฝ่ายคงยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเขาเป็นใคร ลักษณะการพูดเหมือนกับการสุ่มตัวอย่างจับพิรุธ นัยน์ตาสีอีกานั้นจ้องเขม็งมาอย่างคุกคาม
   “คิดว่าคุณคงรู้จักกับ คุณเฟิงปิง”   อีกฝ่ายยังคงพูดต่อ โดยไม่สนใจแม้แต่จะสั่งเครื่องดื่ม รูฟัสยื่นเครื่องดื่มให้กับหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงมุมเคาน์เตอร์ โดยไม่แสดงทีท่าใส่ใจคำพูดนั้น การที่ชายหนุ่มปริศนาเอ่ยชื่อเฟิงปิงขึ้นมาไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขาแปลกใจมากนัก รูฟัสเชื่อว่าไม่นานเว่ยเฟิงปิงคงจะทราบเรื่องราวของเขา แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาตรงจังหวะขนาดนี้  ชายหนุ่มรินเครื่องดื่มลงไปในแก้วค็อกเทลอย่างใจเย็น ชายคนนี้คงเป็นลูกน้องคนหนึ่งของเว่ยเฟิงปิง  เขาอดรู้สึกนับถือความสามารถในการสืบหาและคาดเดาของเด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าใสไม่ได้  สิ่งที่เฟิงปิงเอามาอ้างอิงในการคาดเดานั้นไม่ใช่เรื่องหวือหวา แต่ที่น่ากลัวคือ วิธีการคิด เด็กคนนั้นมักจะคิดในแง่มุมที่คนอื่นมองข้ามเสมอ  รูฟัสนึกไม่ออกว่าเขามองข้ามอะไรไป แต่เอาเถอะ อีกฝ่ายก็ได้แค่คาดเดา ขอเพียงแค่ไม่มีพิรุธ ไม่นานอีกฝ่ายก็คงเลิกไปเอง ที่สำคัญชายหนุ่มปริศนาคนนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกของคลับ ไม่ว่าเขาจะเข้ามาด้วยวิธีการใด แต่ก็คงอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานนัก
   แล้วก็เป็นอย่างที่คาด หญิงสาวสวยในชุดสีม่วงเลื่อมดำเดินนวยนาดเข้ามาจากอีกมุมหนึ่งของห้อง พร้อมด้วยชายหนุ่มวัยฉกรรจ์สองคนในชุดสูทสีกรมท่า
   “กรุณาไปกับดิฉันหน่อยได้ไหมคะ คุณผู้ชาย” หล่อนพูดเป็นภาษาจีน ชายหนุ่มแปลกหน้ายิ้มให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นโบก “ขอผมพูดอีกหน่อยนะครับ”
นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นหันกลับไปจับจ้องที่รูฟัสอีกครั้ง  ราวกับจะจับทุกความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแม้แต่ลมหายใจ ริมฝีปากนั้นค่อยๆ เอ่ยคำพูดออกมา ช้าและชัดเจน
   “คุณเฟิงปิงเจ้านายของผม เขาดูจะสนใจเพื่อนคุณคนหนึ่งเป็นพิเศษ คนที่ชื่ออภิวัฒน์น่ะครับ”
   คราวนี้แววตาของรูฟัสกระด้างขึ้นมาทันที เขาเกือบจะหลุดปากถามออกไปทันทีที่ได้ยินชื่ออภิวัฒน์
   อภิวัฒน์  ฟ่ง... นี่เฟิงปิงรู้อะไรขนาดไหนกันแน่?
 ชายหนุ่มพยายามจะสะกดอารมณ์ที่เริ่มจะพลุ่งพล่านขึ้นมา แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นผลนัก ความร้อนใจมีมากขึ้นเรื่อยๆ เขาหันไปมองหน้าเมี่ยง ซึ่งพยายามซ่อนความรู้สึกตื่นตระหนกเอาไว้ได้อย่างน่าชมเชย
   บ้าชะมัด รูฟัสคิด เขารู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคงจับพิรุธของเขาได้แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกกังวลกับมันมากนัก เมื่อชื่อที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมานั้นดูน่าเป็นห่วงกว่า
   ชายหนุ่มผมยาวมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย ฝ่ายตรงข้ามแสดงปฏิกิริยาออกมาแล้ว การคาดเดาของเจ้านายของเขาแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ
   “ออกไปคุยกันข้างนอกไหม?”
   ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยถาม รูฟัสยอมรับกับตัวเองว่าเขาได้เผยจุดอ่อนที่ไม่น่าจะมีที่สุดออกมาเสียแล้ว
    ปัญหาแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน  แม้เขาจะมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงและผู้ชายมามาก แต่นั่นไม่ทำให้เขารู้สึกร้อนใจนัก หากอีกฝ่ายโดนจ้องทำร้ายหรือหมายชีวิต แต่ในกรณีนี้ต่างกัน
   ความกังวลใจถ่าโถมเข้าใส่หัวใจรูฟัส เขาอยากจะโทรศัพท์หาฟ่ง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสืบทราบความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฟ่งมากเท่าไร การที่โทรศัพท์ต่อหน้าชายคนนี้อาจจะเป็นการเผยจุดอ่อนมากขึ้น ตอนนี้เขาต้องพยายามแสดงให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า บุคคลที่ชื่อว่าอภิวัฒน์ไม่ได้มีความสำคัญกับเขามากอย่างที่คิด อีกอย่าง เขาควรจะใช้โอกาสนี้สะสางเรื่องราวของเฟิงปิงให้เสร็จ
   รูฟัสพยักหน้ากับชายหนุ่มปริศนา ก่อนจะหันมายิ้มให้เมี่ยง
   “เห็นทีผมจะต้องขอตัวก่อนล่ะครับ”
   “เอ่อ.. ค่ะ ระวังตัวนะคะ” เมี่ยงพูดกระท่อนกระแท่น ขณะมองดูคนทั้งคู่เดินออกไป
---------------------------
   ฟ่งก้าวฉับๆ ข้ามสะพานปูนที่ตัดผ่านส่วนคอดของบ่อ กลับเข้าไปยังบริเวณงานเลี้ยง ด้วยความรู้สึกเหมือนจะพ่นไฟ
   “เฮ้ย! ฟ่ง ช่วยที” พัชร้องเรียกทันทีที่เห็นหน้าเพื่อน หนุ่มวัยยี่สิบสี่ที่สวมแว่นตาหนาเตอะต้องกล้ำกลืนคำพูดที่จะต่อว่าต่อขานกลับเข้าไปในปากเมื่อเห็นสภาพเพื่อน ก่อนจะถามกลับ
   “เป็นอะไร?”
   “ก็ไอ้พวกนี้น่ะสิ มันจะมอมเหล้าช้านนน ช่วยด้วย!” พัชชี้ไปยังกลุ่มเพื่อนๆ ที่ดวดเหล้ากันจนหน้าเริ่มแดงได้ที่ ฟ่งถอนหายใจ
   “พวกแกระวังเมาไม่ได้กลับ”
   “หยวนๆ น่า กลับไม่ไหวนอนบ้านไอ้กิจก็ได้ อยู่หลังมหาลัยเอง” เพื่อนคนหนึ่งตอบ พลางยกแก้วขึ้นเชิญชวน
   “โทษที แต่ฉันต้องกลับคืนนี้ แล้วฉันก็ขับรถไม่เป็น เพราะฉะนั้น ไอ้พงษ์ แกห้ามเมา!”
   “ประโยคแกดูเท่มาก ไอ้ฟ่ง โตเป็นควายแล้วทำไมไม่หัดขับรถว่ะ”
   “เรื่องของฉัน!” ฟ่งนิ่วหน้าตอบ พัชหันมาพูดเสียงอ่อยๆ “ฟ่ง ฉันว่ากลับกันก่อนดีไหม อยู่ต่อไปมีหวังได้นอนบ้านไอ้กิจจริงแน่”
   “นั่นแน่ แกก็เปรี้ยวปากเหมือนกันล่ะสิ บอกแล้วว่านอนบ้านไอ้กิจกัน นานๆจะเจอกันซักที”
   ฟ่งมองดูสถานการณ์โดยรวมแล้วมุ่นคิ้ว
   “พอดีพรุ่งนี้ฉันมีธุระต้องทำตอนเช้า คงนอนค้างไม่ได้หรอก พงษ์กลับๆ”
   “อื้อ” สีหน้าของพัชดีใจเหมือนหลุดออกมาจากดงรถติด เจ้าตัวรีบผุดลุกขึ้น โบกมือลาเพื่อน “ไปก่อนนะจ๊ะ พระเอกมาช่วยแล้ว”
   ฟ่งถลึงตาใส่ทันที พัชเลยต้องรีบเดินออกมา

   “แน่ใจนะว่าไม่เมา?” ฟ่งถามหวาดๆ ขณะที่พัชไขกุญแจสตาร์ทรถ
   “ก็เกือบๆ แหละ ดีที่นายมาขัดจังหวะ อย่างทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันไม่เมาหรอก” พัชย้ำเมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยเชื่อถือของเพื่อน
   “ถ้าฉันเมาล่ะจับนายปล้ำไปแล้ว”
   “ไม่ขำนะ!” ฟ่งว่า ขณะที่พัชเหยียบคันเร่งออกตัวรถ
   “กลับก่อนกำหนดเป็นอะไรรึเปล่า?” คนเป็นเพื่อนถาม เมื่อสังเกตว่าฟ่งดูเป็นห่วงเรื่องเวลาแปลกๆ
   “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง เออ ว่าแต่ แกไปเล่าอะไรให้ดาฟัง”
   “เอ๋..อ๋อ” พัชทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ “ทำไม? ฉันคิดว่าดาควรจะรู้เอาไว้หน่อย รู้รึเปล่าว่าเค้ายังตัดใจจากนายไม่ได้”
   ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ด้วยไม่รู้ว่าสมควรจะตอบคำถามนั้นอย่างไร พัชมองหน้าเพื่อน พลางถอนหายใจ “ฉันรู้ว่านายคงไม่ยอมบอก นึกถึงจิตใจคนอื่นบ้างสิ ฉันคิดว่าถ้าดารู้ว่านายเป็นอะไรก็คงทำใจได้ง่ายขึ้น”
   “ให้ทำใจว่าแฟนเก่าเป็นเกย์หรือไง?”
   “หรือไม่จริง” พัชตอกกลับ ฟ่งมองหน้าเพื่อนก่อนจะถอนหายใจยาว
   -----------------------------------
   เสียงฝีเท้าย่ำลงบนพื้นซีเมนต์ขัดหยาบดังสะท้อนกับเสาปูนเปลือยดังสะท้อนไปทั่วส่วนล่างของตึกที่ถูกใช้เป็นลานจอดรถ รูฟัสอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแลกสีดำ เดินคู่มากับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำสนิท
   ดูราวกับการเดินแถวหน้ากระดานในงานสวนสนาม ต่างผ่ายต่างไม่ยอมให้อีกฝั่งคลาดสายตา บรรยากาศอึดอัดทวีมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่รองเท้าหนังสีดำของทั้งสองกระทบกับพื้น
   “มีธุระอะไรกับผม?” ในที่สุดรูฟัสก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเป็นภาษาจีนขึ้นก่อน บุรุษแปลกหน้าไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาหันหน้ามามองแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปพูดเสียงเรียบๆ
   “เจ้านายผมมีธุระกับคุณ”
   “เฟิงปิงน่ะหรือ?” รูฟัสถามกลับ แววตาของบุรุษลึกลับไหววูบเล็กน้อย เมื่อได้ยินชื่อของผู้เป็นนาย
   “ได้ยินว่าคุณเคยทำงานอยู่ที่ฮ่องกง เรื่องภาษาคงไม่เป็นปัญหาสินะ”
   “เปล่า” ร่างสูงตอบ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับคำถามของฝ่ายตรงข้าม บุรุษแปลกหน้าเงียบไปอีกพักหนึ่ง เสียงฝีเท้ายังคงดังกระทบพื้น
   “ความจริงเจ้านายผมอยากพบคุณมาก เขาอยากให้ผมพาคุณกลับไป”
   “อย่างนั้นหรือ ตอนนี้เจ้านายคุณอยู่ที่ไหนกันล่ะ”
   “ผมจะพาคุณไปเอง” บุรุษแปลกหน้ากล่าวพลางเว้นช่วงคำพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากต่อด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “คุณไม่อยากรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่คุณทิ้งไปเมื่อหกปีก่อน”
   “มีอะไรงั้นรึ?”
   รูฟัสรู้สึกแปลกใจ เขาไม่คิดว่าเว่ยเฟิงปิงจะเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ คนถูกถามชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะหันหน้ามามอง
   “ความจริงผมอยากจะให้คุณเห็นเจ้านายผมด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
   “เกิดอะไรขึ้นกับเฟิงปิง?” รูฟัสถาม แต่สายตายังคงจับจ้องการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม ชายหนุ่มปริศนาประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน ก่อนจะดึงสายลวดสีเงินเส้นเล็กๆ ออกมาจากแหวนที่สวมอยู่ตรงนิ้วกลางด้านขวา
   “ถ้าคุณอยากรู้ ผมจะค่อยๆเล่าให้ฟัง หวังว่าคุณจะอยู่ฟังจนถึงตอนจบนะ”
   นัยน์ตาที่สวมคอนแทคเลนสีน้ำผึ้งของรูฟัสเบิ่งกว้าง เสียงลวดบางเฉียบแหวกผ่านอากาศดังหวืดหวือ แสงไฟนีออนสะท้อนเพียงเงาสีเงินรางๆ ชายหนุ่มกระโดดหลบไปด้านหลัง เสียงเชี๊ยะดังขึ้นเบาๆ
   สิ่งที่ทำให้รูฟัสรู้สึกตระหนกไม่ใช่อาวุธพิสดารที่ชายหนุ่มปริศนากำลังใช้อยู่ แต่กลับเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ใช้อาวุธชิ้นนี้ต่างหาก
   รูฟัสยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลซึมออกมาจากแผลข้างแก้ม เพียงแค่การโจมตีแรกก็สามารถสร้างบาดแผลให้เขาได้แล้ว สายลับหนุ่มกระโดดหลบไปด้านหลังเสา เขาต้องการเวลาสักเล็กน้อยในการทำความเข้าใจกับการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
   ในตอนที่แฝงตัวอยู่ในตระกูลเว่ย รูฟัสจำได้ว่าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมือสังหารของหน่วยดำที่ใช้ลวดเป็นอาวุธ ในตอนนั้นเขายังคิดอยากจะเห็นการใช้อาวุธแบบนั้นดูสักครั้ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะเผชิญมันด้วยตนเอง
   เสียงลวดบาดคอนกรีตทำเอารูฟัสต้องกลืนน้ำลายเฮือก นี่ถ้าลองโดนจังๆ สักทีหนึ่ง คงไม่โสภาแน่ๆ ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางคิดหาแผนรับมือกับอาวุธประหลาดชิ้นนี้
   “กำลังรอฟังอยู่รึ?” น้ำเสียงเย็นชาปนประชดประชันทำให้รูฟัสรู้สึกหงุดหงิดหู ทันใดนั้นวัตถุสีเงินลักษณะคล้ายๆ หัวฉมวกก็ถูกเหวี่ยงเข้ามา
   หนุ่มตาสองสีถอยหลังหลบโดยสัญชาติญาณ และพบว่ามงคลสีเงินวงหนึ่งกำลังจะคล้องเข้าที่ศีรษะ ชายหนุ่มหงายหลังลงกับพื้น แอ่นตัวเตะท่อนแขนที่ถลันเข้ามาอย่างจัง ก่อนจะกลิ้งหลบออกไป
   “รีบๆเล่ามาได้แล้ว!” รูฟัสพูดพร้อมกับดีดตัวขึ้น  เมื่อนึกว่าคนของหน่วยดำมาทำงานให้เฟิงปิงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจอยู่พอสมควร รูฟัสยอมรับว่าเมื่อครู่เขารู้สึกเป็นห่วงเว่ยเฟิงปิงแว๊บหนึ่ง แต่ตอนนี้มันคงไม่ใช่อย่างที่คิด
   บุรุษแปลกหน้าเหยียดนิ้วมือข้างที่โดนเตะเข้าออก แรงเตะเมื่อครู่คงทำให้รู้สึกชาอยู่บ้าง ในมือของเขาตอนนี้เพิ่มเส้นลวดที่มีปลายเป็นหัวฉมวกขนาดยาวราวนิ้วชี้ขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง ช่างเป็นอาวุธที่พิสดารจนออกแนวเลวร้ายเลยทีเดียว
   “ใจเย็นๆสิ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย” การโจมตีอีกระลอกประดังเข้ามาพร้อมกับคำพูด รูฟัสได้แต่กระโดดหลบไปเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้เขายังคิดวิธีที่จะรับมือกับสถานการณ์นี้ไม่ออก
   “ผมชื่อจางซื่อเยี่ยน เป็นอดีตคนของหน่วยดำ คิดว่าเรื่องนี้คุณคงทราบแล้ว”
   รูฟัสกัดฟันกรอด ขณะก้มลงหลบเส้นลวดที่ม้วนตัวเข้ามา แล้วยังต้องกระโดดหลบฉมวกสีเงินที่ถูกเหวี่ยงเข้ามาติดๆ กันอีก หมอนี่คิดจะถ่วงเวลาไปถึงไหนกัน
   “ครับ ทราบแล้ว แต่เห็นทีผมคงต้องบังคับให้คุณพูดเข้าเรื่องซักที” สายลับหนุ่มกล่าว ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว จางซื่อเยี่ยนหรี่ตาลง เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับการกระทำของฝ่ายตรงข้าม คนที่ทำให้ชีวิตของเจ้านายของเขาต้องเหลวแหลกน่าจะมีอะไรมากกว่านี้
   อดีตหน่วยดำรั้งลวดสีเงินกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบรรจงวาดบ่วงคล้องลงบนศีรษะของอีกฝ่าย
   “ลาก่อน” คำพูดหลุดออกมาพร้อมกับเส้นลวดที่ถูกดึงให้ม้วนเข้าหากัน ก่อนจะบาดลงบนกล้ามเนื้อคอ
   “สวัสดีต่างหากล่ะ!”
