นิยาย-ชุด Love, Finally ตอน เจ้าชู้นัก หลอกให้รักซะเลย Epilogue
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: นิยาย-ชุด Love, Finally ตอน เจ้าชู้นัก หลอกให้รักซะเลย Epilogue  (อ่าน 462183 ครั้ง)

McDeliVery

  • บุคคลทั่วไป
อย่าบอกนะ

ว่าป่านนี้ได้สก๊อยไปซ้อนท้ายเเล้วลืมมารีทัช

พี่นายใจร้าย!  :sad4:



mecon

  • บุคคลทั่วไป
คิดฮอดดดดดดคุณเต้ยจังๆๆๆ :man1:

 :z13: คุณนาย อึ๊บๆๆๆ

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

alterlyx

  • บุคคลทั่วไป
เมื่อไหร่จะกลับมาค่ะเนี่ย ... อิอิ
ชิ่งไปแล้ว หรือว่า ทำการบ้านไตร่ตรองตอนจบแบบใหม่อยู่คะ ... หายไปน๊านนานนน
ไม่ยอมนะเนี่ย
อุส่าเหนื่อยลุ้นจับคู่มาตั้งนาน แล้วสุดท้ายแห้วกันถ้วนหน้า ...
 o22 o22

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ได้เข้ามาอ่านลิงน้อยหลายวัน
ลิงมีคู่ซะแล้ว(จบ)  
ขอบคุณคนแต่ง ขยันแต่งจนจบไปอีกเรื่อง :L2:
จะรอเรื่องต่อไปนะ (ข่าวว่ายังอ่านเรื่องนี้ไม่จบ ฮา)
ปล.
เพิ่งมาอ่านต่อได้ครึ่งเรื่อง
เจอคำผิดประปราย
แต่คำเนี้ย บทที่ 18 "ผมจะโทรนัดให้ไปเจอกัน แล้วทะเลาะกันหน้าต่อหน้า"
คิดว่าใช้คำว่า "ซึ่งๆ หน้า" ดีกว่านะ
ขอบคุณครับสำหรับคำแนะนำ "หน้าต่อหน้า" คิดว่าคิดมาจากภาษาอังกฤษ face to face  :m20: อย่าหาว่ากระแดะเลยนะ บางคำบางสำนวนมันก็คิดมาจากภาษาอังกฤษก่อนแล้วค่อยออกเป็นภาษาไทย เพราะตอนนี้กำลัง "มวยปล้ำ" อยู่กับงานแปลที่ stone มากๆ อยู่อ่ะครับ ดราฟท์ที่สองของวิดยานิพนเสร็จแล้วก็เลยได้เข้ามาส่งงานอาจาร์ยที่กรุงเทพฯ เลยได้ใช้เน็ต  :sad11: ช่วงที่หายไป ก็ไปอยู่กับพระมารดาที่ต่างจังหวัดครับ ไม่มีเน็ต วันดีคืนดีก็ขับรถเข้าเมืองไปเยี่ยมพี่สาวที ก็ได้ใช้เน็ตเช็คจดหมายอีเลกทรอนิคส์ แต่เข้าเว็บนี้ไม่ได้อ่ะครับ คอมพิวเตอร์มันอยู่กลางร้านเลยทีเดียวเชียว เปิดคอมทีไร เจ้าหลานชายก็จะเอาคางมาเกยไหล่แล้วมองตาแป๋วด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบเด็กวัยย่างเข้าวัยรุ่น  :เฮ้อ:

ป.ล. สนใจตรวจคำผิดทั้งเรื่องป่ะครับ จะตบรางวัลด้วยการพาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ซิ่งรอบกรุงเทพฯ แล้วไปดูแสงจันทร์วันเพ็ญส่องสะท้อนต้องผิวน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นประกายระยิบระยิบแถวสะพานพระรามเก้า  :z1:

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
33 Retouched

วิธวินท์จอดรถมอเตอร์ไซด์ข้างรถเล็กซัสสีดำคันใหญ่แล้วมองอย่างสงสัย ในใจอดคิดไม่ได้ว่าน่าจะเป็นรถของธีรดนย์เพราะรายนั้นมีรถหลายคันจนเขาแปลกใจว่าคนๆ เดียวขับรถอะไรมากมาย
...แต่ธีรดนย์มาทำไม มายุ่งอะไรอีกกับภิรายุ ไหนภิรายุบอกว่าตัดใจจากธีรดนย์ได้แล้ว และธีรดนย์เองพักหลังก็มาจีบเขาแบบรุกหนักกว่าเดิมและประกาศออกมาว่าไม่ได้รักและยังไงๆ ก็ไม่เลือกเพื่อนของเขา แต่ทำไมยังมายุ่งกับภิรายุ...
วิธวินท์ก้าวเท้ายาวขึ้น เร่งเดินให้ถึงห้องทำงานของภิรายุไวๆ ในใจรู้ว่ากำลังมีอะไรบางอย่างผิดปกติ
...สีหน้าของธีรดนย์ครั้งล่าสุดที่มาตื๊อเขานั้นดูแปลกๆ...
วิธวินท์ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาทีก็มาถึงห้องทำงานของเพื่อน จริงดังคาด รถคันนั้นเป็นของธีรดนย์ ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนที่เข้ามาทำให้ชีวิตของคนหลายคนยุ่งเหยิงกำลังยืนหันหลังให้เขา และบดบังร่างของภิรายุเกือบมิด
“คุณดนย์ มาทำไม” วิธวินท์ถามเสียงดังเมื่อเดินเข้ามาใกล้
ธีรดนย์สะดุ้งและหันหน้ามา แล้วทำท่าอึกอัก ภิรายุรีบหันหน้าหนี แต่ช้าเกินกว่าที่วิธวินท์ทันได้มองเห็นใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจตอนนี้กำลังร้องไห้
“คุณทำอะไรภิรายุ ทำไมมายุ่งกับภิรายุอีก” วิธวินท์ถามเสียงห้วน ก้าวเข้ามาใกล้กว่าเดิม แล้วเอื้อมมือจะไปดึงแขนภิรายุออกมาจากด้านหลังของธีรดนย์ซึ่งรีบยกมือขึ้นขวาง
“ผมไม่ได้ทำอะไร ผมแค่มาคุยธุระกับคุณภิรายุ”
“แล้วทำไมร้องไห้” วิธวินท์เสียงกร้าว เอียงตัวมองเพื่อนที่ยืนก้มหน้าสะอื้น “ภิรายุ บอกเรามาว่าคุณดนย์ทำอะไร”
“วิธวินท์ ผมจะไปทำอะไรคุณภิรายุ มาถึงก็จะเอาเรื่องผมให้ได้หรือไง”
“ทำไมคุณจะไม่ทำ คุณเข้ามาในชีวิตและมาเล่นกันความรักและหัวใจของคนดีๆ คนหนึ่ง คุณไม่รู้หรอกว่ามันทำให้เขาเจ็บปวดแค่ไหน” วิธวินท์พูดพร้อมกับยกนิ้วจิ้มหน้าอกของธีรดนย์แรงๆ
“วินท์ พอเถอะ” ภิรายุรีบแทรกขึ้นมา แล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามฝืนยิ้ม
“คุณถอยไป” วิธวินท์สั่งธีดรนย์ซึ่งยอมขยับตัวให้พ้นทางโดยง่าย
“กลับเถอะ” วิธวินท์คว้าข้อมือเพื่อนแล้วดึงให้เดินตาม ก่อนจะหันมาพูกับธีรดนย์เสียงเข้ม “ออกไปจากชีวิตเพื่อนผม อย่ามาทำร้ายภิรายุอีก”
“วินท์” ภิรายุท้วง “คุณดนย์ไม่ได้...”
“ไม่ได้ทำร้ายนาย แล้วที่ร้องไห้นี่เพราะอะไร”
“เพราะเจ้าของที่ดินโรงเรียนนี้ต้องการที่คืน” ธีรดนย์ตอบแทนเจ้าของโรงเรียน
“คุณดนย์ อย่านะครับ” ภิรายุรีบห้าม
วิธวินท์หันขวับมาจ้องหน้าภิรายุอย่างไม่เชื่อสายตา หูได้ยินเสียงของธีรดนย์พูดว่า “คุณภิรายุครับ จะปิดเพื่อนไปทำไม ในเมื่อวิธวินท์ก็เป็น...”
“ทำไมไม่บอกเรา” วิธวินท์แทรก ไม่สนใจที่จะฟังธีรดนย์ต่อ “ทำไมบอกเขาแต่ไม่บอกเรา ทำไมเขารู้แต่เราไม่รู้”
“เราไม่อยากจะ...” ภิรายุขมวดคิ้ว ท่าทางอึดอัด ไม่รู้จะพูดอะไรดี
“แล้วร้องไห้เพราะเรื่องนี้หรือ เราไม่เชื่อหรอก” วิธวินท์เสียงห้วน แล้วหันไปเอาเรื่องธีรดนย์ต่อ “ผมรู้จักเพื่อนผมดี ภิรายุเป็นคนเข้มแข็ง แม้โรงเรียนจะถูกยึด เพื่อนผมก็ไม่มีวันร้องไห้ คุณไม่ต้องมาเบี่ยงเบนให้ผมเข้าใจผิดว่าที่ภิรายุร้องไห้อยู่นี่เพราะเสียดายโรงเรียน ไม่ใช่เพราะคุณทำให้ร้องไห้”
“ใช่ ผมทำให้คุณภิรายุร้องไห้ พอใจหรือยัง” ธีรดนย์เสียงเข้มขึ้น “แต่ความจริงก็คือความจริง เพื่อนคุณก็ดูเหมือนจะยอมรับความจริงได้แล้ว”
“พอเถอะวินท์ ช่างเถอะ” ภิรายุขอร้อง ทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง
“ไปรอเราที่รถ” วิธวินท์บอกภิรายุ นัยน์ตาแน่วแน่
“วินท์” ภิรายุเม้มปาก มองตาวิธวินท์อย่างอ้อนวอนเพราะไม่ต้องการให้มีเรื่อง
“เราจะตกลงกับเขาให้รู้เรื่อง” วิธวินท์พูดเสียงค่อย บีบข้อมือของเพื่อนเบาๆ นัยน์ตาเยือกเย็น
ภิรายุถอนหายใจ แล้วก้มหน้าเดินไปช้าๆ ยอมทำตามที่วิธวินท์บอก สายตาของวิธวินท์นั้นแน่วแน่ การที่ได้รู้จักสนิทสนมกันมาเป็นเวลานานและฝ่ายนั้นคอยปกป้องดูแลมาตลอดทำให้ชายหนุ่มฟังเพื่อนแต่โดยดี
ครั้นภิรายุเดินพ้นไปแล้ว วิธวินท์ก็หันมาเผชิญหน้ากับธีรดนย์ต่อ
“คุณก็รู้ว่าผมไม่คิดจะทำร้ายภิรายุ ผมรู้ว่าภิรายุเป็นคนดี และ...”
“และเป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่คุณได้แล้วทิ้ง คนเจ้าชู้อย่างคุณก็คิดอยากลองของแปลกใหม่ พอสมใจ พอรู้รสแล้ว ก็หาคนอื่นต่อไป” วิธวินท์สวนกลับ ไม่รอให้ธีรดนย์ได้อธิบาย
“คุณมองผมในแง่ร้าย”
“ผมไม่ต้องการให้คุณทำร้ายเพื่อนผม”
“งั้นหรือ ดูคุณห่วงภิรายุมากเลยนะ” ธีรดนย์เค้นเสียง หรี่ตาลงช้าๆ แล้วพูดเสียงค่อยลงว่า “หรือห่วงตัวเอง”
“เราเป็นเพื่อนกัน ผมคอยดูแลปกป้องภิรายุมาตลอด” วิธวินท์ยังคงพูดเสียงห้วน ไม่สนใจประโยคสุดท้ายของธีดนย์
“คราวนี้คุณจะปกป้องเขาอีกหรือ คุณทำไม่ได้หรอกวิธวินท์ ภิรายุรักผม แต่ผมไม่ได้รักเขา เพราะฉะนั้นเขาก็จะต้องเสียใจเป็นธรรมดา คุณจะปกป้องเขาไม่ให้เสียใจไม่ได้ คุณทำได้แค่ปลอบ”
“ใครก็รักภิรายุได้ทั้งนั้น คนดีแบบนี้ จิตใจบริสุทธิ์ จริงใจ นุ่มนวล อ่อนโยน ใครอยู่ใกล้ก็สบายใจ ถ้าคุณยอมให้โอกาส เปิดใจตัวเองหน่อย ทิ้งความเจ้าชู้ของคุณ หรือไม่ก็ลดลงมาซักครึ่งหนึ่ง ยอมที่จะเรียนรู้ศึกษากันและกันให้ลึกซึ้ง คุณก็จะรักภิรายุได้ไม่ยาก” วิธวินท์โน้วน้าวธีรดนย์
“ถ้าไม่มีคุณ นั่นอาจจะใช่” ธีรดนย์พูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
“คุณธีรดนย์” วิธวินท์พึมพำเสียงเบา
“ผมไม่ใช่สิ่งของ อย่ามาบริจาคผมให้ใคร” ธีรดนย์เสียงเข้มขึ้น เดินเข้ามาประชิดตัววิธวินท์ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังตะลึง ยกมือขึ้นจับต้นแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มแล้วดึงเข้ามาหาตัว
“ผมรักคุณ ผมไม่ได้รักภิรายุ ถึงคุณจะผลักใสผมให้เพื่อน หรือสลัดผมทิ้งไป คุณจะแน่ใจได้หรือว่าผมจะกลับไปหาเขา” ธีรดนย์เสียงอ่อนลง น้ำเสียงต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“คุณรักใครได้ด้วยหรือ” วิธวินท์พึมพำราวพูดกับตัวเอง
“ผมก็มีหัวใจนะวิธวินท์” ธีรดนย์มองตาชายหนุ่มอย่างอ้อนวอน “คุณต่างหากที่ต้องให้โอกาส ยอมเปิดใจตัวเองและมองผมเสียใหม่ ถ้าผมไม่คลั่งคุณขนาดนี้ ผมจะตามตอแยคุณทำไม ผมจะทำอะไรงี่เง่าไร้สาระแบบที่คนทั่วไปไม่ทำหรือ ผมไม่ทุ่มทุนมหาศาลหรือพยายามมายาวนานขนาดนี้เพื่อได้ใครแล้วทิ้งหรอก”

ภิรายุผละกระถางต้นไม้ต้นใหญ่ใกล้มุมเสาแล้วเดินตรงไปที่รถช้าๆ ใบหน้าเยือกเย็น รู้สึกตัวเบาหวิวเหมือนจะลอยหายขึ้นไปบนฟ้า คำพูดของธีรดนย์ยังดังก้องอยู่ในหัว ทั้งคำพูดก่อนที่จะวิธวินท์จะมา และหลังจากที่วิธวินท์มาถึงแล้ว
...คำพูดที่เขาเพิ่งได้ยินสดๆ ร้อนๆ...
เมื่อถึงรถ ชายหนุ่มหันกลับไปมองอาคารเรียนชั้นเดียวที่เพิ่งเดินจากมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง แล้วหันไปมองรถมอเตอร์ไซด์ของวิธวินท์ที่จอดอยู่เคียงข้างรถเล็กซัสสีดำคันใหญ่ของธีรดนย์
...ตอนนี้ใช่ไหมคือตอนที่เขากำลังถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดร่างให้ลอยไปกระแทกโขดหิน เขาเคยพูดกับวิธวินท์ว่าตัวเองพร้อมที่จะกระโจนลงไปในหุบเหวแห่งความรัก ยอมแลกที่จะเจอความทุกข์เพื่อให้รู้สึกถึงความสุข แม้จะเป็นช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เคยบอกตัวเองว่าเตรียมใจไว้แล้วเพราะรู้ว่าธีรดนย์เป็นคนเจ้าชู้และไม่ชอบการผูกมัด แต่ทว่า ตอนนี้เขาไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะคุ้มกันหรือเปล่าเพราะดูเหมือนว่าช่วงเวลาทุกข์อาจจะยาวนานและเข้มข้นกว่า เวลานี้ ไม่ใช่แค่น้ำพัดลอยไปกระแทกไปอัดอยู่ในซอกหิน แต่โดนซุงท่อนใหญ่ที่ลอยมากับน้ำเชี่ยวอัดเข้าไปซ้ำ...
...ไม่ยุติธรรมเลย ไม่ยุติธรรมสักนิด...
...ทำไม...
...ครั้งแรกของเขา ทำไมต้องเป็นวิธวินท์ ทำไม...

