หม่อมเจ้าโชติภนอาจเจริญพระชันษามาจากเมืองนอกเมืองนา แต่ก็ทรงรู้ธรรมเนียมชาววังดีพอจะไม่ไปขัดพระประสงค์ของบิดาที่ทรงเป็นถึงพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๕ พระองค์เจ้าชั้นเอก ขณะที่ท่านชายทรงมีพระยศเป็นเพียงหม่อมเจ้าอันเป็นชนชั้นเจ้านายลำดับสุดท้ายเท่านั้น อีกทั้งยังทรงเป็นโอรสในเสด็จพระองค์ท่านอีกด้วย
ถึงแม้ท่านชายจะทรงหัวฝรั่งมังค่าเพียงใด แต่ก็ยังยึดตามหลักคำสอนทรงคุณค่าของไทยอันมีมาแต่โบร่ำโบราณในบางสิ่งเอาไว้ ดังเช่นพ่อแม่เปรียบเสมือนดั่งพระพรหมณ์ ควรต้องกราบไหว้บูชาพวกท่านเหนือเกล้าอยู่นั่นเอง ยิ่งเสด็จวังจักษุฯ ทรงมีพระเมตตาต่อเขามาก ทั้งๆ ทรงมีโอรสธิดาอีกนับสิบองค์ เขาก็ยิ่งไม่อาจทูลสิ่งใดก็ตามที่จะเป็นการทำให้อีกฝ่ายทรงระคายพระทัยออกไปได้ เพราะบทสนทนาที่จริงจังขึ้นนั้นมักจะอ่อนไหวเป็นปกติ และสร้างความขุ่นเคืองต่อกันได้โดยง่าย...ท่านชายทรงพระสรวลนิดหน่อยขณะกำลังหักเลี้ยวพวงมาลัยรถเข้าเขตวังจักษุภิรมย์ นึกย้อนถึงถ้อยคำค่อนแคะที่พวกท่านพี่ท่านน้องของเขาเคยตรัสเอาไว้ด้วยความหมั่นไส้ว่า
“ตี๋อ้วนมันพวกสอพลอ เลียแข้งเลียขาเก่งก็เท่านั้น”ทว่าเจ้าชายหนุ่มก็ไม่ยักจะต่อปากต่อคำกลับอย่างผิดพระวิสัยที่เดิมเป็นคนช่างตรัสช่างเถียง ซ้ำยังทรงปล่อยผ่านไปเฉยๆ เนื่องจากก็ทรงเห็นดีด้วยดังนั้น เพราะความคิดความอ่านของเขาบางอย่างก็ไม่ได้ลงรอยกับเสด็จพ่อสักเท่าใดนัก แต่เพราะทรงถือว่าไม่ใช่เรื่องขององค์เอง จึงปล่อยวางได้โดยไม่ยากเย็นกระไร ดีกว่ามามีปัญหาบาดหมางกับพระบิดาเป็นไหนๆ มิเช่นนั้นก็คงไม่ได้เป็นโอรสองค์โปรดตราบจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้นกับเรื่องของเชษฐภคินีอย่างหม่อมเจ้าหญิงผ่องประภาและหม่อมราชวงศ์ตัวขาวของเขานั้น ท่านชายก็ทรงคิดครวญว่าควรปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินต่อไปตามคำพระบัญชาของเสด็จพ่อ แต่เอาเข้าจริงมันกลับไม่ง่ายเลยสักนิด
พระหฤทัยดวงน้อยๆ ของท่านชายหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยอิฐด้วยหิน ทรงสับสนวุ่นวายมากจนตรัสไม่ถูก แล้วยังกลิ่นคล้ายกับกลิ่นดอกแก้วนั่นที่หอมจรุงจิตเสียยิ่งกว่าเด็ดออกจากต้นมาดอมดม กับความร้อนรุ่มพร้อมด้วยเย็นวูบวาบในคราวเดียวกันอย่างน่าประหลาดภายในพระวรกาย มันมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับขณะที่ทรงดำเนินเข้าชิดใกล้อีกฝ่าย ทั้งๆ ปฏิกิริยาเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับอัลฟ่าด้วยกันเอง และที่สำคัญ...