บทที่ 4
ความสัมพันธ์อาบยาพิษ
ความจริงมันควรต้องจบไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมปล่อยให้เรื่องนี้ยืดยาวมาจนถึงหกโมงเช้า
"ตื่นเร็วจัง" เสียงงัวเงียเอ่ยทักผมที่นั่งพาดตัวพิงกับหัวเตียง
ไม่มีคำพูดใดๆ โต้ตอบ มีเพียงดวงตาร้อนผ่าวเท่านั้นที่ผมส่งมอบคืนแก่เขา ธันวายังคงไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เขาขยับเข้ามานอนหนุนตักและสวมกอดรอบเอวผมเอาไว้
ป้อมปราการน้ำตาที่ผมพยายามสร้างไว้พังครืนลงในที่สุด ผมปล่อยให้มันรินไหลออกจากดวงตาท่ามกลางความเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น
"พี่แฟ้มร้องไห้ทำไม" ในที่สุดธันวาก็รู้ตัวสักที เขารีบลุกขึ้นปาดน้ำใสๆ ที่เปื้อนใบหน้าผม
"..."
นิ้วเรียวกวาดคราบน้ำตาอย่างปลอบประโลม "เป็นอะไร บอกธันสิ"
"สำหรับธันพี่แม่งเป็นตัวอะไรวะ ?" ผมเอ่ยถามอย่างยากลำบาก น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความแหบพร่า
"พี่ก็คือคนสำคัญที่สุดของธันไง"
"สำคัญงั้นเหรอ" ผมเค้นเสียงถาม "แล้วนี่อะไร ?"
สีหน้าของเขาดูตกใจไม่น้อยเมื่อผมยื่นโทรศัพท์มือถือให้ดู...แต่คงไม่เท่ากับตอนที่ผมเจอมั้ง ผมใช้เวลาค่อนคืนจมจ่อมอยู่กับการเลื่อนหน้าจอแชทของเขา แค่คนแรกก็ว่าแย่แล้ว แต่มันยังมีแชทจากคนพวกนี้อีกเป็นสิบๆ นั่นนับเฉพาะที่ผมเห็นนะ คงมีอีกมากมายเลยที่ผมยังเลื่อนดูไม่หมด
"พี่คงเห็นหมดแล้วสิ" เขาก้มหน้าลงไม่ยอมสบตา
"คืออะไรวะ" ผมแผดเสียง "ทำไมทำตัวแบบนี้"
"ธันไม่รู้" เขาส่ายหน้า เริ่มจะร้องไห้บ้าง "ธันเป็นของธันแบบนี้มาตั้งนานก่อนจะมาเจอพี่อีก"
"พี่ไม่สนหรอกว่าเมื่อก่อนธันจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ธันมีพี่ทั้งคนนะเว้ย มันสมควรเหรอที่พี่ต้องมาเจอเรื่องเหี้ยๆ แบบนี้"
ใบหน้าที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของอีกฝ่ายหันมาจ้องมองผมตรงๆ เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ผมเดาไม่ออกว่า "พี่จะทิ้งธันมั้ย ?"
"ไม่รู้" ผมตอบได้แค่นั้น "เรื่องวันนี้มันหนักเกินไปสำหรับพี่ว่ะ"
ผมเก็บกระเป๋าเป้ที่หิ้วติดตัวมาแค่ใบเดียวออกจากห้องเขาตั้งแต่ตอนนั้น เราไม่ได้คุยอะไรกันอีก ผมโบกรถมอเตอร์ไซค์คนแปลกหน้ามาลงที่สถานีรถโดยสารประจำจังหวัดโดยไม่สนใจธันวาที่ร้องขอจะมาส่ง
ตั๋วเครื่องบินรอบเช้าวันพรุ่งนี้ถูกฉีกทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ใยดี ผมยอมเสียเวลากว่าสิบชั่วโมงนั่งรถทัวร์จากสกลนครกลับเข้ากรุงเทพฯ ในใจนึกเพียงอยากจะหนีไปให้พ้นๆ
ทันทีที่ก้าวลงจากรถผมก็ปล่อยโฮอีกครั้ง ร้องไห้ออกจากหมอชิตจนมาต่อรถไฟฟ้าใต้ดินที่สถานีสวนจตุจักรไปยังสถานีห้วยขวางอีกทีโดยไม่สนสายตาของใครทั้งนั้น
เลิกไปเถอะคนแบบนั้น อยู่ไปก็ช้ำใจเปล่า...ทุกคนบอกกับผมเป็นเสียงเดียวกัน แต่จะทำแบบนั้นได้ไง ในเมื่อผมรู้ตัวเองดีว่ายังไม่พร้อมที่จะปล่อยให้เขาจากไป
หลบมาทำใจได้ไม่ถึงเดือนผมก็บินกลับสกลอีกครั้ง ธันวามารอรับที่สนามบินเช่นเคย เขาดีใจมากที่ผมยอมกลับมาหา