ศรายุธเบิกตากว้างอย่างแปลกใจเมื่อเดินเข้าไปในผับแล้วเห็นภิรายุนั่งดื่มอยู่ที่เคาท์เตอร์บาร์ท่าทางหงอยๆ คืนนี้เขามีนัดกับเพื่อนที่นานๆ ทีนัดกันมาสังสรรค์ แต่เขามาถึงเร็วกว่าที่คิด
ภิรายุสวมเสื้อเชิร์ทสีขาวกางเกงสีเบจเช่นเคย นั่งนิ่งมองออกไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้สึกตัวแม้ว่ามีคนเข้ามานั่งข้างๆ จวบจนศรายุธเอื้อมมือมาดึงแก้วออกไปจากมือ ชายหนุ่มจึงหันหน้ามามองช้าๆ ครั้นเห็นว่าเป็นใครจึงยิ้มกว้างออกมา แต่ศรายุธเห็นว่ารอยยิ้มที่เคยสดใสของภิรายุนั้น ตอนนี้เป็นยิ้มเศร้าสร้อย
“พี่จะไม่ถามว่าทำไมมานั่งดื่มเหล้าคนเดียว” ศรายุธพูดเสียงนุ่ม
“นี่นะไม่ถาม อายุธพูดแบบนี้ รู้ไหมครับว่าผมได้ยินยังไง” ภิรายุยิ้มแล้วเอื้อมมือไปดึงแก้วคืนจากศรายุธ
“บอกมาซิ จะเหมือนกับที่พี่คิดไว้หรือเปล่า หรือจะเหมือนกับที่วินท์จะพูดไหม”
“พูดว่า บอกมาเดี๋ยวนี้ว่ามานั่งดื่มเหล้าทำไม ไม่รู้หรือว่าเหล้ามันไม่ดีต่อร่างกาย” ภิรายุเลียนเสียงเหมือนวิธวินท์
“วินท์ไปล้อให้ฟังละสิ” ศรายุธส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะปรับให้เป็นเคร่งขรึม แล้วถามเพื่อนของหลานชายด้วยเสียงจริงจังว่า “แต่เมื่อเข้าใจคำถามแล้ว ก็ตอบพี่มาหน่อยซิ”
“เปล่า ไม่มีอะไร ผมแค่อยากดื่ม” ภิรายุส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วยกแก้วขึ้นจิบเหล้าต่อ
“เขาไม่เรียกว่าดื่ม เขาเรียกว่าจิบ” ศรายุธหันไปสั่งเครื่องดื่มจากบาร์เทน์เดอร์แล้วพูดกับภิรายุต่อ “ถ้างั้นพี่จะดื่มเป็นเพื่อน”
“อายุธ ทำไมเรียกตัวเองว่าพี่ ไม่เรียกว่าอาเหมือนเวลาคุยกับวินท์” ภิรายุถามโพล่งขึ้นมา
“ก็เราไม่ใช่อาหลานกันนี่ พี่เห็นภิรายุเป็นน้อง” ศรายุธยักไหล่
“อายุธลองมองผมเป็นอย่างอื่นหน่อยได้ไหม” ภิรายุจ้องตาศรายุธชั่วครู่แล้วหันไปดื่มเหล้าต่อ คราวนี้พรวดเดียวหมดแก้ว แล้วทำหน้าเหยเก
“ดื่มเหล้าไม่เป็นก็ยังคิดจะลองอีก ระวังเถอะจะเมาไม่รู้เรื่อง พรุ่งนี้จะรู้สึกปวดหัวแทบจะระเบิด คอยดูสิ” ศรายุธเตือนเช่นเคย
“นะครับพี่ยุธ” ภิรายุยิ้มออดอ้อนเหมือนเด็กอ้อนผู้ใหญ่
“ถ้าไม่มองเป็นน้องจะให้มองเป็นอะไรล่ะ” ศรายุธถาม รู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ ภิรายุก็ถามอะไรแบบนี้ “นี่ใกล้จะเมาแล้วใช่ไหมถึงได้พูดอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง”
“อยากจะรู้จังว่าเวลาเมา คนลืมทุกอย่างได้จริงหรือเปล่า ทำไมเห็นชอบเมากันนัก” ภิรายุทำหน้าสงสัย
“พอเถอะ พี่จะพากลับบ้าน” ศรายุธยกมือห้ามบาร์เทนเดอร์ที่เดินเข้ามารับออเดอร์เพิ่มจากภิรายุที่ยกมือขึ้นเรียก
“อายุธเริ่มจะทำตัวเป็นอาผมอีกคนแล้วนะเนี่ย” ภิรายุส่ายหน้าแล้วยกมือเรียกบาร์เทนเดอร์อีกครั้งและสั่งเครื่องดื่มจนได้ “ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ ผมรู้จักโลกมนุษย์แล้วเป็นอย่างดี ไม่ใช่คุณหนูผู้ไม่ประสีประสาอีกต่อไป ไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าทำไมเราต้องเจ็บก่อนถึงจะรู้จักว่าความ...”
ศรายุธนั่งนิ่งฟังสิ่งที่เพื่อนของหลายชายจะพูด แต่ภิรายุก็หยุด ไม่พูดต่อ ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมาหาศรายุธแล้วถามคำถามที่ทำให้ศรายุธอึ้ง “อายุธรู้สึกใช่ไหมครับว่าวินท์พยายามจับคู่ให้กับเรา วินท์บอกผมว่า ผมเหมาะกับอายุธและคงจะเข้ากันได้ อายุธรังเกียจผมไหมครับ”
“เอ่อ...ไม่ ภิรายุก็เป็นคนดี” ศรายุธเสียงเบา
“ผมก็คิดมาตลอดว่าอายุธเป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่ อ่อนโยน นุ่มนวล จริงจัง รักและห่วงใยคนอื่น ดูแลคนอื่นได้ ใครได้ไปเป็นแฟนคงเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก ผู้ชายอย่างนี้ ไม่น่าจะหลงเหลืออยู่ในยุคนี้อีกแล้ว ไม่ได้ว่าอายุธเชยนะ แต่ผมกำลังบอกว่าอายุธเป็นคนที่พิเศษ” ภิรายุยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วหันไปขอบคุณบาร์เทนเดอร์ที่ยื่นแก้วเครื่องดื่มให้
“ไม่เอานะ หยุดดื่มเถอะ เดี๋ยวเมา” ศรายุธเอื้อมมือไปดึงแก้วเหล้าจากมือภิรายุ “เหล้านี้แรง”
“กลัวอะไร เมาก็มีคนพากลับ หรืออายุธจะทิ้งผมไว้ที่นี่” ภิรายุยิ้มกว้าง ดึงเหล้ากลับคืนแล้วยกขึ้นดื่ม ก่อนจะกระแทกแก้วเหล้าลงบนเคาท์เตอร์แล้วอุทานเสียงดังว่าทำไมรุนแรงแบบนี้
“บอกแล้วไม่เชื่อ”
“มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งปรู๊ดจากสมองลงไปที่หัวใจ เหมือนถูกไฟซ๊อตจนสะท้านไปทั้งตัว มิน่า คนถึงชอบดื่มเหล้า” ภิรายุสะบัดหัว มือเอื้อมไปคว้าเหล้าแก้วเดิมแล้วยกจ่อปาก แต่ศรายุธรีบแย่งแล้วบอกให้พอ
“ขอผมอีกนิดเดียว ให้หมดแก้วนี้แล้วผมจะพอ นะครับพี่ยุธ” ภิรายุทำเสียงออดอ้อน นัยน์ตาเริ่มฉ่ำเยิ้ม หัวเราะเสียงดังแล้วยื่นปากเข้าไปหาแก้วเหล้าแล้วดึงดันดื่มจนได้แม้จะมีเหล้าหกบ้างเพราะศรายุธพยายามดึงออกจากปาก
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย ไป กลับบ้านกัน” ศรายุธลุกขึ้น จับแขนภิรายุให้ลุกตาม แล้วหันไปจ่ายเงินให้พนักงานประจำเคาท์เตอร์
“ไม่ ไม่กลับ ผมจะเมา”
“วินท์รู้จะต้องโดนดุแน่เลย” ศรายุธเอาวิธวินท์มาขู่
“ไม่กลัววินท์แล้ว” ภิรายุส่ายหน้า “ไม่สนวินท์อีกแล้ว”
ศรายุธดึงแขนภิรายุให้เดินตาม ชายหนุ่มไม่ขัดขืน เดิมตามศรายุธมาช้าๆ และเซไปเซมาบ้างหากศรายุธพาเลี้ยว
“อายุธ ผมยังไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากกลับ ไม่อยากอยู่คนเดียว” ภิรายุเสียงสั่นเมื่อออกมายืนอยู่หน้าประตูผับ
ศรายุธถอนหายใจแล้วหันไปมองชายหนุ่มผู้ที่เขาเคยเห็นแต่รอยยิ้มร่าเริงอยู่เป็นนิจ ตอนนี้ภิรายุยืนก้มหน้าคอตก โอนเอนไปมาโดยมีเขายืดต้นแขนเอาไว้
“อายุธอย่าทิ้งผมนะ”

บารมีถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ลมพัดกระโชกเข้ามาวูบหนึ่งแล้วหยุด รอบตัวเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจของคนสองคนประสานกัน
“ว่าไงบารมี จะถามครั้งเดียวเท่านั้นนะ” วิธวินท์พูดขึ้นมาเบาๆ “จะมาเป็นแฟนกันไหม”
“เราก็จะตอบครั้งเดียว” บารมีมองหน้าวิธวินท์นิ่ง แล้วหันกลับไปมองสายน้ำเบื้องหน้าที่สงบนิ่ง ต่างจากในใจของเขาที่กำลังพุ่งพล่าน “แต่ก่อนอื่น เราขอถามวินท์ก่อนว่าคิดดีแล้วหรือ”
“มาถามคำถามนะ ไม่ได้มาตอบคำถาม” วิธวินท์ยังยืนอยู่ที่เดิม จับตามองแผ่นหลังกว้างของบารมี
“ไม่” บารมีพูดขึ้นหลังจากเงียบไปหลายอึดใจ “คำตอบคือไม่”
“ทำไม”
“ทำไมหรือวินท์” บารมีหันมามองวิธวินท์ช้าๆ “เพราะวินท์ไม่ได้รักเรานะสิ เราทนอยู่ในสภาพแบบนั้นไม่ได้หรอก ตอนแรกเราก็คิดจะแย่งมา คิดจะทำทุกวิถีทางให้วินท์เป็นของเราให้ได้ แต่แค่ครั้งแรกที่เราเห็นวินท์กับเขามองตากัน เราก็รู้ว่าไม่ควรเลย ไม่ควรเลยจริงๆ ไม่ควร”
“อีกหน่อยก็รักกันได้เอง จีบกันอีกซักหน่อย” วิธวินท์พูดเสียงเบา หันไปมองสายน้ำเบื้องหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง ในใจเริ่มตระหนักได้ว่าคืนนี้ไม่น่าตัดสินใจชวนบารมีออกมาเพื่อทำอะไรงี่เง่าแบบนี้เลย
“เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว” บารมีเริ่มเสียงสั่น ขบกราม มือกำหมัดแน่น ใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ “ถึงมันไม่เหมาะสม แต่ก็ช่างมันเถอะ ความรัก ไม่จำเป็นต้องสนอะไรหรอก รักที่หัวใจสิวินท์ ไม่ใช่ความควรไม่ควร”

เลิกงาน เต้ยรีบไปหาศรายุธที่บ้านเพราะโทรศัพท์ไปที่บริษัท เลขานุการของศรายุธบอกว่าเจ้านายกลับไปก่อนเวลาเพราะมีแขกที่บ้าน วินาทีแรกที่ได้ยินว่าศรายุธ 'มีแขก' เต้ยอดนึกถึงใบหน้าขาวๆ ของวิธวินท์ไม่ได้ เลขาหนุ่มให้เหตุผลกับตัวเองว่า ช่วยไม่ได้ที่เขาต้องคิดอคติเพราะวิธวินท์ก็ออกจากออฟฟิสก่อนเวลาเช่นกัน
...เขาจะแอบไปดูให้เห็นกับตา ว่าอาหลานรีบเลิกงานกลับไปแอบเจอกันที่บ้าน คราวที่แล้ว คิดว่าจะอยู่กับภิรายุที่ทำงาน แต่กลับเป็นวิธวินท์แทน และเขาก็เห็นประกายตาของศรายุธ คราวนี้ เขาขอยืนยันข้อมูลให้ถูกต้องเป็นครั้งที่สาม เอาให้แน่ๆ ว่าศรายุธรักชอบวิธวินท์จริงๆ...
เต้ยจอดรถหัวมุมหน้ารั้วบ้านหลังที่ติดกับบ้านของศรายุธ แล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ รู้สึกแปลกที่ใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ แต่เขาก็คิดอย่างมาดมั่นว่า ทันทีที่ไปยืนอยู่หน้าประตู มองเข้าไปก็คงจะเห็นรถมอเตอร์ไซด์คันสวยของวิธวินท์จอดอยู่ข้างๆ รถวอลโว่สีเงินของศรายุธ
...อยากจะรู้นักว่าศรายุธจะทำหน้าอย่างไร ส่วนเขาจะทำหน้าบึ้ง แล้วถามวิธวินท์ไปตรงๆ ว่า ตกลงรักใครชอบใคร ระหว่างคุณอาของตัวเองกับธีรดนย์...
...แต่ว่า...
...ทำไมไม่เห็นมีรถมอเตอร์ไซด์หรือรถของศรายุธ ไม่มีรถจอดอยู่สักคัน ศรายุธอยู่คนเดียว ไม่มีคนรับใช้ แต่มีคนยืนรดน้ำต้นไม้อยู่...
...ภิรายุ...

เต้ยไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงหันหลังเดินกลับไปที่รถทันทีที่เห็นภาพนั้น รู้สึกตัวเบาหวิว สมองงุนงง ปากเม้มจนเจ็บ มือกำแน่น กร้ามเนื้อทั่วสรรพางค์กายตึงเครียด
...ควรจะดีใจสิที่ไม่ใช่วิธวินท์อย่างที่กลัว...
...ดีใจกะผีนะสิ เจอภิรายุที่ผิดหวังมาจากธีรดนย์ ดีใจก็บ้าแล้ว ที่คิดไว้ไม่ผิดเลย ศรายุธรับหน้าที่เป็นนักบุญคอยปลอบขวัญคนอกหัก และนำมาปลอบกันถึงบ้าน เขานึกภาพภิรายุออก นุ่มนวลอ่อนโยนอย่างนี้ ก็คงทำกับข้าว กวาดบ้านถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ให้ ส่วนจะปูที่นอน เตรียมผ้าเช็ดตัวให้ศรายุธอาบน้ำ แล้วเตรียมชุดนอนวางไว้ที่ปลายเตียงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่กล้าจินตนาการ แต่ที่แน่ๆ ศรายุธก็คงอดเปรียบกับเขาไม่ได้...
...ภิรายุสวมเสื้อผ้าตัวโคร่ง นี่มันหมายความว่ายังไง...
...ศรายุธรีบกลับบ้าน ทั้งที่ปกติมักจะทำงานจนถึงเย็น นี่มันหมายความว่ายังไง...
...มีเขาอยู่ทั้งคน แล้วยังปันใจให้วิธวินท์ และคงปันกายให้ภิรายุด้วย นี่มันหมายความว่ายังไง...
...ภิรายุเสียใจ และคงร้องไห้ซบอกศรายุธ ฝ่ายนั้นเป็นคนใจดี อ่อนโยน ก็คงปลอบกัน...
เต้ยหยุดเดิน ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยืนไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของคนที่ตอนนี้เขาเริ่มคิดว่าชักจะออกลายเป็นคนเจ้าชู้เสียแล้ว
"ผมยังกลับไม่ถึงบ้านเลยครับ คงอีกครึ่งชั่วโมง" ศรายุธตอบเสียงนุ่ม หลังจากที่ได้ยินเต้ยบอกว่าจะมาหาที่บ้าน
"อีกซักชั่วโมงดีกว่าครับ" ศรายุธสรุป
"ทำไมต้องชั่วโมงล่ะครับ" เต้ยถาม "หรือว่าคุณยุธไม่สะดวก อ้อจริงสิ พอถึงบ้าน คุณยุธคงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา จัดการนั่นนี่ให้เรียบร้อยก่อนสินะ เต้ยลืมไป มัวแต่คิดอยู่เรื่องเดียวว่าจะไปหา"
"เอ่อ คือผมมีแขก ก็เลยไม่ค่อยสะดวก พอไปถึง คุยธุระแล้วเขาก็กลับ คุณเต้ยมาจะได้ไม่มีใครขัดจังหวะ" ศรายุธหัวเราะเบาๆ ก่อนจะชวนกันทำกับข้าวทานกันสองคน
"น่าจะชวนแขกคุณยุธทานด้วยกัน" เต้ยทำเสียง
"อย่าเลยครับ ทานกันสองคนเราดีกว่า" ศรายุธแย้ง
...อ๋อ แน่สิ ใครจะอยากให้รถไฟชนกันล่ะ...
...ไม่คิดเลย เรียบๆ นิ่งๆ อย่างศรายุธจะเป็นแบบนี้ได้ ไม่เคยมีวี่แววเจ้าชู้ให้เห็นแต่บทจะจับปลาสองมือก็ทำได้อย่างแนบเนียน ไม่ใช่สิ ไม่ใช่สองมือ ศรายุธเอาปากคาบไว้อีกหนึ่งตัว เขา วิธวินท์ และภิรายุด้วย...
...ศรายุธก็เจ้าชู้เหมือนธีรดนย์นั่นล่ะ เจ้าชู้เหมือนกัน เพียงแต่รูปแบบแตกต่างกัน รายนี้เจ้าชู้แบบเงียบๆ แต่ธีรดนย์เจ้าชู้แบบโจ่งแจ้ง...
...แล้วนี่ ทำไมเขาต้องมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างผู้ชายเจ้าชู้สองคนนะ ทำไม...

ธีรดนย์เดินฮัมเพลงเข้ามาในสำนักงานแต่พอเห็นเลขาคนเก่งผู้เต็มไปด้วยชีวิตชีวานั่งเหม่ออยู่ก็ทำให้รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก และที่สำคัญ เช้านี้เต้ยไม่โทรศัพท์ตามเขาเช่นเคยทั้งที่เขามาทำงานสายมากทั้งที่มีประชุมช่วงเช้า
"จ้างให้มาทำงานแต่มานั่งเหม่อ เดี๋ยวก็ไล่ออกซะเลย" วิธวินท์เท้ามือลงบนโต๊ะของเลขา
เต้ยรู้สึกตัว เงยหน้าขึ้นมามองธีรดนย์ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แล้วเอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์ส่งให้ ไม่ต่อปากต่อคำเช่นเคย
"เป็นอะไรเต้ย นั่งเหม่อถึงหนุ่มคนไหนอยู่อีก" วิธวินท์อมยิ้ม "อ้อ ลืมไป ก็คงคนเดียวในหัวใจเต้ยสินะ ไม่รู้จะถามทำไม"
"เปล่า" เต้ยตอบปฎิเสธเสียงเบา แล้วทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูด
"ประชุมกี่โมง" ธีรดนย์เปลี่ยนเรื่อง
"สิบโมงครึ่งครับ เรื่องตลาดญี่ปุ่นกับเกาหลี แฟ้มอยู่ที่ห้องประชุมแล้ว มาร์เก็ตติ้งเตรียมไว้ให้ คุณดาริณทร์จะนั่งข้างคุณดนย์ เผื่อจะมีอะไรที่คุณอยากถามระหว่างประชุม ต้องให้เต้ยเข้าไปจดบันทึกส่วนตัวให้ไหมครับ แต่วันนี้คุณทินประชุมด้วย คุณบุษบาคงจดบันทึกให้ละเอียดยิบ"
"บุษบายังไม่หยุดอีกหรือนี่ น้องผมแต่งงานไปแล้วนะยังไม่เลิกชอบอีก" ธีรดนย์บ่น
"ทำไงได้ครับ คนมันชอบไปแล้วนี่ เลิกกันได้ง่ายๆ ด้วยหรือ" เต้ยตอบเสียงเบา ยักไหล่ แล้วก้มหน้าลงทำงานต่อ
"นั่นสินะ" ธีรดนย์เหลือตามองนาฬิกาแล้วเดินออกจากห้องไป แต่เมื่อถึงประตูก็ต้องหยุดกึกเมื่อได้ยินเสียงเลขาดังขึ้น ชัดถ้อยชัดคำ
"คุณดนย์ครับ เต้ยอยากขอกลับไปทำงานกับคุณทิน"
"อะไรนะ" ธีรดนย์หันขวับ
"คุณทินยุ่งมาก งานเยอะ ต้องอยู่เย็นบ่อยๆ คุณเอื้องอยากให้เต้ยไปทำแทนคุณบุษบา เธอไม่ค่อยสบายใจที่ให้อยู่ใกล้สามี" เต้ยอธิบายเหตุผลเสียงเรียบ
"เอื้องคิดเองหรือเต้ยคิดให้ เอื้องไม่เข้ามายุ่งเรื่องที่บริษัทหรอก ไม่ต้องยกเหตุผลไม่เข้าท่ามาอ้างหน่อยเลย" ธีรดนย์เสียงเข้ม เดินย้อมกลับมายืนเท้าสะเอวอยู่ตรงหน้าเลขา ก้มหน้ามองด้วยสายตาดุๆ
"คุณก็ไม่ต้องการเต้ยแล้วนี่ ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง ลงเอยกันเรียบร้อยแล้ว ไม่มีเต้ยก็ไม่เห็นเป็นไร"
"ลงเอยที่ไหน ยังต้องวิ่งรอก เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว" ธีรดนย์ทำเสียงหงุดหงิด
"ใครบอกให้คุณวิ่ง คุณหาเรื่องเหนื่อยเอง"
"เต้ย"
"เต้ยอยากกลับไปเป็นเลขาให้คุณทิน คุณก็รู้ว่าคุณทินทำงานเหนื่อยแค่ไหน แล้วคุณทินก็ต้องกลับบ้านเย็นๆ ทั้งที่เพิ่งแต่งงานใหม่ แล้วคุณเอื้องก็กำลังท้อง ต้องดูแลภรรยา ถ้าได้เลขาเก่งๆ ก็จะช่วยได้เยอะ" เต้ยอธิบาย
"รู้ได้ยังไงว่าเขาท้อง"
"แหม เขาไปฮันนี่มูนกันเดือนกว่าๆ คงไม่ได้ไปนั่งมองตากันหรอก" เลขาหนุ่มทำตาค้อนแล้วกลับมาพูดย้ำประเด็นเดิม "คุณทินงานเยอะมาก ทำแทบไม่ไหว ต้องได้เต้ยไปช่วย ทุกอย่างถึงจะราบรื่น"
"ผมเป็นประธานนะคุณเต้ย ทินเป็นรองประธาน"
"แต่คุณก็ไม่ได้คุมการเงิน ไม่ได้คุณเชลส์โดยตรง ไม่ได้คุมเอ็ชอาร์ ไม่ได้คุมโรงงาน" เต้ยแย้ง
"อ๋อ กำลังจะบอกว่าคนที่เป็นประธานจริงๆ แล้วคือทินใช่ไหมล่ะ" ท่านประธานเริ่มเสียงดัง
"คุณเป็นคนพูดเองว่า มีอะไรก็ให้คุณทินทำ" เต้ยลอยหน้าท้าทายเจ้านาย "คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเต้ยแล้ว ให้ไปช่วยคุณทินน่าจะดีกว่า คุณทินกำลังหนัก ไม่สงสารน้องบ้างหรือครับ"
"ตามใจ" ธีรดนย์พูดออกมาเสียงห้วนหลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ "อย่าร้องไห้ซมซานวิ่งกลับมาล่ะ จะหาเลขาใหม่ซักคน เอาหน้าตาจุ๋มจิ๋มพูดจาฉอเลาะเสนาะหู ว่าแต่ว่า บ่ายนี้ผมมีนัดสำคัญหรือเปล่า บ่ายสามโมงผมจะต้องไปแล้วนะ ถ้ามีนัดก็ยกเลิกให้หมด เอากุญแจมอเตอร์ไซด์ไปวางไว้บนโต๊ะให้ด้วย อ้อ อย่าลืมหมวกกันน๊อค"
...เชิญ อยากจะได้ใครก็ไปหาเอาเลย...
เต้ยเบ้ปาก ทำหน้าง้ำ มองตามธีรดนย์ด้วยความฉุน ในใจนึกอยากจะเอื้อมมือลงไปในกล่องข้างโต๊ะ หยิบหมวดกันน๊อคราคาเกือบสองหมื่นมาขว้างเจ้านายตามหลัง
...เชิญไปหาความสุขสนุกสนานนอกออฟฟิสเลย ไม่มีเต้ยแล้วจะรู้สึก...

