สดๆร้อนๆ ออกจากโรงงานเลยอะ อ่านไปด้วยกันเลย
**********************************************************
เสร็จจากภารกิจที่แดนไกล ผมกับวากดิษก็กลับมาหอพัก เรามาถึงที่พักไม่นาน ก็มีคนโทรมาหาวากดิษ มันยืนคุยงุ้งงิ้งๆเหมือนพยายามไม่ให้ผมได้ยิน แล้วก็มองมาที่ผมเป็นระยะ สงสัยผมจะเป็นคนที่ถูกพูดถึงอะ
“ เออ ไปแน่ ” วากดิษวางมือถือลงแล้วยิ้มให้
“ รายงานมา ไม่ใช่เอาแต่ยิ้ม ” ผมพูด
“ เหอะ อย่ามาขู่นะ ลืมแล้วเหรอว่าพี่ก็ไม่ค่อยพอใจที่คิมทำไปเมื่อวานน่ะ ” แหม มันพูดเต็มเสียงเชียว เรื่องก็ผ่านมาตั้งหลายชั่วโมง หึหึ
“ งั้นจะเอาไง จะพูดดีๆหรือพูดด้วยน้ำตา ” ผมลุกเดินไปหามัน รายนั้นนั่งมองตาปริบๆ
“ ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลย ใจร้าย ” วากดิษตั้งท่าพร้อม แล้วเล่าให้ฟัง
เรื่องก็คือ พี่โต้งได้รับเชิญไปงานแต่งงานของเพื่อน เข้าใจว่าฐานะร่ำรวยอะครับ ผมก็เพิ่งรู้ว่างานแต่งงานคนมีตังนี่ยุ่งยากมาก แขกที่จะไปงานก็ต้องแต่งตัวไปประชันกัน
“ มันก็เลย ...... ” ผมยกมือเบรก
“ อยากให้คิมพูดเพราะๆ แล้วทำไมเรียกพี่โต้งมัน ” วากดิษคิ้วขมวด
“ เอาน่า ไม่ต้องสนใจหรอก ” แกล้งมันครับ ฮ่าๆๆ
“ อยากให้พวกเราไปด้วยเหรอ ” ผมถามต่อ
“ พ่อบอกปฏิเสธไปเมื่อวาน มัน ...... เอ่อ โต้งเลยโทรไปหาพ่อของพี่ พ่อพี่โทรหาพี่พี่ก็ไม่รับ เมื่อกี้ไอกริชเลยโทรมาหาแทน ” เรียกไอกริชอีกละ เหอะๆๆ
“ แล้วทำไมถึงต้องเลี่ยงด้วยอะ แค่งานแต่งงาน ”
“ ก็งานนี้ แจงไปด้วย ” พอพูดถึงแจงๆนี่ มือไม้มันคันๆไงไม่รู้ดิ
“ กลัวอะไรกับเค้าล่ะ ” วากดิษเอามือมากุมไหล่ของผม
“ เรื่องมันแล้วไปแล้ว เราไม่ต้องไปใส่ใจอีกหรอกนะ ” ผมสลัดมือมันออก วากดิษจ้องตาโตเลยครับ จากนั้นผมก็กุมไหล่มันแทน
“ ดูจากที่ดิษห่วงเนี่ย ไม่ใช่เลยล่ะ ”
“ ยังไงเหรอ ”
“ ถ้าเรื่องของเรากับเค้าจบจริง ทำไมเราต้องทำเหมือนหลบหน้ากันล่ะ แบบนี้เท่ากับเราแค่หนีเค้าเฉยๆมั้ง ” วากดิษนั่งคิดอยู่พักนึง ก็ตอบตกลง ดิษโทรไปหาพี่โต้งบอกว่าจะไปด้วย
“ อีกชั่วโมงไป ” ผมหันไปหาแทบไม่ทันเลยครับ ทำไมต้องแค่อีกชั่วโมง ตอนนี้มันบ่ายสองเอง งานแต่งอะไรจะแต่งกันตอนบ่าย ร้อนตายเลย
“ ดิษๆ ” วากดิษทำท่าจะถอดเสื้อ
“ เค้าแต่งกันกี่โมง ”
“ ทุ่มครึ่งเริ่มงาน ”
“ อ้าวแล้วทำไมต้องบอกว่าอีกชั่วโมงไป ไปไหนอะ ”
“ ฮ่าๆๆๆๆ ” มันยืนหัวเราะจนตัวงอเลยครับ
“ หัวเราะหาอะไรวะ ” มันพยายามกลั้นหัวเราะแล้วบอกผม
“ เดี๋ยวไปเลือกชุดที่บ้านพี่ แล้วถามพ่อพี่เอาแล้วกัน ” มันเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วลากผมออกมาจากห้อง มันหัวเราะอะไรอะ
พอมาถึงบ้าน ดิษก็ให้ผมนั่งคุยกับพ่อของเค้า อาการป่วยของพ่อวากดิษดูจะแย่ลงเรื่อยๆครับ ตอนนี้ออกงานสังคมไม่ได้แล้ว ต้องอยู่ในห้องแทบจะตลอดเวลา ร่างกายซูบผอมลงจากวันก่อนอย่างเห็นได้ชัดเลย
“ จะไปงานแต่งของ ... (ชื่อคน) เหรอ ”
“ ครับอา ” เห็นอาการป่วยแบบนี้แล้ว ใจคอไม่ดีเลยครับ
“ รู้สึกต้องไปทำผมด้วยสิ ผมเรายุ่งเหยิงมาก ” ผมเอามือแตะๆที่ผม มันก็ทรงปกติของคนนะครับอา เหอะๆๆ
“ ทรงนี้ไม่ดีเหรอครับ ”
“ มันก็ดี แต่ไม่ดีพอ ถ้าจะไปงานอย่างนั้นน่ะนะ ...... เดี๋ยวนะ ” อาเอื้อมไปหยิบซองอะไรไม่รู้ให้ผม เป็นซองสีน้ำตาลครับ
“ เอาไปให้ไอข้าวกล้องนะ ” ผมรับมาแล้วลาท่านออกมา วากดิษรออยู่หน้าห้องอยู่แล้วครับ
“ อ่ะชุด ลองใส่ซิ ” ผมเอาเสื้อสูทสีเทามาใส่ หลวมๆนิดหน่อย สงสัยจะเป็นของดิษนั่นแหละครับ
“ ชุดนี้พี่ใส่ ....... น่าจะซักมอห้า ” โห มอห้ามึงก็ตัวใหญ่กว่ากูแล้วเหรอเนี่ย นับถือๆ
“ ไหนชุดดิษอะ ” มันชูสูทสีเทาเหมือนผม แต่คงจะขนาดใหญ่กว่านิดหน่อยครับ ผมยื่นซองน้ำตาลที่พ่อของวากดิษฝากให้ มันเปิดๆดูแล้วยื่นให้ผมดู
“ เงินนี่หว่า เยอะนะน่ะ ”
“ เค้าคงให้คิมไว้ใช้ด้วย เห็นบ่นกับพี่ว่า พี่เคยทำให้คิมต้องไปอยู่ที่ลำบาก ต่อไปพี่ต้องดูแลคิมมากกว่านี้ ” เฮ้อ เรื่องของเรื่องเป็นผมคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนสนใจผมขนาดนี้ แค่นี้ผมก็สุขใจแล้วล่ะ
จากนั้น ผมมาที่ร้านทำผมซึ่งพี่โต้งกับพี่หมอกริชก็อยู่ สองคนนั้นกำลังทำอะไรไม่รู้ครับ ผมบรรยายไม่ถูก เพราะพอมาถึงผมสองคนก็โดนลากไปนั่ง แล้วทั้งตัดทั้งซอยผม อะไรต่อมิอะไรงงไปหมดเลยครับ
