Special Part 1
YORCH’s DIARY : บันทึกของผม
….ให้ตายเถอะ ทั้งๆ ที่มีอุปกรณ์ที่ต้องรีบใช้วันนี้แท้ๆ แต่ร้านในคณะดันปิดเสียนี่! แล้วที่นี้ผมจะทำยังไงดี ผมเดินวนไปวนมาคิดดูว่าร้านขายอุปกรณ์ที่ไหนที่จะอยู่ใกล้กับคณะผมที่สุดแล้วก็นึกออก... สถาปัตย์ ใช่ ที่สถาปัตย์ซึ่งเป็นคณะที่อยู่ติดกับคณะผมมีร้านขายอุปกรณ์ที่ครบครัน มีของเกือบทุกอย่างตั้งแต่ช็อกโกแล็ตยันโต๊ะเขียนแบบ คิดได้ผมก็ไม่รอช้าแล้วหล่ะครับ รีบเดินรีบซื้อดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ทันใช้
ไม่กี่นาทีผมก็มาถึงร้านขายอุปกรณ์เล็กๆ(แต่ของนี่ครบครันจริงๆ)ที่ตั้งอยู่ข้างโรงอาหารถาปัด ไม่รู้ทำไมตั้งแต่เดินมาถึงมีแต่คนมองผมเหมือนไม่เคยเห็นคนหล่อ คิดไปคิดมา อ้อ! ก็วันนี้ผมดันใส่ช็อปของคณะมาด้วยน่ะสิ มิน่าหล่ะ เด็กถาปัดมองกันใหญ่ ผมหยิบของที่ต้องการแล้วจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแต่ยังออกจากร้านไม่ได้เพราะร้านที่มีขนาดเล็กอยู่แล้วตอนนี้มีไอ้เด็กแว่นตัวสูงๆยืนขวางประตูอยู่ มันสั่งกระดาษร้อยปอนด์สองใบ คงจะเอาไปเขียนแบบ ผมยืนรออยู่สักหนึ่งนาทีได้ก็ยังไม่เห็นว่ามันจะขยับหลบให้ผม มัวแต่หันไปมองโน่นมองนี่อยู่นั่นแหละ คนก็ยิ่งรีบๆ อยู่ ชักจะอารมณ์เสียแล้วสิครับ
“อ้าว..นั่นโมเดลผมหนิ ว่าแล้วเชียวว่ามันหายไปไหน”ไอ้แว่นว่าพลางชี้ไปที่โมเดลที่ทำมาจากกล่องกับลูกปิงปอง โมเดลอะไรของมันวะเนี่ย ห่วยแตกชะมัด เด็กประถมยังตัดได้เลย
“อ๋อ ป้าก็ว่าแล้วว่าของใครมาลืมไว้ คิดว่าน่าจะเป็นโมเดลอะไรสักอย่างเลยเก็บไว้ให้”ป้าเจ้าของร้านบอกมัน ดูท่าว่าจะสนิทสนมกันพอสมควร
“ฮึ..โมเดลกระจอกๆ แบบนี้ เป็นกู กูไม่ทำหรอกว่ะ”ด้วยความที่โมโหที่มันยืนขวางไม่ให้ผมออกไปอยู่แล้วเลยทำให้ผมพูดความในใจออกมาอย่างไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ป้าเจ้าของร้าน กับเด็กถาปัดที่อยู่ในร้านอีกสามคนหันมามองผมทันที ไอ้แว่นนั่นจากที่หน้ายิ้มๆ ตอนนี้หน้าบึ้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“นี่คุณ! คุณไม่รู้อะไรเป็นอะไรดีอย่ามาพูดเรื่อยเปื่อย นี่มันโมเดลสตัดดี้ จะเอาอะไรดีนักหนา เดี๋ยวมันก็ต้องแกะออกไปเขียนแบบแล้ว”ไอ้แว่นว่า ดูพยายามข่มอารมณ์เต็มที่ สงสัยกลัวจะเสียภาพพจน์