   จางชื่อเยี่ยนเบิ่งตากว้าง นัยน์ตาที่สวมคอนแทคเลนส์สีน้ำผึ้งที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าดูราวกับดวงตาของปิศาจ ก่อนที่จะทันได้คิดว่าอะไรเป็นอะไร ศีรษะของอีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาเต็มดั้งจมูก เล่นเอาเขาเซถลาไปหลายก้าว จางชื่อเยี่ยนไม่คิดจะโดนเฮดบัดกันดื้อๆ ที่แย่กว่านั้นคือ กำปั้นที่ประเคนเข้ามาอีกระลอกใหญ่  กว่าที่เขาจะรั้งลวดกลับเข้ามาป้องกันตัวได้ ก็โดนเข้าไปหลายดอก
   “ผมต้องขออภัยจริงๆ ที่ประเมินคุณต่ำไป” อดีตหน่วยดำพูด พลางปาดเลือดออกจากจมูก ตอนนี้ใบหน้าของเขาเปรอะไปด้วยเลือด
   “โชคดีที่เพื่อนผมไว้ใจได้น่ะ” รูฟัสกล่าว ขณะที่ถอยออกมาตั้งหลัก ห่วงสุดท้ายเมื่อครู่เกือบทำเอามือขาด ดีที่ฝ่ายนั้นเสียกระบวนไปพอสมควรเพราะความเจ็บปวด  ชายหนุ่มเสียบปลอกปากกาเข้ากับด้านท้ายของปากกาสีเงินที่เขาล้วงออกมาจากอกเสื้อ จางชื่อเยี่ยนถ่มเลือดลงกับพื้น พลางมองดูแท่งสีเงินระยับในมือฝ่ายตรงข้าม
   “ใช้ปากการับลวดผมหรือ?”
   “ครับ แต่จะเรียกว่าปากกาก็คงไม่ถูกนัก มันใช้เขียนไม่ค่อยได้หรอก” รูฟัสพูด พลางสะบัดมือ ปลายแหลมของปากกาพุ่งตัวออกกลายเป็นแท่งสีเงินขนาดเล็กความยาวประมาณหนึ่งเมตร  เขานึกขอบคุณราฟาแอลที่หาอุปกรณ์แบบนี้มาให้ อย่างน้อยมันก็ไม่โดนเส้นลวดสีเงินนั่นตัดขาด
   “เรเปียหรือ? มีอาวุธแปลกๆ เหมือนกันนี่”
   สายลับหนุ่มหัวเราะ “มันคงเป็นเรเปียที่บางที่สุดในโลกล่ะมั้ง” เขาไม่ได้พูดเกินเลยไปนัก เพราะขนาดของมันเล็กเท่าๆ กับใส้ในปากกาเท่านั้นเอง  จางซื่อเยี่ยนพลอยหัวเราะขึ้นด้วย
   

ออฟไลน์ ต่ายน้อย

  • กระต่ายน้อยลอยคอ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 816
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-3
    • http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27719.0
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #26 เมื่อ23-05-2011 21:37:34 »

มาเจิมจ้า~  :mc4:
โหยคุณ juon
ลงยาวสะใจมาก :a5:
 พึ่งอ่านไปได้นิดเดียวเอง มีรวมเล่มแล้วเหรอคะ หาซื้อได้ที่ไหนบ้างคะ
เป็นกำลังใจให้คร่า :L2:

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #27 เมื่อ23-05-2011 21:39:02 »

เข้ามากดบวก ๑ ให้คุณจูออนค่ะ

ลงทีเดียวยาวเลย เอาเป็นว่าขอตัวไปซุ่มเงียบอ่านก่อนนะคะ อิอิ เป็นคนสมาธิสั้นมาก ต้องอ่านไปทีละน้อย  :กอด1:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #28 เมื่อ23-05-2011 21:40:24 »

“คุณชายเจ็ดถูกอัปเปหิออกจากกลุ่มหลังจากที่คุณออกไป รู้รึเปล่า?”
   จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตรึงเครียด เส้นลวดในมือถูกขึงขึ้นอีกครั้ง รูฟัสถอยฉากออกมาก้าวหนึ่ง เขารู้ว่าอีกฝ่ายพร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่เรื่องราวของเฟิงปิงก็กระตุ้นความสนใจของเขาเช่นกัน
   “ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงไม่ฆ่าเขา แต่เอาเถอะ คุณชายยอมรับผิดทุกอย่างต่อท่านหัวหน้า เลยโดนลงโทษอย่างหนัก ผมคงอธิบายไม่ได้ แต่มันเลวร้ายเสียจนกระทั่งพวกเรา หน่วยดำยังต้องเบือนหน้า การที่พ่อลงโทษลูกชายเลวร้ายขนาดนั้นมีให้เห็นไม่บ่อยนักหรอก”
   รูฟัสนิ่งอึ้ง นี่เฟิงปิงรับผิดทั้งหมดงั้นหรือ ทำไมกัน ไม่น่าเป็นไปได้ เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อนัก แต่อีกฝ่ายมีเหตุผลอะไรกันที่จะโกหกเขา ทำให้รู้สึกผิดงั้นหรือ ไม่น่าใช่...
   “ลูกนกเวลาตกรังแล้วมันปีนขึ้นมาลำบากนะ แต่เขาก็ปีนกลับขึ้นมาได้” จู่ๆ จางชื่อเยี่ยนก็ถอนหายใจ ปลายฉมวกในมือถูกเหวี่ยงแรงขึ้น “น่าเสียดายนะ ตอนแรกผมคิดจะฆ่าคุณแท้ๆ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยคุณชายของผมก็อยากเจอคุณตัวเป็นๆ  ความจริงผมอยากอยู่ทดลองอาวุธของคุณสักพัก แต่เวลาคงหมดแล้วล่ะ”
   ปลายฉมวกสีเงินถูกเหวี่ยงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เอี้ยวตัวหลบ ทันใดนั้นปลายของมันก็แตกออก กลายเป็นฝุ่นสีขาวฟุ้งกระจายไปทั่ว สายลับหนุ่มรีบยกมือขึ้นปิดจมูก
   “อย่าคิดที่จะตามผม  ทางที่ดีกลับไปที่ของคุณจะดีกว่า บางทีสิ่งที่คุณปกป้องอาจจะยังปลอดภัยอยู่ก็ได้”
   นั่นคือคำพูดสุดท้ายของจากชื่อเยี่ยนที่รูฟัสได้ยิน ก่อนจะควันสีขาวจะจางหายไปพร้อมกับการจากไปของอดีตหน่วยดำ
-------------------------------
   “โชคดีนะ มีอะไรโทรหาฉันก็ได้” พัชพูดผ่านกระจกที่ถูกลดลง ฟ่งยิ้มแห้งๆ ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าคอนโดของตัวเอง นาฬิกาบอกเวลา ห้าทุ่มเกือบๆ เที่ยงคืน
   “อืม” ชายหนุ่มรับคำเบาๆ ก่อนจะโบกมือลาเพื่อน พัชมองฟ่งด้วยสายตาเป็นห่วง ก่อนจะถอนหายใจแล้วถอยรถออกไป
   ฟ่งมองดูรถของเพื่อนเลี้ยวลับไปตรงหัวโค้งหน้าซอย ก่อนจะเดินเข้าไปในคอนโด ไฟสีเหลืองจากเคาน์เตอร์ส่องลอดเข้ามาในห้องโถงที่ปิดไฟมืดสนิท ทำให้เห็นเงาร่างร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟา
   แวบแรกฟ่งรู้สึกดีใจที่รูฟัสลงมาคอยเขาตามสัญญา แต่อีกวินาทีต่อมาเขาต้องรีบบอกกับตัวเองว่านั่นเป็นเพียงการเข้าใจผิด เมื่อร่างนั้นผุดลุกขึ้น
   “Hello, I've been waiting for you.” เจ้าของร่างนั้นเตี้ยกว่ารูฟัสพอสมควร ทั้งน้ำเสียงที่เอ่ยทักยังเป็นน้ำเสียงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ฟ่งก้าวถอยหลังไปตามสัญชาติญาณ เขารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
   “Don't be afraid. we won't harm you” เสียงนั้นดูนุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ฟ่งรู้แน่ว่าคำพูดของอีกฝ่ายไม่จริง เขาถอยหลังไปอีกก้าวแล้ววิ่งออกไปทางประตู แต่ก่อนที่จะได้สัมผัสกับบานผลัก ร่างของเขาก็โดนกดลงกับพื้น โดยชายอีกสองคนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ฟ่งร้องโอ๊ยคำหนึ่ง ในตอนที่ใบหน้าของเขากระแทกกับพื้นหินแกรนิตเย็นเยียบ ชายหนุ่มรู้สึกถึงการคุกคามที่ก้าวเข้ามา เมื่อบุรุษแปลกหน้าที่เอ่ยทักเขาในตอนแรกเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
   “Got you!”
---------------------------------
   รูฟัสแทบจะกระโดดออกจากรถแท็กซี่ทันทีที่มันวิ่งมาถึงหน้าคอนโด เขาโยนเงินให้กับคนขับ ก่อนจะผลักประตูออกมาอย่างเร่งร้อนโดยไม่สนใจเงินทอน  สิ่งแรกที่เขาเห็นคือคนยามที่นั่งหลับอยู่
   “บ้าชิบ!” รูฟัสสบถ ก่อนจะผลักประตูกระจกเข้าไป และพบเพียงความว่างเปล่า เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นตามใบหน้า ชายหนุ่มก้มลงมองนาฬิกา
   เที่ยงคืนสิบห้า
   เขาล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกดโทรออก พวกรีเซปเตอร์กลับกันหมดแล้ว ไม่เหลือใครไว้ให้ถามอะไรอีก เสียงตื๊ดของโทรศัพท์แต่ละรอบยาวนานราวกับไม่มีวันจบ รูฟัสภาวนาให้ฟ่งรับสายแล้วต่อว่าเขาเรื่องที่มาสาย หรือไม่ก็บอกว่ายังอยู่กับเพื่อน และแล้วเสียงกดรับโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพร้อมกับความหวัง
   “สวัสดี รูฟัส ไม่เจอกันเสียนานนะ” เสียงตอบรับที่ลอดออกมาทำเอารูฟัสแทบหัวใจสลาย เขายืนอึ้งไปครู่หนึ่ง  น้ำเสียงนั้นแม้จะเปลี่ยนไปบ้างแต่เขาก็ยังจดจำได้ดี เสียงที่เขาไม่ได้ยินมาถึงหกปี
   “เฟิงปิง!!”
