ตอนที่ 25 แค่ฝันร้าย... ใช่ไหม
>>แกร้ก... แอ้ดดด...<<
ผมละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปที่ประตูห้องเมื่อได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออก โดยที่ไม่มีเสียงเคาะประตูบอกล่วงหน้า และคนที่จะทำแบบนี้ก็มีเพียงคนเดียว “พี่กาวน์”
เขาจะถามคนข้างนอกมาก่อนว่ามีใครอยู่ในห้องผมหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็จะเข้ามาเลย เวลามาก็ไม่เคยบอกล่วงหน้า แต่จะใช้วิธีโทรถามคุณฟ้าว่าผมอยู่ที่ออฟฟิศหรือเปล่า
พอผมเห็นว่าเป็นคนที่เข้ามาเป็นคนที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ ผมก็ทำเฉย และหันกลับไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดงานค้างไว้ดังเดิม โดยไม่ได้เอ่ยทักคนที่เข้ามาใหม่แต่อย่างใด ผมยังคงเงียบอยู่แบบนั้น และทำเพียงแค่เหลือบมองว่าพี่กาวน์จะทำอะไร
แล้วผมก็ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาตัวยาวที่อยู่อีกด้านของห้อง แล้วหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่าน
ส่วนผมเองก็ไม่มีสมาธิที่จะจดจ่ออยู่กับงานสักเท่าไร คงเพราะความอึดอัดที่มีอยู่ตอนนี้ หลังจากอะไรหลายๆ อย่างที่มันเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันนี้ จนผมอดคิดไม่ได้ว่า บรรยากาศระหว่างผมกับพี่กาวน์ที่มันกลายเป็นแบบนี้ มันเป็นความผิดของผม พี่กาวน์ไม่ได้ผิดอะไรเลย จะโทษเขามันก็คงไม่ถูกที่ไม่เข้าใจผม แต่มันเป็นเพราะผมเองต่างหากที่เลือกทำในสิ่งที่มันผิดในสายตาของเขา
.
.
.
จากเวลาที่พี่กาวน์มาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง และก็ใกล้จะถึงเวลาเลิกงานของพนักงานทั่วไป ส่วนผมคงนั่งทำงานต่อไปตามปกติอย่างเช่นที่เคยทำ ปกติกว่าผมจะออกจากออฟฟิศก็เลยเวลาเลิกงานไปแล้ว ถ้าเลิกเร็วผมจะออกจากออฟฟิศประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมงหลังเวลาเลิกงาน ถ้าทำงานเพลินๆ ก็เลยไปสามถึงสี่ชั่วโมงหรืออาจจะมากกว่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ผมมักจะออกจากออฟฟิศเร็วขึ้น เพราะรู้ว่ามีใครคนหนึ่งกำลังรอผมอยู่ ถึงเขาจะไม่เคยบ่นเรื่องที่ผมกลับดึกอย่างที่ผมทำในช่วงแรกๆ จะบ่นบ้างก็แค่ไม่อยากให้ผมเครียดเกินไปหรือโหมงานจนไม่สบายแค่นั้น
“กันต์” เสียงจากคนที่นั่งอยู่ที่โซฟาเรียกผม ผมเลยเหลือบตาไปมองทางเขา ที่หันมามองผมอยู่ก่อนแล้ว
“ครับ” ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงปกติ ในตอนนี้ผมกำลังทำในสิ่งที่มันเคยเป็นมาก่อนหน้าที่เราจะมีเรื่องทะเลาะกัน ผมกำลังทำทุกอย่างให้เป็นปกติ เป็นอย่างที่ผมกับพี่กาวน์เคยเป็น
“เย็นนี้กินอะไร” พี่กาวน์ถามผม ก่อนจะปิดหนังสือในมือแล้ววางลงบนโต๊ะเช่นเดิม
“ไปกินร้านเดิมไหม ตั้งแต่กลับมาพี่ไปร้านนั้นมาหรือยัง” ผมเสนอ แล้วถามเขากลับ พี่กาวน์จะมีร้านโปรดอยู่ร้านหนึ่ง เป็นร้านอาหารไทยแท้ เรียกว่าตำรับชาววังเลยล่ะ เขาเคยบอกผมว่า นานๆ กลับมาก็อยากกินอาหารไทยแท้ๆ บ้าง เพราะอยู่นู่นหากินยาก จะให้ทำเองมันก็ยุ่งยากเกินไป
“อืม ไปร้านนั้นก็ได้ แล้วทำงานเสร็จหรือยัง”
“ไปเลยก็ได้” ผมตอบ แล้วลงมือปิดคอมพิวเตอร์ เก็บเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบมือถือมาส่งข้อความบอกกรว่า ผมจะออกไปกินข้าวกับพี่กาวน์ จะโทรหาเขาผมก็ไม่อยากให้พี่กาวน์ได้ยิน จนเกิดเป็นเรื่องให้ทะเลาะกันขึ้นมาอีก พอผมกดส่งข้อความไปแล้ว ยังไม่ทันที่จะเก็บเอกสารบนโต๊ะเรียบร้อย กรก็ส่งข้อความตอบกลับมาว่า ให้ผมดูแลตัวเองด้วย นี่เขาคิดว่าผมจะเดินเข้าสนามรบหรือไงกัน แล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้เพราะตัวการ์ตูนที่เขาส่งต่อท้ายข้อความ หึหึ ผมเผลอหัวเราะออกมา แล้วก็รีบหยุดไว้ เพราะกลัวคนที่นั่งอยู่ในห้องด้วยจะสงสัย
พอผมเก็บของแล้วก็เดินไปปิดไฟในห้อง และเดินออกจากห้องไป โดยมีพี่กาวน์เดินตามออกมา
………………………………………………….
“ไปรถพี่แล้วกัน” พี่กาวน์พูดขึ้นเมื่อเราสองคนเดินมาถึงที่จอดรถ
“เดี๋ยวกันต์เอารถไปเองดีกว่า ขากลับพี่จะได้กลับบ้านเลย ไม่ต้องแวะมาส่งกันต์” ผมบอกพี่กันต์
“ไม่เป็นไรพี่พักอยู่แถวนี้” พี่กาวน์พูด พร้อมกับกดรีโมทรถของตัวเอง ก่อนจะเดินไปขึ้นรถ พอเห็นแบบนั้นผมเลยเดินอ้อมไปอีกฝั่ง แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ
“นึกว่าพี่กลับไปนอนบ้านเสียอีก” ผมพูดเมื่อเข้าไปนั่งในรถแล้ว
“เปล่า ที่บริษัทฯ เปิดโรงแรมไว้ให้” พี่กาวน์พูดก่อนจะออกรถ
แล้วเราสองคนก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนถึงร้านอาหาร ซึ่งใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะไปถึงที่ร้าน หลังจากไปถึงที่ร้านเราก็ใช้เวลาอยู่เกือบๆ สองชั่วโมง เพราะมัวแต่คุยและดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบตัว ร้านนี้อยู่ติดกับแม่น้ำระหว่างที่นั่งอยู่ ก็มีลมโชยมาเบาๆ ตลอดเวลา และด้วยบรรยากาศแบบนี้ เลยไม่มีใครคิดจะเริ่มเรื่องที่มันจะทำลายบรรยากาศขึ้นมา
“กลับเลยไหม” พี่กาวน์ถามขึ้นมา หลังจากพนักงานเอาเงินทอนกลับมาให้แล้ว
“อื้ม” ผมตอบเพราะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มง่วงเต็มที... ง่วงอย่างที่ไม่คิดว่าจะเป็น สงสัยหลายวันมานี้ผมคงนอนหลับไม่เต็มอิ่ม
>>กึ้ก...<<
เสียงมือของผมที่ยันลงกับโต๊ะ หลังจากที่ยืนขึ้นแล้วพบว่าตัวเองเหมือนจะยืนไม่อยู่ จนต้องส่งมือลงไปยันกับโต๊ะเอาไว้เพื่อประคองตัว
“เป็นอะไร” เสียงพี่กาวน์ถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของผม
“เปล่าๆ กันต์แค่รู้สึกเพลียๆ นิดหน่อย” ผมบอก ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความง่วงของตัวเอง
“งั้นรีบกลับไปนอนแล้วกัน เดี๋ยวพี่เลยไปส่ง” พี่กาวน์พูด ผมก็ได้แต่พยักหน้างึกงักตอบกลับไป จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาจับต้นแขนของผม ก่อนพาเดินออกจากร้านไป
......................................................................
