มาลงรับวันที่ 20 กับตอนที่ 20 กั๊บ
ความเดิม ปาล์มพยายามหาวิธีช่วยปอนด์ทุกวิถีทางในการตามหาไปป์ให้เจอและบอกความจริงทั้งหมดให้ไปป์รู้ หนทางสุดท้ายคือการไปที่สนามบิน ทั้งคุ่ไปถึงก่อนเวลา แต่เครื่องบินเที่ยวที่ไปป์นั่งไปนั้น ออกจากท่าไปแล้ว ปอนด์และปาล์มถูกท้อปปั่นหัวอีกครั้งเกี่ยวกับเวลาที่เครื่องบินจะออก เมื่อไม่ได้พบไปป์สิ่งเดียวที่ปอนด์จะทำได้นั่นคือ การเอ่ยความในใจของตนออกมากับอากาศธาตุ คำสารภาพของเขาจะมีผลให้ไปป์ได้ยินหรือไม่ หรือนี่คือการจากลาอย่างแท้จริง ติดตามต่อใน ตอนที่ 20
ตอนที่ 20 แค่ได้คิดถึง
“ขอบฟ้าที่เรานั่งมองคราวนั้นยังมีความหมาย
ต้นไม้ ลำธารยิ่งมองยิ่งคิดถึงเธอมากมาย
ชีวิตที่มันขาดเธอ วันนี้ยังเดินต่อไป
แค่ได้คิดถึงก็เป็นสุขใจ”
เสียงเพลงจากเครื่องเสียงรถยนต์ของปาล์มทำให้ผมรู้สึกหดหู่หนัก แม้ว่าเจตนาของปาล์มต้องการที่จะใช้เสียงเพลงทำให้ผมผ่อนคลายตอนขากลับ แต่โชคร้ายที่เปิดไปกี่คลื่นก็เจอแต่เพลงอกหัก รักคุด ปาล์มคงสังเกตเห็นสีหน้าอันเศร้าสร้อยของผมที่ได้ฟังเพลงตอกย้ำอารมณ์ จึงรีบกดปิดเพลงทันที
“อ้าว ปาล์มปิดเพลงทำไมล่ะ กำลังเพลินเลย” ผมพูดอย่างขัดใจ
“มีแต่เพลงอะไรก็ไม่รู้ อย่าฟังเลยนะปอนด์ ยิ่งฟังยิ่งคิดฟุ้งซ่าน” ปาล์มว่า
“เปิดเพลงให้เราฟังเถอะนะ คนเราถ้าผิดหวังมากๆ เราก็คงจะไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น นอกจาก....”
“ทำร้ายตัวเอง ด้วยการทำให้ตัวเองเสียใจหนักขึ้นไปอีก ปอนด์คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วเหรอ” ปาล์มตอบแทรกขึ้นมา
“แล้วจะให้เราทำยังไงล่ะปาล์ม เรามืดแปดด้านไปหมดแล้ว เรายังทำใจไม่ได้ มันเหมือนการสูญเสียของรักชิ้นสำคัญในชีวิตไปเลยนะ” ผมครวญ
“แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่านายจะไม่มีโอกาสแก้ไขมันอีกไม่ใช่เหรอ เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับนายแล้วว่านายจะรอได้หรือเปล่า เวลาเท่านั้นที่ตอบคำถามให้นายได้”
“นายก็พูดได้หนิ นายไม่ได้มาเป็นเรานายไม่เข้าใจหรอก เราเป็นผู้สูญเสีย ไม่เหมือนนาย... ที่กำลังสมหวังในความรัก”
.........................................................
“เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดด” ปาล์มหยุดรถกะทันหัน จนหัวผมกระแทกกับเบาะรถ
“เราผิดหวังในตัวนายมากนะปอนด์ นายเคยเข้มแข็ง นายเคยมีความหวัง แต่ตอนนี้นายกำลังจะโดนพิษของความรักเล่นงานจนไม่เป็นผู้เป็นคน ทำไมเราจะไม่เข้าใจล่ะปอนด์ เรื่องความผิดหวัง เราเจอกับมันมาก่อนปอนด์อีก เราต้องหนักแน่นเข้าไว้สิ อย่าปล่อยให้ใจเราอ่อนแอ ในชีวิตคนไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอกนะ ตราบใดที่เรายังสู้อย่างมีความหวังแล้วล่ะก็ สักวันหนึ่งเราจะเอาชนะทุกอย่างได้ด้วยตัวของเราเอง” ปาล์มหันมาพูดกับผมอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของปาล์มทำให้ผมคิดได้
“เราขอโทษนะปาล์ม ต่อไปนี้เราจะรอคอยอย่างมีความหวัง เราจะไม่อ่อนแอให้ใครเห็นอีก” ผมพูดน้ำตาคลอ
“ไหนบอกว่าจะไม่อ่อนแอให้ใครเห็นไง พูดยังไม่ทันขาดคำจะร้องไห้อีกแระ” ปาล์มปลอบแกมล้อ
“อือ... ไม่ร้องแล้ว เราจะไม่ร้องไห้แล้ว” ผมรีบเช็ดน้ำตา แล้วหันไปยิ้มให้ปาล์มอีกครั้งก่อนที่ปาล์มจะสตาร์ทรถแล้วออกเดินทางต่อ