“ก็ของมันห่วย แล้วจะให้บอกว่ามันดีได้ยังไงวะ” ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมก็ขอพูดความจริงให้มันจบๆ ไปละกันนะ
“เด็กวิดวะอย่างคุณไม่มีทางเข้าใจถาปัดหรอก ถ้าไม่รู้อะไรจริงทีหลังอย่ามาพูดหาเรื่องกันในคณะของคนอื่นเขาดีกว่า เชิญกลับไปใช้ชีวิตเถื่อนๆ ในคณะของคุณโน่น!”มันชี้ไปที่ประตูทางออกแล้วเบี่ยงตัวให้ผมเดินออกไปครับ เออ! ดี กูรอให้มึงทำอย่างนี้มานานและ เสือกมายืนขวางอยู่ได้ โดนด่าก็สมควรแล้วสาด
“ปากดีนักก็อย่าให้เห็นเดินอยู่ในวิดวะแล้วกัน!” ผมคาดโทษมันไว้แล้วรีบเดินออกจากร้านไป
วันนี้เป็นวันที่ผมเลิกเร็วเรียนเร็วกว่าปกติครับ อาจารย์ที่สอนมีธุระต้องไปทำเลยแค่สั่งงานไว้ พวกผมเลยออกมากินข้าวกันที่ร้านข้าวในซอยหลังคณะ ระหว่างที่รออาหารที่สั่งไปผม ไอ้พัท ไอ้ป้อง ไอ้โจเพื่อนสนิททั้งสามคนของผมก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ
“ไอ้โจ วันนั้นที่ไปดูนิทรรศการที่ถาปัดด้วยกันมึงเห็นเก้าอี้ตัวนั้นไหมวะ ไอ้ที่มันพับเปลี่ยนเป็นบันได เปลี่ยนเป็นชั้นวางของแล้วก็เปลี่ยนเป็นอะไรได้อีกก็ไม่รู้ กูจำไม่ได้และ แมร่งเจ๋งหว่ะ เด็กถาปัดแมร่งคิดกันได้ไงวะเนี่ย”ไอ้พัทหันไปพูดกับไอ้โจ ไม่รู้มันแอบไปกันมาตอนไหน
“อ๋อ ไอ้ตัวนั้นอะนะ เจ๋งกว่านั้นก็มีมึง แต่ละอันแมร่งไอเดียดีๆ ทั้งนั้น ออกแบบก็สวย เห็นว่าเป็นของภาคไอดีนี่หว่า”ไอ้โจตอบ ดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่มันได้พบเห็นกันมามาก
“หรอ? กูว่าแมร่งก็งั้นๆ แหละว่ะ”เห็นมันเทิดทูนเด็กคณะข้างๆ ผมราวกับเป็นพระเจ้าแบบนี้เลยอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
“ถาปัดแมร่งก็เท่านั้น วันๆ เอาแต่เพ้อฝันคิดโน่นคิดนี่แต่พอให้ทำออกมาจริงๆ ก็ทำไม่ได้ แค่มีวิดวะมันก็เพียงพอแล้ว”ผมพูดไปอย่างที่ใจคิด แต่ไอ้สามตัวที่เหลือบนโต๊ะทำหน้าไม่เห็นด้วยกับผมสักคน อะไรของพวกมันเนี่ย คงไม่ได้ไปแอบชอบเด็กถาปัดกันหรอกนะไอ้พวกนี้
“วิศวะสร้างได้ก็แต่เพียงโครงสร้างที่แข็งแรงมั่นคง แต่สร้างความสุขในหัวใจของมนุษย์ไม่ได้ แต่สถาปัตย์เป็นผู้สร้างอารยธรรม”เสียงคุ้นๆ ดังมาจากโต๊ะข้างๆ เยื้องกับผมเล็กน้อย คนพูดพูดราวกับว่าไม่ได้เจาะจงให้ใครฟังโดยเฉพาะ
ไอ้สามเสือบนโต๊ะผมมันเงียบกันทันทีที่ได้ยิน หันมามองหน้าผมอย่างปรามๆ มันรู้ดีว่าผมได้ยิน และก็รู้ดีด้วยว่าผมมันเป็นคนเลือดร้อนแค่ไหน
