[ตอนพิเศษ:มหา+เทียน] 'เด็กป๋า'
ค่ำคืนสำหรับคนสองคนที่น่าจดจำมากที่สุด
ส่วนใหญ่แล้วน่าจะเกิดขึ้นในโอกาสพิเศษอะไร?
วันวาเลนไทน์
วันเกิด
วันครบรอบที่คนสองคนตกลงคบกันเป็นแฟน
ลอยกระทง สงกรานต์ หรือวันอะไรก็ได้ที่สมควรจะบัญญัติไว้ว่าเป็นวันพิเศษ
แต่มันไม่น่าจะใช่วันที่ ‘ราหูอมจันทร์’ หรือจันทรุปราคา หรอกใช่ไหม?
วันที่ใครต่อใครเค้าตีฆ้องร่องป่าว บ้างก็เอาไม้เคาะต้นไม้ไล่สิ่งไม่ดีออกไปตามความเชื่อ วันที่บรรยากาศไม่เป็นใจขนาดนี้จะมีใครเค้าใช้เป็นวันพรอดรักกันบ้าง
ไม่มีหรอก ไม่น่าจะมี
ถ้าจะมีเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้น มันต้องเกิดจากพลาด บังเอิญ ไม่ได้ตั้งใจกันทั้งนั้น แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะมีใครสักคนเมามายไม่ได้สติ
แต่สำหรับคนคู่นี้.....จะไปเหมือนใครต่อใครเค้าได้ไง!!!
ในวันที่ทุกคนว่างแสนว่าง วันที่พื้นที่มหาลัยกลายเป็นที่นั่งเล่นและพูดคุย โต๊ะที่เคยมีแต่ตำราเรียนและผู้คนที่สุมหัวกันเพื่อลอกงาน เป็นที่สำหรับใช้วางขวดชาเขียว แน่นอนว่าข้างในถูกตัดแต่งสายพันธุ์เป็นน้ำที่มีสีคล้ายกันแต่ฟูฟ่องไปด้วยฟองหนานุ่มสีขาว
“พอเลยๆมหา รินเบียร์ไม่เป็นก็ไม่บอก”
เสียงเพื่อนร่วมห้องเรียนโบกมือไล่ผู้ชายที่เพื่อนตั้งชื่อให้ใหม่ว่ามหา ประธานชมรมพุทธรรมที่มีใจฝักใฝ่ใน maxim และ FHM จนเรียกได้ว่าแฟนพันธุ์แท้ ไม่มีใครจำได้ว่าจริงๆแล้วมหามีชื่อไพเราะจับใจว่า กาพย์ เป็นลูกชายคนที่ 3 ในบรรดา 4 พี่น้องลูกคุณครูสอนภาษาไทย โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน
มหาไม่เคยต่อต้านชื่อใหม่และดูจะภูมิใจกับชื่อที่เพื่อนมอบหมายให้เสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ป้องกันเพื่อนเรียกชื่อผิดเป็น ‘ไอ้กาก’ นั่นแหละ
“สุราเมรัยพระท่านห้าม”
“แล้วนวลนางข้างเตียงที่เอาเนื้อหนังบังซิลิโคลนล่ะ พระท่านว่าไว้ยังไงวะมหา”
“ท่านว่าคนเราสังขารไม่เที่ยง ปลงได้ก็ปลง ตายไปร่างกายเราก็เอาไปไม่ได้ แม้แต่ซิลิโคนที่ยัดเข้าไปราคาหลายหมื่นก็เอาไปด้วยไม่ได้”
ไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าเถียง เรื่องพระเรื่องเจ้าใครเค้าจะเสี่ยงกับบาปกรรมที่มองไม่เห็นว่ามีจริงมั้ย อย่างน้อยพิสูจน์เป็นรูปธรรมไม่ได้ ก็ไม่ควรเสี่ยงที่จะลบหลู่
