ตอนที่ 33
หลังจากที่ประตูปิดลง ปรปรัชญ์ก็ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบานนั้นแล้วจ้องมองพี่ชายของตน สภาพของปกรณ์ดูซูบผอมลง ใบหน้าตอบเรียว และแววตามีความกังวลเมื่อได้สบมองกับเขา
ปรปรัชญ์ไม่เคยเกลียดพี่ชายคนนี้เหมือนแม่เลยสักนิด เขาอยากมีพี่น้องที่รักกันเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ เขาอยากกอดกับพี่ชายมานานแล้วแต่ก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ในสายตาแม่ตลอดเวลา ยิ่งถ้าเขาแสดงความรักความเห็นใจกับปกรณ์มากเท่าไร แม่ก็จะยิ่งเกลียดและทำร้ายปกรณ์หนักขึ้นเท่านั้น
“เข้ามาสิครับ” ชานนท์เอ่ยเรียกเสียงเบา เขาแปลกใจกับอาการประหม่าของปรปรัชญ์อยู่ไม่น้อย เพราะจากที่เคยพูดคุยกันมา เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์สามารถเข้ากับคนอื่นได้ดีทีเดียว
ปรปรัชญ์ค่อยๆ ก้าวเข้าไปตามเสียงเรียก เขารู้สึกกังวลเพราะไม่แน่ใจว่าปกรณ์กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ภาวนาในใจว่าอย่าให้พี่ชายแสดงอาการหวาดกลัว หวาดผวาออกมา เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมันคงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดแน่
ปกรณ์คว้าหมอนมากอดแน่น แล้วจ้องน้องชายด้วยความหวาดระแวง แม้ใจลึกๆ จะคิดว่าปรปรัชญ์ไม่ได้เลวร้าย แต่การกระทำที่เคยเกิดขึ้นมันทำให้เขาไม่สามารถไว้ใจน้องชายคนนี้ได้อย่างบริสุทธิ์ใจ
“พี่ปกรณ์” แต่น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นอย่างบางเบานั้นได้ช่วยบรรเทาอาการหวาดกลัวของปกรณ์ให้ดีขึ้น “พี่เป็นไงบ้างครับ”
“ก็ดีครับ” ปกรณ์ตอบเพียงสั้นๆ
“งั้นเดี๋ยวผมไปรอข้างนอกนะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาการประหม่าของสองพี่น้อง บางทีถ้ายังอยู่ตรงนี้พวกเขาอาจจะไม่กล้าพูดความในใจ ถ้าให้ได้อยู่ตามลำพังอาจจะดีกว่า เพราะชานนท์เองก็มั่นใจในตัวปรปรัชญ์แล้วว่าไม่ใช่คนเลวร้ายแน่
“คุณชานนท์ครับ” แต่ปกรณ์กลับร้องขึ้น “อยู่ด้วยกันไม่ได้เหรอครับ”
“เดี๋ยวผมเอากล่องข้าวไปเก็บแล้วจะรีบกลับมานะครับ” ชานนท์หาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกไป ส่วนปกรณ์นั้นหน้าเศร้าทันที
“รีบมานะครับ” ปกรณ์ส่งสายตาวิงวอน
“ครับ” ชานนท์ตอบรับ แล้วเดินออกไปทันที
เมื่อภายในห้องเหลือเพียงสองพี่น้อง ความเงียบสงบก็มาเยือน ต่างฝ่ายต่างเอาแต่จับจ้องกัน ทั้งๆ ที่ปรปรัชญ์มีคำในใจตั้งมากมายที่อยากจะเอื้อนเอ่ย แต่พอได้พบกับปกรณ์จริงๆ สิ่งที่เตรียมมาพูดกลับลืมไปหมด ตอนนี้ในหัวมีแต่ความผิดที่เคยกระทำกับพี่ชาย ภาพเหล่านั้นได้กลับมาตอกย้ำให้เขารู้ว่า... คนเลวอย่างเขาไม่สมควรเป็นน้องชายของปกรณ์สักนิด เขามันเลวเกินกว่าที่ควรจะได้รับการให้อภัย
แววตาของปรปรัชญ์สั่นไหว หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กลัวไม่ได้รับการยอมรับและให้อภัยจากคนตรงหน้า ไม่กล้าพูดไม่กล้าถามออกไปตรงๆ เพราะกลัวจะได้รับฟังสิ่งที่น่าผิดหวังจนทำให้หัวใจหดหู่
“ปรัชญ์” ปกรณ์เอ่ยเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายแน่นิ่งอยู่นาน
“ครับ” คนที่ถูกเรียกตอบรับอย่างประหม่า บุคลิกในตอนนี้ผิดกับในอดีตที่เคยน่ากลัวอย่างสิ้นเชิง
“สบายดีไหม” เป็นคำถามสุดคลาสสิกของคนที่ไม่ได้พบกันนาน ปกรณ์เองก็อยากจะถามอะไรออกไปมากกว่านั้นแต่ก็ไม่กล้า กลัวน้องชายจะรำคาญเอา
“สบายดีครับ” ปรปรัชญ์ตอบออกมา เมื่อพี่ชายทักทายอย่างเป็นมิตร เขาก็เริ่มผ่อนคลาย “ผมไปนั่งตรงนั้นได้ไหมครับ”
ปรปรัชญ์ชี้ไปที่ขอบเตียง ปกรณ์ไม่ได้ตอบในทันทีเพราะกำลังคิดว่าถ้าเขามานั่งตรงนี้ ก็จะอยู่ใกล้กัน เกิดพูดจาอะไรไม่เข้าหู ปรปรัชญ์อาจจะลงไม้ลงมือกับเขาได้ แต่แล้วความรู้สึกก็บอกว่าปรปรัชญ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็น ทุกสิ่งที่อย่างที่เกิดขึ้น ปกรณ์เองก็คิดว่าแม่ของปรปรัชญ์เป็นคนบงการ
พอตัดสินใจได้ ปกรณ์ก็พยักหน้าตกลง ปรปรัชญ์จึงเดินเข้าไปหาทันที
“พี่รู้ไหม พอผมทราบข่าวเรื่องพี่ ผมก็รีบเคลียร์งานแล้วมาที่นี่เลยนะ” ปรปรัชญ์เอ่ยออกมาหลังจากที่นั่งลงบนขอบเตียง
ปกรณ์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ตอนที่รู้ข่าวผมตกใจมาก ไม่คิดว่าพี่จะอาการหนักขนาดนี้ แล้วก็เอาแต่โทษตัวเองจนนอนไม่หลับ เพราะผมเองก็มีส่วนที่ทำให้พี่เป็นแบบนี้” ปรปรัชญ์ถอนหายใจออกมา เหตุการณ์ในอดีตมันฝังใจเขาเช่นกันไม่ใช่แค่เพียงปกรณ์เท่านั้น
ปกรณ์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเอาแต่นั่งกอดหมอนฟังนั่งตัวเกร็งแล้วฟังเงียบๆ
“ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี พูดไปก็เหมือนแก้ตัว แต่ผมน่ะไม่เคยอยากทำร้ายพี่ ไม่เคยอยากทำแบบนั้นกับพี่เลยนะ” น้ำเสียงของปรปรัชญ์เริ่มเครียดเช่นเดียวกับสีหน้า “แต่ถ้าผมไม่ทำ แม่ก็จะยิ่งทำพี่หนักขึ้น ผมไม่ชอบที่แม่เป็นแบบนี้ ผมเกลียดแม่ ผมเลยพยายามตั้งใจเรียนเพื่อที่จะสอบชิงทุนหนีไปเรียนที่อเมริกา เพราะรู้ว่าถ้าขอแม่ตรงๆ แม่คงไม่ยอม ที่ผมหนีไปเพราะผมไม่อยากทำร้ายพี่ ไม่อยากถูกแม่ใช้เป็นเครื่องมืออีกแล้ว พี่ไม่ต้องเชื่อที่ผมพูดก็ได้นะ แต่ผมยืนยันว่าสิ่งที่พูดออกมามันคือความรู้สึกที่แท้จริง”
ปกรณ์ตั้งใจฟังในสิ่งที่น้องชายพูด เขาไม่สามารถแยกแยะได้หรอกว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก แต่ชานนท์เคยบอกให้เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง... และความรู้สึกของปกรณ์ในตอนนี้บ่งบอกว่าสิ่งที่น้องชายพูดนั้น ไม่ใช่เรื่องโกหก
เพื่อความแน่ใจ ปกรณ์จึงหันไปมองปาณัฐที่ยังคงนั่งอยู่โซฟามุมห้อง ปาณัฐส่งยิ้มให้แล้วพยักหน้าราวกับต้องการจะตอกย้ำให้เชื่อในความรู้สึกที่เกิดขึ้น
“ปรัชญ์ไม่ได้เกลียดพี่จริงๆ ใช่ไหม” เป็นคำถามที่พูดออกมาได้อย่างยากลำบาก เขาคิดมาเสมอว่าทุกคนต่างเกลียดชังเขา
“ไม่เลย ไม่เคยอยู่ในความคิดด้วยซ้ำ” เสียงคำตอบนั้นหนักแน่น “ผมรู้สึกผิดกับพี่ รู้สึกไม่ดีกับแม่มาโดยตลอด บางครั้งผมเองก็เครียด ชอบด่าตัวเองในใจ ตอกย้ำว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี แล้วก็โมโหร้ายลงไม้ลงมือกับตัวเองหลังจากที่ทำร้ายพี่ บางทีถ้าเรียนจบ ผมอาจจะต้องมารักษาอาการเหล่านี้เหมือนกัน”
น้ำเสียงและแววตาของปรปรัชญ์เต็มไปด้วยความจริงใจ เขาไม่ได้โกหก และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องแสร้งมาทำดีแบบนี้
พอรู้ดังนั้นก็รู้สึกดีใจ หากแต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ เพราะเพิ่งรู้ว่าน้องชายต้องอดทนอดกลั้นกับความรู้สึกของตัวเอง ต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ ถูกแม่ตีกรอบและออกคำสั่งให้ตลอด คงทรมานไม่ต่างกัน
“ผมรู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ บางครั้งก็นึกเกลียดแม่ของตัวเอง เวลาคิดเรื่องพี่ทีไร สิ่งที่เคยกระทำมันก็ย้อนกลับมาทำร้ายจิตใจผมเสมอ มันคงเป็นเวรกรรมของผมที่ต้องอยู่ในสภาพนี้ ก็สมควรแล้วแหละ ทำร้ายพี่ชายตัวเองซะขนาดนั้น ตอนนี้ก็เลยรู้สึกเกลียดแม่ตัวเอง ผมมันก็แค่ลูกอกตัญญู”
ปรปรัชญ์เริ่มมีท่าทีเครียดขึ้นเรื่อยๆ ปกรณ์อาจไม่รู้ได้ว่าความรู้สึกเกลียดแม่ของตัวเองนั้นมันเป็นอย่างไรและทรมานมากแค่ไหน เพราะลูกคนไหนต่างก็รักแม่ ต่อให้แม่ดีหรือเลวอย่างไร แต่อาจเพราะสิ่งที่พวกเขาทั้งสองเจอมา มันนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับเด็ก
“พี่เข้าใจแล้ว เข้าใจทุกอย่างแล้ว” ปกรณ์ยื่นมือไปจับที่บ่าของปรัชญ์ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้องชายนั้นก็ต้องทนอยู่กับความทรมาน จมปลักอยู่กับความเลวร้ายในอดีตที่ตัวเองเป็นคนกระทำโดยมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเรื่องนี้หากจะโทษว่าใครเป็นคนผิดก็คงหนีไม่พ้นฤทัยดี
แต่ปกรณ์ก็ไม่สามารถคิดโทษหล่อนได้อย่างเต็มปาก เพราะสิ่งที่หล่อนเจอก็หนักหนาสาหัสไม่ต่างกัน กำลังมีแผนจะแต่งงานกับพ่อแต่ทุกอย่างก็ต้องพังทลายเพราะแม่ดันทำเรื่องที่ผิดศีลธรรมกับพ่อเสียก่อน ทุกคนล้วนมีส่วนผิด มีเหตุผลในการกระทำความชั่ว แต่เหนือสิ่งอื่นใด... ผู้ใหญ่พวกนั้นไม่น่าเอาความแค้นที่เกิดขึ้นมาลงที่เด็กอย่างเขาและปรปรัชญ์เลย
พวกเขาใช้เด็กเป็นเครื่องมือ...
แม่ใช้ปกรณ์เป็นเครื่องมือในการจับพ่อ...
ฤทัยดีใช้ปรปรัชญ์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น เอาความแค้นทั้งหมดมาลงที่ลูก โดยคิดว่าลูกตัวเองจะต้องเหนือกว่าในทุกๆ เรื่อง ทำทุกอย่างเพื่อปลูกฝังให้ปกรณ์รู้สึกว่าเป็นเบี้ยล่าง อยู่ใต้อำนาจและความหวาดกลัว ส่วนพ่อน่ะหรือ ไม่เคยสนใจเขาสักนิด พ่อไม่เคยรักแม่อยู่แล้วจึงไม่เคยรักลูกอย่างเขา เทียบกับปรปรัชญ์ อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ยังดีที่ยังมีพ่อที่คอยรักและห่วงใย
“พี่ให้อภัยผมได้ไหม ผมขอโทษกับทุกสิ่งที่อย่างที่เคยล่วงเกินพี่ ผมเองก็ผิดที่ตอนนั้นขี้ขลาดเกินกว่าที่จะกล้าขัดคำสั่งแม่”
ปรัชญ์จับมือพี่ชายเอาไว้แน่น
“พี่ขอถามปรัชญ์เรื่องหนึ่งได้ไหม” ปกรณ์เอ่ยขึ้น ไม่ได้ตอบน้องชายในทันทีว่าจะให้อภัยหรือไม่... ความจริงแล้วปกรณ์ไม่เคยคิดโกรธปรปัชญ์สักนิด อาจเพราะมีแต่ความหวาดกลัวที่เข้าบดบังจิตใจ เลยทำให้ไม่กล้าโกรธและอาฆาตใคร ไหนจะเรื่องของแม่อีก
“เรื่องอะไรครับ พี่สงสัยอะไรถามมาได้เลย”
“ตอนนั้น... ตอนที่พี่ถูกคุณน้าจับคว่ำหน้าแล้วกดลงกับที่นอน” แววตาของปกรณ์แน่นิ่ง เขากำลังพยายามข่มความหวาดกลัวเอาไว้เพื่อที่จะเล่าทุกอย่างออกมาด้วยท่าทางที่ปกติที่สุด “ตอนที่คุณน้าสั่งให้ปรัชญ์ทำแบบนั้นกับพี่ ปรัชญ์ไม่ได้ทำใช่ไหม คือ... ตอนนั้นพี่...”
ปรปรัชญ์ยกมือขึ้นปรามไม่ต้องการให้อีกฝ่ายพูดต่อ เขารู้แล้วว่าปกรณ์หมายถึงเรื่องอะไร เหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตของปรปรัชญ์เช่นกัน
“ผมไม่ได้ทำ และไม่คิดจะทำแน่นอน ผมรู้ว่าพี่ทรมาน ผมไม่อยากให้พี่นึกถึงตอนนั้นอีกแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้วนะครับ ถึงตอนนั้นผมจะกลัวแม่แต่เรื่องพรรค์นั้นผมไม่มีวันทำกับพี่ชายของผมแน่นอน”
ปรปรัชญ์เองก็เจ็บปวดกับเหตุการณ์นั้นเช่นกัน ฤทัยดีโมโหแล้วแล้วเหมือนปิศาจ หล่อนกระทำกับเด็กที่ไม่มีทางสู้อย่างป่าเถื่อนด้วยน้ำมือของหล่อนเอง
ปกรณ์น้ำตาซึม เหตุการณ์นั้นตามหลอกหลอนเขามาเสมอเวลาที่นึกถึงปรปรัชญ์ ปกรณ์ทั้งเจ็บปวดและหวาดกลัวจนไม่รับรู้เลยว่าใครเป็นคนลงมือ เขาพยายามคิดมาเสมอว่าฤทัยดีเป็นคนทำ แต่อีกใจก็หวั่นว่าปรปรัชญ์จะทำเพราะหล่อนสั่งลูกชายด้วยน้ำเสียงที่ดังก้อง พอได้รู้แบบนี้... ความกังวลก็หายไปพร้อมๆ กับความหวาดกลัว
ปรปรัชญ์รู้ว่าพี่ชายคงเจ็บช้ำมาก พอเห็นน้ำตาซึมเขาก็รีบโผเขาไปกอด... กอดพี่ชายอย่างแนบแน่น... กอดอย่างที่เคยใฝ่ฝันว่าสักวันจะกระทำแบบนี้กับพี่ชาย
ปกรณ์ร้องไห้หนักขึ้นไปอีกเมื่อถูกกอด ทั้งดีใจและตื้นตัน ความรู้สึกหนักหนาสาหัสระหว่างน้องชายที่เคยแบกมาตลอดกำลังพังทลายลง... ไม่มีอะไรค้างคาใจอีกแล้ว
ระหว่างที่กอดนั้น ปกรณ์ก็ต้องสะดุ้งออกมาจากอ้อมกอดด้วยความตกใจ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างของปาณัฐ
...ร่างของปาณัฐค่อยๆ เลือนรางลงราวกับดวงวิญญาณ เหมือนกับว่ากำลังจะเลือนหายไปจากโลกนี้
โดยปกติปาณัฐจะหายไปเวลาที่เขาเผลอหลับ หรือถ้าเจอกันข้างนอกก็จะจากกันหลังจากที่ได้ล่ำลาเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ในตอนนี้ไม่ใช่
ปกรณ์รู้สึกว่าเวลาระหว่างเขากับปาณัฐกำลังจะหมดลง... หัวใจของเขาสั่นไหว มันเต้นรุนแรงราวกับจะทะลุออกมาให้ได้
“อย่าไปนะ ไม่จริง... ไม่จริงใช่ไหม” ปกรณ์ลุกพรวดออกมาจากเตียงแล้ววิ่งไปหาปาณัฐด้วยความรวดเร็ว เขากอดกับปาณัฐเอาไว้แน่น มันต้องไม่ใช่นี้ เขายังไม่ได้เตรียมใจรับมือกับเหตุการณ์นี้เลยสักนิด
ปรปรัชญ์มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ แม้จะรู้จากชานนท์แล้วว่าพี่ชายจินตนาการตัวตนของใครบางคนขึ้นมาเพื่อปกป้องความอ่อนแอ แต่พอได้มาเจอสภาพกับที่ชายที่พูดกับอากาศแถมยังทำท่ากอดกับอากาศราวกับสิ่งที่กำลังกอดอยู่นั้นมีตัวตนอยู่จริงก็ทำให้เขาตกใจ
“มองพี่สิปาณัฐ มองพี่ มองแล้วบอกกับพี่ว่าไม่จริง มันยังไม่ถึงเวลา เรายังต้องอยู่ด้วยกัน อยู่ข้างๆ กันแบบนี้ไปอีกนาน” เสียงของปกรณ์สั่นไหวเช่นเดียวกับร่างกายที่สั่นเทาไม่หยุด
ปาณัฐไม่ได้ตอบอะไรออกมา หากแต่แววตาของเขาจับจ้องกับปกรณ์โดยไม่กระพริบ มันเป็นแววตาที่แสดงออกถึงความสุขใจเหมือนคนไม่มีอะไรติดค้างคาใจและพร้อมจะไปจากโลกใบนี้ ฉับพลันรอยยิ้มของร่างที่กำลังเรือนลางก็ผุดขึ้น
“ตอนนี้มีคนที่คู่ควรจะอยู่กับพี่มากกว่าผมแล้วครับ” น้ำเสียงของปาณัฐเบาหวิว หัวใจของปกรณ์รู้สึกแบบนั้นเช่นกันแต่ก็ใช่ว่าเด็กคนนี้จะไม่สำคัญอีกต่อไป
ปาณัฐพยักพเยิดไปหน้าไปทางที่ปรปรัชญ์นั่งอยู่ก่อนจะพูดออกมาว่า
“คนนั้นไงครับ น้องชายของพี่”
ปกรณ์หันไปมองปรปรัชญ์ สลับกับปาณัฐด้วยแววตาที่เจ็บปวด เขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร... ปาณัฐเปรียบเสมือนตัวแทนของปรปรัชญ์ที่ปกรณ์ต้องการให้เป็น ปกรณ์อยากให้ปรปรัชญ์เป็นน้องที่น่ารักและชื่นชมเขาแบบนี้ ไม่ใช่น้องชายที่ใจร้ายและทุบตีอย่างเช่นในความทรงจำ เพราะฉะนั้นจิตใต้สำนึกจึงสร้างปาณัฐขึ้นมา ทำให้เขามองเห็นและพูดคุยกับปาณัฐด้วยความเข้าอกเข้าใจ
ในเมื่อวันนี้... ปกรณ์และปรปรัชญ์ได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว ความสงสัยแคลงใจในตัวน้องชายได้หายไปจนหมดสิ้น จึงไม่มีพื้นที่ให้สิ่งที่ไม่มีตัวตนอย่างปาณัฐสามารถเชิดหน้าลอยตาอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป
น้ำตาของปกรณ์รินไหล หัวใจของเขาเจ็บปวดเกินทน แม้จะรู้แล้วว่าปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริงแต่การที่จะต้องจากกันแบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับที่กำลังเห็นคนที่รักตายไปต่อหน้าต่อตา
ปาณัฐเองก็น้ำตาไหลออกมาเช่นกัน ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นส่งผ่านไปถึงร่างนั้น แม้น้ำตาจะยังไหลรินแต่ปาณัฐกลับยงคงยิ้มออกมาให้อีกฝ่ายเห็นได้
ฉับพลันร่างนั้นก็หายไป อ้อมกอดที่เคยรู้สึกว่ามีใครกลับว่างเปล่า ปกรณ์ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจพยายามวาดมือไปมาบนอากาศที่ว่างเปล่าเผื่อว่าจะสัมผัสโดนตัวปาณัฐอีกสักครั้ง ทว่า... ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น ปาณัฐจากไปแล้ว ความรู้สึกของปกรณ์มันบ่งบอกว่าการจากการในครั้งนี้เหมือนจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว ...เวลาของปาณัฐได้จบลงแล้ว
“ม่ายยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!”
เสียงกรีดร้องดังก้อง ปกรณ์ทรุดลงกับพื้นยังไม่อาจทำใจยอมรับได้ ชานนท์และพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ รีบวิ่งเข้ามา พอเห็นภาพปกรณ์ที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นจึงรีบพากันเข้าไปจับร่างนั้นเอาไว้ แต่เหมือนปกรณ์ไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น หัวใจของเขาในตอนนี้ร้องหาแต่ปาณัฐ
เมื่อปกรณ์ยังคงดิ้นไม่หยุด ปรปรัชญ์ที่นั่งนิ่งอยู่นานเพราะสับสนที่เกิดขึ้นจึงเดินเข้ามาแล้วกอดกับร่างของพี่ชายเอาไว้แน่น แม้จะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าสิ่งที่ปกรณ์มองเห็นและสัมผัสได้เพียงคนเดียวกำลังจะหายไป... หากไปจากชีวิตของพี่ชายตลอดกาล และถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงมันย่อมเป็นข่าวดี เพราะนั่นหมายความว่าพี่ชายของเขาใกล้กลับมาเป็นปกติแล้ว
“ผมจะอยู่กับพี่เอง พี่ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้นะครับ” เสียงกระซิบของปรณัฐดึงสติของปกรณ์ให้กลับมาได้
ร่างของปกรณ์ค่อยๆ นิ่งและกลับมาสงบ ก่อนที่ในที่สุดจะหมดสติไป หมดสติภายในอ้อมกอดของคนที่เขาเคยหวาดกลัวมาทั้งชีวิต
ทุกอย่างเหมือนจะจบลงด้วยดี ทว่าเสียงประตูที่ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างใหม่ที่โผล่เข้ามาในห้อง ได้ทำให้ปรปรัชญ์ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“ลูกมาทำอะไรที่นี่” หล่อนเค้นเสียงลอดไรฟัน พยายามควบคุมอารมณ์ไว้ ไม่แสดงกิริยาโมโหร้ายต่อหน้าคนอื่น
ทั้งๆ ที่พยายามจะจบเรื่องทุกอย่างลงแล้วแท้ๆ แต่พอมาเห็นลูกชายสุดที่รักกำลังโอบกอดกับลูกชายของคนที่หล่อนเกลียดที่สุดในชีวิต ความแค้นก็เริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจหล่อนอีกครั้ง และยิ่งแค้นมากขึ้นเมื่อไม่รู้ว่าลูกชายกลับมาที่ไทยตั้งแต่เมื่อไร ไม่บอกไม่กล่าวสักคำ แถมชุดที่ใส่ก็เป็นชุดที่หล่อนซักแล้วเก็บเอาไว้ที่บ้าน หล่อนจำได้... กระทั่งกลับไปที่บ้าน ลูกชายก็ไม่คิดจะบอกหล่อนสักคำ
ปรปรัชญ์อ้ำอึ้ง กลับมาไทยครั้งนี้เขาไม่ได้เตรียมใจมาพบหน้าแม่... แม่ที่แสนใจร้ายในสายตาของเขา
“ไปกับแม่เดี๋ยวนี้” ฤทัยดีเดินไปกระชากร่างของปรปรัชญ์แล้วลากออกมาจากห้อง ชานนท์รีบขยับเข้าไปประคองร่างของปกรณ์แทนในทันที
มือของฤทัยดีกำแขนของปรปรัชญ์เอาไว้แน่น หล่อนหน้าบึ้งแต่ก็ไม่พูดไม่จาอะไร พยายามเก็บอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้แล้วก้าวขาด้วยความฉับไวออกจากที่นี่ให้ไวที่สุด ไปในที่ที่ลับตาคนเพื่อที่หล่อนจะได้สั่งสอนลูกชายได้อย่างไม่ต้องระแวงสายตาผู้ใด
จบตอน