รถของปาล์มขับเข้ามาในตัวจังหวัด สถานที่ๆคุ้นตาเริ่มปรากฏริมสองฝั่งข้าง
“อยากแวะไปบ้านไปป์ก่อนมั้ย บางทีอาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นที่นั่นก็ได้นะ” ปาล์มเสนอเมื่อรถขับมาถึงละแวกบ้านไปป์
“ก็ดีเหมือนกัน” ผมพูดตอบรับสั้นๆ แต่ในใจก็แอบอธิษฐานให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริงๆตามที่ปาล์มบอก
รถคันงามขับมาจอดที่ริมฟุตบาทหน้าบ้านของไปป์แล้ว ผมรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก สถานที่ที่เคยมาบ่อยๆ กลับกลายเป็นเหมือนบ้านร้างที่ปราศจากผู้คน ไม่มีสุ้มเสียงใดแว่วออกมาเหมือนเคย เสียงหัวเราะ เสียงก่นด่า เสียงแห่งความรักและความผูกพันคงจะไม่มีอีกแล้วสำหรับผมในสถานที่นี้
“ปาล์ม..วันนี้นายเหนื่อยมากแล้ว นายกลับไปก่อนเลยก็ได้นะ ขอบคุณมากที่ช่วยเรา นายเป็นคนดีมาก” ผมพูดหลังลงจากรถแล้ว
“งั้นเราไปก่อนนะ เดี๋ยวเตอร์จะรอนาน มีอะไรก็โทรปรึกษาได้ทุกเวลาเลยนะ เรายินดีช่วยเหลือนายเสมอ”
“อืม... ฝากทักทายปีเตอร์ด้วยนะ ขับรถดีๆล่ะ” ผมพูดทิ้งท้าย ปาล์มหยักหน้าตอบรับแล้วขับรถออกไป
ผมเดินไปที่บ้านตรงหน้าอย่างช้าๆ ลมเย็นพัดมากระทบตัวจนรู้สึกหนาวสะท้าน แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาบ่าย แต่ท้องฟ้ากลับมืดสลัว ไร้ซึ่งแสงแดดที่เป็นสัญลักษณ์ของกาลกลางวันแต่อย่างใด ใบไม้แห้งปลิวว่อนตามแรงลมกรรโชก บรรยากาศแบบนี้คาดเดาได้ไม่ยากว่าอีกไม่ช้า ฝนคงต้องตกลงมาเป็นแน่
กระดาษแผ่นย่อม เขียนตัวอักษรอ่านได้ใจความว่า “ขายด่วน” ถูกเจาะรูร้อยเชือกฟางแขวนไว้ที่ลูกบิดประตูหน้าบ้าน เป็นการย้ำชัดในความรู้สึกว่าผู้ที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้อยู่อีกต่อไปแล้ว
ผมใช้มือข้างหนึ่งลูบบานประตูอย่างอาลัย แววตาเศร้าของผมคงบอกได้ดีว่าผมคิดอะไรอยู่
..............................................................
“ไอ้หนู...” เสียงเรียกของหญิงวัยกลางคนที่ผมคุ้นหน้าทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ
“ครับ” ( อ๋อ... ป้าข้างบ้านคนนั้นเอง)
“หนูชื่อปอนด์ หรือเปล่าจ๊ะ” ป้าถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ครับ... มีอะไรเหรอครับป้า”
“คือ... หนูไปป์เค้าฝากไอ้เนี่ยเอาไว้ให้หน่ะ...” ป้าพูดพร้อมยื่นสิ่งของสิ่งหนึ่งให้ผม
“อะไรนะครับ ไปป์ฝากให้ผม” ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนดีใจ
“ใช่จ้ะ... เค้าบอกว่ามันสำคัญมาก ถ้าป้าเจอหนูเค้าบอกให้ให้กับมือหนูเท่านั้น สภาพมันอาจจะเละไปหน่อย เพราะมันถูกไอ้หนูอีกคน ชื่ออะไรนะจำไม่ได้....ที่ใส่แว่นหน่ะ...”
“ท้อปรึเปล่าครับ”
“เออ.ๆๆๆ..ใช่จ้ะ....หนูคนนั้นแหละฉีกจนเยินและก็เอาไปทิ้งถังขยะ หนูไปป์เค้าอุตส่าห์ลงทุนคุ้ยขยะทั้งคืน เพื่อค้นหาหนังสือเล่มนี้เลยน้า พอหาเจอแล้วเค้าก็ดีใจมากรีบเอาไปซ่อมสภาพมันก็เลยเป็นแบบเนี้ยจ้ะหนู”
“ครับ ขอบคุณป้ามากนะครับ” ผมรีบรับของสิ่งนั้นมาทันทีโดยไม่ลังเล
^
^
^
สมุดบันทึกเล่มเล็กบาง สภาพยับเยิน อาจจะเรียกว่าเป็นเศษขยะประเภทหนึ่งก็ได้ในสายตาคนอื่น แต่สำหรับผมมันเป็นสิ่งของที่มีคุณค่าทางใจมาก เพราะมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนที่ผมรักตั้งใจมอบให้ผม ก่อนที่เวลาจะพรากเราไม่ให้ได้เจอกันไปอีกนานเท่าไรก็ไม่อาจคาดเดาได้เลย