ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่12) (10/3/64) ++++++
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่12) (10/3/64) ++++++  (อ่าน 11921 ครั้ง)

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7

ออฟไลน์ larza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-2
บทที่12

ราคาวัตถุดิบต่างๆ มีราคาแพงกว่าที่คิดไว้ พอมาหักลบกับต้นทุนแล้วก็เหลือกำไรอยู่ไม่เท่าไร หลังจากเครียดเรื่องนี้อยู่เป็นวัน ผมเลยตัดสินใจว่าจะไปถามถึงเซธเกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาที่ศูนย์ทำการ ผมกลับเจอคนที่ตนเองตามหาอยู่พอดี

เซียยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนกำลังจะคุยอะไรบางอย่างกับม้าที่กำลังเดินเล่นอยู่ในศูนย์ทำการพอดี ผมเลยเดินมานั่งที่เก้าอี้ รอจนเขาคุยธุระเสร็จแล้วค่อยเดินเข้าไป

อีกฝ่ายหันมามองผมเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าผมมีธุระ จากนั้นก็เอ่ยทักโดยที่ไม่ต้องให้เรียก “มีอะไรหรือเปล่า”

“จะถามเรื่องวัตถุดิบว่าหาซื้อถูกๆ จากไหนได้บ้าง..”

“ลองถามแมรี่ดูสิ” เซียตอบกลับ “เธอเปิดร้านอาหารอยู่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าฉันนะ”

“แต่นายอยู่ที่นี่มานานแล้ว”

“ก็ใช่ แต่ฉันไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าร้านไหนขายถูก” เซียว่าพลางยักไหล่ “เอาไว้ถ้าฉันเป็นหัวหน้ากรมเก็บภาษีแล้วไม่รู้ นายค่อยด่าฉันก็แล้วกัน”

ผมเกือบหลุดขำ แต่พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ก่อน “จะว่าไปฉันขอช่องทางการติดต่อได้ไหม”

“มีกระดาษไหม ฉันจะจดให้”

“ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์เหรอ”

“มันคืออะไร” เซียถามกลับด้วยสีหน้างุนงง

“เอ่อ” ผมอึ้งไปสักพักหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เซียฟังอย่างไรดี เท่าที่ผมจำได้จากการอ่านใจของมนุษย์ ผมรู้แค่ว่ามันเป็นอุปกรณ์ในการสื่อสารเท่านั้น แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไรหรือทำงานยังไง ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนคำถาม “ที่นี่เขาติดต่อกันยังไง”

“ปกติที่นี่จะติดต่อกันด้วยวิธีเขียนจดหมายแล้วให้สัตว์ที่เป็นนกทำงานส่งจดหมาย” เซียตอบก่อนจะหันไปด้านหลัง “เซธ ขอกระดาษหน่อย”

เซธใช้หนวดปลาหมึกหยิบกระดาษกับปากกาก่อนจะส่งให้เซียเขียน อีกฝ่ายรับกระดาษกับปากกามาแล้วเริ่มจดที่อยู่ของตนเอง “จะว่าไปสัตว์ที่ตัวติดไปกับนายไปไหนแล้วล่ะ”

“หมายถึงแลนซ์เหรอ”

“ใช่”

“ไม่อยากมาก็เลยนอนอยู่บ้าน”

ผมไม่อยากพูดตรงๆ ว่าเขาไม่อยากมาเจอเซธ ผมเลยตัดปัญหาเปลี่ยนไปใช้คำอื่นแทน เซียพยักหน้าดูเหมือนไม่ใคร่สนใจเท่าไร

“ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สักพักแล้วเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดี” ผมไม่รู้ว่าจะออกความเห็นอย่างไรเลยพูดไปสั้นๆ แค่นั้น "จะว่าไปตอนนี้ร้านของแมรี่ยังเปิดอยู่ใช่ไหม"

………………

………

ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ผมกับแลนซ์ก็มาที่ตลาดขายส่งด้วยกัน ผมเพิ่งรู้ว่ามันมีตลาดสำหรับคนที่ต้องการซื้อของจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากตลาดปลีกที่เหมาะแก่การซื้อของแค่ไม่กี่ชิ้นแล้วมีราคาแพงกว่า

ผมเข้าไปถามราคาแต่ละร้าน มีหลายร้านที่ขายพวกวัตถุดิบการทำอาหาร ตอนที่เดินมาจนเกือบจะสุดตลาด แลนซ์ก็เอ่ยขึ้นลอยๆ

"นายไม่สงสัยอะไรบ้างเหรอ"

ผมชะงัก "สงสัยอะไร"

"สังเกตหรือเปล่าว่าที่นี่มีเจ้าของร้านที่ชื่อซ้ำกันเยอะ"

ผมไม่เคยคิด แต่พอย้อนกลับมาคิดแล้วก็เหมือนจะจริง พวกสัตว์ที่ขายอาหารและเครื่องใช้ส่วนมากจะเป็นแมวหรือไม่ก็หมา อาจจะเพราะพวกนี้เคยชินกับอาหารและของใช้ของมนุษย์เลยมองว่าการทำงานในสิ่งที่ตนเองรู้จักหรือคุ้นเคยน่าจะดีกว่า

"เอ่อ ก็ซ้ำกันไม่กี่ร้าน"

"มีร้านชื่อโบ้กับเหมียวรวมกันหกร้านแล้วมั้ง" แลนซ์ว่าขณะกวาดตามอง จากนั้นก็เห็นป้ายร้านที่ชื่อ 'เหมียว7' "สงสัยพวกมนุษย์ชอบตั้งชื่อแบบนี้ให้หมากับแมว"

ปกติแล้วชื่อร้านจะตั้งตามชื่อเจ้าของร้าน เพื่อกันสับสนเลยมีการใส่เลขเข้าไปจะได้ไม่งงว่าร้านของใคร

ผมพยักหน้ารับแบบไม่ใส่ใจคำพูดอีกฝ่ายเท่าไรนัก เท้าเดินไปตามทางพลางกวาดสายตามอง บนถนนนั้นคราคร่ำไปด้วยสัตว์จำนวนมากที่เดินขวักไขว่ บางตัวก็เหลือบมองมาทางผมด้วยสายตาแปลกประหลาดแล้วละสายตาออกไปอย่างรวดเร็ว นั่นคงเป็นเพราะว่าที่นี่มีมนุษย์น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

แม้จะออกมาข้างนอกบ่อย แต่ผมก็แทบไม่เคยเห็นใครเป็นมนุษย์อีกเลยนอกจากผมกับเซีย ผมหยุดใจลอยเมื่อพบกับเป้าหมาย เมื่อมองจนมั่นใจว่าใช่แน่ๆ แล้ว ผมจึงเดินเข้าไปในร้านนั้นอย่างรวดเร็ว

เจ้าของร้านเป็นยีราฟที่ลำคอค่อนข้างยาว เมื่อผมเดินเข้ามาในร้าน เธอก็เห็นจากระยะไกลทันที

“อยากได้อะไรจ๊ะ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วยิ้มทักทายกลับเพื่อไม่ให้รู้สึกว่าเสียมารยาทจนเกินไป “ผมอยากได้แป้ง ไข่กับพวกวัตถุดิบในการทำขนมครับ”

ผมไม่อยากพูดว่าเงยจนปวดคอ แต่ก็ปวดคอจริงๆ นั่นแหละ

“ปกติพวกวัตถุทำขนมไม่มีคนซื้อเท่าไร เลยมีจำนวนในสต็อกค่อนข้างน้อย” ยีราฟว่าพลางก้มหน้ามองผม จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านที่มีการจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ “ตามมานี่สิ เดี๋ยวพาไป”

ผมเดินตามเข้าไปในร้าน ส่วนมากองค์ประกอบของอาคารถูกสร้างขึ้นจากไม้เป็นหลัก ฉะนั้นเมื่อก้าวเท้าลงบนพื้นไม้ เสียงฝีเท้าจึงดังก้องไปรอบๆ กลิ่นไม้ที่อยู่ในร้านนี้ค่อนข้างให้ความรู้สึกประหลาดพอสมควร

“ชอบไหม ฉันตั้งใจออกแบบให้เป็นไม้ทั้งร้านเลย”

ปกติแล้วสัตว์บกจะค่อนข้างชอบกลิ่นของไม้เพราะการอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นจะค่อนข้างรู้สึกสงบ ดังนั้นอาคารหลายที่จึงสร้างขึ้นจากไม้ แต่ก็มีผสมปนกับวัสดุก่อสร้างอื่นบ้าง แม้แต่บ้านของผม พื้นบางส่วนยังถูกปูด้วยกระเบื้องเลย

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอาคารที่เป็นไม้ล้วนจริงๆ

ขนาดเป็นสัตว์น้ำที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับไม้ยังอดทึ่งไม่ได้เลย ผมขยับยิ้มจนตาหยี “ชอบครับ”

“โนอา”

นี่เป็นครั้งแรกที่แลนซ์เรียกชื่อผม ด้วยความไม่คุ้นชินผมเลยชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“มีอะไร?”