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
ต่อ

เช้าวันจันทร์เป็นวันที่ยุ่งมาก ยิ่งสายงานยิ่งยุ่ง เต้ยผลักแฟ้มเอกสารออกจากตรงหน้าแล้วลุกขึ้นบิดตัวด้วยความปวดเมื่อย ก่อนจะเดินออกไปจากออฟฟิสเพื่อไปห้องน้ำ แต่เมื่อก้าวเท้าออกมาจากประตูห้องก็ชะงัก เพราะชายหนุ่มผิวเข้มคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนขวางทางไว้
“คุณเต้ยครับ”
“ครับ” เลขาหนุ่มตอบสั้นๆ แล้วเดินทอดน่องเข้าไปหาศรายุธ
“ผมโทรหาคุณตั้งหลายครั้ง” ศรายุธยิ้มบางๆ ท่าทางอึกอักก่อนจะถามขึ้นว่า “คุณหลบหน้าผมทำไม”
“เปล่าหลบ เต้ยก็นั่งทำงานอยู่ที่บริษัทนี้ทุกวัน” เต้ยยักไหล่
“ผมโทรเท่าไหร่ก็ไม่ติด”
“โทรศัทพ์เต้ยเสีย”
“ผมโทรมาออฟฟิส”
“ไม่เห็นมีใครจดโน๊ต” เต้ยยักไหล่อีกครั้ง
“โกรธอะไรผมหรือครับ” ศรายุธทำหน้าเศร้า “บอกผมหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ คุณถึงได้หายไปแบบนี้”
“ตอนนี้เต้ยกำลังยุ่ง ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะเรื่องชีวิตรักคุณดนย์ เต้ยต้องคอยทำงานให้เจ้านาย ทั้งในเวลาและนอกเวลาทำงาน” เลขาหนุ่มทำหน้าอ่อนใจเมื่อพูดถึงเจ้านายที่ร้ายไม่เหมือนใคร
“ผมมาพบคุณดนย์เรื่องงานระบบคอมพิวเตอร์ที่คลับ แต่ไม่เห็น...”
“อ๋อ จะพบคุณดนย์ต้องนัดล่วงหน้านานๆ นะครับ ไม่ค่อยอยู่หรอก ออกไปวิ่งไล่จับมอเตอร์ไซด์ซิ่งกวนเมืองอยู่บ่อย ตอนนี้เขากำลังเป็นเอามาก”
“เข้าไปที่ออฟฟิสก็ไม่เห็นคุณ” ศรายุธเสียงเบา ตามองหนุ่มร่างบางที่ยกมือขึ้นกอดอก หย่อนเข่าซ้ายเล็กน้อย เคาะเท้ากับพื้น มองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะทำอะไร
“แล้วนี่ตกลงคุณมาหาคุณดนย์หรือเต้ย” เลขาหนุ่มถาม “อยากจะพบใครก็เลือกเอาซักคนนะครับ อย่าโลเล”
“คุณโกรธผมเรื่องภิรายุใช่ไหมครับ”
“เต้ยจะไปโกรธคุณเรื่องคุณภิรายุทำไม” เต้ยยักไหล่ ทำเสียงเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ “ใจคนเรามันห้ามกันไม่ได้ กายก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ เต้ยรู้ว่าคุณต้องการเวลาตัดสินใจ”
“ผม...” ศรายุธอึ้ง พยายามคิดหาคำพูดจะมาอธิบาย ตอนนี้เขารู้สึกหนักใจและกำลังตำหนิตัวเองที่ทำเรื่องยุ่งยาก ใจที่เคยสับสนยิ่งรู้สึกยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม
“เต้ยมาคิดๆ ดู เต้ยก็คงต้องการเวลาตัดสินใจเหมือนกันล่ะ เต้ยอาจจะไวไฟไปหน่อย เร่งรัดคุณเกินไปอย่างที่คุณว่า บางที เต้ยอาจต้องพิจารณาใหม่ ไม่ใช่คิดแต่เรื่องจะรัก รัก รัก อย่างเดียว เต้ยลืมนึกถึงความเหมาะสม ความถูกต้องทำนองคลองธรรม จะรักด้วยหัวใจอย่างเดียวและดันทุรังไม่ได้ ต้องดูความควรไม่ควรด้วย และดูให้ชัดว่าคนที่เราบอกว่ารักนั้น ที่จริงเขาอาจมีใครคนอื่นอยู่ในหัวใจ”
“หมายความว่า...” ศรายุธมองตาเลขาหนุ่มด้วยสายตาเศร้าๆ
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นล่ะ” เต้ยยิ้มมุมปาก “เราต้องรักคนที่เหมาะกับเรา”

ธีรดนย์ส่ายหน้าด้วยความระอาใจเมื่ออเล็กซ์ ลูกชายคนโตของแอนโธนี่ เจ้าของคลับ Stream คู่แข่งของเขาทำเสียงไม่พอใจ แล้วเดินกระแทกเท้าไปที่รถออดี้สปอร์ตสีเงินที่จอดอยู่ไม่ไกล
"แล้วคุณจะเสียใจ" อเล็กซ์หันมาทำเสียงเข้มใส่ธีรดนย์ "เราอุตส่าห์พิจารณาคุณเป็นคนแรก ถ้าคุณปล่อยหุ้นของ Stream ให้ไปอยู่ในมือ The Endless ของสิงคโปร์ ทางนั้นทุ่มเงินทำ Stream ให้แซงหน้าคุณแน่"
"ผมไม่เสียใจหรอก ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน" ธีรดนย์พูดเสียงเข้ม แล้วหันหลังจะเดินเข้าประตูด้านข้างของคลับ The Dazzle
บ่ายนี้อเล็กซ์มาคุยกับเขาเพื่อโน้วน้าวให้เขาซื้อหุ้นใหญ่ของ Stream กิจการของครอบครัวซึ่งพ่อของอเล็กซ์ตื้อเขามานานแล้ว แต่เขาก็บอกปัดมาตลอด คราวนี้ส่งอเล็กซ์มาหาถึงคลับเพราะคิดว่าลูกชายจะทำสำเร็จ อเล็กซ์ดูมั่นใจมาก คงคิดว่า การที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาช่วงหนึ่งเมื่อต้นปี จะทำให้เขาใจอ่อนได้ แต่เมื่อเขาไม่แคร์ อเล็กซ์ก็แปลงร่างจากหนุ่มน้อยน่ารัก กลายเป็นตัวอิจฉาอารมณ์ฉุนเฉียวทันที
ธีรดนย์ยักไหล่ เลิกสนใจเรื่องที่เพิ่งทำให้เขาหงุดหงิด และทันใดก็ต้องรีบหันขวับ เมื่อได้ยินเสียงรถห้ามล้อครูดกับพื้นถนนดังลั่น พร้อมๆ กับเสียงจากปลายท่อมอเตอร์ไซด์ยี่ห้อ BMW ที่มีเสียงคำรามเป็นเอกลัษณ์ไม่เหมือนใคร ตามมาด้วยเสียงดังโครมใหญ่
"วิธวินท์"
ธีรดนย์วิ่งไปที่หัวมุมอาคารส่วนที่มีหลังคาต่อเนื่องไปยังลานจอดรถในร่มด้านข้างคลับ เขาเห็นยามรักษาการณ์ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุวิ่งอยู่ข้างหน้า และครั้นไปถึงก็ได้ยินเสียงอเล็กซ์โวยวาย
"ขับรถยังไงไม่ดูทาง อยากจะตายหรือยังไง"
"คุณขับเร็วมาก ถ้าผมไม่หลบ ป่านนี้คงชนกันไปแล้ว" เสียงคุ้นหูของธีรนดย์ดังไม่แพ้กัน
"ชนสิดี จะได้เหยียบให้เละ" อเล็กซ์น้ำเสียงเอาเรื่อง
"อ้าว พูดยังงี้ก็สวยสิ มอเตอร์ไซด์ผมเสียหาย ผมก็เจ็บ"
"อยากได้ค่าเสียหายใช่ไหม อย่าฝันไปหน่อยเลย บาทเดียวก็ไม่ให้หรอก" อเล็กซ์ตะคอก แล้วหันมาเห็นธีรดนย์ จึงรีบฟ้อง "คุณดนย์ครับ ช่างไฟฟ้าคลับคุณจะขมขู่เอาเงินค่าเสียหายจากผม ขับมอเตอร์ไซด์ปาดหน้า แล้วยังมาหาเรื่อง"
"วิธวินท์ เป็นอะไรหรือเปล่า" ธรดนย์ไม่สนใจฟังอเล็กซ์ เดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่มที่กำลังยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างมอเตอร์ไซด์ที่ล้มอยู่บนพื้น
"คุณดนย์" อเล็กซ์พึมพำเสียงเบา รู้สึกเจ็บใจที่ธีรดนย์ไม่มองเขาเลย แต่กลับตรงรี่เข้าไปหาชายหนุ่มหน้าขาวตรงหน้าอย่างห่วงใย ทำเหมือนจะเข้าไปอุ้มยังไงยังงั้น
"อย่าหวังว่าจะได้เงินค่าเสียหายฟรีๆ" อเล็กซ์เสียงลั่น
"จะไปไหนก็ไป" ธีรดนย์หันมามองอเล็กซ์ตาขวาง เสียงกร้าว ทำเหมือนจะยกมือชี้หน้า แต่ก็รีบหันกลับไปหาวิธวินท์แล้วเลิกสนใจคนขับรถสปอร์ตใจร้อน
"เจ็บตรงไหนบ้าง" ธีรดนย์เสียงอ่อน แต่วิธวินท์ไม่ตอบ ก้มลงดึงมอเตอร์ไซด์ขึ้นมา แต่ทว่าทำหน้าเหยเกเพราะความเจ็บ อเล็กซ์ขึ้นรถ แล้วกระแทกประตูปิดเสียงดัง ก่อนจะทะยานรถออกไปอย่างรวดเร็ว
ธีรดนย์หันไปสั่งยามให้ยกรถแล้วเข็นไปจอดให้เรียบร้อยและไปตามธนิต ผู้ช่วยคนสนิทให้มาพบ วิธวินท์เดินตามไปสำรวจความเสียหายของรถ ทำหน้าเหมือนจะขาดใจเพราะเห็นรถคันโปรดมีรอยบุบหลายแห่ง ธีรดนย์ยืนเท้าสะเอวอยู่ใกล้ๆ มองด้วยสายตาขัดเคือง
"ผมว่าห่วงตัวเองก่อนเถอะวิธวินท์ รถนะซ่อมได้ ตอนนี้เจ็บตรงไหนบอกผม จะได้พาไปหาหมอ"
"ผมจะเอารถไปอู่" วิธวินท์ตอบโดยไม่มองหน้าธีรดนย์ ก้มลงสำรวจรถมอเตอร์ไซด์สุดที่รัก ลืมนึกไปว่าธีรดนย์ยืนอยู่ข้างหลัง
"คุณรักรถมากกว่า..." ธีรดนย์พูดเสียงเบา อดหลุบตาลงมองบั้นท้ายงอนๆ ของอีกฝ่ายไม่ได้ รู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยืนชิดร่างกายอุ่นๆ ของวิธวินท์ และที่สำคัญ คนที่เขาคลั่งไคล้กำลังโก้งโค้งมองมอเตอร์ไซด์อย่างไม่สนใจสิ่งอื่น
"ไปหาหมอเถอะ ผมจะให้ลูกน้องจัดการให้" ธีรดนย์พูดเสียงต่ำ รู้สึกหายใจขัดขึ้นมาทันใด ตอนนี้เขายืนเกือบชิดด้านหลังของวิธวินท์ รู้สึกอยากจะก้มลงมากระซิบข้างหู พาขึ้นรถไปหาหมอเสียเดี๋ยวนี้
วิธวินท์ส่ายหน้า แล้วเอื้อมมือไปจะขยับรถ แต่ก็ต้องห่อไหล่ แทบจะปล่อยมือจากรถ ธีรดนย์ต้องเอื้อมมือไปช่วยจับเพราะมอเตอร์ไซด์คันใหญ่เกือบจะล้ม
"อย่าขยับนะวิธวินท์ เดี๋ยวได้โดนรถล้มทับทั้งสองคน" ธีรดนย์รีบพูด เพราะตอนนี้เขาโอบร่างของชายหนุ่ม มือทั้งสองข้างจับแฮนด์มอเตอร์ไซด์ทั้งสองข้างช่วยพยุงเอาไว้ วิธวินท์เม้มปาก ไม่พูดอะไร แล้วปล่อยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะย่อตัวลงแล้วมุดถอยหลังออกมาจากใต้แขนของธีรดนย์
"เจ็บแล้วยังทำอวดดีอีก แต่ขยับรถก็ทำไม่ได้ ยังคิดจะขับรถไปอู่" ธีรดนย์บ่น ตั้งรถมอเตอร์ไซด์ให้เรียบร้อย
"ผมกลัวว่า..." วิธวินท์แย้ง
"ไม่หายหรอกครับ" ธีรดนย์รีบแทรก "ผมรับรองด้วยเกียรติว่าจะไม่มีใครกล้าแตะรถคุณเลย"
"คราวที่แล้วจอดอยู่ดีๆ ยังหาย คราวนี้จะแน่ใจได้ยังไงว่าโจรกระจอกที่ไหนจะไม่มาขโมยรถผม" วิธวินท์กระแทกเสียง
"พี่โจรเขาคงชอบและหลงไหลคุณ เอ่อ รถคุณมั๊ง เขาเลยอยากได้ไปขี่" ธีรดนย์ยักไหล่ แอบเบือนหน้าออกไปอมยิ้ม ก่อนที่จะหันกลับไปทำหน้าเข้ม มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของวิธวินท์ที่ยังคงมองรถตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์
"วิธวินท์ ขอร้องล่ะ ขอซักครั้ง ไปหาหมอเถอะ ผมจะพาไป" ธีรดนย์ทำเสียงอ่อน แล้วรีบยกนิ้วขึ้นชี้เป็นสัญญาณว่าไม่ให้อีกฝ่ายเถียง "อ๊ะ อ๊ะ อย่าเพิ่งปฏิเสธ อย่าเพิ่งเถียง ผมขออ้อนวอนให้คุณไปเถอะนะ ข้อร้องอย่าเถียงผมเลย ยอมทำตามที่ผมขอซักครั้ง ผมขอร้องจริงๆ ครั้งนี้ครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้น ให้ผมทำอะไรให้คุณบ้าง ทดแทนกับสิ่งที่ผมเคยทำไม่ดีกับคุณมา เช่นตอนที่บังคับให้คุณมาขอโทษผมที่บริษัท และกล่าวหาว่าคุณจงใจทำประแจตกใส่หัวผม นะครับ นะ ขอครั้งนี้เถอะนะ"
วิธวินท์ทำท่าอึดอัด ประหนึ่งว่ากำลังตัดสินใจ มองหน้าธีรดนย์ที่ทำหน้าอ้อนวอนอย่างหงอยๆ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แล้วหันไปมองรอบๆ เพื่อหลบตาอีกฝ่าย จึงไม่เห็นว่าเจ้าของคลับที่อยากจะรับผิดชอบต่ออุบัติเหตุครั้งนี้นักหนา กำลังอมยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ
และหากวิธวินท์มีญาณวิเศษอ่านใจธีรดนย์ได้ก็คงได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า
...ฮึ ในที่สุด วิธวินท์ก็ได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของเขาแล้ว ไม่เสียทีซื้อ Ducati มาแพงๆ คราวนี้ล่ะ จะบิดเร่งเครื่องให้กอดเอวเขาแน่นๆ แล้วเบรกแรงๆ...

