สุดท้ายแล้วทินกฤตตัดสินใจดึงเอาโทรศัพท์มือถือราคาแพงขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นแผนที่ ค้นหาร้านจีเวลรี่ที่อยู่ในบริเวณนั้น โอซาก้าเป็นเมืองใหญ่ การจะหาแหวนสวยๆซักวงมาให้คนรักคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก
แผนที่นั้นบอกทางแสนละเอียดทั้งสองคนเดินตามเส้นทางนั้นไปไม่นานก็พบกับร้านจีเวลรี่ที่อยู่ในตึกที่มองจากภายนอกแล้วเป็นอาคารคล้ายทรงยุโรป แต่ความจริงแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อ
"Excuse me ...we're looking for a wedding ring" ทินกฤตเอ่ยออกไปเป็นภาษาอังกฤษ พนักงานในทีแรกมีที่ท่าเงอะงะ แต่พอได้ยินคำว่า Wedding ก็ดูจะเข้าใจอะไรได้ไม่ยาก
แม้จะแปลกใจที่เป็นผู้ชายสองคนมาเลือกแหวนแต่งงานด้วยกันก็ตาม แต่หน้าที่การบริหารต้องมาก่อน จุนเจือเอ่ยถามรายละเอียดของแหวนอย่างสุภาพ ซึ่งพนักงานขายก็ให้ข้อมูลเป็นอย่างดี ทินกฤตให้เขาเป็นคนเลือกแหวนอยู่นาน ดวงตาคู่สวยมองแหวนในตู้ก่อนจะสะดุดกับ แหวนทองคำขาวเรียบง่าย ตรงกลางโดดเด่นด้วยเพชรน้ำงามวงละห้าเม็ด
"พี่เทียน..นี่สวยไหม? "เขาถามคนรักเบาๆ
"หืม...ไหน" ทินกฤตชะโงกหน้ามาดู มือแกร่งโอบไหล่คนรัก จุนเจือ คงรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของมือของเขาที่ร้อนจัดด้วยความตื่นเต้น มันยากเกินกว่าจะใช้ข้ออ้างว่า เครื่องทำความร้อนของห้างนั้นร้อนเกินไปจึงทำให้เขาเป็นเช่นนี้
"วงนี้ไง..ขอเขาดูไหม? " นิ้วเรียวชี้ไปที่แหวนวงที่เขาหมายตาเอาไว้ รู้สึกได้ถึงเหงื่อชื้นที่มือของอีกฝ่าย ก็ต้องยิ้มออกมา
" ตื่นเต้นเหรอฮะ? " เขาถามแหย่ไปแบาๆ
"พี่ไม่เคยนี่..." ทินกฤตยิ้มน้อยๆ พลางมองดูดีไซน์ของแหวนที่เด็กหนุ่มบอกให้เขาดู ใช่แล้ว เขาอยากให้ความรักของเขานับจากนี้เรียบง่ายเหมือนกับแหวนวงนี้นี่ล่ะ
"งั้น..ขอดูเลยนะ? " ถามแต่ก็ไม่รอคำตอบ จุนเจือเอ่ยกบพนักงานขายเพื่อขอดูแหวนวงนั้น
"เขาจะว่าไหมถ้าซื้อแหวนผู้ชายสองวงเนี่ย" ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ หยิบแหวนผู้ชายขึ้นมาดู อันที่จริงดีไซน์ระหว่างทั้งสองวงนั้นแทบไม่แตกต่างอะไรกันเลย
"คนญี่ปุ่นเขาให้เกียรติลูกค้า ไม่มีใครว่าอะไรหรอก " เด็กหนุ่มบอกพลางยิ้มให้พนักงานขาย เด็กหนุ่มลองขนาดแหวนที่นิ้วกลางข้างซ้ายของตนเอง
มือแกร่งตีมือของเด็กหนุ่มแทบจะในทันที
"นิ้วนางซิ่ครับ"
"ฮะ ฮะ ..ลืมนี่นา " จุนเจือต้องหัวเราะอย่างเขินๆก่อนจะลองสวมแหวนเข้ากับนิ้ว มันพอดีราวกับว่าได้เตรียมไว้สำหรับเขาแล้วแบบนั้นแหละ
"สวยไหมฮะ? " เด็กหนุ่มชูมือที่สวมแหวนให้อีกฝ่ายดู
"สวยครับ..." ทินกฤตว่าพลางมองหน้าของอีกฝ่าย ในอกรู้สึกอุ่นเข้าไปถึงข้างใน อยากมีความสุขแบบนี้ตลอดไป
"ถามเขาซิ่ว่ามีวงใหญ่ เท่านิ้วพี่ไหม" ทินกฤตหันไปบอกคนรักที่ดูจะยังชื่นชมกับแหวนวงสวย
"แหวนแต่งงานใส่คนเดียวได้ยังไง" เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆกับคำพูดของคนรักแล้วเอ่ยถามถึงแหวนสำหรับทินกฤต โชคดีที่ยังมีแหวนแบบเดียวกันที่ชายหนุ่มใส่ที่นิ้วนางข้างซ้ายได้พอดี
"เหมาะไหมครับ" ทินกฤตนึกสนุกเอ่ยถามกับพนักงานสาวเป็นภาษาไทย ใบหน้ายิ้มแย้มของชายหนุ่มหน้าคม ทำเอาพนักงานยิ้มออกมาอย่างขวยเขิน
"พี่เทียน! " จนเจือตีไหล่ชายหนุ่มเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น
" เอาล่ะ จ่ายตังค์ได้แล้ว "
"เท่าไรเนี่ย วงเงินพี่รูดจำกัดน้า..." ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ก็ยินดีที่จะยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงานขายอย่างไม่อิดออดใดๆ เขาตั้งใจแล้วที่จะให้เป็นแบบนี้ มือแกร่งร้อนจัดอีกข้างกุมมือของจุนเจือเอาไว้
ราคาที่พนักงานขายบอกมามันสูงอยู่ไม่น้อยเลย แต่ถ้าเป็นทินกฤตแล้วก็สามารถจ่ายมันได้อย่างสบายมาก แหวนทั้งสองวงอยู่ในกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินของทางร้าน และมันกำลังอยู่ในกระเป๋าเสื้อของทินกฤต
"อ้าว..ไม่ให้ใส่เลยล่ะ? " จุนเจือแบมือทวงแหวนเมื่อออกมานอกร้านแล้ว อย่างแปลกใจ
"ใส่ง่ายๆก็ไม่สนุกซิ่" ทินกฤตว่าพลางฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดี วันนี้โอซาก้าก็อากาศหนาวเหมือนเมื่อวาน
"หิมะจะตกไหมนะ...เรายังไปเที่ยวกันทันไหมเนี่ย" ทินกฤตว่า
"เห็นอะไรพยากรณ์อากาศในรถไฟแว่บๆ แต่พี่อ่านไม่ออกเลยไม่รู้ว่ามันอะไรที่ไหนกันบ้าง"
"ทันสิ..ถ้าไปชิงช้าสวรรค์ ก็จะได้เห็นวิวรอบๆเลยล่ะ "จุนเจือยิ้มกับท่าทางอารมณ์ดีของอีกฝ่าย ก่อนจะสอดมือไปควงแขนของคนรักให้เดินไปด้วยกัน
"งั้น เราเดินถ่ายรูปกันแถวนี้ก่อน...ย้อนกลับไปกินไอ้ลูกๆเมื่อกี้ด้วย ดีไหม แล้วก็ไป เอ่อ...ปราสาทโอซาก้านั่นด้วย..." ทินกฤตดูเหมือนจะไม่ย่อท้อกับการเที่ยว พอได้รู้ใจรู้ความคิดของคนรัก ได้กอดได้สัมผัส ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กหนุ่มเพียงเท่านี้ก็...มีแรงเที่ยวสู้อากาศหนาวขึ้นมาอีกเป็นกอง
+++++++++++++++++++
ทั้งสองคนตะลอนทัวร์กันไปตามสถานที่ท่องเที่ยวที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คของโอซาก้า จุนเจือยืนถ่ายรูปชูสองแขนแข่งกับกูลิโกะแมนบนสะพานข้ามแม่น้ำที่ไหลตัดผ่านกลางย่านการค้าของเมือง ท่าทางของเด็กหนุ่มที่ยืนให้ทินกฤตยกกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปนั้นดึงดูดสายตาผู้คนได้ไม่น้อย
ไม่เว้นแม้แต่กับตุ๊กตาหุ่นใส่แว่นยืนตีกลองที่ต้องเข้าคิวรอถ่ายรูปคู่ด้วยจุนเจือก็โพสต์ท่าเรียกเสียงหัวเราะจากทินกฤตได้ไม่น้อย ทั้งสองคนเดินอยู่แถวบริเวณ โดะตมโบะริ และ ชินไซบะชิอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเร่งทานทาโกะยากิลูกกลมร้อนฉ่าอบอถ่นร่างกายกันอีกนิด ก่อนจะนั่งรถไฟใต้ดินเดินทางไปยังปราสาทโอซาก้าที่ทินกฤตบ่นว่าอยากจะเห็นนักหนา
เดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน มองเห็นบ้านไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางลานกว้าง และแท่งกลมทำจากคอนกรีตที่ผุดขึ้นมาจากกลางลาน ลองนับจำนวนดูแล้วก็เท่ากับจำนวนของเสาของบ้านไม้นั้นจริงๆ ไม่มีคำอธิบายอะไรมากนอกจากป้ายเล็กๆที่บอกว่านั่นเป็น บ้านที่จำลองมาจากบ้านเมื่อหลายร้อยปีก่อนของโอซาก้า ใครจะไปคิดกันเล่าว่า สิ่งปลูกสร้างเล็กๆที่จะลองแบบมาจากของโบราณนี่จะตั้งอยู่ติดกับตึกรูปทรงแปลกตาของสถานีโทรทัศน์ NHK สำนักงานโอซาก้า
ทั้งสองคนเดินฝ่าลมหนาวที่พัดผ่านช่องลมระหว่างตัวตึก ถนนสองข้างทางไม่มีอะไรมากนอกจากต้นไม้ที่ปลูกประดับเอาไว้ รถราหรือก็ไม่ค่อยจะเห็นมีวิ่งผ่านทั้งที่เป็นเวลาเลยบ่ายสองเข้าไปแล้วก็ตามที จนเมื่อเดินมาเข้าเขตปราสาทโอซาก้าที่เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาของเหล่านักท่องเที่ยว ทิวทัศน์ก็เริ่มเปลี่ยนไป
ต้นสนญี่ปุ่นขึ้นเรียงเป็นทินแถว เคียงคู่ไปกับแนวคลองที่โอบล้อมรอบกำแพงสูง มองไปอีกฝั่งมีต้นไม้ไร้ใบขึ้นเรียงกันเป็นแนวยาว
"เจือ นั่นต้นอะไรทำไมไม่มีใบเลย...." ทินกฤตถามออกมา ลักษณะของมันคุ้นๆเหมือนเขาเคยเห็นบนถนนที่นิวยอร์ค
"ซากุระน่ะ..เห็นแต่ต้นเนอะ "เด็กหนุ่มตอบ ควันขาวๆออกจากปากไปด้วยเวลาที่พูดคุยกัน
" พี่เทียนเคยเห็นซากุระญี่ปุ่นไหม..สวยมากเลยนะ "
"อืมมมม ไม่รู้ซิ่ คุ้นๆเหมือนจะเคยเห็นที่นิวยอร์ค" ทินกฤตว่าพลางหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด
"เสียดายนะ ตอนนี้หน้าหนาวยังไม่บาน แต่...ไว้พี่จะหาทางมาดูดอกไม้กับเจือนะ"
"ต้องมาหานะ..สัญญาด้วย " เด็กหนุ่มสบตาอีกฝ่ายแล้วยิ้มให้
"ครับ....สัญญาครับ" ทินกฤตว่าพลางจูงมืออีกฝ่ายให้เดินข้ามสะพานเพื่อเข้าไปในตัวปราสาทชั้นใน ประตูบานใหญ่เปิดรอรับพวกเขาอยู่แล้ว พลันมองเห็นปราสาทโอซาก้าตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ไม่วายยังมีภาพขัดตาด้วยตึกทรงยุโรป ตั้งอยู่ไม่ห่างกันเท่าไร บ่งบอกได้ถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไปของญี่ปุ่น
+++++++++++++++++++
เมื่อเดินเข้าไปอีกหน่อยเห็นซุ้มขายตั๋วอยู่ที่ตรงด้านล่าง เป็นตู้ขายตั๋วแบบอัตโนมัติตั้งเรียงกันอยู่สามถึงสี่ตู้ ถ้าใครมาแบบกรุ๊ปทัวร์ก็ซื้อทีได้เลยครั้งละยี่สิบสามสิบใบ ระหว่างรอจุนเจือซื้อตั๋วก็หันมองไปรอบๆ ได้กลิ่นอาหารลอยมาตามลม มีซุ้มขายอาหารอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของลานกว้าง ต้นซากุระต้นใหญ่ยืดตัวตระหง่านอยู่กลางลาน เช่นเดียวกันกับตรงด้านล่างของปราสาทไม่ใกล้ไม่ไกลกันก็จะมีต้นซากุระยืนต้นอยู่นิ่ง ยากจะคาดเดาว่ามันยืนต้นที่นี่มานานกี่ปีแล้ว
ทั้งๆที่ภาพในหัวที่คาดการณ์เอาไว้ว่าจะเป็นปราสาทเก่าแก่ มีแต่ของเก่าตั้งเรียงราย แต่สิ่งแรกที่ทั้งสองหนุ่มพบเจอคือ ลิฟท์ที่พาพวกเขาขึ้นไปยังชั้นบนสุด จุดชมวิวชั้นเยี่ยมอีกแห่งของเมือง ด้านบนแคบอยู่ใช่ย่อย เมื่อเดินฝ่ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต่างก็อยากจะมาชมวิวออกมาที่ด้านนอก ก็สัมผัสกับลมแรงและอากาศหนาวเย็นบาดผิว ด้านข้างของกำแงมีลวดลายปูนปั้นนูนต่ำรูป นกกระเรียน ภายใต้กรอบพลาสติกขนาดใหญ่ ทิวทัศน์ที่มองได้นั้นต้องมองผ่านลูกกรงขนาดใหญ่ที่คงกั้นไว้เพื่อความปลอดภัยและกันพวกนกพิราบตัวดีทั้งหลายมาทำรัง มองออกไปเห็นชิงช้าสวรรค์สีแดงที่อยู่ใกล้กับโรงแรมของตัวเองก็พลางชี้ให้จุนเจือดู
"นั่นไง เดี๋ยวรอให้มืดแล้วเราไปชมวิวกลางคืนกัน"
"คร้าบๆ ตื่นเต้นเป็นเด็กๆเลยนะ คนเรา "จุนเจือแซวคนรักพลางหัวเราะเบาๆ
“ใครว่าตื่นเต้น ชี้ให้ดูหรอก ...” ทินกฤตรีบแก้ตัว
+++++++++++++++++++
ทั้งสองคนอยู่กันข้างนอกได้ไม่นานนักก็ตัดสินใจกลับเข้ามาด้านใน เพราะเจอลมเย็นเยียบตีเข้าให้จนผ้าพันคอของจุนเจือเกือบจุหลุดลอยไป สุดท้ายแล้วก็ต้องค่อยๆเดินกันลงมาจากชั้นเจ็ด สลับกับการเดินชมวัตถุโบราณต่างๆที่จัดแสดงเอาไว้ และก่อนจะลาจากปราสาทโอซาก้า ไม่วายจุนเจือยังอ้อนอยากจะได้เหรียญที่ประทับตราเป็นรูปของปราสาทติดเป็นของฝากกลับไปด้วย กว่าทั้งสองคนจะออกมาได้ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วทั้งที่เป็นเวลาแค่สี่โมงเย็นเท่านั้น
ได้ยินเสียงจุนเจือรบเร้าหนัก บวกกับความหนาวเย็นที่ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งอุณหภูมิลดต่ำลงมากเท่านั้น ทินกฤตตัดใจจากการเดินชมศาลเจ้าที่อยู่ใกล้ๆ นั่งรถไฟใต้ดินกลับทางเดิมไปยังสถานีรถไฟใหญ่ใกล้ๆโรงแรมของพวกเขาทันที
ยามกลางคืนในย่านอุเมะดะของโอซาก้านั้นเต็มไปด้วยสีสัน แหล่งช็อปปิ้งขนาดใหญ่นั้นยังคราคร่ำไปด้วยผู้คน ทินกฤตพาจุนเจือเดินตามแผนที่ข้ามถนนแคบๆที่มีผู้คนเดินสวนไปมาขวั่กไขว่เดินเข้าไปในห้างชื่อดังที่มีสัญลักษณ์เป็นปลาวาฬสีแดงขนาดมหึมา กับ ชิงช้าสวรรค์สีแดงสดขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่บนยอดตึก HEP Five
ซื้อตั๋วจ่ายกันไปด้วยเงินจำนวนเล็กน้อยก็ได้ขึ้นไปนั่งในกระเช้าทรงกลมสีแดงสด
"เห็นเขาเขียนว่ามันจะหมุนประมาณสิบห้านาที...."ทินกฤตเอ่ยเบาๆเมื่อกระเช้าของชิงช้าสวรรค์ค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นเผยให้เห็นวิวเหนือยอดตึก
"กลัวความสูงรึเปล่าเนี่ย..นี่ พี่อย่ามองไปข้างล่างนะ เดี๋ยวหัวใจวาย " เด็กหนุ่มแหย่คนแก่กว่า พลางหัวเราะ
"ไม่หรอก...ดูซิ่ วิวออกจะสวย" เบื้องล่างท้องฟ้ายามราตรีสีดำสนิทของโอซาก้านั้นคือแสงเรืองรองของตึกสูงและถนนหนทางที่เป็นประกาย ไม่ได้ต่างจากกล่องอัญมณีที่ส่องแสงล่อตาล่อใจของคนที่ได้เฝ้ามอง
"อื้ม..เห็นทั่วเมืองเลยล่ะ .. สวยเนอะ " จุนเจือมองออกไปด้านนอก แสงไฟระยิบระยับนั่นทำให้เขายิ้มออก ยิ่งได้มาดูมันกับคนรักแบบนี้แล้วล่ะก็
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มทำให้คนที่ใช้ศีรษะพิงกระจกเย็นเฉียบของตัวกระเช้าต้องขยับตัว พื้นที่ด้านในแม้มีไม่มาก แต่ก็เพียงพอจะให้ทินกฤตหนึ่งคนลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าของจุนเจือได้อย่างพอดี มือแกร่งหยิบเอากล่องกำมะหยี่ที่ซุกอยูในกระเป๋าเสื้อของเขามาตลอดช่วงบ่ายขึ้นมา
"เจือ...."
ท่าทางของคนรักทำเอาจุนเจือต้องรีบนั่งเรียบร้อยจนแทบไม่ทัน
" ครับ? "
สิ่งที่อีกฝ่ายทำดูเป็นทางการ จนเริ่มเกร็งอย่างช่วยไม่ได้ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงจนกลัวว่าทินกฤตจะได้ยินด้วยหรือเปล่า
ภายในตัวกระเช้าเงียบสนิทมีเพียงเสียงของโครงสร้างขนาดยักษ์ที่ค่อยๆขับเคลื่อนไป ชายหนุ่มร่างสูงค่อยเปิดกล่องกำมะหยี่น้อยที่อยู่ในมือ เผยให้เห็นแหวนสองวงที่บรรจุอยู่เคียงกันด้านใน
"จุนเจือ...ช่วยอยู่เคียงข้างพี่ไปตลอดชีวิตเลยจะได้ไหม" "พี่..แน่ใจนะ ว่าเจือดีพอสำหรับพี่แล้ว?.. " น้ำเสียงสั่นอย่างตื่นเต้นระคนตื้นตันใจ ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะมีโอกาสได้ถูกขอจากใครบางคนแบบนี้ ทินกฤตหัวใจหล่น ดวงตาคมที่สะท้อนแสงไฟสีแดงฉานที่สาดส่องเขามานั้นไหววูบ
"เจือไม่มั่นใจในตัวพี่เหรอ"
"ไม่ใช่ฮะ..ไม่ใช่ " เด็กหนุ่มจับข้อมืออีกฝ่ายไว้ มือของเขาเย็นเฉียบ
" เจือ..เจือน่ะ ดีแต่ทำให้พี่เป็นห่วงอยู่ตลอด .. เจือไม่รู้ว่า เจือจะช่วยอะไรพี่ได้บ้างรึเปล่า ทั้งเรื่องงานแล้วก็เรื่องอื่นแบบนี้ "ดวงตาคู่สวยสบตาอีกฝ่ายนิ่ง
”....... เจือเป็นคู่ชีวิตที่ดีของพี่ได้จริงๆน่ะเหรอ? "
"ไม่ว่าเจือจะถามพี่อีกกี่ครั้ง พี่ก็จะตอบว่าใช่
เจือเป็นคู่ชีวิตของพี่ พี่ไม่เคยรัก หวง ห่วงใครได้มากมายขนาดนี้มาก่อน ชีวิตนี้หากจะให้พี่ต้องดูแลใคร พี่ก็อยากให้คนๆนั้นเป็นเจือ...คนดีของพี่คนนี้ล่ะ" ทินกฤตตอบคำตอบนั้นหนักแน่น เช่นเดียวกับสัญญารักทองคำขาวทั้งสองวงนี้ มือแกร่งยืนไปจับมือของเด็กหนุ่มในขณะที่อีกมือก็ดึงเอาแหวนออกมา เขาวางกล่องกำมะหยี่นั้นไว้ใกล้ๆ ดวงตาคมเงยหน้าสบดวงตาของเด็กหนุ่มนิ่ง
"พี่จะถามเจืออีกครั้ง...ได้โปรดอย่าให้พี่ต้องย้ำคำมากไปกว่านี้....เจือจะอยู่เคียงข้างพี่ไปตลอดชีวิตเลยจะได้ไหม""ถ้าพี่รักเด็กดื้อ แถมไม่เอาไหน คนนี้ได้ล่ะก็.............”
ดวงตาคู่เป็นประกายเมื่อสะท้อนแสงไฟ ขอบตาร้อนผ่าว อาการตื้นตันใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง
” เจือจะอยู่กับพี่ไปทั้งชีวิต "ทินกฤตยิ้มก่อนค่อยๆสวมแหวนที่เด็กหนุ่มเป็นคนเลือกแบบให้กับอีกฝ่าย...ที่นิ้วนางข้างซ้าย ก่อนก้มลงจูบที่เพชรเม็ดงามนั่นเบาๆ
"พี่สัญญาว่าจะรัก จะดูแล และจะคอยเจืออย่างอดทนจนกว่าเจือจะกลับไปอยู่กับพี่ที่เมืองไทยนะคับ"
"เจือก็สัญญา ว่าเจือจะเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ จะตั้งใจทำงาน ทำให้ทุกคนยอมรับเจือให้ได้..แล้วถึงวันนั้น เราจะได้อยู่ด้วยกันนะฮะ "เด็กหนุ่มตอบกลับมา
ทินกฤตยิ้ม ดวงตาคมสบตาของอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น ได้ยินเสียงประท้วงแผ่วๆว่ายังไม่ได้สวมแหวนให้กับตัวเองเลย ทินกฤตจึงได้ถอยออกมาแล้วยื่นแหวนวงใหญ่ให้กับอีกฝ่าย พร้อมยื่นมือซ้ายของตัวเองให้กับเด็กหนุ่มแหวนวงใหญ่อีกวงสวมเข้าที่นิ้วนางข้าวซ้ายของทินกฤตด้วยท่าทีเก้อเขินของเด็กหนุ่มร่างบาง
"เพิ่มสัญญาอีกข้อได้ไหม" ทินกฤตเอ่ยเบาๆ มองแหวนทองคำขาวกับเพชรที่เป็นประกายอยู่บนนิ้วสลับกับใบหน้าของอีกฝ่าย
"สัญญาอีกข้อ? " จุนเจือทวนคำของอีกฝ่าย ใบหน้าสวยมองแหวนในมือสลับกับใบหน้าคมของคนรัก
"สัญญาว่าจะเป็นเมียที่ดีของพี่...เริ่มต้นที่คืนนี้เลยนะครับ" ชายหนุ่มตอบพลางยิ้มกว้างอย่างขี้เล่น
"แล้วที่แล้วมา..ไม่ดีเหรอ? " จุนเจือกระซิบถามเบาๆ มือเรียวโอบรอบแผ่นหลังกว้างเข้ามาหาตัว ข้างแก้มเนียนซุกเข้ากับกกหูของอีกฝ่าย ได้กลิ่นหอมจางๆจากน้ำหอมที่อีกฝ่ายใช้ แต่ที่เด่นชัดคงเป็นความอบอุ่นจากผิวกายนี้มากกว่า
" เจือสัญญา ว่าจะเป็นเมียที่ดีของพี่นะ..รักนะครับ "เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มเรียกตัวเองด้วยคำที่เขาอายแบบนั้น ใบหน้าสวยซับกับไล่กว้างหลังจากที่พูดออกไปอย่างอับอาย
"ครับ...พี่ก็รักเจือเหมือนกัน" ทินกฤตเอ่ยเบาๆก่อนขยับถอยออกมา ก้มหน้าลงเข้าหาใบหน้าที่ยังงุดจะซบอกเขาด้วยความเขินอาย ช่วงชิงเอาสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากนุ่มนั้นมาได้เป็นผลสำเร็จ
ทั้งสองจูบกันและกันแผ่วเบา ก่อนจะถอนริมฝีปากออกมายิ้มให้กัน แล้วจึงจูบกันอยู่แบบนั้นซ้ำๆ ท่ามกลางแสงระยิบระยับจากไฟของอาคารเบื้องล่างและจากแหวน"แต่งงาน"ทั้งสองวงในมือของทั้งคู่นั่นเอง
+++++++++++++++++++
talk : หายไปน้าน นานนนนนนนนนนนนนน ต้องขอโทษด้วยนะคะ .. ทุกท่านคะ โค้งสุดท้ายแล้วนะคะ^^