"คิดถึง" เขาบอกพร้อมสวมกอดทันทีที่เราเจอหน้ากัน "สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว"
ว่ากันว่าหากความเชื่อใจมันถูกทำลายไปแล้วก็ยากที่จะเอาคืนกลับมาได้ ผมเข้าใจในเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ในช่วงแรกผมเลือกที่จะให้โอกาสเขาได้แก้ตัว พยายามลบลืมเรื่องแย่ๆ ออกไป แต่ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งค้นพบว่า...ผมทำไม่ได้
ทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกันแล้วโทรศัพท์ของธันวามีเสียงแจ้งเตือน ผมจะรู้สึกไม่ปลอดภัย มันเกิดความระแวงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ยิ่งเวลาเห็นใครสักคนเข้าหาเขาผมยิ่งรู้สึกแย่ อย่างครั้งล่าสุดเราออกไปดื่มด้วยกัน มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ใส่แว่น หน้าตาน่ารักเดินเข้ามาชนแก้วกับเขา ผมก็รีบแสดงตัวทันทีว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ จนอีกฝ่ายต้องเดินหน้าชาออกไป
"อึดอัด" ธันวาโพล่งออกมาตอนที่แอลกอฮอล์ออกฤทธิ์เต็มที่
"รู้" ผมยอมรับเต็มปาก "แต่จะให้ทำยังไงวะ ในเมื่อพี่ยังลบภาพพวกนั้นออกจากหัวไม่ได้เลย"
"แล้วมันต้องเป็นแบบนี้ไปนานแค่ไหนวะ"
"ไม่รู้สิ...คงจนกว่าพี่จะแน่ใจมั้ง" น้ำเสียงผมแผ่วลง ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงมากพอจะเยียวยาได้
บรรยากาศคืนนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นมัว เรากลับมานอนที่ห้องของเขาตั้งแต่ยังไม่ถึงเที่ยงคืนด้วยซ้ำ ต่างคนต่างหันหลังให้กัน ผมรู้ดีว่าความสัมพันธ์แบบนี้คงไปต่อได้อีกไม่นาน
"ไปดูหนังกัน" ผมตัดสินใจเอ่ยชวนเขาในเช้าวันรุ่งขึ้น หวังว่ามันคงจะทำให้เรื่องของเราดีขึ้นมาบ้าง
จอภาพขนาดยักษ์กำลังฉายหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆาตกรรมสืบสวนสอบสวนได้ประมาณครึ่งเรื่อง ผมยกแก้วน้ำอัดลมในมือซ้ายขึ้นดูดขณะที่มือขวาก็เกาะกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้ คล้ายกับว่าความสัมพันธ์ของเรากำลังจะดีขึ้น แต่แล้วมันก็พังทลายลงอีกครั้งเมื่อเสียงแชทจากโทรศัพท์ธันวาดังขึ้นมา
"พี่แฟ้ม เอามือถือธันคืนมา" ธันวาขู่เสียงเขียวเมื่อเห็นผมฉวยจังหวะหยิบสมาร์ทโฟนของเขาไป
"ทำไม ถ้าบริสุทธิ์ใจก็ให้ดูดิ" โทรศัพท์มือถือถูกยื้อยุดไปมา
"ได้" ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ปล่อยมือออกไป "ถ้าอยากดูนักก็เอาไปเลย"
พูดจบเขาก็ลุกออกจากโรงหนังไป ทิ้งให้ผมหัวเสียอยู่คนเดียว จนกระทั่งทนสายตาตำหนิของคนรอบข้างไม่ไหวจึงลุกตามออกไป
ธันวาหายตัวไป หายไปพร้อมกับมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเขา ผมตัดสินใจกลับหอพักเผื่อว่าเขาจะหลบไปรออยู่ก่อนแล้ว
ในห้องมีแต่ความว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาผู้เป็นเจ้าของ
ครั้งนี้ผมผิด ผิดที่หึงหวงจนเกินเหตุ แชทนั้นเป็นแค่เพียงข้อความจากกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียนเขาปรึกษากันเรื่องทำโครงงานเท่านั้น
