สำหรับผมนะครับ มันเริ่มจากผมพาเจมส์ และ เพื่อน ๆ ของผม ไปเที่ยวที่บ้านผมครับ
ท้าวความนิดหนึ่งนะครับ ครอบครัวผม เป็นครอบครัวคนจีนครับ อากง กับ อาม่า เป็นลูกคนจีนโดยกำเนิด ที่เกิดในประเทศไทย แล้วแต่งงานกัน ได้เป็นเตี่ย (พ่อ) ผมขึ้นมา ดังนั้นครอบครัวผมตั้งแต่รุ่นอากง อาม่า และเตี่ยผม เป็นต้นมา จะพูดภาษาไทยได้ค่อนข้างชัด ไม่เหมือนครอบครัวคนจีนทั่วไปที่พูดไม่ชัด อากงอาม่า ทำการค้าในพระนคร แต่ไม่รุ่ง เลยหอบเงินก้อนสุดท้าย ไปตั้งรกรากนอกพระนคร ที่จังหวัดใกล้ ๆ กทม. นี่แหละ แล้วก็ซื้อที่นา ที่สวน เพื่อทำสวนทำไร่ ดังนั้นครอบครัวผมจึงมีอาชีพทำการเกษตรเป็นหลัก
บ้านผมตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่ บนเส้นทางหลวงระหว่างจังหวัด 2 จังหวัด มีที่ดินตรงที่ตั้งบ้านติด 2 แปลง แต่ไม่ติดกัน เพราะคั่นด้วยที่ดินของคนอื่นก่อน และมีที่นาที่อยู่หางไปอีก ตำบลหนึ่งอีกหลายสิบไร่เหมือนกัน
ดังนั้นบ้านผม จะรายล้อมไปด้วยต้นไม้ และที่ดินส่วนใหญ่ในบริเวณใกล้ ๆ บ้าน จะไม่ใช่ที่นา แต่จะเป็นสวนผลไม้ ได้แม่ มะม่วง ขนุน ฝรั่ง ส้มโอ และอีกหลาย ๆ ชนิด ปะปนกันอยู่ และก็จะแบ่งบางส่วนปลูกพริก ผักชี มะเขือ ตามแต่ฤดูกาล และตลาดด้วย
เตี่ยผม เป็นลูกชายโต ทั้งพี่น้องทั้งหมด 3 คน เป็นชาย 2 หญิง 1 แต่งงานกับแม่ผมซึ่งเป็นคนไทยโดยกำเนิด เป็นคนในพื้นที่ ที่ดินบริเวณที่บ้านผมตั้งอยู่รวมถึงสวนทั้งหมด อากงยกให้เตี่ยผม ส่วนบริเวณอื่น ๆ ก็ยกให้แต่ละคนไป
เตี่ยผมมีลูกทั้งหมด 6 คน ผมมีพี่สาว 2 คน พี่ชาย 3 คน ส่วนผมเป็นน้องเล็กคนสุดท้อง ในช่วงที่ผมเกิดมา ความเจริญมันเข้ามาบ้านผมแล้ว ไฟฟ้าเข้าบ้าน มีโทรศัพท์ มีโทรทัศน์ ราคาพืชผลการเกษตรดีขึ้น ผมจะไม่ค่อยรับรู้ความลำบากเหมือนพี่ ๆ ของผมเท่าไรนัก แต่พ่อแม่ก็ไม่ด้ตามใจนัก แต่ถ้าเทียบกับพี่ ๆ ผมก็ถือว่าท่านปล่อยลงมาเยอะ
วกกลับมา เนื่องจากบ้านผมเป็นบ้านสวน รวมถึงญาติ ๆ ของผมด้วย และอยู่ไม่ห่าง กทม. มาก นั่งรถทัวประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึง ผมจึงชวนเพื่อน ๆ ผม รวมถึงเจมส์ไปเที่ยวที่บ้านผมบ่อย ๆ มีผลไม้ มีอาหาร ให้กินตลอด เวลาเทศกาล ตรุษจีน สารทจีน ผมก็พาเพือนไปเที่ยวบ้าน ก็ได้อั่งเปาติดไม้ติดมือกันบ้างนิดหน่อย
แล้วบ้านนอก หลาย ๆ คน คงพอนึกภาพออก บ้านส่วนใหญ่จะเป็นบ้านชั้นเดียว มีหน้าบ้านกว้าง ในบ้านแถบหนึ่งก็จะเป็นห้องโถงกว้าง ๆ เลย แล้วก็มีห้องนอนประมาณ 3-4 ห้อง เมื่อห้องน้อย ดังนั้น ห้องนอนพวกผม จึงต้องกันพาร์ติชั่นกันเองภายใน ก็ใช้สู้เสื้อผ้านั่นแหละกั้น เวลาไปเที่ยวบ้าน เพื่อนผมมันก็จะนอนกันที่โถงข้างนอกนั่นแหละ ตอนแรกผมก็จะให้เจมส์เข้ามานอนในห้องกับผมด้วย แต่เจมส์บอกนอนข้างนอกนั่นแหละ เดี๋ยวจะมีคนที่บ้านผมสงสัยทำไมได้รับอภิสิทธิ์ให้ได้นอนในห้องคนเดียว +555
จนขึ้นปี 2 ผมก็ยังกลับบ้านปกติเฉลี่ยนเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อนผมนาน ๆ มันก็จะพากันมาเที่ยวกันที แต่ทุกครั้ง เจมส์ก็จะกลับไปกับผมด้วย ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงเริ่มมีหลายคนสงสัย อาจจะเพราะผมยังไม่ระมัดระวังตัวพอ เลยทำให้ให้ผู้ใหญ๋สังเกตได้
พี่ชายผมเป็นคนแรกที่พูดเปรย ๆ กับผม ผมก็ยังปฏิเสธหน้าตายว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน ไม่มีไร และ 2-3 ครั้งต่อมา ผมไม่ได้พาเจมส์ไปด้วย แม่ก็ถามว่าไม่พาเจมส์ไปด้วยเหรอ คือเจมส์ไปจนเกือบจะเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวผมไปแล้ว
หลังจากนั้นผมก็พาเจมส์ไปตามปกติ ผมก็ว่าไม่ได้แสดงอาการอะไรกับเจมส์นะ แต่เหมือนผู้ใหญ่เขาจับพิรุธได้ แต่ผมก็ยังทำหน้ามึนอยู่
จนจะจบปี 2 นั่นแหละ ก็ตั้งใจจะบอกตอนช่วงปิดเทอม .. วันหนึ่งผมกลับบ้านคนเดียว มาถึงผมก็โทรคุยกับเจมส์ตามปกติ ว่าถึงบ้านแล้ว อะไรประมาณนี้แหละ ... จนที่บ้านผมเขาเรียกผมเข้าไปคุยด้วย ประกอบด้วย เตี่ย แม่ พี่ชายคนรองที่คอยจับพิรุธผม และ พี่สาวผมทั้ง 2 คน ... แล้วเขาก็คาดคั้นผมเรื่องผมกับเจมส์ว่าเป็นอะไรกันแน่ ... จนเราเปิดปากสารภาพนั่นแหละ ว่าผมกับเจมส์เป็นแฟนกัน เราคบกันมา 2 ปี แล้ว เราเป็นแฟนกันมาตลอดแหละ แล้วก็บอกใช่ครับ ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย แม้ก่อนหน้านั้นผมจะเคยมีแฟนเป็นผูหญิงก็เถอะ
แม่ผมนี่ร้องไห้ฟูมฟายใหญ่เลย ส่วนพ่อผมนี่ โกรธหน้าดำหน้าแดง ระเบิดคำด่าต่าง ๆ ใส่ผม แต่ตอนนั้นผมไม่โกรธ ได้แต่นั่งก้มหน้า ร้องไห้ พี่สาวก็ดูจะอึ้งเล็กน้อย แต่พี่ชายผมเฉย ๆ เพราะเขามั่นใจมาแต่แรกแล้วว่าผมกับเจมส์ไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดา เขามาบอกผมทีหลังว่า เขาก็มีเพื่อนเป็นชายชอบชายเลยสังเกตอาการของผมกับเจมส์ออก
แล้วพ่อกับแม่ ก็คิดไปไกล เขาหาว่า ต่อไป ผมจะต้องแต่งหน้า ทาปาก เป็นตุ๊ด จีบปากจีบคอ แต่งหญิง ทำนม ตามที่เขาเคยเห็น ... ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดของคนส่วนใหญ่ว่าต่อไปจะต้องตุ้งติ้ง ผมก็บอกว่าไม่ใช่ ผมไม่ใช่ตุ๊ด กะเทย ผมก็ผู้ชายนี่แหละ ผมก็เป็นของผมอย่างนี้ เขาไม่เชื่อ
หลังจากนั้นผมก็ไม่กลับบ้านอีกเลย จนปิดเทอม เจมส์ก็กลับบ้านที่ เชียงใหม่ ผมก็กลับมาอยู่บ้านปิดเทอมนั้น แม่พูดกับผมแล้ว ดีขึ้นมาก แต่ก็ยังทำหน้าบึ้งตึงใส่ผม ถามคำตอบคำ แต่ที่ผมอึดอัดก็คือ พ่อหลบหน้าผม ไม่พูดกับผม หรือทำผมเป็น อากาศธาตุ ไม่มีตัวตนในบ้าน แต่ผมก็โทรคุยโทรปรึกษา ระบายกับเจมส์ และ เพื่อน ๆ ผมตลอด จนใกล้ ๆ เปิดเทอม แม่ถึงบอกผมว่า แม่ไม่โกรธผมแล้ว แต่ขอเวลาแม่ทำใจหน่อย จนผมลากลับ กทม. ผมก็ไหว้ลาพ่อปกติ พ่อก็รับไหว้ แต่ก็ยังไม่พูดกับผม !!!
จนปี 3 เรียนไปได้ประมาณ 2 เดือน พี่ชายก็โทรมาเล่าให้ฟังประมาณว่า ผมเริ่มหายโกรธแล้ว มีแอบถามแม่เป็นระยะ ๆ ว่า ผมเป็นยังไงบ้าง ทุกข์ใจใหม ขัดสนอะไรใหม มีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ก็ยังปากแข็งบอกว่าไม่ให้อภัย ตลอดปี 3 เทอมหนึ่ง ผมกลับบ้านคนเดียวตลอด ไม่อยากให้พ่อทุกข์เวลาเห็นเจมส์ พ่อยังหมือนเดิม ทำเหมือนผมไมมีตัวตน แต่ก็คอยถามแม่ตลอดอีกนั่นแหละว่าเงินพอใช้ใหม เรียนปี 3 แล้ว ค่าใช้จ่ายมันเยอะ
จนใกล้ ๆ สอบนั่นแหละ อาทิตย์ก่อนสอบผมหอบหนังสือกลับไปอ่านที่บ้าน อยากไปอ่านในสวนที่บ้านเงียบ ๆ และก็อยากให้พ่อเห็นหน้าบ่อย ๆ ด้วย ก่อนกลับมาสอบ อยู่ดี ๆ พ่อก็พูดกับผม "ปิดเทอมนี้ พาแฟนแกมาเที่ยวบ้านบ้างก็ได้นะ" ขอบอกว่าตอนนั้นน้ำเน่ามาก บ่อน้ำตาผมทะลัก โผกอดพ่อ ร้องไห้ฟูมฟาย เหมือนเด็กขี้แยเลยอ่ะ ยังจำวันนั้นได้อยู่เลย
หลังจากนั้นอะไรหลาย ๆ อย่าง มันก็เริ่มดีขึ้น ก็ดีมาจนถึงตอนนี้ ... แต่ในกลุ่มญาติ ๆ ผม พอเขารู้ว่าผมชอบผู้ชาย มีแฟนเป็นผู้ชาย เขาก็ยังแอนตี้และต่อต้านผมจนทุกวันนี้ แต่ผมก็สนใจอะไรแล้วล่ะ
สิ่งหนึ่งที่ผมพิสูจน์ได้ก็คือ ผมไม่เคยนำเรื่องเสื่อมเสียไปทำให้พ่อแม่เสียหน้า (นอกจากลุกชอบผู้ชาย) ไม่ได้แต่งหน้า ทาปาก แต่งหญิง ทำนม อย่างที่เขากังวล ... ผมทำงานเก็บเงิน สร้างเนื้อสร้างตัวได้
เจมส์เป็นที่รักของครอบครัวผมด้วย ดังนั้นแม้ผมจะเลิกกับเขามาได้หลายปีแล้ว ครอบครัวผมก็ยังถามถึงเขาบ่อย ๆ และยังให้ผมต่อสายคุยกับเขาอยู่บ่อย ๆ เลย .... แล้วคำถามยอดฮิตที่โดนตลอดก็คือ "แจ็ค ลูกจะกลับมาชอบหรือแต่งงานกับผู้หญิงได้หรือเปล่า ?" ก็ได้แต่ตอบไปว่า มันเป็นเรื่องของอนาคต
อ่านแล้ว เหมือนนิยายน้ำเน่าเนอะ แต่นี่แหละ มันคือชีวิต รวมเบ็ดเสร็จ กว่าพ่อจะยอมเปิดปากคุยกับผมอีกคั้ง ก็ประมาณ 8 เดือนได้
ส่วนครอบครัวฝั่งเจมส์ เขายอมรับได้ไวกว่าผม แต่แปลกตรงที่ครอบครัวเจมส์ พ่อยอมรับได้ก่อนแม่ แม่ใช้เวลาเป็นปี กว่าจะยอมรับ