วงหน้าแสนคมคายหากแต่ก็ซ่อนเอาไว้ด้วยอ่อนหวานอย่างจับใจอันทำให้ทรงอยากจะหยุดเวลาเอาไว้เพื่อจะได้ทอดเนตรอย่างนั้นเรื่อยไปก็ทรงสลัดออกจากเศียรไม่ได้เลย
ท่านชายโชติภนก้าวบาทลงมาจากรถคันงาม ทูลขอเสด็จพ่อดำเนินเล่นภายในสวนฝรั่งหน้าพระตำหนักส่วนกลางเพื่อคลายพระทัยลงสักหน่อย ทว่าก็ไม่อาจเป็นการช่วยได้มากมาย เพราะยิ่งทรงปล่อยให้พระจิตว่างเปล่ามากเท่าใด ก็จะยิ่งพะวงหาอยู่แต่กับเรื่องราวของคุณชายพระลอแห่งวังเทวพงษ์พิศาลมากเท่านั้น
ฉันได้กลิ่นดอกแก้วมาจากตัวพี่ชายอังแน่ๆ หอมหวนตราตรึงถึงขนาดนั้น อย่างไรเสียก็ไม่มีทางผิดฝาผิดตัวไปได้หรอก มันไม่ใช่กลิ่นไม้กฤษณาอย่างที่ใครต่อใครเคยว่าเอาไว้เสียหน่อย แต่เพราะอะไรกันล่ะ ถ้าหากพี่ชายอังมีกลิ่นดอกแก้วจริง แล้วทำไมใครต่อใครถึงต้องบอกว่าเธอมีกลิ่นไม้กฤษณา แล้วอีกอย่างหนึ่ง เธอเองก็เป็นอัลฟ่าไม่ใช่หรือ แล้วทำไมฉันถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่า… เฮ้อ! หรือจะเป็นร่างกายของฉันเองที่ผิดปกติ
นั่นซีนะ ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ฉันเองก็ยังปรับเวลาให้เข้ากับเมืองไทยไม่ได้เลยนี่นา เวลา ‘ทมก็ยังเป็นเวลาเดียวกับของที่อังกฤษ อาจเพราะอ่อนเพลียละมัง เลยทำให้สัญชาตญาณผิดเพี้ยนไปท่านชายผ่อนพระอัสสาสะช้าๆ ดำเนินเล่นต่ออีกสักพักหนึ่ง ก่อนจะทรงฉุกนึกขึ้นมาได้ว่าหม่อมลอออาจรอเสวยเย็นพร้อมกันอยู่ จึงรีบเสด็จกลับขึ้นพระตำหนัก เจอกับหม่อมใหญ่ของวังที่กำลังชี้นิ้วสั่งให้เหล่าเด็กรับใช้ตระเตรียมสำรับอาหารอยู่พอดี หล่อนหันมายิ้มแย้ม ทูลอย่างอารมณ์ดีว่า
“เพิ่งเด็จฯ กลับมาเหนื่อยๆ ทรงหิวแล้วหรือยัง วันนี้หม่อมฉันทำแกงสะระหมั่นเนื้อ น้ำพริกกะปิผักแนม แล้วก็หมูหวานถวาย เสด็จพ่อของท่านชายเด็จฯ ขึ้นไปเปลี่ยนฉลององค์ อีกประเดี๋ยวก็คงลงมา ท่านชายรอเหวยพร้อมเสด็จเลยนะเพคะ”
โชติภนผงกเศียรแทนการตอบ แย้มรอยพระสรวลเห็นพระทนต์เรียงกันสะสวย โอบกอดเอวหนาเทอะทะของหม่อมใหญ่หลวมๆ รับสั่งพึมพำอย่างประจ๋อประแจ๋ขออภัยจากอีกฝ่ายที่เสด็จกลับมาช้ากว่าที่ทรงให้สัญญา หม่อมใหญ่ก็มิได้ต่อว่ากระไร บีบจับพวงพระปรางเนียนนุ่มของท่านชายด้วยนึกเอ็นดูเหลือเกิน และปล่อยให้สองพ่อลูกร่วมโต๊ะเสวยด้วยกัน ส่วนตนก็แยกไปดูโทรภาพกับหม่อมสุ่น เพราะทั้งคู่รับข้าวเย็นไปก่อนนานแล้ว
