สวัสดีค่า...
กลับมาแล้วจ้า... หายไปเดือนกว่าตามสไตล์ เหอะๆ
สปีดในการอัพยังคงไม่มีการเพิ่มขึ้น... ก็ได้แต่ขออภัยจริงๆ ค่ะ...
แต่ขอบคุณที่ยังคงมีคนรออ่านอยู่นะคะ เอาล่ะ ยาวมากตอนนี้ขอตัดเป็นสองนะ
ปล.คำผิดเดี๋ยวกลับมาแก้จ้า...
+++++++++++++++++++++++++++++++ตอนพิเศษ อัลฟี่ & แจ็ค : อดีตและปัจจุบัน7 โมงเช้าของวันใหม่… ผมยังคงนั่งอยู่หน้าคอมเหมือนเมื่อคืน เพราะงานที่ผมรับมาทำมีการแก้ไขรายละเอียด และทางลูกค้าค่อนข้างเร่ง ผมเลยต้องโหมงานทั้งคืน… แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะชีวิตผมก็เป็นแบบนี้อยู่เสมอ แต่ถ้าเมื่อคืนไม่มีงานที่ต้องสะสาง ก็ใช่ว่าผมจะหลับลง… ให้ตายเถอะ! กับอีแค่ไม่ได้เจอหน้าไอ้บ้านั่นไม่กี่วัน แล้วพอรู้ว่าพรุ่งนี้จะได้เจอมัน ก็เล่นเอาใจเต้นตุบ ตับ เหมือนสาวน้อยวัยริรักไปได้ หน้าไม่อายจริงๆ ไอ้ฟี่…
เก้าโมงเช้าไม่ขาดไม่เกิน เสียงออดหน้าห้องทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็ต้องผิดหวังน้อยๆ เพราะคงไม่ใช่ ‘มัน’ มันมีคีย์การ์ดอยู่แล้วถ้าจะเข้าห้องก็ไม่ต้องกดออดหรอก แต่ก็นะ ว่าไม่ได้ คนอย่างไอ้เหี้ยแจ็ค ทำห่าอะไรเหมือนชาวบ้านเค้าซะที่ไหน เรื่องพิเรนน่ะชอบนัก…
“พี่ฟี่อารมณ์ดีเชียวค่ะ ยิ้มแต่เช้าเชียว มีเรื่องดีๆ อะไรรึเปล่า”
“อ๋อ คิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อยน่ะจ้ะ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวพี่ไปเปิดประตูก่อนนะ” เสียงออดหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ผมหาเรื่องแก้เขินที่โดนจับได้ว่าแอบยิ้มพอดี…
“ฟี่!! กินข้าวยัง… พายซื้อข้าวเช้ามาฝากเพียบเลย มีทั้งหมูปิ้ง น้ำเต้าหู่ ปาท่องโก๋ โจ๊ก ข้าวหมูแดง ก๊วยเตี๋ยวหลอด ขนมจีบด้วย” เสียงเพื่อนสนิทผมเจื้อยแจ้วทันทีที่เปิดประตูไปเจอ ปากก็สาธยาย ข้าวของที่ซื้อมาฝากอย่างเต็มไม้เต็มมือ ซึ่งไม่ใช่มือเพื่อนผมแน่นอน มันก็ต้องอยู่ในมือไอ้ผัวทาสอย่างไอ้ริวอยู่แล้ว ว่าแต่… แล้วเพื่อนมันไม่มาหรือไงวะ ปกติมันไม่ใช่คนตื่นสาย แม้จะนอนดึกแค่ไหนไอ้แจ็คก็จะต้องตื่นเช้าขึ้นมาซ้อมเบสทุกวัน มันเป็นกิจวัตรของมันที่ผมค่อนข้างชื่นชม… มันเคยบอกผมว่า ดนตรีไม่ใช่นึกจะเก่งก็เก่งเอง ถ้าไม่ซ้อมต่อให้ดื่มแบรนด์สักสิบลัง ก็ไม่ได้ช่วยให้เล่นเก่งขึ้นมา แถมไก่ดำเป็นร้อยๆ ตัวที่นอนตายในท้องอาจจะมาเข้าฝันหลอกหลอนมันก็ได้…อืม นี่แหละความคิดของคนอย่างไอ้เหี้ยแจ็ค…
“เข้าไปทักทายกันในห้องสิครับ…ข้อนิ้วกูจะหลุดอยู่แล้วโว้ย” ถ้าไม่เห็นแก่อาหารที่มันหิ้วอยู่ กูจะถีบปากมึง
“อ่อนแอ!!” เสียงพายหันไปด่าแฟนมันอย่างชัดถ้อยชัดคำ… ไอ้คู่นี้ก็นะ มันจะคุยกันดีๆ แบบคนรักพึงปฏิบัติกันไม่ได้หรือไง แต่เห็นแบบนี้ มันก็รักกันดี ไม่มีทะเลาะกันแบบจริงๆ จังๆ เลย
