บทส่งท้าย
เต้ยทำหน้าเข้ม มองหน้าบารมีด้วยความฉุนเฉียว ในใจอยากกระโดดเข้าไปขย้ำคออีกฝ่ายยิ่งนัก บ่ายวันนี้เขานัดให้บารมีมาเจอกันที่สวนใต้สะพานพระรามแปด เพื่อคุยกันถึงเรื่องความรักวุ่นๆ ของคนสามคู่ บารมียืนฟังเขาอยู่นาน แต่พอเขาสรุปการสนทนา ฝ่ายนั้นก็แย้งขึ้นมาทันที
"คุณเลิกยุ่งกับเขาดีกว่า ให้เขาเลือกทางเดินของเขากันเอง คุณกำลังจะทำให้ทุกอย่างวุ่นวายเฉยๆ" บารมีเสียงแข็ง
"มันยุ่งเพราะคุณทำงานกับวิธวินท์ไม่สำเร็จ ตอนนี้เป็นไงล่ะ กับภิรายุคุณก็ไม่สำเร็จ"
"ผมไม่ได้รักภิรายุ" บารมีปฏิเสธเสียงดัง
"ตอนนี้ยัง แต่ต่อไปก็ไม่แน่ คุณไม่เห็นหรือว่าภิรายุเป็นคนน่ารัก เปิดใจตัวเองหน่อย" เต้ยยังพยายามโน้วน้าว "ทำไมไม่ยอมลืมวิธวินท์"
"ทำไม่ไม่อยากให้วินท์ลงเอยกับคุณธีรดนย์นัก" บารมีหันมาจ้องตาเต้ย
"ใครว่า ก็ช่วยคุณดนย์อยู่นี่ไง"
"โดยการจะผลักผมให้ภิรายุใช่หรือเปล่า โดยการพยายามทำอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม"
"แล้วทำไม่ชอบจะมาจมอยู่กับอดีต อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปสิ คนใหม่ก็มีอยู่" เต้ยกระแทกเสียง
"อดีตบางอย่างเราก็ไม่อยากจะลืม ไม่อยากจะทิ้งมันไป" บารมีหันไปมองแม่น้ำที่กำลังไหลเอื่อย น้ำเสียงอ่อนโยน มือล้วงกระเป๋ากางเกง ยืนนิ่งไม่ไหวติง
"แต่คุณก็ไม่อยากย้อนอดีตไปนานเกินไป ผมรู้ว่าอดีตบางอย่างคุณอยากจะลบมันออกไปแทบทุกลมหายใจ ขอให้ทำสำเร็จเร็วๆ นะ" เต้ยพูดเสียงเข้ม แล้วหันหลังกลับเดินไปที่รถทันที
บารมีกัดฟัน ถอนหายใจแรงๆ มือที่ล้วงอยู่ในกางเกงกำจนแน่น จากนั้นจึงค่อยๆ หันไปมองร่างของ 'อดีต' คนหนึ่งของเขาที่กำลังก้าวขึ้นนั่งบนรถ
...อดีตอย่างคุณผมก็ไม่อยากลืมหรอกเต้ย อย่าเข้าใจผมผิดแบบนั้น ผมเพียงแต่ต้องการเวลา...