พอเสวยกันเสร็จสรรพ ท่านชายก็ทูลเชิญพระบิดาเสด็จขึ้นห้องทรงงาน เพราะทรงสังเกตเห็นตั้งแต่ออกมาจากกองพันฯ ว่าอีกฝ่ายทรงขนเอาแฟ้มเก็บเอกสารทางราชการกลับมาด้วย จากนั้นก็ประทับช่วยพวกบริวารบ่าวไพร่เก็บถ้วยเก็บชามอย่างทรงมีน้ำพระทัย และขณะที่กำลังจะเสด็จขึ้นห้องบรรทมเพื่อสรงน้ำผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์บ้าง หม่อมลออก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นมาพร้อมด้วยหม่อมสุ่นที่เดินตามหลังราวเงาตามตัว
“หม่อมมีอะไรหรือเปล่าคะ”
ท่านชายตรัสถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทีเหมือนมีเรื่องอยากทูล หม่อมใหญ่ก็สบโอกาสพูดออกมาทันที
“คืออย่างนี้นะเพคะ เมื่อเย็นท่านหญิงบัวทรงโทรทางไกลมาจากเมืองอังกฤษโน่นแน่ะ ท่านรับสั่งหาท่านชายน่ะเพคะ แต่หม่อมฉันทูลกลับไปว่าท่านชายเด็จฯ ออกไปรับเด็จฯ พ่อที่กองพันฯ ท่านหญิงก็ทรงบอกเที่ยวเรือบินมา เผื่อว่าท่านชายจะโปรดทรงรถยนต์ไปรับที่สนามบิน”
โชติภนหรี่ดวงเนตรลง แค่นพระสรวลอย่างขบขัน พระขนงเลิกขึ้น ทรงจับจ้องแต่วงหน้าเหี่ยวย่นตามวัยของหม่อมลออเท่านั้น ก็เลยไม่ทันได้สังเกตเห็นหม่อมสุ่นที่กำลังเหล่ดวงตากลมโตมองหม่อมร่วมพระสวามีองค์เดียวกันอย่างนึกพิศวง
แล้วก็รับสั่งถามย้ำ พระสุรเสียงของท่านชายคล้ายกับไม่ทรงปักพระทัยเชื่อสักเท่าใด
“น้องหญิงบัวน่ะหรือคะ อุตส่าห์โทรทางไกลมาเพื่อบอกไฟล์ทบินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
หม่อมใหญ่ก็ทำทีไม่รู้ไม่ชี้ ทูลตอบย้ำเหมือนต้องการยืนยันสิ่งที่เธอพูด
“เพคะ”
มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดที่ท่านชายจะทำพระทัยเชื่อได้ยาก เพราะถึงเขาจะสนิทสนมกับหม่อมเจ้าหญิงบัวทิพย์เกสรจริง แต่ก็ทรงเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีธุระปะปังอย่างใดจนถึงกับต้องทรงโทรมา ในเมื่ออีกฝ่ายทรงทราบเป็นอย่างดีว่าตลอดสัปดาห์หน้า ท่านชายเองก็มิได้อยู่ว่างเฉย ด้วยทรงมีนัดตรวจแบบโรงแรมทำให้ต้องประทับติดห้องทรงงานเพื่อเก็บรายละเอียดงานเกือบตลอดทั้งวีค
แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากจะทรงแจ้งรอบบินขากลับเพียงเท่านั้น น่าจะโทรไปตรัสกับทางมหาดเล็กในวังของหล่อนก็จะดูเข้าท่าเข้าทีมากกว่าเป็นไหนๆ
ทว่าท่านชายก็ทรงเคลือบแคลงพระทัยแค่เพียงไม่นาน เพราะอยู่ๆ หม่อมสุ่นผู้ซื่อสัตย์ที่ยืนทำหน้าฉงนก็ปรารภถามหม่อมใหญ่เสียงเจื้อยแจ้วราวกับมิได้นัดแนะกันมาก่อน
“ทำไมหม่อมถึงทูลกับฝ่าบาทยังงั้นละคะ ท่านหญิงบัวทิพย์เกสรไม่ได้ทรงเป็นฝ่ายโทรมาหาเราเสียหน่อย ก็หม่อมเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนโทรไปถามเบอร์ที่พักที่อังกฤษจากหม่อมพุดกรองหม่อมแม่ของท่านหญิง แล้วก็ยังโทรไปทูลถามเอาความจากท่านหญิงเองอีกด้วยว่าจะเด็จฯ กลับวันไหน เพราะจะให้ท่านชายเด็จฯ ไปรับที่อาคารบิน”
หม่อมลออหันขวับ ขึงตาดุอีกฝ่าย เด็กสาวก็สะดุ้งโหยง หน้าเผือดสีลงทันใด
“ฉันละอยากจะเป็นบ้าตายกับนางคนนี้ ใช่เรื่องที่หล่อนต้องพูดออกมางั้นเรอะแม่สุ่น!”
“อ้าว… แล้วสุ่นพูดตรงไหนผิดหรือคะ ก็พูดความจริงนี่นา”
“ถึงยังงั้นก็เถอะ ผู้หลักผู้ใหญ่เขากำลังพาทีกันอยู่ หล่อนแทรกขึ้นกลางปล้อง มันใช้ได้แล้วรึ”
“ก็แล้วทำไมหม่อมไม่ทูลความจริงละคะ ฝ่าบาทท่านทรงน้ำพระทัยงามออกอย่างนี้ ไม่ทรงต่อว่าอะไรหรอกค่ะ ขนาดกับสุ่นเอง ตอนพบท่านครั้งแรกก็ไม่ดูตาม้าตาเรือจนถึงกับบังอาจไปกล่าวหาว่าท่านเป็นขโมยขโจร ท่านก็ไม่ยักกริ้วเลยสักนิด ยิ่งหม่อมเป็นแม่ด้วยแล้วก็ยิ่งไม่มีสิ่งใดต้องกลัว”
“ต๊ายตาย! จะเอาเรื่องนั้นมาเทียบกับเรื่องนี้ได้ที่ไหนละยะ หล่อนนี่มันช่างไม่รู้เรื่อง เลี้ยงมาเสียแรงฉันจริงๆ”
หม่อมเจ้าโชติภนทอดพระเนตรคมกริบจับจ้องคนนั้นที คนนี้ที สรวลกับองค์เองเล็กน้อย ก่อนจะทรงหันไปรับสั่งเย้าแหย่กับสตรีเบต้าสูงวัยโดยมิได้ถือสาหาความอย่างใด แม้ลึกๆ จะทรงเบื่อหน่ายกับเรื่องนี้มากเต็มทีแล้วก็ตาม
“ตกลงว่าหม่อมจะเป็นแม่โชติหรือจะเป็นแม่สื่อแม่ชักกันแน่คะ จัดแจงเสียเป็นเรื่องเป็นราวเทียว”
วงหน้าของหม่อมลออสลดลงเล็กน้อย เพราะรู้ดีว่าท่านชายของหล่อนไม่โปรดให้แตะเรื่องส่วนพระองค์อย่างเช่นเรื่องคู่ครอง
จึงบอกเสียงอ้อมแอ้ม
“หม่อมฉันทูลกับท่านหญิงบัวเป็นมั่นเป็นเหมาะไปแล้วเพคะว่าท่านชายจะทรงรถยนต์ไปรับที่สนามบินกรุงเทพฯ ทีแรกท่านก็ดูเหมือนจะงงๆ แต่ก็ทรงตกปากรับคำกลับมา”
โชติภนอ่อนพระทัย ปรารภเบาๆ ว่า
