Good..รัก คุณพระอาทิตย์
-BlackQueen-
ผมค้นพบว่าวันที่แดดร้อนที่สุดในประเทศไทยคือวันที่ผมต้องใส่ชุดครุยรุ่มร่ามวิ่งไปกระโจนเข้าเฟรมของกล้องนู้นทีกล้องนี้ทีอย่างวันนี้ วันรับปริญญาที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายรวมถึงป้าข้างบ้านเฝ้ารอกันมาเนิ่นนาน วันที่พวกเรานิสิตนักศึกษาจะเป็นเอกราชโดนสมบูรณ์จากสภาพนักเรียนที่เป็นมาราธอนมากว่ายี่สิบปี ก่อนจะไปกลับสู่การเป็นทาสอีกทีตอนเข้าทำงาน ถ้าใครโชคดีพอจะมีต้นทุนหน่อยก็เป็นนายตัวเองไป แต่ผมไม่ใช่คนโชคดีคนนั้น ผมเป็นทาสให้กับบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง ซึ่งผมจะไม่ลงรายละเอียดเพราะมันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เลยสักนิด
นั่นต่างหาก... ประเด็นหลักของผม
เขายืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงมากมาย ยิ้มให้กล้องอย่างร่าเริงโชว์ลักยิ้มน้อยๆข้างแก้มขวา เขาในชุดแบบเดียวกับเกือบทุกคนแถวนี้ ดูธรรมดาแต่ก็พิเศษเหลือเกินสำหรับผม
กลอน กวีวัธน์ ผู้ชายกลางๆ หน้าตาธรรมดา การเรียนไม่โดเด่น แต่ยิ้มน่ารักทีเดียว สำหรับผมแล้วเขาเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ในวันที่มีเมฆมาก มันไม่ได้ฉายแสงแรงกล้าจนเป็นจุดสนใจ แต่ก็มีดาวเคราะห์หมุนวนรอบตัวอยู่เสมอ เขามีเพื่อนมากมายห้อมล้อมและผมเองก็คงเป็นเพียงหนึ่งในนั้น
“เปรม! มาถ่ายรูปด้วยกันดิ” ผมถูกลากคอโดยไอ้หยก มันบังคับให้ผมต้องละสายตาจากกลอนมาส่งยิ้มให้กล้องแทน แล้วกว่าจะโพสต์ท่าถ่ายจนเหงือกแห้งก็กินเวลาไปพักใหญ่ ผมหันมาอีกทีกลอนก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
ผมเดินคอตกอย่างเหนื่อยล้าออกมากจากพื้นที่แออัดนั้น หลบเข้ามุมหาร่มเงาของตึกช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนบนผิว
“อ้าว เปรม” ผมสะดุ้งเมื่อถูกเรียกจากด้านหลังในระยะประชิด พอหันไปใจที่สั่นก็อ่อนยวบลงไปยิ่งกว่าเดิม
“ไง...กลอน” ผมทักตอบ อีกคนกระตุกยิ้มที่มุมปากขึ้นน้อยๆเป็นการตอบรับ แล้วผมก็ถูกกระชากย้อยกลับไปสู่วันเก่าๆอีกครั้ง
“เดี๋ยวมีเพื่อนกูตามมาด้วยนะเว้ย” เพชรบอกเพื่อนร่วมโต๊ะขณะที่ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้ามผม “เด็กโยธา ชื่อกลอน”
“เออๆ” เต้รับคำอย่างไม่สนใจเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับการชงเหล้าเข้มๆรับเพื่อน “มา เพชรเพื่อนรัก รักกูต้องหมดแก้วนี้”
