ตอนที่ 5เป็นตอนพี่ดินสองตอน เพื่อความยุติธรรม ตอนนี้ยกให้คุณชายเค้าไปก็แล้วกันนะ อิอิ
ควันบุหรี่พวยพุ่งเหนืออากาศไม่รู้กี่มวนต่อกี่มวนแล้ว ยังแปลกใจตัวเองไม่หายทำไมต้องมารู้สึกหงุดหงิดไร้สมาธิทำงานเพียงเพราะเด็กคนเดียวที่เพิ่งได้กดไป ไม่โวยวายไม่เรียกร้องและไม่อะไรทั้งนั้น มันควรจะเป็นเรื่องดีแต่ทำไมต้องใช้บุหรี่ดับความสงสัยจนใกล้จะหมดซองอยู่แบบนี้วะ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาเหมือนระฆังช่วยชีวิต มัวแต่จมปลักอยู่กับเรื่องนี้จนจะควักสมองออกมาเขี่ยหาคำตอบอยู่พอดี
“สวัสดีครับท่านประธาน ได้ข่าวว่าเมื่อคืนมึงเมาเหมือนหมาเลยเหรอวะ”
“เออ โทรมาเพื่อจะเยาะเย้ยกูแค่นี้หรือว่ามีอะไรมากกว่านั้น”
“คุยกับกูที่เคารพทำไมน้ำเสียงมึงเหมือนกินรังแตนมาแบบนี้หละ หรือว่าเมื่อคืนไม่ได้หยิบใครติดไม้ติดมือไประบายอารมณ์ ตั้งแต่ไม่มีกรมึงเก็บกดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
เหมือนเพื่อนเวรมันยิงลูกศรมาตรงใจกลางความเจ็บปวดแบบพอดีๆ ยิงปืนนัดเดียวแต่ได้ปวดใจสองต่อ
“พ่อมึงสิ ว่างเหรอไม่อยากแก่ตายถึงได้ชวนกูคุยเรื่องนี้”
“เพื่อนภูครับ มึงไม่เคยได้ยินเหรอว่าเกลือมันต้องจิ้มด้วยเกลือมันถึงจะหาย ถ้ามึงเจ็บมันก็ต้องย้ำที่เดิมซ้ำๆเว้ย เข้าใจมั้ย”
“ไม่เข้าใจ กูไม่เคยได้ยินเกลือจิ้มเกลือกูเคยได้ยินแต่มะม่วงจิ้มเกลือ”
“ขากถุย ไอ้หัวอกกลัดหนองเอ้ย ทำมาเป็นพูดดี มึงแอบซับน้ำตาอยู่ใช่มั้ยหละ”
“ป่าว กูไม่ปัญญาอ่อนขนาดนั้นหรอก กูว่างเลยหยิบปืนมาขัดลำเล่นๆอะ”
“มึงเล่นแรงหวะ กูจะโทรมาถามว่า คืนนี้ที่ไหนดีวะ”
“กูไม่ได้คิดเลยหวะ เบื่อๆ คงจะนั่งทำงาน”
“นี่มึงปลงสังขารแล้วเหรอวะ อะไรกัน มึงไปอีกวันบริษัทมึงก็ไม่ทรุดหรอกหวะ”
“เออกูรู้ แต่กูเบื่อ ไม่รู้สิ ไม่อยากเมาไร้สติแล้วอ่ะ เดี๊ยวมีปัญหาอีก” และเป็นปัญหาที่ได้คิดมากอยู่เนี่ย
“เดี๋ยวมีอีก.....กูประมวลผลได้ว่ามันเคยเกิดขึ้นแล้ว เรื่องอะไรวะ”
“ไอ้ห่าแก๊ก เมียมึงไม่ให้เอาเหรอว่ะถึงได้งุ่นง่านระรานเพื่อนแบบนี้”
“เมียไม่ให้เอากูก็ยัดเยียดเข้าไปจนได้แหละเว้ย ภู นี่มันก็นานแล้วนะ เมื่อไหร่มึงจะหาครูมาสอนน้องแสนดีสักทีวะ”
“เออ กูก็กลุ้มเรื่องนี้เหมือนกันหวะ กูเองตั้งแต่ต้องมารับผิดชอบบริษัทนี่ก็ไม่ค่อยจะได้ไปหาแสนดีเลยหวะ”
“มึงอย่าๆ บริษัทคือข้ออ้างหวะภู เหตุผลคือมึงมัวแต่เอาหน้าซุกตู้เย็นอยู่อะดิ”
“ไอ้ห่าแก๊ก มึงยังมีหน้ามาอ้าปากวอนตีนกูอีกนะ ถ้ามึงว่างก็เข้ามากูมีเรื่องจะปรึกษา”
“ด้วยความยินดีครับเพื่อน รับรองกูมาตรฐานเดียวกับ KFC ไม่เกินครึ่งชั่วโมงไปถึงถ้าเกินเวลามึงได้กินฟรี โอเคมั้ย”
“เออ รำคาญมึงจริงๆ คิดผิดคิดถูกวะที่ให้มึงมา”
“ถึงมึงห้ามกูก็ไปหามึงอยู่ดีอ่ะ ชินไว้ๆ แค่นี้นะ”
“เดี๋ยว”
“มีอะไรอีก”
“แวะซื้อโทรศัพท์มาให้กูสักเครื่องนึงสิ”
“มึงจะใจป๋าเอาไปแจกใครวะ”
“เออน่า กูบอกให้ซื้อมาก็ซื้อมาสิวะ”
ตัดสายเพราะกลัวมันจะซักอะไรไปมากกว่านี้ จริงๆเรื่องโทรศัพท์ก็เพิ่งจะคิดได้แบบกะทันหัน เพราะอะไรถึงได้คิดไปถึงโทรศัพท์ เพราะไอ้เปี๊ยกนั่นมันปิดกั้นการติดต่อและการรับรู้ทุกทิศทาง มันยอมไปส่งผมที่รถเพียงเพราะไม่อยากให้ผมได้รู้จักกับบ้านมัน จากคนที่ต้องอยู่ฝ่ายปฎิเสธกลายเป็นคนที่ต้องวิ่งตามเพื่อรับผิดชอบเหรอวะ ชีวิตมึงยังวุ่นวายไม่พอเหรอวะภู
พ่อตายแฟนทิ้ง จากวัยรุ่นธรรมดาๆเฮไหนเฮนั่นตามเพื่อน ต้องกลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาจับตอนอายุย่างยี่สิบสี่แบบนี้นี่หว่า จากที่คิดว่าเพราะมีคู่คิดข้างกายปัญหาแค่ไหนก็คงจะก้าวข้ามมันไปจนได้ ผลสุดท้ายคือถูกทิ้ง
เข้าใจสภาพของคนที่ติดเกาะร้างเลยว่ารู้สึกยังไงเงียบเหงาว้าเหว่และหวาดกลัวแค่ไหน เหมือนไอ้เปี๊ยกนั่นเติบโตในสิ่งแวดล้อมแบบนั้นรอดพ้นอบายมุขมาได้ยังไง แล้วความเข้มแข็งมันเอามาจากไหนนักหนา ขนาดว่าโดนผมทำถึงขนาดนั้นมันยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเคยมีความทุกข์กับเขาบ้างมั้ย
นี่สุดท้ายผมก็วกกลับไปคิดถึงไอ้เปี๊ยกนั่นอีกแล้วเหรอ......นี่ผมเป็นอะไรมากหรือปล่าววะ
กองเอกสารมากมายที่กองอยู่บนโต๊ะสูงท่วมหัว เป็นเอกสารที่ผมจำเป็นต้องเรียนรู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่ดีๆต้องพลิกบทบาทมาเป็นหัวหน้าครอบครัวไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ ผมไปไม่เป็นเหมือนกัน พนักงานบางคนแก่กว่าพ่อจะอ้าปากสั่งงานแค่ละครั้งต้องกลืนน้ำลายแล้วกลืนน้ำลายอีก ชีวิตละครน้ำเน่าโดยสมบูรณ์แบบ
