เสื้อกาวน์เก่าๆ.......กับเราสองคน
ตอนที่ 155
การกลับมาของคนหล่อวันผ่านวัน คืนผ่านคืนไปทุกคืน
ผมนั่งเครื่องกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กน้อยที่กำลังหัวใจพองโตโลดแล่นที่หมดเวลาเลิกเรียนและเดินทางกลับไปหาพ่อแม่ที่บ้านซะอย่างนั้น
เกือบแปดชั่วโมงบนเครื่องแต่ผมรู้สึกว่ามันช่างเนิ่นนานและแน่นนิ่งเสียจนอึดอัด
มือผมยังคงเกาะกุมไดอารี่สีฟ้าครามเล่มสวยและเปิดอ่านทีละหน้าอย่างเข้าใจความหมายและความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของทุกบททุกตอน
ในวันข้างหน้าที่เราได้พบกัน
พี่ไม้จะเข้าใจในคุณค่า ความหมาย และความงดงามของคำว่า คิดถึง
อาจจะจริงของเขาเพราะตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่าตลอดระยะเวลาเกือบๆหนึ่งปีมานี้
ผมรู้คุณค่า ความหมาย และความงดงามของคำว่าคิดถึงได้เป็นอย่างดี วันนี้ผมนั่งคิดถึงและยิ้มให้กับรูปถ่ายเจ้าของไดอารี่มาตลอดทาง
อาจจะเป็นเพราะสองข้างทางไม่ได้มีป่าเขา ทุ่งนาให้ผมได้ดูเหมือนตอนขับรถ หรือเป็นเพราะคู่สนทนาที่ผมไม่รู้จักมักคุ้นเหมือนเจ้าตัวเล็ก
จึงทำให้ความสนใจของผมทั้งหมดมุ่งไปอยู่ที่รูปหน้าแบ๊วๆของเจ้าของไดอารี่อยู่ตลอดเวลา
ผมลงเครื่องที่ดอนเมือง
แต่ทำไมผมรู้สึกว่าบ้านที่อยู่สะพานควาย มันช่างไกลจากดอนเมืองเสียจริงๆ
พ่อยังดูแข็งแรงไม่แตกต่างไปจากก่อนที่ผมจะไปเรียนเท่าใดนัก
แม่เองก็เช่นกันยังขยันอยู่กับการทำคนไข้อยู่ที่คลินิกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ที่ต่างไปคือในวันนี้นายม่อนน้องชายตัวดีของผมที่เมื่อก่อนยังเป็นหนุ่มติส มาดเซอร์เป็นแนววัยรุ่นทั่วไป
แต่ทว่าตอนนี้นายม่อนกลับดูหล่อสะอาดเกลี้ยงเกลาไม่ต่างจากผมแต่อย่างใด หากแต่ทว่าความหล่อยังห่างไกลกันอีกหลายขุม....