“ถาปัดแมร่งก็แค่พวกเพ้อฝัน”เรื่องอะไรผมจะไปยอมมัน ลองมาฉะกันซักตั้งจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร
“วิดวะก็ดีแต่ป่าเถื่อนชอบดูถูกคนอื่น”ไอ้นั่นยังคงพูดจะท้าทาย ไม่ได้มีความเกรงกลัวเลย
“พวกไม่ยอมรับความจริง”ผมไม่ลดละ
“ความจริงก็คือพวกเถื่อนๆ ชอบหาเรื่องชาวบ้านเค้าไปทั่ว”มันพูดได้แค่นั้นเส้นความอดทนของผมก็ขาดลงทันที ไอ้เวรนี่วอนซะแล้ว ผมหันไปกระชากตัวมันอย่างแรงให้หันมาเผชิญหน้ากับผมจนมันเกือบตกเก้าอี้
“ปากดีนักนะมึง! อ้าว...นี่มันไอ้เด็กโมเดลห่วยเมื่อวันนั้นนี่หว่า โลกมันกลมจังนะ วันนั้นอุตส่าห์ใจดีไม่ทำอะไรแล้ว ยังไม่มีสำนึก อย่าคิดว่าวันนี้กูจะปล่อยมึงไปง่ายๆ นะสัด”อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้วะ
“ก็แล้วคุณจะทำอะไรผมหล่ะ?”ดูหน้ามันก็รู้แล้วครับว่ามันกลัวผม แล้วยังจะมาทำเชิดหน้าเหมือนไม่กลัวอีก
“งั้นอย่าอยู่เลยมึง!”ผมตะคอกมันและกระชากคอเสื้อเงื้อหมัดหมายจะให้ลงที่กลางหน้ามันเต็มที่ แต่ว่ามีมือใครก็ไม่รู้มารับหมัดของผมไว้ได้ทัน
“เฮ้ยๆ! ปล่อยเลยๆ นี่น้องกู กูขอไว้คนนึง”อ้อ ไอ้ป้องครับ ไอ้นี่สุภาพบุรุษตลอดกาล ว่าแต่มันไปรู้จักกับไอ้เด็กเวรนี่ได้ยังไงเนี่ย
“ก็มึงดูปากมันซิหล่ะ เด็กไม่อยู่ส่วนเด็ก วอนจะโดนตีนซะแล้ว”ผมหันไปบอกมัน ยังโมโหไม่หาย
“แต่มึงไปหาเรื่องน้องเค้าก่อนนะเว้ยยอร์ช”ไอ้พัทบอกผม
“ใช่ๆ แล้วกูก็ว่ามีเรื่องตรงนี้มันไม่ดีหรอก ดูดิ คนมองเต็มร้านแล้วนะ”ไอ้โจก็สนับสนุนไอ้พัทอีกแรง เออ! เอาเข้าไป
“งั้นแสดงว่าถ้าไม่ใช่ตรงนี้ก็ได้ใช่ไหม?”ผมถามแค่นี้ก็ลากไอ้แว่นนั่นออกมาจากร้านเลยครับ อยู่ตรงนี้ทำอะไรมันไม่ได้ก็พาไปทำที่อื่น ผมไม่แคร์อยู่แล้ว
“คุณจะพาผมไปไหนเนี่ย ยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ”ไอ้คนที่ผมลากอยู่ถามผมกลัวๆ
“ไปที่ๆ กูจะซัดมึงได้เต็มที่ไงไอ้สัด ปากดีอย่างมึงนี่กูไม่เอาไว้หรอก”ผมตะคอกมันจนมันสะดุ้งแล้วเหวี่ยงมันเข้าไปนั่งในรถของผมแล้วสตาร์ทเครื่องถอยออกอย่างรวดเร็ว
“อยากเป็นคนพิการมึงก็กระโดดลงไป”ผมบอกมันที่ดูจะไม่เต็มใจมากับผม(ก็แน่อยู่แล้วแหละ) เห็นมันเงียบไปสักพักก็หยิบโทรศัพท์มือถือของมันออกมา
“มึงจะโทรหาใคร”ผมถาม
“.........”