คืนนั้นธันวาไม่ยอมกลับห้อง ผมติดต่อเขาไม่ได้เพราะโทรศัพท์มือถือเขาอยู่กับผม ความสำนึกผิดทำให้ผมออกมานั่งรอเขาใต้ตึกท่ามกลางความมืด จนเวลาล่วงเลยไปถึงตีสอง ผมมั่นใจแล้วว่าเขาไม่กลับมาแน่ๆ จึงหอบเอาสังขารกลับขึ้นห้องพักไป
เขากลับมาเปลี่ยนชุดนักเรียนในเช้าวันถัดมา
อันที่จริงผมซื้อตั๋วบินกลับกรุงเทพฯ ไว้วันนี้เพราะต้องกลับไปทำงานในช่วงสายๆ แต่เพราะก่อนหน้ายังติดต่อธันวาไม่ได้ผมจึงเลือกที่จะโทรลาป่วยกับหัวหน้างานแทน
"ขอโทษ" ผมบอกอย่างคนสำนึกผิด
"อืม ธันไม่ได้โกรธพี่หรอก แต่แค่อยากให้เชื่อใจกันบ้าง"
"พี่สัญญาจะไม่งี่เง่าแล้ว" ผมรับปาก
เจ้าเด็กมอหกเดินเข้ามากอดผมไว้อย่างปลอบประโลม ลูบหัวผมเบาๆ
ขณะที่ผมกำลังซุกใบหน้าไว้กับไหล่เขาแล้วกอดตอบ พลันสายตาผมก็เหลือบไปเห็นร่องรอยบางอย่าง มันเป็นสีแดงช้ำเลือดช้ำหนองหลบอยู่ที่ด้านหลังต้นคอของเขา...รอยจูบ ผมแน่ใจว่านั่นไม่ได้เกิดจากฝีมือผมแน่นอน ผมไม่เคยทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนั้น แถมเมื่อวานเราเพิ่งจะทะเลาะกัน เขาไม่ได้นอนที่นี่ ไม่มีเวลาไปทำเรื่องอย่างว่าหรอก
ผมเก็บทุกความสงสัยเอาไว้มิดชิด ทุกคำถามที่ติดอยู่ในหัวถูกกลืนลงคอ ปั้นหน้ายิ้มบอกกับเขาไปว่า "ไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวสาย"
"กลับถึงกรุงเทพฯ แล้วแชทมาบอกด้วยนะ เดินทางปลอดภัยครับ" ธันวายังไม่รู้ว่าผมยกเลิกเที่ยวบินไปแล้ว เขาหอมแก้มผมสำทับคำร่ำลาอีกหนึ่งที
เย็นนั้นผมแอบไปดักรอเขาหน้าโรงเรียน จอดรถมอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาหมาดๆ ไว้ใกล้กับร้านกาแฟเล็กๆ ที่ผมเลือกไว้เป็นจุดยุทธศาสตร์
เป้าหมายของผมเดินออกมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนเขาสี่ห้าคน ผมลอบมองเขาผ่านหนังสือเล่มใหญ่ เห็นเขาแวะส่งเพื่อนผู้หญิงสองคนขึ้นรถรับส่งและโบกมือแยกย้ายกับเพื่อนผู้ชายที่เหลือหน้าประตูโรงเรียนก่อนจะย้อนกลับไปขับเอามอเตอร์ไซค์สีฟ้าของตัวเองออกมา
ผมวางธนบัตรใบสีแดงไว้เป็นค่ากาแฟ รีบขับรถตามออกไป
ผมบิดคันเร่งตามเขาไปโดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง รู้เพียงแค่ว่ามันไม่ใช่เส้นทางกลับหอพักของเขา ผมปล่อยให้เจ้าตัวได้ทิ้งระยะห่างพอสมควรแต่ก็ยังใกล้พอให้ตัวเองขับตามได้ทัน
มอเตอร์ไซค์ของเขามาจอดลงหน้าตึกยุโรปสีน้ำตาลหลังหนึ่ง แรกทีเดียวผมไม่ทันสังเกตว่ามันคือตึกอะไร แต่พอตามมาถึงหน้าตัวอาคารผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา...โรงแรม
ผมไม่ทันสังเกตว่าเขาเข้าไปข้างในกับใคร ตอนนั้นทำได้แค่รีบคว้ามือถือขึ้นมาโทรหาเขา ไม่สนใจแล้วว่าจะโดนจับได้หรือเปล่า ไร้การตอบรับจากปลายสาย เขาปล่อยให้ผมกดโทรซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
ความร้อนใจทำให้ผมบุกตามเข้าไปหาแต่ถูกเจ้าหน้าที่ต้อนรับกันเอาไว้
"ผมมากับน้องนักเรียนคนเมื่อกี้อ่ะครับ เขาชื่อธันวา บูรณะรังสี"
"ขออภัยด้วยค่ะไม่พบชื่อนี้แจ้งเข้าพัก ยังไงรบกวนคุณลูกค้าโทรแจ้งน้องลงมารับด้านล่างนะคะ" พนักงานสาวหน้าตาแจ่มใสบอกด้วยโทนเสียงสุภาพ
โธ่เว้ย! ถ้าโทรไปแล้วมันรับคงไม่มายืนเซ่ออยู่ตรงนี้หรอก
แม้จะคับข้องใจมากแค่ไหนแต่ผมก็ไม่สามารถฝืนกฎของโรงแรมได้ สุดท้ายก็ต้องนั่งฟึดฟัดรออยู่ที่โซฟาในห้องล็อบบี้
ผ่านไปราวสองชั่วโมง คนต้นเรื่องก็เดินกลับลงมา ผมเลือดขึ้นหน้าทันทีเมื่อเห็นว่าข้างกายของเขามีใครอีกคน เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ใส่แว่นที่เจอในร้านเหล้าเมื่อคืนก่อน ผมประติดประต่อเรื่องราวได้ทันที
"มึงแอบมาเอากันเหรอ ?" ผมบุกประชิดตัว
"พี่มาได้ไงอ่ะ" คนของผมออกหน้ารับโดยมีคนตัวเล็กหลบอยู่ด้านหลัง
"สำคัญด้วยเหรอว่ามาได้ไง ที่ต้องตอบคือมึงมาทำอะไรกับไอ้เหี้ยนี่ต่างหาก" ผมชี้หน้าไอ้แว่นอย่างคาดโทษ
"ผมว่าพวกพี่ใจเย็นๆ กันก่อนนะครับ" คนตัวเล็กหน้าตาใสซื่อพูดขึ้นมาบ้าง
"มึงหุบปากไปเลย กูบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าธันวามันมีเจ้าของแล้ว"
"พี่แฟ้มพอ" ธันวาเข้ามาห้ามทัพ เขาพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ "มันไม่มีอะไรเลย ผมกับน้องแค่มาติวหนังสือกัน"
"ติวหนังสือเหรอ" ผมเค้นเสียง "วิชาอะไร เพศศึกษาป่ะ"
ความโมโหสั่งให้ผมกระชากไปที่คอเสื้อนักเรียนของเขา กระดุมเสื้อสองเม็ดบนของธันวาหลุดกลิ้งลงพื้นเผยให้เห็นร่องรอยสีแดงบนหน้าอกซึ่งยืนยันคำพูดของผมได้เป็นอย่างดี
"เลิกทำตัวแบบนี้ได้มั้ย น่ารำคาญ"
"มึงก็เลิกเหี้ยดิ"
"มันก็แค่เซ็กซ์ป่ะ จะอะไรนักหนาวะ" นึกไม่ถึงว่าเขาจะตอบออกมาแบบนั้น
"งั้นแปลว่าถ้ากูจะไปเอากับคนอื่นบ้างก็ไม่เป็นไรใช่ป่ะ"
"เออ" ธันวาหัวเสีย "จะไปเอากับใครก็ไปเลย"
"ทุเรศ!" ผมผลักอกเขาเต็มแรง ในใจคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ
"พี่ดูสภาพตัวเองตอนนี้ดิ ใครมันจะไปเอาลง"
"เพราะมันใช่ป่ะ" ผมเริ่มเปลี่ยนเป้าหมาย พุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อไอ้แว่น
"พอสักที!" ธันวาดึงตัวผมออกมา ร่างผมเซถลาร่วงลงไปกองกับพื้น แต่นั่นไม่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บเท่ากับประโยคต่อมาของเขา "พี่ออกไปจากชีวิตผมเถอะ"
"มึงไล่กูเพราะไอ้เหี้ยนี่เหรอ" วินาทีนั้นผมไม่สนใจอะไรแล้ว ทันทีที่ตั้งหลักได้ผมก็ลากเอาไอ้แว่นมาไว้ในอุ้งมือ ต่อยหน้ามันไปสองสามที ยังไม่ทันจะสาแก่ใจรปภ. ก็เข้ามารวบตัวผม
ผมดิ้นสุดแรงเกิด หวีดร้องสุดเสียง ปลายเท้ายังคงถีบลมถีบแล้งไปทางมัน
"กูบอกให้พอ" เป็นครั้งแรกที่ธันวาขึ้นมึงกูกับผม "มันไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น"
"..."
"กูเป็นคนแบบนี้ กูรักสนุก กูชอบการมีเซ็กซ์แบบไม่ผูกมัด กูอึดอัดทุกทีที่มึงทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มันน่ารำคาญ ได้ยินมั้ย...มันน่ารำคาญ!" เขาทิ้งประโยคแสบสันเอาไว้ให้ มันเป็นประโยคที่ผมยังจำฝังใจมาจวบจนกระทั่งทุกวันนี้