ธีรดนย์ไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้ว ตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาล วิธวินท์พูดไม่ถึงสิบประโยค จนถึงตอนนี้กำลังนั่งรอจ่ายเงิน ชายหนุ่มก็นั่งนิ่งเงียบเหมือนรูปปั้น
"มีเงินไหมวิธวินท์ ถ้าไม่มีผมจ่ายให้ก่อนก็ได้นะ" ธีรดนย์ไม่รู้จะคุยอะไรอีกแล้ว เพราะไม่ว่าเขาจะพูดอะไร วิธวินท์ก็แทบไม่ตอบ เอาแต่พยักหน้าหรือส่ายหน้า
"เดี๋ยวเขาก็เรียก คนไข้เยอะ มันก็ช้าเป็นธรรมดา" ธีรดนย์ปลอบ "แต่ผมว่านี่รอนานเกินไปจริงๆ ล่ะ ชักจะหิวข้าวแล้ว เสร็จนี่ไปทานข้าวกันนะ ผมจะไปส่งคุณที่บ้าน"
"ไม่ต้อง" วิธวินท์ปฏิเสธ "ผมกลับแท็กซี่ได้"
"พูดได้แล้วหรือ" ธีรดนย์อมยิ้ม เงยหน้ามองชายหนุ่มข้างๆ ที่ลุกขึ้นเดินไปยังตู้เครื่องดื่มหยอดเหรียญ ธีรดนย์เดิมตามไปยืนพิงอยู่ข้างตู้ มองวิธวินท์ตาไม่กะพริบ
"รู้ไหมว่าทำไมผมอยากพาคุณมาหาหมอ" ธีรดนย์ถาม มือล้วงกระเป๋ากางเกงหาเศษเหรียญเพื่อ 'ช่วยสมทบทุน' ให้วิธวินท์ที่ล้วงกระเป๋ากางเกงหาเงินอยู่เงียบๆ
"ทำไมคุณยังไม่เลิกยุ่งกับผมซะที" วิธวินท์พูดเสียงเรียบ
"คุณก็รู้ว่าทำไม" ธีรดนย์พูดเสียงเรียบเช่นกัน "จำได้ไหม วิธวินท์ คุณบอกว่าถ้าไม่รักคุณ ผมก็ไม่มีทางได้คุณหรอก ตอนนี้ผมบอกรักคุณแล้ว เพราะฉะนั้น..."
"คนเราน่ะพูดยังไงก็ได้" ธีรดนย์สวน มองหน้าธีรดนย์ด้วยสายตาเยือกเย็น
"ก็นี่ไง กำลังทำอยู่ด้วยนี่ไง คุณให้โอกาสผมสิ ให้โอกาสผมบ่อยๆ" ธีรดนย์พูดหนักแน่น "อ้อ แล้วไม่ต้องมาเล่นบนเพื่อนผู้แสนดีมาเสียสละผมให้ใคร ผมไม่ได้รักภิรายุ จะให้บอกกี่ครั้ง ผมต้องการเป็นแฟนกันคุณ ไม่ได้อยากเป็นแฟนกับใคร เข้าใจหรือเปล่า"
วิธวินท์ไม่ตอบโต้ ก้มลงมองเหรียญห้าบาทในมือของธีรดนย์แล้วเงยหน้าขึ้น หยอดเหรียญของตัวเองลงในช่องจนครบ ก่อนกำมือทุบปุ่มเลือกเครื่องดื่มอย่างกระแทกกระทั้น
"เดี๋ยวเครื่องเขาก็พังหรอก" ธีรดนย์พูดยิ้ม "เห็นไหมล่ะ เราเหมาะสมกัน ใครจะว่าเราไม่เหมาะกันยังไงก็ช่าง ผมไม่สน แต่ผมว่าเราเหมาะกันที่สุด แม้ตอนใช้ตู้หยอดเหรียญเราก็ทำเหมือนกันเลย คุณหยอดเหรียญเล็กก่อนหยอดเหรียญใหญ่แล้วกำมือทุบเลือกเครื่องดื่มเหมือนผม แม้คุณจะไม่ยอมรับเหรียญห้าบาทจากมือผมก็เถอะ แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าผมกำลังยื่นสิ่งที่เป็นของผมให้ จะรับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้"
"ยังไม่ถึงเวลา" วิธวินท์ก้มลงหยิบกระป๋องเครื่องดื่ม แล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม ธีรดนย์เดินตามไปนั่งลงข้างๆ แล้วหันไปกระซิบข้างหูวิธวินท์ว่า
"ต้องการเวลานานเท่าไหร่วิธวินท์ ผมรอไม่ได้มากนักหรอกนะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากรอ แต่เพราะว่ามันใจจะขาด เอาเป็นว่าผมจะรอจนกว่า..."
ธีรดนย์ไม่ทันได้พูดจบ วิธวินท์ก็รีบลุกขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่การเงินเรียกชื่อ ชายหนุ่มตรงไปที่เคาท์เตอร์ทันที โดยมีธีรดนย์เดินตามไปติดๆ เช่นเคย
"หนีผมไปไหนไม่พ้นหรอก แม้จะมีอุปสรรคมากมาย ผมก็ไม่ยอมแพ้หรอกจะบอกให้" ธีรดนย์พูดเสียงเบา ศอกขวาวางอยู่บนเคาท์เตอร์ เอียงหน้ามองวิธวินท์ที่กำลังนับเงินจ่ายให้พนักงาน "แต่อย่าทรมานกันนานมากนัก อย่างน้อยก็ให้ไอเดียผมหน่อย ว่าจะผมจะทรมานเป็นระยะเวลาแค่ไหน"
"คนอกหักเขาก็ต้องการเวลาซักพัก" วิธวินท์พูดเบาๆ เร็วๆ รีบผละออกจากเคาท์เตอร์จ่ายเงิน แล้วไปยืนเกาะอยู่หน้าเคาท์เตอร์จ่ายยา คราวนี้ธีรดนย์ไม่เดินตาม แต่เดินกลับไปนั่งคอยอยู่บนเก้าอี้ กางแขนออกวางพาดเก้าอี้ตัวข้างๆ ยกขาขึ้นไขว่ห้าง มองร่างของ 'พ่อลิงน้อย' ของเขาด้วยใบหน้ายิ้มๆ รู้สึกว่าหัวใจพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
...ต้องมีตัวเร่งปฏิกิริยาให้ภิรายุมีใครซักคนสิน่า เขาไม่ยอมทนทรมานนานเกินไปหรอก แค่นี้ก็จะแย่แล้ว...
...วิธวินท์...ธีรดนย์เป็นคนใจร้อน ยิ่งตอนนี้ยิ่งไม่อยากรอแม้แต่นิด ขากลับนี่ล่ะ เขาจะบิดเร่งความเร็วเป็นสองเท่า หัวเด็ดตีนขาดก็จะไปส่งบ้านให้ได้ และยังไงๆ ก็จะเข้าไปส่งถึงในห้อง อะไรๆ มันต้องคืบหน้าบ้างสิ ได้ดื่มน้ำเย็นซักแก้วก็ยังดี มาหลอกให้รักแล้วนี่น่า จะหลอกให้รอนานๆ ธีรดนย์ไม่ยอมหรอก...

ธีรดนย์โยนแฟ้มลงบนโต๊ะ แล้วกระแทกตัวลงกับพนักพิงเก้าอี้แรงๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้าด้วยความเหนื่อยอ่อนและทั้งกายและใจ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปกดอินเตอร์คอมเรียกให้เลขาเข้ามาเอางานไปแก้
“ไม่ต้องถามผมนะว่าแก้ยังไง ผมวงปากกาแดงให้แล้วว่าตรงไหน” ธีรดนย์กระแทกเสียงแล้วลุกขึ้นยืน เดินตรงไปที่ประตู เป็นจังหวะเดียวกันที่เลขาสาวสวยเดินเข้ามาและเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นเขากำลังจะเดินออกจากห้องทำงาน
“ไม่ต้องถามว่าผมจะไปไหน และไม่ต้องโทรตาม คนโทรมาบอกให้โทรมาใหม่” ธีรดนย์สั่งสั้นๆ แล้วเดินออกไป
“แล้วนัด...” เลขาอ้าปากถาม แต่ก็ต้องรีบหุบเมื่อเจ้านายหันขวับมาทันที
“นัดใหม่สิคุณบีม ถ้าผมไม่อยากเจอใครก็หมายความว่าให้นัดใหม่ จะพรุ่งนี้มะรืนนี้หรือสัปดาห์หน้าก็นัดเถอะ” ธีรดนย์เสียงเข้ม “จะยกเลิกนัดให้หมดเลยก็ตามใจ”
เลขาสาวสวยระดับนางสาวไทยทำหน้ามุ่ย ถอนหายใจยาวๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะของเจ้านายที่มีเอกสารวางระเกะระกะ ในใจก็อดด่าตัวเองไม่ได้ว่าคิดผิดที่สมัครใจย้ายจากแผนกการตลาดมาเป็นเลขานุการคนใหม่ให้ท่านประธานบริษัทรูปหล่อ แค่ไม่ถึงอาทิตย์เธอก็อยากจะฆ่าตัวตายวันละหลายหน

เต้ยรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์เพื่อเร่งทำงานให้เจ้านายทั้งที่ฝ่ายนั้นบอกว่าไม่ต้องรีบทำก็ได้ แต่เขาต้องการทำงานให้เสร็จโดยเร็ว บ่ายวันนี้เขาต้องไปรับรถที่อู่ เลยต้องเผื่อเวลาให้มากหน่อยต้องการไปนั่งเฝ้าและกดดันให้ช่างรีบทำให้เสร็จตรงเวลานัด
เมื่อใกล้จะพิมพ์งานเสร็จ เต้ยรู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน แต่เลขาหนุ่มของรองประธานบริษัทก็ยังไม่เงยหน้าขึ้น แค่ปรายตาเหลือบไปมองแค่เสี้ยววินาที เห็นเพียงกางเกงและได้ยินเสียงหายใจ เขาก็รู้ว่าเป็นใคร และนึกภาพออกได้ว่าตอนนี้กำลังยืนกางขา กอดอก เอียงคอ หรี่ตา เม้มปาก ทำหน้าดุ
“ทินอยู่ไหมเต้ย” เสียงห้าวดังขึ้น เลขารองประธานฯ น้องชายของประธานบริษัทพยักหน้าแล้วพิมพ์งานต่อ
“แล้วนี่เขาใช้งานไม่ได้เงยหน้าเงยตาขึ้นมามองดูโลกแบบนี้เลยหรือ”
เต้ยส่ายหน้าเล็กน้อย และกำลังจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับ ‘แขก’ ของเจ้านายแต่เสียงอินเตอร์คอมดังขึ้นเสียงก่อนจึงรีบยื่นหน้าไปพูดใกล้ๆ กับเครื่องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ครับคุณทิน มีอะไรให้เต้ยทำหรือครับ”
“ยังไม่มีครับ เอกสารของงานหัวหินแจ๊ซที่ให้พิมพ์ คุณเต้ยไม่ต้องรีบก็ได้นะครับ ที่บอกว่าพรุ่งนี้ เป็นบ่ายๆ ก็ได้” เจ้านายพูดเสียงอ่อนโยน
“เต้ยทำใกล้จะเสร็จแล้วครับ อีกไม่ถึงห้านาทีจดหมายนี้จะวางที่บนโต๊ะ แต่ตอนนี้มีการขัดจังหวะ” เต้ยตอบเสียงนุ่มนวล “เต้ยจะรีบทำ เพราะรู้ว่าถ้าเจ้านายสั่งงานลูกน้อง ก็คงต้องการได้ ณ เวลาเดี๋ยวนี้ เต้ยไม่อยากถูกไล่ออก”
“ฮึ” เสียงอดีตเจ้านายดังขึ้นทันที
“คุณดนย์จะพบคุณทินก็เชิญเลยนะครับ คงไม่ต้องให้เลขาหน้าห้องไปเปิดประตูพาเข้าไปหรอกมั๊ง” เต้ยเงยหน้าขึ้นพูดกับธีรดนย์
“ปากดีนักนะเต้ย เดี๋ยวให้ทินไล่ออกซะเลย” ธีรดนย์ก้มหน้าลงมา
“คุณทินไม่กล้าหรอก คุณทินรักเลขาคนนี้จะตาย คุณพ่อคุณก็ไม่มีวันไล่เต้ยออก เพราะเต้ยทำงานเก่ง” เต้ยลอยหน้าลอยตา
“เก่งทุกอย่างเลย”
“ไม่เก่งก็ไม่ใช่เต้ย”
“เก่งนักทำไมไม่เป็นเลขาท่านประธาน มาเป็นเลขารองประธานทำไม” ธีรดนย์เสียงอ่อนลง
“ก็ท่านประธานเขาไม่อยากได้เต้ยนิ” เลขารองประธานยักไหล่
“ทำไมต้องโกรธกันขนาดนี้เต้ย” ธีรดนย์พูดขึ้นหลังจากนิ่งไปชั่วครู่ “ยังไงเราสองคนก็หนีกันไม่พ้น คิดไปคิดมานะ เราทำกรรมมาด้วยกัน คุณก็คงต้องติดอยู่กับผมนี่ล่ะมั๊ง”
“ก็เพราะคิดอย่างนี้สิถึงได้...” เต้ยสวนกลับ แต่ก็รีบหยุดพูดทันที “คุณอย่ามายุ่งกับเต้ยเลย ช่างมันเถอะ ตอนนี้เต้ยมาทำงานกับคุณทินสบายจะตาย ไม่ต้องรีดเค้นสมองส่วนพิเศษในหัวมาสู้กับเรื่องสารพัดเรื่อง”
“กลับไปทำงานด้วยกันเถอะ” ธีรดนย์เปลี่ยนมาเป็นเสียงอ่อนโยน “ผมจะไม่ไหวแล้วนะ อยู่กับทินน่าเบื่อจะตาย ตัวเองก็เคยพูดไม่ใช่หรือว่า ชีวิตมันต้องมีสีสัน”
“สีสันมันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตครับคุณธีรดนย์คนเจ้าชู้รูปหล่อล่ำกำยำเสน่ห์แรง คิดซะว่า มันเป็นประสบการณ์ชีวิตมันส์ๆ ที่ผ่านเข้ามาให้เราได้เรียนรู้ แล้วชีวิตมันก็ต้องดำเนินต่อไป”
“ไม่คิดหรือว่าชีวิตมันควรย้อนมาเป็นแบบที่มันเคยเป็นก่อนประแจตกใส่หัว ทำให้มึนไปพักหนึ่ง” ธีรดนย์เสียงทุ้ม เท้าแขนลงบนโต๊ะ
เต้ยยิ้มบางๆ แล้วลุกขึ้น มองหน้าเจ้านายคนเก่าแล้วพูดว่า “ก็ไม่เห็นคุณจะเข็ด ตอนนี้เต้ยคิดว่าคุณไม่ใช่แค่มึนนะ เต้ยคิดว่าคุณน่ะ เพี๊ยนไปแบบสุดๆ หยุดไม่อยู่ กู่ไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่ไหวซะแล้ว”
“น่า นะ ถ้ากลับไปจะขึ้นเงินเดือนให้ อยู่กับทินเหงาปากจะตาย เดี๋ยวน้ำลายบูด คุณเป็นคนชอบพูดชอบจำนรรจาหาวิธีแก้ปัญหาสารพัดไม่ใช่หรือ” ธีรดนย์เอียงหน้าอมยิ้ม พูดล้อเลียนเลขา “ผมสัญญาว่าจะรับโทรศัพท์ทุกครั้งที่โทรตาม”
“เต้ยไม่โทรตามคุณอีกแล้ว คุณจะไปวิ่งไล่ตามจับเด็กแว๊นซ์ที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไรเต้ยก็ไม่สน” เลขาหนุ่มเบ้ปาก แล้วเดินไปที่ประตูห้องทำงานของท่านรองประธานบริษัท
“ไม่กลับไปแล้วจะเสียใจนะเต้ย ไม่มีเจ้านายที่ไหนเหมือนผมอีกแล้วล่ะ แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ในโลก ประสบการณ์ชีวิตเฟสที่สอง มันส์กว่าเฟสแรก” ธีรดนย์พูดแล้วหัวเราะหึๆ ในลำคอ ก่อนจะเดินออกไปจากออฟฟิส
“ใครจะไปหลงตัวเองแบบคุณ” เต้ยเบ้ปาก “คิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุด ตอนนี้เป็นไงล่ะ เสือร้ายไม่เหลือลาย จะเรียกว่าเป็นแมวเหมียวก็ไม่ใช่ เรียกว่าหนูแฮมสเตอร์ปั่นกงล้อน่าจะถูกกว่ามั๊ง”
เต้ยส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วผลักประตูห้องทำงานคุณทินเข้าไปเพื่อปรึกษากับท่านรองประธานบริษัทเรื่องพี่ชายคนเดียวที่นับวันจะทำตัวแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ
...ธีรดนย์ก็คือธีรดนย์ คนพันธ์พิเศษ ไม่มีเขาคอยดูแลทั้งในและนอกออฟฟิส ชีวิตธีรดนย์ก็คงยุ่งเหยิงไม่จบไม่สิ้น...
...สมน้ำหน้า เจ้าชู้นัก โดนหลอกให้รักแล้วเป็นไงล่ะ หมดสภาพไม่เหลือเค้าธีรดนย์คนเดิม...
...เฮ้อ หัวใจคนกับเรื่องความรักนี่มันยุ่งจริงๆ เลย นี่จะเจออะไรกันอีกก็ไม่รู้...
...รู้แต่ว่า ความรักกับความเหมาะสม มักจะไม่ค่อยไปด้วยกัน และที่สำคัญ พอรู้ใจตัวเองแล้ว แทนที่จะรู้สึกมีความสุขเต็มร้อย มันกลับมีทุกข์แทรกเข้ามาให้รู้สึกเจ็บนิดๆ เป็นครั้งคราว...
...แต่...ก็ไม่เห็นจะมีใครเข็ดสักคน...

*****33*****จบ****33****

gboy

  • บุคคลทั่วไป
พี่นายมาแล้ว
 :z13:
จิ้มก่อนอ่าน
อิอิ

gboy

  • บุคคลทั่วไป
 :serius2:
ค้างอ่ะ

มีภาค 2 ช่ายม้ายยยยยย

andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






alterlyx

  • บุคคลทั่วไป
อยากจะเป็นลม ...... อยากจะเป็นลมยกกำลังสอง :z3:
ถึงจะรู้สึกสมูธและแฮปปี้กว่าเดิมขึ้นมาบ้าง ... แลดูมีความหวังขึ้นมาบ้าง
แต่ก็ ... เฮ้อออ  ... ความรัก มันไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ

อดไม่ได้ ที่ต้อง +1 ให้กับความอลหม่าน และ อึดอัด
ไม่ว่าจะจบยังไง .... ก็ยังชอบ พระเอกแบบเสือร้าย สไตล์คุณคฑาวุธเสมอ  :กอด1:

...รู้แต่ว่า ความรักกับความเหมาะสม มักจะไม่ค่อยไปด้วยกัน และที่สำคัญ พอรู้ใจตัวเองแล้ว แทนที่จะรู้สึกมีความสุขเต็มร้อย มันกลับมีทุกข์แทรกเข้ามาให้รู้สึกเจ็บนิดๆ เป็นครั้งคราว...
^ ^ ^ ประโยคปิดท้ายของพาร์ทนี้ .... กินใจดีค่ะ ... แต่ชอบแบบเดิมมากกว่าแฮะ v v v
... ไม่คิดหรือว่า ชีวิตมันควรย้อนมาเป็นแบบที่มันเคยเป็น ก่อนประแจตกใส่หัว ทำให้มึนไปพักหนึ่ง ...