   “ดีใจจังที่ยังจำกันได้นะ” อีกฝ่ายตอบ เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดเข้ามาด้วย รูฟัสรู้สึกอารมณ์เดือนพล่าน
   “เธออยู่ไหน?!” เขาถาม แทบจะเป็นเสียงตะคอก เฟิงปิงจุ๊ปากเป็นเชิงปราม
   “ไม่เอาน่า อย่าขู่ผมสิ คุณเพิ่งเจอกับลูกน้องของผมไปไม่ใช่หรือ เขาไม่ได้บอกหรือไงว่าผมอยู่ไหน”
   “อย่ามาลูกไม้นะเฟิงปิง บอกมาว่าเธออยู่ไหน!”
   “ใจร้อนจังนะ” เสียงนั้นตอบกลับมาอย่างใจเย็น รูฟัสกำโทรศัพท์แน่น แทบจะขยี้มันแหลกคามือ
   “ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าอยู่ที่ไหน เพราะผมเพิ่งมาไทยครั้งแรก แต่ว่านะ รูฟัส ผมคิดว่าผมอยู่กับคนที่คุณอยากเจอมากที่สุดตอนนี้ อยากได้ยินเสียงหมอนั่นหน่อยไหมล่ะ?” เว่ยเฟิงปิงกล่าว พลางยื่นโทรศัพท์ให้ฟ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ขนาบด้วยลูกน้องของเขาอีกคนหนึ่ง ตอนนี้คนทั้งหมดอยู่ในรถซึ่งเว่ยเฟิงปิงได้เช่ามา และกำลังมุ่งหน้าไปสนามบิน ฟ่งไม่ได้รับโทรศัพท์ เพราะมือของเขาถูกมัดไพล่อยู่ด้านหลัง เว่ยเฟิงปิงเลยต้องเอาโทรศัพท์มาจ่อหูเขาแทน
   “Speak!” หนุ่มชาวฮ่องกงสั่ง ฟ่งเม้มปากแน่น เสียงของรูฟัสที่ลอดเข้ามาทำให้ลำคอของเขาตีบตัน เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายดี
   “ฟ่ง คุณอยู่ที่นั่นรึเปล่า? พูดกับผมหน่อย” เสียงของรูฟัสดูร้อนรนและห่วงใย แต่เขาพูดไม่ออก ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าเป็นความเศร้า ความเสียใจ หรือว่าความกลัวประดังเข้ามาในจิตใจ ฟ่งยังคงเม้มปากแน่น
   “You don't want to? Alright, I'll help!" เว่ยเฟิงปิงพูด ก่อนจะตบเข้าที่ใบหน้าของฟ่งฉาดใหญ่ เสียงนั้นคงทะลุถึงหูของอีกฝ่าย ฟ่งได้ยินรูฟัสเรียกชื่อของตนอีกครั้ง แต่เขายังคงปิดปากแน่น เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปากเป็นทางยาว ชายหนุ่มตัดสินใจว่าเขาจะไม่ยอมส่งเสียงใดๆ ทั้งนั้น เฟิงปิงกระชากผมของอีกฝ่ายจนหน้าหงายไปด้านหลัง
   “SPEAK!!”
   เขาสั่ง แต่ฟ่งยังคงเงียบ เฟิงปิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะผลักศีรษะนั้นไปกระแทกกับเบาะหน้า ฟ่งหลับตาแน่น รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
   “Good boy I'll give you something”
   จู่ๆ เฟิงปิงก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ฟ่งสังเกตเห็นนัยน์ตาเรียวยาวสีฟ้าน้ำทะเลที่ดูเจ้าเล่ห์ราวกับงูนั้น กลอกเล็กน้อย ริมฝีปากบางนั้นกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูแสยะจนไม่น่ามอง
   “โอ๊ย!!” ฟ่งร้องเสียงลั่น ก่อนจะม้วนตัวลงไปจนแทบจะถึงพื้นที่นั่ง ใบหน้าแดงก่ำ เฟิงปิงหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
   “ได้ยินรึเปล่า รูฟัส”
   “แกทำอะไร!?” เสียงของอีกฝ่ายที่ลอดออกมาเต็มไปด้วยความโกรธ  แต่เว่ยเฟิงปิงยังคงหัวเราะ “ก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก แค่บีบลูกกระแป๋งเพื่อนนายเล่นแค่นั้นเอง”
   “ฉันจะฆ่าแก!!” ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มือของเขาสั่นระริก ร่างบางกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะหัวเราะแล้วพูดต่อ
   “มาสิ ฉันจะรอนายอยู่ที่ฮ่องกง” เขาพูด ก่อนจะวางสายไป
   “เดี๋ยว!” รูฟัสตะโกนกรอกหูโทรศัพท์ แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก นอกจากเสียงตื๊ดถี่ๆ แสดงสถานะขาดการติดต่อ ชายหนุ่มพยายามต่อสายอีกครั้ง แต่ถูกตัดทิ้ง และในที่สุดเขาก็พบว่าอีกฝ่ายปิดเครื่องหนี
   “โธ่เว้ย!” เขารู้สึกโมโหจนแทบอยากจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง ชายหนุ่มเดินไปมาราวกับหนูติดจั่น เขาพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ฟ่งคงไม่เจอเรื่องร้ายแรงมากนัก เพราะอยู่ในฐานะตัวประกัน  แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ตาม คู่ต่อสู้อีกฝ่ายคือเว่ยเฟิงปิง ชายที่สามารถตามหาตัวเขาจนพบ ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตามแต่ รูฟัสรู้สึกไม่ไว้วางใจชายคนนี้แบบที่สุด บางทีเฟิงปิงอาจจะทำอะไรบ้าๆ กับฟ่งก็ได้ แค่คิดว่าเมื่อครู่ฟ่งโดนทำอะไรไปบ้างเขาก็แทบคลั่ง
   ต้องรีบพาฟ่งกลับมาให้เร็วที่สุด  แต่ด้วยวิธีไหนล่ะ ไหนจะงานที่เขากำลังทำอยู่อีก
   งานบ้าบออะไรกัน!!!
   รูฟัสยกมือขึ้นกระชากประตูให้เปิดออก ก่อนจะก้าวพรวดๆ ลงบันใดไป
--------------------------------
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองชายที่กระทำการอันน่าอับอายกับเขาด้วยความโกรธ ก่อนจะเค้นเสียงสบถอย่างยากลำบาก “ไอ้โรคจิต!”
   นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบมองมาเล็กน้อย แม้จะไม่เข้าใจคำพูดของฟ่ง แต่ร่างบางก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงด่าเขาอยู่ ใบหน้าเรียวราวกับพญางูยื่นเข้ามาอีกครั้ง
   “I hate you”
   ฟ่งขมวดคิ้วกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาไม่เคยรู้จักกับชายคนนี้มาก่อน จู่ๆ ก็โดนจับตัวมา แถมต้องมาโดนทำร้ายร่างกายอีก เขาสิน่าจะเป็นฝ่ายพูดคำนั้นมากกว่า
   “ผมสิน่าจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่า!” แทบจะเร็วเท่าใจคิด ฟ่งเผลอปากพูดออกไปทันที  เฟิงปิงขมวดคิ้วบางด้วยความแปลกใจ
   “พูดจีนได้รึ?”
   ฟ่งก้มหน้าเงียบ รู้สึกไม่อยากพูดต่อ เฟิงปิงจับใบหน้าของฟ่งให้เงยขึ้น ทำให้เขาต้อง มองนัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นโดยไม่ค่อยเต็มใจนัก
   “นายเป็นอะไรกับรูฟัสกันแน่?” นัยน์ตาสีฟ้านั้นจ้องมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฟ่งสะบัดหน้าหนี
   “แล้วคุณล่ะ เป็นอะไรกับเขา?” ฟ่งถามกลับ เฟิงปิงมองหน้าเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้ม
   “ไม่รู้หรอกหรือ นี่นายไม่รู้อะไรเลยหรอกหรือ” น้ำเสียงของเฟิงปิงทำให้ฟ่งรู้สึกเหมือนโดนแกล้ง นี่เขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า นัยน์ตาสีฟ้านั้นหรี่ลงเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นเยียบปนเย้ยหยันเอ่ยขึ้นช้าๆ “ฉันเป็นเมียเขา”
   ฟ่งรู้สึกเหมือนโดนน้ำแข็งหล่นใส่หัว ตาพร่า เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องตกใจขนาดนี้ คำพูดต่างๆ ติดค้างอยู่ในลำคอ
   เว่ยเฟิงปิงมองดูใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังตกตะลึงด้วยสายตาเจ็บปวดอย่างที่สุด
---------------------------------
   แสงไฟสีส้มจากหลอดอินแคนเดสเซนต์ ที่อยู่เหนือโต๊ะกลมสีดำโอบรอบด้วยโซฟาสีแดงสองตัว ส่องสลัวอยู่เพียงดวงเดียวในความมืด หญิงสาวสวยในชุดลำลองสีส้มอ่อน ใช้นิ้วเรียวยาวจับปลายช้อนค็อกเทลสีแดงสด คนเครื่องดื่มสีชมพูที่อยู่ในแก้วอย่างเหม่อลอย เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วดังกรุ๋งกริ๋ง นาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีสองเศษ  ความจริงผับของเธอปิดแล้ว แต่โทรศัพท์ที่เพิ่งได้รับทำให้เมี่ยงยังคงต้องอยู่ต่อ  ไม่นานนักชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่มีรอยเลอะสีน้ำตาลเป็นหย่อมๆ ก็ก้าวพรวดๆ เข้ามา
   “ดีใจที่คุณปลอดภัยนะคะ รูฟัส” เธอทักพลางยิ้มเจื่อนๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่เขม็งเกร็งราวกับรูปปั้นของอีกฝ่าย
   “ขอโทษด้วยนะครับที่รบกวนแบบนี้ แต่ช่วยอะไรผมหน่อยได้รึเปล่า”
   “อะไรหรือคะ? เมี่ยงขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก สภาพของรูฟัสทำให้เธอรู้สึกกังวล
   “ช่วยซื้อตั๋วไปฮ่องกงพรุ่งนี้ให้ผมหน่อย”
   “อะไรนะคะ?!” เมี่ยงถามกลับอย่างไม่เชื่อหู
   “ช่วยซื้อตั๋วเครื่องบินไปฮ่องกงพรุ่งนี้ให้ผมหน่อย เอาแค่เที่ยวไปเที่ยวเดียวพอครับ”
   “ดะ  เดี๋ยวสิคะ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือคะเนี่ย?”
