ตอนที่ 18
“....ไอ้ยอร์ชมันกำลังจะหมั้นภายในเดือนหน้า พ่อแม่ของมันจัดหาคู่หมั้นไว้ให้มันแล้ว เห็นว่ารู้จักกันมานานหลายปี.........”ภีมพูดไปก็ร้องไห้ไปไม่หยุด น้ำตาของภีมทำให้ผมสัมผัสได้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดกับผมตอนนี้มันไม่ได้เป็นแค่ฝันไป แต่มันเป็นเรื่องจริง!!!
“ภีม....”ผมครางเบาๆ ตอนนี้สิ่งที่ได้ยินทำให้ใจหล่นวูบ...ภีมพูดเรื่องจริงหรือ? แล้วถ้าจริงทำไมเจ้าตัวถึงไม่เคยบอกกับผมในเรื่องนี้
“ถึงพี่จะไม่ชอบไอ้ยอร์ชมาก แต่ครั้งนี้พี่รับรองว่าไม่ได้โกหก”เขาพูดย้ำเพื่อให้ผมเชื่อในสิ่งที่บอก
“.............เอาไว้เค้าขอพิสูจน์ก่อนนะภีม ตอนนี้เราอย่าเพิ่งวิตกไปเลย”ผมที่ตอนนี้ก็รู้สึกสับสนภายในใจกลับต้องมานั่งปลอบภีมที่ร้องไห้ไม่หยุด ภีมเป็นพี่ชายที่รักน้องมาก...ข้อนี้ทั้งผมและยายภารู้ดี แต่การกระทำหลายๆ อย่างที่นายยอร์ชแสดงให้ผมเห็นในระยะเวลาที่ผ่านมาก็ทำให้ผมทำใจที่จะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ได้ยาก ผมนั่งลูบหน้าลูบหลังภีมด้วยหัวใจที่บีบรัด...ส่วนภีมก็ยังคงร้องไห้ตัวโยนไม่หยุด ในเมื่อตอนนี้สิ่งที่เพิ่งรับรู้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์จึงทำให้ผมไม่อยากฟูมฟายจนเกินไปนัก แต่สุดท้ายแล้วผมควรจะเชื่อใคร? ระหว่างพี่ชายที่รักผมเหมือนชีวิตของตัวเอง และผู้ชายที่เฝ้าทุ่มเทพิสูจน์ตัวเองว่ามั่นคงต่อผมเพียงใด....
หลังจากวันนั้น...เราไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นกันอีก ผมและภีมกลับมาอยู่ที่บ้านและใช้ช่วงเวลาในช่วงปิดเทอมอยู่กับครอบครัว ภีมคอยจับตาดูผมอยู่ห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง และเพราะผมรู้ตัวว่าโดนสังเกตนี่เอง ทำให้การแสดงความรู้สึกกังวลต่อหน้าคนอื่นนั้นถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจ พ่อกับแม่มักจะหาช่วงเวลาพาเราทั้งสามคนไปเที่ยวพักผ่อนอยู่เสมอ หากวันไหนพ่อกับแม่ไม่ว่าง ภีมก็จะพาผมและภาขี่จักรยานไปเที่ยวดูโน่นดูนี่ ผมรู้ดี...ภีมพยายามหาเรื่องไม่ให้ผมว่าง เพื่อไม่ให้ผมมีเวลาพอที่จะไปกังวลเรื่องของนายยอร์ช...
อีกแปดวันก็จะถึงกำหนดวันงานเลี้ยงของภาควิชา นายยอร์ชยังคงโทรมาหาผมเหมือนปกติในทุกๆ วันที่ผมกลับมาพักผ่อนอยู่ที่บ้านในต่างจังหวัด และแน่นอน...บทสนทนาของเราก็ยังเป็นเหมือนเดิม นายยอร์ชยังคงบอกว่าคิดถึงผมทุกลมหายใจและอ้อนโน่นอ้อนนี่เหมือนที่เคยทำทุกครั้ง ซึ่งผมก็โต้ตอบไปตามปกติ ไร้ซึ่งคำถามสำหรับสิ่งที่ผมได้ยินมาจากภีม...
ผมเข้ามาที่หอพักอีกครั้งหนึ่งวันก่อนที่จะมีงานเลี้ยงโดยมีภีมติดตามมาด้วยเหมือนเคย ตอนกลางคืนนายยอร์ชโทรเข้ามาถามว่าพรุ่งนี้ผมจะไปงานเลี้ยงที่ไหนยังไง ผมบอกชื่อโรงแรมดังย่านสุขุมวิทและบอกเขาไปว่าจะนั่งแท็กซี่ไปกับเพื่อนๆ เอง ซึ่งเขาก็ไม่เซ้าซี้ที่จะไปส่งอีก
บ่ายวันถัดมา ผมเตรียมแต่งตัวด้วยชุดที่เตรียมไว้ ภีมนั่งผูกไทด์สีเทาให้ผมอยู่บนเตียงก่อนที่ผมจะหยิบสูทออกมาพาดไว้ที่แขนเตรียมตัวเดินทางออกจากหอ เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นเรียกความสนใจ ผมกดรับแล้วคุยกับปลายสายที่คุ้นเคยดี
“ภามจะไปโรงแรมหรือยัง?”นายยอร์ชกรอกเสียงถามมาตามสาย
“อืม..กำลังจะไป”ผมบอก
“งั้น...เดินทางดีๆ นะครับ”เสียงปลายสายโต้ตอบกลับมาพร้อมกับเสียงจูบหนักๆ จากคนกะล่อน
“......ยอร์ช.....”
“หืม?”
“มีอะไรจะบอกภามไหม?”เป็นครั้งแรกที่ผมถามคำถามนี้ขึ้นมา เหมือนลางสังหรณ์บางอย่างกำลังกระตุ้นให้ผมถามเพื่อความแน่ใจ
“อ่า...ไม่มีหนิ”นายยอร์ชตอบเหมือนปกติ
“แต่จะว่าไป...ตอนนี้มีแล้ว...”เขารีบพูดก่อนที่ผมจะว่าอะไรต่อ
“พี่รักภามนะครับ”เสียงเจ้าชู้ตอบกลับมา
“อืม...รักเหมือนกัน”ผมบอกก่อนจะวางสายแล้วล่ำลากับภีมที่จะอยู่รอที่หอ
งานเลี้ยงในคืนนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่และหรูหรา มีการเชิญบรรดาอาจารย์และศิษย์เก่าตั้งแต่รุ่นแรกๆ จนถึงปัจจุบันมาพบปะสังสรรค์กันอย่างครึกครื้น งานเลี้ยงเป็นไปอย่างสนุกสนานจนเวลาล่วงเลยมาถึงห้าทุ่มผมและเพื่อนๆ จึงทยอยกันกลับหอ แต่ยัยปอยดันอยากลองไปเที่ยวผับแถวรัชดาขึ้นมากะทันหัน พวกเราเลยเปลี่ยนเป้าหมายกันโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน
พวกเราเลือกผับแห่งหนึ่งที่ดูครึกครื้นในซอยหก หลังจากที่พนักงานพาเรามาที่โต๊ะยืนและสั่งเครื่องดื่มกันเรียบร้อยแล้วคนอื่นๆ ในกลุ่มก็เริ่มดื่มและเต้นอย่างสนุกสนาน มีเพียงผมและนันที่ยืนจิบเครื่องดื่มอยู่เฉยๆ
ผมเริ่มเบื่อกับเสียงดังๆ และผู้คนที่อัดแน่นกันอยู่จึงมองโน่นมองนี่ฆ่าเวลารอเพื่อนๆ กลับ พลันสายตาก็สังเกตเห็นคนที่คุ้นตานั่งอยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งในมุมที่ไม่ค่อยมีคน ผมมองจนแน่ใจแล้วว่าใช่คนๆ นั้นจึงบอกนันว่าจะออกไปข้างนอก ซึ่งนันก็เดินตามออกมาเป็นเพื่อนด้วย ผมหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมากดเบอร์เป้าหมายโดยไม่ต้องอาศัยสมุดโทรศัพท์และยกขึ้นแนบหูเพื่อรอฟัง
“ว่าไงภาม...”เจ้าของเบอร์รับโทรศัพท์หลังจากรออยู่พักหนึ่ง
“พอดีภามเพิ่งกลับจากโรงแรม เลยโทรมาถามว่าทำอะไรอยู่”ผมยกนาฬิกาข้อมือของนันขึ้นมาดู ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนครึ่งแล้ว
“เอ่อ...อ๋อ พี่กำลังตรวจบัญชีอยู่น่ะ แต่อีกเดี๋ยวจะนอนแล้ว ง่วงแล้วเหมือนกัน”เสียงที่พยายามทำให้ดูเป็นปกติตอบกลับมา ผมมองไปที่อีกมุมหนึ่งของลานกว้างหน้าร้าน....ผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ที่นั่น ในมือถือโทรศัพท์แนบหู...ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของผม…..
“....ถ้างั้นก็ดีแล้ว งั้นแค่นี้ก่อนนะ..กำลังจะลงจากรถ”ผมบอกด้วยเสียงที่เริ่มจะสั่น แต่ดูท่าอีกฝ่ายคงไม่ได้สังเกต
“ครับ ภามก็รีบนอนนะ ฝันดีครับ...”เขาตอบกลับมา ผมวางสายแล้วจ้องมองผ่านม่านน้ำตาออกไป...เขาคนนั้นกำลังทำท่าโล่งใจกับการโกหกที่เหมือนจะสมบูรณ์แบบ....หากว่าในคืนนี้....ผมไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้
ผมเดินพาตัวเองที่สติหลุดลอยมาจนถึงหน้าประตูห้องของตัวเองที่หอพัก จำได้ว่าหลังจากที่วางโทรศัพท์แล้ว นันที่อยู่ด้วยกันไม่ได้ถามอะไรผมแม้แต่คำถามเดียว เพราะในตอนนั้น...นันก็เห็นทุกอย่างเหมือนที่ผมเห็น.....และได้ยินทุกอย่างที่ผมพูดออกมา นันเพียงแต่วิ่งเข้าไปในผับแล้วออกมาอีกครั้งก่อนที่จะเข้ามาดึงผมที่ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มช้าๆ ให้เดินตามไปขึ้นรถแท็กซี่ที่เรียกไว้ นันนั่งกอดผมที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอดทาง เขาไม่พูดอะไรออกมาเลย...เพราะน้ำตาของผมมันเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว.....
หลังจากเคาะประตูแล้วรอเพียงอึดใจเดียวภีมก็วิ่งมาเปิดประตูเหมือนรอผมมานาน อาการยิ้มจนแก้มจะปริของภีมหายวับไปทันทีเมื่อเห็นผม ผมกระโดดเข้าไปกอดภีมจนเราทั้งคู่ล้มลงไปกองที่พื้น
“ภาม! เป็นอะไร ภาม!”ภีมถามผมด้วยท่าทางที่ดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาลุกขึ้นมานั่งแล้วโผเข้ามากอดผมไว้แน่น พลางลูบหลังเร็วๆ
“....ภีม....เค้าเชื่อแล้ว..........เค้าเชื่อภีมแล้ว.......”ผมพูดแค่นั้นก็ร้องไห้ออกมามากมาย เสียงสะอื้นดังจนภีมต้องรีบปิดประตูแล้วประคองให้ผมขึ้นไปนั่งบนเตียง สิ่งที่ผมเห็นในคืนนี้มันทำให้ผมรู้ในที่สุดว่าใครที่เป็นคนพูดจริง แน่นอนว่าภีมไม่เคยโกหกผม..... และหากว่านายยอร์ชบริสุทธิใจกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ทำไมต้องโกหก? สิ่งที่ผมเห็นมันทำให้ผมเชื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่าเธอคนนั้นเป็นคู่หมั้นของเขา....
คนที่เขาพยายามปกปิดผมมาโดยตลอดในช่วงนี้ และทั้งสองคนก็กำลังมาเที่ยวพักผ่อนด้วยกันตามประสาคนที่ใกล้จะเป็นครอบครัวเดียวกัน....
“ใคร! ใครมันทำอะไรภาม! บอกพี่มา! บอกพี่มา!!!”ภีมตะโกนราวกับคนบ้า ดวงตาแดงก่ำไม่แพ้ผมที่กำลังร้องไห้จนแทบจะขาดใจ
ผมไม่สามารถพูดอะไรได้! เพราะในตอนนี้ผมเริ่มสะอื้นหนักจนหายใจไม่ทันแล้ว!
“ภาม! ภาม!!!”เสียงตะโกนของภีมดังมาให้ได้ยินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะไม่รับรู้อะไรอีกเลย...........
“ฮึก! ฮือๆๆๆๆ”เสียงสะอื้นของใครบางคนที่อยู่ข้างๆ ทำให้ผมต้องปรือตาขึ้นมอง แสงสว่างของเวลากลางวันสาดเข้ามาในห้องจนผมต้องกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสง
“...ฮึก....ฮึก...”เสียงเหมือนคนพยายามที่จะหยุดร้องไห้ยังดังอยู่ไม่ห่าง ผมเริ่มสังเกตรอบตัวเองเมื่อสายตาชินกับแสงดีแล้ว เพดานด้านบนเป็นสีขาวสะอาด มีราวผ้าม่านที่แขวนไว้ด้วยผ้าม่านสีชมพูผืนยาวจากเพดานลงมาจรดพื้น หากแต่มันไม่ได้มีผืนเดียว! ผ้าม่านแบบนี้มีอยู่ทั่วห้องกว้าง และภายในนั้นเต็มไปด้วย
เตียงของคนไข้! ผมสำรวจตัวเองก็พบว่าอยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาลใกล้คณะเตียงที่ผมนอนอยู่รวมทั้งผ้าห่มมีชื่อของโรงพยาบาลติดไว้ชัดเจน
“ภาม! ภามตื่นแล้ว! ภาม!”ภีมแทบจะกระโจนขึ้นมาบนเตียงเมื่อเห็นผมขยับตัว ดวงตาและจมูกแดงก่ำ เสียงที่ปลุกผมเมื่อครู่ก็คงจะมาจากภีมสินะ....
พยาบาลที่ได้ยินเสียงเอะอะรีบวิ่งเข้ามาห้ามไม่ให้ภีมกระชากตัวผมเข้าไปกอดด้วยความรุนแรง พยาบาลบางคนก็เข้ามาจับตัวภีมไว้เพื่อป้องกันอันตรายให้กับผม อันตรายที่อาจจะเกิดจากความรักที่เกินขนาด!!!
ไม่นานนักหลังจากที่ภีมเริ่มจะสงบลง หมอหนุ่มในชุดกาวน์ก็เดินยิ้มใจดีเข้ามาหาผมที่เตียง
“เป็นยังไงบ้างครับน้องภาคิไนย?”คุณหมอถามผมด้วยท่าทางใจดี
“เอ่อ...ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ ผมก็สบายดี”ผมตอบคุณหมองงๆ
“แล้วตอนนี้รู้สึกว่าหายใจเป็นปกติหรือยัง ยังรู้สึกเหนื่อยหอบอยู่หรือเปล่า?”คุณหมอถามผมอีกครั้งหลังจากก้มลงไปมองชาร์ตในมือ
“ก็...ปกติดีครับ....ผมเป็นอะไรหรือครับคุณหมอ?”ผมถาม ยังไม่รู้สาเหตุของการที่ต้องมานอนโรงพยาบาลของตัวเองครั้งนี้
“เมื่อคืนคุณภีมะ พี่ชายเราเขาอุ้มเราน้ำตานองวิ่งขึ้นตึกมา ปรากฏว่าเราช็อคกับอะไรบางอย่างจนทำให้อาการหอบกำเริบจนหมดสติไป...แต่พี่ให้ยาพ่นขยายหลอดลมไปแล้ว คิดว่าน่าจะดีขึ้น”พี่หมอว่ายิ้มๆ
“อ๋อ...ขอบคุณมากครับคุณหมอ”ผมที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ยกมือไหว้ขอบคุณเขา เขาเป็นหมอหนุ่มที่จัดว่าดีทั้งหน้าตาและจิตใจเลยทีเดียว ผมมองไปที่เสื้อกาวน์สีขาวสะอาด ตัวอักษรสีเขียวถูกปักไว้ที่หน้าอก...นพ.องค์อินทร์ วัฒนาเดชาวงศ์ ชื่อเพราะดีแฮะ
“แหม...เรียกเสียเต็มยศเชียว เรียกพี่ว่าพี่อินก็ได้จะได้ดูสนิทสนมหน่อย”คุณหมอว่ายิ้มๆ แล้วหันไปหาภีม
“คุณภีมะ หยุดร้องไห้เถอะครับ คนอื่นมองเต็มแล้ว เดี๋ยวใครเขาจะหาว่าพี่ทำร้ายญาติคนไข้”เขาพูดขำๆ ซึ่งก็ทำให้ภีมเงยหน้าขึ้นมาสอดส่ายสายตาไปรอบห้อง คนไข้เตียงอื่นนั่งมองภีมแปลกๆ บางคนก็นั่งจ้อง ผู้หญิงบางคนก็นั่งทำหน้าแดงๆ ตาลอยๆ ส่วนพวกพยาบาลที่เกาะกลุ่มกันอยู่เมื่อเห็นภีมหันไปมองก็รีบกระวีกระวาดหาอะไรใกล้มือทำด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ....พิลึกดี!!!
จากปฏิกิริยานั้นทำให้ภีมเริ่มหยุดร้องไห้สักที พี่หมออินพูดคุยกับผมและภีมอยู่สักครู่ก็ขอตัวไปดูคนไข้รายอื่นต่อ ส่วนภีมก็ออกไปจัดการจ่ายเงินและทำเรื่องพาผมออกจากโรงพยาบาล
“...พี่จะไปกระทืบมัน! พี่จะฆ่ามัน!”ภีมนั่งทำสีหน้าเคียดแค้นอยู่บนเตียงนอนของผมหลังจากที่ผมเล่าสิ่งที่เห็นในคืนนั้นให้ภีมฟังเมื่อกลับมาจากโรงพยาบาล
“ช่างเถอะภีม...”ผมบอกนิ่งๆ ตอนนี้ผมไม่ได้ร้องไห้แล้ว ความพยายามที่จะลืมเรื่องทุกอย่างเริ่มจะเห็นผล แม้จะเพียงน้อยนิด...แต่ในไม่ช้าผมจะต้องลืมเรื่องนี้ให้ได้ และสุดท้าย...ต้องลืมเขา....
“มันทำให้น้องพี่เจ็บ มันต้องเจ็บกว่าหลายร้อยเท่า!!!”ภีมลืมตัวตะคอกออกมาจนผมสะดุ้ง
“พี่ขอโทษๆ”ภีมรีบเข้ามาลูบหน้าลูบหลังผมเป็นการใหญ่ ผมรั้งตัวภีมเข้ามากอด น้ำตาที่กลั้นไว้เริ่มปริ่มขอบตาอีกครั้ง
“พอเถอะภีม เค้าเหนื่อยแล้ว...ต่อจากนี้เราก็อยู่ส่วนเรา ปล่อยให้เขาอยู่ส่วนเขาเถอะนะ อย่าไปยุ่งอะไรกันอีกเลย”ผมพยายามพูดให้เป็นปกติที่สุด ภีมดันผมออกจากอ้อมกอด มือทั้งสองข้างจับไหล่ผมไว้แล้วจ้องหน้า
“....ภามแน่ใจหรือว่าจะทำใจได้?”ภีมถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง
“...อาจจะไม่ใช่ตอนนี้ แต่ในที่สุดเค้าต้องทำได้”ผมยิ้มบางๆ ส่งไปให้ภีม เห็นภีมถอนหายใจหนักๆ ก่อนที่จะดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้งพร้อมกับลูบหลังผมเบาๆ....
To be continued
______________________________
อ่ะ ใครอยากด่ายอร์ชด่ามาได้เต็มที่ เพราะนัทอยู่ข้างนักอ่านเสมอ พระเอกทำแบบนี้ได้ไงฟระ ฮ่าๆๆๆๆ
แล้วก็อย่าไปด่าทออิดราฟมากนักเลย สารภาพว่าแต่ละตอนเราเป็นคนแบ่งเองแหละ มันส่งมาให้ทั้งดุ้นไม่ทำไรเลย
การทรมาคนอ่านก็เป็นอีกความสุขของเราเหมือนกัน ฮึฮึ เจอกันตอนหน้าน้ะจ้ะ
นัท