“กูถามว่ามึงจะโทรหาใคร!”ผมตะคอกเมื่อเห็นมันไม่ยอมตอบ กวนนักนะไอ้นี่
“...พี่ป้อง”มันบอกผมกลัวๆ ตลกนะมึง ที่อย่างนี้หล่ะกลัวกูเชียว
“ไอ้ป้องมันช่วยอะไรมึงไม่ได้หรอก เอามานี่เลยมึง ปากดีนักวันนี้ก็เอาตัวเองให้รอดแล้วกัน”ผมเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ในมือมันแล้วขว้างไปกระทบกับเบาะหลังดังปุ พังก็พังไป ช่างแมร่ง เห็นมันนั่งหน้าซีดๆ แล้วก็เงียบไม่พูดอะไรอีกเลย
ไม่นานนักผมก็พามันมาถึงคอนโดของผม พอลากมันขึ้นไปบนห้องได้ผมก็เหวี่ยงมันลงไปกระแทกกับโซฟาจนมันทำหน้าจุกพูดไม่ออก
“คราวนี้แหละมึง จะได้รู้ว่ากูพูดจริงทำจริง”
“คุณจะทำร้ายผมจริงๆ น่ะหรือ?”มันท้าวแขนขึ้นจากโซฟา พยายามพูดเหมือนไม่กลัว
“ก็เออสิ ไม่งั้นกูจะลากมึงมาที่นี่ทำไม”ผมตะคอกจนมันสะดุ้งเหมือนเคย เออหว่ะ เห็นมันกลัวผมแล้วสนุกดี เล่นบทโหดๆ แบบนี้ไปนานๆ ดีกว่า เอาให้แมร่งเข็ด ทีหลังจะได้ไม่มาทำซ่ากับผมอีก
“ผมรู้ว่าเรื่องใช้กำลังผมสู้คุณไม่ได้ แต่บ้านเมืองก็มีกฎหมาย คุณทำผมโดยที่ผมไม่โต้ตอบคุณตอนนี้ได้ แต่ผมก็จะต้องไปแจ้งตำรวจข้อหาทำร้ายร่างกายอยู่ดี”มันอ้างครับ
“หึ! ไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาขู่กูเลย มึงคิดว่าถ้าพ่อกูไม่ใหญ่จริงแล้วกูจะกล้าพามึงมากระทืบหรือ? มึงแจ้งได้กูก็สั่งให้ถอนแจ้งความได้”ผมบอกมัน เป็นเรื่องจริงที่ว่าตำแหน่งหน้าที่ของพ่อผมใหญ่จนแก้ไขเรื่องแค่นี้ได้สบายๆ
“ก็ถ้าคุณพูดถึงขนาดนั้น...”มันพูดแล้วค่อยๆ ถอดแว่นตาโปโลสีน้ำเงินเข้มออกจากใบหน้าแล้ววางไว้ข้างๆ ตัว
“อะไรของมึงอีกหล่ะ”ผมถามมัน ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหนอีก
“คุณจะทำอะไรก็ทำ แต่ผมขอถอดแว่นตาก่อน ถึงมันจะดูไม่มีค่าอะไรสำหรับคุณแต่มันแพงสำหรับผม”มันบอกพร้อมหลับตานิ่ง รอกำปั้นที่กำลังจะกระทบใบหน้า
“ก็ดี!”ผมเดินไปถึงตัวมันพอดีแล้วก็ซัดหมัดลุ่นๆ ไปข้างหน้าอย่างไม่รอช้า แต่ไม่รู้เพราะอะไรมาดลใจ ผมหยุดหมัดนั้นไว้กลางอากาศ ห่างจากหน้ามันเพียงคืบเดียว
มันหลับตานิ่งดูก็รู้ว่ามันทำใจยอมรับแล้วว่าจะต้องเจ็บ จนเมื่อผ่านไปแล้วสักสามสี่วินาทีนั่นแหละมันถึงลืมตาขึ้นมามองผมงงๆ
“เออ! กูไม่ทำมึงก็ได้ ไม่อยากรังแกเด็กหว่ะ!”ไม่รู้ทำไมจริงๆ ครับ ตอนนี้ผมไม่อยากทำร้ายมันแล้ว หรือผีคนดีจะเข้าสิงผม?