วิธวินท์กวาดตามองรั้วลวดหนามที่ขึงรอบที่ดินผืนกว้างตรงหน้าแล้วหันไปมองเพื่อนสนิทที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่รถ โดยมีภมรเดินตามมาติดๆ
"อ้าว ดูแค่นี้หรือ" ภมรถาม
"จะให้ดูอะไรอีก มันก็มีแค่ดินกับหญ้า แล้วก็รั้วลวดหนาม จะให้วิเคราะห์มันด้วยหรือไง ไม่ได้กำลังดูจานบินมนุษย์นะ" วิธวินท์ตอบห้วนๆ
"ปากหนอปาก" ภมรส่ายหน้า "ปากแบบนี้น่าโดนตบจูบ"
"ได้ค่านายหน้ามาเท่าไหร่ภมร ถึงมาเซ้าซี้อยู่ได้"
"เปล่า ก็เห็นว่านายพลาดจากครั้งแรก คราวนี้เจ้าของเขาอยากขายจริงๆ อุตส่าห์ลดให้เหลือล้านหกตามที่นายเคยอยากได้ ก็เลยพามาดู"
"ทำไมอยู่ๆ เขาอยากขาย ก็เพิ่งซื้อไปได้ไม่กี่เดือน แล้วซื้อไปราคาสองล้านมาขายขาดทุนสี่แสนนี่นะ" วิธวินท์ทำเสียงครุ่นคิด
"เขาร้อนเงิน" ภมรรีบตอบ "โทรมาเสียงร้อนรนเลยล่ะ พอเขารู้ว่าที่ผืนนี้เป็นผืนที่นายอยากได้ เขาก็เลยลดให้สุดๆ คือว่าเขาหมุนเงินไม่ทัน แล้วต้องใช้เงินด่วน ตัดสินใจเลยนะวินท์ โอกาสงามๆ อย่างนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะเพื่อนรัก"
"คิดไปคิดมาก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี" วิธวินท์มองที่ดินแล้วถอนหายใจ
"อ้าว ก็สร้างบ้านอย่างที่เคยคิดไง"
"อยากเปลี่ยนใจแล้วล่ะ เช่าคอนโดอยู่ก็สบายดี เบื่อวันไหนก็แอบไปนอนที่ออฟฟิส" วิธวินท์ยักไหล่
"แต่เจ้าของที่เขากำลังแย่นะวินท์ ต้องการเงินด่วน นายไม่สงสารเขาบ้างหรือ"
"อยากขายนักก็ให้เขามาติดต่อคุยกับเราเอง" วิธวินท์ยักไหล่อีกครั้งแล้วสตาร์ทเครื่องมอเตอร์ไซด์ "เราจะกดราคาลงให้เหลือซักล้านสอง"
"คนกำลังลำบาก ยังมาใจร้ายอีก" ภมรบ่นพึมพำ "อยากให้เขาให้ฟรีเลยไหมล่ะ จะช่วยไปคุยให้"
"ขึ้นรถสิภมร อยากนอนเฝ้าที่ให้เจ้าของหรือไง" วิธวินท์เร่งเพื่อน หรี่ตามมองภมรอย่างฉุนๆ
...เจ็บใจนัก รอให้เจ้าของที่กลับจากต่างประเทศก่อนเถอะ เขาจะคิดบัญชีพร้อมดอกเบี้ย...
ภิรายุหันไปมองคนที่กำลังลงจากรถแล้วยกมือขึ้นโบกทักทาย ศรายุธยิ้มกว้างมาแต่ไกล ในมือถือขวดน้ำมาสองขวด
"ร้อนไหมภิรายุ พี่ซื้อน้ำมาฝาก ดื่มซะ จะได้เย็นๆ" ศรายุธยื่นขวดน้ำให้ชายหนุ่ม "ที่สวยมากเลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่กลางเมือง นี่คงต้องใช้ทุนมหาศาล คิดดีแล้วหรือที่จะย้ายโรงเรียนมาที่นี่"
"คิดดีแล้วสิครับ ผมไม่อยากโดนไล่ที่อีกแล้ว" ภิรายุพยักหน้า น้ำเสียงมั่นใจ
"เป็นหนี้แบงค์เยอะมากเกินไปก็ไม่ไหวนะครับ ขยับออกไปไกลอีกนิดก็ไม่น่าไม่ลำบากเท่าไหร่ ถ้าโรงเรียนเราดีจริง ผู้ปกครองก็ต้องส่งลูกมาเรียนที่เรา แล้วอีกหน่อยก็มีหมู่บ้านเกิดขึ้น คนก็เยอะขึ้น ไม่กี่ปี นอกเมืองก็เจริญ" ศรายุธเสนอความเห็น
"เจ้าของที่เขาใจดีลดราคาให้ครับ" ภิรายุอมยิ้ม ยกขวดน้ำเย็นขึ้นดื่ม
"หมายความว่ายังไง" ศรายุธถาม
"ก็หมายความอย่างที่พูด"
"นี่คือที่ของ..." ศรายุธเสียงเบา
"อย่าไปบอกวินท์นะ" ภิรายุมองตาศรายุธ "ผมรู้ว่าไม่ควรทำ แต่ผมก็ไม่หยิ่งขนาดนั้นหรอก เพื่อโรงเรียนของผม และเพื่อ..."