   “ฟ่งโดนลักพาตัวไปฮ่องกงน่ะครับ”
   “ตายจริง!” เมี่ยงอุทานอย่างตกใจ “ทำไมล่ะคะ เพราะเรื่องนั้นหรือคะ คุณชายเว่ย?”
   “อืม” รูฟัสรับคำในลำคอโดยไม่มองหน้า ชื่อของเว่ยเฟิงปิงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
   “ขอร้องล่ะครับ”
   เมี่ยงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หญิงสาวกำลังประเมินสถานการณ์ตรงหน้า “จะพยายามแล้วกันค่ะ ว่าแต่ แล้วเรื่องงานล่ะคะ”
   “โทรให้ราฟี่มาจัดการแล้วกัน”
   “แต่ว่า รูฟัสคะ แบบนี้จะดีหรือคะ งานของคุณ...”
   “ฟังนะครับ คุณเมี่ยง” รูฟัสหันหน้ามามองเธอเป็นครั้งแรก แววตาที่ใส่คอนแทคเลนส์สีน้ำผึ้งนั้นดูน่ากลัวราวกับดวงตาของสัตว์ร้าย
   “ผมทนให้ฟ่งอยู่กับไอ้คนพรรณนั้นไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว แค่ตอนนี้ผมก็แทบจะบ้าแล้ว”
   เมี่ยงมองหน้ารูฟัสด้วยท่าทางตื่นตระหนก ชายหนุ่มถอนหายใจ ก้มหน้าลงอีกครั้ง
   “ขอโทษด้วยนะครับ ผมโทรคุยกับราฟี่แล้ว ที่เหลือคุณช่วยจัดการต่อที ผม....ผมไม่ไหวแล้วล่ะครับ”
   รูฟัสทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ความรู้สึกเลวร้ายประดังเข้ามา เขาไม่อยากจะเผชิญกับความรู้สึกสูญเสียคนสำคัญอีกแล้ว
   เมี่ยงมองดูรูฟัสด้วยสายตาเศร้าๆ
   หล่อนเตือนเขาแล้ว แต่มันคงสายเกินไป....
--------------------------------
   ฟ่งไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะอยู่บนเครื่องบินที่กำลังจะเดินทางไปฮ่องกง ทั้งๆ ที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาเพิ่งไปงานเลี้ยงรุ่น  แอร์โอสเตสสาวเดินเข้ามาถามเขาเรื่องผ้าห่ม ฟ่งพยักหน้าให้หล่อน ก่อนจะหันไปมองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ
   ชายหนุ่มผู้ที่เรียกตัวเองว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังอ่านหนังสือพ็อกเกตบุคนิยายอะไรซักอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อครู่ตอนก่อนจะขึ้นเครื่อง ผู้ชายคนนี้แหละที่แทบปลิดชีวิตเขา ที่นั่งอยู่อีกด้านเป็นชายหนุ่มผมยาว ซึ่งเพิ่งมาสมทบในภายหลัง ดูเหมือนชายคนนี้จะเพิ่งพบกับรูฟัส ฟังจากที่ทั้งคู่คุยกัน ฟ่งรู้สึกเหนื่อย เขาไม่รู้ว่ารูฟัสเป็นใครกันแน่ และไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกพาไปที่ไหน ชายหนุ่มหันไปมองเฟิงปิงอีกครั้ง ก่อนจะรวบรวมความกล้าถามขึ้น
   “ผมถามอะไรซักอย่างได้ไหม?”
   นัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นเหลือบมามองเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปอ่านหนังสือต่อ
“อะไร?” น้ำเสียงนั้นพูดเรียบๆ แต่ทีท่าไม่ค่อยให้ความสนใจนัก ฟ่งรู้สึกแย่ แต่เขาก็ทำใจแข็งถามออกไป
   “รูฟัสเป็นใคร?”
   เฟิงปิงปิดหนังสือทันที ใบหน้าเรียวยาวนั้นหันมาพร้อมกับสายตาแปลกๆ
   “นี่นายไม่รู้จริงๆ หรือ เขาไม่เคยบอกอะไรนายเลยหรือ?”
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองโง่ เขาส่ายหน้า เฟิงปิงถอนหายใจ “ฉันจะบอกนายตอนถึงฮ่องกง”
   ฟ่งกะพริบตาถี่ ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนเมื่อครู่แววตาของเฟิงปิงจะอ่อนลง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายตอบแบบนี้ เขาก็ไม่ควรจะถามต่อ
   ชายหนุ่มซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม
   จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกันนะ?
   ฟ่งไม่อยากจะคิดมาก เขารู้สึกเหนื่อย
   อยากจะหลับไปแล้วไม่ตื่นมาอีกเลย
   เพราะเมื่อตื่นแล้วเขาอาจจะเจอความจริงที่โหดร้ายกว่าความฝัน
------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงมองดูตัวประกัน ซึ่งเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา เพิ่งถูกเขาบังคับขู่เข็นให้ขึ้นเครื่องบิน ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ชายหนุ่มมองดูร่างที่กำลังหลับตาพริ้มด้วยความเวทนา เขายอมรับว่าก่อนหน้านี้เขารู้สึกอิจฉา  เฟิงปิงเดาจากปฏิกิริยาของรูฟัสและฟ่งว่าทั้งคู่คงมีความสัมพันธ์กันในระดับที่เกินเลยกว่าความเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักธรรมดา  แต่เมื่อเขาพบว่าฟ่งไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับรูฟัสเลย กลับทำให้เขารู้สึกสงสารชายหนุ่มผู้นึ้ขึ้นมาจับใจ
   มันทำให้เว่ยเฟิงปิงนึกถึงตัวเองในอดีต
   ร่างบางยื่นมือเรียวยาวไปสัมผัสใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม ผิวเรียบละเอียดนั้นทำให้เขารู้สึกเคลิ้ม เฟิงปิงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ร่างนั้นยังคงไม่รู้สึกตัว เขาพิศดูริมฝีปากสีแดงอ่อนๆ นั้นอยู่ครู่หนึ่ง
   ริมฝีปากคู่นี้อาจจะเคยผ่านผู้ชายคนนั้นมาแล้ว
   เว่ยเฟิงปิงคิด ก่อนจะก้มลงแนบริมฝีปากของตัวเองลงไปเบาๆ โดยไม่ได้รู้สึกว่าซื่อเยี่ยนแอบหรี่ตามองอยู่
------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #29 เมื่อ23-05-2011 21:41:51 »

บทที่11 คำถาม
   หญิงสาววัยสามสิบเศษหยิบแปรงหวีผมขึ้นมาสางผมสีน้ำตาลแดงเป็นลอนสลวยของหล่อนอย่างช้าๆ นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้ามองสะท้อนกระจกไปยังบุรุษหนุ่มผมสีบลอนด์หยักศก ผู้ซึ่งกำลังกระชับเสื้อโค้ทสีน้ำตาลเปลือกไม้ให้เข้ากับตัว
   “จะไปแล้วหรือ?”
   “อืม” ชายหนุ่มรับคำเบาๆ ใบหน้าเรียวได้รูปดูตึงเครียด การทุ่มเถียงทางโทรศัพท์เมื่อวานซืนส่งผลเขาต้องออกเดินทางอย่างเร่งด่วน

   “ให้ตายสิ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!” ราฟาแอลสบถหลังจากวางสายโทรศัพท์
   “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” คลาวเดียถาม คนถูกถามเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร  เธอและเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาอาหารค่ำ ดูเหมือนการสนทนาเมื่อครู่จะทำให้ชายหนุ่มอารมณ์เสียเอามากๆ
   “รูฟัสมันบอกยกเลิกงานกลางคันน่ะสิ”
   “เอ๋ ทำไมล่ะ?”
   “ไม่รู้” ราฟาแอลตอบพลางหั่นสเต๊กออกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มแล้วค้างไว้อย่างนั้น
   “หมอนั่นบอกแค่ว่ามีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ พระเจ้า! เรื่องอะไรจะสำคัญกับมันเท่างานอีกว่ะ!”