ผมเปิดประตูออกกว้าง และเบี่ยงตัวหลบให้แขกผู้มาเยือนทั้งสองเดินเข้าห้องไปอย่างสะดวก… ในใจก็พยายามหายใจเข้าลึกๆ และผ่อนลมออกช้าๆ ผมไม่รู้ว่าพายจะงอนไหม ที่ผมไม่ยอมบอกเรื่องน้องพาย เพราะพายมันไม่ชอบคนโกหก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีเรื่องไม่ดี พูดแล้วจะทำให้คนฟังรู้สึกดีหรือแย่ พายก็ไม่เคยโกหก มันพูดทุกๆ คำที่ควรจะพูด และเป็นความจริง… แม่งกูลุ้นซะยิ่งกว่าดูมวยโอลิมปิกอีก
“สวัสดีค่ะพี่พาย… อ๊ะ… พี่ริว!!! สวัสดีค่ะ ดีใจจังเลยได้เจอพี่ริว เทอมินัลตัวจริงด้วย” น้องพายแสดงสีหน้าดีใจสุดชีวิต ต่างกับเพื่อนซี้และแฟนเพื่อนซี้ ไอ้สองคนนี้เบิกตากว้างและหันควับมาจ้องผมด้วยสายตาคาดคั้นแบบพร้อมๆ กันโดยมิได้นัดหมาย ให้ตายเหอะ พวกมึงนี่มันอุปทานหมู่คู่กรรมชัดๆ
“ฟี่!!!!!!!” เสียงพายที่ดังรอดตามไรฟัน พร้อมกับตาวาวๆ ที่ส่งมาถึงผม ดูแล้วขนลุกขนชันพิลึก
“เอ่อ…”
“…กูว่าไปกินข้าวกันก่อนดีกว่านะ เมื่อกี้บ่นหิวไม่ใช่เหรอมึง กินอิ่มแล้วค่อยคุยกันเถอะนะดาร์ลิ้ง สูดลมหายใจลึกๆ เข้าไว้ และแดกให้หายโมโห เอ๊ย หายหิว ไปๆ” วันนี้กูรักมึงมากริว ไอ้ริวคงเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยน่าไว้วางใจ จะพูดให้ถูกก็คือ มันคงรู้จักแฟนมันดีว่าท่าทางแบบนี้หมายความว่าพร้อมจะเหวี่ยงทุกสิ่งที่ขวางหน้า แล้วคนที่จะโดนก่อนเพื่อนคือผมแน่ๆ
“พี่พายไม่สบายเหรอคะ หรือว่าเป็นโรคกระเพาะ งั้นพี่ริวส่งถุงอาหารมาให้น้อยพายเลยค่ะ น้องพายจะจัดใส่จานให้ จะได้เริ่มทานกันเร็วๆ เดี๋ยวพี่พายปวดท้อง…” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยส่งออกมาพร้อมสีหน้ากระตือรือร้นของน้องพาย นี่ล่ะน้าน้องพายก็ยังคงเป็นน้องพายอยู่เสมอ มองโลกในแง่ดี ร่าเริง และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง…
“พี่ช่วยแล้วกันครับจะได้เสร็จเร็วๆ” อ้าวฉิบหาย มึงทิ้งกูเลยนะเหี้ยริว… ไอ้ริวอาสาไปช่วยน้องพายจัดโต๊ะอาหารในแพนทรี่ ก่อนไปมันหันไปยักคิ้วให้พายทีนึง ส่วนไอ้เพื่อนซี้ผมก็พยักหน้าตอบแฟนมัน… นี่พวกมึงกะจะวางแผนรุมอะไรกูรึเปล่าวะเนี่ย
“ไม่คิดจะบอกเราสักนิดใช่ไหมเรื่องน้องพายมาเนี่ย” ลับหลังคนทั้งคู่ที่เข้าครัวไป พายก็เปิดฉากด้วยน้ำเสียงตัดพ้อทันที
“คือ…”
“หรือเดี๋ยวนี้เรามันไม่ใช่เพื่อนสนิทกันแล้ว… การที่พายมีแฟน ไม่ได้หมายความว่าพายจะต้องเลิกสนิทกับฟี่นะ หรือฟี่ไม่ได้คิดแบบนั้น… ใช่สินะ ฟี่มีแจ็คเป็น ‘เพื่อนสนิท’ คนใหม่แล้วนี่ พายก็คงหมดความหมายแล้วล่ะ” เรื่องเกทับบลัฟคนให้รู้สึกผิดเนี่ย พายมันเก่งโคตร!
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะพาย! พายก็ยังเป็นเพื่อนสนิทฟี่อยู่เสมอ… แต่เรื่องนี้ คือ…ยังไงดีล่ะ ก็เราไม่อยากให้พายกังวลไปกับเรา พายเพิ่งจะมาเหนื่อยๆ ไหนจะเรื่องเตรียมงานคอนเสิร์ตอีกล่ะ แล้วน้องพายก็มาแค่อาทิตย์เดียว เดี๋ยวเค้าก็กลับอเมริกาแล้ว”
“แจ็ครู้เรื่องนี้ไหม?”