แล้วทุกคนก็ชนกันยับ ผมยกเพียวดวลกับไอ้หยกแบบลืมตาย แล้วภาพก็ตัดไปกลางอากาศ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกลากออกมานั่งข้างถนนใกล้ๆกับร้านสะดวกซื้อคู่บ้านคู่เมืองอย่างเซเว่นแล้ว
“กูหวาย!!” เสียงไอ้เต้ตะโกนพร้อมกับชูสองนิ้วขึ้นทำท่าวิคตอรี่
“ไหวก็เหี้ยแล้ว” เพชรพูดพร้อมกับส่ายหัว เพื่อนคนอื่นๆรวมถึงผมพากันหัวเราะออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีอะไรน่าขำ แค่รู้สึกว่าทำแบบนั้นแล้วมันสนุกดี
“โคตรเมา” ผมหันกลับมาหาเจ้าของไหล่อุ่นๆที่ให้ผมซบอิง เขาพึมพำยิ้มๆพร้อมกับปล่อยควันขาวออกจากริมฝีปากสีซีดจาง แก้มที่บุ๋มเข้าไปของเขาสะกดผมไว้ไม้ให้หันหนี แล้วสุดท้ายก็ก็ได้สบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น
แล้ววินาทีนั้นเองที่หัวใจผมถูกชิงไปอย่างง่ายดาย
“ไหวเปล่า?” เขาถาม ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองเห่อร้อนและคงแดงซ่าน ยิ่งเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ใจผมก็ยิ่งเต้นแรง แรงจนหัวหมุนไปหมด “เพชร! เพื่อนมึงไม่ไหวแล้ว”
“อั่ก.. แหวะ!” ผมทนรับแรงสั่นของหัวใจไม่ไหว ขย้อนเอาทุกอย่างออกมาจนแสบคอไปหมด กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนกึกตีกับกลิ่นกะเพรามื้อเย็นของผมจนนึกอยากจะอ้วกอีกรอบ แต่มันก็ไม่เหลืออะไรให้เอาออกมาได้อีกแล้ว
“หมดยัง?” ผมค่อยๆปรือตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สิ่งแรงที่ปรากฏสู่สายตาคือซากอารยธรรมของผมเอง และอีกอย่างที่เพิ่มมาคือรองเท้าแวนส์ โอลด์สคูลของใครสักคนที่เปรอะเปื้อนไปหมด
จบแล้วครับ ผมเกมตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย อยากจะแทรกตัวลงไปอยู่ระหว่างโมเลกุลของใบกะเพราตรงหน้าเหลือเกิน
“ขอโทษนะ” ผมอุบอิบพูดขอโทษเสียงเบา พร้อมรับผิดทุกกรณีอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
“ไม่เป็นไร มึงเมา กูเข้าใจ” แต่สิ่งที่เขาบอกออกมากลับมีแค่นั้น กับสัมผัสที่ลูบหลังผมอย่างเบามือ
...นั่นคือการพบกันครั้งแรกของเรา
หลังจากนั้นผมบังเอิญเจอกับกลอนอยู่บ่อยครั้ง เขามักจะยิ้มทักทายเสมอ และไอ้เพื่อนตัวดีทั้งหลายก็จะย้อนอดีตให้ผมรู้ว่าความประทับใจแรกของเราคืออะไร
“ไอ้เหี้ยเปรม มึงซักรองเท้าให้ไอ้กลอนยังวะ” ไอ้เพชรล้อผมด้วยสีหน้าอ้อนตีน
“ไม่ต้องซักหรอกมึง ขนาดนั้นแล้วซื้อใหม่คืนเพื่อนเลยเถอะ” ไอ้เต้ผสมโรง
“มึงไม่ต้องมาพูดเลยเต้ มึงเละกว่าเปรมอีก” ผมหันไปซาบซึ้งกับคำโต้แย้งของไอ้หยกอย่างสุดซึ้ง