“...............”มันเงียบครับ เออดี งั้นกูขออบรมมึงหน่อยละกัน
“แล้วทีหลังมึงหัดทำตัวให้มีสัมมาคารวะด้วย กูน่ะปีสี่แล้วนะ ไม่ใช่เพื่อนเล่นของมึง หัดทำตัวดีๆ กับรุ่นพี่ซะบ้าง”
“ผมกลับได้แล้วใช่ไหม”มันถาม หยิบแว่นตามาสวมแล้วทำท่าจะออกจากห้อง ไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมพูดเลย ไอ้เด็กเวรนี่
“ยัง!”ผมบอกมัน สะดุ้งอีกแล้ว ไอ้นี่หนิตกใจง่ายนักวะ
“มึงกวนตีนกูจนกูยังไม่ได้กินข้าวเลย”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง?”มันถาม
“ไปนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนกูเลยสาด”ผมก็เลยสั่งไปตามนิสัยครับ
“ไม่ไปครับ”มันพูดซะเพราะ แล้วจับลูกบิดประตูเตรียมเปิด
“กูบอกให้ไปมึงก็ต้องไป อย่ามาเรื่องมาก”ผมลุกเดินก้าวยาวๆ มาคว้าข้อศอกมันแล้วลากให้เดินไปพร้อมกัน อะไรที่ผมตัดสินใจแล้วจะเป็นใครผมก็ไม่ยอมให้ขัดใจหรอกครับ
“มึงชื่ออะไร?”ผมถามมันในขณะที่ขับรถ
“....................”เงียบครับ มันไม่ยอมตอบผม นี่จะหาเรื่องกันให้ได้ใช่ไหมวะ
“ไม่ยักรู้ว่าเด็กถาปัดแมร่งหูตึงด้วย”
“........................”โว้ย! แมร่งกวนตีนชิบ เงียบอยู่ได้
ด้วยความโมโหที่ถูกมันท้าทายผมเลยหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทางเสียงดังเอี๊ยด เห็นมันกระเด้งตัวไปข้างหน้าจนเข็มขัดนิรภัยรั้งหน้าอกหน้าตาดูเจ็บปวด
“จะตอบกูดีๆ ได้หรือยัง?”ผมถามมันเสียงเข้มเลยครับ ทำหน้าดุให้มันกลัวด้วย จะได้ไม่กวนตีนผมอีก
“........ภาม”มันบอกผมเบาๆ ไม่ยอมมองหน้าผม
“ก็แค่นี้แหละ”ผมพูดแล้วขับรถออกสู่ถนนดังเดิม
การกินข้าวกับมันครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่ามันเป็นคนที่ประหยัดพอสมควร เพราะมันยอมที่จะนั่งดูผมกินเฉยๆ หากว่ามันจะต้องเป็นคนจ่ายค่าอาหาร เหตุผลของมันคือมันยังเป็นเด็กปีหนึ่งหาเงินใช้เองไม่ได้เลยไม่กล้ากินอาหารแพงๆ นอกจากนี้ผมยังรู้ว่ามันกินเผ็ดไม่ได้อีกด้วย คิดไปคิดมาแล้วผมจะไปนั่งสังเกตนั่งสนใจมันทำไมวะเนี่ย แปลกจริง
หลังจากผมกินอิ่มเรียบร้อยแล้วก็ขับรถมาส่งมันที่หอ อยู่หอในซะด้วย คงเป็นเด็กที่เคร่งครัดในวินัยพอสมควร ไม่เข้ากับไอ้นิสัยที่ดูรั้นๆ ของมันเลย
“นี่อยู่กับเมทคณะไหน”ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากรู้เรื่องของมัน