“ก็… ก็ต้องรู้สิ เพราะมันเป็นเจ้าของห้องนี้ เราต้องขออนุญาตมันก่อนจะพาน้องพายมาพัก”
“แล้วแจ็คว่ายังไงบ้าง”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร… มันอนุญาต”
“แล้วแจ็คไปไหน ทำไมต้องกลับไปนอนบ้าน แล้วทำไมต้องฝากไอ้ริวให้มาเอาเสื้อผ้าด้วย ทะเลาะอะไรกันรึเปล่า” เฮือก! รู้สึกเหมือนกำลังโดนรีดความลับทุกๆ อย่างเลย ให้ตาย หายใจไม่ทันเลยจริงๆ บทพายมันจะโหด มันก็เล่นเอาซะผมไปไม่เป็น
“แม่มันให้กลับบ้าน มันไม่ได้กลับนานแล้ว… แต่เห็นมันบอกว่ามันจะเข้ามาเอาเองไม่ใช่เหรอเสื้อผ้าน่ะ” ก็ไหนตอนคุยในโทรศัพท์เหมือนจะรู้เรื่องกันดีแล้วไงวะ หรือว่ามันจะลืมบอกพาย
“แจ็คมันมาไม่ได้หรอก วันนี้มันมีถ่ายแบบกับ ‘กิ๊กเก่า’ มันไม่ได้บอกเหรอ” เรื่องที่มันถ่ายแบบไม่ได้ตกใจไปกว่าคำว่า กิ๊กเก่า… ขอบใจมากพาย ที่มาหย่อนระเบิดไว้ให้… เหี้ยอะไรของมันวะ เมื่อวานทำไมไม่เสือกพูดว่าจะไม่มา แล้วเรื่องถ่ายแบบมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่ศิลปินดังๆ อย่างพวกมันจะมีลูกค้าอยากได้ไปถ่ายแบบลงนิตยสาร แต่ไอ้กิ๊กเก่านี่แม่งใครวะ… ก็ไม่ได้จะหึงอะไรหรอก เก่าก็คือเก่า แต่มันก็อดหงุดหงิด ยุบยิบในใจไม่ได้
“เปล่านี่! ช่างมันเหอะ… หายโกรธเรารึยัง ดีกันเถอะนะ น้า! พายนะ” ค่อยๆ แก้ไปทีละเรื่องตอนนี้ง้อเพื่อนก่อนเว้ย
“เราไม่ได้โกรธเราน้อยใจ… สรุปว่า น้องพายมาขอคืนดีใช่ไหม” นี่เพื่อนผมเป็นหมอดูหรือว่าแอบติดกล้องเอาไว้รึเปล่า เดาแม่นซะ
“ไม่ต้องทำหน้าเหมือนว่าเรารู้ได้ยังไงหรอก… ของแบบนี้ใครๆ ก็เดาได้ทั้งนั้น แจ็คเองมันก็คงเดาได้เหมือนกัน คนสองคนเคยรักกัน จากกันทั้งๆ ที่ยังรัก ไม่ได้เกลียด ไม่ได้ทะเลาะกัน ทำไมจะไม่อยากกลับมาคืนดีกันล่ะ” โอ๊ย พาย จะต้อนให้เราอกแตกตายเลยใช่ไหม อืม ไอ้แจ็คมันก็คงรู้ล่ะมั้งว่าน้องพายมาขอคืนดี แต่มันก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้ผมรักใคร!
“แล้วพายคิดว่าเราตัดสินใจยังไงล่ะ”
“เรื่องนี้เราไม่กล้าเดาจริงๆ เพราะเราไม่รู้อะไรเลย… บางทีฟี่อาจจะกลับไปคบกับน้องอีกครั้งก็ได้ เพราะอีกไม่นานเราก็จะเรียนจบกันแล้ว ฟี่ก็บินไปอยู่กับน้องที่อเมริกา… ตอนนี้นอกจากครอบครัวแล้ว ฟี่ก็ยังไม่มีใครในใจไม่ใช่เหรอ? หรือมีแล้ว? หรือเรากำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่?” บีบให้มั่นคั้นให้ตายไปเลยพาย เอาหนักๆ เลย…
ผมถอนหายใจหนักหนึ่งครั้ง ก่อนจะตอบพายออกไปว่า…
“….เรามี ‘ใครคนนั้น’ แล้วล่ะพาย ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว”
“ขอถามอีกคำ… ‘ใครคนนั้น’ คือใคร” หมัดฮุกสุดท้ายเสยเข้ามาที่หน้าผมอย่างจัง…
“เราว่าพายรู้อยู่แล้วนะว่าใคร…” ผมเลือกตอบแบบนี้ดีกว่า เพราะผมเองก็ยังไม่รู้ว่าไอ้แจ็คมันอยากให้ผมพูดอะไรกับใครมากน้อยแค่ไหน เอาเป็นว่านี่เป็นคำตอบที่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วกัน…
“ทานข้าวกันได้แล้วค่ะพี่ๆ” เสียงน้องพายเจื้อแจ้วออกมาตามเราสองคน
บนโต๊ะอาหารไม่ได้มาคุอย่างที่คิด เพราะความร่าเริงช่างพูดของน้องพาย ประกอบกับคนง่ายๆ อย่างไอ้ริวที่คุยได้ทุกเรื่อง เลยทำให้บรรยากาศครื้นเครง… ส่วนเพื่อนซี้ผม ปกติจริงๆ แล้วพายเป็นคนเงียบๆ มันไม่ได้เป็นคนช่างพูด ถ้ากับคนที่ไม่สนิทมันจะยิ่งเงียบ แม้พายกับน้องพายจะเคยเจอกันบ่อยๆ ก็มาก่อนตาม แต่ก็ไม่ได้คุยกันมากนัก เพราะช่วงนั้นไอ้พายเองก็งานเยอะ แค่เจอหน้าก็ทักทายกันธรรมดา พายมันไม่ค่อยคุ้นกับการทำความรู้จักใครก่อน ยิ่งถ้าไม่รู้จักกันอย่าหวังว่ามันจะเอ่ยปากชวนคุย ไม่น่าเชื่อว่ามันเป็นศิลปินได้ยังไง สมัยก่อนข่าวเรื่องไอ้พายหยิ่งน่ะลงกันทุกฉบับ ทุกเว็บบอร์ด ผมว่าตั้งแต่มันคบกับไอ้ริวมันดีขึ้นเยอะมากแล้วนะ
“แล้วน้องพายกลับวันไหนเหรอครับ” ไอ้พายถามน้องพายขึ้นมาตอนที่ผ่านพ้นของคาวไปแล้ว และกำลังเริ่มต้นจิ้มปาท่องโก๋กับนมข้นกันอยู่
“อีกสองวันค่ะ…” น้องพายตอบไอ้พาย และหันมามองหน้าผมเศร้าๆ ผมทำได้ดีที่สุดก็แค่ส่งยิ้มกลับไป
“คิดถึงเมืองไทยไหม” ไอ้พายถามต่อ ก่อนจะหันไปบอกให้แฟนมันฉีกปาท่องโก๋ใส่แก้วโอวัลตินให้หน่อยเพราะขี้เกียจมือเลอะ
“คิดถึงค่ะ… คิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน… และก็… คิดถึงพี่ฟี่” สองพายหันมามองหน้าผมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พายคนน้องส่งยิ้มเศร้าให้ผมอีกครั้ง ส่วนพายคนพี่มันหลี่ตามองหน้าผมแบบจับผิด ประหนึ่งมันเป็นเมียหลวงที่กำลังมองดูพิรุธจากสามี สุดท้ายผมก็เลยมองไปที่ไอ้ริว มันก็เสือกยักคิ้วกวนตีนส่งมาให้ เหี้ย!
“งานนี้มีรีเทิร์นไหม” ตรงประเด็นเสมอเพื่อนกู เล่นเอาผมสำลักกาแฟ ส่วนไอ้ริวก็หลุดอุทานใส่เมียมันเบาๆ
“ตอนแรกก็หวังค่ะพี่พาย… แต่มันสายไปแล้วล่ะ… ตอนนี้พายก็เป็นน้องสาวของพี่ฟี่ แล้วพี่ฟี่ก็กำลังจะมีพี่สะใภ้ให้น้องพายใช่ไหมคะ” คราวนี้ไอ้สองคนผัวเมียสำลักโอวัลตินออกมาพร้อมๆ กัน ผมเองที่นั่งเท้าคางอยู่ก็เกิดอาการ ‘วืด’ แบบไม่รู้ตัวตามไป
“สะใภ้? ใครนะ? ไอ้แจ… อือ อะไอ ไอ้ อาย อิด อาก อู อำ ไอ” ผมไม่ได้ตกใจอะไรถ้าหากไอ้ริวมันจะหลุดปากชื่อไอ้แจ็คออกมา แต่อดขำพายไม่ได้ มันรีบยกมือไปอุดปากแฟนมันก่อนจะโพล่งชื่อเพื่อนซี้มือเบส
“พี่ริวก็รู้จักแฟนพี่ฟี่เหรอคะ เธอน่ารักไหมคะ”
“เอ่อ… ก็… เกรียน เอ๊ย กวน เอ๊ย ก็น่ารักดีมั้งครับ” ฮ่าๆๆ ไอ้บ้าเอ๊ย อยากให้แฟนเพลงมันมาเห็นหน้าพ่อนักร้องดังตอนนี้จริงๆ ไอ้หน้าตากลืนไม่เข้า คายไม่ออก พะอืดพะอมแบบนี้ สงสัยคงคิดภาพตามความน่ารักของเพื่อนมันอยู่
“เออ… กลับกันไหมมึง เดี๋ยวเราต้องไปแวะหาเซย์ด้วยไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวจะสายไปกว่านี้…” พายรีบตัดบท ท่าทางมันก็คงกลัวน้องพายถามถึงแฟนผมขึ้นมาอีก ผมรู้ว่าพวกมันรู้อยู่แก่ใจว่าผมคบกับไอ้แจ็คอยู่ แต่ในเมื่อผมไม่ได้พูดตรงๆ ออกมา พวกมันเองก็คงไม่อยากพูดอะไร
“ได้ๆ งั้นไปกันเลยดีกว่า อ่อ… เสื้อผ้าของไอ้แจ็คด้วยฟี่…” ผมแอบหงุดหงิดอีกครั้งที่ไอ้ริวทวงเอาของของไอ้แจ็คจากผม นี่สรุปไอ้เจ้าตัวมันจะไม่มาใช่ไหม เป็นเหี้ยอะไรอีกวะ
“เดี๋ยวไปหยิบให้”
วันนี้ทั้งวันผมไม่เป็นอันทำอะไรทั้งสิ้น หงุดหงิดจนแทบไม่อยากจะพบเจอใคร แม้แต่น้องพายเอง ผมก็ปล่อยให้เธอนัดเพื่อนมาเจอที่ร้านกาแฟใต้คอนโด เพียงแค่กำชับว่าอย่าบอกใครเรื่องที่มาพักกับผม และเรื่องที่ห้องนี้เป็นห้องของแจ็ควงเทอมินัล เดี๋ยวจะเป็นข่าวใหญ่โต แล้วตัวพายเองจะเสียชื่อเสียงที่มานอนค้างกับผู้ชาย
ตกเย็นเพื่อนน้องคงกลับไปแล้ว น้องพายเลยโทรขึ้นมาชวนผมไปทานข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารใกล้ๆ ถึงได้รู้สึกตัวว่านั่งจมอยู่กับกระดาษและดินสอมานานมากขนาดนี้… แอบตกใจตัวเองที่วาดรูปไอ้แจ็คออกมาเป็นสิบๆ อิริยาบถ นี่ผมท่าจะบ้าจริงๆ แล้วนะเนี่ย…
“พี่ฟี่คะ สรุปว่าพายจะได้เจอพี่สาวคนใหม่ไหมเนี่ย” น้องพายถามขึ้นระหว่างที่ผมกับเธอกำลังกินราดหน้าเจ้าอร่อยกันอยู่สองคน
“หะ…อ๋อ… ก็ เห็นเขายังยุ่งๆ อยู่น่ะ พี่ก็ไม่รู้ว่าเค้าจะว่างมาไหม” ยังไงซะวันนี้มันคงจะไม่โผล่มาแล้ว ไหนมึงบอกคิดถึงกูไง สัดเอ๊ย!
“ทะเลาะกันรึเปล่าคะ… ขอโทษนะคะที่พายถาม คือพายกลัวว่าจะทะเลาะกันเพราะพาย”
“…ไม่หรอก อย่าคิดมากเลย เค้าเข้าใจ แต่นี่คงติดงานจริงๆ” ท่าทีผมดูออกเหมือนคนทะเลาะกับแฟนขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย น้องพายถึงได้ทัก
“แฟนพี่ฟี่ยังเรียนอยู่ หรือทำงานแล้วคะ”
“…เรียนด้วยทำงานไปด้วยน่ะ”
“ว้าว… เป็นผู้หญิงเก่งจังเลยนะคะ ต้องทั้งเรียนทั้งทำงาน คงจะเหนื่อยน่าดู ถ้าพี่เค้าไม่ว่างมาเจอก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วก็ ถ้าไม่ทะเลาะกัน พายก็ดีใจแล้ว… พายอยากเห็นพี่ฟี่ยิ้มเยอะๆ นะ” ถ้าผมไม่มีมัน ผมคงต้องกลับไปหลงรักเธออีกครั้งแน่ๆ ก็ได้แต่ภาวนาให้เธอได้พบเจอคนดีๆ ที่รักเธอจริง ดูแลเธอได้ และอยู่กับเธอไปนานๆ
“ยิ้มพอไหม” ผมแกล้งฉีกยิ้มกว้างให้น้องพาย
“เย้! แบบนี้แหละค่ะ พี่ฟี่ยิ้มน่ารักที่สุดในโลกเลย” น้องพายก็ยิ้มน่ารักที่สุดในโลกเหมือนกันจ้ะ สาวน้อยของพี่ฟี่
……………………….
……………………….