   “ใจเย็นๆ ราฟี่” คลาวเดียพยายามปลอบคนรัก เธอรู้จักเด็กหนุ่มที่ชื่อรูฟัสมานานแทบจะพร้อมๆ กับราฟาแอล แม้จะดูจอมกวนอยู่บ้าง แต่เธอก็เชื่อว่าเด็กคนนั้นไม่มีวันทิ้งงานไปโดยไม่มีเหตุจำเป็นแน่ๆ แต่เรื่องอะไรล่ะที่จำเป็นขนาดนั้น?
   หญิงสาวยอมรับว่าเธอคิดเหมือนราฟาแอล สำหรับรูฟัสแล้ว คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องงานอีก เหตุผลอะไรกันนะที่ทำให้ชายผู้มีชีวิตอยู่เพื่องานเสี่ยงอันตรายและพร้อมจะตายทุกเมื่ออย่างเขาจะละทิ้งภารกิจไปแบบนี้....
   “รูฟัสอาจจะมีเหตุจำเป็นจริงๆ ด้วยเหตุผลที่เราไม่รู้ก็ได้นะ”
   “เอาเถอะ ถ้ามันไม่ตายไปก่อนก็คงรู้กัน ผมนี่แหละจะฆ่ามันเอง” ราฟาแอลพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ก่อนจะเอาสเต๊กเข้าปากเคี้ยวด้วยอาการหงุดหงิด คลาวเดียได้แต่ถอนหายใจ
-------------------------------------------
   เมี่ยงถอนหายใจพลางเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าถือสีม่วงอมแดงที่คล้องไว้ตรงแขน  หล่อนเพิ่งติดต่อกับชายที่ชื่อราฟาแอล เขาอยู่ที่สนามบิน ท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยจะเบิกบานนัก  เธอบอกเขาว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงจะขับรถไปรับ เรือนร่างอวบอัดได้สันส่วนผลักประตูกระจกสีดำสนิทที่กั้นระหว่างห้องทำงานส่วนตัวเข้ามายังทางเดินเล็กๆ ที่ผนังทั้งสองด้านถูกปูด้วยกระจกเงา หญิงสาวหันไปสั่งความกับชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มซึ่งยืนรออยู่ ก่อนจะก้าวออกไปอย่างเร่งร้อน

   หล่อนยังจำได้ดีถึงใบหน้าของรูฟัสในตอนที่พบกันครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะบินไปฮ่องกง
   มือเรียวได้รูปยื่นออกมารับตั๋ว พร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ สภาพของรูฟัสในวันนั้นช่างแตกต่างจากวันแรกที่หล่อนพบเขาราวกับคนละคน ใบหน้าที่เคยดูสุภาพและเป็นมิตรกลับเย็นชาราวกับรูปปั้น
   “ไม่ด่วนตัดสินใจไปหน่อยหรือคะ รูฟัส?” เมี่ยงพยายามพูดจาเหนี่ยวรั้งเขาอีกครั้ง หล่อนไม่อยากให้ภารกิจในครั้งนี้ล้มเหลว เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่หล่อนกำลังทำอยู่
   “ดิฉันว่าคุณรอให้ราฟี่มาก่อนแล้วค่อนวางแผนอีกทีจะดีกว่านะคะ ทางโน้นคงไม่กล้าทำอะไรคุณอภิวัฒน์ในตอนนี้หรอกค่ะ”
   ริมฝีปากได้รูปของรูฟัสกระตุกขึ้นมาเล็กน้อยเหมือนพยายามจะยิ้ม
   “ขอบคุณนะครับคุณเมี่ยง ผมเข้าใจความกังวลของคุณดี รับรองว่างานทั้งหมดจะต้องเรียบร้อย คุณแค่อธิบายให้ราฟี่ฟังตามที่ผมบอกไว้ก็พอ”
   “แต่คุณไม่น่าจะรีบร้อน..” หญิงสาวชะงักคำพูดไว้เมื่อรูสึกว่านัยน์สองสีคู่นั้นจ้องเขม็งมาอย่างไม่เป็นมิตร มันทำให้หล่อนรู้สึกกลัวขึ้นมาแวบหนึ่ง นัยน์ตานั้นเหมือนไม่ใช่ตาของมนุษย์
   “คุณเมี่ยงครับ แค่คิดว่าฟ่งต้องทนอยู่กับไอ้คนพรรค์นั้นแม้แต่วินาทีเดียวผมก็แทบคลั่งตายอยู่แล้ว โปรดเข้าใจเถอะครับ ผมต้องรีบไป ขอบคุณที่ช่วยนะครับ” รูฟัสพูดตัดบท และหันหลังจากไปโดยไม่รอฟังแม้คำร่ำลา เมี่ยงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ในวินาทีนั้นหล่อนรู้สึกอิจฉาคนทั้งคู่อย่างบอกไม่ถูก
   ในชีวิตนี้จะมีใครสักคนทำเพื่อหล่อนขนาดนี้ได้หรือเปล่านะ?
   ไม่สิ......
   ในชีวิตนี้หล่อนจะทำเพื่อใครสักคนได้ขนาดนี้หรือเปล่า?
   หญิงสาวยิ้มเยาะให้กับตนเอง
-------------------------------------------
   “อย่าทำแบบนี้เลยครับ คุณโจว”
   เด็กหนุ่มอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีในชุดกี่เพ้ายาวสีขาวต่อว่า พลางผลักไสร่างสูงใหญ่ที่อิงแอบแนบชิดเข้ามาจากทางด้านหลัง  ผู้ที่ถูกเรียกว่าคุณโจวหัวเราะในลำคอ ก่อนจะขบใบหูของเด็กหนุ่มผู้นั้นเบาๆ จนทำอีกฝ่ายต้องเบือนหน้าหนีพร้อมกับพวงแก้มที่กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
   “ถ้าใครมาเห็นเข้าตอนนี้ มันจะไม่ดีนะครับ” เด็กหนุ่มพูดต่อ ขณะพยายามแกะมือที่เกาะแกะอยู่ตรงบริเวณขาอ่อน ร่างสูงหัวเราะอีกครา
   “ไม่มีใครเห็นหรอกน่า เธอเข้ามาหาฉันเพราะต้องการแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
   “หลงตัวเองไปหน่อยหรือเปล่าครับ” ร่างเล็กกว่าหันหน้ามาต่อว่า ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อรับกับใบหน้าขาวเรียวได้อย่างเหมาะเจาะ ร่างสูงใหญ่ยิ้มอีกครั้งก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปอย่างเร่าร้อน พร้อมกับค่อยๆ กดร่างบอบบางลงไปบนโต๊ะทำงานสีเทาแกมเขียวที่วางอยู่ข้างๆ เสียงครางด้วยความพอใจดังออกมาจากลำคอของเด็กหนุ่ม ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ปลดกระดุมบนกี่เพ้าสีขาวนั้นออก ขณะทั้งคู่กำลังประโลมจูบกันและกันอีกครั้งอย่างหื่นกระหาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
   “มีเรื่องอะไร!?” คนถูกขัดจังหวะสำคัญกระชากโทรศัพท์ขึ้นมาและกรอกเสียงลงไปด้วยความหงุดหงิด
   “คือ.....มีคนมาขอพบท่านครับ” เสียงปลายสายตอบตะกุกตะกัก ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้กับผู้รับสาย
   “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามรบกวนฉันตอนนี้!”
   “ครับ แต่เขาว่าถ้าท่านไม่ยอมลงมาจะเล่นให้บ่อนเจ๊ง เขาเล่นโป๊กเกอร์อย่างเดียวก็กวาดไปกว่าห้าแสนแล้ว ผมว่าท่านน่าจะออกมาดูหน่อยนะครับ”
   “ว่าไงนะ!!” ร่างสูงใหญ่อุทานได้แค่นั้นแล้วก็รีบวางโทรศัพท์ หันไปยักไหล่ให้กับเด็กหนุ่มที่กำลังจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
   “โทษที ไว้จะมาต่อนะ” เขาพูด พร้อมจุมพิตริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่เผยอรออยู่ ก่อนจะก้าวอย่างเร่งร้อนออกจากห้องไป

   ห้องโถงในอาคารพานิชย์ขนาดกลางที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นบ่อนแบบย่อมๆ เงียบกริบ สายตาทุกคู่จับจ้องการเปิดไพ่ในมือของชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้ซึ่งโกยเงินไปแล้วถึงห้าแสนเหรียญฮ่องกง เฉพาะการเล่นโป๊กเกอร์เพียงอย่างเดียว นิ้วเรียวคลี่ไพ่ที่ได้รับแจกช้าๆ ไม่มีอาการกระสับกระส่ายใดสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลหม่นคู่นั้น ดวงตาที่วาดมองไพ่นิ่งสนิท เช่นเดียวกับใบหน้า เขามองไพ่อยู่ครู่หนึ่ง โดยไม่มีอาการพิรุตใด ก่อนจะค่อยๆ วางไพ่ลงบนโต๊ะทีละใบ แล้วก็เป็นเหมือนครั้งที่ผ่านมา กองชิพตรงหน้าถูกกวาดเข้าไปหลังจากไพ่ใบสุดท้ายถูกเปิดออก
   เสียงปรบมือดังขึ้นทันที ผิดแต่ว่ามันเป็นเสียงปรบมือจากคนเพียงคนเดียว ผู้ปรบมือเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบกว่าๆ รูปร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อคลุมแพรยาวแบบจีนสีเขียวอ่อน เรือนผมสีดำสนิทยาวตรงไปจนถึงช่วงเอวถูกมัดรวบเอาไว้ด้วยด้ายสีแดงห้อยพู่ ใบหน้าคมสัน รับกับนัยน์ตาเรียวที่เป็นประกายราวกับนัยน์ตาเหยี่ยว ริมฝีปากหนาได้รูปกระตุกขึ้นมานิดหนึ่ง
   “นึกว่าจะไม่ลงมาแล้วเสียอีก” ผู้ที่เพิ่งโกยชิพใส่หน้าตักเอ่ยทักทันที นัยน์ตาสีดำราวพญาเหยี่ยวสั่นไหวด้วยความรู้สึกบางอย่าง ขณะที่ทุกคนในห้องโถงหันไปมองเขา
   “ไง ไอ้เพื่อนยาก ไม่เจอกันเสียนานนะ!” หนุ่มผมยาวในชุดแพรพูดออกมาในที่สุด พลางเดินจ้ำเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะโป๊กเกอร์ แล้วฟาดฝ่ามือลงไปบนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแรงจนได้ยินไปทั่วทั้งห้องโถง
“โทษทีนะครับ หมอนี่เป็นเพื่อนเก่าผมเอง มันชอบเล่นไพ่ปาฏิหาริย์กวนประสาทชาวบ้านแบบนี้แหละครับ” หนุ่มวัยสามสิบเศษเอ่ยและยิ้มกว้าง ทำเอาคนถูกฟาดต้องฝืนยิ้มด้วย ทั้งๆ ที่ยังไม่หายเจ็บดี
   “ครับ อย่างที่เขาว่าแหละครับ ผมแค่อยากทำเซอร์ไพรส์เขาเล่นนิดหน่อย” ผู้ที่ถูกตบไหล่ตอบ ได้ยินเสียงคนมาใหม่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
   “เซอร์ไพรส์มากเลยนะแก.....”
