ตอนที่ 12
ผมออกมาจากห้องน้ำอีกทีก็พบว่าภามหลับไปเรียบร้อยแล้ว กองงานต่างๆ ยังตั้งกองอยู่เต็มโต๊ะตัวเล็กที่ภามนั่งทำงานเมื่อครู่ ตอนนี้เตียงอีกหลังหนึ่งที่เคยอยู่ติดกับเตียงที่ภามนอนอยู่ถูกดันห่างออกไปแล้ว ผมแอบขำกับความระแวงของภาม ด้วยความที่ของในห้องมีเยอะ ภามจึงเลื่อนเตียงให้ห่างกันได้เพียงคืบเดียวเท่านั้น โถ...พยายามจังนะไอ้ยุ่ง
ด้วยความที่ผมไม่อยากจะปลุกภามขึ้นมาจึงถือวิสาสะค้นตู้เสื้อผ้าของภาม ได้กางเกงกีฬาสีดำตัวใหญ่กับเสื้อ รด.มาใส่ ส่วนข้างในปล่อยโล่งครับ จะเอากางเกงในของภามมาใส่เดี๋ยวโดนโกรธแย่
เนื่องจากตอนนี้ภามไม่ตื่นให้ผมกวนแล้วผมเลยถือโอกาสสำรวจห้องภามเสียเลย ผมเดินไปดูโต๊ะเขียนแบบของภามที่ตั้งอยู่ใกล้ประตูหน้าห้องเป็นอันดับแรก มีสมุดเสก็ตช์ภาพและรูปต่างๆ วางอยู่เล็กน้อย
“ภาคิไนย เจริญโอภาศตระการชัย”ผมอ่านชื่อบนปกสมุดเล่มหนึ่งที่หยิบขึ้นมาดู “ภาคิไนย”หรือ? ชื่อเพราะดีแฮะ ผมเดินดูโน่นดูนี่ในห้องไปเรื่อยๆ บนผนังตรงหัวเตียงเป็นรูปงานต่างๆ ที่ภามเอามาแปะไว้ มีทั้งงานเขียนแบบต่างๆ รูปวาดทั้งดินสอ ปากกาและรูปวาดลงสี รูปถ่ายของภามในอิริยาบถต่างๆ ที่ผมยังสั้นไม่เหมือนตอนนี้ คงจะเป็นตอนที่เข้ามาใหม่ๆ รวมถึงใบปลิวจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ขยันแปะจริงๆ
ข้างจอแอลซีดีทีวีสีขาวที่อยู่ตรงปลายเตียงมีกล่องคุกกี้สีแดงกล่องใหญ่ บนนั้นมีกล่องคอร์นเฟล็กซ์ที่มีรูปไก่สีเขียวยืนยิ้มแป้นแล้นซ้อนทับไว้อีกที โถ...เด็กจริงๆ ยังจะกินอาหารเช้าแบบนี้อีกหรือเนี่ยเมียผม
ดูท่าทางว่าภามจะเป็นคนที่ชอบเก็บภาพความทรงจำมาก เท่าที่ผมเดินสังเกตในห้องนี้เต็มไปด้วยกรอบรูปต่างๆ มากมายวางไปทั่ว มีตั้งแต่รูปที่ภามถ่ายกับครอบครับ ถ่ายกับเพื่อน ถ่ายกับไอ้ป้อง ดูไปดูมาผมก็มาสะดุดกับกรอบรูปกระจกอันหนึ่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะคอมของภาม อารมณ์คุกรุ่นของผมพุ่งทะลักทันที
รูปถ่ายใบนั้นเป็นรูปของภามที่กำลังหลับตายิ้มอย่างมีความสุข แต่ที่ทำให้ผมทนไม่ได้อยากจะฆ่าคนนั่นก็คือสันจมูกของภามที่กดลงไปบนขมับ ของไอ้เด็กเวรนันนั่น ไอ้เด็กนั่นทำหน้าเหวอๆ โดยที่มีฉากหลังเป็นต้นคริสต์มาสแสนสวย โว้ย! มีความสุขกันจริงๆ นะ พี่ไม่ยอมหรอกภาม!