“หมายความว่าถ้าโชติไม่ยอมไปตามนัดก็คงทำให้หม่อมเสียผู้หลักผู้ใหญ่ เฮ้อ… อย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ โชติจะเร่งทำแบบให้เสร็จสรรพในสัปดาห์นี้ จะได้เหลือเวลาเผื่อไปรับน้องหญิง ถึงยังไงน้องหญิงบัวก็เปรียบเหมือนน้องสาวโชติอยู่แล้ว...” ทรงเน้นหนักคำว่า ‘น้องสาว’ “...อุตส่าห์กลับมาพระนครทั้งที แค่ขับรถไปรับก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไร”
“พิโธ่...เป็นแค่น้องสาวเองหรือเพคะ”
หม่อมใหญ่แสดงออกชัดเจนว่าเสียดายโดยไม่สงวนอาการแต่น้อยนิด ท่านชายส่ายเศียรอย่างระอานิดหน่อย แต่ก็ยังทรงแย้มพระสรวลกว้างยิงพระทนต์ขาวราวกับจะคลอเคลียออดอ้อน
“หม่อมขา อย่ารีบเร่งให้โชติมีเมียนักเลย อยากอยู่กับหม่อมไปนานๆ”
“ได้อย่างไรกันเพคะ พระชันษาปาเข้าไปตั้งยี่สิบห้าแล้ว ถ้าไม่รีบเสกสมรสเสียตั้งแต่ตอนนี้ กว่าจะทรงมีโอรสธิดาได้ไม่แก่หงำเสียก่อนหรือ จะช้าจะเร็วอย่างไรท่านชายก็ต้องทรงเสกสมรส แล้วก็มีลูกมีหลานไว้สืบสายสกุลต่อไป จะลอยไปลอยมาเป็นพ่อพวงมาลัยแบบนี้หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเลยนะเพคะ ถ้าไม่โปรดท่านหญิงบัวในเชิงชู้สาวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทรงเมียงมองใครอยู่ก็รับสั่งกับหม่อมฉันมาตามตรงเถิด แล้วหม่อมฉันจะเป็นธุระจัดแจงเรื่องสู่ขอให้ ไม่ต้องถึงขั้นเป็นหม่อมเจ้า ขอแต่เพียงเป็นลูกเจ้าหลานพระยาให้สมศักดิ์สมยศกันก็พอ”
ชิวหาอุ่นร้อนของโชติภนแลบเลียกลีบโอษฐ์บางขององค์เอง พร้อมด้วยพระหฤทัยวูบวาบโดยก็ทรงตรัสไม่ได้เช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุอันใด
ท่านชายทรงก้มพระพักตร์ขาวตี๋ลงมาใกล้หม่อมใหญ่ ตรัสถามเสียงเบากว่าเดิมประหนึ่งว่าทรงเกรงจะมีคนมาได้ยินเข้า
“แล้วถ้าหากเป็นหม่อมราชวงศ์ละคะ หม่อมจะเห็นเป็นอย่างไรบ้าง”หม่อมใหญ่ได้ฟังก็เหลือกตาอย่างตื่นเต้น
“อุ๊ย! เป็นหม่อมราชวงศ์ก็ดีน่ะซีเพคะ โอรสธิดาในหม่อมเจ้า เลือดผู้ดีเต็มตัวอย่างนั้น ไม่มีข้อไหนจะต้องรังเกียจรังงอนเลยแม้สักนิด ว่าแต่เป็นใครกันเพคะ เป็นเบต้าสาวหรือว่าโอเมก้าชายหญิง หม่อมฉันรู้จักมักจี่ด้วยไหม รับสั่งมาเพียงคำเดียว วันพรุ่งหม่อมฉันจะรีบจับรถออกไปทาบทามให้เลยเทียว”
‘เป็นอัลฟ่าต่างหากล่ะ’
ทรงคิดกับองค์เอง สีพักตร์ม่อยลงนิดหน่อย แต่ก็รีบพระสรวลกลบเกลื่อน และรับสั่งตอบปัด