   ไม่รอให้อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาใดต่อ ร่างสูงใหญ่พลันเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอารี พลางตบไหล่คนนั่งอยู่อีกรอบ คราวนี้แม้ไม่แรงเท่าครั้งแรก แต่ก็ทำเอาคนถูกตบหน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่งเหมือนกัน
   “ผมขอตัวไปสังสรรค์กับเพื่อนเก่าก่อนนะครับ เชิญทุกท่านตามสะดวก” ร่างสูงพูดตัดบท ก่อนจะดึงแขน ลากอีกฝ่ายขึ้นไปชั้นบน

   “แกกลับมาที่นี่ทำไมวะ! รูฟัส!?” ร่างสูงใหญ่ตะคอกใส่ผู้ที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะ คนถูกตะคอกเกาหัวแกรกๆ
   “แกรู้รึเปล่าว่าพวกตระกูลเว่ยทั้งพวกริเวิลตามหาตัวแกเสียให้ควัก แล้วแกยังจะหน้าด้านกลับมาที่นี่อีกเรอะ! แกจะตั้งตัวเป็นหัวหน้าตัวซวยระดับโลกหรือไง?! รู้รึเปล่าว่าเมื่อกี้แกขัดจังหวะสำคัญของฉัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันโคตรจะอารมณ์เสียเลย ถ้าไม่อธิบายเหตุผลว่าทำไมแกถึงทะลึ่งมาที่นี่ให้ฉันพอใจล่ะก็.....น่าดูแน่!!”
   “บ่นเสร็จหรือยัง?” รูฟัสพูดพลางยกนิ้วขึ้นแคะหู ยิ่งเพิ่มดีกรีความหงุดหงิดให้กับอีกฝ่ายหนักเข้าไปอีก ยังไม่ทันที่ฝ่ายตรงข้ามจะพูดอะไรตอบ หนุ่มตาสองสีซึ่งตอนนี้สวมคอนแทกต์เลนส์สีน้ำตาลก็เอ่ยขึ้นต่อ
   “ตอนนี้แกใช้ชื่อว่าอะไรล่ะ ยังเป็นโจวยี่เหมือนเดิมหรือเปล่า?”
   “เออ!” คนถูกถามตอบด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แต่คนถามยังคงมีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
   “ก็แสดงว่าไม่ได้หนักหนาอะไรนี่  ตระกูลเว่ยไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไรกับแกมากสักหน่อย”
   ถ้าใช้สายตาฆ่าคนได้ โจวยี่คงฆ่ารูฟัสไปแล้ว เขาเขม่นมองเพื่อนเก่าที่นั่งอยู่ตรงหน้า พยายามสงบจิตสงบใจอย่างหนักเพื่อเค้นคำพูดออกไป
   “ใครว่าตระกูลเว่ยไม่เอาเรื่องกับฉัน!” ชายหนุ่มโพล่งออกมา ก่อนจะรีบพูดต่อ “แต่เพราะฉันเก่งเรื่องเอาตัวรอดหรอก แกถึงยังมีหน้ามานั่งอยู่ตรงนี้ได้ นี่ตกลงจะบอกได้หรือยังว่ามาฮ่องกงทำไม? ไม่อย่างนั้นฉันจะโยนแกกลับออกไปให้พวกตระกูลเว่ยกับริเวิลสับเล่น” ประโยคสุดท้ายหันมาย้อนถามคนนั่งอยู่ด้วยสีหน้าถมึงทึง รูฟัสยักไหล่ หลิ่วตาอย่างมีเลสน์นัย
   “โถ...ไม่เห็นจะต้องพูดจาใจร้ายกับฉันแบบนี้เลย หนุ่มเมื่อกี้เด็กใหม่แกเหรอ หน้าตาไม่เลวเลยนี่”
   นัยน์ตาสีดำของโจวยี่ยิ่งถลึงหนักกว่าเดิม
   “หุบปากหมาๆ ของแกไปเลย แล้วเลิกใช้สายตาแบบนั้นมองของของฉันด้วย คราวที่แล้วแกทำฉันไว้แสบ คราวนี้ฉันไม่ยอมให้แกมาคว้าไปอีกหรอก”
   “นี่แกยังโกรธเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ ก็บอกแล้วไงว่าหยุนหมิงมาหาฉันเอง” รูฟัสพูดด้วยสีหน้าจริงจัง โจวยี่สูดหายใจลึกพร้อมเม้มปาก พยายามจะเก็บอารมณ์พลุ่งพล่านเอาไว้ไม่ให้ระเบิดออกมา
“เลิกพูดจากวนประสาทฉันเสียที บอกซิว่าแกกลับมาฮ่องกงทำไม?”
   สีหน้าของรูฟัสเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด
   “ฉันมีเรื่องอยากขอร้องให้แกช่วย”
-----------------------------------------------
   นัยน์ตาสีน้ำตาลลืมขึ้นช้าๆ ก่อนจะปิดลงอีก นี่คงเป็นวันที่ห้าแล้วที่เขามาอยู่ฮ่องกงในฐานะตัวประกันหรืออะไรซักอย่าง ฟ่งไม่อยากตื่นเลย อยากจะหลับไปตลอดกาลให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทุกครั้งที่หลับตา ก็มักจะหวนคำนึงถึงความดื่มด่ำวาบหวามที่รูฟัสเคยมอบให้ สัมผัสที่ร้อนแรงและแววตาทรงเสน่ห์ที่มองมาด้วยความลุ่มหลง สัมพันธ์ลึกซึ้งอันเต็มไปด้วยความสุขสมอย่างนั้น เพียงแค่ครั้งสองครั้งก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันจะฝังเข้าไปจิตสำนึกส่วนลึกของร่างกาย ร่างบางซุกกายลงกับหมอน พอนึกถึงเรื่องนั้นทีไร ฟ่งรู้สึกปวดแปลบที่หัวใจอยู่ทุกที เมื่อรู้ว่าที่จริงแล้วตนเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายที่เคยชิดใกล้คนนั้นเลย
   รูฟัสเป็นใครกันแน่?
   แล้วเข้ามายุ่งกับเขาเพื่ออะไร?
   ฟ่งกดหน้าลงกับหมอนแน่น รู้สึกเหมือนบางสิ่งบางอย่างกำลังจะทะลักออกมาจากดวงตาที่พยายามจะกะพริบถี่
   ผู้ชายคนนั้นรักเขาจริงอย่างที่พูดหรือเปล่า?
   เสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของรูฟัสในตอนที่คุยโทรศัพท์กันครั้งสุดท้ายยังดังก้องอยู่ในความทรงจำ ฟ่งหลับตา ปล่อยให้หยดน้ำใสๆ ไหลซึมออกมาเปื้อนแก้ม
   ผมควรจะเชื่ออะไรดี รูฟัส……
------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงขยี้ก้นบุหรี่ลงบนแป้นเขี่ยซึ่งทำด้วยเงินตอกเป็นลวดลายไม้เลื้อยที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องทำงานส่วนตัวของเขาบนตึกสูงระฟ้ากลางเมืองฮ่องกง ห้าวันแล้วที่เขากลับมาจากประเทศไทย พร้อมด้วยตัวประกันที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะมาในรูปแบบนี้
   รูฟัสไม่เคยผูกพันกับใคร ไม่เคยแยแสสนใจว่าใครจะเป็นจะตายเพราะตัวเองขนาดไหน แล้วกับอีแค่คนข้างห้อง มันจะไปมีผลอะไรได้ กระนั้นเขาก็ยังลงทุนไปจับตัวประกันด้วยตัวเอง เพียงเพราะเหตุผลงี่เง่า
   เขาอยากเห็นว่าคนที่รูฟัสถึงขั้นพากลับห้องด้วยตัวเองเป็นผู้ชายแบบไหนกันแน่
   เว่ยเฟิงปิงอยากรู้ว่าผู้ชายที่รูฟัสสนใจหน้าตายังไง แล้วเขาก็ได้ตัวชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่มีอะไรโดดเด่น แถมสวมแว่นตาหนาเตอะจนน่าขัน กระนั้นนี่กลับเป็นคนที่ทำให้รูฟัสเผยตัวออกมา
   ฉันจะฆ่าแก!
   น้ำเสียงนั้นกราดเกรี้ยวอัดแน่นไปด้วยเพลิงโทสะ แม้จะเป็นได้ยินแค่เสียง แต่ในวินาทีนั้นเว่ยเฟิงปิงก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ  ถ้าหากว่ารูฟัสยืนอยู่ตรงหน้า มั่นใจได้เลยว่าชายคนนั้นคงฆ่าเขาได้โดยไม่ลังเล
   ไม่มีเหตุผลอะไรที่รูฟัสจะต้องลังเล ในเมื่อเมื่อหกปีก่อน ชายคนนั้นยังทิ้งเขาได้อย่างไม่ใยดี แต่ทำไมพอเป็นแค่คนข้างห้องที่ดูไม่มีอะไรเลยคนนี้ ถึงทำให้คนอย่างรูฟัสคลั่งขึ้นมาได้
   เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจ และออกจะหงุดหงิดอยู่ด้วยซ้ำ
   ใจหนึ่งเขาหวังจะให้รูฟัสตามมาที่ฮ่องกง แต่อีกใจหนึ่งก็หวังให้ผู้ชายคนนั้นเลือกที่จะทำงานของตัวเองต่อ
   เขาไม่อยากเชื่อว่ารูฟัสจะทิ้งงานสำคัญมาเพราะคนข้างห้องที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน
   ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ
   บางทีเขาก็รู้สึกอยากให้ตัวเองคาดการณ์ผิด ความจริงแล้วชายผู้ที่เขาบังคับให้มาด้วยกันอาจจะไม่มีความสำคัญอะไรเลยกับรูฟัสก็เป็นได้ ถ้าเป็นแบบนั้นแผนการของเขาก็คงล้มเหลว ต้องเริ่มกลับไปนับหนึ่งใหม่
   บางทีนั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดก็ได้…….
   เว่ยเฟิงปิงยอมรับว่าเขาทนไม่ได้หากรู้ว่ารูฟัสมีคนรักคนอื่นที่ไม่ใช่เขา
   หากว่าชายคนนั้นไม่รักเขาแล้วล่ะก็ เขาก็ไม่ยอมให้ไปรักคนอื่นเช่นกัน
---------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะเดินสวนทางกับแม่บ้านที่ยกถาดอาหารที่แทบไม่มีร่องรอยการแตะต้องเดินออกมาจากระเบียงทางเดินด้านใน
   “นี่อาหารของใคร?”
   “อาหารแขกของคุณชายค่ะ”
   “อีกแล้วรึ?” ชายหนุ่มพึมพำก่อนจะโบกมือให้แม่บ้านเดินออกไป ร่างสูงก้าวเท้าเข้าไปตามระเบียงทางเดินซึ่งปูด้วยกระเบื้องหินแกรนิตสีดำขัดมัน มาหยุดอยู่หน้าประตูห้องสีขาวที่ถูกปิดตายด้วยตัวล็อกจากด้านนอก ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อป้องกันการหนีออกของบุคคลที่ถูกกักขังอยู่ในห้องนี้โดยเฉพาะ เท่าที่จำได้เจ้านายของเขาไม่ค่อยจะเปิดใช้ห้องนี้บ่อยนัก เว่ยเฟิงปิงมักจะเลือกหาแผนอื่นมากกว่าการหน่วงเหนี่ยวกักตัว เพราะการดูแลตัวประกันนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก
   อาเง็กยิ้มกว้างขึ้นทันทีที่เห็นร่างของผู้มาเยือน ก่อนจะลุกขึ้นยืนให้ความเคารพอย่างสุภาพ
   “เป็นไงบ้าง?”
   “ก็ปกติแหละพี่เยี่ยน ผมว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่มีปัญญาจะหนีออกมาหรอก ขนาดข้าวปลายังไม่ค่อยจะยอมกินเลย”
   “อืม” จางซื่อเยี่ยนรับคำเรียบๆ ตามแบบฉบับของเขา ก่อนจะโบกมือให้อีกฝ่ายถอยออกไป
   “นายไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะบอกคุณชายให้เปลี่ยนเรื่องการเฝ้าเวรใหม่”
   “ขอบคุณมากเลยพี่” อาเง็กยิ้มกว้างอีกครั้ง หาวหวอดด้วยความง่วงงุ่น ก่อนจะเดินกลับออกไป  จางซื่อเยี่ยนล้วงกุญแจพวงใหญ่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อไขเปิดประตูห้อง
   แขกของเจ้านายของเขานั่งคู้อยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มสีขาวพันรอบตัว ร่างนั้นเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะหลับตาพริ้มลงอีกครั้ง จางซื่อเยี่ยนเดินไปที่แผงควบคุมเครื่องปรับอากาศซึ่งติดอยู่ที่ผนังห้อง บิดเพิ่มอุณหภูมิขึ้นอีก
   “ทำไมคุณถึงไม่ยอมทานอาหาร?”
   ร่างบางที่นั่งคู่ตัวอยู่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ส่งเสียงอ้อมแอ้ม “ผมกินไปแล้ว”
   “เขี่ยให้มันเพ่นพ่านแบบนั้นไม่เรียกว่ากินแล้วหรอกนะ” จางซื่อเยี่ยนพูดพลางเดินตรงไปที่เตียง ก่อนจะโน้มตัวลงไปใกล้ จนฟ่งต้องถอยหลังหนี
   “กรุณาทานอาหารด้วยนะครับ อย่าให้ผมต้องใช้วิธีการบังคับ ผมอาจจะเอาคีมเหล็กงัดปากของคุณออกเพื่อใส่อาหารเข้าไป หรือไม่ก็จับคุณมัดแล้วสอดสายยางลงไปแบบคนไข้ในโรงพยาบาล ยังมีอีกหลายวิธีที่จะทำให้อาหารพวกนั้นลงไปอยู่ในกระเพาะคุณ แล้วผมจะเลือกให้คุณสักวิธี ถ้าหากว่าคุณยังไม่ยอมทานอะไรแบบนี้”
   นัยน์ตาสีดำสนิทราวอีกาคู่นั้นจ้องลงมาอย่างคุกคาม ฟ่งกัดฟันแน่น รู้สึกถึงความสั่นไหวที่เกิดขึ้นกับร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงดึงดัน
   “มันเป็นเรื่องของผมว่าจะกินหรือไม่กิน คุณกลับไปเถอะ”
   จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจยาวหลังได้รับคำตอบ เขายันตัวขึ้นยืน ก่อนจะเดินออกไปทางประตู “อีกสักพักผมจะให้คนยกอาหารมาให้คุณใหม่”
   ฟ่งเหลือบตามองบานประตูสีขาวที่ปิดลง เสียงลงกุญแจเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาท ชายหนุ่มเกลียดการถูกบังคับแบบนี้ที่สุด ฉับพลันความคิดแวบหนึ่งก็เข้ามาในสมอง
   หนี!
-----------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกพอใจอยู่มากเมื่อพบว่าแขกของเจ้านายของเขาเริ่มจัดการอาหารที่ถูกยกเข้ามาใหม่อย่างว่าง่าย
   “ทานด้วยกันสิ” ฟ่งเอ่ยปากชวนเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่ง  ความจริงเขาไม่ค่อยชอบหน้าชายคนนี้มากนัก แต่การถูกคนอื่นนั่งจ้องตอนทานอาหารนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลย เขาต้องการให้จางซื่อเยี่ยนมาทานข้าวเป็นเพื่อนด้วย กระนั้นคนถูกชวนกลับโบกมือปฏิเสธ
   “น่า ทานกับผมหน่อย คุณก็รู้ว่ากินคนเดียวมันเหงา” ฟ่งยังคงไม่ยอมแพ้ จางซื่อเยี่ยนรู้สึกแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของแขก แต่คำพูดนั้นทำให้เขานึกถึงภาพเจ้านายของเขาผู้ซึ่งมักจะทานข้าวคนเดียวบ่อยครั้ง ความเงียบเหงาที่สะท้อนผ่านแววตาสีฟ้าครามนั้น ทำให้จางซื่อเยี่ยนอยากที่จะเดินเข้าไปร่วมโต๊ะด้วยหลายต่อหลายครั้ง แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้  เว่ยเฟิงปิงไม่เคยเอ่ยปากขอให้ใครไปร่วมโต๊ะ ที่สำคัญคนคนนั้นเป็นบุตรชายของเจ้านายใหญ่ และเป็นเจ้านายของเขาในตอนนี้ด้วย
   ชายหนุ่มถอนหายใจยาวจนฟ่งต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
   “ขอโทษ ถ้าคุณลำบากใจมากขนาดนั้นผมไม่บังคับก็ได้”
   จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะ “อืม....ผมจะทานข้าวเป็นเพื่อนคุณ”
   เขาใช้โทรศัพท์สายในโทรเรียกแม่บ้านอีกครั้ง ไม่นานนักสำรับอาหารชุดใหม่ก็ถูกยกเข้ามา
   “ที่จริงชวนมาทานกันหลายๆ คนก็ดีนะ อย่างเจ้านายของคุณเป็นไง” ฟ่งพูดต่ออย่างนึกสนุกเมื่ออาหารอีกถาดถูกยกเข้ามา แต่ถูกนัยน์ตาสีดำสนิทราวอีกาคู่นั้นเหลือบตาขึ้นมองเขม็งจนต้องรีบหุบปาก


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด