ตอนที่ 26 ความจริง [1/2]
“พี่นอนก่อนก็ได้นะ ถึงแล้วกรจะเรียก” ผมหันไปพูดกับคนที่นั่งทำตาปรอยอยู่ที่เบาะด้านข้างผม หลังจากผมขับรถมาได้สักพัก ตั้งแต่เขามาถึงบ้านผมจนตอนนี้ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย ได้แต่นั่งเหม่อมองออกไปทางกระจกด้านข้างรถ พอผมชวนเขาคุย เขาก็จะหันมายิ้มบางๆ กับผม และคุยตอบผม แต่ไม่นานเขาก็จะเงียบลงไปเหมือนเดิม
“หึ นั่งเป็นเพื่อนกันดีกว่า” เขาส่งเสียงในลำคอเพื่อปฏิเสธ แล้วพูดขึ้น ก่อนจะเอนเบาะที่เขานั่งอยู่ลง แล้วเอนตัวตามลงไป โดยพลิกตัวและหันหน้ามาทางผม
“พรุ่งนี้เช้าไปทำบุญกันนะ คราวที่แล้วกรเห็นมีวัดอยู่ใกล้ๆ บ้านพี่ด้วย”
“อืม” เขาตอบ แล้วผมก็เหลือบไปเห็นว่าเขากำลังจับหรือลูบอะไรสักอย่างที่อยู่ในมือเขา ผมเองก็มองไม่ถนัดนักเพราะความมืด อีกทั้งต้องคอยมองทางข้างหน้าไปด้วย
ผมขับรถต่อไปเรื่อยๆ พอหันไปอีกครั้งก็เห็นว่าคนที่บอกว่าจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนผมตอนขับรถ ได้หลับไปแล้ว
.
.
.
“พี่กันต์ถึงแล้วครับ” ผมเปิดไฟภายในรถ ก่อนจะส่งเสียงเรียกคนข้างๆ หลังจากขับรถมาจอดหน้าประตูรั้วสีขาว พอมองเข้าไปในบ้านก็เห็นว่ามีแต่ดวงไฟตามต้นเสาสีดำที่มีความสูงไม่มากนัก คอยทำหน้าที่ให้แสงสว่างรอบตัวบ้าน ส่วนภายในบ้านนั้นมืดสนิท
“อืม กุญแจบ้านคล้องอยู่กับกุญแจรถ ปลดออกมาหน่อย เดี๋ยวพี่ไปไขรั้วให้” พี่กันต์ขยับตัวลุกขึ้นมา และบอกกับผม ผมจึงมองไปที่กุญแจรถ แล้วก็เห็นกุญแจอีกสองดอกที่ถูกห้อยไว้โดยสายโซ่เล็กๆ ก่อนจะปลดโซ่แยกกุญแจสองดอกนั้นออกมาแล้วส่งให้พี่กันต์
.
.
.
เมื่อประตูรั้วถูกเปิดออก ผมก็ขับรถเข้ามาจอดที่โรงจอดรถ พอผมก้าวลงมาจากรถพี่กันต์ก็เดินมาคว้าข้อมือของผมไว้ ก่อนจะดึงให้เดินตามเขาไป
เราสองคนเดินมาตามทางเดินของสนามที่ล้อมรอบตัวบ้าน จนผ่านมาอยู่อีกฝั่งของตัวบ้าน ด้านที่ติดกับชายหาด ส่วนมือของพี่กันต์ที่จับข้อมือของผมมาในตอนแรก ตอนนี้เปลี่ยนมาจับมือผมไว้แทน และจูงให้ผมเดินตามเขาลงบันไดไปจนเราทั้งคู่มายืนอยู่บนชายหาด
พอลงมาที่ชายหาดแล้ว คนข้างกายก็ทำท่าเหมือนมีอะไรจะพูดกับผม เขาหันหน้ามาทางผม ผมเองก็หันไปทางเขาเช่นกัน ก่อนที่เขาจะปล่อยมือของผมออก แล้วยกแขนขึ้นไปกอดตัวเองไว้แทน ตอนนี้ใบหน้าของพี่กันต์ที่ผมมองเห็นภายใต้แสงไฟที่ส่องมาจากในสนามนั้นดูเศร้าจนผมเริ่มเป็นกังวล
“กร...”
“ครับ”
“เมื่อวันก่อน... ที่พี่บอกว่า... ออกไปกินข้าว” ผมฟัง และนึกตามที่คนตรงหน้าพูดออกมาอย่างช้าๆ อืม วันก่อนเขาบอกผมว่าออกไปกินข้าวกับพี่กาวน์ นี่เขาไปมีเรื่องอะไรกันมาอีกหรือเปล่า
“คือ...“ คนตรงหน้าผมก้มหน้าลง และพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับผม แต่เหมือนว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะพูดออกมา เขากระชับอ้อมแขนที่กอดตัวเองไว้ให้แน่นขึ้น ผมสังเกตเห็นว่ามือของเขาบีบที่ต้นแขนของตัวเองจนแน่น คล้ายกับว่าจะให้มันช่วยหยุดอาการสั่นน้อยๆ ที่เจ้าตัวกำลังเป็นอยู่
ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแต่ยกมือขึ้นไปหมายจะจับมือของเขาที่เกาะกุมอยู่ที่ต้นแขนของตัวเองจนแน่นนั้นให้คลายออก แต่... เขากลับสะดุ้งเล็กน้อยและเกร็งตัวขึ้นมา แล้วทำท่าเหมือนจะขยับตัวถอยห่างจากผม แต่ยังไม่ทันได้ขยับ เพราะเจ้าตัวเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ คือ ผม
“พี่กันต์ เป็นอะไร” ผมถามออกไปอย่างคนที่เริ่มใจคอไม่ดี เมื่อเห็นอาการของคนตรงหน้า
“พี่กับเขา...” พี่กันต์พูดออกมาอีกครั้ง คราวนี้มันยิ่งทำให้ตัวของเขาเริ่มสั่นมากขึ้น
“ไม่ต้องพูดแล้วนะ” ผมพยายามพูดออกมาดวยน้ำเสียงที่เป็นปกติ ทั้งๆ ที่ตอนนี้มันเหมือนว่ามีก้อนอะไรสักอย่างมันกำลังจุกอยู่ในลำคอ จนแทบจะทำให้ผมพูดออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นร่างกายของคนตรงหน้าสั่นมากขึ้น ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาช่วงที่เขาไม่ได้อยู่กับผม แต่อาการของคนตรงหน้ามันทำให้ผมเป็นกังวลและอดกลัวไม่ได้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขามันจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายเกินกว่าที่ผมจะคาดคิด ถึงแม้บุคคลที่สามที่เรากำลังเอ่ยถึงกันอยู่ตอนนี้จะขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายขอคนที่อยู่ตรงหน้าผม แต่อาการของพี่กันต์ล่ะ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้เมื่อผมสัมผัสเขา แต่ตอนนี้เขากลับทำท่าตกใจและเกร็งตัวขึ้นมาเพียงแค่ผมจะจับมือเขา คล้ายกับว่าเขากำลังกลัว
ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาได้ตอนนี้มันจะใช่หรือเปล่า แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรให้มากไปกว่านั้น ผมก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปที่สาบเสื้อด้านบนของคนตรงหน้า พอเห็นผมทำแบบนั้น เจ้าของเสื้อก็คว้าข้อมือของผมเอาไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” ผมบอกคนตรงหน้าเบาๆ จนเขาคลายมือออก แล้วกลับไปกอดตัวเองไว้เช่นเดิม จากนั้นผมก็ปลดกระดุมเสื้อเม็ดที่สองของเขาออก ก่อนจะจับสาบเสื้อทั้งสองข้างให้แยกออกจากกันช้าๆ และมองหาอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ผมไม่อยากหามันเจอ บางทีผมอาจจะคิดอะไรในทางลบมากจนเกินไป มันอาจจะไม่มีอะไร หรือบางทีถึงผมจะเจอสิ่งที่กำลังจะหา มันก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ความคิดของผมตีกันอยู่ในหัว แล้วได้แต่คิดว่า “ไม่มีอะไร ๆ กูมันบ้าไปเอง บ้าที่คิดอะไรบ้าๆ”
