เสื้อกาวน์เก่าๆ.....กับเราสองคน ตอนที่ 14 หึง หวง ห่วง
22:46 on 18/5/2010และหลังจากนั้นก็คงเข้าสู่ช่วงการอ่านหนังสือของเด็กมหาวิทยาลัยอย่างติ๊บ โดยเฉพาะเด็กคณะแพทย์ที่อ่านหนังสือกันหามรุ่งหามค่ำ จนพักหลังๆ มานี้ติ๊บเริ่มกลับห้องดึกขึ้นทุกวันโดยให้เหตุผลว่าอ่านหนังสือที่ห้องสมุดคณะจนดึกดื่นทุกวัน ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะพักหลังๆ มางานก็เริ่มยุ่ง
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมห่างเหินจากติ๊บเลยเพราะยังไงเราก็ยังนอนอยู่ด้วยกันทุกคืน แม้หลังๆ มาบทรักจะห่างเหินกันบ้าง แต่ผมก็ไม่อยากให้คนรักของผมเหนื่อยมากกว่าที่เป็นอยู่ และทุกคืนผมเองก็เป็นคนขับรถไปรับติ๊บกลับมาจากตึกของคณะทุกคืน
แล้วคืนหนึ่งขณะที่ ผมมารอรับติ๊บอยู่ที่หน้าตึกคณะ ผมก็ถึงกับโกรธจนควันออกหูเพราะวันนี้ติ๊บไม่ได้เดินมาคนเดียวหรือมาเป็นกลุ่มเพื่อนฝูงเหมือนดังเช่นทุกวัน แต่มีคนที่ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้ามันเท่าไหร่เดินตามลงมาส่งติ๊บด้วย นั่นก็คือไอ้หมอหน้าจืดที่เคยชวนติ๊บไปเป็นรูมเมทนั่นเอง ผมไม่ทันรอจังหวะอะไรทั้งสิ้น เดินปรี่เข้าไปหาคนทั้งคู่
“ติ๊บพี่มารับกลับห้องแล้ว” ผมพูดด้วยเสียงกร้าวพร้อมใบหน้าบึ้งตึง
“อ่าวพี่ไม้ มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่โทรเข้าเครื่องติ๊บละคับ นึกว่าติดงานอยู่ซะอีกกำลังจะให้บอยไปส่งที่หอพอดี”
“ไม่ต้องแล้วละพี่มารับแล้ว กลับได้แล้ว ค่ำแล้ว”
ไม่ต้องรอคำตอบผมเดินเข้าไปกึ่งลากกึ่งจูงข้อมือเล็กๆ นั้นตรงไปยังรถที่เปิดไฟกระพริบอยู่หน้าตึกทันที
“ทำไมต้องให้คนอื่นไปส่งด้วยละ พี่ก็มารับมาส่งติ๊บทุกวันอยู่แล้วนี่นา” ผมถามแบบเคืองๆ
“ก็พอดีว่าติ๊บเห็นว่ามันค่ำแล้ว แล้วบอยเค้าก็ชวนกลับเพราะเป็นทางผ่านกลับหอเค้าพอดีติ๊บก็เลยว่าจะกลับกับเขา จะได้ไม่รบกวนพี่ไม้ไง”
“เดี่ยวนี้ใช้คำว่ารบกวนแล้วเหรอ” (Hackz เอ่อ...ใจเย็นๆ นะ)
“วันนี้พี่ไม้เป็นอะไรนี่ ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะคับ”
“เปล่าติ๊บก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบให้ติ๊บไปกับใคร”
“อ๋อ... ที่แท้ก็หึงติ๊บนี่เอง ฮิฮิ” ติ๊บพูดพรางหัวเราะแล้วหันมาจ้องหน้าผม ปริบๆ ได้เห็นติ๊บทำหน้าตลกแบบนี้ผมเองก็คงโกรธไม่ลงเลยเผลอยิ้มออกไป
“ติ๊บก็รู้ว่าพี่ขี้หึง แล้วก็หวง ทำไมต้องทำให้พี่หึงด้วยละ”