เมื่อสามเดือนที่แล้วมีข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ นักธุรกิจใหญ่เครื่องบินส่วนตัวตกขณะไปพักผ่อนที่รีสอร์ทกับเพื่อน ข่าวที่ทำให้ผมเป็นลมทั้งยืนแล้วต้องฟื้นมาเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดให้ได้เพียงชั่วข้ามวัน เรื่องร้ายๆกำลังจะกลายเป็นดี ชีวิตผมเหมือนถูกจับถ่วงลงไปในหลุมดำอีกครั้ง เมื่อกรมาบอกว่าที่บ้านรับไม่ได้ถ้าลูกชายจะมีคู่ชีวิตเป็นผู้ชายด้วยกัน ถ้าจะต้องเลือกเค้าขอเลือกครอบครัว กรหักดิบตัดขาดการติดต่อกับผมทุกวิถีทาง ข่าวสุดท้ายที่ผมหาได้ คือเราสองคนอยู่ห่างไกลกันคนละซีกโลกแล้ว
ภูตะวันริบหรี่จวนจะมอดดับไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
เสียงเคาะประตูห้องบ่งบอกว่ามีคนมาหา ไม่ต้องถามให้มากความว่าใคร เพราะคนที่มาพบโผล่หน้ายิ้มแป้นมาให้เห็นตั้งแต่เสียงเคาะสุดท้ายเงียบไปแล้ว มาถึงก็โยนถุงของฝากมาตรงหน้า แฟ้มเอกสารหล่นไปหลายสิบแฟ้ม
“ไอ้ห่าแก๊ก โทรศัพท์เครื่องไม่กี่พัน แต่งานกูหลักล้านนะมึง ไอ้สันดาน”
“อ้าว ก็เล็งเป้าหมายตรงที่ว่างๆแล้วนะ ทำไมมันไปโดนแฟ้มงานมึงได้หละ เอาน่าภูมึงทำงานจนตีนกามึงเท่าตีนไก่อยู่แล้วนะ”
“กูไม่ได้เครียดเรื่องงาน”
“โอ้ว เรื่องงานร้อยล้านพันล้านมึงไม่เครียดแล้วมึงเครียดเรื่องอะไรวะ เรื่องเมีย”
“เรื่องนั้นก็ไม่ใช่”
“เฮ้ย ไหนมึงบอกคนนี้รักมากรักแทบขาดใจ มึงทำใจได้แล้วเหรอวะ”
“ยัง”
“ภูตกลงนี่มึงยังสติดีอยู่ไหม”
“เออ กูไม่ได้เป็นอะไร แต่พอดีมีเรื่องอื่นลัดคิวมาให้คิดหวะ”
“เรื่องอะไรวะ”
“เมื่อคืนกูเผลอกดเด็กไร้เดียงสาเข้าไปหวะ”
“มึงจะบอกกูว่าได้ฉลองพรมใหม่”
“เออ”
“แล้วไม่ดีตรงไหนวะ มีอะไรให้ต้องคิดมาก”
“ก็เด็กที่กูกดไม่ใช่เด็กขาย แล้วเป็นคนที่เอากูมาส่งบ้านด้วยหวะ”
“เค้าเรียกค่าเสียหายจนทรัพย์สินที่มึงมีขายทอดตลาดหมดแล้วยังไม่พอเหรอวะ”
“ป่าว เค้าไม่เรียกร้องอะไรเลย ไม่พูดถึง ไม่โวยวาย”
“แล้วเค้าหน้าตาผ่าน QC มั้ยวะ”
“เค้าก็หล่อดี ผอมตัวกระเปี๊ยกเดียวกูสะกิดก็กระเด็นแล้ว” แต่ปากร้ายฉิบหาย เถียงคำไม่ตกฟากอันนี้ทดเก็บไว้ในใจให้ไอ้เพื่อนเวรมันไปเจอด้วยตัวเอง
“อ้าว แล้วมึงกลุ้มใจเรื่องอะไร เรื่องพรากผู้เยาว์เหรอวะ”
“กูก็ไม่รู้ว่ากลุ้มใจเรื่องอะไร ไม่ได้คิดถึงเรื่องพรากผู้เยาว์เสียด้วยซ้ำ”
“แล้วไม่ดีเหรอวะ ก็แล้วกันไปมึงได้กินเด็กฟรีๆไม่เสียอะไร แล้วมึงจะมานั่งกลุ้มใจทำหอกอะไรวะภู”
“กูไม่เคยเจอแบบนี้มั้ง คงเจอแต่ปลิงมาจนชินพอมาเจอของแปลกเข้าไปเลยเสียจริต”
“ไอ้บ้า แค่เรื่องครอบครัวกับเรื่องกร มึงยังเครียดไม่พอ อยากต่อเนื่องเลยหาเรื่องเครียดต่อเหรอวะ”
“ไม่รู้หวะ มึงออกไปกับกูหน่อยก็แล้วกัน รถมึงจอดไว้นี่นะ ไปแท็กซี่แล้วค่อยกลับมากับรถกู”
“เออ มึงอย่าบอกนะว่าจอดไว้บ้านเด็กคนนั้น”
“ป่าว แต่ก็ไม่ไกลกันเท่าไหร่หวะ”
ความจริงผมจะเอารถกลับมาตั้งแต่ส่งไอ้เปี้ยกแล้วก็ได้ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ต้องจอดเอาไว้แบบนั้น เป็นเพราะเด็กคนนั้นพร้อมจะหันหลังให้แบบต่างคนต่างไป กลายเป็นผมที่ยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างนั้นเหรอ จะว่าติดใจลีลาก็ไม่น่าจะใช่ คืนที่ผ่านมาสาบานได้เลยว่าไม่รู้ว่าสนุกแค่ไหนลีลาเด็ดยังไงแล้วเร่าร้อนตอบสนองความต้องการผมได้แค่ไหน ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
ซื้อเด็กขายมากินฆ่าเวลาก็บ่อย เรื่องลีลารับรองว่าเด็ด เรทติ้งของเด็กที่ผมหิ้วแต่ละคนโด่งดังคิวยาวเป็นหางว่าว ถ้าเงินไม้ถึงอย่าหวังว่าจะลัดคิวเอาออกมาได้ หรือพวกที่ระดับเทรินโปรแล้วทั้งหลายก็ไม่เห็นว่าผมจะติดใจเลยสักคน
แล้วอะไรที่ทำให้ผมติดใจกับเด็กที่ไม่รู้ว่ามีอะไรที่มัดใจผมได้ ลีลาท่าทางหรืออะไร สิ่งเดียวที่ผมรับรู้คือเด็กคนนี้ปากร้ายและไม่เกรงกลัวใครที่ไหนเลย แววตาเอาเรื่องนั่น คือว่าจะเป็นท่าทางที่ดูไม่มีความทุกข์อะไร ต่อให้เจอเรื่องแย่ๆแค่ไหน เด็กคนนั้นก็ดูจะไม่สะทกสะท้านถ้าจะต้องฝ่ามันไป หรือจะเป็นท่าทางจองหองที่ผมไม่เคยพบเจอ คิดจนหัวจะระเบิดก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
ไอ้แก๊กมันงงแต่มันไม่กล้าสงสัยว่าทำไมผมถึงพามันมาสถานที่ที่ผมไม่เคยคิดจะมาได้ รู้แค่ว่าอยู่ในละแวกบ้านผม แต่มันไม่รู้ว่ามาทำไม ที่สำคัญผมพามันมาทางเดียวกับที่ไอ้เปี๊ยกพามา มันเลยยิ่งน่าสงสัยว่าทางแคบๆแบบนี้รถคันใหญ่ของผมแฝงตัวเข้ามาได้ยังไง ดีแล้วที่มันไม่ถามเพราะผมยังไม่ได้เตรียมคำตอบให้
เดินมาถึงบริเวณที่คุ้นตา ทางแยกที่ทางหนึ่งมีรถผมจอดอยู่ ใครว่าคนในชุมชนแล้งน้ำใจ รถผมไม่ได้จอดล่อตาโจรเพราะมีคนใจดีเอาผ้าพลาสติกปูโต๊ะมาคลุมไว้ให้ ถึงราคาไม่ได้เศษหนึ่งส่วนสิบของราคาผ้าคลุมรถแต่ผมก็ซึ้งใจในความปรารถนาดี
ยืดคอมองกวาดตาไปรอบๆก็ไม่เจอคนที่อยากเจอ ไม่รู้ว่าบ้านไอ้เปี๊ยกอยู่ที่ไหน ถามแล้วแต่มันลีลายังกับกลัวว่าผมจะเข้าไปยกเค้าบ้านมันยังไงยังงั้น
“คุณค๊า แต่งตัวเรียบกริบขนาดนี้ ไม่ใช่เซลล์แมนหรือคนขายประกันใช่มั้ย”
ผมหลุดขำพรืดส่วนไอ้แก๊กจับชายเสื้อผมแล้วเขย่าใหญ่ มันคงเสียหน้าที่เครื่องเพชรทองที่มันประโคมลงไปบนตัวไม่ได้ช่วยอะไร
“ไม่ใช่ครับ”
“อ้อ ดีแล้ว นึกว่าใช่จะบอกว่าอย่าเสียเวลาเลยคู๊ณณณณ คนในสลัมนี่แค่มีซื้อข้าวเลี้ยงปากเลี้ยงท้องยังจะแย่ จะเอาปัญญาที่ไหนมาซื้อของอื่นใช้ละ พ่อคุณว่ามะ”
“ครับๆ ว่าไงก็ว่าตามกันครับ พอดีผมมาเอารถที่จอดฝากไว้อะครับ แล้วก็กำลังมองหาเพื่อน”
“เพื่อนชื่ออะไรหละคุณ ทั้งสลัมนี้อ่ะ ป้ากว้างขวาง รู้จักไปทั่วแหละ ยิ่งใหญ่ค๊า สมัยหน้านี่ผัวเชียร์ให้ลงเลือกตั้ง ป้ายังคิดอยู่ว่าคุ้มมั้ย กลัวไม่มีเวลาให้ครอบครัว”
“เอ่อ เพื่อนผมชื่อ ดิน ครับ” ผมรีบประคองสตินึกชื่อไอ้เปี๊ยกโดยไว คนชุมชนนี้มนุษยสัมพันธ์ดีทะลุขีดแดง
“อ้อ หมายถึงพี่ดิน มาเฟียคุมสลัมหนะเหรอ ป่านนี้มันคงไปคุมสมุนมันให้ทำการบ้านอยู่ที่โรงอาหารของโรงเรียนนู่นแหละ”
ไอ้แก๊กไม่ใช่แค่กระตุกชายเสื้อผมแล้วนะครับ มันยังถือวิสาสะดึงผมให้ต่ำลงมาเพื่อที่จะกระซิบกระซาบถามผมว่า
“ภูนี่มึงจับมาเฟียคุมสลัมกดเลยเหรอวะ ไอ้ฉิบหายมึงพากูมาตายเปล่าเนี่ย”
ผมแทบจะลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้นเพราะขำไอ้เพื่อนเวรตาขาว อยากรู้จริงๆว่าถ้ามันเห็นไอ้เปี๊ยกแล้วมันจะยังขี้ขึ้นหัวอยู่แบบนี้มั้ย
“เออ แก๊กเพื่อนรักเพราะกูเห็นมึงเป็นเพื่อนแท้นะ กูถึงได้ชวนมึงลงมาตายด้วยกันเนี่ย ไปได้แล้ว”
ผมรีบขอบคุณป้าใจดีที่บอกทางไปฐานทัพของนักเลงประจำสลัมแล้วไม่ลืมจะลากไอ้เพื่อนที่ตอนนี้มันช็อคตาตั้งไปแล้ว เดี๋ยวมึงอาจจะช็อคกว่านี้นะเพื่อน ถ้ามึงได้เจอคู่กรณีของกูแล้ว
ผมเดินเรื่อยๆมาตามทางแคบๆที่สองฟากฝั่งยังเป็นบ้านเรือนที่ปลูกติดกันแน่นเอี๊ยด จนบางหลังแทบจะก่ายเกยกันอยู่แล้ว ยังดีที่สุดปลายทางข้างหน้าที่มองเห็นมีป้ายชื่อโรงเรียน รู้สึกเหมือนว่าเราเดินอ้อมกันอยู่ไม่น้อย เพราะจากทางที่เดินมาผมสังเกตว่าเป็นทางเลียบคลองแสนแสบที่มีเรือวิ่งผ่านให้พวกผมต้องหลบน้ำคลอโรฟิลกลิ่นหมักหมมยาวนาน จนเลี้ยวเข้าไปในชุมชนแล้วถึงได้วกออกมาจนทะลุทางเลียบคลองอีกแบบนี้ ถ้าผมเดินตรงๆมาตั้งแต่แรกโดยไม่เลี้ยวเข้าชุมชน มันคงจะมาสุดทางที่โรงเรียนพอดี
ยิ่งใกล้ถึงจุดหมาย ผมก็เห็นเด็กวัยประถมมัธยมบางส่วนวิ่งกรูกันออกมาสลับกับผู้ใหญ่บ้างประปรายแต่ที่ผมต้องยืนนิ่ง ไม่ใช่เพราะทางแคบเดินสวนกันไม่ได้ แต่เป็นเพราะ
“เฮ้ยยยย ไปตามพวกมาช่วยพี่ดินเร็วๆ พี่ดินโดนรุม ลูกพี่โดนวัยรุ่นดมกาวรุม พ่อจ๋าแม่จ๋ามาช่วยลูกพี่ด้วย” [/color]