แล้วก็ต้องกลับมาซึ้งใจกับคำปลอบโยนของคนตรงหน้าอีกเป็นครั้งที่ร้อย “ช่างมันเถอะพวกมึง เปรมมันเมา” แล้วคนน่ารักก็หัวเราะร่า ผมได้แต่ยิ้มจางขณะที่จ้องมองลักยิ้มเล็กๆนั้น
“...กลอน/กลอน! มานั่งนี่ๆ” ผมพยายามที่จะทักกลอนที่เดินเข้าห้องบรรยายมา ผมตั้งใจลงวิชาอีค่อนที่เป็นวิชาเลือกเสรีเพราะได้ยินมาว่าเขาเลือกลงตัวนี้ โชคดีที่ได้อยู่เซคเดียวกัน แต่ก็โชคร้ายที่ผมไม่เคยได้พูดคุยกับเขาเลยสักครั้งจนจบเทอม
“ไง...” ผมพยายามจะทักเขาที่ร้านถ่ายเอกสาร แต่ก็ช้าไป กลอนเก็บชีทเรียนใส่กระเป๋าแล้ววิ่งเหยาะๆตามเพื่อนไปโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่มองตามความสดใสที่แผ่กระจายออกมาจากตัวอีกคนจนลับตา
“กลอ...” ผมตั้งใจจะร้องทักเมื่อเห็นเจ้าของลักยิ้มนั้นเดินผ่านหน้าไปอย่างเร่งรีบ แต่ผมก็หุบปากไว้ก่อนเมื่อเห็นสีหน้าตื่นๆของเจ้าตัวที่รีบพุ่งเข้าห้อง 304 ไป วันนี้วันแรกของการสอบมิดเทอม ผมเดาว่าเขาคงจะรีบอยู่เลยไม่ทักดีกว่า
“กลอน” ผมทักชายหนุ่มที่สูงไล่เลี่ยกันตรงหน้า ครั้งนี้คงได้คุยกันสักที ผมคิดอย่างนั้นจนกระทั่งเขาหันมา และมันกลายเป็นว่าผมทักคนผิด คนๆนั้นไม่ใช่กลอน ผมเอ่ยขอโทษเขาก่อนจะปลีกตัวออกจากแถว
เหี้ย โคตรอายเลย
“ไง เปรม” สัมผัสหนักๆบนไหล่เรียกให้ผมหันกลับไป คราวนี้เป็นกลอนตัวจริง เขายิ้มอย่างเคยแล้วชวนผมคุยเรื่อยเปื่อยขณะต่อแถวรอซื้อข้าว
“กินไร”
“คั่วกลิ้งกับหมูทอดมั้ง”
“เออ กูเอาด้วยดีกว่า” ผมยืนมองมือตัวเองเมื่อทำตัวไม่ถูก “ไอ้เพชรล่ะ”
“นั่งอยู่ฝั่งนู้น”
“อ่อ”
เรายืนกันเงียบๆ แต่ในหัวผมกำลังกรีดร้อง โอกาสที่ผมรอมาเกือบปีมาถึงแล้ว แต่ผมกลับไม่รู้จะชวนคุยอะไรดี พอเขาไม่ถามผมก็ไม่กล้าพูด ผมมันไอ้ปอดแหกของแท้เลยจริงๆ
“เรียนเป็นไงบ้าง” กลอนเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง ผมยิ้มจางอย่างชื้นใจ
“แมตพอได้ แต่อิ้งไม่น่ารอดอ่ะ” ผมตอบแล้วก็ง้างปากตัวเองให้ถามกลับไป “กลอนล่ะ”
“ไม่รู้เรื่องเลย กลัวติดเอฟอยู่เนี่ย” เอาล่ะ ผมหาช่องทางที่จะได้ใกล้ชิดกันเจอแล้ว
“สอนได้นะ พวกเลขอ่ะ” ผมกลั้นหายใจรอคำตอบ กลอนมองผมอย่างไม่ค่อยมั่นใจแต่ก็พยักหน้ารับ
“ก็ดี งั้นว่างวันไหนบอกแล้วกัน” ผมพยายามเก็บสีหน้าอย่างยากเย็นแล้วกดเสียงตอบไปให้เป็นปกติที่สุด
“โอเค”
เที่ยงวันนั้นเป็นวันที่กับข้าวโรงอาหารอร่อยที่สุด ผมยิ้มเป็นบ้าข้ามวันจนเพื่อนด่าแล้วบอกให้หยุดสักที แต่คนมันมีความสุขนี่ ผมก็เลยยิ้มหน้าบานอยู่อย่างนั้นไปสามวัน