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
บทส่งท้าย

เต้ยทำหน้าเข้ม มองหน้าบารมีด้วยความฉุนเฉียว ในใจอยากกระโดดเข้าไปขย้ำคออีกฝ่ายยิ่งนัก บ่ายวันนี้เขานัดให้บารมีมาเจอกันที่สวนใต้สะพานพระรามแปด เพื่อคุยกันถึงเรื่องความรักวุ่นๆ ของคนสามคู่ บารมียืนฟังเขาอยู่นาน แต่พอเขาสรุปการสนทนา ฝ่ายนั้นก็แย้งขึ้นมาทันที
"คุณเลิกยุ่งกับเขาดีกว่า ให้เขาเลือกทางเดินของเขากันเอง คุณกำลังจะทำให้ทุกอย่างวุ่นวายเฉยๆ" บารมีเสียงแข็ง
"มันยุ่งเพราะคุณทำงานกับวิธวินท์ไม่สำเร็จ ตอนนี้เป็นไงล่ะ กับภิรายุคุณก็ไม่สำเร็จ"
"ผมไม่ได้รักภิรายุ" บารมีปฏิเสธเสียงดัง
"ตอนนี้ยัง แต่ต่อไปก็ไม่แน่ คุณไม่เห็นหรือว่าภิรายุเป็นคนน่ารัก เปิดใจตัวเองหน่อย" เต้ยยังพยายามโน้วน้าว "ทำไมไม่ยอมลืมวิธวินท์"
"ทำไม่ไม่อยากให้วินท์ลงเอยกับคุณธีรดนย์นัก" บารมีหันมาจ้องตาเต้ย
"ใครว่า ก็ช่วยคุณดนย์อยู่นี่ไง"
"โดยการจะผลักผมให้ภิรายุใช่หรือเปล่า โดยการพยายามทำอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม"
"แล้วทำไม่ชอบจะมาจมอยู่กับอดีต อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปสิ คนใหม่ก็มีอยู่" เต้ยกระแทกเสียง
"อดีตบางอย่างเราก็ไม่อยากจะลืม ไม่อยากจะทิ้งมันไป" บารมีหันไปมองแม่น้ำที่กำลังไหลเอื่อย น้ำเสียงอ่อนโยน มือล้วงกระเป๋ากางเกง ยืนนิ่งไม่ไหวติง
"แต่คุณก็ไม่อยากย้อนอดีตไปนานเกินไป ผมรู้ว่าอดีตบางอย่างคุณอยากจะลบมันออกไปแทบทุกลมหายใจ ขอให้ทำสำเร็จเร็วๆ นะ" เต้ยพูดเสียงเข้ม แล้วหันหลังกลับเดินไปที่รถทันที
บารมีกัดฟัน ถอนหายใจแรงๆ มือที่ล้วงอยู่ในกางเกงกำจนแน่น จากนั้นจึงค่อยๆ หันไปมองร่างของ 'อดีต' คนหนึ่งของเขาที่กำลังก้าวขึ้นนั่งบนรถ
...อดีตอย่างคุณผมก็ไม่อยากลืมหรอกเต้ย อย่าเข้าใจผมผิดแบบนั้น ผมเพียงแต่ต้องการเวลา...

วิธวินท์กวาดตามองรั้วลวดหนามที่ขึงรอบที่ดินผืนกว้างตรงหน้าแล้วหันไปมองเพื่อนสนิทที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่รถ โดยมีภมรเดินตามมาติดๆ
"อ้าว ดูแค่นี้หรือ" ภมรถาม
"จะให้ดูอะไรอีก มันก็มีแค่ดินกับหญ้า แล้วก็รั้วลวดหนาม จะให้วิเคราะห์มันด้วยหรือไง ไม่ได้กำลังดูจานบินมนุษย์นะ" วิธวินท์ตอบห้วนๆ
"ปากหนอปาก" ภมรส่ายหน้า "ปากแบบนี้น่าโดนตบจูบ"
"ได้ค่านายหน้ามาเท่าไหร่ภมร ถึงมาเซ้าซี้อยู่ได้"
"เปล่า ก็เห็นว่านายพลาดจากครั้งแรก คราวนี้เจ้าของเขาอยากขายจริงๆ อุตส่าห์ลดให้เหลือล้านหกตามที่นายเคยอยากได้ ก็เลยพามาดู"
"ทำไมอยู่ๆ เขาอยากขาย ก็เพิ่งซื้อไปได้ไม่กี่เดือน แล้วซื้อไปราคาสองล้านมาขายขาดทุนสี่แสนนี่นะ" วิธวินท์ทำเสียงครุ่นคิด
"เขาร้อนเงิน" ภมรรีบตอบ "โทรมาเสียงร้อนรนเลยล่ะ พอเขารู้ว่าที่ผืนนี้เป็นผืนที่นายอยากได้ เขาก็เลยลดให้สุดๆ คือว่าเขาหมุนเงินไม่ทัน แล้วต้องใช้เงินด่วน ตัดสินใจเลยนะวินท์ โอกาสงามๆ อย่างนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะเพื่อนรัก"
"คิดไปคิดมาก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี" วิธวินท์มองที่ดินแล้วถอนหายใจ
"อ้าว ก็สร้างบ้านอย่างที่เคยคิดไง"
"อยากเปลี่ยนใจแล้วล่ะ เช่าคอนโดอยู่ก็สบายดี เบื่อวันไหนก็แอบไปนอนที่ออฟฟิส" วิธวินท์ยักไหล่
"แต่เจ้าของที่เขากำลังแย่นะวินท์ ต้องการเงินด่วน นายไม่สงสารเขาบ้างหรือ"
"อยากขายนักก็ให้เขามาติดต่อคุยกับเราเอง" วิธวินท์ยักไหล่อีกครั้งแล้วสตาร์ทเครื่องมอเตอร์ไซด์ "เราจะกดราคาลงให้เหลือซักล้านสอง"
"คนกำลังลำบาก ยังมาใจร้ายอีก" ภมรบ่นพึมพำ "อยากให้เขาให้ฟรีเลยไหมล่ะ จะช่วยไปคุยให้"
"ขึ้นรถสิภมร อยากนอนเฝ้าที่ให้เจ้าของหรือไง" วิธวินท์เร่งเพื่อน หรี่ตามมองภมรอย่างฉุนๆ
...เจ็บใจนัก รอให้เจ้าของที่กลับจากต่างประเทศก่อนเถอะ เขาจะคิดบัญชีพร้อมดอกเบี้ย...

ภิรายุหันไปมองคนที่กำลังลงจากรถแล้วยกมือขึ้นโบกทักทาย ศรายุธยิ้มกว้างมาแต่ไกล ในมือถือขวดน้ำมาสองขวด
"ร้อนไหมภิรายุ พี่ซื้อน้ำมาฝาก ดื่มซะ จะได้เย็นๆ" ศรายุธยื่นขวดน้ำให้ชายหนุ่ม "ที่สวยมากเลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่กลางเมือง นี่คงต้องใช้ทุนมหาศาล คิดดีแล้วหรือที่จะย้ายโรงเรียนมาที่นี่"
"คิดดีแล้วสิครับ ผมไม่อยากโดนไล่ที่อีกแล้ว" ภิรายุพยักหน้า น้ำเสียงมั่นใจ
"เป็นหนี้แบงค์เยอะมากเกินไปก็ไม่ไหวนะครับ ขยับออกไปไกลอีกนิดก็ไม่น่าไม่ลำบากเท่าไหร่ ถ้าโรงเรียนเราดีจริง ผู้ปกครองก็ต้องส่งลูกมาเรียนที่เรา แล้วอีกหน่อยก็มีหมู่บ้านเกิดขึ้น คนก็เยอะขึ้น ไม่กี่ปี นอกเมืองก็เจริญ" ศรายุธเสนอความเห็น
"เจ้าของที่เขาใจดีลดราคาให้ครับ" ภิรายุอมยิ้ม ยกขวดน้ำเย็นขึ้นดื่ม
"หมายความว่ายังไง" ศรายุธถาม
"ก็หมายความอย่างที่พูด"
"นี่คือที่ของ..." ศรายุธเสียงเบา
"อย่าไปบอกวินท์นะ" ภิรายุมองตาศรายุธ "ผมรู้ว่าไม่ควรทำ แต่ผมก็ไม่หยิ่งขนาดนั้นหรอก เพื่อโรงเรียนของผม และเพื่อ..."
ภิรายุหยุดไปชั่วครู่ สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วพูดต่อว่า "อย่างน้อย นี่ก็เป็นเครื่องเตือนใจ ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ผม"
"ทำไมยังไม่ลืมเขาซะที"
"อีกนานครับ" ภิรายุยิ้มเศร้าๆ "เรารักใครแล้ว ไม่ใช่ว่าจะตัดใจได้ง่ายๆ นะครับอายุธ หรือจะเถียง"
"ไม่ ไม่เถียงหรอก พี่รู้ พี่เข้าใจที่ภิรายุพูด" ศรายุธก้มหน้ายิ้มบางๆ ให้ภิรายุ แล้วหันไปมองที่ดินกว้างขนาดประมาณสองไร่อย่างพิจารณาแล้วชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องแผนผังการก่อสร้างอาคารเรียน
"แล้วจะหลอกให้วินท์วางระบบคอมพิวเตอร์ให้ถูกๆ หรือเปล่า" ศรายุธถามแล้วหัวเราะเบาๆ
"อ๋อ แน่นอน ผมต้องประหยัดงบทุกอย่าง ตอนนี้ที่ต้องการคือสถาปนิกกับวิศวกรก่อสร้างที่คิดราคาถูก"
"พี่รู้จักเพื่อนของเพื่อนที่จบสถาปัตย์ เดี๋ยวจะติดต่อให้" ศรายุธพูดขึ้น "มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลยนะ"
"ครับอายุธ" ภิรายุธยกมือขึ้นตบต้นแขนศรายุธเบาๆ "ไม่มีอายุธ ผมก็คงทำโรงเรียนไม่สำเร็จ"
"อย่าลืมวินท์กับภมรด้วยสิ"
"บารมีด้วย" ภิรายุหัวเราะ แล้วถอนหายใจเบาๆ "เฮ้อ ผมนี่โชคดีจังเลยที่มีแต่เพื่อนดีๆ"
"พี่ไม่ใช่เพื่อนนะ" ศรายุธแย้ง
"ครับ ทราบแล้ว อาของวินท์ก็เหมือนอาของผม งั้นยกอายุธให้เป็นผู้ใหญ่ ที่ปรึกษากิตติมศักด์ของโรงเรียนอนุบาลปุ้มปุ้ยก็แล้วกัน"
"พูดซะแก่เลยนะ แล้วไม่ต้องเรียกว่าอาก็ได้ เรียกพี่ก็พอ" ศรายุธอมยิ้ม
"ครับอายุธ"
"เอ๊ะ ทำไมยังล้อเลียน" ศรายุธทำหน้ามุ่ย แล้วหัวเราะประสานกับภิรายุ ก่อนจะแตะแขนให้ชายหนุ่มเดินตาม เพื่อตรวจดูบริเวณรอบๆ

เต้ยเดินกระแทกเท้าขึ้นไปบนสถานีตำรวจอำเภอหัวหินด้วยอารมณ์คุกรุ่น ทันทีที่พบกับร้อยเวร เลขาหนุ่มก็โวยเสียงลั่น
"ข้างฟุตบาธไม่เห็นมีสีขาวแดง คุณมาเขียนใบสั่งให้ผมได้ยังไง เห็นว่าเป็นฮอนด้าแจ๊ซใช่ไหมล่ะ ถ้าผมขับเบ็นซ์ทะเบียนใหญ่ๆ มาจอด คุณก็คงไม่กล้าเขียนใบสั่งหรอก"
"อ้าว คุณ ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ถึงขับเบ็นซ์ก็เขียนครับ" ร้อยเวรหน้าอ่อนตอบกลับทันที
...กล้าก็เอาสิ รู้ยังงี้ขับ เบ็นซ์เอส 500 ทะเบียน สส 777 ของธีรดนย์มาก็ดีหรอก จะจอดมันตรงมุมเลี้ยวเข้าประตูโรงพักซะเลย...
"ใครเขียนใบสั่งผม ลายมือก็อ่านไม่ออก ไปเรียกมาคุยกันหน่อยซิ" เต้ยเสียงแข็ง ตอนนี้กำลังโกรธ เห็นช้างตัวเท่าหนู
"เฮ้ย สารวัตรเขียนเองเลยนี่หว่า" ร้อยเวรคว้าใบสั่งไปจากมือของชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าบึ้งตึง "สารวัตรยังไม่กลับเข้ามา คุณไปนั่งรอก่อน หรือไม่ก็เสียค่าปรับตอนนี้เลย"
"ไม่เสีย ผมไม่ได้จอดรถผิดกฏจราจรที่ไหน ทำแบบนี้ได้ยังไง ประพฤติหน้าที่โดยมิชอบนี่นา" เลขาหนุ่มที่หนีความตึงเครียดในกรุงเทพฯ มาพักผ่อนชายทะเลโวยวาย มือเท้าสะเอว ตาขวาง จ้องหน้าร้อยเวรที่ตอบกลับเสียงอ่อนลงกว่าเดิมว่า
"เขาเรียกว่าปฏิบัติหน้าที่ครับ"
"คุณโทรตามตำรวจที่เขียนใบสั่งงี่เง่านี่ให้ผมเดี๋ยวนี้เลย ผมจะไปสปา ไม่มีอารมณ์จะมารอหรอก" เต้ยเริ่มจะทนไม่ไหว รู้สึกใบหูร้อนๆ ประหนึ่งว่ากำลังมีไฟจะพุ่งออกมา
"ไม่ต้องตาม ไม่ต้องรอแล้วครับ" ร้อยเวรยิ้ม มองข้ามไหล่ของของประชาชนเลือดร้อนไปด้านหลัง เต้ยหันขวับ แล้วเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นคนที่ยืนกอดอก เอียงหน้ามองเขาอยู่ด้วยสายตาขำๆ
"คุณนี่จริงๆ เลย ไม่กลัวตำรวจจับเข้าคุกหรือไง"
"กลัวก็ไม่กล้าบุกมาถึงนี่หรอก" เต้ยตอบเสียงแข็ง "หมวดใช่ใหมที่เขียนใบสั่งอ่านไม่รู้เรื่องนี้ให้ผม"
"สารวัตรครับ อย่าลดยศกันฮวบฮาบแบบนี้สิ" นายตำรวจที่ถูกเรียกว่าหมวดตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มๆ
"อ๋อ เลยใหญ่พอที่จะเขียนใบสั่งให้ใครก็ได้งั้นสิ ผมไม่ได้จอดรถผิดกฎ..."
"ตรงหัวมุมสี่แยก ไม่ผิดกฏจราจรหรอกครับ แต่ผิดกฏหมาย" สารวัตรหนุ่มแทรก
"ข้างฟุตบาธทาสีชมพูขาวด้วยใช่ไหม คุณเลยเขียนใบสั่งผม" เต้ยประชด
"มันเคยเป็นสีแดงขาว ฝนตกมานานหลายปี สีมันเลือนหมดแล้วเลยมองกันไม่เห็น" นายตำรวจยักไหล่ "แต่เอาเถอะ เพื่อเห็นแก่การที่เราเคยเมาด้วยกันและเคยรู้จักกันมาคืนหนึ่ง ผมจะยกเลิกค่าปรับ"
"เป็นความกรุณาอย่างยิ่ง" เต้ยหยิบใบสั่งบนโต๊ะขึ้นมาฉีก ร้อยเวรที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เชื่อสายตาและกำลังจะอ้าปากทักท้วง แต่สารวัตรที่เขียนใบสั่งยกมือขึ้นห้ามแล้วแตะแขนชายหนุ่มหน้าหวานที่มีอารมณ์ตรงข้ามกับใบหน้าให้เดินห่างจากโต๊ะร้อยเวร ก่อนจะพูดว่า "ฉีกใบสั่งผิดกฏหมายนะคุณ"
"จับเลยสิครับ ตอนนี้กำลังว่างๆ เอาผมไปนั่งสงบสติอารมณ์ในห้องขังซักชั่วโมงคงหายอารมณ์เสีย" เต้ยกระแทกเสียง แล้วหันหลังกลับ กำลังจะเดินลงจากสถานีตำรวจ
"เดี๋ยวสิคุณ ผมว่าเราไปกินเหล้าให้อารมณ์ดีกันเถอะ ผมออกเวรพอดี"
"ผมจะไปสปา" เต้ยหันไปตอบสั้นๆ ยักไหล่ แล้วเดินลงจากบันได้ เลิกสนใจสารวัตรหน้าเข้มเพื่อนของธีรดนย์
...เจ้าชู้ ทำไมเต้ยจะต้องเจอแต่คนเจ้าชู้ ไปไหนก็มีแต่คนหลายใจ เมื่อไหร่จะเจอคนรักเดียวใจเดียวซะที...
...หลายใจ ว่าแต่คนอื่นหลายใจ แล้วตัวเองล่ะ ทำไมตอนนี้กำลังคิดถึงคนสองคนพร้อมๆ กัน บ้าจริงๆ เลย...

พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว แตกต่างจากบ่ายวันนี้อย่างเห็นได้ชัด อากาศสดชื่น แต่วิธวินท์กลับถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อก้มหน้าลงมองมอเตอร์ไซด์คู่ชีพ และยิ่งหงุดหงิดยิ่งขึ้นเมื่อหันหลังไปมองชายร่างสูงที่ตามเขามาจากกรุงเทพฯ ซึ่งตอนนี้นั่งดื่มกาแฟอยู่อย่างสบายอารมณ์
"วิธวินท์ ไปหากาแฟมาดื่มซักถ้วยเถอะ จะได้อารมณ์เย็นลงมาบ้าง เอาไหม ผมจะซื้อให้" ธีรดนย์ส่งเสียง
วิธวินท์ไม่ตอบ ยกเท้าขึ้นเตะล้อรถเบาๆ แล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ศูนย์บริการอีกครั้ง แต่คำตอบที่ได้รับ ยิ่งทำให้เขาฉุนเฉียวเพิ่มขึ้น
"ช่างควรจะทำงานกันยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ใช่หรือ ไหนโฆษณาว่า ไม่ว่ารถจะเสียอยู่ที่ไหนของประเทศไทย คุณจะไปถึงภายในสามสิบนาที" วิธวินท์เค้นเสียงใส่โทรศัพท์
"อะไรนะ เย็นวันอาทิตย์แล้วเป็นยังไง คุณจะให้ผมรอจนถึงวันจันทร์ได้ยังไง แล้วรถยกไม่มีซักคันเลยหรือ" วิธวินท์เสียงเข้มมากกว่าเดิม หันซ้ายหันขวาอย่างหงุดหงิด
"ได้เรื่องยังไงคุณรีบโทรมาเลยนะ" วิธวินท์กรอกเสียงใส่โทรศัทพ์แล้วกดวางสาย ก่อนจะหันไปมองมอเตอร์ไซด์ที่จอดหมดสภาพอยู่ใกล้ๆ แล้วหันไปมองธีรดนย์ที่เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ
"เย็นวันอาทิตย์ไม่มีช่างที่ไหนเขาจะมาซ่อมรถไกลถึงบนเขาหรอก อย่าอารมณ์เสียไปหน่อยเลยวิธวินท์ ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว มาชื่นชมกับธรรมชาติกันดีกว่า"
"รถผมดีๆ มันเสียได้ยังไง" วิธวินท์เสียงห้วน "คุณมาแกล้งอะไรผมหรือเปล่า"
"อ้าว อย่ามาพาลกันสิ" ธีรดนย์โวยวาย "ผมก็ขับตามคุณมาตั้งแต่กรุงเทพฯ ได้ไปแตะรถคุณที่ไหนกัน พูดแบบนี้ เรียกว่าหมิ่นประมาทกันได้นะ"
"ทำไมต้องมาใกลถึงขนาดนี้ด้วย" วิธวินท์บ่น
"คุณเป็นคนมาเองนะ วิธวินท์"
"คุณตามผมทำไมก็ไม่รู้ ถ้าคุณไม่ตาม ผมก็ไม่มาไกลถึงขนาดนี้หรอก" วิธวินท์ตำหนิอีกฝ่าย
"เอ๊า พาลกันเข้าไป" ธีรดนย์ส่ายหน้า "คุณก็เลิกหนีผมซะที อะไรนักหนา คนไล่ตามเอาหัวใจมาให้ ก็หนีอยู่นั่น เป็นไงล่ะ มอเตอร์ไซด์ของตัวเองเก่าแล้ว มันก็ไม่ไหวนะสิ"
"คุณธีรดนย์" วิธวินท์ทำเสียงอ่อนใจ "ที่เราคุยกัน คุณจะไม่ฟังเลยใช่ไหม"
"คุณพูด เราไม่ได้คุย" ธีรดนย์ตอบเสียงจริงจัง "คุณพูดเองทั้งนั้น นี่ก็เดือนกว่าๆ แล้ว คนอกหักต้องใช้เวลาทำใจนานเท่าไหร่กันเชียว หรือคุณคิดจะโกงผม จะมาเจ้าเล่ห์กับผม จะหลอกผมหรือเปล่า"
"ใครจะเจ้าเล่ห์ได้เหมือนคุณ" วิธวินท์กัดฟัน "จะให้พูดไหมว่าคุณทำอะไรไว้บ้าง"
"ผมหิวข้าวแล้ว ไปทานข้าวกันเถอะ อย่ามัวแต่อารมณ์เสียเรื่องรถ นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว สมมุติว่ามีช่าง กว่าจะมาถึงก็ชั่วโมง จะซ่อมได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ถึงซ่อมได้ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง แล้วกว่าจะเข้ากรุงเทพฯ อีก ขับรถกลางดึกอันตราย ผมว่านอนที่นี่ก็แล้วกัน" ธีรดนย์เบี่ยงประเด็น
"คุณอยากนอนก็นอนไป"
"ดื้อจริงๆ เลยนะวิธวินท์" ธีรดนย์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ "เพราะคุณไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ผมใช่ไหม กลัวห้ามใจไม่ได้ละสิ"
"หลงตัวเอง" วิธวินท์ทำหน้าบึ้ง
"ผมเชื่อในตัวเองมากกว่า รู้ว่าตัวเองคิดยังไง และไม่ดันทุรัง ไม่ฝืนใจตัวเอง พอมั่นใจแล้วว่าตัวเองคิดยังไงผมก็ทำอย่างที่คิด" เสียงธีรดนย์จริงจัง สองตามองวิธวินท์นิ่ง "รู้ไหมตอนนี้ผมคิดอะไรอยู่"
วิธวินท์หันไปมองอีกฝ่าย เลิกคิ้วขึ้นช้าๆ ดังจะถามว่าธีรดนย์คิดอะไร
"ผมก็คิดอยากจะกอดและจูบคุณสิ ถามได้" ธีรดนย์หัวเราะเบาๆ แล้วเดินตามวิธวินท์ที่เดินหนีทันทีที่ได้ยินเขาพูดจบ
...หน้าแดงได้อีกนะ ปกติแก้มแดงอยู่แล้ว ตอนนี้ใบหูก็แดงด้วย...
"วิธวินท์ จะหนีไปไหนอีก ผมหิวข้าวแล้ว ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ รถจอดไว้ตรงนี้ล่ะ ผมจะจ้างให้คนช่วยเฝ้าให้" ธีรดนย์เดินมาทันชายหนุ่มที่ยืนหน้าง้ำอยู่หน้าร้านขายเครื่องดื่ม แล้วทำเสียงอ่อนโยน "นะ วิธวินท์ ขอร้องเถอะ ผมอุตส่าห์ตามมาไกลถึงนี่แล้ว คุณก็ใช่ว่าจะเกลียดผม ไปทานข้าวให้สบายใจก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที ถ้าทางเซอร์วิสเซ็นเตอร์หาช่างไม่ได้จริงๆ ผมจะไปเหมารถบรรทุกหกล้อแถวนี้เอารถคุณเข้ากรุงเทพฯ คืนนี้เลย คุณติดรถไปกับเขาก็ได้ ไม่เกินหกทุ่มก็ถึง แต่ว่าตอนนี้ ทานข้าวกันก่อนนะ ลืมมันไปซักสี่สิบห้านาที ทานข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย"
"ตรงนี้มีอยู่ร้านเดียว ท่าทางไม่อร่อยด้วย" วิธวินท์พูดขึ้นมาสั้นๆ
"ตรงเชิงเขาเห็นมีอยู่ร้านนึง บรรยากาศดี ท่าทางน่าอร่อย ไปเถอะ เดี๋ยวคนจะเต็มร้านซะก่อน" ธีรดนย์ชวน
"กลางป่ากลางเขาขนาดนี้คงเต็มร้านได้หรอก" วิธวินท์ส่ายหน้าแล้วเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์ของธีรดนย์แล้วขึ้นคล่อมรอเจ้าของรถ
"ผมขับ"
"ผมขับ คุณชอบเบรกยึกยัก ผมไม่ชอบ" วิธวินท์เถียง
"นี่รถผม" ธีรดนย์ไม่ยอม
"จะกินข้าวหรือไม่กินครับ"
ธีรดนย์ยืนนิ่งเพื่อตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ก็นึกอะไรออก จึงรีบยื่นกุญแจรถให้วิธวินท์โดยเร็ว แล้วกระโดดขึ้นนั่งซ้อนท้าย ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูชายหนุ่ม
"ขับนิ่มๆ นะวิธวินท์ ผมไม่เคยซ้อนท้ายใครลงเขาชันๆ ซักที ผมกลัว"
วิธวินท์ไม่ตอบ สตาร์ทรถแล้วออกตัวช้าๆ ก่อนจะเร่งเครื่องเมื่อรถเข้าทางตรง อมยิ้มกับชัยชนะที่ได้รับในครั้งนี้ เขารู้ว่าธีรดนย์ต้องการให้เขามาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของตัวเอง แต่คราวนี้เขาจะเป็นคนขับ และจะพาธีรดนย์ฉวัดเฉวียนบนภูเขาให้เวียนหัวไปเลยทีเดียว
แต่คนซ้อนท้ายคิดอีกอย่าง
...ได้ซ้อนท้ายก็ดีเหมือนกัน วิธวินท์ไม่รู้อะไร เขาจะกอดเอวให้แน่น แล้วเบียดตัวให้ชิดแผ่นหลัง สองขาจะกดแนบเข้ากับด้านหลังของวิธวินท์...
...ขออย่างเดียว อย่าเพิ่งให้ส่วนนั้นของร่างกายเกิดดื้อขึ้นมาล่ะ ไม่อยากโดนผลักให้ตกรถ...
...อีกไม่นานหรอกวิธวินท์เอ๋ย ธีรดนย์จะต้องได้มากกว่านี้ ไหนๆ ก็หาว่าผมเจ้าเล่ห์แล้ว จะขอร้ายให้ถึงที่สุด เรื่องจ้างคนทำให้ BMW เสียนี่จิ๊บจ๊อย แค่นี้ธีรดนย์ไม่รู้สึกผิดหรอก...
...จะรอดเงื้อมมือธีรดนย์ได้ก็ให้มันรู้ไป...

 :L1: The END  :L1:


alterlyx

  • บุคคลทั่วไป
จ๊ากกก มี ก๊อกสอง ... ค่อยยังชั่ว ... :impress2:
แหม มีมาหยอดให้ลุ้นเป็นระลอก ... พ่อลิงปากแดงเริ่มหวั่นไหวแล้วใช่มั้ยเนี่ย 
ชื่นใจกับบทส่งท้ายจริงๆเลยค่ะ

เรื่องต่อไปจะมี คุณเต้ย กะคุณสารวัตรมั้ยน๊า .... อิอิ


 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Chatcha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 717
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
 :110011: :z7: รอตอนหน้า จบอะไรกัน....ไม่ย๊อมมมมม

MawinK

  • บุคคลทั่วไป
 :L2:   เยี่ยมไปเลยครับ....รอผ่านภาค 2 ท่าทางจะสนุก....

 :mc4:

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
โปรแกรมหน้าที่อาจจะมาต่อเมื่อทำวิดยานิพนเสร็จครับ
ที่ขีดๆ เขียนๆ ไว้มีสามเรื่องครับ

เกมหัวใจ – เพื่อนรัก หักเหลี่ยมรัก

ภีรวัส – หนุ่มลูกครึ่ง รูปหล่อ ฉลาด ซ่อนความร้ายกาจไว้ภายใต้ใบหน้ายิ้มๆ งานประจำคือเป็นนักวิจัยอิสระ งานอดิเรกคือหลอกให้หนุ่มหลงรักแล้วหักอก
อิศรา – ช่างภาพหนุ่มที่รูปหล่อยิ่งกว่านายแบบแฟชั่น ซ่อนความร้ายกาจไว้ภายใต้บุคลิกร่าเริงสนุกสนาน งานประจำทำเมื่ออยากอยากทำ แต่งานอดิเรกคือหลอกให้หนุ่มหลงรักแล้วหักอกแข่งกับภีรวัสเพื่อนสนิท
เกมการแข่งขันครั้งสำคัญเริ่มต้นขึ้นอย่างไม่คาดฝันเมื่อทั้งสองตกรถเที่ยวสุดท้ายแล้วมีนายทหารหนุ่มรูปหล่อชื่อพันโทวรุฒน์ขับรถผ่านมา
ภีรวัสกับอิศราเป็นเพื่อนสนิทกัน และชอบเล่นเกมหลอกให้รักแล้วหักอกแข่งกันมาตลอด
กฎของเกมนี้มีอยู่ว่า แต่ละคนจะมีเวลากับเป้าหมายคนละหนึ่งอาทิตย์สลับกันไป ช่วงเวลาที่คนหนึ่งกำลัง 'กระทำภารกิจพิชิตใจหนุ่ม' อยู่นั้น อีกคนหนึ่งจะเข้ามาวุ่นวายก่อกวนไม่ได้เด็ดขาด ห้าม 'นอน' กับเป้าหมายภายในเดือนแรก และต้องเลิกภายในสามเดือน และที่สำคัญ "ห้ามตกหลุมรัก" คำขวัญ - ใช้รูปร่างหน้าตาเป็นอาวุธ ใครสะดุดต้องสะกดให้หลงรัก และเมื่ออีกฝ่ายบอกรักแล้ว...ต้องทิ้ง และห้ามหวนกลับไปคบกันอีก...  แต่เมื่อเป้าหมายใหม่ของเพื่อนรักทั้งสองเป็นนายพันหนุ่มรูปหล่อคมเข้ม ห้าว เท่ มากกว่าเป้าหมายคนเก่าๆ กฏที่มีไว้จึงถูกแหกกระจุยกระจาย การแข่งขันสนุกๆ จึงกลายมาเป็นการสู้รบแบบกองโจรแบบเอาเป็นเอาตาย เรื่องวุ่นๆ จึงตามมาอีกนับไม่ถ้วน ที่แย่กว่านั้น พันโทวรุตม์ ที่ซ่อนความร้ายกาจภายใต้ใบหน้ายิ้มๆ เป็นสุภาพบุรุษ รู้ทันสองหนุ่มที่อาจหาญมากระตุกหนวดเสือ เกมตลบหลังจึงเริ่มขึ้น


andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป
คุณดนย์ก็คงต้องตามจับก้นลิงไปเรื่อยๆ     อิอิ

ออฟไลน์ bellebee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-3
ก็ยังแอบ...  ไม่เคลียร์  แต่ก็ ดู มีหวังกว่าเก่า นะคะ

สนับสนุนให้มีก๊อกสองค่ะ  ฮ่าๆ ตอนพิเศษก็ยังนี่เน้อ

จบแล้วแต่ยังค้างคาใจเยอะเลยค่ะื :serius2:

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
อ้าว ยังค้างกันอยู่อีกเหรอครับ  :sad11:
ตกลงจะให้ธีรดนย์เสียบวิธวินท์ให้ได้หรือไงนี่  :เฮ้อ:

เอา บทพิเศษ โปรเจ็คหน้า ไปอ่านแก้เซ็งกันก่อนนะครับ อยากจะทิ้งไว้ให้อ่านเล่น จะได้คิดถึงผู้เขียน ก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีกช่วง ตอนนี้ชีวิตชีพจรลงเท้าครับ อยู่ไม่ค่อยเป็นที่ ก็คนมันตกงานนี่นา ต้องกระเสือกกระสนหาที่ไป
คิดถึงกันบ้างนะครับ ผมคิดถึงคนอ่านทุกคนเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กดให้คะแนนผม  :z1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :L2:  :L2:

The Power of Love : ความรัก...ช่างทำให้คนเป็นแบบนี้ไปได้น๊อ 1

อธิคมยกข้อมือขึ้นดูเวลาบนหน้าปัทม์นาฬิกาแล้วหันไปมองเพื่อนคู่หูที่ยืนดื่มเบียร์อยู่ใกล้ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะหันไปมองด้านหน้าร้านอาหารเพราะชายหนุ่มคนที่ตามเขามาตลอดครึ่งบ่ายนี้กำลังยืนมองเขาอยู่สนใจ
"คม ข้าว่าเข้ากรุงเทพฯ ไม่ทันแน่ๆ เลยว่ะ แบบนี้เอ็งตกเครื่องบินแน่ๆ" ธงรบเดินเข้ามาใกล้ เอียงหน้าเข้ามาพูดแล้วดื่มเบียร์เข้าไปอึกใหญ่ "เอ็งแน่ใจนะว่าสายของเอ็งนัดให้มารอตรงนี้"
"วะ เอ็งคิดว่าข้าฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องหรือไงไอ้ธงหัก" อธิคมหันไปตะคอกเพื่อน
"พูดด้วยดีๆ" ธงรบเบ้ปาก ทำตาขวาง "เขาแล่งใต้ หูเอ็งอาจไม่ชิน"
"หุบปากเลยธงรบ กำลังอารมณ์ไม่ดี"
"ไอ้ขี้กลัว" ธงรบพึมพำแล้วขยับออกห่างรัศมีมือและเท้าของเพื่อนเอื้อมถึง
"เอ็งหมายความว่าไง" อธิคมหันไปเอาเรื่อง
"เปล๊า" ธงรบยักไหล่ "ก็แค่สายอาจจะเบี้ยว แต่เอ็งก็ทำเป็นหงุดหงิดเกินเหตุ ข้าก็เลยคิดว่าเอ็งไม่ได้ฉุนเรื่องนี้ แต่กลัวว่าจะขึ้นเครื่องไม่ทัน คุณนุกลับถึงบ้านก็ไม่เจอเอ็ง เพราะเอ็งกลับบ้านไม่ได้ แล้วคุณนุก็จะรู้ว่าเอ็งมาที่นครฯ เรื่องคดีที่เขาบ่นว่ากลัวเอ็งถูกยิงอีก ทั้งที่เอ็งบอก เอ๊ย ไม่ใช่สิ ทั้งที่เอ็งโกหกว่าไม่ได้ทำคดีนี้แล้ว"
"ฉลาดวิเคราะห์นักนะ เอาอะไรคิดเนี่ยะ ข้าคิดว่าแกไม่มีสมองซะอีก" อธิคมเหยียดปากว่าเพื่อน
"ข้าใช้สมองก็เป็นนะโว๊ย ไม่ใช่ใช้ไอ้นั่นเป็นอย่างเดียว" ธงรบหัวเราะเสียงดัง แล้วยกเบียร์ขึ้นดื่มพรวดสุดท้ายจนหมดกระป๋อง ก่อนจะหันมาพูดกับอธิคมว่า "เฮ้ย คม ระหว่างรอ ข้าว่าเอ็งไปล่อไอ้หนุ่มคนที่จ้องเอ็งตั้งแต่อยู่ในร้านอาหารไปพลางๆ ก่อนเถอะว่ะ เห็นอ่อยมาตั้งนาน ข้าว่าเขาตามให้ท่าเอ็งแหงๆ บ่ายนี้เจอกันตั้งสองครั้งแล้วนะเพื่อน"
"ไอ้ลามก ไอ้เลว" อธิคมหันไปทำท่าจะเตะเพื่อนที่ทำหน้าทะเล้น
"โถ พ่อคนดี" ธงรบหัวเราะไม่ยอมหยุด "แหมทำเป็นลืมอดีต แต่ก่อนแกเป็นคนพูดประโยคนี้นี่หว่า ข้าจำได้ ชวนยิกๆ อยู่ประจำ ทำเป็นลืม แกจำตอนที่ไปสอบปากคำคดีฆ่าหั่นศพวิศวกรที่โรงพยาบาลบางปะกงได้ไหมว่ะ ที่เรารอแล้วรอเล่า พยานก็ไม่โผล่ซะที แกก็เลยชวนข้าพาหมอไปฟันที่บ้านพักแพทย์ ข้ายังจำได้ไม่ลืมเลยนะเพื่อน หมออะไรวะ ห้าวเข้มสุดๆ แต่พอถอดเสื้อผ้าออกเท่านั้นล่ะ เอ็งเอ๊ย ข้าไม่อยากจะเซด ว่าแต่ว่า ข้ายังสงสัยอยู่ว่ะ ว่าหมอคนนั้นเขาปิ๊งเอ็งหรือปิ๊งข้าก่อน"
อธิคมส่ายหน้า เลิกสนใจฟังธงรบที่เอาแต่พูดเจื้อยแจ้ว ตอนนี้เขาห่วงเรื่องสำคัญอยู่สองเรื่อง นั่นก็คือสายของเขาที่นัดให้มาพบ และการจับเครื่องบินเที่ยวสุดท้ายกลับกรุงเทพฯ ให้ได้เพราะต้องไปรับอนุภาพที่กลับจากต่างประเทศให้ทัน
เขายอมรับว่าสิ่งที่ธงรบพูดนั้นเป็นความจริง เขากังวลเรื่องคดีนี้พอๆ กับที่กลัวว่าอนุภาพจะรู้ว่าเขาดันทุรังทำคดีต่อ อาทิตย์ที่แล้วเขาถูกลอบยิงที่ปราณบุรีขณะที่ขับรถพาอนุภาพไปทำธุระ แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงการยิงขู่ แต่เขาก็วางใจไม่ได้
"เอ็งไม่เอา ข้าเอาเอง" ธงรบพูดขึ้นมาเบาๆ แล้วเดินผิวปากผ่านหน้าอธิคมย้อนกลับไปที่ร้านอาหาร
"ข้าจะฟ้องอาทิตย์"
"เชิญ" ธงรบยักไหล่ "ถ้าแกตามตัวอาทิตย์เจอ แล้วพ่อตะวันน้อยยอมคุยกับแก หรือไอ้วุธ ยอมปล่อยให้อาตี๋มาให้เจอแก อาทิตย์ไม่สนใจจะฟังเรื่องของข้าหรอกคม"
ธงรบเบ้ปาก ทำท่าไม่สนใจคำพูดของอธิคม ก่อนจะเดินตรงไปหน้าร้านอาหารช้าๆ แล้วยกมือขึ้นโบกให้อธิคมโดยไม่หันหลังกลับมามองเมื่อเพื่อนรักพูดตามหลังว่า "หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ เลยธงรบ เดี๋ยวก็ได้ซวยอีกหรอก"