ผมจัดการเอารูปใบนั้นออกจากกรอบแล้วฉีกทิ้งลงถังขยะแล้วเอารูปของตัวเองที่มีติดอยู่ในกระเป๋าตังค์ใบหนึ่งมาใส่ไว้แทนก่อนจะตั้งไว้ที่เดิม ทีนี้แหละถึงผมไม่ได้อยู่ห้องนี้แต่ภามก็ต้องเห็นหน้าผมตลอด ฮิฮิ มีความสุข
หลังจากที่ดูโน่นดูนี่ในห้องของภามจนง่วงแล้วผมจึงขึ้นนอน ก็นอนเตียงเดียวกับภามนั่นแหละครับ เรื่องอะไรจะไปนอนอีกเตียงให้ขาดความอบอุ่น ผมดึงภามมากอดหลวมๆ แล้วมองอย่างไม่รู้เบื่อ
ผมคิดว่าภามตอนอยู่ในชุดนักศึกษาสีขาวบริสุทธิ์นั้นทำเอาผมอยากจะดึงภามมากอดไว้แน่นๆ จนแทบคลั่ง แต่ตอนนี้มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ภามที่นอนหายใจสม่ำเสมอในอ้อมกอดของผมตอนนี้อยู่ในชุดเสื้อกีฬาแขนกุดสีขาวกับกางเกงกีฬาสีน้ำเงินเข้มบางๆ มันสั้นจนเห็นถึงต้นขาขาวๆ ที่ไม่ค่อยโดนแดด ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกลามกที่มีต่อภามอย่างยากลำบาก ไอ้ยอร์ชน้อยเจ้ากรรมก็ดันตื่นตัวดันกางเกงที่ใส่อยู่ขึ้นมาจนปวดหนึบไปหมด ถ้าภามตื่นขึ้นมาเห็นตอนนี้มีหวังคว้าโคมไฟข้างเตียงมาทุบของรักผมหักแน่! เพื่อที่จะหักห้ามใจไม่ให้ลักหลับภามในตอนนี้ผมจึงต้องหลับตาท่องสูตรฟิสิกส์ต่างๆ ที่เคยเรียนมาตั้งแต่ปีหนึ่งช้าๆ แต่มันก็ไม่ค่อยได้ผลเอาซะเลย ผมพยายามสะกดจิตตัวเองถึงครึ่งชั่วโมงเต็มๆ ไอ้ส่วนที่มันแข็งจนปวดก็ยอมอ่อนลงให้จนได้ ผมถอนหายใจอย่างยากลำบากแล้วเอนตัวลงนอนหลับไปทั้งๆ ที่ยังกอดภามไว้แบบนั้น
.....
......
..
...
..
“ภาม...ภามครับ ตื่นได้แล้ว”เสียงคุ้นๆ ดังอยู่ข้างๆ เรียกให้ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา สงสัยจะเป็นนายยอร์ชนั่นแหละ เมื่อคืนคงไม่ได้กลับไปที่คอนโด
“เดี๋ยวก่อน ขออีกห้านาที”ผมปัดมือที่จับไหล่ออกแล้วหันหนีไปอีกทาง
“ภาม...วันนี้มีเรียนเก้าโมงไม่ใช่หรือ? ถ้าไม่รีบตื่นเดี๋ยวไปเรียนไม่ทันนะ”
“..............................”
“ภาม ถ้าไม่ลุกเดี๋ยวนี้พี่จูบนะ”เสียงที่เข้มขึ้นทำให้ผมกระเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนทันที นั่งมองนายยอร์ชตาขวางๆ ขัดความสุขจริงๆ
“เอ้าๆ มองทำไม ไม่รีบไปอาบน้ำ หรือว่าอยากจะ....”
“หยุดเลย! อาบก็อาบสิ”ผมว้ากใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย ลุกออกไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ระเบียงเดินเข้าห้องน้ำไป อาบน้ำเสร็จแต่งตัวเรียบร้อยออกมาเพิ่งนึกได้ว่าผ้าผืนนี้เมื่อคืนผมไม่ได้ใช้คนเดียวนี่หว่า มันยังถูกใช้ห่อหุ้มร่างกายของคนอีกคนที่นั่งมองผมไม่วางตาอยู่ตอนนี้ แถมคงจะถูกเอาไปทาถูๆ ตรงส่วนนั้น ส่วนโน้น ส่วนนี้ของไอ้บ้านี่อีก อึ๋ย! แค่คิดก็คลื่นไส้แล้ว
“ทำหน้าอย่างกับแพ้ท้องแน่ะภาม”นายยอร์ชที่นั่งอยู่บนเตียงพูดขำๆ
“อย่ามาบ้าน่า แล้วนี่ทำไมไม่กลับคอนโดตัวเองไปฮึ”
“พี่รอไปส่งภามเรียนก่อน เดี๋ยวค่อยกลับไปอาบน้ำ วันนี้มีเรียนบ่าย”
“อ๋อหรือ? อืม”ผมได้แค่ทำสัญญาณรับรู้ในสิ่งที่เขาบอกแล้วเดินไปหยิบนาฬิกาข้อมือที่โต๊ะคอมมาใส่ สายตาก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบนโต๊ะ
“คุณทำอะไรกับกรอบรูปของผมเนี่ย!”ผมหยิบกรอบรูปที่ทำจากแก้วบนโต๊ะขึ้นมาดู รูปของผมกับนันที่เคยอยู่ในนั้นหายไปแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นรูปนายยอร์ชยืนทำหน้าเข้มอยู่ในนั้นแทน
“อ้าว มีใครบ้างหล่ะอยากเห็นเมียตัวเองเอารูปที่ถ่ายกับคนอื่นมาใส่กรอบโชว์ แถมยังมีหอมกันอีกแน่ะ”
“อย่ามาพูดบ้าๆ นะ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณทั้งนั้นแหละ”
“ภามแน่ใจหรือว่าไม่เป็น? ให้พี่ทบทวนให้อีกครั้งดีไหม?”
“แต่ยังไงคุณก็ไม่มีสิทธิเอารูปตัวเองมาใส่กรอบของผมโดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้ มันเสียมารยาท”
“ก็อนุญาตเสียสิ พี่กับภามน่ะคนอื่นคนไกลกันที่ไหน”เขาพูดมาหน้าระรื่น กวนโมโหจริงๆ
“ผมจะเปลี่ยน เอารูปคุณกลับไปด้วย”
“ถ้าคราวหน้าพี่มาห้องภามแล้วไม่เห็นรูปพี่ตั้งอยู่ตรงที่เดิมหล่ะก็สวยแน่”นายยอร์ชทำหน้าเข้มขึ้นให้ผมกลัว อันที่จริงก็แอบกลัวนิดๆ นั่นแหละ
“วางมันลงแล้วไปกันได้แล้วภาม เดี๋ยวจะสาย”เขาเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ผมชักจะเบื่อกับการบังคับโน่นบังคับนี่ของเขาแล้วนะ แต่เอาไว้ก่อนก็ได้เดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทัน ผมวางกรอบรูปที่มีรูปเขาอยู่ลงที่ข้างจอคอมเหมือนเดิม แล้วใส่รองเท้าเดินตามนายยอร์ชที่เดินนำอยู่ข้างหน้าไป
“เป็นอะไรภาม เห็นเดี๋ยวก็หน้าบึ้งเดี๋ยวก็ยิ้ม ไม่สบายหรือเปล่า”ปอยที่นั่งเซาะร่องแท่งปูนปลาสเตอร์อยู่ข้างๆ ผมถาม
“หา? ปอยว่าไงนะ”ผมละสายตาจากแท่งปูนของตัวเองหันไปถาม ตอนนี้พวกเราอยู่ในช็อปเซรามิกของคณะเพื่อทำงานวิชาดีไซน์ชิ้นสุดท้ายของเทอมนี้ นั่นก็คือการออกแบบแจกันและเซาะแท่งปูนปลาสเตอร์ที่หล่อไว้ให้ออกมาตามแบบ
“กำลังคิดอะไรอยู่อ่ะ เดี๋ยวก็ทำหน้าซะน่ากลัวเดี๋ยวก็ยิ้มซะหวาน แต่เราเห็นแกยิ้มมากกว่า”
“เอ่อ...”ผมตอบไม่ถูก นี่เมื่อครู่ผมทำหน้าแบบไหนไปกันนะ ในเมื่อผมจำได้ว่าผมกำลังคิดถึงเรื่องที่นายยอร์ชไปสิงสถิตอยู่ที่ห้องอยู่ อารมณ์มันต้องเป็นโกรธสิ แล้วปอยจะเห็นผมยิ้มได้ยังไง
“ว่าไงหล่ะแก”ปอยยังเซ้าซี้ไม่เลิก
“เรากำลังคิดถึงเรื่องเมื่อวานน่ะ ว่าแล้วก็ยังโกรธไม่หาย...”แล้วผมก็เล่าเรื่องของนายยอร์ชให้ปอยฟังจนหมด ในเมื่อสนิทกันก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“แต่ทำไมเราเห็นแกยิ้มอยู่นั่นแหละ ก็ไหนว่าโกรธเค้า”ปอยถามผมหลังจากที่ผมเล่าจบ
“หรอ?.. ก็ไม่รู้สิ เหอะๆๆ”ผมหัวเราะกลบเกลื่อน ในเมื่อคำถามที่ปอยถามมา ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
“เราว่าเราพอรู้แหละ”ปอยบอกยิ้มๆ มีประกายตาขึ้นมาอย่างไม่น่าไว้ใจ
“อะไร”ผมถาม
“เรื่องอะไรจะบอก ของแบบนี้ต้องให้เจ้าตัวรู้เองถึงจะสนุก”ปอยตอบเจ้าเล่ห์แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไม่ตอบอะไรอีกแม้ว่าผมจะเซ้าซี้เท่าไร จนห้าโมงเย็นแดดเริ่มร่มลมเริ่มตกบัดดี้ผมก็โทรเข้ามาตาม
“เฮ้ย เดี๋ยวเราไปช็อปรถแล้วนะ น้ำโทรมาตามแล้ว”ผมรีบเก็บของแล้วตะโกนบอกพวกเพื่อนๆ ตอนนี้ใกล้ปิดเทอมใหญ่แล้วงานก็เริ่มโถมเข้ามามากขึ้น รวมทั้งการเพ้นท์รูปรถลงบนผนังช็อปรถที่วิศวะก็เป็นโจทย์ข้อสอบปลายภาคของวิชาการนำเสนอด้วย ซึ่งงานนี้ผมอยู่กลุ่มเดียวกับน้ำ บัดดี้ของผมที่อาจารย์จัดให้ตอนต้นเทอม เราทั้งแปดคนต้องช่วยกันวาดรถที่คณะสถาปัตย์และวิศวะออกแบบด้วยกันลงบนผนังให้สวยที่สุดถ้าไม่อยากได้ดีในวิชานี้(ไม่มีใครอยากได้ดีจริงๆ นะ)
“อ้าวภามมาแล้วหรอ พี่นึกว่าจะวันนี้ภามกับเพื่อนๆ จะไม่มาทำต่อ”พี่ป้องถามผมเมื่อผมเดินผ่านหน้าช็อปเพื่อไปหากลุ่มทำงานที่ผนังอีกฝั่ง
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าพี่ เหมือนพี่จะรอภาม”ผมถามเพราะสังเกตว่าพี่ป้องรอผม
“อ๋อ มีสิ พอดีหมาแถวนี้มันอยู่ไม่ค่อยสงบสุข งุ่นง่านรอเจ้าของมานานแล้วทำท่าจะฟัดคนเค้าไปทั่ว นี่พี่ก็ว่าถ้าอีกครึ่งชั่วโมงภามไม่มาพี่คงโทรตาม”พี่ป้องพูดขำๆ
