เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นเพราะเสียงคุยกันแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบความลับของจักรวาลลอยมาตามลม หากเป็นช่วงที่ผมอยู่คอนโดแถวท่าพระ ผมคงไม่รู้สึกตัวกับแค่เสียงกระซิบนี้หรอก ตอนนั้นขนาดสัญญาณไฟไหม้ดังผมยังหลับอุตุได้อย่างไม่สะทกสะท้านเลย ผิดกับตอนนี้ ที่โสตประสาทสัมผัสทำงานดีเหลือเชื่อ แม้แต่เสียงคุยกันแผ่วเบาผมยังได้ยิน อาจเป็นเพราะที่นี่ไม่มีเสียงรบกวนให้รำคาญหู จนหูชินชาไปกับเสียงต่างๆ
อาจเป็นเพราะเรายังได้ยินเสียงใบไม้ไหวเมื่อลมพัด
ได้ยินเสียงสายน้ำม้วนตัวอย่างอ้อยอิ่งกระทบตลิ่ง
ได้ยินเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วเจรจา
ได้ยิน...........แม้กระทั่งเสียงหัวใจของตัวเอง
“อ้าว ตื่นแล้วรึพ่ออัชย์” หมอปีย์ถามขณะที่ผมเดินงัวเงียขยี้ตาตรงมาหาเขาที่ชายหาด
“มาทำอะไรตรงนี้วะ”
“เรามาเอาของทะเลที่ชายผู้นี้นำมาถวายพระน่ะ เจ้าดูสิว่าจักเอาสิ่งใดไปทำถวายได้บ้าง”
ผมชะโงกหน้าไปดูในข้องใส่ปลา ปลาชนิดต่างๆนอนแน่นิ่งไม่รู้ชะตากรรม ผมรู้จักอยู่เพียงไม่กี่อย่าง ปลาแดง นั่นปลาดุกทะเล นั่นปลาข้างเหลือง มีปลาหมึก กุ้ง แซมอยู่ด้วย
“ปกติลุงเอาไปถวายหลวงพ่ออย่างนี้เลยเหรอ” ผมเงยหน้าจากข้องใส่ปลามาถามชาวประมง
“จะบ้ารึ พ่อหนุ่ม พระสงฆ์องค์เจ้าท่านจะได้บาปเอา ข้าให้อีผินเมียข้ามาทำถวายท่านสิวะ แต่เช้านี้เห็นว่าหลวงพ่อท่านมีศิษย์มาก็เลยเอามาถวายแต่ของสด”
“อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ
ผมกับหมอปีย์เดินกลับเข้ามาโดยมีข้าวสวยร้อนๆห่อใบบอน กับปลาแดงติดมือมาด้วยสี่ห้าตัว ผมไม่ได้เลือกเอามามาก เพราะสงสารชาวบ้าน อีกอย่างในกระเป๋าเสบียงยังมีของที่ป้าหนูเตรียมมาให้อยู่ไม่น้อย
หมอปีย์แยกไปอาบน้ำ ส่วนผมนั้นขอหลวงพ่อทำอาหารถวาย ข้างๆกุฏิหลวงพ่อมีเพิงหมาแหงนที่ทำด้วยใบตาล สงสัยชาวบ้านจะมาทำไว้ ข้างในมีเตาที่ทำมาจากก้อนหินสามก้อนวางอย่างง่ายๆ หม้อดินเขม่าดำ ถาดบิดเบี้ยว กระบวย ช้อน จานเก่าๆ ผมมองแล้วอดเป็นห่วงหลวงพ่อไม่ได้ หากไม่มีชาวบ้านมาคอยดูแล ท่านจะอยู่ จะฉันยังไง
ของในห่อผ้าถูกแกะมาวาง ทุกครั้งที่ผมเห็นของในนั้น ความสำนึกในบุญคุณของผมที่มีต่อป้าหนูก็จุกอกขึ้นมาทันที
ใครกันที่บอกว่าทาสสมัยก่อนไม่รู้ ไม่อยากจะเป็นไท ผมว่าอย่างน้อยก็มีป้าหนูและจันทร์ ที่จิตใจเบื้องลึกยังโหยหาอิสระภาพที่ตัวเองไม่เคยได้ลิ้มรสเลยจนวันตาย
“เจ้าจักทำอันใด” หมอปีย์ยืนเอามือไพร่หลัง เขาอยู่ในชุดกางเกงไทยขายาวเลยเข่านิดหน่อยสีน้ำเงิน กับเสื้อสีขาวบางที่ป้าหนูเตรียมมาให้ สีหน้าเขาดูสดชื่นขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อวาน