“ฮัลโหลที่รัก ว่าไงจ๊ะ” ล่วงเข้าวันใหม่ไปกว่าหนึ่งช่วงโมง ผมก็ยังนอนไม่หลับ สุดท้ายแพ้ใจตัวเองต้องกดโทรศัพท์ไปหาไอ้ตัวต้นเหตุ แล้วดูมันรับและพูดนะ ทำเหมือนไม่มีห่าอะไรเกิดขึ้นเลย
“ทำไมมึงไม่มาวันนี้” ผมลุกขึ้นเดินไปเปิดระเบียงห้องมัน จัดการหนีบโทรศัพท์ไว้แนบหู แล้วลงมือจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบแก้เซ็ง
“อ้าว กูบอกเหรอว่าจะไป… ที่รักฟังผิดเองม้างงงง…” แค่เสียงของมันก็ทำให้นึกถึงหน้าคนพูดที่ลอยหน้าลอยตากวนบาทาได้เป็นอย่างดี เออ… กูมันคงโง่เอง ที่คิดเข้าข้างตัวเองว่ามันจะมา
“………………………..” ผมเลือกที่จะเงียบ จริงๆ ก็ไม่รู้จะโต้ตอบอะไรมันดี คนอย่างไอ้แจ็คยิ่งถ้าเราเต้นไปตามความกวนส้นตีนของมัน มันจะยิ่งไม่หยุด แล้วคนที่มีความสุขที่สุดก็จะเป็นมัน
“โถๆๆๆๆ งอนเลยเหรอคนดีของพี่… พี่แจ็คบอกแล้วว่าพี่แจ็คติดงานนี่นา เดี๋ยวอีกสองสามวันพี่แจ็คจะกลับไปให้กอดนะจ๊ะ” นอกจากจะชอบเรียกตัวเองว่าน้องแจ็คเวลาอ้อนแล้ว เวลากวนตีนมันก็ชอบเรียกตัวเองว่าพี่แจ็คเช่นเดียวกัน
“…………………………..” ผมยังคงพ่นควันต่อไปอย่างไม่ใส่ใจน้ำเสียงกวนๆ ที่ลอยลอดออกมาจากโทรศัพท์ ท้องฟ้าคืนนี้แดงก่ำ จนเดาได้ว่าอีกไม่นานพระพิรุณคงประทานพรลงมาเป็นแน่แท้
“นี่นาย… สูบบุหรี่อยู่ใช่ไหม… อย่าสูบในห้องนอนกูนะเว้ย” สรรพนามเรียกขานเปลี่ยนไปตามความต้องการของคนพูด ถ้าใครไม่รู้จักมัน ก็คงมึนๆ กันบ้าง แต่กับผมที่ใช้ชีวิตอยู่กับมันมาพักใหญ่ เลยไม่ค่อยใส่ใจว่ามันจะเรียก หรือแทนตัวเองว่าอะไร บางเรื่องของไอ้แจ็คถ้าเก็บมาใส่ใจมากๆ จะประสาทกินเข้าสักวัน…
“…………………………..” บุหรี่ที่คาบไว้เผาไหม้ใกล้หมดมวน อาจเพราะลมที่ค่อนข้างแรง ประกอบกับผมอัดแรงๆ อยู่สองสามรอบ ควันบุหรี่สีเทาคลุ้งอยู่ไม่นานก็จางหายไป ผิดกับคนทางปลายสายที่ควันของอามรณ์เริ่มขุ่นมัวเพิ่มขึ้น… คืออย่างนี้ครับ ไอ้แจ็คมันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ ไม่ใช่ว่ามันไม่เคยสูบ หรือแพ้ แต่มันโรคจิต มันไม่ชอบให้ห้องนอนหรือเสื้อผ้า เครื่องใช้มีกลิ่นบุหรี่ติด มันบอกว่าตอนที่สูบออกมาใหม่ๆ มันไม่เหม็น แต่พอควันมันไปจับตัวกับเนื้อผ้า หรือผสมกับอากาศจากเครื่องปรับอากาศ นั่นแหละคือกลิ่นที่มันทนไม่ได้ ผมเองเลยมีโซนดูดบุหรี่ของตัวเองในระเบียงห้องกลาง และดูดเสร็จใหม่ๆ ผมจะไม่เดินเข้าห้องนอนของมัน ไม่งั้นไอ้คนย้ำคิดย้ำทำอย่างไอ้แจ็คมันจะบ่นอยู่นั่น บ่นจนอยากจะเอาแอลกอลฮอลมาล้างปากตัวเองซะให้รู้แล้วรู้รอด
“เฮ้ย… นี่อย่าบอกนะว่าดูดอยู่ที่ระเบียงห้องนอนกู” แหม… แม่นเหมือนตาเห็น… เห็นมันหงุดหงิดแล้วก็พาลให้อารมณ์เดือดๆ ของตัวเองลดลงเกือบหมด…
“เออ! กูว่าจะไม่บอกแล้วเชียวว่าดูดในห้องมึง…”
“อย่ากวนตีนฟี่ ดับบุหรี่ซะ” หึ ไอ้สัด ที่ตัวเองกวนตีนคนอื่นเขา ยังไม่เคยคิดจะเพลาๆ ลงบ้างเลย ทีอย่างนี้มาทำเสียงเข้มใส่ กูกลัวตายห่า
“กูไม่ดูดในห้องมึงก็ได้ แต่กูจะอมควันไปพ่นใส่ตู้เสื้อผ้า เตียงนอน หมอน ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดเบส แอร์ พ่นแม่งให้คลุ้งทั้งห้องเลยสัด! ขอบใจที่อยู่คุยเป็นเพื่อนตอนดูดบุหรี่ ฝันดี!” แล้วผมก็กดตัดสาย และเพื่อป้องกันความกวนส้นตีนของมัน ผมรีบปิดเครื่อง พร้อมวิ่งไปยกหูโทรศัพท์บ้านออกทันที ดี… อยากกวนตีนกูนัก มึงเจอกูบ้าง… ไม่อยากกลับห้องใช่ไหม กูจะดูดบุหรี่ให้หมดคอต อัดแม่งให้อยู่ในห้องนอนมึงนี่แหละ!
