บทที่12
ราคาวัตถุดิบต่างๆ มีราคาแพงกว่าที่คิดไว้ พอมาหักลบกับต้นทุนแล้วก็เหลือกำไรอยู่ไม่เท่าไร หลังจากเครียดเรื่องนี้อยู่เป็นวัน ผมเลยตัดสินใจว่าจะไปถามถึงเซธเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาที่ศูนย์ทำการ ผมกลับเจอคนที่ตนเองตามหาอยู่พอดี
เซียยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนกำลังจะคุยอะไรบางอย่างกับม้าที่กำลังเดินเล่นอยู่ในศูนย์ทำการพอดี ผมเลยเดินมานั่งที่เก้าอี้ รอจนเขาคุยธุระเสร็จแล้วค่อยเดินเข้าไป
อีกฝ่ายหันมามองผมเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าผมมีธุระ จากนั้นก็เอ่ยทักโดยที่ไม่ต้องให้เรียก “มีอะไรหรือเปล่า”
“จะถามเรื่องวัตถุดิบว่าหาซื้อถูกๆ จากไหนได้บ้าง..”
“ลองถามแมรี่ดูสิ” เซียตอบกลับ “เธอเปิดร้านอาหารอยู่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าฉันนะ”
“แต่นายอยู่ที่นี่มานานแล้ว”
“ก็ใช่ แต่ฉันไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าร้านไหนขายถูก” เซียว่าพลางยักไหล่ “เอาไว้ถ้าฉันเป็นหัวหน้ากรมเก็บภาษีแล้วไม่รู้ นายค่อยด่าฉันก็แล้วกัน”
ผมเกือบหลุดขำ แต่พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ก่อน “จะว่าไปฉันขอช่องทางการติดต่อได้ไหม”
“มีกระดาษไหม ฉันจะจดให้”
“ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์เหรอ”
“มันคืออะไร” เซียถามกลับด้วยสีหน้างุนงง
“เอ่อ” ผมอึ้งไปสักพักหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เซียฟังอย่างไรดี เท่าที่ผมจำได้จากการอ่านใจของมนุษย์ ผมรู้แค่ว่ามันเป็นอุปกรณ์ในการสื่อสารเท่านั้น แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไรหรือทำงานยังไง ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนคำถาม “ที่นี่เขาติดต่อกันยังไง”
“ปกติที่นี่จะติดต่อกันด้วยวิธีเขียนจดหมายแล้วให้สัตว์ที่เป็นนกทำงานส่งจดหมาย” เซียตอบก่อนจะหันไปด้านหลัง “เซธ ขอกระดาษหน่อย”
เซธใช้หนวดปลาหมึกหยิบกระดาษกับปากกาก่อนจะส่งให้เซียเขียน อีกฝ่ายรับกระดาษกับปากกามาแล้วเริ่มจดที่อยู่ของตนเอง “จะว่าไปสัตว์ที่ตัวติดไปกับนายไปไหนแล้วล่ะ”
“หมายถึงแลนซ์เหรอ”
“ใช่”
“ไม่อยากมาก็เลยนอนอยู่บ้าน”
ผมไม่อยากพูดตรงๆ ว่าเขาไม่อยากมาเจอเซธ ผมเลยตัดปัญหาเปลี่ยนไปใช้คำอื่นแทน เซียพยักหน้าดูเหมือนไม่ใคร่สนใจเท่าไร
“ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สักพักแล้วเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดี” ผมไม่รู้ว่าจะออกความเห็นอย่างไรเลยพูดไปสั้นๆ แค่นั้น "จะว่าไปตอนนี้ร้านของแมรี่ยังเปิดอยู่ใช่ไหม"
………………
………
ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ผมกับแลนซ์ก็มาที่ตลาดขายส่งด้วยกัน ผมเพิ่งรู้ว่ามันมีตลาดสำหรับคนที่ต้องการซื้อของจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากตลาดปลีกที่เหมาะแก่การซื้อของแค่ไม่กี่ชิ้นแล้วมีราคาแพงกว่า
ผมเข้าไปถามราคาแต่ละร้าน มีหลายร้านที่ขายพวกวัตถุดิบการทำอาหาร ตอนที่เดินมาจนเกือบจะสุดตลาด แลนซ์ก็เอ่ยขึ้นลอยๆ
"นายไม่สงสัยอะไรบ้างเหรอ"
ผมชะงัก "สงสัยอะไร"
"สังเกตหรือเปล่าว่าที่นี่มีเจ้าของร้านที่ชื่อซ้ำกันเยอะ"
ผมไม่เคยคิด แต่พอย้อนกลับมาคิดแล้วก็เหมือนจะจริง พวกสัตว์ที่ขายอาหารและเครื่องใช้ส่วนมากจะเป็นแมวหรือไม่ก็หมา อาจจะเพราะพวกนี้เคยชินกับอาหารและของใช้ของมนุษย์เลยมองว่าการทำงานในสิ่งที่ตนเองรู้จักหรือคุ้นเคยน่าจะดีกว่า
"เอ่อ ก็ซ้ำกันไม่กี่ร้าน"
"มีร้านชื่อโบ้กับเหมียวรวมกันหกร้านแล้วมั้ง" แลนซ์ว่าขณะกวาดตามอง จากนั้นก็เห็นป้ายร้านที่ชื่อ 'เหมียว7' "สงสัยพวกมนุษย์ชอบตั้งชื่อแบบนี้ให้หมากับแมว"
ปกติแล้วชื่อร้านจะตั้งตามชื่อเจ้าของร้าน เพื่อกันสับสนเลยมีการใส่เลขเข้าไปจะได้ไม่งงว่าร้านของใคร
ผมพยักหน้ารับแบบไม่ใส่ใจคำพูดอีกฝ่ายเท่าไรนัก เท้าเดินไปตามทางพลางกวาดสายตามอง บนถนนนั้นคราคร่ำไปด้วยสัตว์จำนวนมากที่เดินขวักไขว่ บางตัวก็เหลือบมองมาทางผมด้วยสายตาแปลกประหลาดแล้วละสายตาออกไปอย่างรวดเร็ว นั่นคงเป็นเพราะว่าที่นี่มีมนุษย์น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
แม้จะออกมาข้างนอกบ่อย แต่ผมก็แทบไม่เคยเห็นใครเป็นมนุษย์อีกเลยนอกจากผมกับเซีย ผมหยุดใจลอยเมื่อพบกับเป้าหมาย เมื่อมองจนมั่นใจว่าใช่แน่ๆ แล้ว ผมจึงเดินเข้าไปในร้านนั้นอย่างรวดเร็ว
เจ้าของร้านเป็นยีราฟที่ลำคอค่อนข้างยาว เมื่อผมเดินเข้ามาในร้าน เธอก็เห็นจากระยะไกลทันที
“อยากได้อะไรจ๊ะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วยิ้มทักทายกลับเพื่อไม่ให้รู้สึกว่าเสียมารยาทจนเกินไป “ผมอยากได้แป้ง ไข่กับพวกวัตถุดิบในการทำขนมครับ”
ผมไม่อยากพูดว่าเงยจนปวดคอ แต่ก็ปวดคอจริงๆ นั่นแหละ
“ปกติพวกวัตถุทำขนมไม่มีคนซื้อเท่าไร เลยมีจำนวนในสต็อกค่อนข้างน้อย” ยีราฟว่าพลางก้มหน้ามองผม จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านที่มีการจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ “ตามมานี่สิ เดี๋ยวพาไป”
ผมเดินตามเข้าไปในร้าน ส่วนมากองค์ประกอบของอาคารถูกสร้างขึ้นจากไม้เป็นหลัก ฉะนั้นเมื่อก้าวเท้าลงบนพื้นไม้ เสียงฝีเท้าจึงดังก้องไปรอบๆ กลิ่นไม้ที่อยู่ในร้านนี้ค่อนข้างให้ความรู้สึกประหลาดพอสมควร
“ชอบไหม ฉันตั้งใจออกแบบให้เป็นไม้ทั้งร้านเลย”
ปกติแล้วสัตว์บกจะค่อนข้างชอบกลิ่นของไม้เพราะการอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นจะค่อนข้างรู้สึกสงบ ดังนั้นอาคารหลายที่จึงสร้างขึ้นจากไม้ แต่ก็มีผสมปนกับวัสดุก่อสร้างอื่นบ้าง แม้แต่บ้านของผม พื้นบางส่วนยังถูกปูด้วยกระเบื้องเลย
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอาคารที่เป็นไม้ล้วนจริงๆ
ขนาดเป็นสัตว์น้ำที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับไม้ยังอดทึ่งไม่ได้เลย ผมขยับยิ้มจนตาหยี “ชอบครับ”
“โนอา”
นี่เป็นครั้งแรกที่แลนซ์เรียกชื่อผม ด้วยความไม่คุ้นชินผมเลยชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“มีอะไร?”
