เปิดรีปรินซ์แล้วนะคะ หนังสือจะได้ช่วงวาเลนไทน์พอดี ^^ห้าเรื่องห้ารสสำหรับคนไม่ทันรอบแรก !!
สีขอบรูปจริงๆไม่ม่วงขนาดนี้นะคะ แต่พอฝากไฟล์รูปมันดันม่วงซะงั้น -_-
รายละเอีดหนังสือนะคะ หากสนใจ ลิงค์ด้านล่างเลยจ้ะhttp://bambamzone.thai-forum.net/t1-topic#1- -------------------------------------------------------------
ติดตามได้ในกระทู้นี้เลยจ้า (ครบห้าเรื่อง เนื้อหาจัดเต็มมากกว่าทู้แยก !)
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25943.0เรื่องสั้น เมียหรือหมา (เพียงพอ – ต่อไป)
เรื่องนี้น่าจะอ่านแล้วลื่นที่สุดในเรื่องสั้นชุดนี้ 55 ตอนแรกจะพิมพ์ พี่กู้กับน้องไหม้ต่อ ปรากฏเรื่องนี้แวบเข้ามาเลยเอามาก่อนซะงั้น แฮ่ๆ ขอบคุณที่มาอ่านกันนะคะ ^^
------------------------------------
ต่อให้ไม่มีที่ยืนในหัวใจ และไม่เคยจะอยู่ในสายตา
เพลงเดิมๆที่ผมฟังผ่านหูฟังไอพอดทุกๆพักกลางวัน เปิดให้มันวันไปวนมาๆ แล้วมองลงไปจากชั้นสองในห้องศิลปะ จะเจอกับสนามบอลของโรงเรียน .. สนามบอลที่ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกับสนามอื่นๆ แต่มันมีเขา ..
ผู้ชายร่างสูงโปร่งที่ชอบมานอนกลางสนามบอล หลับตา เสียบหูฟังกับโทรศัพท์ หนุนแขนตัวเอง ยิ้มเบาบางไปกับลมกับฟ้า ผมเขาปลิวไปพร้อมๆกับปลายหญ้าที่ปลิวล้อกับสายลม โอนอ่อนและนุ่มนวล
ผมไม่รู้ว่าสายตาผมหยุดอยู่ที่คนๆนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่ผมโดดเรียนมาอยู่ห้องศิลปะล่ะมั้ง … ครั้งแรกที่เห็นเขา มันก็สะดุดตาสะดุดใจจนทุกๆวันช่วงพักกลางวันมันก็กลายเป็นที่ประจำผมในการนั่งมองเขา ..
คนที่ผมไม่รู้ว่าชื่ออะไร ..
คนที่ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ..
คนที่ไม่เคยเห็นหน้าในโรงเรียนนอกจากเวลานี้ ..
จนกระทั่งเสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง .. มันก็คือวัฏจักรเดิมๆ เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ตึก ม.6 และ ผมกลับเข้าห้องเรียนในตึก ม.5 มันวนเวียนแบบนี้มาเกือบสองเดือนแล้ว .. และผมไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อ
ไร้เหตุผล
ไร้ที่มาที่ไป
และ .. หาคำตอบไม่ได้
ผมเดินกลับมาที่ห้องเรียนของตัวเองเหมือนเดิม นั่งลงที่เดิม ฟุบหน้าลงกับโต๊ะตัวเดิม และหลับไปเหมือนเดิม ..
“เพียงพอ เธอจะหลับอีกนานมั้ย วันๆไม่เรียนเอาแต่นอน ไม่พอใจก็โดด หา !! เธอคิดว่าเธอโตไปจำทำงานอะไรกิน” เสียงครูที่ยังคงโวยวายผมเหมือนเดิม ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา.. แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ผมก็ไม่รู้ครับ แต่ผมจะไม่เป็นครูแน่นอนผมไม่อยากโดนเด็กด่าในใจว่ายัยป้าขมูขีขี้บ่นแบบครูอ่ะครับ” ผมทำหน้าเหลอหลา แต่เจ๊แกหน้าแดงด้วยความโกรธแต่ก็สะบัดหน้าเดินกลับไปหน้าห้องแล้วเริ่มสอนทันที เพื่อนๆหลายคนส่งสายตามาว่า ‘มึงแน่มาก’ ผมยักคิ้วเล็กน้อยแล้วหลับต่อ
ชีวิตช่างหน้าเบื่อ ..
เลิกเรียนผมเดินลากเท้าเหมือนเดิมไปที่ชมรมฟันดาบที่ผมเป็นประธานอยู่ ชีวิตพระเจ้ามักสร้างคนมาให้ถนัดคนละด้าน ผมอาจจะไม่เอาไหนในเรื่องเรียนแต่ถ้าจับดาบผมรับรองว่าแม่น ..
ผมเปลี่ยนชุดเป็นชุดกิโมโนญี่ปุ่นจับดาบขึ้นมาซ้อมกับสมาชิกในชมรมที่เหลือเพียง 2 คน และอาจจะเป็นปัญหาถกเถียงอีกครั้งในสภานักเรียนว่าควรยุบหรือตัดงบประมาณ .. ที่ถูกตัดมารอบที่สามแล้ว
ซ้อมดาบเสร็จผมก็กลับบ้านทางเดิม รถเมล์สายเดิม นั่งเบาะหลังสุดริมหน้าต่างเหมือนเดิม กลับบ้านทางเดิม ขึ้นห้องๆเดิม และล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม
หมดไปอีก 1 วัน ที่ผมไม่ดิ้นรนจะเปลี่ยนแปลง .. ผมจะเป็นเหมือนชื่อผมตลอดไป
‘นายเพียงพอ’
แม้จะรู้ว่าผมยังต้องการจะรู้จักคนๆนั้นอยู่ก็ตาม ..
วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ตอนพักกลางวันผมเดินมาที่ห้องศิลปะแต่วันนี้กลับไม่เหมือนเดิม .. มีผู้ชายที่มักจะนอนกลางสนามนั่งอยู่ริมหน้าต่างที่ผมนั่งเป็นประจำ ลมที่พัดเข้ามาทำให้ผมของเขาปลิวช้าๆ ใบหน้ายิ้มๆหันมามองทางผม แวบแรกที่สบตากันสายตาเขามีพลังดึงดูดอย่างน่าประหลาด ใจของผมเต้นแรงเหมือนมีใครมาตีกลองในใจ
“ขอโทษที่มาแย่งที่ เห็นนายนั่งตรงนี้ทุกวันเลยอยากขึ้นมานั่งดูบ้าง”
ทุกวัน ? นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาเองก็มองผมเหมือนกัน มองผมจนรู้ว่าผมขึ้นมาทุกวัน
“ขอโทษกูทำไม นั่งไปดิพ่อกูไม่ได้ซื้อที่ตรงนี้ไว้ซะหน่อย” ผมเลิกคิ้วขึ้นกวนประสาทตามสไตล์ ลากเท้าเข้าไปนั่งบนขอบหน้าต่าง มองไปที่ประตูบานเดิมที่ปิดลง เส้นผมและชายเสื้อที่ออกนอกกางเกงปลิวสะบัดด้วยแรงลม แต่ผมไม่คิดจะใส่ใจแต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆกลับยื่นมือมาเพื่อเอาผมทัดหูให้ และมันก็แปลก .. ที่ผมยินยอมแต่โดยดี ..
น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน ปกติไม่ชอบให้ใครแตะตัว ไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ หรือเพราะเป็นเขา .. เพราะเป็นคนที่ผมมองมาตลอด ..
“ไม่เบื่อบ้างหรอ นั่งเฉยๆทุกวัน”
“แล้วมึงไม่เบื่อบ้างหรอนอนเฉยๆทุกวัน” เขาทำสีหน้าประหลาดใจก่อนจะยิ้มออกมา .. ยิ้มเบาบางที่ผมมักจะเห็นเป็นประจำยามเขานอนหลับ หรือ อาจจะไม่ได้หลับก็ได้
“ไม่เบื่อ เพราะนอนทีไรมักจะเห็นคนนั่งมองลงมาจากมุมนี้ตลอด”
“ใครมองมึง มั่วสัส”
“ยังไม่ได้บอกว่าเป็นใคร จะร้อนตัวทำไม” รอยยิ้มกวนๆพร้อมลักยิ้มมุมปากของเขา ทำผมรู้สึกตัวว่า ‘หลงกล’
“ไอ้เหิ้ย กูไปละสัส” ผมโดดลงจากขอบหน้าต่างลากเท้าเดินออกมาเหมือนเดิม
“พรุ่งนี้ไปที่สนามบ้างนะ” คำพูดส่งท้ายก่อนบานประตูจะปิดลง
เพียงแค่เหตุการณ์เดียวไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมาย
แค่ทำให้ผมตาสว่างขนาดนั่งเรียนจนจบคาบบ่าย ..
ซ้อมดาบญี่ปุ่นได้สนุกกว่าเดิม ..
นั่งรถเมล์คันเดิมแต่ลอบยิ้มออกไปนอกหน้าต่าง ..
เดินเข้าบ้านบนทางเดิมๆที่รู้สึกดีกว่าเดิม
และบ้านดูสดใสกว่าเดิม
เตียงเดิมๆกลับรู้สึกนุ่มกว่าเดิม
และของแถมคือผมฝันดี ..
วันนี้ผมลากเท้าตัวเองมายืนอยู่ริมสนามฟุตบอลเดินไปเรื่อยๆจนถึงกลางสนามที่มีร่างๆหนึ่งนอนอยู่ในท่าประจำ สองแขนประสานต่างหมอน หลับตาพริ้ม และรอยยิ้มบางเบา พร้อมกับมีหูฟังเสียบอยูที่หู ผมทรุดตัวลงนั่งชันเข่าข้างๆ มองคนที่นอนอยู่ที่ไม่ได้มีทีท่าจะตื่น แต่ผมรู้ว่าเขาตื่นอยู่ ..
เพราะมือของเขากำลังกุมมือผมไว้ และเป็นอีกครั้งที่ยอมให้คนไม่รู้จักแตะตัว ..
วันนี้เป็นวันเสาร์เวลาห้าโมงเย็นเหมือนเดิม ผมเดินลากเท้าเหมือนเดิม ไปสยามเหมือนเดิม .. ..
“ไงไอ้เพียง”
“ไง”
ผมทักคนมากมายที่เป็นเหล่าวัยรุ่น ที่อาจจะเรียกได้ว่าเด็กแก๊ง หรือ แก๊งเด็กสยามที่มักจะชอบมานั่งรวมตัวกันที่นี่ไร้จุดหมายบ้าง มีตีกันบ้าง แต่ลึกๆแล้วคือว่างงาน และหนึ่งในนั้นเป็นผม ผมนั่งลงบนเก้าอี้เดิมๆที่มานั่งทุกอาทิตย์ หยิบบุหรี่ยี่ห้อเดิม ไฟแช็คสีเดิม จุดสูบเหมือนเดิม และปล่อยให้ควันลอยขึ้นไปช้าๆ
“ช่วงนี้สารวัตรนักเรียนแต่ละโรงเรียนแม่งตรวจน่าดูว่าจะมีเด็กไปเสเพลเปล่า”
“มึงแคร์ ?” ผมยักคิ้วถามมันกวนๆ
“กูแคร์สิวะ แม่คาดโทษไว้แล้ว” วัยรุ่นยังไงก็ยังเป็นเด็กของพ่อของแม่ มาทำตัวแบบนี้พ่อแม่ย่อมเป็นห่วงเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่บ้านผมอยู่ต่างประเทศกันหมด ผมเลยพลาดโอกาสสุดแสนพิเศษที่น่ารำคาญเป็นบางทีและอบอุ่นเป็นบางทีนี้ไป
“วันๆสูบแต่บุหรี่นะสัสเพียง”
“แล้วหนักหัวมึงหรอ” ผมมองคนมาใหม่กวนๆ ผมกลับมันแม้อยู่แก๊งเดียวกันแต่ก็เหมือนไม่สนิท มันชอบทำตัวเด่นและกร่าง และมีผมเป็นคนต้นๆที่ไม่ยอมลงให้มัน
“กูถามดีๆต้องกวนประสาทด้วยหรอวะ” มันผลักอกผม แค่ผลักอาจจะเรื่องเล็ก แต่สำหรับพวกผมมันคือหยาม .. แม้เพียงปลายนิ้วก้อยชนกันก็ตีกันได้ และผมก็ความอดทนต่ำ ผมกระชากคอเสื้อมันเข้ามาสวนหมัดไปแรงๆ หน้ามันหัดไปตามแรงหมัด ล้มลงกับพื้น ก่อนที่ผมจะได้ลงไปซ้ำกลับมีเสียงนดหวีดแสนคุ้นเคย
ตำรวจอีกแล้วล่ะ ..
“นั่นมันนายเพียงพอใช่มั้ย” ผิดคาดกลายเป็นอาจารย์ปกครองโรงเรียนผม งานนี้คงยาว
“ใช่จริงๆด้วย อยู่นอกโรงเรียนทำตัวแบบนี้ได้ยังไงหา ! มาทะเลาะวิวาทมอมเมากับพวกบุหรี่เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะนะ”
“จารย์บนพอยัง บ่นแล้วได้ไรขึ้นมา ยังไงผมก็สูบอยู่ดี แล้วเราตีกันมันเรื่องปกติ” ผมมองไอ้คนที่มีเรื่องกันที่หนีไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมๆกับคนกลุ่มใหญ่เมื่อสักครู่ที่นั่งอยู่กันเต็ม
“มันจะมากไปแล้วนะ เรียกพ่อแม่เธอมาเดี๋ยวนี้เลี้ยงลูกภาษาอะไร”
“ภาษาไทยครับ พ่อแม่ผมเป็นคนไทย ถ้าจะเรียกก็นานหน่อยนะจารย์ พ่อแม่ผมอยู่เดนมาร์ก”
“อาจารย์ครับ เกิดอะไรขึ้นครับ” เสียงของบุคคลที่สามพร้อมกับชุดนักเรียนที่มีเข็มดาวสีแดงปักอยู่บนปก กรรมการนักเรียน .. แต่ดันมาพร้อมกับใบหน้าที่ผมคุ้นเคยและชัดเจนทั้งในมโนภาพและในความรู้สึก
“มาก็ดีแล้ว พารุ่นน้องเธอไปส่งบ้านเลยจบการตระเวนเพียงแค่นี้ แล้ววันจันทร์พาเขามาหาครูที่ห้องปกครองด้วย ขอบใจมากนะต่อไป”
“ครับ” เขายกมือไหว้อาจารย์แล้วลากผมเดินออกมาจนถึงรถคันหนึ่ง มาสด้า 2 สีแดง .. สีที่สวยที่สุดในความคิดผม จัดการเปิดประตูแล้วดันตัวผมเข้าไปนั่ง เดินอ้อมไปที่นั่งคนขับ
“ทำไมออกมาแบบนี้ล่ะ”
“กูนั่งของกูทุกเสาร์มึงนั่นแหละเสือกพาจารย์มาโผล่ไรวันนี้” เขาทำหน้าเครียดมองผมด้วยสายตาไม่พอใจ .. ยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีที่เห็นสายตามันแบบนี้ แต่จะให้ทำยังไงได้
“ทำไมไม่ห่วงตัวเองบ้าง ดึกๆมันอันตราย” เขาเริ่มเคลื่อนรถออกจากสยาม ผมมองออกไปนอกหน้าต่างที่ยังมีคนเดินแม้จะเป็นเวลาเกือบทุ่มแล้ว
“กูไม่ตายวันนี้หรอก”
“ที่พูดเพราะว่าเป็นห่วง”
“คำพูดสวยหรูที่เป็นเพียงข้ออ้าง” ไม่รู้ทำไมเหมือนกันถึงขัดเขาทุกประโยค
“อย่าดูถูกน้ำใจกันแบบนั้น”
“จะให้กูเชื่อ ? เราเป็นอะไรกันทำไมมึงต้องห่วงกูล่ะ ชื่อมึงกูก็ไม่รู้จัก” รถหยุดลงเพราะไฟแดง เขาหันหน้ามามองผมสายตาเขาสะกดผมอีกครั้ง ..
“เราไม่ได้รู้จักกันตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนหรือไง”
“…”
“ตั้งแต่เพียงนั่งอยู่ริมหน้าต่างแล้วมองลงมา หรือผมที่นอนมองเพียงจากสนามบอล มันไม่พอที่จะใช้คำว่า ‘รู้จักกัน’ ใช่มั้ย” คำพูด ประโยคง่ายๆ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจ .. อยากจะยิ้มที่รู้ว่าไม่ได้เพ้อไปคนเดียวแต่ก็เก๊กไว้ อย่าให้เขารู้ว่าดีใจมันน่าอายนี่ ผมหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งยิ้มให้กับกระจกรถ มองรถที่เริ่มเคลื่อนไปอีกครั้งไม่รู้ทำไมแต่มันอดยิ้มไม่ได้ ผมแอบชำเลืองไปที่คนข้างๆที่มันก็กำลังยิ้มเหมือนกัน แม้เขาจะไม่ได้มองอยู่แต่ผมก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า
วันจันทร์กลับมาอีกครั้งเหมือนเดิมแต่เป็นวันจันทร์ที่ไม่เหมือนเดิม ..
ไม่มีใครนั่งอยู่ที่ห้องศิลปะในเวลากลางวัน ..
เหมือนกับที่ไม่มีใครนอนอยู่กลางสนามฟุตบอล ..
ตัวละครตัวเดิม กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลง ..
ผมนั่งกินข้าวอยู่กลางโรงอาหารท่ามกลางคนพลุกพล่านที่ผมไม่ค่อยชอบ เสียงดังจอแจที่ผมมักรำคาญ อากาศร้อนๆที่มักจะทำผมหงุดหงิด รอบๆตัวเต็มไปด้วยหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ทำให้ผมรู้สึกดี ..
แต่โฟกัสทั้งหมดกลับหยุดที่คนข้างหน้าผมตรงนี้ ..
คนที่นั่งกินข้าวอยู่กับผมตอนนี้ ..
ที่กินไข่เจียวกับไส้กรอกเหมือนผมเวลานี้ ..
ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจเพียงแค่มีเขา ..
คนที่ผมพึ่งรู้ว่าชื่อ ‘ต่อไป’
คนที่ผมแค่เพิ่มเข้ามาเป็นตัวละครหนึ่งในชีวิต ..
แต่กลับมีอิทธิพลอย่างน่าประหลาดใจ
แบบนี้จะเรียกว่าคนสำคัญได้ไหมนะ ?
“เพียงวันหยุดคราวนี้ .. ไปเที่ยวด้วยกันมั้ย”
“อืม แต่มึงเลี้ยงนะ” เขามองผมสักพักก่อนจะหลุดขำออกมา
“อะไร ..” ผมสะบัดเสียงไม่พอใจ มันเรื่องน่าขำหรือไง
“เปล่าๆ โทษทีๆ เอาน่าแค่หมาตัวเดียวเลี้ยงได้อยู่แล้ว” เขาเอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ ผมรีบเอียงคอหลบในทันที
“ใครหมา มึงพูดดีๆนะ”
“เป็นหมาน่ะดีแล้ว ..”
“ดียังไง”
“เป็นเมียเลิกกันก็แยกจากกันได้ แต่ถ้าเป็นหมาลองได้รักแล้วต่อให้เลิกก็เลิกไม่ได้หรอก ..”
มันเป็นคำสารภาพรักกลายๆหรือเปล่า .. แต่อดรู้สึกดีไม่ได้แม้ว่าในความหมายของเขาผมจะเป็นแค่หมา
แต่ ..
“มึงว่าใครเป็นเมียมึงนะ ?”
(จบ)