เวลาผ่านไปประมาณสี่สิบนาที ผลงานก็ออกมา แต่ละคนอย่างกับคุณชายในหนังเลยครับ ไม่นึกว่าการมาทำผมนี่ก็ทำให้เราเปลี่ยนไปได้เหมือนกันแฮะ
“ แบงค์ล่ะพี่ ” ผมถามพี่หมอกริช
“ ทำงาน พี่จะไปรับตอนเย็นๆ ”
“ แบงค์ไม่ต้องมาทำผมด้วยเหรอครับ ” ผมถามต่อ
“ แบงค์มันหล่ออยู่แล้ว ไม่ต้องทำก็ได้ ” อ้าว วากดิษ มึงกัดกูใช่ปะเนี่ย
“ เออ งั้นเราสี่คนก็พอกันอะ ” พี่โต้งแซวพวกผม
“ ฮ่าๆๆ ”
เราสี่คนนั่งเล่นในร้าน เพราะเย็นดีครับ พอเวลาประมาณเกือบห้าโมงพี่กริชออกไปรับแบงค์ ผมสามคนก็เข้าไปแต่งตัวและเสริมหล่ออีกนิดหน่อย พอแบงค์มาสมทบด้วย แต่งตัวพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางมาที่โรงแรมกัน
โรงแรมที่ว่าก็ดีที่สุดในจังหวัดของผมอะครับ แต่วันนี้ดูไม่ปกติ เพราะแต่ละคนที่จะเข้าไป มีการตรวจสิ่งของกันด้วย พี่โต้งเล่าว่า ประธานเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเรา ผมก็เชื่ออะครับ
พอเข้ามาในงาน ผมยอมรับว่าอย่างกับอยู่คนละโลก เพราะในนี้มีแต่คนแต่งตัวสวยๆ ชุดราคาแพงกันทั้งนั้น ผมงี้ตัวลีบเลย เพราะบ้านผมไม่ได้รวยขนาดที่จะมาแต่งตัวแบบนี้ และถึงจะมีเงินขนาดนี้ผมก็ไม่เอามาซื้อชุดแบบนั้นใส่ คนที่มีอาการประหม่าแบบเดียวกับผมก็คือแบงค์ครับ ส่วนพี่โต้งและแฟน พี่กริช รวมทั้งวากดิษดูจะผ่อนคลาย เหมือนจะชินแล้ว
“ สวัสดีจ้ะคิม ” เสียงคุ้นๆ
“ พี่ .... แจง ” แม่ม เจอกันจนได้
“ คิม บริกรเค้าเอาเครื่องดื่มมาช้า ไปยกมาให้พวกพี่ที ” พี่โต้งพูดเหมือนใช้ผม แต่จริงๆคงไม่อยากให้ผมเจอหน้ายัยนี่มากกว่า ผมก็เลยเดินออกไป โดยไอแบงค์เดินตามมาด้วย แต่พอผมกลับมา ยัยนั่นก็ไม่อยู่แล้วครับ
งานค่อนข้างน่าเบื่อครับ ในสายตาผมนะ เพราะส่วนมากคนที่รู้จักก็จะไปคุยกัน และผมไม่รู้จักใคร ก็เลยน่าเบื่อครับ แต่ดีที่พี่ๆที่พามาไม่ยอมลุกไปไหน อยู่เป็นเพื่อนตลอด
แต่หลังจากเสร็จงานสิครับ เจ้าภาพบอกว่าเชิญแขกที่ต้องการร่วมงานที่บาร์ ไปเจอกันได้ ปรากฏว่าเจ้าสาวน่ะสนิทกับพี่โต้ง เลยโดนลากไป แฟนของพี่โต้งก็ไม่ไว้ใจเลยจะอยู่ด้วย พวกผมก็เลยต้องอยู่เป็นเพื่อนด้วยครับ
งานเลี้ยงหลังจากนั้น บอกตรงๆ อย่างกับปาร์ตี้ยาเลย พวกไฮโซทั้งหลาย เน้นที่หนุ่มๆสาวๆน่ะครับ ยืนเบียดยืนบดกันอย่างกับจะผสมพันธุ์ปลา วากดิษก็โดนดึงไป แต่ละคนหายไปคนละทิศละทาง ผมมีผู้หญิงมานั่งด้วยสองคน แต่วากดิษนี่เยอะหน่อยครับ อย่างว่าเค้าเข้มนี่เนอะ ชิชะ
“ .......... ” ผมนั่งๆอยู่ก็มีคนส่งข้อความมาหาผม พอผมเปิดอ่าน ผมก็รู้สึกตกใจครับ
“ (เห็นภาพนั้นไหม ถ้าดิษเค้าไม่มีแกฉุด ป่านนี้เค้าคงมีครอบครัวไปแล้ว จำไว้ว่าผู้ชายน่ะท้องไม่ได้ เค้าจะต้องจากแกไปซํกวัน) ” อ่านก็รู้ว่าใครส่งมาครับ ผมงี้หน้าชาเลย อยากเขวี้ยงมือถือทิ้งก็เสียดาย เลยเดินออกมาด้านนอก
ผมยังจำเสียงที่ชอบเหยียดหยามคนของยัยแจงได้ครับ ยิ่งพออ่านข้อความบวกกับมโนภาพที่ผมสร้างขึ้น ไอเสียงที่ว่าผู้ชายน่ะท้องไม่ได้ มันดังซ้ำๆกันจนผมเกือบจะร้องไห้
“ คิมมี่ ”
“ พี่กริช ” พี่หมอกริชเดินมาหาผมครับ
“ ทำไมมานั่งข้างนอก สูบบุหรี่เหรอ ไม่ดีน้า เดี๋ยวแก่ไวดิษไม่รักนะ ” พอพี่กริชพูดจบ ผมน้ำตาแตกเลยครับ พอดีจังหวะนั้นดิษกับพวกเราก็เดินออกมาพอดี เห็นผมร้องไห้ก็ตกใจ เลยตัดสินใจกลับบ้านกัน ผมนั่งเงียบมาตลอดทาง ดิษก็กอดผมอยู่ตลอด
“ คิดแล้ว ถ้าเจอกันต้องเป็นแบบนี้ ” วากดิษพูดขึ้น
“ อะไร ” พี่โต้งพูดขึ้น
“ แจงไงพี่ ”
“ ไม่เกี่ยวกับเค้าหรอก จริงๆ ….. คิมแค่รู้สึกว่า คิมต่างกับพวกพี่มากจริงๆ ” พอผมโยกมาทางนี้ ทุกคนก็หลงกลครับ พากันปลอบผมว่า งานนี้ก็แค่งานที่คนใส่หน้ากากหากัน อะไรไปโน่นครับ ดีแล้วล่ะ ผมขอเก็บเรื่องนี้ไว้ซักพักก่อน
คืนนั้น ผมกลับมานอนที่บ้านของวากดิษ ดิษมันเชิงจะเมาๆนิดหน่อยครับ พอมาถึงก็กอดจูบลูบคลำเป็นปลาหมึกเลย
“ คิม คืนนี้ ขอได้ไหม ” ขออะไรคงไม่ต้องบรรยายเนอะ
“ เอาดิ ” พอสิ้นสัญญาณ วากดิษก็เริ่มเลยครับ เรากำลังเคลิ้มๆกันอยู่ จู่ๆวากดิษก็หยุด
“ ตายห่า ....... ไม่น่าเลย ”
“ อะไรๆ ”
“ พี่ไม่มีถุง กลับมาก็ไม่ได้ซื้อ ” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราตกลงกันแล้วครับ ว่าต้องใส่ถุงทุกครั้ง
“ ............ ” วากดิษมองแบบสองจิตสองใจ นั่งนิ่งเหมือนกำลังจะตาย เหอะๆๆ นาทีนั้น ไอคำว่า ผู้ชายน่ะท้องไม่ได้ก็วนกลับมากระทบประสาทผมอีกครั้ง ผมเลยจู่โจมเข้าไปหาแบบไม่คิดอะไรเลย วากดิษพยายามจะปัดหนีเหมือนกัน แต่ในที่สุดเราก็มีอะไรกันจนได้
หลังจากนั้น เราก็อาบน้ำให้กัน แล้วนอนครับ แต่ผมยังนอนไม่หลับ ดิษหันหลังให้ผมและหลับไปแล้ว ผมค่อยๆขยับตัวไปกอดดิษไว้ และผมก็ร้องไห้ออกมาครับ
ผมอยากถามดิษจริงๆว่า ดิษเคยคิดเรื่องที่ยัยแจงพูดไหม และผมกับดิษจะรักกันได้อีกนานแค่ไหน ก่อนนี้พ่อของดิษเคยพูดว่า ถ้าผมสองคนไม่มาเป็นแฟนกัน ผมก็จะก้าวไปข้างหน้า ดิษก็จะก้าวไปข้างหน้าด้วย แม้ว่าวันนี้ท่านจะยอมแพ้เรื่องแยกเราแล้ว แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะท่านป่วยมาก เลยไม่อยากขัดขวางความสุขของลูก
ผมกอดมันจนรู้สึกดีขึ้น แล้วถึงหยิบมือถือมาลบข้อความนั้นออก ผมกลัวว่าถ้าดิษเห็นจะตำหนิผมที่ไม่ยอมบอกว่ายัยนั่นคุกคาม แต่ผมยืนยันกับตัวเองว่าผมจะสู้ปัญหานี้เอง
เรื่องราวก็ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนผ่านมาประมาณเดือนกว่าๆ ผมกำลังทำหน้าที่ใหม่ของผมในห้าง คือกลุ่มเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพ ชื่ออะตั้งให้ดูดี จริงๆก็คือผู้ตรวจนั่นเอง แต่ผมเป็นลูกน้องเค้านะครับ ไม่ได้รับอภิสิทธิ์อะไรหรอก
“ น้อง เตรียมตัวนะ เราจะไปโรงงาน ...... (ชื่อโรงงาน) กัน ไปดูกิจการเค้าหน่อย ” หัวหน้าผมบอก เท่าที่ผมได้ยินมา ดิษเองก็โดนลงโทษที่ปล่อยปละละเลยเรื่องยัยแจง รู้สึกจะไม่ได้รับโบนัสและถูกลดงานด้วยครับ ทำให้ตอนนี้ก็ต้องไปสู้ชีวิตเหมือนกัน
“ .......... พี่ครับ ผมขอพักแปบนะครับ ”
“ เฮ้ยคิม เลือดกำเดาออกนะน้อง นั่งๆๆ เงยหน้าๆ ” ผมเริ่มรู้สึกเวียนหัวครับ จากนั้นผมก็รู้สึกอยากอ้วก ผมเลยวิ่งไปอ้วกที่อ่างล้างหน้า มีทั้งเลือดทั้งอ้วกปนกันเลยครับ ผมนั่งหอบอยู่ที่หน้าห้อง ไม่นานวากดิษก็มา
“ คิม ...... คิม ได้ยินไหมน้อง ” ผมพยักหน้า
“ พอๆ วันนี้ไม่ต้องใช้น้องอีกแล้ว ” มันหันไปโวยใส่หัวหน้าผมครับ
“ พี่ไม่ได้ใช้เลยนา คิมขยันมากไปน่ะ พี่เตือนเค้าอยู่ว่าจะป่วยเอา ”
“ จริงดิษ พี่ไม่ได้ใช้คิมหรอก ”
“ งั้นไปโรงพยาบาล พี่พาไป ” พอวากดิษพยุงผมลุกขึ้น เลขาของมันก็เดินมา
“ หัวหน้าคะ วันนี้มีประชุมนะคะ ” โดนลดเหลือหัวหน้าแล้วแฟนผม เหอะๆ
“ ผมไม่เข้า ”
“ ดิษ ขอเหอะนะ ไปประชุม ” มันยืนขบกรามแง่มๆ แต่แล้วก็ยิ้ม เฮ้อ อารมณ์ดีแล้วค่อยยังชั่ว
“ พี่จะไปส่งที่โรงพยาบาลก่อน แล้วกลับมาประชุม โอเคมะ ” ผมตกลงครับ
พอมาถึงโรงพยาบาล มันจับผมนั่งรถเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน แม่ของเค้าก็ตกใจ แต่ท่านไม่ว่างครับ เลยเรียกพี่หมอกริชให้มาดูแทน
“ เป็นอะไรอีกเล่า คุณชายกระรอกตัวขาว ” เอาซะเต็มยศ
“ พี่ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยพี่ ” พี่หมอกริชเลิกคิ้วสูง
“ อะไร มาๆขอดูหน่อย ” ผมจับมือพี่กริช รายนั้นก็ตกใจครับ
“ มีอะไรล่ะน้อง ” ผมนึกถึงวันที่เรา ..... สด กันอะครับ และผมก็มีตุ่มแดงๆขึ้นด้วย ผมรู้สึกไม่ดีมาหลายวันแล้วแต่ไม่กล้าบอกใคร แม้แต่วากดิษ
“ ผมกลัวพี่ …………… ” ผมเล่าสิ่งที่กังวลให้พี่กริชฟัง
“ เฮ้ย บ้าปล่าว ...... คิดว่าอาจจะติดจากไอข้าวกล้องเนี่ยนะ ไม่มีทางหรอก มันไม่ใช่คนมั่ว แล้วมันก็มาตรวจเลือดแทบทุกเดือน มันบริจาคเลือดบ่อยด้วย เออ แต่จะว่าไปเดือนที่แล้วกับเดือนนี้มันไม่มาตรวจ ” นั่นไงล่ะ ผมใจคอเสียเอามากๆ ผมคลื่นไส้ขึ้นมาอีกเลยวิ่งไปอ้วกอีกครับ พอกลับมานั่งที่เตียง พี่หมอกริชเริ่มหน้าเข้มขึ้น
“ ถ้าคิมคิดแบบนั้นจริง พี่พาไปตรวจก็ได้ ปลอดภัย จะไปไหนล่ะ ” ใจนึงผมก็ไม่อยากรับรู้เลยครับ
“ ไปพี่ ”
พี่หมอกริชขับรถพาผมมาตรวจที่สถานที่แห่งนึง ซึ่งพี่กริชบอกว่าค่อนข้างรับประกันผลการตรวจได้ ผมรอน่าจะประมาณชั่วโมงเศษๆ พนักงานก็เอาใบตรวจมาให้พี่กริช
“ ไม่ใช่ ” โฮ่ยยยยยยยยยย อยากจะร้องดังๆ เหอะๆๆ
“ งั้นผมเป็นอะไรล่ะพี่ ตุ่มๆนี่ด้วย ” ระหว่างทางกลับมาที่โรงพยาบาล พี่กริชก็ซํกไซร้
“ ลองให้หมอผิวหนังดูดีกว่า พี่ไม่กล้าพูด ”
กลับมาถึงโรงพยาบาล ผมก็ไปตรวจกับหมอผิวหนัง หมอท่านบอกว่าแพ้อากาศ เหอะๆๆ อายพี่กริชอิ๊บอ๋ายเลยครับ แต่พอผมถามเริ่มที่เลือดกำเดาไหลและอาเจียน ปรากฏว่าท่านไม่ทราบ จากนั้นผมก็ออกมานั่งที่ห้องพักแพทย์ วากดิษนั่งรออยู่แล้วครับ
“ เป็นไงกริช ”
“ ไม่ได้อะไรเลย เสียเวลาฟรีๆสองชั่วโมงครึ่ง ” อ้าว
“ งั้นหายไปไหนกัน อย่าบอกนะว่าไปเที่ยวมา ” มีอาการหวงๆ เหอะๆ
“ ไม่หรอก เออ แต่มีเรื่องน่ายินดีนะ .... ต่อไปจะสดก็สดเลยนะ โอ๊ยๆๆๆ คิม เจ็บ พี่เจ๊บบบบ ” ผมลุกบีบแขนน้อยๆของพี่กริชเลยครับ พูดอะไรไม่รู้ เหอะๆๆ
“ สรุปยังไง ไหนว่าจะคุยกับเราไง ” วากดิษหันไปหาพี่กริช สองคนจะคุยอะไรกัน
“ บอกตรงๆนะ พี่ว่าคิมมีอาการเครียด เครียดอย่างเด่นชัดมาก อาการที่ว่ามา เป็นลักษณะความดันสูง เมื่อกี้ตรวจแล้วก็ยังสูง ไม่ใช่เรื่องนะดิษ คนอายุเท่านี้จะความดันสูงขนาดนั้น ต้องเป็นเพราะเครียดมากเกินไป ........ วันนั้น วันที่ไปงานแต่ง คิมบอกพี่ว่า คิมกังวลเรื่องฐานะ พี่ไม่เชื่อหรอกนะ เพราะพี่จำได้ว่า พี่พูดขึ้นมาว่า ดิษจะไม่รัก จากนั้นคิมก็ร้องไห้ พี่คิดว่าคิมควรเล่าให้พี่ ไม่ก็กับดิษนะ ” โดนหมอแฉเป็นฉากๆ ผมพูดไม่ออกเลยครับ
“ ...... งั้น วันที่เรามีอะไรกันวันนั้น ที่กอดพี่แล้วร้องไห้ ......... เพราะอะไรคิม ” ผมคิดว่ามันนอนหลับแล้วแท้ๆ
“ รู้ด้วยเหรอ ” ผมถาม
“ พี่คิดว่าคิมเจ็บ เลยร้องไห้ ........ แต่ฟังจากที่กริชพูด คงไม่ใช่แล้วล่ะ คิม มีอะไรหนักใจเหรอ บอกพี่เถอะนะ ” ผมมองแววตาเศร้าๆของดิษแล้วรู้สึกดี เค้าแคร์ความรู้สึกผมจริงๆ เห็นทีเรื่องนี้ ผมคงต้องพูดกับดิษแล้ว
***************************************************************
ที่มาช้าก็มีเหตุอีกเช่นเคยครับ เมื่อสองสามวันก่อน รุ่นน้องที่เรียนโรงเรียนมัธยม เสียชีวิตครับ น้องคนนี้เคยติดสอยห้อยตามผมมา ก็คือแก็งค์อะแหละ แต่ผมพยายามแนะมันไปในทางดีๆ เป็นน้องผม สี่ปีครับ
วันนี้เลยไปเคารพร่างของน้องมัน ไปเจอหาพ่อของน้องมันด้วย แต่แม่น่ะป่วยอยู่ แม่ของน้องไม่กินข้าวเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมเลยไปเยี่ยมท่านและกินข้าวกับท่านมาครับ
ผมขอเตือนเรื่องสำคัญไว้ด้วยนะครับ คือรถจักรยานยนต์ ผมเสียน้องเสียพี่ เสียเพื่อน ที่รักมากๆ ไปเพราะรถจักรยานยนต์หลายคนแล้ว ถ้ารักหรือจำเป็นต้องใช้ ขอให้ระมัดระวังอย่างที่สุดนะครับ เพราะทุกวันนี้ผมไม่ขับแล้ว ยังไงก็ขอฝากแนบท้ายไว้นะครับ ^^