มาแว้ววววววว พรีวิวของนักเขียนรับเชิญท่านที่ 2
--------------------
ผู้ชายกับความกลัว
ความจริง โดย eiky
เคย กลัวอะไรไหม ความกลัวที่แทรกซึมผ่านเข้ามาในหัวใจเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่พอเรารู้ตัวความกลัวนั้นมันก็ฝังแน่นอยู่ในใจยากเกินที่จะถอดถอนมันออกมา ได้ กอดเขาอยู่กับอกแต่ในใจก็คิดประหวั่นพรั่นพรึงไปไกลแสนไกล ความกลัวที่มีอยู่ทั่วทุกอณูของพื้นที่หัวใจ ใช่ กลัว กลัวว่าความจริงที่เรารู้ ความจริงที่เราเห็นมันจะผันแปรทุกอย่างจากวันนี้ไปตลอดกาลนาน ดังนั้นกำแพงแห่งความศัทรามันจึงก่อตัวขึ้นมาอย่างน้อยเพื่อจะปิดกั้นความ กลัวเหล่านั้น อย่างน้อยเราก็ยังเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราทุ่มเทมันมากมายพอที่จะเปลี่ยนความจริงนั้นให้มันไม่เป็นจริงขึ้น มา เขาเรียกว่าหลอกตัวเองใช่หรือไม่ ไม่หรอกเขาเรียกว่าเชื่อมั่นในรักในพลังแห่งใจ ความรักมันต้องเอาชนะทุกสิ่งได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งลวงหลอกหรือความสัจจริง เช่นกัน ผมเองเชื่อมั่นในความรัก เชื่อว่าความรักของผมที่มีให้ปูนตลอดเวลาสามปีที่เราคบกัน สิ่งที่ผมทำให้เขาทุกๆวันมันน่าจะทำให้เขาเห็นว่าผมเองรักเขามากมายเพียงใด ความจริงมันจะเป็นไปเช่นไรผมไม่สนใจ ความกลัวที่มีอยู่ในใจผมกดทับมันเอาไว้ไม่ให้มันเผยออกมา หลอกตัวเองมันไม่ได้มีผลดีผมรู้ แต่หลอกตัวเองอย่างน้อยก็เชื่อมผสานอะไรหลายอย่างให้มันยืดระยะเวลาอย่าง น้อยในระยะเวลานั้นมันอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นก็เป็นได้ ผมเชื่ออย่างนั้น
“เลิกงานแล้วดูหนังกันไหมพลู เนี่ยมีหนังเข้าใหม่น่าดูนะ”
ปูนเป็นพนักงานร้านกาแฟมีชื่อแห่งหนึ่งในซอยทองหล่อ เราเจอกันครั้งแรกก็ที่นี่เมื่อสามปีที่แล้ว ปูนนับว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง ผิวขาวสะอาดตา ร่างสูงโปร่ง แววตาสดใสร่าเริงอยู่ตลอดเวลา ผมยังจำได้ดีในวันที่เราเจอกันครั้งแรก ทุกคำพูด ทุกประโยคสนทนาระหว่างเรา
“เอาลาเต้ร้อนแก้วนึงครับ”
ด้วยความรีบเร่งเกรงว่าจะเข้างานกะบ่ายไม่ทันเพราะตื่นมาก็เที่ยงกว่า ไหนจะต้องอาบน้ำรีดเสื้ออีกออกจากบ้านมาตอนบ่ายโมง ผมทำงานโรงแรมในซอยทองหล่อนี่ล่ะครับ ไม่ได้ไกลจากร้านกาแฟของเขามากนักอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ปกติกาแฟที่ผมกินจะเป็นร้านประจำที่อยู่ริมถนนแต่วันนั้นเป็นวันอาทิตย์พี่เขาไม่มาขาย แต่ถ้าไม่ได้กินกาแฟผมก็คงประคองร่างไปให้รอดทั้งกะไม่ได้ ยอมเสียเงินซื้อกาแฟแพงๆกิน ไม่น่าเลยเมื่อคืนไม่น่าออกไปเที่ยวกับเพื่อนเลยจริงๆ
“ลาเต้ร้อนนะครับ ใส่คาราเมลด้วยไหมครับ อร่อยกว่านะ”
“เอ่อ มีชินนาม่อนไหมครับ”
ผมยังไม่ทันได้เงยหน้ามองคนขายเพราะสายตาก็แหงนมองแผ่นป้ายในร้านที่อยู่สูงเหนือหัว ที่จริงไม่ใช่ไม่เคยสั่งกาแฟกินนะ แต่ไม่รู้ว่ากาแฟร้านนี้ทำไมรายการมันเยอะแยะไปหมดเลย เยอะจนน่าเวียนหัว
“ชินนาม่อนอยู่ตรงโน้นครับ ชอบชินนาม่อนเหรอครับ”
ผมลดระดับใบหน้าลงมามองหน้าเขา เพิ่งจะรู้เองว่าเอามีรอยยิ้มที่พิมพ์ใจที่สุด รอยยิ้มที่อาบไปด้วยประกายของความสดใส รอยยิ้มที่ทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปได้ชั่วขณะ
“เอ่อ ครับ ชอบครับ”
เขาหัวเราะ ผมคงแสดงอาการที่น่าขันออกไปสินะ
“ชอบกินลาเต้เหรอครับ”
เขาถามต่อใบหน้ายังเจืออยู่ด้วยรอยยิ้ม
“ครับ กินเป็นอยู่อย่างเดียว”
ใบหน้าเริ่มร้อนรู้สึกว่ามันตึงๆขึ้นมาล่ะครับ ผมรีบควักเงินออกมาจ่ายค่ากาแฟแล้วยืนรอ ในระหว่างนั้นลูกค้าในร้านไม่มี ผมจึงเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์ รู้สึกประหม่าอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“ได้แล้วครับ ลาเต้ร้อน เติมชินนาม่อนได้ตรงโน้นนะครับ”
เขายื่นแก้วกาแฟให้ผม ผมก็รับเอามานิ้วมือของเขาสัมผัสเข้ากับหลังมือของผม ประจุไฟบางอย่างจากที่เนื้อตัวเราสัมผัสกันมันวิ่งรวดเร็วเข้าไปที่หัวใจ เลือดไหลเวียนดีขึ้นหัวใจเต้นแรงขึ้น ผมหน้าชา
“ทำงานแถวนี้เหรอครับ”
เขาเดินตามมาที่เคาท์เตอร์สำหรับเติมน้ำเชื่อม ผมยังไม่ทันได้ตอบเพราะในใจมันเต้นไหวรุนแรง ไม่อยากหันไปมองเพราะรู้ว่าหน้าของผมเองคงจะระเรื่อขึ้นมาแล้ว นานแล้วเหมือนกันที่ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนี้ นานมากแล้วเหมือนกันที่ผมไม่ได้รู้สึกว่าหัวใจของตนมันยังมีแรงที่จะเต้นจังหวะแบบนี้
“ครับ ไปก่อนนะครับ”
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนครับ ผมชื่อปูนนะ”
“ครับ ผมพลู”
เป็นวันทำงานที่ตื่นตัวดีเป็นพิเศษ กาแฟยังไม่ได้แตะริมฝีปากแต่ผมรู้สึกตื่นทั่วทุกรูขุมขน รอยยิ้มที่ออกมาจากความอิ่มเอิบจากภายในใจ เพื่อนร่วมงานก็แซว ความกลัวมันเริ่มขึ้นมาจากตรงนี้เอง ความกลัวที่มันมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉาบหน้า ยังไม่เริ่มผมก็กลัวแล้ว ยังไปไม่ถึงไหนผมก็คิดแล้ว เขาคงแค่อยากทักทายไม่ได้คิดจริงจังอะไร เขาคงแค่อยากแซวเล่นเพราะเห็นแปลกหน้าและเพราะเขาคงเป็นมีมนุษสัมพันธ์ดี มันไม่มีอะไรหรอกนะ ผมคิดมากไปเอง เขาคงคุยอย่างนี้กับทุกๆคน ไม่ใช่แค่ผม นี่ผมหวั่นไหวไปกับคำพูดเพียงไม่กี่คำแค่นี้เองหรือ
..................................................