“เปล่า ไม่มี อยู่คนเดียว”มันบอก
“เออ”
“ขอบคุณครับ”มันยกมือไหว้ผมงดงามตามแบบฉบับผู้ดี(แสดงว่าผมนี่ผู้เลวเต็มที่สิเนี่ย) ผมอึ้งกับมันจริงๆ ขนาดผมลากมันไปถูลู่ถูกังขนาดนี้ยังรักษามารยาทอีก
“เออ”ไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้วครับเพราะผมยังงงกับมันไม่หาย เห็นมันทำท่าไม่สนใจกับปฏิกิริยาของผมแล้วก็หันหลังเดินเข้าหอไป
เย็นวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมต้องมาวิ่งเพื่อวอร์มอัพสำหรับการเล่นกีฬา ที่จริงผมอยู่ชมรมบาสของสถาบันฯ ครับ แต่ผมก็เล่นโน่นเล่นนี่ไปทั่วรวมทั้งรักบี้ก็เป็นกีฬาอีกชนิดหนึ่งที่ผมชอบอยู่ไม่น้อย วันนี้ผมใส่ชุดสำหรับเล่นรักบี้มาพร้อมเลยครับ สาวๆ มองตรึม หึหึ
เส้นทางวิ่งในวันนี้ก็เหมือนทุกวันคือวิ่งตั้งแต่ถนนในตัวคณะวิดวะเลยไปจนถึงถาปัดแล้วก็วนไปอย่างนี้ ก็ทำไงได้หล่ะครับ สองคณะนี้ดันอยู่ในเขตเดียวกัน ใช้รั้วอันเดียวกัน ถนนก็เชื่อมกันหมด จะวิ่งให้ได้ระยะทางยาวๆ ก็ต้องวิ่งต่อไปคณะข้างๆ แบบนี้แหละ
ผมวิ่งมาถึงโรงอาหารถาปัดเป็นรอบที่สาม ตอนนี้เริ่มๆ เหนื่อยบ้างแล้วเลยเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆ แทน เงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะสูดอากาศก็เห็นคนคุ้นๆ ตา ตอนแรกก็ว่าจะไม่คุ้นหรอกครับ แต่ทำไงได้ ทำไมมันถึงรู้สึกว่าคุ้นไปแล้วก็ไม่รู้
เด็กหนุ่มตัวสูงตามแบบฉบับวัยรุ่นยุคใหม่กำลังเดินลอยหน้าลอยตาชมโน่นชมนี่ไม่ได้สนใจทางเท่าไหร่ ใบหน้าที่ได้รูปนั้นตอนนี้แม้จะชื้นไปด้วยเหงื่อแต่ก็ดูหล่ออยู่ดี หมอนี่มันหล่อแบบน่ารักๆ ต่างจากหลายๆ คนที่ดูหล่อแบบคมเข้ม ผมสีดำสนิทที่ซอยให้บางแต่ปล่อยยาวลงมาถึงไหล่นั่นบ่งบอกได้ดีว่ามันเป็นเด็กที่มีอารมณ์ศิลป์พอควร(คนไว้ผมยาวๆ แบบนี้คณะผมมีน้อยครับ) ซึ่งดูขัดๆ กับแว่นกรอบเหลี่ยมสีน้ำเงินที่มันใส่แล้วดูเหมือนนักเรียนแพทย์มากกว่า มันพับแขนเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดตามาจนถึงข้อศอก ที่ไหลก็สะพายกระเป๋าแบบใบใหญ่มาด้วย จะหนักไหมวะนั่น ไม่รู้ทำไมแทนที่ผมจะวิ่งเลยผ่านมันไปเลยแต่กลับผ่อนเท้าให้วิ่งช้าลงแทน
“อ้าว...ไอ้โมเดลห่วย”ผมเรียกมันแล้วรออยู่อีกประมาณสองวินาทีมันถึงละสายตาจากทิวทัศน์รอบตัวมามองผม ทำหน้าเหมือนจะพูดว่า “อีกแล้วหรือ?” จนผมชักหมั่นไส้มันเล็กๆ ผมหันไปบอกเพื่อนร่วมทีมให้วิ่งนำไปก่อนแล้วค่อยมาคุยกับมัน