………………………..
……………………….
วันนี้เป็นวันที่น้องพายต้องเดินทางกลับอเมริกา ความรู้สึกของครั้งนี้ไม่หนักหน่วงเท่าครั้งแรกที่ต้องจากกัน ผมเศร้าที่ผมดูแลเธอไม่ได้ แต่ผมไม่เคยเสียใจที่ได้รักเด็กผู้หญิงคนนี้ ผมอยากเก็บรอยยิ้มนี้ไว้ให้นานที่สุด ผู้หญิงอย่างพายไม่เหมาะกับน้ำตา…
“พาย พี่ขอโทษ พี่…”
“พอแล้วค่ะ พายบอกแล้วว่าไม่ต้องขอโทษ พี่ฟี่ไม่ผิดสักหน่อย…” ผมดึงผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าเข้ามากอดแน่น ผมรู้ว่าพายเจ็บไม่ต่างจากครั้งแรกที่เราจากกัน นี่เป็นการจากแบบเจ็บอีกครั้ง พายพยายามทุกอย่างที่จะมาเจอผม แต่ก็กลับไปพร้อมความเจ็บปวดและผิดหวัง แทนที่จะเป็นรอยยิ้มแห่งความสุข แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังยิ้มตาหยีให้ผมเหมือนวันวาน ถ้าจะมีสักครั้งในชีวิตที่ผมจะตอบแทนอะไรเธอได้ ผมสัญญาว่าผมจะทำอย่างไม่รีรอเด็ดขาด…
“พี่ฟี่สัญญากับพายนะ ว่าจะไม่โทษตัวเอง… พี่ฟี่ต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ” เสียงน้องพายยังคงอู้อี้อยู่ตรงอกผม
“พี่สัญญา… พายก็เหมือนกัน ต่อไปนี้ต้องยิ้มทุกวัน ไม่ร้องไห้อีกแล้วนะ” ผมยกมือขึ้นมาลูบหัวน้องน้อยในอ้อมกอดเบาๆ ถ่ายเทน้ำหนักแห่งคำสัญญาซึ่งกันและกัน
“ยิ้มพอมะ!” เธอผละตัวออกจากอกผม ก่อนจะส่งยิ้มตาหยีอย่างเคย แต่ครั้งนี้กว้างขึ้นอย่างจงใจ แล้วผมจะอดไม่ยิ้มตามเธอได้อย่างไร ต่อให้ยิ้มนี้จะไม่ได้ยิ้มทั้งปากและตาเหมือนวันวาน แต่อย่างน้อยครั้งนี้ เราก็จากกันด้วยรอยยิ้ม…
“พอจ้า!! ได้เวลาต้องเข้าเกทแล้วล่ะ… พี่ส่งตรงนี้นะ เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ… ” คงอย่างที่เนื้อเพลงได้บอกไว้… ‘ส่งไกลแค่ไหน เราก็ต้องลาอยู่ดี’
“ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่พี่ฟี่ทำเพื่อพาย ขอบคุณที่รักพาย ดูแลตัวเองนะคะ ถึงแล้วจะส่งเมลมาบอกนะคะพี่ชาย… สวัสดีค่ะ” ตั้งแต่เจอกัน คบกันเป็นแฟน จนตอนนี้เลิกกัน ทุกครั้งที่เราต้องลา น้องพายมักจะยกมือขึ้นไหว้ผมเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน… ผมเสียคนรักเก่าไป แต่ผมเพิ่งได้น้องสาวเพิ่มขึ้นมาแทน… แค่นี้ก็คุ้มแล้ว!
‘ดูแลตัวเธอเองให้ดี จากนี้ไม่มีฉัน
เจอใครยังไงไม่สำคัญ อย่าลืมกันก็พอ
จากนี้ไปคงไม่ต้องรอ แค่สิ่งเดียวที่จะขอ ครั้งสุดท้าย
ไม่อยากเป็นคนต้องบอกลา แค่คิดฉันก็ยิ่งปวดใจ
เก็บเอาความรู้สึกดีๆ ส่งเธอเลยตรงนี้จะได้มั้ย
ส่งไกลแค่ไหนเราก็ต้องลาอยู่ดี
ก่อนเราจากกันฉันควรจะหยุดเท่านี้
น้ำตาที่มี ให้เธอโชคดี ให้เธอปลอดภัย ทุกอย่าง
จะส่งที่ไหน ฉันคิดว่าคงไม่ต่าง ยังไงก็เจ็บเหมือนกัน’ สามทุ่มกว่าๆ ผมนั่งรถไฟฟ้าสายด่วนจากสนามบินแห่งชาติมาลง ณ จุดเดิมของตอนขาไป และด้วยความที่ยังไม่อยากกลับไปอยู่คนเดียวที่ห้องตอนนี้ ผมเลยโทรหาไอ้จอมว่ามันตั้งวงกันที่ไหนรึเปล่า จะได้ไปแจม… แล้วก็ไม่ผิดหวัง พวกเหี้ยจอมมันแดกเหล้าเป็นงานหลัก เรียนหนังสือเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว สถานที่ก็เดิมๆ บ้านไอ้จอม ผมก็เลยแวะตลาดโต้รุ่งใกล้บ้านมันก่อนเพื่อซื้อพวกสะเบียงกับแกล้มเพิ่ม อย่างน้อยแดกเหล้าฟรีก็ควรจะมีกับไปเส้นเจ้าของบ้านสักหน่อย…
“ไปไงมาไงถึงโผล่มาแดกเหล้า เมายาดองกับพวกกูได้วะ” ไม่มีหรอกยาดองน่ะ มีแต่ฮันเดรด กับหงส์ แต่ไอ้จอมมันคงพูดให้คล้องจองกันไปอย่างงั้น วันนี้วงเหล้าประกอบไปด้วยไอ้จอม ไอ้เพิ่ม ไอ้เสก และไอ้มิ่ง ไอ้สี่คนนี้เป็นแก็งค์เฮไหนเฮนั่นของผม จริงๆ ถ้าอยู่ที่มหาลัยก็มีพายเพิ่มมาอีกคน… พวกมันนั่งล้อมวงกันหน้าโทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่ที่กำลังถ่ายทอดฟุตบอลยุโรปอยู่ตอนนี้
“ก็ไม่ไง ปกติกูก็มาแดกกับพวกมึงบ่อยๆ เป็นเหี้ยอะไรขึ้นมาเสือกถามเอาวันนี้” ผมรับแก้วเหล้าผสมน้ำอย่างที่กินประจำจากมือไอ้เพิ่ม มือชงเหล้าประจำกลุ่มที่มันจำได้หมดว่าใครกินผสมอะไรบ้าง ผมไม่ชอบโซดา กินได้บ้าง แต่กินมากแล้วท้องอืดทำให้ประสิทธิภาพในการเสพเหล้าลดลงอย่างน่าใจหาย… ยกขึ้นจิบนิดๆ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบถั่วลิสงคั่วเข้าปาก
“เมื่อก่อนน่ะปกติ แต่เดี๋ยวนี้มึงไม่ค่อยมาแดกเหล้ากับพวกกูเลย แล้ววันนี้อยู่ดีๆ ก็เสือกโทรมาบอกว่าจะแดกเหล้าด้วย กูก็เลยแปลกใจ” จริงสินะ… ตั้งแต่คบกับไอ้เหี้ยนักดนตรีนั่น ผมก็ไม่ค่อยได้มาค้างอ้างแรมร่ำสุรากับพวกเพื่อนในกลุ่มสักเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน มันแค่เคยพูดเฉยๆ ว่าไม่อยากให้ผมไปเมาข้างนอกบ่อยๆ จริงๆ ก็เคยเถียงมันนะ แต่มันก็เสือกกวนตีนตอบว่า
‘เดี๋ยวเมียพี่แจ็คเกิดไปจับใครปล้ำตอนเมาขึ้นมา พี่แจ็คก็ต้องเสียเมียให้ไปเป็นผัวชาวบ้านเค้าน่ะสิ พี่แจ็คก็เป็นหม้ายพอดี’ ผมเลยเลิกต่อล้อต่อเถียงกับมัน แล้วก็พยายามไปค้างที่อื่นน้อยลง ถ้าจะกินเหล้าก็พยายามไม่ให้เมามาก และกลับมานอนห้องเสมอ…
“ไม่ทำไมหรอก… ช่วงก่อนๆ เบื่อๆ เหล้าว่ะ วันนี้เปรี้ยวปากอยากแดก” ตอบเลี่ยงๆ ไป ก่อนจะกระดกเหล้าหมดแก้ว แล้วส่งกลับไปให้ไอ้เพิ่มช่งต่อ
“มึงมีเมียใหม่เหรอวะ…” ดีนะที่แก้วเหล้ายังอยู่ในมือไอ้เพิ่ม ถ้ากำลังจ่ออยู่ที่ริมฝีปาก งานนี้คงมีพุ่งกันบ้าง
(ต่อด้านล่างค่ะ)