วันนี้ทุกคนยังทำหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติ เช่นเดียวกับคนหนึ่งคนที่ผมคิดถึงท่วมท้นหัวใจ
“ คิดถึงมากก็ไปหาน้องเขาซิลูก อีกไม่นานก็ปีใหม่แล้วน้องเขาคงได้หยุดพักจากการเรียนมั่งแหละ ” พ่อผมเอ่ยปากออกมาในที่สุด เมื่อพ่อคงออดทนดูอาการกระวนกระวายใจของผมที่นั่งไม่ติดที่ตั้งแต่ ตอนที่กลับมาแล้ว
“ ป่านนี้พี่ติ๊บเขาคงขึ้นเวรลงเวรอยู่มั้งพ่อ พ่ออย่าลืมว่าเขาเป็นนิสิตแพทย์นะ มีเวลาว่างมีเวลาหยุดเรียนเหมือนผมที่ไหนละ ” นายม่อนออกโรงค้านพ่อ
“ แล้วว่าแต่ที่มานี่ได้บอกน้องเขาก่อนหรือยังหรือนัดแนะอะไรกันยังไง ” แม่ผมเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง
“ ไม่ได้นัด ไม่ได้บอก ไม่ได้วางแผนอะไรล่วงหน้าเลยครับแม่ อยากกลับก็บินกลับมาเลย ” ผมก้มหน้าตอบแม่ด้วยอาการอายๆ แต่ผมก็ไม่ได้บอกเจ้าตัวเล็กเลยนะว่าผมจะกลับมาเพราะทั้งหมดทั้งมวลแค่อยากให้เจ้าตัวเล็กตื่นเต้นตกใจ เซอร์ไพรส์เท่านั้นเอง แต่ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง
ในที่สุดเมื่อผมอดรนทนต่อไม่ไหวเมื่อหัวใจวัยรุ่น( หน้าตาดี )มันเรียกร้อง
ผมก้าวขึ้นนั่งบนมิสเตอร์แจสคู่ใจคันเดิมที่ไม่ได้เจอกันซะนาน
ทะยานไปสู่เป้าหมายในไม่กี่ชั่วโมง อีกไม่นานเจอกันนะที่รัก
ผมนั่งขับรถไปด้วยความเพลิดเพลินพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ โดยเฉพาะเวลาขับรถตอนฝนตกมืดๆค่ำๆแบบนี้
เจ้าตัวเล็กมักมีเรื่องเล่าตลกขบขันมาให้ผมหัวเราะแก้ง่วงเสมอๆ ตลอดจนการชวนคุยเรื่องราวสัพเพเหระ โจ๊กบ้าง ตลกฝืดบ้าง หรือแม้แต่มุกแป้กๆก็มีให้เห็นบ่อยๆ
แต่ผมก็หัวเราะไปกับเขาตลอดเวลาไม่ใช่หัวเราะจากการหยอดมุกแต่อย่างใด
แต่หัวเราะในความพยายามและยิ้มให้กับความรักที่ผมสัมผัสได้จากใครคนหนึ่งที่นั่งเคียงข้างผมไปตลอดทุกเป้าหมายทุกเส้นทาง
ผมขับรถมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยในตอนเกือบๆสี่ทุ่ม
เพราะเร่งความเร็วรถมากก็ไม่ได้เพราะทั้งมืดทั้งฝนตก
ตลอดจนห่างหายจากการขับรถไปนานจึงขับเรื่อยๆมาตลอดเส้นทาง
ประกอบกับความไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวเล็กจะลงเวรตอนช่วงไหน
ผมชะลอรถที่ขับผ่านหน้ามหาวิทยาลัยเล็กน้อย
มองเข้าไปยังไม่พบความเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยแต่อย่างใดเว้นก็แต่หอพักเอกชนที่เริ่มก่อสร้างจากทางด้านหน้ามหาวิทยาลัยมากขึ้น
แต่เป้าหมายของผมไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
เพราะตอนนี้ว่าที่คุณหมอของผมไปเรียนและฝึกงานที่โรงพยาบาลพุทธชินราช ซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองที่ตั้งอยู่ห่างไปอีกราวสิบหกกิโลเมตร
ผมจอดรถข้างๆถนนที่อยู่ระหว่างตัวหอพักแพทย์กับตึกใหญ่ของโรงพยาบาล
ก่อนนั่งตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ว่าเจ้าตัวเล็กจะลงเวรหรือไม่อย่างไร ถ้าคืนนี้เจ้าตัวเล็กขึ้นเวรดึกมีหวังแผนการที่ผมวางไว้ตลอดการขับรถมาถึงที่นี่ก็จะหมดลงไปทันที
ผมก้าวลงจากรถก่อนเดินตรงไปยังตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญกะว่าจะแพลนโทรไปถามโดยไม่ให้เจ้าตัวเล็กรู้ว่าผมกลับมาแล้วจากการโชว์เบอร์ของผม หยอดเหรียญไปน่าจะเซอไพรส์กว่า
แต่นับว่าโชคเข้าข้างผมเมื่อผมเดินก้าวลงไปหยุดยืนตรงหน้าตู้โทรศัพท์แล้วก็ปรากฏมีเสียงเทพบุตรที่ไหนไม่รู้คุ้นหูเสียจริง
" พี่ไม้ พี่ไม้หรือเปล่าครับ " เสียงทุ้มคุ้นหูเรียกผมมาจากทางด้านหลังก่อนจะหันกลับมาพบว่าเป็นหมอบอยเพื่อนหนุ่มคนสนิทของเจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้อยู่ภายใต้เสื้อกาวน์ ดูสุขุมนุ่มลึกเป็นผู้ใหญ่กว่าเมื่อก่อนจนผมเองแทบจำไม่ได้
" อ้าว หมอบอย เป็นไงบ้างไม่เจอกันนานสบายดีน่ะ "
" สบายดีครับว่าแต่พี่ไม้กลับมาเมื่อไหร่ครับไม่เห็นบอกกันบ้างเลย " หมอบอยเอ่ยถาม
อ้าวจะให้บอกได้ไงหว่าขนาดแฟนผมผมยังไม่ได้บอกแล้วแกเป็นใครวะ ผมคิดในใจเบาๆ
" สงสัยจะแอบมาเซอไพรส์หมอติ๊บใช่มั้ย " หมอบอยเอ่ยถามอย่างรู้ทัน ดูมันฉลาดขึ้นก็ตอนนี้แหละ
" หมอติ๊บขึ้นเวรเหรอคับ " ผมเอ่ยถามหมอบอยด้วยหัวใจตุ้มๆต่อมๆกลัวแผนการจะพังครืนหากได้รับคำตอบว่าหมอติ๊บขึ้นเวรดึก
" อ๋อ หมอติ๊บนอนอยู่บนห้องอะครับวันนี้หมอติ๊บขึ้นเวรเช้า ขึ้นห้องไปตั้งแต่หัวค่ำแล้วผมก็กะว่ากำลังจะเดินไปชวนทานข้าวอยู่พอดี พี่ไม้มาแบบนี้ผมคงไม่กล้าไปชวนแล้วละ "
" แล้วพี่จะเจอหมอติ๊บได้ยังไง โดยที่พี่ไม่ต้องโทรไปตามเขาอะ หมอบอยพอจะช่วยพี่เซอไพรส์หน่อยได้ป่าว " ผมขอความร่วมมือจากหมอบอยในทันทีก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มกริ่มและผายมือให้ผมเดินนำหน้าไปยังหอพักแพทย์
ตอนนั้นผมตื่นเต้นและใจเต้นโครมคราม จำไม่ได้ว่าหมอบอยกดลิฟท์ให้ผมมาที่ชั้นไหน
รู้แต่ว่าตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าหอพักแพทย์ หมอบอยเคาะประตูครู่เดียวก็เดินเลี่ยงออกไป
ทันทีที่ประตูห้องเปิดออกเผยให้เห็นถึงความมืดภายในห้อง
หนึ่งคนที่ผมรอคอยมานานแสนนานเปิดประตูห้องออกมาด้วยความงุนงง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงหลับไปแล้ว
เพื่อความแน่ใจเจ้าตัวกดเปิดสวิตซ์ไฟฟ้าตรงข้างประตูเพื่อมองหน้าผมชัดขึ้น
เจ้าตัวเล็กขยี้ตาตัวเองราวกับฝัน ก่อนจะเผยให้เห็นขอบตารื้นด้วยหยดน้ำใสๆ
ความคิดถึงท่วมท้นหัวใจผมรวบเจ้าตัวเล็กมากอดแนบแน่น เนิ่นนาน จนหัวใจสองดวงแทบจะรวมกันเป็นหนึ่ง
ก่อนจะผละเจ้าตัวเล็กออกมามองหน้าให้ชัดและจูบหน้าผากเหม่งๆนั้นหนึ่งที
" พี่คิดถึงติ๊บ ติ๊บคิดถึงพี่มั้ย " ผมเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือแม้จะพยายามควบคุมแค่ไหนก็ตาม
เจ้าตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาให้ผมเห็นน้ำใสๆรื้นขอบตา ผมใช้มือที่เกาะกุมแก้มปาดหยาดน้ำตาใสๆนั้นออกไปเผยให้เห็นถึงใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะเผยยิ้มให้ผมเห็นให้ชื่นใจ
" ติ๊บก็คิดถึงพี่ไม้คับ คิดถึงที่สุดเลย " เจ้าตัวเล็กพูดจบก็ก้มหน้างุดเข้าซอกอกอุ่นๆของผมอีกรอบด้วยความคิดถึงหรือด้วยความเขินอายไม่รู้ เพราะตอนนี้ซุกหน้าแน่นเชียว
ก่อนที่ความคิดถึงจะท่วมท้น ความดีใจจะท่วมหัวเราสองคนเจ้าตัวเล็กก็เปิดประตูห้องให้ผมเข้ามาเผยให้เห็นถึงเตียงนอนเล็กๆที่มีถึงสี่เตียงภายในห้องเดียวกันแต่ดีตรงที่เจ้าตัวเล็กบอกผมว่าพี่ๆเขาไม่ค่อยขึ้นเวรลงเวรกับติ๊บเท่าไหร่จึงไม่ค่อยได้พบเจอหน้ากัน นานๆจะอยู่กันพร้อมหน้า
ตอนนี้ผมจึงพบเพียงหนังสือการ์ตูนกองโตอยู่ที่เตียงที่อยู่ติดประตู และดูจากสภาพภายในห้องแล้วเชื่อได้เต็มที่เลยว่าไม่ได้ถูกใช้ไปเพื่อการอื่นมากกว่านอนเพียงอย่างเดียวจริงๆ เพราะเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆภายในห้องแทบจะไม่มีร่องรอยการใช้งานมาในเวลาไม่นานนี้ให้ผมได้เห็นเลย และส่วนใหญ่จะไปกองตรงใต้เตียงของเจ้าตัวเล็กเสียมากกว่า
" ห้องนี้ส่วนใหญ่จะมีข้าวของของติ๊บมากกว่าอะครับ แต่พี่ๆเขาอยากใช้อะไรก็ให้เขาใช้ได้ตามสบายแต่ส่วนใหญ่เขาก็จะแค่มานอนหายเหนื่อยก็ไปกินข้าวขึ้นเวรต่อเท่านั้นแหละ " เจ้าตัวเล็กอธิบายในขณะที่บอกให้ผมนั่งรอเจ้าตัวแต่งตัวเล็กน้อย
ผมไม่ได้ละสายตาไปจากร่างบางของเจ้าตัวเล็กที่อยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ที่เจ้าตัวก็ไม่ได้แต่งตัวอะไรมากไปกว่าเมื่อตอนที่เราอยู่ด้วยกันเท่าใดนัก
เจ้าตัวเล็กก้าวมาหยุดยืนตรงหน้าผมในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงตัวโปรดที่ผมคุ้นตา
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแดงระเรื่อไปตามธรรมชาติหรือด้วยความเขินอายไม่รู้
รู้แต่ว่าตอนนี้เจ้าตัวเล็กจ้องหน้าผมและยิ้มให้ผม จนทำให้ใจผมเต้นตูมตามราวกับเด็กหนุ่มที่มีรักแรกเมื่อตอนสิบสี่อีกครั้ง
ผมรวบร่างบางมากอดและนั่งบนตักใหญ่ๆของผมอีกครั้ง
" พี่รักติ๊บนะ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง " ผมกระซิบข้างหูก่อนจะกระชับสวมกอดแนบแน่นขึ้นไปอีก
" ติ๊บก็รักพี่ไม้คับ แต่มันไม่เหมือนเดิม ……" ใจผมร่วงลงไปอยู่ปลายตาตุ่มเรียบร้อยแล้ว
" เพราะมันมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นในทุกนาทีที่ผ่านไป " ได้ยินแบบนี้ผมจะทำไรได้มากไปกว่าเผยยิ้มหล่อๆ และกอดเจ้าตัวเล็กแน่นขึ้นไปอีก ก่อนประกบปากลงบนปากบางๆช่างเจรจานั้นและดูดดื่มหาความหวานว่ามันมาจากที่ใด
เนิ่นนานจนเจ้าตัวผละออกจากอกผม
เราจึงตั้งสติก่อนจะเตลิดกันไปมากกว่านี้ผมจูงมือเจ้าตัวเล็กออกมาจากห้อง เดินตรงไปยังรถคู่ใจที่จอดอยู่ด้านข้างหอพัก เดินผ่านสายตาที่มองมายังเราสองคนหลายคู่ แต่ผมชักจะเริ่มชาชินกับสายตาจ้องมองและปากซูบซิบๆตลอดการเดินผ่านสายตาประชาชนที่จ้องมองเราตลอดเวลาที่เดินผ่านสายตาเหล่านั้นมา
" นี่พี่ไม้จะพาติ๊บไปไหนเหรอคับ " เจ้าตัวเอ่ยถามงงๆทันทีที่ก้าวเข้ามาในรถและนั่งในตำแหน่งเดิมที่คุ้นเคย
" นั่นซิ พี่จะพาติ๊บไปไหนดีเชื่อมั้ยพี่ไม่ได้มีแพลน แผนการอะไรไว้ล่วงหน้าเลยคิดแต่ว่าจะมาให้เห็นหน้าติ๊บเท่านั้นเอง ติ๊บอยากไปไหนหรือเปล่า "
" อ้าว นึกว่ามีแผนการจะพาติ๊บไปไหนซะอีก งั้นพี่ไม้พาติ๊บไปไหนติ๊บก็ไปกับพี่ไม้ได้หมดแหละครับ "
" แล้วนี่ติ๊บหยุดวันไหน ใกล้ปีใหม่แล้วได้หยุดหรือยัง "
" อ๋อ มีขึ้นเวรเช้าพรุ่งนี้อีกวันนึงครับแล้วก็หยุดสี่วัน " เจ้าตัวเล็กเผยถึงภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ
" งั้นคืนนี้พี่ก็นอนพิษณุโลกคืนนึง แล้วพรุ่งนี้ติ๊บทำงานเสร็จแล้วพี่จะพาไปเที่ยวดีมั้ย "
" ครับผม แต่ว่าติ๊บคงพาพี่ไม้ไปนอนที่หอพักไม่ได้หรอกน่ะ ถึงเขาจะมีบางคนที่พาคนนอกมานอนภายในหอพักด้วยแต่ติ๊บว่ามันไม่เหมาะ อย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติรูมเมทของเรา การจะพาใครเข้ามาในห้องติ๊บว่ามันดูไม่ค่อยดี "
" คร้าบบบบ ผมไม่นอนหอพักของคุณหมอก็ได้ครับ แต่คุณหมอต้องมานอนกับผมนะ "
ผมแกล้งลากเสียงยาวและออดอ้อนเจ้าตัวเล็กที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆก่อนพาเจ้าตัวเล็กขับรถรอบเมืองพิษณุโลกพูดจาให้หายคิดถึง ก่อนมาหยุดรถที่ข้างๆโรงพยาบาลเป็นร้านบะหมี่เกี๊ยวเล็กๆ
" พรุ่งนี้ติ๊บต้องทำงานแต่เช้า พี่ก็หาที่พักในเมืองนี่แล้วกันตอนเช้าจะได้ส่งติ๊บทำงานได้ทัน "
หลังจากเติมพลังด้วยบะหมี่เกี๊ยวกันแล้ว
ผมก็เข้าเชคอินน์ในโรงแรมที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลพุทธชินราชเท่าใดนัก
แน่นอนมันคือท๊อปแลนด์ โรงแรมที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและเป็นศูนย์การค้าแห่งเดียวในพิษณุโลก ณ เวลานั้น
และคงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมให้หมอติ๊บทำงานชดใช้ช่วงเวลาที่ห่างหายไปมากน้อยแค่ไหน
รู้แต่เพียงว่าทำไมมันเช้าเร็วจัง...........