ภิรายุหยุดไปชั่วครู่ สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วพูดต่อว่า "อย่างน้อย นี่ก็เป็นเครื่องเตือนใจ ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ผม"
"ทำไมยังไม่ลืมเขาซะที"
"อีกนานครับ" ภิรายุยิ้มเศร้าๆ "เรารักใครแล้ว ไม่ใช่ว่าจะตัดใจได้ง่ายๆ นะครับอายุธ หรือจะเถียง"
"ไม่ ไม่เถียงหรอก พี่รู้ พี่เข้าใจที่ภิรายุพูด" ศรายุธก้มหน้ายิ้มบางๆ ให้ภิรายุ แล้วหันไปมองที่ดินกว้างขนาดประมาณสองไร่อย่างพิจารณาแล้วชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องแผนผังการก่อสร้างอาคารเรียน
"แล้วจะหลอกให้วินท์วางระบบคอมพิวเตอร์ให้ถูกๆ หรือเปล่า" ศรายุธถามแล้วหัวเราะเบาๆ
"อ๋อ แน่นอน ผมต้องประหยัดงบทุกอย่าง ตอนนี้ที่ต้องการคือสถาปนิกกับวิศวกรก่อสร้างที่คิดราคาถูก"
"พี่รู้จักเพื่อนของเพื่อนที่จบสถาปัตย์ เดี๋ยวจะติดต่อให้" ศรายุธพูดขึ้น "มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลยนะ"
"ครับอายุธ" ภิรายุธยกมือขึ้นตบต้นแขนศรายุธเบาๆ "ไม่มีอายุธ ผมก็คงทำโรงเรียนไม่สำเร็จ"
"อย่าลืมวินท์กับภมรด้วยสิ"
"บารมีด้วย" ภิรายุหัวเราะ แล้วถอนหายใจเบาๆ "เฮ้อ ผมนี่โชคดีจังเลยที่มีแต่เพื่อนดีๆ"
"พี่ไม่ใช่เพื่อนนะ" ศรายุธแย้ง
"ครับ ทราบแล้ว อาของวินท์ก็เหมือนอาของผม งั้นยกอายุธให้เป็นผู้ใหญ่ ที่ปรึกษากิตติมศักด์ของโรงเรียนอนุบาลปุ้มปุ้ยก็แล้วกัน"
"พูดซะแก่เลยนะ แล้วไม่ต้องเรียกว่าอาก็ได้ เรียกพี่ก็พอ" ศรายุธอมยิ้ม
"ครับอายุธ"
"เอ๊ะ ทำไมยังล้อเลียน" ศรายุธทำหน้ามุ่ย แล้วหัวเราะประสานกับภิรายุ ก่อนจะแตะแขนให้ชายหนุ่มเดินตาม เพื่อตรวจดูบริเวณรอบๆ
เต้ยเดินกระแทกเท้าขึ้นไปบนสถานีตำรวจอำเภอหัวหินด้วยอารมณ์คุกรุ่น ทันทีที่พบกับร้อยเวร เลขาหนุ่มก็โวยเสียงลั่น
"ข้างฟุตบาธไม่เห็นมีสีขาวแดง คุณมาเขียนใบสั่งให้ผมได้ยังไง เห็นว่าเป็นฮอนด้าแจ๊ซใช่ไหมล่ะ ถ้าผมขับเบ็นซ์ทะเบียนใหญ่ๆ มาจอด คุณก็คงไม่กล้าเขียนใบสั่งหรอก"
"อ้าว คุณ ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ถึงขับเบ็นซ์ก็เขียนครับ" ร้อยเวรหน้าอ่อนตอบกลับทันที
...กล้าก็เอาสิ รู้ยังงี้ขับ เบ็นซ์เอส 500 ทะเบียน สส 777 ของธีรดนย์มาก็ดีหรอก จะจอดมันตรงมุมเลี้ยวเข้าประตูโรงพักซะเลย...
"ใครเขียนใบสั่งผม ลายมือก็อ่านไม่ออก ไปเรียกมาคุยกันหน่อยซิ" เต้ยเสียงแข็ง ตอนนี้กำลังโกรธ เห็นช้างตัวเท่าหนู
"เฮ้ย สารวัตรเขียนเองเลยนี่หว่า" ร้อยเวรคว้าใบสั่งไปจากมือของชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าบึ้งตึง "สารวัตรยังไม่กลับเข้ามา คุณไปนั่งรอก่อน หรือไม่ก็เสียค่าปรับตอนนี้เลย"
"ไม่เสีย ผมไม่ได้จอดรถผิดกฏจราจรที่ไหน ทำแบบนี้ได้ยังไง ประพฤติหน้าที่โดยมิชอบนี่นา" เลขาหนุ่มที่หนีความตึงเครียดในกรุงเทพฯ มาพักผ่อนชายทะเลโวยวาย มือเท้าสะเอว ตาขวาง จ้องหน้าร้อยเวรที่ตอบกลับเสียงอ่อนลงกว่าเดิมว่า
"เขาเรียกว่าปฏิบัติหน้าที่ครับ"
"คุณโทรตามตำรวจที่เขียนใบสั่งงี่เง่านี่ให้ผมเดี๋ยวนี้เลย ผมจะไปสปา ไม่มีอารมณ์จะมารอหรอก" เต้ยเริ่มจะทนไม่ไหว รู้สึกใบหูร้อนๆ ประหนึ่งว่ากำลังมีไฟจะพุ่งออกมา
"ไม่ต้องตาม ไม่ต้องรอแล้วครับ" ร้อยเวรยิ้ม มองข้ามไหล่ของของประชาชนเลือดร้อนไปด้านหลัง เต้ยหันขวับ แล้วเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นคนที่ยืนกอดอก เอียงหน้ามองเขาอยู่ด้วยสายตาขำๆ
"คุณนี่จริงๆ เลย ไม่กลัวตำรวจจับเข้าคุกหรือไง"
"กลัวก็ไม่กล้าบุกมาถึงนี่หรอก" เต้ยตอบเสียงแข็ง "หมวดใช่ใหมที่เขียนใบสั่งอ่านไม่รู้เรื่องนี้ให้ผม"
"สารวัตรครับ อย่าลดยศกันฮวบฮาบแบบนี้สิ" นายตำรวจที่ถูกเรียกว่าหมวดตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มๆ
"อ๋อ เลยใหญ่พอที่จะเขียนใบสั่งให้ใครก็ได้งั้นสิ ผมไม่ได้จอดรถผิดกฎ..."