“มาช้าจริงๆ เลย”ไม่ทันที่ผมจะถามพี่ป้องให้หายสงสัยกับคำพูดเมื่อครู่เสียงกวนๆ ก็ดังลอยมาตามมาด้วยนายยอร์ชที่เดินกอดอกหน้าบูดเป็นตูดออกมาจากข้างใน
“อะไรอีกหล่ะ”ผมทำหน้าหน่ายๆ เมื่อพอจะรู้ว่าหมาที่พี่ป้องพูดถึงหมายถึงใคร
“ไม่ต้องมาอะไรเลย พี่มาคอยภามนานแล้วนะ มัวแต่ไปทำอะไรอยู่”
ผมขมวดคิ้วใส่หน้าคนพูดเพราะไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรแล้วมันจะหนักส่วนไหนของเขา แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะมารอผมทำไม เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงผมจึงทำเป็นไม่สนใจเดินหนีเขาเพื่อไปทำงาน ไม่แม้กระทั่งจะบอกลาพี่ป้อง
“ภาม! จะไปไหน มานี่เลย โธ่โว้ย!”นายยอร์ชเดินไล่หลังผมมาติดๆ ผมก็ยิ่งเร่งเดินหนีเมื่อพอจะจับน้ำเสียงได้ว่าเขาเริ่มอารมณ์ร้ายมากขึ้น นิสัยเสียจริงๆ
ปั้ก! “เฮ้ย!” เคร้งๆๆๆ เสียงโลหะกลิ้งดังอยู่ข้างหลังผมแล้วก็เงียบไป แต่เสียงที่ดังขึ้นกลับเป็นเจ้าของคำอุทานเมื่อครู่
“สัดนี่ มึงไม่เห็นรึไงวะว่ากูเดินอยู่ตรงนี้”นายยอร์ชตะคอกใครก็ไม่รู้เสียงดังลั่น ผมชักอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงหยุดเดินหันหลังไปมอง
“ผมขอโทษครับพี่ พอดีผมไม่ทันมอง”ผู้ชายตัวผอมๆ ที่ผมว่าน่าจะอยู่ปีหนึ่งเหมือนกันยืนตัวสั่นละล่ำละลักขอโทษนายยอร์ช ที่พื้นมีคราบน้ำมันเครื่องหกนองพร้อมกับกระป๋องสังกะสีที่กลิ้งอยู่ไม่ไกล มองไปบนตัวคนที่ทำหน้าเหมือนจะฆ่าคนก็เห็นว่าที่เสื้อช็อปเปื้อนน้ำดำๆ อยู่ไม่มาก
“แล้วทำไมมึงไม่มองวะ มึงคิดว่ามึงเป็นใคร ใหญ่นักหรอกล้ามาทำกูเลอะแบบนี้”เอาแล้วไงมันพาลแล้วครับ ไอ้ที่มันพูดออกมาไม่ได้เกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้เลย ไอ้หนุ่มนั่นก็แสนดีไม่กล้าตอบอะไรอีก เอาแต่ยืนก้มหน้าทำตาแดงๆ ตอนนี้คนที่อยู่แถวนั้นมามุงดูตามระเบียบกันหมดแล้ว
“อ้าว เชี่ยนี่! ถามไม่ตอบ งั้นแดกหมัดกูหน่อยแล้วกัน”พูดจบไอ้หมาบ้าก็เงื้อหมัดทันที
“ยอร์ช!”ผมตะโกนลั่นเมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าห้ามไอ้เถื่อนนี่ ก็มันทำหน้าน่ากลัวซะขนาดนั้น ใครจะกล้าหล่ะ
ได้ผลครับ หมัดลุ่นๆ ของเขาหยุดอยู่ห่างจากปลายจมูกของคนเคราะห์ร้ายเพียงคืบเดียว นายนั่นก็หลับตาปี๋ตัวสั่นเตรียมรับชะตากรรม
แต่เพียงไม่ถึงสามวินาทีหมัดนั้นก็เงื้อขึ้นมาใหม่เตรียมซัดเข้าที่เป้าหมายเดิม
“หยุดเลย! ไอ้บ้า!”ผมที่ยืนอยู่ห่างจากเขาพอสมควรตะโกนแบบไม่ไว้หน้าแล้ว นี่มันอันทพาลชัดๆ โว้ย! เดี๋ยวก็โทรแจ้งตำรวจซะเลย ไอ้พวกคนดูนี่ก็กลัวอะไรนักหนาไม่รู้ ยืนลุ้นกันอย่างเดียว ไม่เว้นแม่แต่พี่ป้อง
“ภามคิดว่าภามจะห้ามพี่ได้หรือ”ไอ้เถื่อนยอร์ชถามผมเสียงดุโดยที่ไม่หันมามองหน้า กำปั้นที่กำแน่นยังค้างอยู่กลางอากาศหลังจากถูกหยุดไว้เพราะเสียงตะโกนของผมเมื่อครู่
“แล้วคิดว่าได้หรือไม่ได้หล่ะ”ผมถามเสียงเรียบแบบที่ถ้าผมใช้โหมดนี้เพื่อนๆ จะรู้เลยว่าผมโกรธแบบสุดๆ แล้ว
“ฮึ่ย!”นายยอร์ชสบถบ้าบออะไรออกมามากมายแต่ยังไม่ยอมเอามือลงมา ไทยมุงก็หันมองผมทีมองไอ้บ้านี่ทีแบบอยากรู้ว่าจะทำยังไงกันต่อไป
“ตกลงจะหยุดหรือไม่หยุด”ผมถามนิ่งๆ แต่ไม่มีคำตอบกลับมา
“เอามือลง”ผมสั่ง เขาลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วเอามือลงคลายออกเป็นปกติ
“นายชื่ออะไร อยู่ปีหนึ่งเหมือนกันหล่ะสิ เราชื่อภามนะ อยู่ถาปัด”ผมเดินเข้าไปถามคนที่ผมช่วยไว้ได้โดยไม่คาดคิด นายนั่นยิ้มแหยๆ แล้วตอบกลับ
“เราชื่อต้า อยู่วิดวะปีหนึ่งน่ะ”ดูท่าเขายังเกรงไอ้หมาบ้าที่ยังยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหนอยู่ หน้าตาถมึงทึงไม่ยอมเปลี่ยน
“ยอร์ช”ผมเงยหน้าขึ้นไปเรียกคนตัวสูงข้างหลัง เขาเลิกคิ้วกวนประสาทประมาณว่ามีอะไร
“นี่เพื่อนใหม่ผม คุณทำไม่ดีกับเพื่อนของผม ช่วยขอโทษเขาด้วย”นายยอร์ชหน้าบึ้งตึงขึ้นมาอีกทันทีหลังจากที่ผมพูดจบ คนที่มุงอยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงฮือฮาที่ผมกล้าสั่งพี่ปีสี่หน้าตาเฉยแบบนี้ ดูก็รู้แล้วว่าคนถูกสั่งไม่มีทางทำตามเด็กปีหนึ่งอย่างผมแน่นอน
“ว่าไง จะไม่ทำก็ได้นะ แล้วไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีก ผมไม่ชอบพวกอันทพาล”เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองผมจึงหันหลังจะเดินออกไปทำงานเพราะคิดว่ายังไงนายต้านี่มันก็ต้องรอดอยู่แล้ว
“เดี๋ยว...”มือใหญ่คว้าแขนผมไว้ให้หันกลับไปพร้อมกับสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน
“พี่ขอโทษนะ คือ...เมื่อกี้พี่โมโหไปหน่อยเลยอารมณ์เสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง”นายยอร์ชขอโทษต้าด้วยท่าทางที่แตกต่างจากเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว ผมที่ยังไม่ทันเห็นว่าต้าจะยิ้มเลยตั้งท่าจะเดินออกไปอีกแต่ก็ต้องโดนดึงกลับมาอีกตามเคย
“น้องยกโทษให้พี่เถอะนะ ไม่งั้นพี่ตายแน่ นะครับ พี่ขอโทษจริงๆ”นายยอร์ชเล่นอ้อนวอนต้าจนคนรอบๆ ส่งเสียงฮือฮาอีกรอบ ดูท่าว่าต้าไม่ได้โกรธหรอก แต่กลัวมากกว่า ต้ามองหน้าผมประมาณว่าเอายังไงดี แต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเพราะกลัวรุ่นพี่เสียหน้าไปมากกว่านี้เลยต้องยิ้มให้
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ผมเข้าใจ”ต้ามองมาที่มือของนายยอร์ชที่จับแขนผมแน่นแล้วยิ้มให้ก่อนขอตัวกลับไปทำงานในช็อปต่อ ผมแกะมือนายยอร์ชแล้วก็เดินฝ่าไทยมุงที่เริ่มแยกย้ายออกมาเพื่อที่จะทำงานต่อ
“เดี๋ยวก่อนภาม”เขาวิ่งตามมาข้างหลังเรียกให้ผมหยุด
“ทำไมอีก จะสร้างปัญหาอะไรอีก”ผมถามเขาอย่างรำคาญ ไม่รู้จะอะไรกับผมนักหนา
“พี่ขอโทษ ก็พี่โมโหนี่นา”เขาบอกเสียงอ่อยๆ ผมเห็นหน้าสำนึกผิดก็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“ช็อปเลอะแน่ะ ถอดออกสิ”ผมบอกนายยอร์ชซึ่งกระวีกระวาดถอดออกหลังจากผมพูดจบ
“ภามจะไปไหน”
“ทำงานสิถามได้”
“พี่ไปด้วย”เขาเดินตามมาอีกเมื่อเห็นว่าผมไม่มีทีท่าจะสนใจ
“หยุด”ผมหยุดเดินแล้วหันมาบอกซึ่งเขาก็หยุดกึกอีกเหมือนกัน
“ภาม...”นายยอร์ชครางเหมือนหมาถูกเจ้าของทิ้ง
“ไปหยิบถังสีตรงโน้นแล้วเดินตามมา”ผมชี้ไปที่ถังสีที่ต้องใช้ตรงมุมตึก คนฟังหันตามแล้วหันมายิ้มดีใจก่อนจะวิ่งไปทำตามที่ผมบอก
พวกเพื่อนๆ ที่เป็นผู้หญิงในกลุ่มทำงานของผมกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ที่ได้ตัวช่วยรูปหล่อมาช่วยทำงาน แล้วก็ยิ่งกรี๊ดกันมากไปอีกเมื่อเห็นผมโดนแย่งโน่นแย่งนี่ไปทำจนแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แม่เพื่อนพวกนั้นก็ตัวดีคอยยุยงส่งเสริมพี่ยอร์ชตรงโน้น พี่ยอร์ชตรงนี้ ให้ช่วยผมอยู่คนเดียว กลัวผมจะเหนื่อยนักหรือไงไม่รู้ เราทำงานกันโดยที่ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลยจนถึงสองทุ่มครึ่งก็พากันเก็บของกลับหอ
To be continued
_____________________________________
ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาเอาคืนของภามที่ทุกคนรอคอยแล้วนะจ้ะ ดีใจด้วยยยยย
เห็นมีแฟนหน้าใหม่เข้ามาก็ยินดีต้อนรับจ้า และต้องขอขอบคุณแฟนๆหน้าเก่าที่ติดตามมาตั้งแต่แรกด้วยนะ
ขอบคุณที่ยังไม่ทิ้งกัน ยังเข้ามาเม้นให้กันเสมอ
อ่านแล้วมีความสุขมากๆ ขอบคุณจ้า
นัท