“ใครที่คิดว่ารินได้เทพที่สุด โชว์เลยครับ”
คนที่เสนอตัวเข้าไป’โชว์ฝีมือ’ไม่ใช่ใครที่ไหน สมาชิกใหม่ของกลุ่มนิเทศน์ศาสตร์ อย่างน้อยเทวดาตัวพ่ออยู่ไกลถึงอังกฤษ แต่นิเทศน์ศาสตร์ไม่เคยขาดคนหน้าตาดี ตัวจริงไม่อยู่แต่ตัวสำรองที่มาแทนที่ก็หน้าตาดีไม่แพ้ใคร และที่ทำให้วงสังสรรต้องขนลุกซู่ต่อๆกันไปเป็นโดมิโน่เพราะคนที่ประคองขวดเบียร์สีเขียวถ่ายลงขวดชาเขียวสีเดียวกันอยู่นี้ คือน้องโจมเมียป๋านี่สิ ถ้าผัวน้องเค้ารู้ แล้วพวกที่ล้อมวงกันอยู่ในโต๊ะนี้จะมีชะตาชีวิตเป็นยังไง
แปะ แปะ เสียงปรบมือดังฝ่าวงสนทนาออกมาไม่ใช่ใคร คนที่ไม่ค่อยรู้สี่รู้แปดในเรื่องอะไรถ้าภัยไม่มาถึงตัวก็คือมหาคนเดียวนั่นแหละ
“เยี่ยมมากครับน้องโจม มีใครรู้เรื่องน่าทึ่งเรื่องนี้มั้ยเนี่ย”
การรินเบียร์ไม่ให้เกิดฟองมันเป็นทักษะขั้นเทพตั้งแต่เมื่อไหร่ แค่เอียงขวดเบียร์ให้ได้องศากับภาชนะรองรับแบบพอดีๆ น้ำหนักมือนิ่งๆไม่สั่นเพราะเสี้ยนเหล้าก็โอเคแล้ว
“เพื่อนพี่รู้ครับ”
“เพื่อนพี่เหรอ?”
“ครับ”
“อ่า พี่ว่าเราไม่ควรพูดถึงไอ้ป๋าในสถานการณ์แบบนี้นะ”
“มึงเพิ่งรู้เหรอมหา”
เสียงตะโกนออกมาพร้อมกันทำเอาหูอื้อและมึนงงไปชั่วขณะ ของรักของหวงที่เพื่อนสนิทอุตส่าห์ไว้ใจฝากให้ดูแล วันนี้กำลังอยู่ในวงสังสรรที่เต็มไปด้วยเบียร์ในคราบชาเขียว อย่างน้อยก็ยังให้เกียรติมหาวิทยาลัย ขวดเบียร์จึงได้ซุกตัวอย่างสงบอยู่ในช่องว่างของฐานโต๊ะม้าหิน
“ถ้าไม่มีใครบอกไอ้ป๋ามันไม่รู้หรอกน่าว่าเราพาน้องโจมมาเหลวไหล”
“มึงแน่ใจได้ไงมหา ไอ้ป๋าตอนที่อยู่ในบทบาทของแฟนน้องโจม ไม่เหมือนตอนมันอยู่ในบทบาทเพื่อนเรานะเว้ย มันซักน้องโจมละเอียดถึงขนาดในข้าวหนึ่งจานประกอบไปด้วยเม็ดข้าวกี่เม็ดด้วยซ้ำ”
“ที่ไอ้เบสมันพูดเป็นเรื่องจริงเหรอครับน้องโจม”
“ไม่จริงครับ เพื่อนพี่ไม่ได้ไร้สาระขนาดนั้นหรอก”
“กูเปรียบเทียบอะมหา มึงก็บ้าจี้เนาะ”
“กูมันคนซื่อเว้ยเบส ถึงแม้มันยากที่จะเชื่อว่าไอ้ป๋าเป็นแบบนั้น แต่หลังๆมานี้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับไอ้ป่าแล้วว่ะ”
ทุกคำที่มหาพูดมาล้วนเป็นเรื่องจริง ความเปลี่ยนแปลงในตัวป๋าที่เพื่อนๆไม่เคยเห็น ไม่คิดว่าจะเห็น เกิดขึ้นได้ตั้งแต่มีน้องโจมเข้ามาเกี่ยว
“หมดเวลาสนุกของมึงแล้วมหา พ่อมึงมาตาม”
“มึงดูยังไงวะเบส ว่าพ่อหรือแม่ของไอ้มหามัน”
เสียงกระซิบถามของไอ้แย้ไม่ได้รอดพ้นเรดาห์ของหูมหาแต่อย่างใด แต่ตอนนี้กำลังตกใจคนที่เดินหน้ามาตามมากกว่า
“กูก็ไม่รู้ว่ะ กูดูจากกระแสความเกรงใจ ตราบใดที่ไม่ได้รับเชิญไปอยู่ใต้เตียง กูบอกไม่ได้”
“มึงกำลังจะบอกว่า ไอ้มหาเจริญรอยตามไอ้ป๋าเหรอวะ แต่คู่นี้ออกแนวศัตรูคู่อาฆาตมากกว่าคู่รักนะเว้ย”
ไอ้แย้ผู้ที่คิดได้ไม่ไกลเท่าเพื่อนเบสร้องถามด้วยความแปลกใจ ความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันในกลุ่มกำลังจะกลายเป็นแฟชั่นไปแล้ว
“ประชากรล้นประเทศเพราะคู่รักประเภทนี้แหละมึง ขยันตีกันพอๆกับขยันง้อกันอะแหละ” ไม่มีใครวิเคราะห์ได้รู้จริงเท่าเบสอีกแล้ว
“อ่อ แล้วแบบไอ้ป๋ากับน้องโจมล่ะ เป็นคู่รักประเภทไหน”
ไอ้แย้นี่ก็อยากรู้ไม่มีวันสิ้นสุด มุ่งมั่นที่จะสาระแนมากๆ
“คู่นั้นเค้ารู้เค้ารักกันสองคน ถ้าไม่ใกล้ชิดจริงจังไม่มีวันเห็นคู่รักวางแผนครอบครัวคู่นั้นหรอก”
“มึงสองตัวจะนินทาเผารูหูกูกันอีกนานมั้ย เห็นใจกูบ้าง ถ้าคู่กรณีรู้กูตาย เข้าใจมั้ย”
เบสมองเพื่อนตัวเองผิดซะที่ไหน กระแสความกลัวและเกรงใจพุ่งขึ้นสูงทะลมาตรวัดขนาดนี้ มหาไม่ได้กลัวที่เทียนโกรธ แต่มหากลัวตาย จริงๆแล้วยังไม่มีครั้งไหนที่มหาต่อปากต่อคำแล้วชนะเลยต่างหาก
“เทียน มาถึงนี่มาหากูหรือเปล่า”
ต่อหน้าเพื่อนนี่ทำเป็นขึ้นมึงขึ้นกู จริงๆแล้วมหาก็คงจะประหม่ากับการมาหาของเทียนเหมือนกัน
“เออสิ อุตส่าห์เดินมาถึงนี่ คงจะแค่มายิ้มให้รุ่นน้องโรงเรียนเก่ามั้ง”
คนพูดไม่ใช่แค่ประชดประชัน แต่เทียนหันไปส่งยิ้มหวานให้รุ่นน้องโรงเรียนเก่าอย่างโจมจริงๆ แล้วน้องโจมก็ดันยิ้มรับซะมหาเคลิ้ม จนลืมไปเลยว่ามีใครอีกคนยืนกดดันอยู่ใกล้ๆ
“มีอะไรเหรอ”
“นายเป็นประธานชมรมภาษาอะไร วันนี้ที่ชมรมมีปฎิบัติธรรมข้ามคืน นายลืมไปแล้วเหรอ”
ฉิบหาย!! ถ้ามหาจะแก้ตัวว่าจำไม่ได้มันมีความหมายเดียวกันกับลืมใช่หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้ยอมรับความผิดครึ่งหนึ่งดีกว่า
“ก็กำลังจะไปพอดีเหมือนกัน อยู่ฟังพวกเพื่อนๆปรึกษางานกันอะ”
เพื่อนๆที่รอลุ้นได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเอือม ระดับความเนียนไม่ผ่านมาตรฐาน
“แล้วเตรียมเสื้อผ้ามายัง”
เพิ่งจะพร้อมใจกันส่ายหน้า ตอนนี้เพื่อนๆต้องมาเบิกตาโพลงกับบทสนทนาของคนทั้งสอง ‘เตรียมเสื้อผ้า’ หมายความว่ายังไง
“เตรียมเสื้อผ้าอะไรเหรอเทียน”
คนซื่อกำลังจะกลายเป็นคนเซ่อโดยไม่รู้ตัว ไอ้ที่บอกว่ารู้หน้าที่ตัวเองและกำลังจะไปถ้าเทียนไม่มาตามซะก่อนนั้น ล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่ต้องรอให้ใครจับไต๋ มหาเปิดเผยขึ้นมาด้วยตัวเองเลย
“ตีสองของคืนนี้ ก็คือพรุ่งนี้นั่นแหละ จะเกิดราหูอมจันทร์ ชมรมเลยจัดวิปัสนาข้ามคืนกันที่ป่าหลังมอ ทีนี้รู้ยังว่าทำไมต้องเตรียมเสื้อผ้ามา”
คนตอบน้ำเสียงเอือมระอากับประธานชมรมเต็มที่ มหามีคุณสมบัติครบทุกประการนะ ถ้าไม่นับขี้ลืมกับรักหนังสือปลงสังขารเป็นชีวิตจิตใจ
“อ่อ เออ ครับ เข้าใจแล้ว งั้นไปชมรมกันเถอะ”
“แล้วเสื้อผ้าล่ะ”
“มีชุดขาวอยู่ที่ชมรมแล้วล่ะ มีชุดอื่นๆสองสามชุด ไปเลือกเอาที่นั่นแหละ”
เป็นครั้งแรกที่เพื่อนพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยมหาก็เตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า ขอใช้โชคดีต้อนรับปรากฎการณ์ที่คนโบราณเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในกาลกิณีนะมหาเพื่อนรัก
ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าห้องชมรม บรรยากาศแช่มชื่นแตกต่างจากระหว่างทางที่เดินมาพร้อมกับคนตามที่ทำหน้าบูดตลอดเวลายิ่งนัก
“ลืมเหรอคะพี่มหา”
ตั้งใจจะลืมความหม่นหมองไปแล้ว แต่โดนสะกิดขึ้นมาแบบนี้ แอบชำเลืองมองคนที่เดินเข้าห้องมาด้วยกัน เทียนเดินไปทำงานอย่างอื่นแล้ว
“เออ จำไม่ได้ มันไม่ใช่วันสำคัญทางพุทธศาสนาพี่เลยลืม”
เสียงกระซิบแผ่วเบา กลัวคนที่เดินไปเดินมาสั่งงานอยู่ในห้องจะได้ยินแล้วมหาจะซวยตั้งแต่ราหูยังไม่ทันจะงับขอบดวงจันทร์
“แหะ แหะ พวกหนูก็ลืมค่ะพี่ พี่เทียนเพิ่งโทรตามเหมือนกัน บอกว่าคนนอกชมรมจะมาสวดมนต์ข้ามคืน แต่คนในชมรมจะเข้าไปกางเต็นท์วิปัสสนากันในป่านะคะพี่มหา”