"ตรงหัวมุมสี่แยก ไม่ผิดกฏจราจรหรอกครับ แต่ผิดกฏหมาย" สารวัตรหนุ่มแทรก
"ข้างฟุตบาธทาสีชมพูขาวด้วยใช่ไหม คุณเลยเขียนใบสั่งผม" เต้ยประชด
"มันเคยเป็นสีแดงขาว ฝนตกมานานหลายปี สีมันเลือนหมดแล้วเลยมองกันไม่เห็น" นายตำรวจยักไหล่ "แต่เอาเถอะ เพื่อเห็นแก่การที่เราเคยเมาด้วยกันและเคยรู้จักกันมาคืนหนึ่ง ผมจะยกเลิกค่าปรับ"
"เป็นความกรุณาอย่างยิ่ง" เต้ยหยิบใบสั่งบนโต๊ะขึ้นมาฉีก ร้อยเวรที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เชื่อสายตาและกำลังจะอ้าปากทักท้วง แต่สารวัตรที่เขียนใบสั่งยกมือขึ้นห้ามแล้วแตะแขนชายหนุ่มหน้าหวานที่มีอารมณ์ตรงข้ามกับใบหน้าให้เดินห่างจากโต๊ะร้อยเวร ก่อนจะพูดว่า "ฉีกใบสั่งผิดกฏหมายนะคุณ"
"จับเลยสิครับ ตอนนี้กำลังว่างๆ เอาผมไปนั่งสงบสติอารมณ์ในห้องขังซักชั่วโมงคงหายอารมณ์เสีย" เต้ยกระแทกเสียง แล้วหันหลังกลับ กำลังจะเดินลงจากสถานีตำรวจ
"เดี๋ยวสิคุณ ผมว่าเราไปกินเหล้าให้อารมณ์ดีกันเถอะ ผมออกเวรพอดี"
"ผมจะไปสปา" เต้ยหันไปตอบสั้นๆ ยักไหล่ แล้วเดินลงจากบันได้ เลิกสนใจสารวัตรหน้าเข้มเพื่อนของธีรดนย์
...เจ้าชู้ ทำไมเต้ยจะต้องเจอแต่คนเจ้าชู้ ไปไหนก็มีแต่คนหลายใจ เมื่อไหร่จะเจอคนรักเดียวใจเดียวซะที...
...หลายใจ ว่าแต่คนอื่นหลายใจ แล้วตัวเองล่ะ ทำไมตอนนี้กำลังคิดถึงคนสองคนพร้อมๆ กัน บ้าจริงๆ เลย...
พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว แตกต่างจากบ่ายวันนี้อย่างเห็นได้ชัด อากาศสดชื่น แต่วิธวินท์กลับถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อก้มหน้าลงมองมอเตอร์ไซด์คู่ชีพ และยิ่งหงุดหงิดยิ่งขึ้นเมื่อหันหลังไปมองชายร่างสูงที่ตามเขามาจากกรุงเทพฯ ซึ่งตอนนี้นั่งดื่มกาแฟอยู่อย่างสบายอารมณ์
"วิธวินท์ ไปหากาแฟมาดื่มซักถ้วยเถอะ จะได้อารมณ์เย็นลงมาบ้าง เอาไหม ผมจะซื้อให้" ธีรดนย์ส่งเสียง
วิธวินท์ไม่ตอบ ยกเท้าขึ้นเตะล้อรถเบาๆ แล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ศูนย์บริการอีกครั้ง แต่คำตอบที่ได้รับ ยิ่งทำให้เขาฉุนเฉียวเพิ่มขึ้น
"ช่างควรจะทำงานกันยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ใช่หรือ ไหนโฆษณาว่า ไม่ว่ารถจะเสียอยู่ที่ไหนของประเทศไทย คุณจะไปถึงภายในสามสิบนาที" วิธวินท์เค้นเสียงใส่โทรศัพท์
"อะไรนะ เย็นวันอาทิตย์แล้วเป็นยังไง คุณจะให้ผมรอจนถึงวันจันทร์ได้ยังไง แล้วรถยกไม่มีซักคันเลยหรือ" วิธวินท์เสียงเข้มมากกว่าเดิม หันซ้ายหันขวาอย่างหงุดหงิด
"ได้เรื่องยังไงคุณรีบโทรมาเลยนะ" วิธวินท์กรอกเสียงใส่โทรศัทพ์แล้วกดวางสาย ก่อนจะหันไปมองมอเตอร์ไซด์ที่จอดหมดสภาพอยู่ใกล้ๆ แล้วหันไปมองธีรดนย์ที่เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ
"เย็นวันอาทิตย์ไม่มีช่างที่ไหนเขาจะมาซ่อมรถไกลถึงบนเขาหรอก อย่าอารมณ์เสียไปหน่อยเลยวิธวินท์ ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว มาชื่นชมกับธรรมชาติกันดีกว่า"
"รถผมดีๆ มันเสียได้ยังไง" วิธวินท์เสียงห้วน "คุณมาแกล้งอะไรผมหรือเปล่า"
"อ้าว อย่ามาพาลกันสิ" ธีรดนย์โวยวาย "ผมก็ขับตามคุณมาตั้งแต่กรุงเทพฯ ได้ไปแตะรถคุณที่ไหนกัน พูดแบบนี้ เรียกว่าหมิ่นประมาทกันได้นะ"
"ทำไมต้องมาใกลถึงขนาดนี้ด้วย" วิธวินท์บ่น
"คุณเป็นคนมาเองนะ วิธวินท์"
"คุณตามผมทำไมก็ไม่รู้ ถ้าคุณไม่ตาม ผมก็ไม่มาไกลถึงขนาดนี้หรอก" วิธวินท์ตำหนิอีกฝ่าย
"เอ๊า พาลกันเข้าไป" ธีรดนย์ส่ายหน้า "คุณก็เลิกหนีผมซะที อะไรนักหนา คนไล่ตามเอาหัวใจมาให้ ก็หนีอยู่นั่น เป็นไงล่ะ มอเตอร์ไซด์ของตัวเองเก่าแล้ว มันก็ไม่ไหวนะสิ"
"คุณธีรดนย์" วิธวินท์ทำเสียงอ่อนใจ "ที่เราคุยกัน คุณจะไม่ฟังเลยใช่ไหม"
"คุณพูด เราไม่ได้คุย" ธีรดนย์ตอบเสียงจริงจัง "คุณพูดเองทั้งนั้น นี่ก็เดือนกว่าๆ แล้ว คนอกหักต้องใช้เวลาทำใจนานเท่าไหร่กันเชียว หรือคุณคิดจะโกงผม จะมาเจ้าเล่ห์กับผม จะหลอกผมหรือเปล่า"
"ใครจะเจ้าเล่ห์ได้เหมือนคุณ" วิธวินท์กัดฟัน "จะให้พูดไหมว่าคุณทำอะไรไว้บ้าง"
"ผมหิวข้าวแล้ว ไปทานข้าวกันเถอะ อย่ามัวแต่อารมณ์เสียเรื่องรถ นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว สมมุติว่ามีช่าง กว่าจะมาถึงก็ชั่วโมง จะซ่อมได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ถึงซ่อมได้ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง แล้วกว่าจะเข้ากรุงเทพฯ อีก ขับรถกลางดึกอันตราย ผมว่านอนที่นี่ก็แล้วกัน" ธีรดนย์เบี่ยงประเด็น
"คุณอยากนอนก็นอนไป"
"ดื้อจริงๆ เลยนะวิธวินท์" ธีรดนย์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ "เพราะคุณไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ผมใช่ไหม กลัวห้ามใจไม่ได้ละสิ"
"หลงตัวเอง" วิธวินท์ทำหน้าบึ้ง
"ผมเชื่อในตัวเองมากกว่า รู้ว่าตัวเองคิดยังไง และไม่ดันทุรัง ไม่ฝืนใจตัวเอง พอมั่นใจแล้วว่าตัวเองคิดยังไงผมก็ทำอย่างที่คิด" เสียงธีรดนย์จริงจัง สองตามองวิธวินท์นิ่ง "รู้ไหมตอนนี้ผมคิดอะไรอยู่"
วิธวินท์หันไปมองอีกฝ่าย เลิกคิ้วขึ้นช้าๆ ดังจะถามว่าธีรดนย์คิดอะไร
"ผมก็คิดอยากจะกอดและจูบคุณสิ ถามได้" ธีรดนย์หัวเราะเบาๆ แล้วเดินตามวิธวินท์ที่เดินหนีทันทีที่ได้ยินเขาพูดจบ
...หน้าแดงได้อีกนะ ปกติแก้มแดงอยู่แล้ว ตอนนี้ใบหูก็แดงด้วย...
"วิธวินท์ จะหนีไปไหนอีก ผมหิวข้าวแล้ว ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ รถจอดไว้ตรงนี้ล่ะ ผมจะจ้างให้คนช่วยเฝ้าให้" ธีรดนย์เดินมาทันชายหนุ่มที่ยืนหน้าง้ำอยู่หน้าร้านขายเครื่องดื่ม แล้วทำเสียงอ่อนโยน "นะ วิธวินท์ ขอร้องเถอะ ผมอุตส่าห์ตามมาไกลถึงนี่แล้ว คุณก็ใช่ว่าจะเกลียดผม ไปทานข้าวให้สบายใจก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที ถ้าทางเซอร์วิสเซ็นเตอร์หาช่างไม่ได้จริงๆ ผมจะไปเหมารถบรรทุกหกล้อแถวนี้เอารถคุณเข้ากรุงเทพฯ คืนนี้เลย คุณติดรถไปกับเขาก็ได้ ไม่เกินหกทุ่มก็ถึง แต่ว่าตอนนี้ ทานข้าวกันก่อนนะ ลืมมันไปซักสี่สิบห้านาที ทานข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย"
"ตรงนี้มีอยู่ร้านเดียว ท่าทางไม่อร่อยด้วย" วิธวินท์พูดขึ้นมาสั้นๆ
"ตรงเชิงเขาเห็นมีอยู่ร้านนึง บรรยากาศดี ท่าทางน่าอร่อย ไปเถอะ เดี๋ยวคนจะเต็มร้านซะก่อน" ธีรดนย์ชวน
"กลางป่ากลางเขาขนาดนี้คงเต็มร้านได้หรอก" วิธวินท์ส่ายหน้าแล้วเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์ของธีรดนย์แล้วขึ้นคล่อมรอเจ้าของรถ
"ผมขับ"
"ผมขับ คุณชอบเบรกยึกยัก ผมไม่ชอบ" วิธวินท์เถียง
"นี่รถผม" ธีรดนย์ไม่ยอม
"จะกินข้าวหรือไม่กินครับ"
ธีรดนย์ยืนนิ่งเพื่อตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ก็นึกอะไรออก จึงรีบยื่นกุญแจรถให้วิธวินท์โดยเร็ว แล้วกระโดดขึ้นนั่งซ้อนท้าย ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูชายหนุ่ม
"ขับนิ่มๆ นะวิธวินท์ ผมไม่เคยซ้อนท้ายใครลงเขาชันๆ ซักที ผมกลัว"
วิธวินท์ไม่ตอบ สตาร์ทรถแล้วออกตัวช้าๆ ก่อนจะเร่งเครื่องเมื่อรถเข้าทางตรง อมยิ้มกับชัยชนะที่ได้รับในครั้งนี้ เขารู้ว่าธีรดนย์ต้องการให้เขามาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของตัวเอง แต่คราวนี้เขาจะเป็นคนขับ และจะพาธีรดนย์ฉวัดเฉวียนบนภูเขาให้เวียนหัวไปเลยทีเดียว
แต่คนซ้อนท้ายคิดอีกอย่าง
...ได้ซ้อนท้ายก็ดีเหมือนกัน วิธวินท์ไม่รู้อะไร เขาจะกอดเอวให้แน่น แล้วเบียดตัวให้ชิดแผ่นหลัง สองขาจะกดแนบเข้ากับด้านหลังของวิธวินท์...
...ขออย่างเดียว อย่าเพิ่งให้ส่วนนั้นของร่างกายเกิดดื้อขึ้นมาล่ะ ไม่อยากโดนผลักให้ตกรถ...
...อีกไม่นานหรอกวิธวินท์เอ๋ย ธีรดนย์จะต้องได้มากกว่านี้ ไหนๆ ก็หาว่าผมเจ้าเล่ห์แล้ว จะขอร้ายให้ถึงที่สุด เรื่องจ้างคนทำให้ BMW เสียนี่จิ๊บจ๊อย แค่นี้ธีรดนย์ไม่รู้สึกผิดหรอก...
...จะรอดเงื้อมมือธีรดนย์ได้ก็ให้มันรู้ไป...

The END