“ชั้นเจอเนื้อย่าง ปลาแห้ง แล้วก็พริกเกลือ ในห่อนี้” ผมชี้ไปที่ห่อเสบียง “ก็คงกินกันตายไปก่อน ว่าจะเอาปลาแดงคลุกเกลือ ห่อกับใบตองแล้วเอามาเผา กินกับข้าวสวยร้อนๆคงอร่อยดี” ผมว่าพลางเอาเกลือมาทาทั่วปลาแดง
“ส่วนเนื้อแห้งปลาแห้งที่เหลือ ชั้นว่าจะถวายหลวงพ่อไว้ อ้อ นายบอกว่าอีกไม่ไกลเราก็จะถึงเรือนหมอจรัสแล้วใช่มั๊ย”
เขาพยักหน้า
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
ผมถวายภัตตาหารให้หลวงพ่อ ส่วนหมอปีย์ถือโอกาสออกมาเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ
“เราต้องไปแล้วนะครับ หลวงพ่อ” ผมนั่งลงประนมมือไหว้
“แล้วจะมาเยี่ยมบ่อยนะๆครับ” หมอปีย์เอาศอกกระทุ้งผม ก่อนจะทำหน้าดุ เชิงว่าไม่ควรจะพูดแบบนี้กับพระกับเจ้า
หลวงพ่อเดินออกมาส่ง ท่านไม่พูดอะไรถึงเรื่องเมื่อวาน ทำราวกับว่าไม่รู้เรื่องราว ไม่ใช่คนที่พูดเมื่อวานอย่างนั้นแหละ
หมอปีย์กับผมลาหลวงพ่ออีกครั้ง ด้วยความเป็นห่วง
“เร่งเข้าเถิด พ่ออัชย์ ประเดี๋ยวแดดนายเสียก่อน” หมอปีย์เร่งฝีเท้า
“แดดนาย แดดนายคืออะไร” ผมถาม
“แดดนาย คือแดดแรงนั่นแหละ”
“อ๋อ” ผมพยักหน้า “แล้วนี่อีกไกลมั๊ยกว่าจะถึงเรือนหมอจรัส”
“ไม่น่าจักไกล อาทิตย์ยังมิทันลับคงจะถึง”
“หา!!!” ผมทำท่าตกใจเมื่อนึกว่าต้องเดินกันอีกตั้งเกือบครึ่งค่อนวัน “ทำไมสมัยนายถึงไม่ใช่รถยนต์กันน้า”
“รถยนต์?” เขาทำหน้าสงสัย
“ก็ใช่นะสิ รถยนต์ รถที่ใช้เครื่องยนต์ และน้ำมันเป็นตัวขับเคลื่อน”
“น้ำมันกระนั้นรึ น้ำมันจากพืชหรือสัตว์กัน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นายนี่ท่าจะบ๊อง” ผมหัวเราะเยาะในความเดียงสาของเขาโดยลืมไปว่า หมอนั่นกับผมเรามาจากคนละยุค “ไม่ใช่น้ำมันจากพืชและสัตว์ แต่เป็นน้ำมันปิโตรเลี่ยม เอ แต่จะว่าไปมันก็มาจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์เป็นเวลาหลายล้านปีนั่นแหละ”
หมอปีย์พยักหน้า เขาไม่ทึบเกินไปที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
“แล้วคำว่า บ๊องหล่ะ หมายความว่ากระไร”
เป็นอีกครั้งที่ผมหัวเราะ จนใจที่จะอธิบายให้เขาฟัง
“บ๊องเหรอ ก็ประมาณเอ่อ Crazy เอ ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น น่าจะ Innocent หรือไม่เต็มบาท”
“งั้นเจ้าก็บ๊องนะสิ” หมอปีย์ย้อน ผมหันขวับ”หัดย้อนนะเดี๋ยวนี้น่ะ”
เราทั้งคู่หัวเราะ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเลียบร่มไม้ชายหาดไปตามทาง....................