ผมเห็นรอยพวกนั้นอยู่ที่ซอกคอของเขาตั้งแต่ตอนที่ผมหันไปปลุกเขาที่เอนหัวพิงกระจกเอาไว้ แสงไฟในรถบวกกับแสงไฟจากดวงไฟที่ต้นเสาของรั้วหน้าบ้านมันสว่างพอที่จะทำให้ผมมองเห็นร่องรอยบางอย่าง เมื่อผมมองหาร่องรอยที่ไม่อยากให้มันมีมากไปกว่าที่เห็นในตอนแรก ผมกลับเจอมัน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ยังหวังให้มันไม่มีเรื่องอะไร มันคงไม่มีอะไร ไม่อยากให้มี แต่อาการของคนตรงหน้าที่แสดงออกมาตอนนี้ กลับกำลังปฏิเสธสิ่งที่ผมคิดว่า มันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ผมไม่รู้ว่าผมกำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน มันทั้งเสียใจ ทั้งโกรธกับสิ่งที่ผมเห็น ผมไม่ได้โกรธคนตรงหน้า แต่ผมโกรธคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ และโกรธตัวเองที่ดูแลเขาไม่ได้
ผมปล่อยมือที่จับสาบเสื้อของเขาไว้ แล้วเปลี่ยนมารวบตัวของเขามากอดไว้ทั้งตัว ผมรู้สึกถึงอาการสั่นของคนในอ้อมกอดมากขึ้น และตามมาด้วยแรงสะอื้น เขาเริ่มสะอื้นจะตัวโยนอย่างคนที่กำลังปลดปล่อยทุกอย่างที่ตัวเองได้อัดอั้นเอาไว้ออกมา จนผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไงต่อไปดี
ผมได้แต่กอดคนที่กำลังสะอื้นไห้เอาไว้ ผมไม่รู้ว่าผมควรจะพูดคำไหนออกไปก่อน เพื่อให้เขาหยุดร้องไห้ ผมรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่หน้าอกของผมที่มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะน้ำตาจากคนที่ซบหน้าอยู่ที่อกผม แล้วภาพของคนในอ้อมแขนผมตอนนี้มันเริ่มพร่ามัว จนกลายเป็นเพียงแค่เงาลางๆ คงเป็นเพราะน้ำใสๆ ที่มันเอ่อคลอขึ้นมาจนเต็มสองตาของผม และมันกำลังจะไหลลงมา
“กรรักพี่นะครับ”
“พี่ได้ยินไหม กรรักพี่นะ”
ผมไม่รู้ว่าผมควรจะพูดคำไหนออกไปในเวลานี้ แต่ถ้าเป็นเขา เท่าที่ผมนึกได้ มันคงมีแค่คำๆ นั้น
คำว่า “รัก” ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ผมก็อยากจะพูดคำๆ นี้ ให้เข้าได้ยิน
แม้แต่ผมตัวเองยังรู้สึกเจ็บได้มากขนาดนี้ แล้วคนที่กำลังสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดผมนี่ล่ะ เขาเจ็บมากแค่ไหน ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบผมของเขาเบาๆ ในขณะที่น้ำตาของผมมันก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ แม้ผมจะพยายามสั่งตัวเองให้หยุด หรือกลั้นมันไว้แค่ไหน มันก็ไม่สามารถเป็นอย่างที่ใจคิด
“กรรักพี่นะ เราจะอยู่ด้วยกันนะ กรจะอยู่กับพี่... ไม่ไปไหน... นะครับ”
“พี่เห็นแก่ตัวหรือเปล่า ฮึก... พี่เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า” เสียงพูดปนสะอื้นของคนที่ยังคงซบอยู่กับอกผมพูดขึ้นมา
“พี่เห็นแก่ตัวหรือเปล่าที่พาตัวเองกลับมา”
“ทั้งๆ ที่ เป็นแบบนี้” คนในอ้อมกอดผมพูด และสะอื้นไปในเวลาเดียวกัน
“ไม่ ไม่เลย พี่รู้ไหมว่าพี่จะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้าพี่ทิ้งกรไป”
“กรรู้ว่าพี่ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ กรรู้” ผมพูดออกไป
ถึงจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่เราสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่บางครั้งเวลามันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับความรักเสมอไป ผมรักคนๆ นี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพียงแค่เขายังให้โอกาสผม ให้โอกาสที่จะได้รักเขา ผมก็จะรัก
“ขอบ คุณ” พี่กันต์เงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม ในขณะที่น้ำตายังคงรินไหลลงมาเปรอะสองข้างแก้ม ผมทำแค่เพียงพยักหน้าตอบเบาๆ และคลายอ้อมแขนออกจากตัวของเขา ก่อนยกมือขึ้นไปประคองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาไว้แทน แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือช่วยเกลี่ยน้ำตาของเขาออกอย่างเบามือ และพี่กันต์ก็ทำแบบนั้นกับผมเช่นเดียวกัน
“ไม่ร้องแล้วนะครับ” ผมพูด แล้วพี่กันต์ก็พยักหน้าตอบผมกลับมาเป็นการตกลง
“กี่โมงแล้ว” ประโยคคำถามถูกส่งมาจากคนตรงหน้าทำให้ผมยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาเพื่อที่จะหาคำตอบ
“อีกห้านาที จะเที่ยงคืน” ผมตอบเขา แล้วผมก็เห็นเขาถอดแหวนที่สวมอยู่ที่นิ้วนางข้างขวาออกมาก่อนจะขยับให้แหวนที่ผมเห็นในมือเขาแยกออกจากกัน มันเป็นแหวนทองคำขาวที่ซ้อนทับกันอยู่สองวงอย่างแนบเนียนจนดูไม่ออก พี่กันต์สวมแหวนวงด้านในที่เล็กกว่ากลับเข้าไปที่นิ้วดังเดิม จากนั้นก็คว้ามือของผมขึ้นมา แล้ววางแหวนที่วงใหญ่กว่าลงในมือผม และจับมือผมให้กำแหวนลงนั้นไว้ ก่อนจะผละมือของตัวเองออกไป
“สุขสันต์วันเกิดนะ” คนตรงหน้าก้มหน้าก้มตาพูดกับผม
“จะไม่ใส่ให้กรหรอ” ผมพูดกับคนตรงหน้า ในขณะที่ผมมองดูแหวนที่อยู่ในมือ และเห็นว่าด้านในถูกสลักพยัญชนะตัวแรกของชื่อเราสองคนที่เหมือนกันไว้คู่กัน
“......................” พี่กันต์ยังคงก้มหน้าและไม่ตอบอะไรผม ผมกำลังคิดว่าถ้ามันเป็นเวลาปกติที่ไม่ใช่ตอนนี้ ผมคงไม่ต้องเอ่ยคำถามเมื่อกี้กับเขา
“ใส่ให้กรนะครับ” ผมยื่นมือที่มีแหวนที่ได้รับมาวางอยู่ออกไปข้างหน้า เพื่อจะให้พี่กันต์รับไป แล้วเขาก็ยื่นมือรับไป ก่อนจะส่งมันกลับมาให้ผมที่นิ้วนางข้างขวา นิ้วเดียวกันกับที่มีแหวนอีกวงอยู่กับเขา
“ขอบคุณครับ”
..........................................................................