“คุณคนเถื่อน”มันเลิกทำหน้างงแล้วครับ ตอนนี้มันเปลี่ยนมาเป็นทำหน้านิ่งๆ แทน แต่ไม่วายจะกวนตีนผม
“อย่ามากวนตีนๆ”
“คุณควรสำรวมให้มากกว่านี้ ที่ตรงนี้เด็กถาปัดให้ความเคารพมาก”ภามมันว่า แล้วส่งสายตาไปที่ตึกทรงไทยที่อยู่ด้านหลังผม
“ไม่รู้ไม่เห็น คณะใครคณะมันสิ”ไม่ใช่ไม่เคารพหรอกครับ ผมเรียนมาหลายปีพอจะรู้ว่าที่ตรงนี้เด็กถาปัดจะให้ความเคารพกันมาก ซึ่งนอกจากจะเคารพฝีมือของอาจารย์ในคณะที่เป็นคนเขียนแบบด้วยมือท่านเองแล้ว ที่นี่ยังมีประวัติยาวนานและ...ดุอีกด้วย(มีคนเล่าให้ผมฟัง) แต่ผมอยากจะกวนมันเล่นๆ แค่นั้นแหละ เห็นมันคิ้วกระตุกนิดๆ แล้วก็ย้อนผม
“นั่นสิ แล้วเด็กวิดวะอย่างคุณมาร่อนอะไรอยู่ในถาปัดหล่ะ”
“ก็มาวิ่งอยู่ทุกวัน ไม่เคยเห็นเลยเรอะ”ไอ้เปรตนี่หนิ เป็นยามเฝ้าคณะรึไงวะ หวงจริง
“แล้วผมจะมัวไปนั่งสังเกตคุณอยู่ทำไมหล่ะ ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วผมไปก่อนนะ กระเป๋าแบบมันหนักมาก”มันบอกแล้วหันตัวเดินกลับ และผมก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คิดจะทำอีกครั้ง
“เดี๋ยวๆ”ผมวิ่งไปดักหน้ามันครับ แล้วผมจะทำอย่างนี้ทำไมวะ อ๋อ เออ ใช่ๆ ผมหิวน้ำ เมื่อหาสาเหตุได้ผมเลยหยิบแบงค์ร้อยจากกระเป๋าตังค์แล้วยัดใส่มือมัน เห็นมันก้มลงไปมองเงินแล้วเงยหน้ามามองผมงงๆ
“อะไรครับ?”
“อยากกินกาแฟเย็น ไปซื้อให้หน่อย”ผมสั่งมัน ที่จริงผมอยากลองกินกาแฟร้านนี้มานานแล้ว แต่ไม่ค่อยมีโอกาสเพราะได้แต่วิ่งผ่าน มัวมาซื้อเดี๋ยวโดนเพื่อนด่าเอา
“หยุดเลยๆ กูรู้ว่ามึงจะทำอะไร บอกให้ซื้อก็ไปซื้อเลย เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าขัดใจผู้ใหญ่”ผมว่ามันดุๆ เมื่อเห็นมันทำท่าจะคืนเงินผม อย่าคิดจะมาท้าทายอำนาจมืดของกูเชียวนะโว้ย
“ใหญ่ตายหล่ะ”มันว่าหน้าหงิกๆ แต่ก็ยอมเดินไปซื้อให้ผมแต่โดยดี
“ก็ใหญ่กว่ามึงแล้วกัน”ผมเดินตามมานั่งรอมันที่ชิงช้าไม้ใต้ต้นไทรหน้าร้าน แต่ก็ไม่วายจะต้องเหน็บให้มันเคืองๆ เล่น ฮิฮิ ทำไมเวลาแกล้งมันแล้วผมมีความสุขอย่างนี้วะ
ไม่นานกาแฟปั่นก็เสร็จ ไอ้ภามเดินถือมาเสิร์ฟให้ผมที่นั่งรอเป็นคุณชายสุดหล่อถึงมือ แต่เอ๊ะ มันจะใส่วิปครีมมาทำไมวะ ผมกินซะที่ไหนหล่ะ เห็นผมเป็นเด็กๆ รึไงเนี่ย