แล้วก็ยิ้มอยู่ได้แค่สามวัน วันที่สี่ผมยิ้มไม่ออกเพราะภาพตรงหน้าคือกลอนคนเดิมเพิ่มเติมคือรุ่นพี่ปีบัญชีปีสี่เคียงข้าง
“พี่ฝ้ายโคตรสวยเลย กูไม่คิดว่าไอ้กลอนจะหาเมียได้สวยขนาดนี้” เต้เปิดประเด็นขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร มันก็คงเห็นเหมือนกันกับผม
“เออว่ะ สวยจริง” พอหยกหันไปเห็นก็ลงความเห็นแบบเดียวกับไอ้เต้
“พี่เขาจีบมันมาตั้งนานแล้ว” ไอ้เพชรไขข้อสงสัยให้กับทุกคน เล่าเป็นเรื่องเป็นราวเลยว่าเจอกันที่ไหน ยังไง จีบแบบไหน มาเต็มอย่างกับเป็นเรื่องของตัวเอง ผมไม่ได้สนใจฟังนัก ได้แต่นั่งเบนสายตาออกไปมองสวนหย่อมตรงประตูทางเข้าโรงอาหารแทน
ผมไม่ได้ร้องไห้เจ็บปวดอะไร เพราะยังไงกลอนก็คงไม่หันมาชอบผมแล้วตกลงปลงใจคบกันอยู่แล้ว แต่มันแค่เป็นการอกหักที่ไม่สง่างามเลย ผมยังไม่เคยได้ทำอะไร ไม่เคยบอกความรู้สึก มันเลยกลายเป็นความเสียดายมากกว่าเสียใจ
หลังจากวันนั้นผมก็มีโอกาสติวเลขให้กลอนอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็มีพี่ฝ้ายมานั่งเฝ้า แต่บางครั้งก็มีแค่เราสองคน ซึ่งก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาดีๆพอสมควรเลย
“กลอน”
“ว่า” เจ้าตัวขนรับทั้งที่ยังขมวดคิ้วมุ่นจ้องโจทย์ฟิสิกส์
“ชอบคนแบบไหน”
“ถามทำไมวะ” กลอนเงยหน้ามาสบตากับผม คิ้วที่ผูกเป็นปมคลายออกมาเลิกขึ้นเป็นเชิงถามแทน
“กูแอบชอบคนๆนึงมานานแล้ว จนตอนนี้เค้ามีแฟนไปละ”
“ชอบแล้วทำไมไม่บอก” ผมเบนสายตาไปมองปากกาในมือแทน ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร แต่มันคงไม่จบดีแน่
“กลัวไม่ได้คุยกันอีก”
“ไม่ลองไม่รู้เปล่าวะ” ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่ รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีน้าตาลเข้มกระจ่างใสคู่นั้น
“กูชอบมึง”
คืนนั้นผมนอนฟังเสียงฝนนอกหน้าต่างอย่างเงียบเหงา ไม่ได้ออกไปเมาเละเหมือนที่คนอื่นเขาทำกันเมื่อถูกปฏิเสธ
‘บ้าแล้ว’
‘พูดจริง’
‘งั้นก็แย่เลย’ เจ้าของลักยิ้มอันน้อยนั้นไม่ยอมให้ผมได้เห็นมันอีกแล้ว เขาพยายามจะฝืนหัวเราออกมาแล้วปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นแค่เรื่องตลกอย่างหนึ่งระหว่างเรา แต่แล้วเขาก็ทำไม่ได้ ผมเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน
‘ขอโทษ’ ผมบอก ผมรู้สึกแย่ที่เห็นเขาลำบากใจ
‘ไม่เป็นไร กูไม่ได้โกรธ’ กลอนหลับตาลง ผมรู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตาที่เขาเปิดเปลือกตาขึ้น เวลาของเราจะหมดลงอย่างสิ้นเชิง ‘ขอบใจที่ช่วยติวให้นะ’