เวลาผ่านไปพอสมควร สายของจึงโทรศัพท์มาด้วยเสียงตื่นเต้นว่าตัวเองโดนสะกดรอยเลยไม่กล้ามาพบตามนัด
"สารวัตรรอผมค่ำๆ ได้หรือเปล่า ตอนนี้ผมต้องกลับเข้าร้านก่อน ผมออกมานานแล้ว เดี๋ยวนายจะสงสัย" สายของอธิคมถาม
"ไม่ได้หรอก ผมต้องกลับกรุงเทพฯ คืนนี้ติดต่อกันอีกที อย่าลืมจับตามองเฮียเฮงดีๆ ก็แล้วกัน"
อธิคมสอดโทรศัพท์เข้าในกระเป๋ากางเกงแล้วเหลียวมองหาธงรบ พร้อมกับถอนหายใจด้วยความฉุนเฉียวที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ บางทีพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้เขาอาจจะต้องลงใต้อีก และอีกอย่าง ตอนนี้ธงรบก็หายตัวไปพร้อมกับหนุ่มหน้าอ่อนคนนั้นเสียแล้ว
ชายหนุ่มคนนั้นท่าทางยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่ด้วยซ้ำ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวจัด ตาเรียวเล็ก คิ้วเข้ม จมูกโด่ง แบบที่ธงรบชอบ
ธงรบไม่รับโทรศัพท์ อธิคมสบถด้วยความหงุดหงิด ยกข้อมือขึ้นดูเวลาอีกครั้ง เข็มนาฬิกาดูขยับเดินเร็วกว่าปกติ เขามีเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนเที่ยวบินสุดท้าย แต่โชคก็เข้าข้าง อธิคมเหลือบตามองไปเห็นรถโตโย้ต้าพราโด้สีดำสนิทจอดอยู่ด้านในสุดของลาดจอดรถอันร่มรื่นของสวนอาหารริมแม่น้ำที่เป็นสถานที่นัดพบกับสายของเขา เพียงเห็นท่อนขาของคนที่กำลังขึ้นนั่งบนเบาะหลังรถ อธิคมก็จำได้ว่าเป็นธงรบเพื่อนรักที่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นเพื่อนตัวปัญหา
ทันที่ทีเดินถึงรถโฟร์วีลด์คันหรู อธิคมก็แนบหน้าเข้ากับกระจกด้วยความมั่นใจว่าจะเห็นธงรบกับชายหนุ่มหน้าตี๋คนนั้น จริงดังคาด ธงรบกำลังดึงชายเสื้อออกจากกางเกง ชายหนุ่มคนนั้นเอนเบาะลงจนราบเรียบ แล้วเอื้อมมือมาแตะเข็มขัดของธงรบ ก่อนที่ทั้งสองจะสะดุ้งเมื่ออธิคมตบกระจกรถแรงๆ
"อะไรวะ" ธงรบตะโกนลั่นอยู่ในรถ
"ไอ้เสากระโดง ไอ้ลามก กลางวันแสกในลานจอดรถร้านอาหารเอ็งก็ยังไม่เว้น ออกมาเดี๋ยวนี้ เราต้องรีบไปสนามบิน" อธิคมตะคอก ทำท่าจะเอื้อมมือเข้าไปดึงคอเสื้อธงรบที่ค่อยๆ ลดกระจกลงมาพอให้ได้ยินเสียงเพื่อน
"มารคอหอย ก็นึกว่าเอ็งตกเครื่องแล้วแน่ๆ นี่หว่า นี่จะทันหรือคม" ธงรบโวยวายเสียงไม่ค่อยดังเท่าไหร่นัก
"หวัดดีครับ" ตี๋หนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ทักคนที่มาขัดจังหวะ ไม่มีท่าทีว่าจะอายที่โดนจับได้ว่ากำลังจะปฏิบัติกามกิจกันกลางวันแสกๆ มือขาวสะอาดลูบไล้ต้นขาธงรบเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มให้อธิคมอย่างเปิดเผย
"เร็วเข้า มีเวลาแค่ชั่วโมงยี่สิบนาที" อธิคมเร่ง
"แล้วเอ็งหารถได้หรือยัง" ธงรบเปิดประตูออกมาอย่างระมัดระวังเพราะไม่แน่ใจว่าจะโดนเพื่อนที่กำลังยืนทำหน้าดุอยู่ๆ ชกเข้าให้หรือไม่
"ยัง ข้าถึงได้เร่งเอ็งนี่ไงว่ะ"
"เขาต้องเช็คอินอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนเครื่องออก แล้วนี่ยี่สิบนาทีจะถึงสนามบินได้ยังไง" ธงรบบ่นพลางลงจากรถ แต่ทันใดนัยน์ตาก็ลุกวาบเพราะนึกอะไรได้บางอย่าง จึงหันหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ
"น้องอาตี้ครับ ช่วยไปส่งพี่ที่สนามบินหน่อยได้ไหมครับ จะได้ไม่เสียเวลาเรา"
...ไม่เสียเวลาเรา หมายความว่ายังไงวะธงรบ เรานี่คือเอ็งกับข้า หรือเอ็งกับพ่อหนุ่มคนนี้...
"คม ขึ้นรถ เอ็งขับ" ธงรบสั่ง หลังจากหนุ่มน้อยพยักหน้าพร้อมกับยิ้มบางๆ
"ต้องมีค่าจ้างนะครับ" อาตี้เรียกร้อง นัยน์ตาเป็นประกายวิบวับ
"พี่จะจ่ายเอง ไม่ต้องห่วง" ธงรบหัวเราะ แล้วหันไปเร่งอธิคม "เร็วสิวะไอ้คม ยืนเซ่ออยู่ได้ เดี๋ยวไม่ทันเครื่องบินโดนดุไม่รู้ด้วยนะ"
"ข้าต้องกลายเป็นคนขับรถให้เอ็งหรือวะ" อธิคมถอนหายใจ ส่ายหน้า แล้วเดินขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ ยื่นมือไปรับกุญแจจากหนุ่มน้อยเจ้าของรถที่ถือโอกาสลวนลามอธิคมเล็กน้อยด้วยการลูบท่อนแขนของนายตำรวจหนุ่ม
"น้องอาตี้ อย่าไปยุ่งกับคนขับรถเลยครับ ไม่มีปฏิกิริยาหรอก" ธงรบห้าม แล้วร้องโวยวายเพราะคนขับรถกระชากรถออกอย่างรวดเร็ว "เฮ่ย ขับดีๆ สิวะ เดี๋ยวรถน้องเขาพัง"
"พี่เขาตายด้านหรือครับ" อาตี้ถาม ท่าทางอยากรู้จริงๆ
"ก็ทำนองนั้นล่ะ" ธงรบพยักหน้า "เขาจำศีล ละกิเลสมาหลายปีแล้วครับอาตี้ แต่พี่ยังตัดไม่ขาด"
"ว๊า น่าเสียดาย" อาตี้ทำหน้าเสียดายอย่างสุดซึ้ง "แล้วนี่ทำไมต้องรีบกลับกันจังครับ อาตี้คิดว่าจะชวนไปเที่ยวรีสอร์ทอาตี้อยู่พอดี"
"เอาไว้คราวหน้านะจ๊ะ ตอนนี้คนขับรถต้องกลับไปรับพ่อ เอ๊ย รับแม่ที่สนามบิน เดี๋ยวไม่ทัน โดนกักบริเวณ หรือไม่ก็โดนห้ามเข้าบ้าน หรือบางทีอาจถูกห้ามกินข้าว" ธงรบให้เหตุผล
"หุบปากเดี๋ยวนี้นะไอ้เสาธง" คนขับรถทำเสียงเข้ม
"โห ทำไมแม่ดุจังเลยครับ ห้ามกินข้าวเลยหรือ" อาตี้อุทาน ทำหน้าตกใจ แต่มือไม่อยู่สุข สำรวจร่างกายนายตำรวจหนุ่มช่างพูดผู้ที่ไม่เคยคิดจะหวงตัวแม้แต่น้อย
"อือ เบาๆ" ธงรบพึมพำ
"แล้วตกลงสารวัตรชื่อธงรบ หรือเสาธงล่ะครับ" อาตี้ทำหน้าสงสัย
"เสากระโดง" ธงรบตอบเบาๆ แล้วหัวเราะ "หลักฐานก็มีอยู่เห็นๆ"
"สารวัตรธงรบชักธงสู้ซะแล้ว" อาตี้กระซิบแล้วหัวเราะชอบใจ "จะเสาธง เสากระโดง ผมก็ชอบทั้งนั้น แล้วเพื่อนสารวัตรล่ะครับ ชื่ออะไร ทำไมหน้าดุ๊ดุ"
"ชื่ออนุภาพครับ" ธงรบตอบเบาๆ
"อ้าว เมื่อกี้เห็นสารวัตรเรียกว่า คม"
"อ๋อชื่อเล่นน่ะครับ" ธงรบตอบ แล้วทำเป็นไม่สนใจที่เห็นอธิคมชำเลืองมองผ่านกระจกมองหลังด้วยสายตาขวางๆ
"ชื่อเหมือนเฮียผมเลย" อาตี้พูดแล้วขย้ำบีบสิ่งที่อยู่ในมือด้วยความมันเขี้ยว ทำให้เจ้าของเสากระโดงสะดุ้งโหยง
"ค่อยๆ สิจ๊ะ เดี๋ยวเสาหัก" ธงรบปรามคนที่กำลังทำตาปรือ เผยอปาก แสดงท่าทีว่าอยากจะทักทายเสาธงคู่กายของเขาด้วยริมฝีปากอย่างเต็มที
"เฮียผมชื่อคมกฤษณ์ หน้าตาดุๆ เหมือนกันนี่ล่ะ แต่หล่อสู้เพื่อนพี่สารวัตรไม่ได้"
"อะไรนะ" อธิคมอุทาน
"เบาๆ จ๊ะ อย่ามันเขี้ยวมากนักสิ"
"ล้นมือจริงๆ" หนุ่มน้อยชม
"รับรองคุณภาพ" ธงรบอวด
"นะๆ" อาตี้พยักหน้าขอธงรบในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
"เอ่อ" ธงรบอ้ำอึ้ง กำลังตัดสินใจว่าจะยอมให้ทุกอย่างเลยเถิดไปมากกว่านี้ดีหรือไม่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนั้นเขาจะไม่ยั้งเลย ซึ่งความจริงสถานการณ์แบบนี้เขากับอธิคมเคยผ่านมาหมดแล้วในสมัยที่พากัน "ท่องหาความสำราญ" เขากับอธิคมเคยผลัดกันเป็น 'คนขับ' ด้วยซ้ำ และ 'ปฏิบัติการบนเบาะหลัง' ก็โลดโผนยิ่งกว่าการนั่งล้วงกันกันแบบนี้
...แต่เมื่ออธิคมขับรถชนท้ายรถอนุภาพ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด...
...และเมื่ออธิคมขอร้องแกมบังคับให้เขา 'กำจัด' คู่แข่งที่เป็นหนุ่มน้อยหน้าตี๋คนนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด...
...ไม่สิ ยังไม่เปลี่ยน ตอนนี้เขาก็กำลังหาความสนุกเหมือนที่เคยทำในอดีตสองสามปีที่แล้ว อาทิตย์ไม่ได้มีอิทธิพลต่อเขามากขนาดที่จะให้เขาเปลี่ยนจากเสือเป็นแมวเหมือนอธิคม...
...จริงหรือธงรบ...
...อาทิตย์ไม่ได้สนใจเขาอีกแล้ว ไม่แคร์เขาอีกแล้ว เขาไม่มีโอกาสได้อาทิตย์กลับคืนมาอีกแล้ว บ่ายวันอาทิตย์แบบนี้ พ่อตะวันรอนของเขาก็คงนั่งอยู่ในอ้อมกอดของอาวุธ นั่งคอยดูตะวันตกดินกันอยู่ที่ระเบียงข้างบ้านหลังใหญ่ของอาวุธ ไอ้เพื่อนตัวร้าย ไอ้เพื่อนตัวแสบ ไอ้มารหัวใจ ไอ้...
"เฮ่ย" ธงรบสะดุ้ง เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรเปียกๆ เย็นๆ แตะที่ปลายเสาธงของตัวเองซึ่งตอนนี้โดดงัดออกมาจากกางเกงตั้งเด่นท้าทายหนุ่มน้อยรักสนุกคนนี้
"อืม" อาตี้ทำเสียงอืออาในลำคอแล้วก้มหน้าลง เผยอปากครอบเอาของรักของหวงของธงรบเข้าไปทันที
"อย่านะอาตี้" ธงรบเอามือช้อนคางของชายหนุ่มแล้วดันขึ้น แต่อีกฝ่ายส่ายหน้าขัดขืน ปากเม้มเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
"ไม่เอาน่า พอก่อนๆ" ธงรบพยายามขยับตัวหนี
"ทำไมล่ะ" อาตี้ช้อนตาขึ้นมองอย่างขัดใจ มือยังเกาะกุมเสาธงของธงรบเอาไว้แน่น แล้วบีบเบาๆ เป็นจังหวะ "ไม่เห็นแข็งเหมือนตอนแรกเลย"
...ถือโอกาสตอนที่เรานั่งนิ่งเผลอนึกถึงอาทิตย์ งัดออกมาจนได้ แล้วนี่มันไม่ปึ๋งปั๋งทั้งๆ ที่น้องเขามือชั้นเซียนขนาดนี้ก็คงเพราะ...
...อย่าบอกนะว่าเพราะอาทิตย์...
...บ้าจริงๆ เลย...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-08-2009 15:04:30 โดย katawoot »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






katawoot

  • บุคคลทั่วไป
"ไอ้ธง" อธิคมกระชากเสียง เมื่อได้ยินเสียงกุกกักบนเบาะหลังแล้วชำเลืองมามองและเห็นว่าอะไรเป็นอะไร
"ข้าห้ามแล้วโว้ย" ธงรบเสียงอ่อน มือปัดป้อง พยามยามจับเสาธงของตัวเองดันเข้าไปในกางเกง "น้องจ๋า อย่าเพิ่งนะจ๊ะ เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุเลอะเทอะ มันจะไม่งาม"
"ทำไมอ่ะ" อาตี้ทำเสียงขัดใจ "เมื่อกี้ก็เห็นจะสู้ พอผมจะเอาจริง พี่สารวัตรก็ถอย"
"คือว่า"
"คุณอาตี้ครับ เลี้ยวซ้ายหรือขวาครับ" อธิคมถามเสียงดัง เบรกรถเมื่อถึงทางแยกจนเกือบหัวคะมำ ครั้นชายหนุ่มบอกว่าเลี้ยวขวา อธิคมจึงถามต่อว่า "พี่ชายคุณทำธุรกิจอะไรครับ"
"หลายอย่างครับ ให้เช่าห้องเย็น ให้เช่าตู้คอนเทนเนอร์ ขนส่ง ขายเหล้า ขายปืน ขายหวยด้วย" อาตี้พูดไปหัวเราะไป แล้วหันไปทำตาเยิ้มใส่ธงรบที่รูดซิปกางเกงเรียบร้อย แต่ก็โดนชายหนุ่มหน้าใสปัดมือออกแล้วล้วงมือของตัวเองเข้าไปใต้เข็ดขัด
"เอ๊า เอาซะให้พอ ตามใจ อยากจะทำยังไงก็ทำ" ธงรบทำเสียงย้อมแพ้
"ผมกำลังสนใจเช่าตู้คอนเทนเนอร์ขนของจากใต้ขึ้นกรุงเทพฯ พอดี" อธิคมเปรย
"ขนอะไรวะคม" ธงรบขยับตัวขึ้นเพื่อจะนั่งตัวตรง แต่ก็ต้องเอนตัวเหมือนเดิมเมื่อคนที่กำลัง 'สำรวจ' ความยาวของเสาธงใช้มือดึงหัวเข็มดึงลงพร้อมดันอกให้แอ่นตัวอยู่ในท่าเดิม
"พี่ธงอย่าขยับสิ"
"คร้าบ ครับ จะทำอะไรก็ทำ ตามใจ ไม่ขัดแล้ว"
"ขนพระอาทิตย์ซักดวงมั๊ง" อธิคมพูดกระทบกระเทียบ
"เข้าใจเล่นมุขนะเอ็ง" ธงรบเบ้ปาก ส่วนอาตี้หัวเราะขำแล้วพูดว่าคนขรึมๆ หน้าเคร่งๆ ดุๆ อย่างอธิคมก็พูดอะไรตลกเป็น
"มันขรึมที่ไหน ไม่เห็นตอนมันซ่าเฉยๆ หรอก น้องอาตี้ไม่รู้อะไร" ธงรบบ่นอุบอิบ
"พี่คมเอาเบอร์มาสิครับ พอคุยกับเฮียแล้วผมจะโทรไปบอก ตอนนี้เฮียไม่อยู่ ไปธุระ รู้สึกว่าจะไปเช็ดของที่โกดังบนเกาะขาม ไปเกาะนี้ทีไรติดต่อไม่ได้ทุกที เกาะขามนี่คงไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ผมยังเคยคิดนะว่าจะไปจับเข่าคุยกับ ส.ส. สุชาติ ให้ใช้เส้นวิ่งเต้นเอาเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มาตั้งให้รู้แล้วรู้รอด"
"น้องอาตี้นี่รู้จักคนเยอะนะครับ" ธงรบยักคิ้วให้อาตี้แล้วหันไปยักคิ้วให้อธิคมที่หันมาสบตาแวบหนึ่ง
"ประชาสัมพันธ์จังหวัดยังรู้จักคนสู้ผมไม่ได้" อาตี้ทำหน้าภูมิใจ "ใครทำอะไรกับใครอย่างไรที่ไหนเมื่อไหร่ อาตี้รู้ได้หมด"
"ไม่แน่ว่ามะรืนนี้ผมอาจลงใต้อีก" อธิคมพูดเสียงเบา
"จริงหรือครับ มาคนเดียวหรือว่า..." อาตี้อุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
"มากับพี่ครับ เราสองคนเป็นเพื่อนกัน ไม่เคยทิ้งกัน เพื่อนพี่ไม่กล้ามาคนเดียวหรอก เขากลัว" ธงรบพูดยิ้มๆ
"ตัวใหญ่ ห้าวเข้ม แมนขนาดนี้จะกลัวอะไร"
"กลัวใจตัวเอง"
"แล้วพี่ธงไม่กลัวหรือครับ" อาตี้ทำตาหวาน "หรือพี่กลัวแต่กาย ใจไม่มีจะให้กลัว"
"ธงรบเป็นผู้ช่วยผมครับ ที่ว่าจะมาด้วยกันเพราะต้องช่วยผมทำงาน" อธิคมแทรกขึ้นมาด้วยเสียงคาดคั้น เป็นที่เข้าใจดีกันระหว่างเขากับธงรบเท่านั้นว่าอะไรเป็นอะไร
"เฮ่ย เอางั้นเลยหรือคม"
"ก็งั้นสิ ถ้าเอ็งไม่ช่วยข้า แล้ว...ที่ไหนจะช่วยวะ" อธิคมตอบ
"เปลืองเนื้อเปลืองตัวอีกแล้วซิเรา" ธงรบถอนหายใจ
"พูดอะไรกันอาตี้ไม่เห็นรู้เรื่องเลย" ชายหนุ่มหน้าขาวทำหน้าสงสัย แต่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าตื่นเต้นทันทีที่นึกได้ว่าสองหนุ่มรูปหล่อจะกลับมาอีกในไม่ช้า "ครั้งต่อไปพักด้วยนะครับ อย่างมาแบบรีบๆ เหมือนวันนี้นะ อาตี้จะต้อนรับทั้งสองคนให้อิ่มไปเลย"
"ต้อนรับอะไรให้อิ่ม พี่กินไม่ค่อยเยอะหรอกนะครับ พี่กำลังไดเอ็ต" ธงรบออกตัวทั้งที่เข้าใจว่าชายหนุ่มหมายความว่าอย่างไร แล้วบุ้ยปากไปยังอธิคมแล้วพูดว่า "คนที่กินเยอะนั่นน่ะ คนนั้น กินได้กินดีไม่เคยอิ่ม แม่ครัวเขาบ่นอยู่ทุกวัน"
อาตี้หัวเราะร่าแล้วพูดว่าธงรบพูดอะไรตลกอีกแล้ว หลังจากนั้นก็เจื้อยแจ้งวางแผนต่างๆ ว่าจะต้อนรับชายหนุ่มทั้งสองอย่างไรบ้าง จนอธิคมจอดรถหน้าอาคารผู้โดยสารสนามบิน ตี๋หนุ่มอารมณ์ดีก็ยังไม่หยุดพูด
"อย่าลืมนะครับพี่สารวัตร บอกว่าจะมาก็ต้องมานะครับ อาตี้จะคอย"
"ครับๆ" ธงรบพยักหน้า หันไปคว้านิตยสารมาถือไว้ในมือ "ซื้ออุปกรณ์ต้อนรับไว้เยอะๆ ก็แล้วกัน แล้วหนังสือนี่พี่ขอนะครับ"
"เร็วๆ เข้าธงรบ" อธิคมหันมาเร่ง แล้วกล่าวขอบคุณเจ้าของรถ ก่อนจะเดินลิ่วเข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาออก โดยมีธงรบวิ่งเหยาะๆ ตามมา มือถือนิตยสารแนบเป้ากางเกง
"เป็นอะไรวะธงรบ" อธิคมหันมาขมวดคิ้ว ก่อนจะปรายตาลงมองแล้วส่ายหน้าเพราะเข้าใจสถานกรณ์ของธงรบทันที "เอาตั๋วเครื่องบินมา"
"ล้วงไม่ถนัด" ธงรบยักคิ้ว
"ไอ้หอกธง เร็วๆ เข้า อย่ากวนตีน เดี๋ยวได้โดนเตะกลางสนามบินหรอกเอ็ง" อธิคมยื่นมือไปดึงนิตยสารออกจากมือของธงรบ
"เฮ่ยคม อายเค๊า" ธงรบโวย
"แกรู้จักอายเป็นด้วยหรือ" อธิคมเหยียดปาก ยื่นนิตยสารกลับให้ธงรบที่รีบกระชากออกจากมือ
"ใครจะไปหน้าด้านเหมือนแก เดินลงจากเครื่องบินทั้งๆ ที่เป้าตุง แอร์สจ๊วตมองตามจนตาเหลือก ข้าจำได้นะโว๊ย ตอนไปภูเก็ตกับน้องโบ้ทครั้งนั้นน่ะ ครั้งที่แกโดนแฟนน้องเขาตามไปต่อยที่ล๊อบบี้โรงแรม เรื่องนี้ยังไม่ได้เล่าให้คุณนุฟังเลย"
"ก็ลองเล่าดูสิ ข้าจะส่งคลิปเสียงวันนี้ไปให้อาทิตย์ฟัง" อธิคมกระชากตั๋วเครื่องบินออกมามือของธงรบแล้วยื่นให้พนักงานสาวสวยที่เคาท์เตอร์ที่ทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นมือผู้โดยสารยื่นตั๋วให้
"ปิดเช็คอินแล้วค่ะ" พนักงานเสียงห้วน
"กรุณาด้วยเถอะครับ ผมมาทำคดีสำคัญ นี่ก็รีบมาอย่างที่สุดแล้วครับ ถ้าไม่กลับกรุงเทพฯ เย็นนี้ ผู้กำกับเอาผมตายแน่ๆ" อธิคมก้มหน้าลงอ้อนวอนพนักงานสาวที่เงยหน้าขึ้นมามอง แล้วเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่เห็นใบหน้าของนายตำรวจหนุ่ม
ธงรบยื่นหน้าหล่อๆ เข้าไปช่วยอีกแรง พร้อมฉีกยิ้มกว้าง "นะครับคุณคนสวย เห็นหน้าคุณก็รู้ว่าใจดี ถ้าไม่ได้ขึ้นเครื่อง ผมต้องแย่กว่าเพื่อนผมอีก เพราะผมแฟนผมต้องยำผมเละแน่ที่กลับบ้านไม่ตรงเวลา"
"แหม น่าจะให้ตกเครื่องทั้งสองคน" พนักงานสาวค้อน ทำตาประหลับประเหลือก แต่ทว่ากลับยิ้มมุมปากบางๆ พร้อมกับรับตั๋วไปจากมือของอธิคม
"มะรืนนี้ก็จะมาอีกครับผม ถ้าจะตกเครื่องขอตกเครื่องมะรืนนี้ดีกว่าครับ จะได้มีเวลาเตรียมตัว นะครับคุณปริศนา" ธงรบทำเสียงอ่อนเสียงหวาน "ว่าแต่ว่าควรตกเครื่องเที่ยวไหนดีละครับ"
"ถ้าวันอังคารก็เที่ยวห้าโมงเย็นค่ะ" ปริศนาพูดเสียงค่อย ก่อนจะหัวเราะคิกคัก แล้วรีบเช็คอินให้นายตำรวจทั้งสอง อธิคมยืนนิ่ง มองไปรอบๆ ปล่อยให้ธงรบคุยเจื้อยแจ้วกับพนักงานจนได้บัตรผ่านขึ้นเครื่อง
"ผู้หญิงก็ไม่เว้นนะเอ็ง" อธิคมหันไปว่าให้ธงรบที่ตอนนี้เดินแกว่งแขนอย่างสบายอารมณ์โดยไม่ต้องห่วงว่าจะต้อง 'ปกปิด' ความ 'น่าอาย' ของตัวเอง
"ลืมอดีตไปแล้วหรือเพื่อน" ธงรบยักคิ้ว อมยิ้ม แล้วหันหน้าไปมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินสวนกัน พร้อมกับค้อมศีรษะให้
"ยิ่งอยากจะลืม เอ็งก็จะยิ่งขุดมันขึ้นมา" อธิคมหันไปทำเสียงเย็นใส่เพื่อน "เอ็งนี้มันวอนหาเรื่องจริงๆ ไม่ใช่เพราะเอ็งสำส่อนไม่เลิกแบบนี้หรือไง อาทิตย์ถึงได้วิ่งไปซบอกเพื่อนแก"
"ไอ้วุธไม่ใช่เพื่อนข้าต่อไปอีกแล้ว" ธงรบกระแทกเสียง "ไอ้วุธมันเป็นมารหัวใจ ป่านนี้มันคงได้อาทิตย์ไปเรียบร้อยแล้ว"
"หลายครั้งด้วยมั๊ง ภายในไม่ถึงสามเดือน เร็วกว่าเอ็ง ที่ใช้เวลาปีกว่าๆ" อธิคมยักไหล่ "สงสารตี๋น้อยของเอ็ง คงเจ็บจนน้ำตาไหลพราก"
"ไอ้คม ไอ้ปากหมา" ธงรบชกหัวไหล่เพื่อน "ทับถมข้าเข้าไป ทีเอ็งข้าไม่เห็นจะ..."
"ไม่เห็นจะอะไรธงรบ" อธิคมหันขวับมาถลึงตาใส่ธงรบ "ตอนข้านอนเจ็บที่แพร่ ขยับตัวไม่ได้ หูข้าได้ยินหมดทุกอย่างเลยนะโว้ย ข้าอยากจะลุกขึ้นมาเตะเอ็งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง บุญนะที่ข้าเลิกล้มความคิดที่จะกระทืบเอ็งหลังจากหายดีแล้ว"
"ข้าไปว่าอะไรเอ็ง" ธงรบปากแข็ง แต่น้ำเสียงอ่อนลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทำหน้าเคร่งแล้วถามอธิคมว่า "แต่เอ็งว่าไอ้วุธมันจะรักษาสัญญาไหมวะ เอ็งเชื่อที่ไอ้วุธมันพูดหรือเปล่า เอ็งรู้จักมันดีกว่าข้า เอ็งบอกหน่อยสิ"
"ไม่รู้" อธิคมยักไหล่ ส่ายหน้า แล้วยื่นบัตรผ่านขึ้นเครื่องให้พนักงาน แล้วหันมาส่งสายตาเร่งธงรบที่ทำท่าจะชวนพนักงานของสายการบินคุย
...ธงรบไม่เคยเข็ด ไม่เคยเปลี่ยน หรือแม้จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ไม่หมด ถ้าเพียงแต่ธงรบมีความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนตัวเองในแบบที่มุ่งมั่นตื๊อเป็นแฟนอาทิตย์ อะไรๆ ก็คงลงเอยได้ดีกว่านี้ ส่วนอาวุธจะรักษาสัญญาหรือไม่นั้นหรือ คำตอบนี้ง่ายมาก เขารู้จักอาวุธดี รู้จักดีมาก เขาชื่นชมในความเป็นตัวตนของอาวุธพอๆ กับโกรธในสิ่งที่อาวุธทำ...
...พูดออกมาได้ว่าจะไม่ยุ่งกับคุณนุ ตราบใดที่คุณนุเป็นแฟนเขา...
...เพื่อนบ้าที่ไหนมายื่นเงื่อนไขแบบนี้...
...พูดออกมาได้ว่า เมื่อใดที่เห็นคุณนุร้องไห้ จะเข้ามาแย่งคุณนุไปจากเขาทันที...
...แล้วนี้เขาเชื่อที่อาวุธพูดหรือเปล่า...
...ถามอะไรบ้าๆ วะธงรบ...

"โอยเหนื่อย คราวหน้า อย่าไปกลับเร่งรีบแบบนี้เลยนะคม อย่างน้อยก็ค้างซักคืน ถ้าได้นอนบนเตียงนุ่มๆ มีคนนวดคลายเส้นให้ก็คงดีเนอะ" ธงรบถอนหายใจเมื่อนั่งลงบนเบาะติดทางเดินบนเครื่องบินที่กำลังจะออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ
"นวดให้เส้นเอ็นเอ็งตึงสิไม่ว่า" อธิคมเหน็บแนมแล้วพยักเพยิดให้ธงรบมองไปข้างหน้า "นั่นไง สจ๊วตคนนั้นไง คงอยากนวดให้ผู้โดยสารอย่างเอ็งเพิ่มหลังจากให้ดื่มกาแฟ"
"เขามองเอ็งหรือมองข้าวะ อยากรู้นัก" ธงรบเอ็นศีรษะลงบนพนักพิง มองไปยังสจ๊วตหนุ่มที่แอบปรายตามามองชายหนุ่มรูปหล่อทั้งสองที่นั่งอยู่ท่ามกลางผู้โดยสารวัยกลางคนและสตรี เที่ยวบินนี้ผู้โดยสารไม่มาก และผู้โดยสารหนุ่มมาดเท่หน้าตาคมเข้มสองคนนี้ยิ่งดูโดดเด่น
"เมื่อกี้ในรถไม่เสร็จ เอ็งลองทายดูซิ ว่าบนเครื่องบินข้าจะเสร็จหรือเปล่า" ธงรบหัวเราะเบาๆ ถามอธิคมโดยที่สายตายังมองอยู่ที่พนักงานหนุ่มหน้าหวานที่กำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อย
"พระอาทิตย์ดวงเดียวของโลกกำลังลับขอบฟ้าว่ะธง ดูโน่นสิ สวยจริงๆ" อธิคมขยับศอกกระแทกเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
"เข้าใจว่ากระทบนะเอ็ง เดี๋ยวนี้ปากคอร้ายลึกเหมือนไอ้วุธเข้าไปทุกที" ธงรบเบ้ปาก แต่ก็อดปรายตาไปมองนอกหน้าต่างเครื่องบินไม่ได้
"สวยจริงๆ ด้วย สวยจนน่ากระโดดออกจากเครื่องบินไปกอดพระอาทิตย์ให้หายคิดถึง" ธงรบแกล้งพูดให้เพื่อนได้สะใจที่ประชดเขาได้เจ็บแสบนัก
"เมื่อไหร่จะไปซักทีวะ" อธิคมบ่น หันมองไปรอบๆ เครื่องบินราวกับใกล้จะหมดความอดทนเต็มที
"เอ็งเป็นอะไรวะคม วันนี้หงุดหงิดชิบหาย คนที่หงุดหงิดควรจะเป็นข้าต่างหาก" ธงรบบ่น ขมวดคิ้วมองเพื่อน ก่อนจะทำหน้านึกอะไรออก "อ๋อ รู้แล้ว เอ็งกลัวกลับไปรับคุณนุไม่ทัน โว๊ย กลัวเมียขนาดนี้เชียว"
"ข้ารักหรอกธงรบ" อธิคมปฏิเสธ "ข้าไม่ได้กลัว"
"เฮ้อ" ธงรบแหงนหน้ามองไฟสัญลักษณ์ใต้ช่องเก็บสัมภาระ "ความรักนี่มันทำให้มนุษย์เป็นไปได้ถึงขนาดนี้เลยหรือวะ"
อธิคมหันไปมองพ่อคนช่างพูดที่พอพูดเสร็จก็เงียบ หยุดพูดให้รำคาญหู และหยุดหันไปทำตาแพรวพราวกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แต่ไม่หยุดขยับตัวยุกยิก จนเขาอดไม่ได้ที่จะยกศอกกระแทกเข้าไปหนึ่งที กระนั้น ธงรบก็ไม่พูดอะไรซักคำ แต่กลับนั่งนิ่ง อธิคมจึงเลิกสนใจเพื่อนแล้วยกมือขึ้นกอดอก หลับตาลง นึกถึงใบหน้าเศร้าๆ ของคนที่ไปต่างประเทศเป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์แล้ว
...กลัวคุณนุหรือ ไม่ได้กลัว ธงรบพูดอะไรก็ไม่รู้ เขากลัวอาวุธต่างหาก กลัวว่าอาวุธจะเป็นอาวุธคนเดิมไม่เคยเปลี่ยน...
...อาวุธที่พูดคำไหนเป็นคำนั้น เพื่อนที่เขาทั้งรักทั้งเกลียด...
อธิคมจมอยู่ในความคิดของตนเอง จนไม่รู้ว่าเพื่อนคู่หูที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้นลืมตาขึ้นแล้วเอียงหน้ามาทางเขาช้าๆ แต่ทว่า ธงรบมองเลยออกไปนอกหน้าต่าง ดูภาพสวยงามของธรรมชาติยามอาทิตย์อัสดง และหากอธิคมมีญาณวิเศษอ่านใจผู้โดยสารในเครื่องบินลำเดียวกันได้ ก็คงรู้ว่า เพื่อนสนิทผู้นั่งอยู่ข้างๆ ที่รู้ใจกันยิ่งนักก็กำลังนึกถึงเรื่องเดียวกัน ต่างกันเพียงอย่างเดียวที่อธิคมนึกถึงอนุภาพ และธงรบนึกถึงอาทิตย์ โดยมีตัวแปรคนเดียวกัน
...อาวุธ ที่แกเป็นคนจริงจัง เคยพูดคำไหนเป็นคำนั้น คราวนี้ขอซักครั้งได้ไหมวะ ขอให้แกผิดคำพูดได้หรือเปล่า ขอให้แกไม่ใช่อาวุธคนเดิมซักครั้งจะได้ไหม อย่างน้อยก็ตอนที่อาทิตย์ยังไม่ลับฟ้าหายไปจากชีวิตของข้า...
ธงรบถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปนอกหน้าต่างจนเครื่องบินยกตัวขึ้นจากรันเวย์แล้วกลับลำเลี้ยวไปตามเส้นทางบินเข้าสู่กรุงเทพฯ ภาพพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าเปลี่ยนไปอยู่อีกด้าน นายตำรวจหนุ่มหันหน้าตามไปมองอีกฟากหนึ่งของเครื่องเพื่อมองภาพสวยงามของธรรมชาติที่เขาอยากเก็บเอาไว้ในความทรงจำ แต่ไม่นาน ผู้โดยสารสองคนที่นั่งติดหน้าต่างก็โน้มตัวออกมาจากเบาะ บดบังสายตาของเขา ธงรบรอให้หนุ่มสามทั้งสองคนนั้นเอนตัวลงพิงกับเบาะเช่นเดิม แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าทั้งสองจะเปลี่ยนอริยาบทเพราะกำลังคุยกันอย่างออกรส
ธงรบอยากลุกขึ้นเดินไปบอกให้คู่รักคู่นั้นเอนตัวนั่งคุยกันดีๆ ยิ่งนัก จะได้ไม่บดบังทัศนียภาพนอกหน้าต่าง ในใจรู้สึกก็อาลัยอาวรณ์ถึงชายหนุ่มที่ขโมยหัวใจของเขาไปทั้งดวง
...อาทิตย์ ทำไมโหดร้ายกับเขาจังเลย อยู่ใกล้แสนใกล้ แต่เขาก็แตะต้องไม่ได้ เหมือนกับภาพพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ควรจะมองเห็นทางหน้าต่าง แต่ก็มีคนมาขวางทาง แค่จะมองอย่างชื่นชมก็มองไม่ได้...
...ความรัก ทำไมทำให้ทรมานได้ถึงขนาดนี้ ถ้ารู้อย่างนี้ ไม่รักซะก็ดีหรอก...

***1***


ออฟไลน์ SweetSacrifice

  • I always get,what I aim for
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +479/-1

ออฟไลน์ RAKDEK_KA

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1798
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
เรื่องใหม่ก็อยากอ่านอ่ะ  :z3: เรื่องที่แล้วก๋อยากเสียบ  :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :z3: :z3:

ออฟไลน์ •ผั๑`|nกุ้va’ด•

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-69
 :impress2: 


โฮะ ๆ ๆ ๆ  นั่งรับวันรอ ตอน Retouch เสียตั้งนาน. . .
สุดท้ายก็มาลงจนได้ โย้!!! 

บทพิเศษเรื่องต่อไปก็ โฮกกก ฮากกก น่าอ่านมากๆค่ะ

แต่เรื่องนี้ก็อยากได้มีตอนพิเศษอีกกระจึ๋งนึงจัง อยากอ่านอีก อยากอ่านอีก

ออฟไลน์ astral

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-5
คู่หลักดูเหมือนจะลงตัวแล้ว รอเวลาอีกนิดวิธวินทร์ก็ไปไหนไม่รอดแหง แค่คู่รองๆ ลงไปนี่ สรุปคือ แห้วโดยถ้วนหน้าใช่ไหมคะ เหอเหอ  :sad4:

ชีพจรลงเท้าบ่อยๆช่วงนี้ ดูแลตัวเองด้วยนะคะพี่นาย

ออฟไลน์ pooinfinity

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-3
ยังไม่เคลียร์ๆ

ขอตอนพิเศษอีกนิดค่า

อยากให้เคลียร์ความสัมพันธ์อีกนิดดด

ออฟไลน์ K2KARN

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3084
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +393/-6
+1 ให้พี่นาย  :mc4:



ยังไงตอนนี้ก็ยังค้างอยู่ดีอ่ะค่ะ  o18
เพราะงั้นรีบมาเคลียร์เลยนะพี่นาย
มีภาค 2 ต่อเลย  :z3:

l_k

  • บุคคลทั่วไป
คุณนายครับ  ไม่เคลียร์เลยอะ :z3: :z3: :z3: :z3:


ค้าง :m31: :m31: :m31:หลายเรื่องเลยครับ


มาต่อด้วยนะครับ

ออฟไลน์ Cha Ris Ma

  • สาระไม่ค่อยมี...หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +670/-0
ยังคางง่ะ ทำไม ไม่ให้ จบที่เตียงง่ะ   :laugh:

บนมอไซมันปวดหลังนะ  :jul3:

ออฟไลน์ viky_mama

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
มันก็ยังไม่กระจ่างอยู่ดีอ่าาาา :m31: ตกลงมีภาคต่อใช่มั้ยคะ เครียด งง สับสน

ปล ภาคใหม่ เอาเต้ยคู่กับคุณดลไปเลยเหอะ หมั่นไส้เด็กแว๊น คู่นี้คู่กันท่าจะมันส์

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด