“..ฉัน..รักคุณนิลจ๊ะ... “ เสียงกระซิบแผ่วเบา...ดังก้องอยู่ริมหู...
พร้อมๆกับความเย็นที่ปัดผ่านเบาๆที่แก้มขวา ทำให้ร่างทั้งร่างนิ่งงัน..
นิลกาฬหันขวับไปมองร่างในอ้อมแขนทันควัน เสียงกระซิบนั้น แม้จะแผ่วเบา ทว่ามันก็ดังก้อง และชัดเจนในหัวใจ หัวใจเต้นระรัวแรงขึ้นยามได้เห็นท่าทีขัดเขินของร่างบางในอ้อมแขน...ช่างงดงาม..ช่างน่ารักนัก...
“..นที.... “ ชายหนุ่มรู้สึกว่าเสียงของตนเองสั่นไหว อ้อมแขนที่จะผละจากรัดแน่นขึ้นทันควัน ทำท่าจะกระโขนเข้าหาร่างบางในอ้อมกอดให้สมรัก แต่เหมือนเจ้านทีตัวน้อยของเขาจะรู้ทัน จึงดิ้นหนี ดิ้นออกจากอ้อมแขนของเขาทั้งที่แก้มแดงจัดน่ามองนัก..
“..คุณนิล..ปะ...ไปกินข้าวได้แล้วจ๊ะ เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นหมด ...แช่น้ำนานเดี๋ยวตะพาบกินขาฉันไม่รู้ด้วยน่ะ !!”น้ำเสียงตะโกนกุกกักด้วยความขัดเขินของร่างเพรียวช่างน่าฟังนัก นทีรีบผลุนผลันออกจากอกเขาและปรี่เข้าไปหาตีนกระได้ที่แช่อยู่ในน้ำ.. รีบเหยียบและยันกายขึ้นไปโดยเร็ว แถมยังคว้าผ้าขาวม้าผืนหนึ่งมาพันเอวพร้อมกับเดินเร็วๆเข้าไปในบ้าน พร้อมกับปิดประตูห้องเสียดังลั่น...
“................. “ นิลกาฬนิ่งอึ้ง สายตามองร่างน้อยจากท้องน้ำจรดเจ้าตัวก้าวขึ้นไปบนเรือนจนลับตา ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มกว้าง...กว้างกว่าครั้งใดที่เคยยิ้ม..และชายหนุ่มก็เริ่มหัวเราะ ..หัวเราะด้วยท่าทีปรีดาและเปี่ยมด้วยความสุขกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น ได้ยินเสียงบอกรักดังก้องอยู่ในหู สลับกับเสียงเต้นของหัวใจตนเองที่ดังก้อง..
“..นที!! ..พูดจาแบบนั้นแล้วกล้าหนีฉันเข้าไปในห้องเหรอ..เดี๋ยวเจ้าตัวน้อยเจอดีแน่ๆ.... “ เขาร้องขู่ออกไปเช่นในอดีต แต่ด้วยน้ำเสียงรื่นเริงและท่าทียินดีเสียเต็มประดา..
“..คุณนิลบ้า !! อย่ามาพูดจาแบบนั้นน่ะ..ไปเด็ดผักบุ้งต่อให้เต็มกะละมังเสียไป.. “ น้ำเสียงแว่วมาจากในห้องพร้อมกับเสียงข้าวของตกพื้นทำให้เขาต้องตะเบ็งเสียงหัวเราะอีกคราจนลั่นท้องน้ำ..
“...ไปแล้วจ้า ไปแน่ รับรองฉันจะ”เด็ด” ให้หมดทุกยอดเลยเชียว.. “เอ่ยพลางเดินขึ้นบันไดมาคว้าผ้าขาวม้าอีกตัวพันเอว “..จะขึ้นไปแล้วน่ะ...นทีของฉันเตรียมตัวไว้แล้วรึยังเอ่ย.. “
“..คะ..คุณคนบ้า...อย่าเข้ามาน่ะ..ไปยืนตากลมให้ตัวแห้งเสียไป.. “ น้ำเสียงเอ่ยออกมาทั้งกุกกักทั้งเต็มไปด้วยความขัดเขิน เสียแต่นิลกาฬไม่สนใจคำพูดนั้น ชายหนุ่มย่ำเท้าลงไปบนพื้นไม้ ก้าวเข้าไปในห้องด้วยฝีเท้าช้าๆแต่มั่นคง
“..ไม่เอาหรอก..จะตากลมให้ตัวซีดทำไม ให้นทีของฉันเช็ดตัวให้ดีกว่า..อยู่ไหนกันน่ะ..หืม?... “ เอ่ยพลางเปิดประตูห้องออกช้าๆ และปิดลงอย่างรวดเร็ว แว่วเสียงร้องโวยวานปนเสียงหัวเราะขบขันอยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยเงียบหายไปและกลายเป็นเสียงพูดจาที่แผ่วหวานและเต็มไปด้วยความสุข..
...ท่าทางกับข้าวเช้านี้จะต้องเย็นชืดเสียแล้ว
...
แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยังส่องประกายงามจับตาในยามเย็นของวันนี้เช่นทุกวัน เสียงเอะอะมะเทิ่งของเจ้าเด็กน้อยกะโปโลสามสี่คนยามวิ่งว่ายน้ำแข่งกันยังดังก้อง คลอไปกับเสียงวงมโหรีที่เริ่มประโคมซ้อมฝีมือไว้แสดงในงานวัดที่จัดขึ้นติดกันถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ร่างของหญิงวัยกลางคนบนเรือพายจ้วงใบพายช้าๆ พาตนเองและขนมมาแวะเวียนเลียบแถวชานห้องแถวที่ติดกันเป็นพรืดเช่นทุกวัน
ดวงตาที่เริ่มฟ้าฟางไปตามอายุสอดส่องมองหาชายหนุ่มร่างเล็กที่มักนั่งอยู่ตรงหัวกระไดหน้าชานเรือนเหมือนทุกครา ทว่าครานี้กลับเห็นบางอย่างที่แปลกไป เพราะเจ้าหนุ่มคนนั้นมิได้ทำหน้าเศร้านั่งเงียบซึมเหมือนที่เคยพบเจอ แต่กลับกลายเป็นเจ้าตัวกำลังนั่งเก็บจานชามที่เพิ่งล้างเสร็จลงผึ่งด้วยใบหน้าระรื่นผ่องใส ริมฝีปากยังประดับรอยยิ้มเด่นชัด.. นั่นทำให้ผู้ลอบมองอดจะยิ้มตามเสียไม่ได้...
กำลังอ้าปากจะเอ่ยทัก แต่ทว่า..
“..นที...ใส่แบบนี้พอหรือยัง..” เสียงเข้มๆของชายหนุ่มอีกคนที่ไม่เคยพบหน้าดังขึ้นยามนางจะเอ่ยปาก พร้อมกันนั้นร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลากระชากใจเหล่าสาวๆก็โผล่ออกมาด้วยท่าทียิ้มแย้มน่ามองไม่ต่างกับอีกคนนัก..
“..จ๊ะ...ดีแล้วล่ะ...ไม่เอาชุดซ่อมซ่อแบบเมื่อกี้อีกแล้วน่ะจ๊ะ..เสื้อเก่าจะใส่ไปงานบุญได้อย่างไร..เดี๋ยวหมองหมด... “ เจ้าหนุ่มคนนั้นเอ่ยปากพร้อมกับเดินไปหา ใบหน้าเปื้อนยิ้มน่ามองนัก
“..ก็ตัวนั้นนทีเลือกให้ฉัน... “ คำตอบนั้นแสนน่าฟัง..ขนาดคนที่ลอบมองอย่างนางต้องอมยิ้ม..แล้วผู้ฟังอย่างชายหนุ่มที่ตนห่วงใยเล่า จะดีใจปานใด..
“..เช่นนั้นค่อยไปเลือกด้วยกันใหม่น่ะเถอะจ๊ะ.. “ ถ้อยคำเอ่ยรับเบาๆ นั้นน่ารักจนนิลกาฬอดจะบีบจมูกโด่งเล็กนั้นเบาๆมิได้ สายตามองไปยังคลองที่บัดนี้เริ่มมีผู้คนพายเรือออกมาประปรายแล้ว ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะคว้าแขนร่างบางมายังหน้าชาน..
"“.เอ้า...เขาไปกันแล้ว..เราก็ไปเที่ยวกันบ้างเถิด...”
“..อ่ะ......แต่ประเดี๋ยว ฉันว่าจะซื้อขนมที่คุณนิลชอบจากคุณป้าคนนั้น.... “ เอ่ยลอยๆพลางสอดสายตามองหาเรือพายที่ควรจะมาในเวลานี้เสียที..
มือหนาบีบมือเรียวในมือเบาๆ ผู้ถูกสะกิดหันมามองหน้า ยิ้มหวาน..
“..นทีจ๋า..กินของเดิมๆทุกวันมันก็มีเบื่อบ้างสิ ถึงฉันจะชอบขนาดไหนก็เถิด..แล้วป้าคนนั้นเขาคงจะไปเที่ยวงานวัดเสียแล้วกระมัง..อย่ารอเลย... “ นิลกาฬเอ่ยพลางจูงมือร่างเพรียวมายังตีนท่า มือหนาเอื้อมดึงเชือกที่ผูกเรือไว้ใต้เรือนช้าๆ..
“...ถ้าคุณนิลจะพูดแบบนั้น.. “ ริมฝีปากบางเอ่ยเบาๆ..ใบหน้าก้มงุด..
“..แต่ไม่เบื่อนทีหรอกน่ะ... “ คำพูดนั้นราวกับรู้ใจ ทำให้ผู้ฟังชะงัก แก้มแดงจัด เสมองไปทางอื่น ก่อนจะชะงักกับห่อขนมที่ถูกวางไว้บนฝาหม้อ.. ดวงตากลมโตกวาดมองทั่วลำคลอง..ที่ยังมีผู้สัญจรขวักไขว่..แล้วยิ้มออกมาน้อยๆ
“...แล้วถ้าวันนี้ก็มีเหมือนเดิม..คุณนิลจะทานไหมจ๊ะ... “
คำพูดนั้น ทำให้ผู้ฟังชะงัก นิลกาลซึ่งคว้าไม้พายมาไว้ในมือได้แล้วหันไปมองร่างเล็กที่เอ่ยออกมา มองเห็นห่อขนมคุ้นตาในมือบาง พร้อมกับรอยยิ้มหวานของผู้ถือ..ทำให้เขายิ้มตามได้ไม่ยาก..
“..ทานสิ...แต่นทีต้องเป็นคนป้อนน่ะ... “
...และคำตอบรับก็คือรอยยิ้มหวาน..กับมือเรียวที่ส่งมาแตะกระชับฝ่ามือของนิลกาฬเบาๆ..ทว่ามั่นคง...
...end.
จบแล้วว้อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อยากตะโกนออกมาเป็นภาษาปาทังก้า.(มี?)เป็นนิยายที่ใช้เวลาเขียนนานมาก นานสุด นับสิบเดือนเลยด้วยซ้ำ ...แค่เรื่องสั้นเรื่องเดียว เอิ้ว...ทำไปได้.. แต่ก็ทำเร็จแล้วน่ะ ไม่ดาร์ก ไม่รันทด แถมยังหวานนนนนนนนนนนนนนนนน จนคนแต่งจะสำลักน้ำตาลตาย
ใครว่าอิชั้นแต่งหวานไม่เป็น ชิชิชิ ทำได้แล้วโว้ยยยยย..ไชโยโห่สามราเสร็จ..แล้วก็ไปนั่งเขียนแบดกายต่อไป...หงึ...
ตาเถร...ชอบคำอุทานคำนี้ ..จริงจัง
..แล้วมีใครรู้รึเปล่า? ว่าคลองสายนี้ ชื่อคลองอะไร? (ไม่ใช่แสนแสบน่ะค้า ใครตอบแสนแสบอิชั้นจะงอน)
สำหรับเรื่องนี้ ขอเท้าโครงเรื่องนิดหน่อย..
คุณนิล(นิลกาฬ)กับนที เป็นตัวละครออริจากนิยายเรื่องหนึ่งของอิชั้นเองค่ะ มีคุณนิลกับนทีเป็นหนึ่งในตัวเอกที่มีทั้งหมดห้าคนเรื่องราวของสองคนนี้ก็เกิดขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองค่ะ ตอนที่ทัพญี่ปุ่นเข้ามาในไทย แต่ในตอนนี้ผ่านช่วงนั้นมาแล้วเป็นเรื่องราวหลังสงครามแบบว่าอยากเขียนเรื่องราวสองคนนี้แบบหวานๆขึ้นมาเลยเอามาเขียนดู จนกลายเป็นเรื่องสั้นเรื่องนี้ จากที่อ่านหลายคนคงจับจุดได้ว่าสองคนนี้มีความหลังรันทดกันมาก่อนซึ่งขอกล่าวคร่าวๆว่าเป็นเรื่องผิดใจที่ทำให้ไม่กล้าเชื่อใจกัน และความพิศาลของคุณนิลเค้า ทำให้ทั้งที่มาอยู่ด้วยกันแล้วแต่นทีก็ยังติดซึมเซาอยู่ ก็ประมาณนี้ล่ะค่ะ หวังว่าคงไม่งงกัน เพราะอิชั้นพยายามยกความหลังมาน้อยที่สุด
ใครอ่านแล้วอมยิ้ม สารภาพมาซะดีๆ อิ
...ปอลิง...อาจมีภาคต่อ เพราะอยากเขียนตอนไปเที่ยวงานวัด กับตอนทำบุญสงกรานต์ ทั้งที่ผ่านสงกรานต์มาแล้ว
ปอลิงสอง..อย่าถามถึงนิยายเรื่องนั้นเลยน่ะ มันดาร์กจนกู่ไม่กลับแล้วล่ะเออ (แบดกายเทียบกับเรื่องนั้นแล้วยังเบาะๆน่ะเคอะ นั่นมีตั้งแต่เชือดคอไปจนคว้านท้อง อะเหอๆ)
ถามจริง...
เชื่อมั้ยว่าคนแต่งคือคนเดียวกัน..?