“เปล่า”
“....”
ผมถอนหายใจก่อนจะกวาดสายตามองรอบร้านเหมือนเดิม ขณะที่เท้าทั้งสองข้างยังคงก้าวตามเจ้าของร้านไปข้างหน้า แต่จงใจลดเสียงพูดคุยให้เบาลง “นายกวนฉันหรือ”
“เปล่า”
“แล้วเมื่อกี้เรียกชื่อฉันมีอะไร”
“เปล่า”
ผมปวดหัวตุบๆ “นายกวนประสาทฉัน”
คราวนี้แลนซ์เลยเงียบไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะพูดกับผม แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา
เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมเลยซื้อวัตถุดิบอย่างรวดเร็วแล้วออกจากร้าน ส่วนของทั้งหมดก็ให้ปลาหมึกยักษ์ที่ตามติดมาข้างหลังเป็นผู้ถือ
ไม่รู้ว่าจะนับเป็นความโชคดีดีไหม เพราะแลนซ์เป็นปลาหมึกยักษ์ที่มีหนวดหลายหนวด ไม่ว่าผมจะซื้อของไปกี่ร้าน อีกฝ่ายก็จะใช้หนวดเกี่ยวถุงสินค้าแล้วเดินตามติดผมเหมือนบอดี้การ์ดอะไรทำนองนั้น
ด้วยความที่พวกเราทั้งสองคนเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่จะไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอ รอบข้างจึงมองพวกเราแทบจะตลอดทาง แม้แต่แลนซ์ที่ดูไม่ค่อยสนใจรอบข้าง วันๆ เอาแต่จ้องมองผม ไม่รู้ว่าหน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือจ้องหน้าหาเรื่อง ในที่สุดก็รู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้วเช่นเดียวกัน
“ที่นี่ไม่มีสัตว์น้ำสักตัว”
เรื่องนี้ผมก็สงสัยเหมือนกัน ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้มาผมไม่เคยเจอสัตว์น้ำตัวไหนเลยนอกจากแลนซ์กับเซธ
“พวกเขาอาจจะมีแหล่งที่อยู่เฉพาะ”
“ก็คงเป็นแบบนั้น” แลนซ์ตอบเหมือนจะเห็นด้วย “มิน่าทำไมถึงถูกจ้องตลอด”
“รู้สึกตัวด้วย?”
“โดนหลายคนจ้องขนาดนั้นฉันก็ต้องรู้สึกสิ”
ผมหัวเราะ “นึกว่าเอาแต่จ้องหน้าฉันจนไม่ทันสังเกตรอบตัว”
“ฉันไม่ได้จ้องนาย” แลนซ์รีบแก้ตัว จากนั้นก็เงียบเสียงลงเล็กน้อยราวกับในหัวกำลังใช้ความคิด ผ่านไปสักพักใหญ่จึงเห็นด้วยกับผม “นั่นสิ..ทำไมฉันถึงเอาแต่จ้องนายกันนะ”
ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไร เรื่องถูกจ้องอะไรนั่นผมก็แค่แซวแลนซ์ไปแบบนั้น ไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับเรื่องนี้เลย แต่เรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจไม่หายคือเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างหาก
“ว่าแต่เมื่อกี้นายเรียกชื่อฉันทำไม”
แลนซ์เหมือนจะไม่คาดคิดว่าผมจะถามคำถามนี้ขึ้นมาอีก ปลาหมึกยักษ์เลยนิ่งไปสักพักใหญ่ ก่อนเอ่ยออกมาว่า “ไม่รู้เหมือนกัน”
“.....”
“ก็แค่อยากเรียกชื่อนายเฉยๆ ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ”
“แต่นายไม่เคยเรียกชื่อฉัน”
“นายอยากฟังเหตุผลจริงๆหรือ”
พูดหย่อนไว้ขนาดนี้ผมก็ต้องอยากรู้อยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงตอบอย่างรวดเร็ว “อยาก”
“ไม่รู้ทำไม..” แลนซ์พูดด้วยเสียงที่เบาลง ขณะใช้หนวดปลาหมึกเคลื่อนที่มาอยู่ใกล้ๆ กับผม “แต่ฉันเรียกชื่อนายเพราะอยากให้นายหันมามองฉัน แค่นั้นแหละ”
----------------------------------------------