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายระหว่างเรา หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก เวลาบังเอิญเจอก็ไม่ได้ทักทายอย่างเก่า รอยยิ้มของเขาไม่เคยส่งถึงผมอีกเลย แต่มันไม่แย่เมื่อผมยังสามารถเห็นมันได้จากที่ไกลๆ เหมือนที่เราเฝ้ามองพระอาทิตย์จากที่ไกลแสนไกล
คืนหนึ่งหลังมิดเทอมแรกของการเป็นนิสิตปีสาม ผมกับเพื่อนไปฉลองกันที่ร้านเหล้าอย่างเคย
กลอนเลิกกับพี่ฝ้ายแล้ว
ผมได้รู้ข่าวที่ไม่เชิงว่าดีแต่ก็ไม่แย่เลยนี้เมื่อเห็นกลอนอยู่ที่โต๊ะหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากโต๊ะผม เขาไม่ได้ดื่มหนักแบบซดเอาๆ แค่จิบเรื่อยๆโดยไม่เว้นช่วงพัก คืนนั้นผมชนกับเพื่อนแค่สี่แก้วเพราะห่วงว่าใครบางคนจะเมาคอพับกลับไม่ไหว ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องห่วงเลย กลอนมีเพื่อนที่พร้อมจะหิ้วปีกกลับตั้งมากมายขนาดนั้นอยู่แล้ว
“กลอน!!” ไอ้เพชรตะโกนเรียกคนที่เริ่มเมามายจนหน้าจะทิ่มลงโต๊ะ แล้วคนเมาทั้งหลายเริ่มรวมตัวกันชนมั่วซั่ว
ผมนั่งมองไอ้เพื่อนรักทั้งสามกับไอ้น่ารักอีกหนึ่งชนแก้วโหวกเหวกกัน ยกชนกับพวกมันบ้างเวลาถูกเรียกร้อง แต่สายตาทั้งหมดของผมก็พุ่งตรงไปที่จุดเดียว มองตรงไปที่คนๆเดียว
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมทำอย่างนั้น กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ต้องลากเพื่อนออกจากร้านกันแล้ว ไอ้หยกยังมีสติดีสุดเป็นคนขับรถพาเต้กับเพชรกลับ ส่วนผมขี่รถมอ’ไซต์มาต้องหอบเอากลอนกลับด้วยเพราะเป็นชาวหอในกันสองคน
“ขึ้นมาสิ” ผมเร่งเมื่ออีกคนยืนนิ่ง
“กูอยากไปสระว่ะ” ผมชะงักไปเมื่ออยู่ๆคนเมาก็พูดออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“สระไหน” ผมดึงแขนกลอนให้ขยับเข้ามาใกล้เมื่อมีรถวิ่งผ่านด้านหลัง
“สระหลังมอ” ผมพยักหน้าตอบตกลงแล้วจับอีกคนขึ้นซ้อนท้าย จะว่าผมเป็นคนฉวยโอกาสก็ได้ ผมกุมมือข้างหนึ่งของเขาแน่น ดึงรั้งไว้ที่เอวตัวเองด้วยเหตุผลโง่ๆ
“จับไว้ เดี๋ยวตก” ซึ่งเจ้าตัวเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ผมจงใจขี่รถให้ช้าเพื่อถ่วงเวลา แถมขี่อ้อมวนเพิ่มระยะทางไปอีก กว่าจะมาถึงที่หมายก็กินเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง
“ทำไมถึงอยากมา” ผมถามเมื่อเขาก้าวไปยืนใกล้ขอบสระ หวั่นใจกลัวจะพลัดตก แล้วก็ยิ่งกลัวว่าอีกคนจะกระโจนลงไปด้วยตัวเอง