“ไม่มีหรอกค่ะ โชติก็แค่พูดลองเชิงหม่อมไปอย่างนั้นเอง เอาไว้ถ้ามีเมื่อไหร่โชติจะเรียนให้หม่อมทราบแล้วกันนะคะ แต่คืนนี้เห็นทีโชติต้องขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จะได้เร่งทำแบบต่อให้เสร็จ ราตรีสวัสดิ์ค่ะหม่อม…หม่อมสุ่นเองก็นอนหลับฝันดีเหมือนกันนะ”
เมื่อท่านชายโชติภนทรงกล่าวตัดบทอย่างนั้น สตรีเบต้าสูงวัยก็ไม่อาจเซ้าซี้ต่อไปได้อีก แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดความคิดที่ต้องการผลักดันให้ลูกเลี้ยงของหล่อนทรงได้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ด้วยเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งหยิบยกมาถกกัน ทว่าหม่อมใหญ่พยายามชี้ชวนให้ท่านชายทรงลองไตร่ตรองเรื่องเสกสมรสมาทุกเมื่อเชื่อวันนับตั้งแต่เสด็จกลับมาถึง ท่านชายก็ทรงปฏิเสธทางอ้อมอยู่ทุกคราวไป เพราะทรงเกรงว่าหากรับสั่งตรงๆ ก็จะเป็นการทำลายน้ำใจของอีกฝ่าย
แต่หม่อมก็หาได้เข้าใจว่ามันคือการบอกปฏิเสธ หล่อนเพียงแต่เห็นสมควรว่าท่านชายทรงอยู่ในวัยที่เหมาะสมจะมีเหย้ามีเรือนได้สักที หากไม่มีตอนนี้แล้วจะทรงมีตอนไหน ถ้าขืนปล่อยไปอย่างนี้ พวกรักอิสระอย่างท่านชายก็คงจะทรงลอยชาย ไม่ทรงยอมลงหลักปักฐานโดยง่ายเป็นแน่ หล่อนจึงต้องจัดแจงจับคู่ โดยเล็งเห็นว่าท่านหญิงบัวคือคนที่คู่ควรกัน
จริงๆ แล้ว ก็ไม่เพียงแต่หม่อมลออ กระทั่งเสด็จพ่อของท่านชายเองก็ดี ท่านก็ทรงเปรยๆ บ้างบางคราวว่า
“ที่แม่ลออเขาอยากจะให้ลูกได้ตบแต่งออกเรือนไปเสียที พ่อก็เห็นดีด้วยนาตี๋อ้วน ขืนยังอยู่ตัวคนเดียวยังงี้ ไม่มีคู่คิดให้คอยพูดจาพาทีด้วย ต่อไปลูกจะเหงา”แต่เพราะพระอัธยาศัยของพระองค์ชายวังจักษุฯ ทรงมิใช่คนเซ้าซี้เหมือนอย่างหม่อมชายาเอกของท่าน เมื่อทรงเห็นพระโอรสไม่หือไม่อือไปด้วย จึงปล่อยเลยตามเลย มิได้ทรงยัดเยียดจนทำให้ท่านชายต้องทรงลำบากพระทัย
จริงๆ ก็ใช่ว่าท่านชายจะไม่ทรงนึกตรองเลยสักน้อยนิด แต่ก็สรุปออกมาได้ว่าท่านไม่ทรงอยากตบแต่งออกเรือนในตอนนี้ อาจเพราะยังไม่ทรงเจอใครที่ต้องพระทัยถึงเพียงนั้น หรือ...อาจได้เจอกันมานานมากแล้ว เพียงแต่มิใช่คนที่จะทรงเอื้อมหยิบเอามาได้โดยง่าย
โชติภนสรงน้ำนานกว่าทุกคราว ทรงดื่มด่ำพระอารมณ์สุนทรีย์อยู่ใต้ฝักบัว ปลดปล่อยสายน้ำอุ่นชะโลมพระวรกายหนั่นแน่น พร้อมด้วยจินตนาการที่กำลังสว่างไสวเจิดจ้าภายในพระเศียร เมื่อพระมัตถลุงค์* ว่างเปล่า ภาพจำเมื่อตอนเย็นย่ำก็หวนกลับมาชวนให้ทรงคิดถึงคะนึงหาอีกครา ท่านชายทรงออกจากห้องสรง ก่อนจะผลัดเปลี่ยนฉลององค์เป็นชุดบรรทมผ้าแพรสีดำ และเสด็จลงมาประทับนั่งหน้าโต๊ะเขียนแบบในห้องทรงงาน แต่ก็ไม่ได้ทรงงานต่ออย่างที่ตั้งพระทัย [*NOTE : สมอง]
ทรงม้วนเก็บแบบโรงแรม กางกระดาษเปล่าสีขาวแผ่นใหม่ออก จากนั้นก็เอื้อมหยิบกล่องพระโอสถมวน* ถมด้วยเงินแท้อย่างดีของเมืองอังกฤษขึ้นมาเปิด และทรงจุดสูบอย่างต้องการทอดพระอารมณ์อ่อนไหวเพื่อไม่ให้ภาพในพระเศียรคลาดเคลื่อน จนกระทั่งหมดมวนก็หันกลับมาจดจ่ออยู่กับแผ่นกระดาษสีขาวตรงเบื้องพระพักตร์ที่ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็ปรากฎเป็นภาพวาดฝีพระหัตถ์ด้วยดินสอ โดยคนในภาพเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหล่อเหลาเอาเรื่อง เครื่องหน้าช่างรับกันจนหมดทั้งหูตาจมูกปาก ทั้งๆ หลับตาพริ้ม ประดับดอกแก้วที่ใบหู แต่ก็มิได้ดูน่าขัดน่าขันอย่างใด [*NOTE : บุหรี่]
ท่านชายทรงแน่นิ่งเพียงชั่วอึดใจ ขณะทรงกำลังทอดพระเนตรคมมองภาพวาดขององค์เองด้วยพระหฤทัยหลงใหลเป็นล้นพ้น
เสด็จออกไปเกาะขอบหน้าต่างบานเกล็ดที่เปิดอ้ารับลม โดยหยิบพระโอสถมวนมาจุดสูบอีกหนึ่งมวน...วงหน้าของคุณชายอังควราในชุดเครื่องแบบตำรวจสีกากี ซึ่งไม่ได้แต่งจนเต็มยศในยามที่กำลังหลับใหลอยู่ที่ซุ้มนั่งเล่นหน้าเรือนไม้สักสีฟ้าอ่อน มันช่างงดงามราวกับหุ่นสลักก็ไม่ปาน แต่ก็มิได้ทำให้รู้สึกแข็งทื่อราวกับไร้ชีวิตชีวา กลับทำให้ท่านชายทรงพระทัยสั่นระรัวบ้าคลั่งคล้ายกับเป็นคนตายแล้วกลับมาฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้งเสียด้วยซ้ำ
‘เหมือนอย่างแต่ก่อน...ไม่ใช่ซิ นี่มันรุนแรงมากยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก’ ท่านชายโชติภนทรงครุ่นคิดกับองค์เอง ขณะทรงพ่นควันสีขาวออกมาอย่างเชื่องช้า ‘แทนที่พอได้พบเจอแล้วก็จะคลายความคิดถึงลงไปบ้าง แต่มันกลับรุนแรงยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก… จะได้เจอพี่ชายอังอีกเมื่อไหร่นะ อยากเจออีกจัง’
โชติภนมิได้ทรงสังเกตสักน้อยนิดว่าความโหยหาที่ก่อเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องผิดปกติอย่างใด
(มีต่อ)