คงจะเหมือนโบราณเขาว่าแหละครับ
บางทีก็เคยเป็นนั เห็นหน้าทีแรกไม่ถูกชะตา
แต่ไม่ยักจะเหมือนในเรื่องนี้แฮะ
เต้มที่ก็เป็นเพื่อนกันแค่นั้นเอง
***************************************************************
ตลอดเวลาที่สองหนุ่มคุยกันอยู่นั้น ทิวไผ่ ได้แต่ยืนมองหนุ่มหน้าใส กับ หนุ่มหน้าหวานตัวเล็ก ๆ คุยกันสลับกันไปมา พร้อมทั้งประเมินหนุ่มคนที่ชื่อต้นข้าว ที่ค่อนข้างจะตั้งแง่กับตัวเขาเอาเสียมาก ๆ
‘ทำไมหมอนี่ ถึงตั้งป้อมใส่เราอย่างนี้นะ เฮ้อ วันแรก ก็เจอเจ้าถิ่นไม่ชอบหน้าซะแล้ว เอาไงดีวะเนี่ย’ ทิวไผ่คิด
“ใช่ครับต้น ไปด้วยกัน สามคนดีออก มีเพื่อนนั่งกินเป็นเพื่อนกันเยอะ ๆ” ทิวไผ่ตัดสินใจพูดหยั่งเชิง หนุ่มหน้าเชิดนั่น
“ใครบอกจะให้นายไปด้วยไม่ทราบ เราจะไปกันแค่สองคนต่างหาก แล้วมีสิทธิ์อะไรมาเรียกเราว่า ต้น เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอ” ต้นข้าวตอบ
‘รู้จักต้นข้าวน้อยไปซะแล้ว ไอ้ขี้เก๊กเอ๋ย...ไม่รู้ซะแล้วว่าใครเป็นใคร อย่าคิดมาแหยมกับเจ้าถิ่นนะเฟร้ย หึหึ...’ ต้นข้าวกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสะใจที่ได้ตอกหน้าหนุ่มหน้าคมเข้มอย่างเต็ม ๆ พลางทำหน้าเยาะ ๆ
เจอเจ้าถิ่นสวนกลับจนหน้าหงายไม่เป็นท่าเข้าให้ซะแล้ว ‘เหรอ แล้วนายจะได้รู้จักทิวไผ่มากกว่านี้ ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้หน้าใสเอ๊ย ให้เราคุ้นเคย กับที่นี่ก่อนเถอะ พ่อจะเอาคืนให้หงอไปเลย’
ทิวไผ่แฝงความคิดไว้ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาที่เรียบเฉยนั้น โดย ไม่สะทกสะท้านต่อคำพูด ของต้นข้าวแต่อย่างใด ทิวไผ่เองก็เป็นคนไม่ยอมใครเช่นกันลองให้ใครมาลูบคมแบบนี้สิ มีการเอาคืนแน่ แต่จะเจอแบบไหน ก็เท่านั้นเอง
“นี่ต้น ไม่น่ารักเลยนะ พูดกับไผ่เค้าแบบนั้นได้ยังไง” สายฟ้าปรามต้นข้าว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ฟ้า ผมไม่ถือสาคำพูดของคนพรรค์นั้นอยู่แล้ว ใช่มั้ยครับ คุณ...ต้นข้าว”
ทิวไผ่พูดแบบกระแทกเสียงตอนท้าย อดที่จะแหว กลับคืนไม่ได้
“นี่นาย จะมากไปแล้วนะ พรรค์นั้นน่ะพรรค์ไหนไม่ทราบ”
“เอ่อ...ล็อตไวเลอร์มั้ง” ทิวไผ่กัดไม่ปล่อย
“เฮ้ย...พูดงี้มีต่อยดิ”
“อ่ะเหรอ ตัวกระเปี๊ยกแบบนี้จะทำอะไรเราได้” ทิวไผ่ตอบอย่างยิ้มเยาะบ้าง
“ทำไม ไม่ตัวโตอย่างนายแล้วจะทำไม ไม่ใช่หุ่นบึกบึนเหมือนควายอย่างนายนี่ แต่ยังไงเราก็สูงกว่าสายฟ้ามันล่ะ”
‘ดันทุรังไปจนได้นะ เจ้านี่’ ทิวไผ่คิด อดที่จะขำในความเถียงคำไม่ตกฟาก ของหนุ่มหน้าใสคนนี้ไม่ได้ และพยายามกลั้นหัวเราะจนท้องเกร็ง
“ขำอะไรไม่ทราบ” ต้นข้าวทำหน้าบึ้งตึง
“ป๊าว...” ทิวไผ่ปดไปอย่างยอม ๆ พร้อมทั้งหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ ‘ชักมันส์กับการต่อปากต่อคำกับหมอนี่แล้วสิ’
“เฮ้ย ๆ ๆ...พอได้แล้ว หิวข้าว จะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว กัดกันอยู่ได้อะไรกันพวกนายนี่ ขนาดเจอหน้ากันวันแรกนะเนี่ย แล้วนี่ลากเราไปเกี่ยวไรด้วย”
สายฟ้า พูดจบก็เดินจ้ำอ้าวไปอย่างหัวเสียนิด ๆ กับการที่เพื่อนรักจอมแสบที่เอาแต่ใจของเขา ชอบสร้างปัญหาจุก ๆ จิก ๆ แบบนี้ อย่างไม่มีเหตุผล
“ฟ้า รอด้วยสิ...ฝากไว้ก่อนนะนาย...”
“ไม่รับฝาก มีไรมะ” ทิวไผ่สวนกลับ
ต้นข้าวเดินกึ่งวิ่งจนทันกับสายฟ้า แล้ว เปิดฉากจ้อต่อทันที
“นี่ฟ้า นาย ไปสนิทกับอีตานั่นทำไม เห็นที่มันต่อปากต่อคำกับเราปะ ดูดินิสัยก็ไม่ดี” ต้นข้าวได้ทีใส่ไฟแบบไม่ยั้ง
“ก็นายไปหาเรื่องไผ่เค้าก่อนนี่นา ช่วยไม่ได้” สายฟ้า ตอบเพื่อนรัก แบบหน่าย ๆ
“อีกแล้ว นายนี่ยังไงเห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อนตัวเอง นายนั่นน่ะ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ระวังนะ มันจะมาก้อล้อก้อติดหลอกเอาล่ะ อย่างไว้ใจให้มากนัก ตัวก็โตยังกะควายน่ากลัวออก”
ต้นข้าวพรั่งพรูคำก่นด่าออกมาโดยไม่ได้สนใจเลยว่า คนที่ตนกำลังนินทาเดินตามหลังมาอย่างติด ๆ ในระยะเผาขน
‘น่าอบอุ่นมากกว่านะ’ สายฟ้าพึมพำในใจ แล้วอยู่ ๆ หัวใจก็ชุ่มชื้นอย่างแปลก ๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาเปื้อนลักยิ้มของทิวไผ่ลอยเข้ามาในห้วงภวังค์แห่งความคิด
“ผมเป็นลูกคนนะค้าบ ไม่ใช่ควาย พ่อผมเป็นตำรวจ พึ่งย้ายมาประจำที่นี่ เลยต้องย้ายตามมาด้วย ทีนี้ไว้ใจได้ยังล่ะ” ทิวไผ่แย้งตอบไปแบบตัดพ้อนิด ๆ
สายฟ้าหันกลับไปมองต้นเสียงนั้น ต้นข้าวสะดุ้งนิด ๆ ไม่คิดว่าทิวไผ่จะยังตามมาอีก ก่อนจะโต้กลับไปบ้าง
“ใครถามไม่ทราบครับคุณทิวไผ่...แล้วนี่ตามมาทำไม” ต้นข้าวเน้นเสียงประชดประชันเต็มที่
“ก็ ใครไม่รู้นะ นินทาเราแบบเสีย ๆ หาย ๆ ก่อนนี่นา ช่วยไม่ได้…และเปล่าตามนายด้วย จำเป็นอะไรที่จะต้องตามล่ะ ทางนี้ไปโรงอาหารไม่ใช่เหรอ ก็จะไปกินข้าวไง ถามได้ แปลกคนแฮะ” ทิวไผ่ตอบกวน ๆ แถมทำหน้ายียวน ไม่รู้ไม่ชี้ล้อเลียน คนต่อปากต่อคำด้วย
สายฟ้า ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย กับคนทั้งสอง สงสัยจะกลายเป็นคู่กัดประจำห้องกันไปซะแล้ว ‘วันแรกยังขนาดนี้ ต่อไปจะเป็นยังไงบ้างไม่อยากจะคิดเลย เฮ้อ กลุ้ม...’
...