“ที่นี่เงียบดี” กลอนตอบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแดงก่ำอย่างเมามาย ผมคิดว่ามันตลกดีที่วันนี้เราสลับบทบาทกันจากวันแรกที่ได้เจอ
“เงียบจริง” ผมตอบรับพลางขยับเข้าไปประชิดตัวเจ้าของลักยิ้มที่กำลังบุ๋มลึกเพราะเจ้าตัวระบายยิ้มกว้าง
“มึงเคยบอกว่าชอบกู” ผมพยักหน้าตอบ
“ใช่”
“ตอนนี้ล่ะ” ผมกุมมือชื้นเหงื่อขึ้นมาชิดคาง
“ชอบ”
“แย่จริงด้วย” กลอนยิ้มแล้วหลับตาลง เป็นอีกครั้งที่ผมรู้ว่าเมื่อเขาลืมตาเรื่องของเราจะจบลง แต่ผมไม่อยากให้มันจบลงไปอย่างครั้งก่อน อย่างน้อยก็ขออะไรสักอย่างที่จะตรึงอยู่ในใจให้คืนนี้มันกลายเป็นคืนแสนวิเศษของผม
ผมจูบกลอน แนบแน่นแต่แผ่วเบา ไม่มีการรุกไล่เร่าร้อนใดๆ แค่ริมฝีปากเราที่แนบชิดกันอย่างเลื่อนลอยเท่านั้น
เราผละออกจากกันเมื่อถึงเวลาที่สมควร ดวงตาสีน้ำตาลเปิดขึ้นสบกับผม รอยยิ้มอ่อนจางปรากฏบนหน้าของเราสองคน ไม่มีความอึดอัด ไม่มีความรู้สึกแย่ๆ ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า หัวใจผมไม่ได้ถูกเติมจนล้นทะลัก แต่ก็ไม่ได้ถูกทึ้งจนแหว่งวิ่น มันแค่พอดี
“กลับกันเถอะ”
เรื่องราวของพวกผมจบลงตรงนั้น เราพูดคุยกันเมื่อมีโอกาส ส่งยิ้มให้กันเมื่อพบเจอ แต่ไม่เคยเฉียดเข้าไปใกล้หรือถอยห่างจากกัน ผมเลิกหวัง เขาไม่ให้ความหวัง เราหาที่ๆเราจะอยู่ได้อย่างไม่ล้ำเส้นกันเจอแล้ว
ผมก็ชอบของผมต่อไป
เขารับรู้แต่ก็ไม่ต้องแบกรับ
เรามีความสุขได้ด้วยวิธีง่ายๆที่ต้องใช้เวลาตั้งนานเพื่อหามันให้เจอ
แต่ลึกลงไปในใจ ผมหวังว่าผมจะยังพอมีหวังสักนิด...
“ทำไมมาอยู่คนเดียว” กลอนถาม เขาดูโตขึ้นจากวันนั้น ผมเองก็คงเหมือนกัน
“พ่อแม่ไปกินข้าวอยู่ เดี๋ยวเข้ามาคงโทรหาเองแหละ” ผมยิ้มให้เขา คิดหาคำจะมาต่อบทสนทนาไม่ให้มันจบลงตรงนี้ “กลอนล่ะ”
“มาหาน้ำกิน ข้างนอกร้อนฉิบหาย” เขาดูดน้ำหวานจากแก้วประกอบคำตอบ ผมหัวเราะออกมา รู้สึกเหมือนเรื่องของเรามันผ่านมานานเหลือเกินแล้ว
“เหงื่อชุ่มหลังไปหมดแล้ว” ผมสมทบ กลอนพยักหน้าแล้วตั้งท่าจะเอ่ยลา
“งั้นเดี๋ยวกูกลับไปหาเพื่อนก่อน” ผมยิ้มให้เขา แต่ข้างในใจผมก็เรียกร้องขอให้รั้งเขาไว้ อย่างน้อยก็ขอให้ได้บอกเขาอีกครั้ง ยืนยันความรู้สึกที่มากมายในใจนี้อีกสักครั้ง
“กลอน..” เจ้าของลักยิ้มที่ผมตกหลุมรักมาหลายปีหันกลับมา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกระจ่างสดใสเหมือนพระอาทิตย์ในวันแดดจ้า
และเพราะเขาคือพระอาทิตย์...
‘รักนะ’
“โชคดีนะ”
...ผมถึงไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ
...END...