“ใครบอกให้ใส่วิปครีมวะเนี่ย กูกินซะที่ไหนหล่ะ”ผมเขี่ยๆ วิปครีมในแก้วอย่างของที่ไม่ต้องการ
“ก็ใครจะไปรู้ ปกติผมชอบกินแบบนี้”อ๋อหรอ เออๆ ภามชอบกินกาแฟปั่นใส่วิปครีม ผมจะได้จำไว้ แล้วถ้าเป็นโกโก้หล่ะ ภามจะชอบกินหรือเปล่านะ? อ้าว! เฮ้ย! นี่ผมกำลังคิดอะไรวะเนี่ย ประเด็นตอนนี้คือผมต้องหาเรื่องมันไม่ใช่เรอะ
“แล้วมึงกับกูนี่คนๆ เดียวกันรึไงไอ้สาด”ด่ามันจนได้ครับ ฮิฮิ สะใจ
“ทีหลังก็บอกมาให้ละเอียดๆ สิ”ดูมันชักเริ่มโมโห
“ตกลงกูผิดใช่ไหมเนี่ย”
“กับแค่กาแฟแก้วเดียวคุณยังมีปัญหากับมันได้เลยนะ”
“ก็กูไม่กินวิปครีมไอ้สาดดดดด”เอาสิมึง อะไรที่กูต้องการกูต้องได้ และตอนนี้กูต้องชนะมึง(ไม่รู้ว่าผมกลายเป็นเด็กขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่)
“งั้นก็เอามานี่”ภามมันว่าแล้วก็ฉวยแก้วกาแฟจากมือผมไปครับ ฉวยไปแล้วก็....อ้าวเฮ้ย! ตักวิปครีมในแก้วกูกินหยับๆ ซะงั้น ไอ้เด็กเวรนี่ นี่ผมให้มันซื้อมาให้ผมกินนะ
“เอ้าเอาไป”มันกระแทกแก้วคืนใส่มือผมหลังจากตักวิปครีมกินจนหมดแล้วปิดฝาลงเหมือนเดิมแล้ว ในจังหวะที่ผมกำลังอึ้งกิมกี่อยู่กับการสวาปามวิปครีมของมันมันก็รีบลุกเอากระเป๋าแบบสะพายไหล่แล้วเดินหนีผมไปทันที
ผมนั่งอึ้งต่ออีกประมาณสามนาทีกับภามลุคใหม่ไฉไลกว่าเดิมหรือเปล่าไม่รู้ ตั้งสติได้ผมก็ก้มลงมองแก้วกาแฟในมือที่ตอนนี้วิปครีมข้างบนหายไปเกือบหมดแล้ว เหลือแต่เศษเล็กๆ ที่ติดขอบแก้วให้เห็นเป็นอนุสรณ์ว่าเคยมีมันอยู่ในแก้วใบนี้ ผมยกแก้วขึ้นมาดูดกาแฟเย็นๆ เข้าปาก แปลก...ปกติถ้าไม่ใช่เพื่อนหรือคนรู้จักที่สนิทกันจริงๆ ผมจะไม่ยอมกินอะไรที่ต้องใช้ภาชนะร่วมกับเขา แต่สำหรับแก้วใบนี้ หลอดอันนี้ ผมกลับนั่งกินมันต่อจากภามโดยที่ไม่รู้สึกรังเกียจอะไร ผมลุกขึ้นเดินถือแก้วกาแฟดื่มไปเรื่อยๆ ทำไมร้านนี้ทำกาแฟหวานจังวะ ทั้งๆ ที่ผมไม่ชอบกินอะไรหวานๆ มาก แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่ากาแฟแก้วนี้มันอร่อยจัง หวานหรือ?....อืม....ก็อร่อยไปอีกแบบ
จบยอร์ชไดอารี่พาร์ทแรกจ้า
___________________________________
สำหรับตอนนี้เป็นการะดำเนินเรื่องฝั่งนายยอร์ชตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับภามเลยทีเดียว
ไม่รู้จะมีใครเริ่มเข้าใจนายยอร์ชขึ้นมั่งรึยัง อุตส่าห์มาลงเรียกเรตติ้งพระเอกคืนนะเนี่ย
ปล. เดี๋ยวจะมาอัพรูปกับ profile ตัวละครให้นะจ้ะ