“อื้อ…” ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรขยับไปมาอยู่แถวๆ ซอกคอ และพยายามที่จะยกมือขึ้นเพื่อดันสิ่งนั้นออกไป แต่ผมไม่มีแรงพอที่จะขยับ หรือหันหน้านี้จากสิ่งที่นั้น แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้น เพื่อมองว่าใครกำลังทำอะไร ผมก็ยังทำไม่ได้ ผมรู้สึกว่าเปลือกตาของผมในตอนนี้มันหนักเหลือเกิน
“อึก... อื้อออ... อื้อ...” ผมรู้สึกถึงริมฝีปากที่ส่งมาประกบกับริมฝีปากของผม มันจะเป็นจูบที่อ่อนหวานนุ่มนวล ไม่ได้จาบจ้วงรุนแรง
แต่... ไม่ใช่ มันไม่ใช่ กลิ่นน้ำหอมแบบนี้ รสสัมผัสแบบนี้
ไม่ มันไม่ใช่ เขาไม่ใช่ “กร”
ในหัวของผมตอนนี้บอกให้ตัวเองทำอะไรสักอย่างเพื่อต่อต้าน เมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่สัมผัสที่คุ้นเคย แต่ผมก็ทำมันไม่ได้
แล้วความพยายามของผมก็เป็นไปได้มากที่สุด แค่การลืมตาขึ้นมามองว่าคนที่อยู่เหนือตัวผมตอนนี้เป็นใคร ทั้งที่เขายังไม่ละริมฝีปากที่กำลังบดเบียดอยู่กับริมฝีปากของผมออกไป
“พี่กาวน์” มันยิ่งทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก เมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร
“ทำไมต้องเป็นเขา”
ผมพยายามจะเบือนหน้านี้ จากภาพที่เห็น แต่ใบหน้าที่ถูกประคองเอาไว้ในสองมือของคนที่ผมเรียกเขามาตลอดชีวิตว่า “พี่” มันทำให้ผมไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจคิด
จนเมื่อเขาถอนใบหน้าห่างออกไป ทำให้ผมกับเขาสบตากัน และทันทีที่เป็นแบบนั้น ผมก็รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่กำลังไหลออกมาคลอที่ดวงตาทั้งสองข้าง แล้วตกลงไปตามหางตา น้ำตาของผมกำลังไหล
และมันกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งผมขยับตัวไปไหนไม่ได้ สิ่งที่จะทำเพื่อระบายทุกอย่างออกมา คงมีแค่การปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา โดยไร้เสียงสะอื้น
“ผมไม่เข้าใจสิ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้”
และแทนที่คนๆ นั้นจะหยุด อย่างที่ผมภาวนาให้เขาหยุด และอธิบายอะไรให้ผมฟัง เหมือนที่เขาทำตอนเด็กๆ เวลาที่เห็นผมร้องไห้
เขากลับทำในสิ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นต่อไป เขาก้มลงไปจูบซับน้ำตาที่ไหลออกมาเรื่อยๆ ของผม ก่อนจะกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
“กลับไปอยู่กับพี่นะครับ เด็กดี” เสียงที่เคยทำให้ผมอบอุ่นและปลอดภัย กำลังจะกลายเป็นเสียงของคนที่กำลังจะลงมือทำร้ายผม
ตอนนี้ผมรู้สึกถึงอุณหภูมิที่เย็นเฉียบที่มากระทบกับผิวกายเมื่อเสื้อเชิ้ตของผมถูกถอดออกไป มันยิ่งทำให้ผมเริ่มหายใจไม่ออก เมื่อคิดว่าเรื่องนี้มันจะดำเนินต่อไปทางไหน
“กร... กร...อยู่ไหน ช่วย... ช่วยด้วย ช่วยพี่... ด้วย ฮึกๆ” ผมร้องออกมา แต่มันกลับไม่มีเสียงใดรอดออกมา ผมไม่เหลือแม้แต่เสียงที่จะร้องตะโกนออกมา และมันก็เริ่มเลวร้ายมากขึ้น เมื่อผิวกายของผมเริ่มถูกรุกรานจากคนด้านบนมากขึ้นเรื่อยๆ จากซอกคอ แผ่นอก จนถึงหน้าท้อง เจ็บมันเจ็บ เจ็บทุกครั้งที่สัมผัสนั้นถูกลากผ่านลงไป
มือของผมเริ่มเกร็งแน่นอย่างอยากลำบาก ด้วยเรี่ยวแรงที่มันมีเหลือเพียงน้อยนิด แต่ผมก็อยากทำทุกอย่าง เท่าที่ผมจะระบายความรู้สึกที่มันอัดแน่นอยู่ภายในให้ออกมา
“ปะ ปล่อย... มะ ไม่ ไม่เอา อย่า ทำ” ผมเริ่มร้องขอคนที่กำลังฝากร่องรอยไว้กับร่างกายของผม ในทุกๆ ที่เท่าที่เขาจะทำได้ และทำโดยที่ไม่สนใจว่าผมกำลังรู้สึกทรมานขนาดไหน กับสิ่งที่เขาทำ
เขาได้ยิน... เสียงของผม และเงยหน้าขึ้นมาดู แต่ก็เพียงแค่นั้น เขาไม่คิดที่จะฟังคำพูดนั้นของผม เพราะมือของเขากำลังจับอยู่ที่ตะขอกางเกงของผม และลงมือปลดตะขอกางเกงของผมออก
“<<ไม่มีพรุ่งนี้ รักเราจะมีเพียงวันนี้รออยู่ ปล่อยวันพรุ่งนี้ ให้ฟ้านำทางต่อไป…>>” เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของผมดังขึ้น
ทำให้ร่างด้านบนละมือจากสิ่งที่กำลังทำ และเปลี่ยนมาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของผม หยิบโทรศัพท์ออกมากดปิดเครื่อง แล้ววางลงข้างตัว ก่อนเลื่อนตัวขึ้นมา แล้วก้มหน้าลงมาข้างหูผม
“ลืมมันซะ เด็กดีของพี่”
“กร” ผมพึมพำชื่อนั้นออกมา เมื่อได้ยินคำพูดนั้น มันทำให้ผมรู้ว่าเป็นใคร และในตอนนั้นผมก็รู้ว่ากางเกงของผมมันหลุดออกไปจากตัวแล้ว
“ฮึก ๆ ๆ” มันยิ่งทำให้ความอ่อนแอของผมมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมผมถึงทำอะไรไม่ได้ ให้เขาใช้กำลังเสียยังดีกว่าให้มันเป็นแบบนี้ อย่างน้อยผมก็ยังได้สู้ ไม่ใช่นอนให้เขาทำแบบนี้
สุดท้ายผมก็ได้แต่หลับตาลง และปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไป โดยทำได้แค่หวังว่าเรื่องนี้มันจะจบลงในเวลาเพียงไม่นาน
“กร…พี่กำลังฝันร้าย”
“ใช่ไหม… แค่ฝันร้าย”
“บอกพี่ทีว่ามันเป็นแค่...ฝันร้าย พรุ่งนี้เราก็ตื่นมาเจอกันเหมือนเดิม... ใช่ไหม”
-----------------------------------------------------------------