“ไม่ได้แกล้งให้หึงซักหน่อยก็บอยเค้าเป็นเพื่อนติ๊บ ไม่ได้คิดอะไรเลยเถิดไปมากกว่านี้จริงๆ ยังไงซะติ๊บก็ยังมีสเปคเป็นคนแก่ใจดี คนนี้เหมือนเดิม” ติ๊บพูดพลางซบหัวลงบนไหล่ผมและผมเองก็คงโกรธไม่ลงเมื่อได้ยินประโยคนี้ เลยได้แต่เอื้อมมือไปลูบหัวให้อีกคนเบาๆ ก่อนมุ่งหน้าสู่ห้องพักต่อไป…
แล้วหลังจากนั้นมาอีกไม่กี่สัปดาห์ ก็เข้าสู่ช่วงการสอบปลายภาคของติ๊บ ซึ่งช่วงนั้นดูติ๊บจะเครียดและจริงจังกับมันมากพอสมควร จนถึงวันสุดท้ายของการสอบผ่านพ้นไป
วันนี้ผมไปรับติ๊บกลับมาจากการสอบด้วยสีหน้าที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น คงจะพอทำข้อสอบได้บ้างเพราะเต็มที่กับการสอบมาพอสมควร ขนาดผมเองที่เรียนทันตแพทย์ ซึ่งก็ต้องใช้ความขยันไม่แพ้กับคณะแพทย์ ยังยอมรับเลยว่าสมัยที่ผมเรียนไม่ได้เคยจริงจังเอาเป็นเอาตายกับการเรียน ขนาดนี้ถ้าผมขยันได้ซักครึ่งของติ๊บ ป่านนี้ผมเองคง เป็นหมอฟันเกียรตินิยมไปแล้วแน่ๆ
“เป็นไงบ้างทำข้อสอบได้มั้ย เห็นยิ้มร่า ออกมาเลย” ผมถามขณะที่ติ๊บก้าวขึ้นมานั่งหน้ารถพร้อมคาดเข็มขัดเรียบร้อย
“ก็พอทำได้บ้าง แต่ที่ยิ้มนี่ เพราะมันผ่านไปแล้วต่างหาก คืนนี้ก็จะได้ไม่ต้องกลับไปเครียดกับหนังสือกองโตไง”
“อ่อ ที่ดีใจนี่เพราะว่าจะได้ไม่ต้องอ่านหนังสือแล้วงั้นเหอะ คนเรา”
“เปล่าคับ ไอ้อ่านนั่นก็อ่านอยู่ตลอดแหละ แต่วันนี้ไม่ไหวแล้วขอพักวันนึงนะ”
“สอบเสร็จแล้วไปฉลองอะไรกันดีอะวันนี้” ผมถามพลางหันไปมองติ๊บ
“ติ๊บอยากกินไอติม อยากกินขนมหวานจะได้อารมณ์ดีๆ” (Hackz อารมณ์ดี.. เพราะมีความสุข อิอิ)
“อืมม กินแต่ไอติม กินแต่หนมหวาน จนพี่จะเป็นหมูไปด้วยแล้วเนี่ยยย”
“อ่ะว่ามาเลยคร้าบบบบ วันนี้อยากไปกินร้านไหน”
“พี่ไม้อยากกินร้านไหนก็พาติ๊บไปได้เลย แต่ขอแค่มีไอติมมีขนมด้วยก็โอเค”
ในสมัยนั้น รอบรั้วมน จะมีซักกี่ร้านที่เป็นร้านอาหารแล้วมีขนมมีไอศกรีม ผมก็เลยบึ่งรถมาจอดที่ร้าน Eat me ซึ่งอยู่ทางด้านข้างของมหาวิทยาลัย เป็นร้านเล็กๆ นั่งสบายๆ มีดนตรีฟัง ทั้งอาหารและไอศกรีม จึงไม่ต้องคิดมากว่าจะไปร้านไหนดี (Hackz ‘ในสมัยนั้น’ พูดเหมือนมันนานมากกกก.. นะนี่)
ทันทีที่มาถึงที่ร้านซึ่งวันสุดท้ายของการสอบแบบนี้ แน่นอนว่าการหาที่นั่งต้องเป็นเรื่องยากเอาซักหน่อย ผมพาติ๊บเดินเข้าไปในร้านฝ่าสายตาผู้คนจำนวนหลายสิบไปมาหลายรอบ แต่ทว่าก็ยังไม่มีที่ว่างให้กับเราสองคนเลย จนในที่สุดก็มีกลุ่มเพื่อนของ ติ๊บชวนให้เราเข้าไปนั่งร่วมวงด้วย ผมก็เลยจำใจต้องนั่งลงร่วมโต๊ะกับเด็กๆ เอาน่า ทำตัวเป็นเด็กซักวันจะเป็นไรไปไม้
แต่ทว่าโต๊ะที่ผมมานั่งด้วยกลับมีไอ้หมอหน้าจืดที่ชื่อว่า ‘บอย’ ที่ผมไม่เคยชอบขี้หน้ามันเลยนี่ซิ
“ติ๊บกับพี่ไม้ นั่งโต๊ะเดียวกันนี่แหละ วันนี้สอบเสร็จคนเยอะมากไม่มีที่ว่างหรอก” ไอ้หมอหน้าจืดชิงออกโรงพูดก่อน
“อืม ไม่เป็นไรนั่งกะเพื่อนๆ ก็ดีเหมือนกัน ว่าแต่ทานอะไรกันไปรึยัง” ติ๊บถามเพื่อนๆ รอบโต๊ะก่อนจะแนะนำผมให้รู้จักกับเพื่อนๆ ซึ่งเพื่อนติ๊บบางคนผมก็ไม่อยากรู้จักซักเท่าไหร่ เพราะมันชอบมองติ๊บแปลกๆ แบบที่ผมเห็นแล้วต้องเคืองมันทุกที
แล้วอาหารมื้อนั้นก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทั้งอาหาร ขนมหวาน ไอศกรีมครบตามที่ติ๊บต้องการแล้ว ผมก็เรียกเชคบิลล์แต่ทุกๆ คนก็ช่วยกันจ่ายในส่วนของตนเองกันทุกคน ผมเลยไม่ต้องเปลืองตังค์เป็นเจ้ามือเลี้ยงเด็กๆ ทุกคน
“เดี๋ยวเสร็จจากนี้แล้วพวกเราว่าจะไปร้องคาราโอเกะ หน้ามหาลัยกัน ติ๊บไปกะพวกเรานะสนุกด้วยกัน” เพื่อนหญิงในกลุ่มติ๊บคนนึงออกปากชวน
“ใช่ๆ ไปด้วยกันติ๊บ พวกเราอยู่ด้วยกันมาเทอมนึงแล้ว ยังไม่เคยเห็นติ๊บไปเที่ยวไหนกะพวกเรามั่งเลย แถมไม่เคยเห็นติ๊บร้องเพลงด้วย” (Hackz ช่ายยย)แทนคำตอบ ติ๊บหันหน้ามาทางผม
“พี่ไม้ให้ติ๊บไปมั้ย” ติ๊บหันมาถามผม
และผมก็คิดได้ว่าติ๊บเองคงเครียดกะการเรียนมามากพอ และผมเองก็ไม่เคยได้ปล่อยโอกาสให้ติ๊บได้ไปปลดปล่อยความเครียดอะไรเลย แล้วอีกอย่างแค่ไปร้องคาราโอเกะก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย แต่ถ้าผมปล่อยให้ติ๊บไปกะเพื่อนๆ ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ (Hackz รักมิจำเป็นต้องกักขัง หน่วงเหนี่ยว เอ้ย! มิช่ายยย...)
“ได้ดิ เดี๋ยวพี่ไปด้วยก็ได้”
แล้วหลังจากอาหารมื้อนั่นเราก็ตรงบึ่งไปที่ร้านคาราโอเกะอยู่หน้า มหาวิทยาลัย เด็กๆ เลือกห้องที่ใหญ่ที่สุดเพราะตอนนี้สมาชิกที่มาด้วยกันก็คง7-8 คนรวมผมกับติ๊บแล้ว
เด็กๆ ร้องเพลงสนุกสนานกันใหญ่ บางคนก็เต้นลืมตายจน ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้กับบรรดาว่าที่คุณหมอในอิริยาบถผ่อนคลายและสบายๆ แบบนี้ ดูติ๊บเองก็เช่นกันบ่อยๆ ที่ผมเห็นติ๊บยิ้มกะเพื่อนจนตาหยี ทำให้ผมอดยิ้มไปกับติ๊บด้วยไม่ได้ ต้องยอมรับว่าผมเองไม่มีโอกาสได้เห็นติ๊บยิ้มหัวเราะเต็ม ที่แบบวันนี้เท่าไหร่นัก
“อ่าวมาตั้งนานแล้วใครอยากเห็น ติ๊บร้องเพลงมั่ง”
ทุกคนพากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเพื่อให้ติ๊บร้องเพลง ซึ่งผมเองก็ยังลุ้นๆ อยู่ว่าติ๊บจะร้องเพลงเป็นมั้ยเพราะผมเองยังไม่เคยได้มีโอกาสได้ฟังเสียงติ๊บร้องเพลงเลย
“ฉัน รอนแรมมาไกลในทะเล
ด้วยเรือน้อยลอยไปไม่รู้ทาง
ตรงขอบฟ้ามองไปยังไม่ เห็นขอบฝั่ง
ต้องเดินทางไปอีกสักเท่าไร
ฉัน ไม่หวั่นเมื่อมีพายุมากีดขวาง
เรือจะอับปางแต่ฉันยังอยู่ ก็ต้องสู้มันไป
มีความตั้งใจจุด หมายคือแผ่นดิน
เหลือสองมือเปล่าปลายทางยังแสนไกล
มีความอดทนเท่านั้น สักวันหนึ่งต้องถึงแดนไกล
ฉันลอยคอเดียวดายใน ทะเล ว่ายตามน้ำตามไปไม่รู้ทาง
ตรงขอบฟ้ามองไปยังไม่เห็นขอบฝั่ง
ต้อง เดินทางไปอีกสักเท่าไร (ฉันไม่หวั่น)
มีคลื่นลมแรงโถม กระหน่ำมา
แขนฉันอ่อนล้าใจฉันก็ยังสั่ง ให้สู้มันไป
มีความตั้งใจจุด หมายคือแผ่นดิน
เหลือสองมือเปล่าปลายทางยังแสนไกล
มีความอดทนเท่านั้น สักวันหนึ่งต้องถึงแดนไกล
ฉัน ลอยคอเดียวดายในทะเล ว่ายตามน้ำตามไปไม่รู้ทาง
ตรงขอบฟ้ามองไปยังไม่เห็น ขอบฝั่ง
ต้องเดินทางไปอีกสักเท่าไหร่ ฉันไม่หวั่น”
ท่วงทำนองเพลงที่มีความหมายดีๆ เพลงนี้ ผมฟังแล้วอดยิ้มให้กับคนที่กำลังถือไมล์ร้องเพลงเพลงนี้อยู่ไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะเสียงร้องที่ดูน่าฟังหรืออาจจะเป็นเพราะความหมายดีซึ่งเป็นเพลงอีกเพลงนึงที่ผมชื่นชอบมากๆ
ซึ่งต้องยอมรับว่าในสมัยนั้น กลุ่มศิลปินที่โด่งดังมากก็คือ มิสเตอร์ทีม และเพลงที่ชื่อ ‘ขอบฟ้า ขอบฝั่ง ความหวัง แผ่นดิน’ เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่ผม ชื่นชอบเพราะความหมายดีเพลงนึงเลยทีเดียว และทันทีที่ติ๊บร้องจบก็เรียกเสียงปรบมือจากคนในห้องได้ดังทีเดียว จนเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มออกปากชม
“โห ติ๊บร้องเพลงะเพราะมากกกก... แต่ทำไมพวกเราไม่เคยเห็นติ๊บร้องเพลงเลยหว่า”
“ก็ติ๊บจะไปร้องให้ใครฟังตอนไหนละ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเรามาคาราโอเกะกันนั่นนะนี่ ติ๊บเขามีผู้ปกครอง คอบคุมตลอด คุณหนูขนาดนี้ผู้ปกครองหวง” (Hackz น่าน...คิดเหมือนกันเลย หวง ห่วง) เพื่อนอีกคนออก อาการแซว
“งั้นฟังติ๊บร้องเพลง แล้วพวกเราขอฟังผู้ปกครองติ๊บร้องเพลงบ้างได้มั้ยคะ”
เสียงทุกคนในคาราโอเกะพากันเชียร์ให้ผมร้องเพลงเต็มที่ ก็เลยต้องเลยตามเลย จัดไปตามคำขอแล้วจะรู้ว่า รู้จักหมอไม้น้อยไปซะแล้ว
“ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆซักคำให้ลึกซึ้ง
ไม่ต้องบรรยายอะไร ให้สวยเลิศเลอ
ไม่ว่าอะไรมันคือ เหตุผลที่ฉันนั้นรักเธอ
ให้รู้ว่ารักเธอเท่านั้น…พอ”
หนึ่งบทเพลงที่ผมชื่นชอบ และมักจะเปิดฟังในรถบ่อยๆ และแน่นอนมันแอบแฝงความหมายดีผ่านไปถึงใครบางคนในห้องนั้นด้วย และเมื่อผมร้องเพลงนี้จนจบ ก็ไม่วายที่จะมีคนส่งเสียงแซวผมเล็กน้อย
...>To bE CoNtInue
เขียนโดย: dr.mike
พิสูจน์อักษรโดย: Hackz
ปล. เพลงที่พี่ไม้ร้อง ผมก็เคยฟังนะ แสดงว่าเรื่องนี้ยังไม่นานนะนี้ ว่าป๊ะพี่ไม้ ชี้แจงแถลงการณ์หน่อยเร๊ววว...