@@@ Writer'sTalk @@@
ขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้รอ พีจังมัวแต่ไปแก้งานส่งรวมเล่มอยู่
โอ้ว ความอับอายทางวิชาการกำลังจะได้ถูกจารึกไว้....เรื่องมันเศร้าค่ะท่านผู้อ่าน
แต่เอาเป็นว่า ไปอ่านเรื่องของคุณอินทัชกะวรัญญูกันต่อดีกว่านะคะ
และขอบคุณมากๆสำหรับทุกคอมเม้นต์ค่ะ ช่วยอยู่เป็นกำลังใจกันต่อไปด้วยนะคะ
.........................................
คืนนั้นอินทัชเดินวนเปิดตู้เสื้อผ้าค้นหาเสื้อสูทตัวงามที่เขาใส่ไปเที่ยวในคืนที่พบกับ
“ยู” หรือ
“รัน” ความทรงจำอันลางเลือนในคืนนั้นบอกเขาว่าอีกฝ่ายยัดอะไรบางอย่างใส่กระเป๋าเสื้อของเขามาด้วย
“เจอแล้ว...หลักฐานคาตายังจะมาเถียงว่าไม่ใช่ๆ ยั่วซะขนาดนั้นมีเหรอจะจำไม่ได้...” มือแกร่งดึงนามบัตรนั้นออกมาดู ชื่อที่ปรากฏอยู่บนนามบัตรนั้นทำให้ยิ้ม
วรัญญู ธิติเดชาพงศ์
เลขานุการ
บริษัท ........ ในกลุ่มบริษัท พีที กรุ๊ป.....
“
เลขา?...นี่คุณตาให้งานมาเป็นเลขาที่บริษัทเลยเหรอ?...” อินทัชอ่านทวนตัวหนังสือสีดำแบบเรียบๆบนกระดาษสีขาวเนื้อด้าน น่าแปลกใจเหลือเกินที่นามบัตรของอีกฝ่ายกลับเป็นเพียงแค่นามบัตรหน้าตาธรรมดาเรียบๆ ไม่ได้หรูหรา หรือ ดูฉูดฉาดเหมือนอย่างเจ้าตัวที่เขาได้พบเจอในผับนั่นไม่... ริมฝีปากได้รูปของอินทัชหยักยิ้ม
“ดี...ทีนี้นายจะทำตัวยังไง วรัญญู”
.....................................
เสียงล้อรถมินิคูเปอร์ใหม่เอี่ยมอ่องปีนขึ้นลานจอดรถของตึกสูงใจกลางกรุงดังก้องไปทั่วลานจอดรถแสนจะว่างเปล่าในเช้าตรู่ของวันจันทร์ ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางก้าวลงมาจากรถยนต์คันกระจิดแต่ราคามโหฬารนั้นอย่างเนือยๆ มือหนึ่งถือกระเป๋าใส่เอกสารขึ้นวางไว้บนหลังคารถคันงาม อีกมือก็พยายามผูกเนคไทให้สวยงามได้รูป ใบหน้ามนหันส่องกระจกเช็คแล้วเช็คอีกว่าผมยาวประบ่าของตนเองนั้นรวบเรียบร้อย ดูภูมิฐานเข้ากับแว่นกรอบเงินแล้วหรือยัง
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีอารมณ์จะมายิ้มให้กับกระจกเหมือนเช่นทุกที วรัญญูถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะคว้ากระเป๋าเอกสารและเดินเข้าบริษัทไป ด้วยท่าทีเหนื่อยๆเนือยๆไม่ได้มาพร้อมรอยยิ้มจอมปลอมที่พร้อมจะแจกใครต่อใครเหมือนเช่นทุกวันใบหน้าสวยภายใต้กรอบแว่นนั้นดูซีดเซียวเหมือนคนอดนอน
“สวัสดีค่ะ คุณรัน วันนี้ดูเหนื่อยๆนะคะ ...เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” เสียงสุรีรัตน์พนักงานในแผนกเลขาเดินเข้ามาถามไถ่อาการเมื่อเห็น ลูกบุญธรรมของคุณภูธร เดินสะโหลสะเหลเข้ามาในแผนกเลขานุการ
“เอ่อ...แค่นอนไม่หลับน่ะครับ... พี่รัตน์ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ชายหนุ่มว่าพลางยิ้มแห้งๆ ก่อนจะค่อยๆทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ประจำตำแหน่งของตัวเอง...จะให้นอนหลับได้ยังไง พอนอนก็มีแต่หน้าหลาน กับเสียงหัวเราะ ของหมอนั่นหลอกหลอนอยู่อย่างนั้นน่ะ...
...ไม่อยากได้น้า... คำพูดนั้นทำให้วรัญญูรู้สึกอยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ เขาไม่น่าเมาจนไปเล่นแบบนั้นกับอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวเลย วรัญญูพยายามสะบัดเอาความง่วงงุนนั้นออกไปให้พ้นตอนนี้เขาควรจะต้องโฟกัสกับงาน...
แต่เมื่อคิดได้แบบนี้ก็ต้องถอนหายใจออกมา เมื่อคิดถึงคำว่างาน ดวงตากลมภายใต้กรอบแว่นมองโต้ะทำงานของตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งคำรบ อดคิดไม่ได้ว่ามันช่างเป็นโต้ะทำงานที่ว่างเปล่าเสียนี่กระไร สภาพของโต้ะทำงานที่มีเพียงแค่ เอกสาร สองสามแฟ้มที่แวะเวียนมาให้เขาช่วยพิมพ์งาน กรอกข้อมูลง่ายๆ แล้วก็ลอยผ่านไปจากโต้ะ เพราะมักจะมีคนมาเก็บไปเสมอ เหมือนกับว่าคนทั้งแผนกไม่อยากจะใช้งานเขาอย่างไรอย่างนั้น อันที่จริง แม้ตำแหน่งงานของเขาจะเป็น
“เลขานุการ” ก็จริง แต่เขาไม่เคยได้ไปเดินต้อยๆตามหลังผู้บริหารคนไหนเลย จะมีเคยเดินตามก็แค่คนเดียวซึ่งก็คือ รุ่งนภา พี่สาวบุญธรรม แม่ของอินทัชนั่นเอง ในวันแรกที่เธอพาเขามาเข้ามาฝากทำงานที่แผนกเลขานุการด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะมีโทรศัพท์โฟนอินเข้ามา ปลายสาย คือ พ่อบุญธรรมของเขาที่ประกาศประกาศิตกลายๆ ด้วยการฝากฝังพนักงานในแผนกเลขาทั้งหมดว่า
“ ทุกคน ฝาก วรัญญู ลูกชายผมด้วยก็แล้วกัน” เพียงเท่านั้น...เขาก็มีสภาพประหนึ่งคนว่างงานมาเกือบสองเดือน...ไม่มีใครกล้าใช้งานเขาเลยแม้แต่คนเดียว
....แล้วแบบนี้มันจะเรียกว่างานได้ยังไง...ชายหนุ่มร่างเล็กได้แต่ทอดถอนหายใจ พลันเหลือบไปมองเห็นปฏิทินตั้งโต้ะที่วงเอาไว้ด้วยปากกาสีแดงเส้นหนา ทำเอาวรัญญูผุดลุกจากเก้าอี้แทบไม่ทัน เขาลืมวันนี้ไปได้ยังไงกัน
“พี่รัตน์ครับ...วันนี้ ประธานจะเข้ามาใช่ไหมครับ” แต่ยังไม่ทันที่เจ้าของชื่อจะได้ตอบโทรศัพท์บนโต้ะของวรัญญูก็ดังขึ้น โทรศัพท์ที่แทบจะไม่มีการใช้งานมาตลอดสองเดือนแผดเสียงลั่น ทำเอาคนเกือบทั้งแผนกที่เริ่มเข้าโต้ะประจำที่จะทำงานต้องหันมามองลูกชายบุญธรรมของคุณภูธรกันเป็นตาเดียว
“น้องรันคะ...ไม่รับโทรศัพท์ล่ะคะ” เสียงพี่รัตน์ดังขึ้นพลางชี้มาที่โทรศัพท์
“อ่ะ..เอ่อ...ครับๆ” วรัญญูรีบหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะกรอกเสียงลงไป...พยายามสงบสติอารมณ์มากที่สุด
“รับโทรศัพท์ช้าแบบนี้...ตัดเงินเดือนดีไหม...” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากปลายสายไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร
“สวัสดีครับ...คุณอินทัช...” ทั้งๆที่เมื่ออยู่นอกบริษัทเขาทำตัวข่มอีกฝ่ายด้วยการพยายามเป็นน้ามาโดยตลอด แต่เมื่ออยู่ในบริษัทเขาจะต้องปรับเปลี่ยนท่าที
“เก็บของบนโต้ะที่แผนกซะ...ขนมาอยู่ที่โต้ะที่หน้าห้องผมนี่ แล้วเข้ามาพบผมที่ห้องด้วย...เร็วๆเข้าล่ะ” ผู้ถืออำนาจมากกว่าในบริษัทเอ่ยสั้นๆก่อนจะวางสายไป คำพูดของอีกฝ่ายทำให้วรัญญู ยิ่งรู้สึกอยากจะเป็นลมมากยิ่งขึ้น
“โอย...นี่มันจะอะไรกันตั้งแต่หัววันล่ะเนี่ย...”
แต่ถึงจะบ่นหรือโอดครวญอะไรต่อไปก็ดูเหมือนจะป่วยการ วรัญญูคว้าสมุดจดบันทึกที่อย่างน้อยก็คิดว่าจะต้องใช้ ส่วนของที่เหลือ ชายหนุ่มมองดูของบนโต้ะโล่งๆของตัวเอง ไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไร แต่เท่าที่คิดได้ก็มีเพียงแค่หยิบเอากล่องใส่เอกสารขึ้นมาวางไว้บนโต้ะเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน
“เอ่อ เดี๋ยวผมออกไปหาคุณอินทัชนะครับ” วรัญญูเอ่ยขึ้น ทำเอาทั้งแผนกหันมามองกันเป็นตาเดียว
“เดี๋ยวค่ะน้องรัน...เอานี่ไปด้วยนะ” พี่รัตน์เดินเอาแฟ้มเอกสารมายื่นให้เหมือนรู้ว่าจะต้องใช้งาน ร่างเล็กวิ่งขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้นบนของตึกทันที...หัวใจในอกเต้นโครมครามอยู่ไม่น้อย อาจจะเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกก็ได้ที่เขารู้สึกว่าจะได้
“ทำงาน” จริงๆ
....แม้ว่าเจ้านายจะเป็น เจ้าหลานโข่งคนนั้นก็เถอะ!!เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานกว้าง เห็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีเข้มยืนอยู่ที่หน้าโต้ะประจำตำแหน่ง ในมือมีแฟ้มเอกสารยืนพิงโต้ะอ่านอยู่ท่าทางสบายใจไม่น้อย
" มาสายนะ ผมขอวาระการประชุมด้วย "
"ผม...เอ่อ...นี่ครับ" วรัญญูพัลวันหยิบเอาวาระการประชุมที่โชคดีพี่รัตน์บอกให้เขาเอามาด้วยเมื่อครู่นี้ยื่นให้กับอีกฝ่าย
" แล้วโทรนัดรึยัง? "เขากวาดสายตาเอกสารในมือ
"เอ๊ะ...เอ่อ ซักครู่นะครับ..." ร่างเล็กกว่ารับคำเสียงเบา พลางเปิดดูสมุด ใช่แล้ว...เขาโทรนัดไปเมื่อวันก่อน...แต่เขาดันลืมไปเสียเพราะมัวแต่ว้าวุ่นใจกับเรื่องที่เจอกับอีกฝ่ายที่บ้ายของภูธรนั่นล่ะ
"วันนี้มีเรื่องที่ต้องประชุม เป็นเรื่องสำคัญมาก หุ้นส่วนบริษัทต้องร่วมกันตัดสินใจ ขาดใครไม่ได้ " ว่าพลางก็ส่งแฟ้มที่ยืนอ่านอยู่เมื่อครู่ให้กับวรัญญู “ไปโทรตามมาให้หมด”
"อ่ะ...ครับ" เลขาประจำตัวรับคำอย่างไม่มั่นใจนัก ดวงตาคู่สวยกวาดมองรายชื่อของผู้ถือหุ่นที่อยู่ในลิสต์ มันมีมากกว่ายี่สิบชื่อเลยทีเดียว
"มีอะไรอย่างอื่น อีกหรือเปล่าครับ...ถ้าไม่มีผมขอตัว" ชายหนุ่มร่างบางว่า พลางขยับถอยออกมาเล็กน้อย สายตาที่มองมาของหลานตัวโข่งก็ทำเอาหนาวสันหลังวาบๆ ไม่อยากจะอยู่ใกล้ตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่เป็นอันหลับอันนอนให้มันนานนัก
" หน้าที่ของนายคือทำบันทึกการประชุม .. เตรียมตัวซะ วันนี้นาน " อินทัชสั่งงานยิ้มน้อยๆที่มุมปาก อีกฝ่ายอยู่ในบริษัทแบบนี้ก็มีฐานะเท่ากับเลขานุการ...อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา เป็นแบบนี้แล้วก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าวรัญญจะมีท่าทีแบบไหน
"ครับ" น่าแปลกใจที่วรัญญูกลับรับคำอย่างสุภาพ สีหน้าเรียบเฉย...อย่างน้อยก็ทำให้ดูเหมือนเรียบเฉย “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวครับ...ต้องจัดการกับรายชื่อนี่ก่อน” ว่าพลางก็ค้อมตัวเล็กน้อยให้กับผู้ที่ตามเอกสารแล้วมีศักดิ์เป็นหลานของตัวเอง
................................
หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา วรัญญูก็เดินกลับมาที่หน้าห้องของอินทัชพร้อมสัมภาระที่จัดแจงขนย้ายมาไว้ที่โต้ะที่หน้าห้องของ “ท่านประธาน”ก่อนจะเดินไปเข้าในห้องทำงานของอินทัชพร้อมทั้งรายงานเรื่องของผู้ถือหุ้นที่จะมาพร้อมประชุมกันในอีกหนึ่งชั่วโมง โดยที่ไม่ได้เล่าให้อีกฝ่ายฟังว่าเขาต้องเจอกับคำเหน็บแนมมากขนาดไหนกว่าจะทำการนัดหมายแทรกตารางได้จนครบทุกคน แถมยังต้องวุ่นวายเก็บเอกสารเก็บของหอบหิ้วย้ายจากชั้นล่างขึ้นมาข้างบนนี่อีก
"เฮ้อ.... " ชายหนุ่มร่างบางแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่ออินทัช หันหน้าไปอีกทาง ถ้อยคำเหล่านั้นของเลขาฯของผู้ถือหุ้นทั้งหลาย หรือแม้แต่ตัวคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ผู้หลักผู้ใหญ่” มันยังคงเสียดแทงเข้าไปในอก อึดอัด....จนต้องแอบถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งคำรบ
" เมื่อกี้คงไม่ได้หาวใช่ไหม..เตรียมตัวหรือยัง? ทำบันทึกประชุม ต้องมีสติกับหัวข้อตลอดเวลา แต่ถ้ากันพลาด ก็ใช้เครื่องบันทึกเสียงอัดเอา...อย่าหลับกลางทางก็แล้วกัน " อินทัช สอนอีกฝ่ายราวกับเป็นเด็กฝึกงานเพราะท่าทางงกๆเงิ่นๆของวรัญญูนั้นเหมือนจะเป็นเช่นนั้นมากกว่าเป็นเลขาเสียอีก
การประชุมอันน่าเบื่อหน่ายยาวนานและน่าปวดหัวมากสำหรับวรัญญูเริ่มขึ้นด้วยความวุ่นวายด้วยความไม่รู้อะไรทำให้เขาเอาน้ำเปล่าเสิรฟแขกที่มา จนต้องเปลี่ยนเป็นน้ำส้มและกาแฟอย่างดี ทำให้เสียเวลาในการเตรียมสถานที่ไปมาก และ ก็จบลงด้วยดารที่ผู้บริหารทุกคนเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าแช่มชื่นเมื่อข้อตกลงนั้นไม่มีปัญหาอะไร อินทัชดูจะจัดการในการนำการประชุมครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี ต่างกับตัวเขาเองที่ดูเหมือนจะถูกกระชากเอาวิญญาณ ออกไป
"เฮ้อ... "วรัญญูถอนหายใจออกมาเมื่อกลับไปนั่งที่โต๊ะ เขายังต้องถอดบัญทึกการประชุมยาวเหยียดนี่อีก มือเรียวกดปุ่มเล็กๆบทเครื่องบันทึกเสียง แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเครื่องบันทึกเสียงนั้นไม่มีเสียงออกมา
"...เอ๊ะ...ทำไมไม่มีเสียงล่ะ" เหมือนอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ มือเรียวจับเครื่องบันทึกเสียงนั้นผลิกซ้ายขวา
"
เอ้ยย...กดผิดนี่...ตรงไหนล่ะๆๆ" วรัญญูโวยวาย เมื่อ รู้ตัวว่ากดปุ่นอัดเสียงแทนที่จะเป็นปุ่มเพลย์ เป็นนานเหมือนกันกว่าจะตั้งสติกดหยุดเทปได้ เสียงโวยวายนั่นทำให้ประธานบริษัทอย่างอินทัชเดินออกจากห้องมา พร้อมกับบันทึกสั้นๆ ได้ใจความที่เขาจดเอาไว้เอง เกี่ยวกับเนื้อหาการประชุม กระดาษบันทึกสี่ห้าแผ่นวางลงตรงหน้าของคนที่นั่งโวยวายกับเรื่องของเทคโนโลยี
" ขยายความเอาก็แล้วกัน มีอะไรสงสัยให้ปรึกษา ...คุณธิดา ตอนนี้ย้ายไปฝ่ายขายแล้ว "
“...............................” วรัญญูไม่ได้พูดอะไร ดวงตากลมภายใต้แว่นกรอบเงินบางนั้นเหลือบมองหน้าอีกฝ่าย ทำหน้าไม่ถูก ก็อยากจะขอบคุณแต่ก็เจ็บใจจนเกินกว่าจะพูดออกมาได้ ชายหนุ่มรับเอาเมโมนั้นเอาไว้ มือเรียวกำแน่น
"อย่างที่คิด ตำแหน่งนี่มันดูจะไม่เหมาะจริงๆด้วย" เป็นครั้งที่เท่าไรของวันแล้วที่วรัญญูพึมพำออกมาเบาๆแต่คำพึมพำเบาๆของเขาก็ปเข้าหูของอินทัชเข้าจนได้ ร่างสูงขยับตัวมานั่งที่ของโต้ะของวรัญญู วางมือเท้าลงกับโต้ะพลางโน้มตัวลงมาใกล้
" ก็ไหนว่าอยาก
ฮุบบริษัทไม่ใช่เหรอ...ฉันไม่ได้ขู่นะ .. แต่ถ้าอยากเป็นประธานต้องศึกษางานให้มากกว่านี้ งานของประธานคือ รู้งานของทุกคนในองค์กร ถ้านายทำได้ .. นายก็บริหารทั้งงานทั้งคนได้ "ชายหนุ่มสอนอีกฝ่ายก่อนจะกดโทรศัพท์ที่โต๊ะของเลขามือใหม่
" ฮัลโหล คุณธงชัยใช่ไหมครับ นี่ผม อินทัชนะครับ ช่วงนี้ถ้ายังไง ผมขอยืมตัวคุณธิดามาทำงานแผนกเลขา แล้วให้เขามาช่วยติวงานให้เลขาคนใหม่ของผมหน่อยจะได้ไหมครับ...คงไม่ขัดข้องนะครับ " คำพูดของประธานทำให้เลขาฝึกหัดอย่างวรัญญูต้องหันไปมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
...จะทำอะไรอีกล่ะ..." เอาล่ะ เดี๋ยวคุณธิดาจะมาสอนงานเลขาให้นาย ตั้งใจเรียนรู้ให้มากล่ะ .. ตารางนัดช่วงบ่ายมีอะไรไหม วรัญญู " เขาถามเลขาของตนเองที่มีศักดิ์เป็นน้าบุญธรรม
"เอ่อ....” วรัญญูพลิกหน้ากระดาษสมุดจดรวดเร็ว “ช่วงบ่ายมีนัดเจรจาธุรกิจกับบริษัท Aที่โรงแรม...ตอนบ่ายสองครับ" ชายหนุ่มร่างเล็กใช้ปลายนิ้วปัดผมที่ตกลงมาบังหน้าของตัวเองขึ้นทัดข้างหูเล็กน้อย ก่อนจะปิดสมุดจดบันทึกลง
“โอเค...งั้นตอนบ่ายก็ตามผมออกไปด้วยก็แล้วกัน ถือว่าไปเรียนรู้งาน...”
ท่าทางที่เหมือนกำลังสั่งสอนเขาอยู่ตลอดเวลาทำให้วรัญญูต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในใจออกไป
"แล้วก็ขอบคุณที่อุตส่าห์เป็นห่วงเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงานของผม..." วรัญญูพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองไว้แล้วพยายามจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพ ทั้งๆที่คิ้วเรียวนั้นชมวดมุ่นอย่างเห็นได้ชัด จริงๆในใจตอนนี้ เขาจะไม่อยากยืนอยู่ตรงหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าถอยตอนนี้ ถอนตัวเสียตอนนี้แล้ว...เขาจะทำยังไงต่อไป ปล่อยให้คนตรงหน้ายิ้มเยาะอย่างนั้นเหรอ
…หลานโข่งนี่ หมดเวลางานเมื่อไรนะ...น่าดูแน่....“ก็...เท่าที่เห็นมันก็น่าห่วงนี่นะ....” อินทัชยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจของอีกฝ่าย ก่อนจะกลับข้าไปในห้อง ทิ้งให้ผู้มีศักดิ์เป็นน้าของเขาศึกษางานกับธิดาเมื่อเห็นว่าเธอเดินมาถึง ชายหนุ่มเพียงแค่มองหน้าธิดาเท่านั้นแล้วหญิงสูงวัยคนนั้นก็เหมือนจะเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาต้องการจะให้เธอทำอะไรบ้าง
อินทัชเดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะขำในท่าทางงกเงิ่นของเลขามือใหม่อย่างวรัญญูหรือควรจะสงสารอีกฝ่ายดี แต่เท่าที่ดูแล้วก็พอจะดูออกว่าเจ้าของเส้นผมนุ่มคนนั้นฝืนใจกับงาน ราวกับว่านี่คือสิ่งที่ต้องทำเพียงเพราะมันเป็น คำสั่ง เป็นหน้าที่ ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะทำจริงๆ...แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเพียงแค่การจับพลัดจับพลูเข้ามาทำงาน หรือเป็นความต้องการที่จะ
“ฮุบ” บริษัทอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ แต่เมื่อเข้ามทำงานแล้ว เขาก็ไม่อยากให้ต้องเกิดปัญหากับวรัญญู ทั้งนี้ก็เพราะตัวชายหนุ่มร่างเล็กคนนั้นเอง..และเพื่อชื่อเสียงของเขาและบริษัทด้วยเช่นกัน
.............................
ช่วงบ่ายวรัญญูตาม อินทัชออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าทีเพียงมองก็รู้ว่าเป็นเพียงแค่หน้ากากที่ทำการปั้นรอยยิ้มจอมปลอมฉาบเอาไว้ พวกเขาใช้เวลาหมดไปกับกาแฟอย่างดีและน้ำแร่ของโรงแรมสุดหรูไปอีกสามชั่วโมง ...และมันดูเหมือนว่าการรับงานวันแรกแบบเต็มๆสำหรับวรัญญูจะจบลงด้วย การที่ชายหนุ่มผมยาวคนนี้ต้องเสียพลังงานเกือบทั้งหมดไปเลยก็อาจจะว่าได้
"เฮ้อ..."วรัญญูถอนหายใจออกมาในทันทีที่ขึ้นรถ เขาไม่แน่ใจนักว่าวันนี้เขาถอนหายใจไปแล้วกี่ครั้งแต่อย่างน้อยเมื่อเขารู้ว่ามันจบแล้วเขาก็อยากจะถอนหายใจออกมาให้รู้สึกโล่งให้ได้มากที่สุด
" เหนื่อยรึไง? " เสียงทุ้มที่เริ่มจะคุ้นหู เพราะต้องเจอกันมาทั้งวันดังขึ้นข้างๆ อินทัชปลดเนคไทออกเล็กน้อย ช่วงขายกขึ้นนั่งไขว่าห้างท่าทางสบายๆ
"อ๊ะ...เปล่าครับ ไม่เลย" ชายหนุ่มร่างเล็กตอบแบบโกหกันเห็นๆ
" งั้นไปที่บ้านเลยก็แล้วกัน ...สุเทพแวะส่งวรัญญูที่บ้านด้วยก็แล้ว "อินทัชออกคำสั่งกับคนขับรถของบริษัท
รถของทางบริษัทพาประธานของบริษัทและเลขาส่วนตัว ผ่านการจราจรติดขัดในช่วงของเวลาเลิกงานกลับไปยัง คฤหาสน์หลังงามของบ้านธิติเดชาพงศ์ มองจากด้านนอกตัวบ้านใหญ่ดูสง่างามน่าเกรงเขม บ่งบอกได้ถึงอำนาจและบารมีของผู้เป็นเจ้าของอยู่ไม่น้อย
"
เลิกงานแล้ว...ขอบใจมากนะ
อินทัช" รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของวรัญญู ก่อนที่จะเปิดประตูรถ คำพูดเริ่มประโยคนั้นราวกับจะเป็นการกำหนดระยะเวลาว่า เวลาใดเขาควรจะทำตัวเป็นลูกน้อง และเวลาใดที่เขาควรจะทำตัวเป็นน้า แต่คนที่ตัดสินได้ว่าอะไรเหมาะไม่เหมาะในยามนี้ก็คงจะมีแต่อินทัชเท่านั้น ซึ่งคำตัดสินนั้นก็แสดงออกมาทางสีหน้าของชายหนุ่มสูงวัยกว่า
" คราวหน้าเข้าประชุม ให้คุณธิดาเข้าด้วย นายคอยศึกษาจากเขาให้มากล่ะ " อินทัชตอบกลับมาราวกับว่าไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายกวนประสาทเขาก่อนจะโบกมือไล่ให้อีกฝ่ายลงจากรถไป วึ่งวรัญญูก็ตอบกลับด้วยแรงกระแทกเมื่อผลักประตูรถให้ปิดลง อินทัชมองใบหน้าหงิกงอของวรัญญูผ่านกระจกที่ติดฟิลม์เสียทึบ ก่อนบอกให้คนรถขับรถออกจากบ้านไป โดยไม่คิดแม้แต่จะเข้าไปทักทายผู้เป็นตาแม้แต่น้อย
................................
"เจ้าอินทัช มันเล่นมาซะอ่วมเลยล่ะซิ่" เสียงของชายชราดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นเบาๆ ของเก้าอี้รถเข็น ภูธรเห็นไฟของรถของทางบริษัทแล่นออกไปเมื่อครู่จึงได้ออกมารับลูกชายที่หน้าบ้าน ชายหนุ่มร่างบางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าไปอย่างเสียไม่ได้ มือเรียวปลดเนคไทออก ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟายาวของห้องนั่งเล่น
"
ผมคิดว่าผมคงไม่เหมาะกับงานนี้หรอกครับ คุณพ่อ...ผมไม่อยากทำให้คุณพ่อเสียใจหรอกนะครับ แต่หากจะให้ผมพูดตามตรงผมคิดว่า ผมคงจะเหมาะกับงานเดิมมากกว่า" ดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มอ่อนแสงลง เขาไม่แน่ใจนักว่าชายชราจะสังเกตเห็นหรือเปล่า
"
งานเดิมของเราน่ะเหรอ...มันจะไปได้ดีอะไรกัน ไม่ใช่ว่าพ่อดูถูกงานของเรานะแต่พ่อรู้ว่าเราคงไม่พอใจที่พ่อทำแบบนี้...แต่...เราเหมาะแล้วกับหน้าที่นี้...เชื่อพ่อ แล้วทุกอย่างจะดีเอง" เสียงภูธรพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน ก่อนที่เก้าอี้ไฟฟ้านั้นจะค่อยๆเลื่อนหายวเข้าไปในห้องหนังสือ ทิ้งให้ลูกชายอยู่เพียงลำพังในห้องนั่งเล่น วรัญญูนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางความเงียบก่อนจะค่อยๆเอนตัวลงกับโซฟาตัวใหญ่ ร่างเล็กเหยียดขายาวยกแขนพาดก่ายหน้าผาก
....มันอาจจะดีถ้าเขาได้อยู่กับความเงียบนี้ซักพัก..............................................to be con