ป่าที่น้องในชมรมพูดถึงเป็นที่ว่างไว้สำหรับขยายมหาลัยในอนาคต ตอนนี้เป็นพื้นที่ที่ปลูกต้นไม้เอาไว้สำหรับศึกษาและพักผ่อนหย่อนใจ ส่วนใหญ่เป็นพรรณไม้ในป่าทึบ บ่อยครั้งที่ชมรมมหาจะไปกางเต็นท์วิปัสสนาและนอนค้างคืนกัน แต่เทียนจะอยู่ทำกิจกรรมหลักๆเช่นสวดมนต์และนั่งสมาธิ แต่ไม่เคยค้างคืนเลยสักครั้ง
สวดมนต์ข้ามคืนคือการสวดมนต์บทยาวเพื่อก้าวข้ามช่วงเวลาของวันนี้ไปสู่วันพรุ่งนี้ ใช้เวลาเต็มที่ประมาณหนึ่งชั่วโมง ส่วนนังวิปัสสนาก็คือการนั่งสมาธิเพื่อกำหนดลมหายใจเข้าออกและปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง หลังจากนั้นสมาชิกของชมรมก็จะเข้าไปในป่าเพื่อหามุมสงบสำหรับคนที่ต้องการนั่งสมาธิต่อไป ส่วนใหญ่เหมือนมากางเต็นท์เข้าค่ายค้างคืน นั่งวิปัสสนาไม่ใช่ประเด็น เน้นเอาบรรยากาศและเล่าเรื่องผีกันเสียมากกว่า แต่เพราะหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมไม่เคยอยู่ร่วมถึงขั้นตอนสุดท้ายเลยไม่รู้ว่าหลังจากพิธีการแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญขนาดนั้นเลย สาระสำคัญอยู่ที่สองชั่วโมงแรกเท่านั้นแหละ
“แล้ววันนี้ทำไมมีแต่สาวๆ พวกผู้ชายหายไปไหนหมด”
“วันนี้ไม่มีงานใช้แรงงานค่ะ ผู้ชายเลยลา คืนนี้พี่มหานอนเต็นท์เดียวกับพี่เทียนนะคะ”
“ห๊า ให้พี่เนี่ยนะนอนกับไอ้เทียน”
“ก็คืนนี้มีแต่พวกผู้หญิงกางเต็นท์กันสองสามเต็นท์ค่ะ ไม่มีผู้ชายคอยดูแลอาจารย์ไม่อนุญาต แต่พวกหนูเตรียมเรื่องผีกันมาเต็มที่เลยนะคะ พี่มหาอย่าทำเสียบรรยากาศสิ”
“เออๆก็ได้ๆ มันใช่เรื่องมั้ยเนี่ย ไม่ใช่วันสำคัญ แค่ราหูอมจันทร์แค่นี้ก็ต้องมีกิจกรรมด้วย”
“พี่มหาไม่เคยได้ยินเหรอคะ มันเป็นความเชื่อของคนโบราณ เค้าว่ากันว่ามันเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ดีค่ะ เราต้องเอาความดีเข้าสู้ ราหูมันจะได้คายดวงจันทร์” ถึงไม่ปฎิบัติธรรม ราหูก็คงไม่กลืนจันทร์ลงไปหรอกมั้ง น่าจะกลัวบาดคอบ้างอะไรบ้าง
“แล้ววันนี้ต้องทำอะไรบ้าง”
“สวดมนต์ นั่งสมาธิ กางเต็นท์ นอน เอ้ยยย นั่งสมาธิแล้วค่อยนอนค่ะ”
“โอเค แล้วเทียนรู้พิธีการยัง”
“รู้แล้วค่ะ”
“มันไม่บ่นเหรอ ถ้ามันรู้ว่าหลังจากพิธีที่มันเคยอยู่ร่วมไม่มีอะไรจริงจัง”
“บ่นค่ะ แต่พวกหนูขอร้องเหมือนที่ขอร้องพี่มหาแหละคะ”
“อืม”
**** อย่าเพิ่งปาดนะ มีต่อค่ะ