“เปล่า”

“....”

ผมถอนหายใจก่อนจะกวาดสายตามองรอบร้านเหมือนเดิม ขณะที่เท้าทั้งสองข้างยังคงก้าวตามเจ้าของร้านไปข้างหน้า แต่จงใจลดเสียงพูดคุยให้เบาลง “นายกวนฉันหรือ”

“เปล่า”

“แล้วเมื่อกี้เรียกชื่อฉันมีอะไร”

“เปล่า”

ผมปวดหัวตุบๆ “นายกวนประสาทฉัน”

คราวนี้แลนซ์เลยเงียบไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะพูดกับผม แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา

เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมเลยซื้อวัตถุดิบอย่างรวดเร็วแล้วออกจากร้าน ส่วนของทั้งหมดก็ให้ปลาหมึกยักษ์ที่ตามติดมาข้างหลังเป็นผู้ถือ

ไม่รู้ว่าจะนับเป็นความโชคดีดีไหม เพราะแลนซ์เป็นปลาหมึกยักษ์ที่มีหนวดหลายหนวด ไม่ว่าผมจะซื้อของไปกี่ร้าน อีกฝ่ายก็จะใช้หนวดเกี่ยวถุงสินค้าแล้วเดินตามติดผมเหมือนบอดี้การ์ดอะไรทำนองนั้น

ด้วยความที่พวกเราทั้งสองคนเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่จะไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอ รอบข้างจึงมองพวกเราแทบจะตลอดทาง แม้แต่แลนซ์ที่ดูไม่ค่อยสนใจรอบข้าง วันๆ เอาแต่จ้องมองผม ไม่รู้ว่าหน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือจ้องหน้าหาเรื่อง ในที่สุดก็รู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้วเช่นเดียวกัน

“ที่นี่ไม่มีสัตว์น้ำสักตัว”

เรื่องนี้ผมก็สงสัยเหมือนกัน ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้มาผมไม่เคยเจอสัตว์น้ำตัวไหนเลยนอกจากแลนซ์กับเซธ

“พวกเขาอาจจะมีแหล่งที่อยู่เฉพาะ”

“ก็คงเป็นแบบนั้น” แลนซ์ตอบเหมือนจะเห็นด้วย “มิน่าทำไมถึงถูกจ้องตลอด”

“รู้สึกตัวด้วย?”

“โดนหลายคนจ้องขนาดนั้นฉันก็ต้องรู้สึกสิ”

ผมหัวเราะ “นึกว่าเอาแต่จ้องหน้าฉันจนไม่ทันสังเกตรอบตัว”

“ฉันไม่ได้จ้องนาย” แลนซ์รีบแก้ตัว จากนั้นก็เงียบเสียงลงเล็กน้อยราวกับในหัวกำลังใช้ความคิด ผ่านไปสักพักใหญ่จึงเห็นด้วยกับผม “นั่นสิ..ทำไมฉันถึงเอาแต่จ้องนายกันนะ”

ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไร เรื่องถูกจ้องอะไรนั่นผมก็แค่แซวแลนซ์ไปแบบนั้น ไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับเรื่องนี้เลย แต่เรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจไม่หายคือเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างหาก

“ว่าแต่เมื่อกี้นายเรียกชื่อฉันทำไม”

แลนซ์เหมือนจะไม่คาดคิดว่าผมจะถามคำถามนี้ขึ้นมาอีก ปลาหมึกยักษ์เลยนิ่งไปสักพักใหญ่ ก่อนเอ่ยออกมาว่า “ไม่รู้เหมือนกัน”

“.....”

“ก็แค่อยากเรียกชื่อนายเฉยๆ ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ”

“แต่นายไม่เคยเรียกชื่อฉัน”

“นายอยากฟังเหตุผลจริงๆหรือ”

พูดหย่อนไว้ขนาดนี้ผมก็ต้องอยากรู้อยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงตอบอย่างรวดเร็ว “อยาก”

“ไม่รู้ทำไม..” แลนซ์พูดด้วยเสียงที่เบาลง ขณะใช้หนวดปลาหมึกเคลื่อนที่มาอยู่ใกล้ๆ กับผม “แต่ฉันเรียกชื่อนายเพราะอยากให้นายหันมามองฉัน แค่นั้นแหละ”

----------------------------------------------


ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
หรือแลนซ์จะเป็นหมึกสายตัวนั้น?

ออฟไลน์ Dangdang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รอจ้ามาต่อหน่อย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด