❃❃ Psychology of love ❃ จิตวิทยาใจ ❃❃ ( ตอนที่ 36 P.5 ) 29/12/60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❃❃ Psychology of love ❃ จิตวิทยาใจ ❃❃ ( ตอนที่ 36 P.5 ) 29/12/60  (อ่าน 31421 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
สนุกสิคะ สนุกมาก ลุ้นตลอดเวลา แต่อยากบอกนักเขียนว่าถ้าจะลงเรือ เกื้อชานนท์ น้องปรัชญ์์พี่ปกรณ์จะผิดไหมเนี่ย แต่ยังไงก็ตามอย่าทำร้ายพี่เกื้อเลย ขอให้พี่เกื้อฟื้นมามีชีวิตรอดด้วยเถอด  :katai4:
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
ขอติตอนหนึ่งที่ภูษิตชักแล้วกัดแขนปกรณ์นะคะ เวลาชักเค้าห้ามเอาช้อนงัดปากแล้วนะ มันเป็นวิธีที่ผิดมหันต์เลยนะคะ อยากให้ไปหาข้อมูลแล้วแก้เนื้อหาตรงส่วนนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ อย่าโกรธกันนะ เค้าหวังดี :mew2: :L1: :pig4:

ขอบคุณค้าบ ตอนนี้แก้ไขในต้นฉบับแล้วจ้า โดนทักท้วงมาก่อนหน้านี้เหมือนกัน แหะๆ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ดีใจที่ชานนท์เลือกปกรณ์นะ  :impress2:แต่ก็สงสารหมอเกื้ออ่า   :hao4:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 33


หลังจากที่ประตูปิดลง ปรปรัชญ์ก็ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบานนั้นแล้วจ้องมองพี่ชายของตน สภาพของปกรณ์ดูซูบผอมลง ใบหน้าตอบเรียว และแววตามีความกังวลเมื่อได้สบมองกับเขา


   ปรปรัชญ์ไม่เคยเกลียดพี่ชายคนนี้เหมือนแม่เลยสักนิด เขาอยากมีพี่น้องที่รักกันเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ เขาอยากกอดกับพี่ชายมานานแล้วแต่ก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ในสายตาแม่ตลอดเวลา ยิ่งถ้าเขาแสดงความรักความเห็นใจกับปกรณ์มากเท่าไร แม่ก็จะยิ่งเกลียดและทำร้ายปกรณ์หนักขึ้นเท่านั้น


   “เข้ามาสิครับ” ชานนท์เอ่ยเรียกเสียงเบา เขาแปลกใจกับอาการประหม่าของปรปรัชญ์อยู่ไม่น้อย เพราะจากที่เคยพูดคุยกันมา เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์สามารถเข้ากับคนอื่นได้ดีทีเดียว


   ปรปรัชญ์ค่อยๆ ก้าวเข้าไปตามเสียงเรียก เขารู้สึกกังวลเพราะไม่แน่ใจว่าปกรณ์กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ภาวนาในใจว่าอย่าให้พี่ชายแสดงอาการหวาดกลัว หวาดผวาออกมา เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมันคงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดแน่


   ปกรณ์คว้าหมอนมากอดแน่น แล้วจ้องน้องชายด้วยความหวาดระแวง แม้ใจลึกๆ จะคิดว่าปรปรัชญ์ไม่ได้เลวร้าย  แต่การกระทำที่เคยเกิดขึ้นมันทำให้เขาไม่สามารถไว้ใจน้องชายคนนี้ได้อย่างบริสุทธิ์ใจ


   “พี่ปกรณ์” แต่น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นอย่างบางเบานั้นได้ช่วยบรรเทาอาการหวาดกลัวของปกรณ์ให้ดีขึ้น “พี่เป็นไงบ้างครับ”


   “ก็ดีครับ” ปกรณ์ตอบเพียงสั้นๆ


   “งั้นเดี๋ยวผมไปรอข้างนอกนะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาการประหม่าของสองพี่น้อง บางทีถ้ายังอยู่ตรงนี้พวกเขาอาจจะไม่กล้าพูดความในใจ ถ้าให้ได้อยู่ตามลำพังอาจจะดีกว่า เพราะชานนท์เองก็มั่นใจในตัวปรปรัชญ์แล้วว่าไม่ใช่คนเลวร้ายแน่


   “คุณชานนท์ครับ” แต่ปกรณ์กลับร้องขึ้น “อยู่ด้วยกันไม่ได้เหรอครับ”


   “เดี๋ยวผมเอากล่องข้าวไปเก็บแล้วจะรีบกลับมานะครับ” ชานนท์หาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกไป ส่วนปกรณ์นั้นหน้าเศร้าทันที


   “รีบมานะครับ” ปกรณ์ส่งสายตาวิงวอน


   “ครับ” ชานนท์ตอบรับ แล้วเดินออกไปทันที


   เมื่อภายในห้องเหลือเพียงสองพี่น้อง ความเงียบสงบก็มาเยือน ต่างฝ่ายต่างเอาแต่จับจ้องกัน ทั้งๆ ที่ปรปรัชญ์มีคำในใจตั้งมากมายที่อยากจะเอื้อนเอ่ย แต่พอได้พบกับปกรณ์จริงๆ สิ่งที่เตรียมมาพูดกลับลืมไปหมด ตอนนี้ในหัวมีแต่ความผิดที่เคยกระทำกับพี่ชาย ภาพเหล่านั้นได้กลับมาตอกย้ำให้เขารู้ว่า... คนเลวอย่างเขาไม่สมควรเป็นน้องชายของปกรณ์สักนิด เขามันเลวเกินกว่าที่ควรจะได้รับการให้อภัย


   แววตาของปรปรัชญ์สั่นไหว หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กลัวไม่ได้รับการยอมรับและให้อภัยจากคนตรงหน้า ไม่กล้าพูดไม่กล้าถามออกไปตรงๆ เพราะกลัวจะได้รับฟังสิ่งที่น่าผิดหวังจนทำให้หัวใจหดหู่


   “ปรัชญ์” ปกรณ์เอ่ยเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายแน่นิ่งอยู่นาน


   “ครับ” คนที่ถูกเรียกตอบรับอย่างประหม่า บุคลิกในตอนนี้ผิดกับในอดีตที่เคยน่ากลัวอย่างสิ้นเชิง


   “สบายดีไหม” เป็นคำถามสุดคลาสสิกของคนที่ไม่ได้พบกันนาน ปกรณ์เองก็อยากจะถามอะไรออกไปมากกว่านั้นแต่ก็ไม่กล้า กลัวน้องชายจะรำคาญเอา


   “สบายดีครับ” ปรปรัชญ์ตอบออกมา เมื่อพี่ชายทักทายอย่างเป็นมิตร เขาก็เริ่มผ่อนคลาย “ผมไปนั่งตรงนั้นได้ไหมครับ”


   ปรปรัชญ์ชี้ไปที่ขอบเตียง ปกรณ์ไม่ได้ตอบในทันทีเพราะกำลังคิดว่าถ้าเขามานั่งตรงนี้ ก็จะอยู่ใกล้กัน เกิดพูดจาอะไรไม่เข้าหู ปรปรัชญ์อาจจะลงไม้ลงมือกับเขาได้ แต่แล้วความรู้สึกก็บอกว่าปรปรัชญ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็น ทุกสิ่งที่อย่างที่เกิดขึ้น ปกรณ์เองก็คิดว่าแม่ของปรปรัชญ์เป็นคนบงการ


   พอตัดสินใจได้ ปกรณ์ก็พยักหน้าตกลง ปรปรัชญ์จึงเดินเข้าไปหาทันที


   “พี่รู้ไหม พอผมทราบข่าวเรื่องพี่ ผมก็รีบเคลียร์งานแล้วมาที่นี่เลยนะ” ปรปรัชญ์เอ่ยออกมาหลังจากที่นั่งลงบนขอบเตียง


   ปกรณ์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ


   “ตอนที่รู้ข่าวผมตกใจมาก ไม่คิดว่าพี่จะอาการหนักขนาดนี้ แล้วก็เอาแต่โทษตัวเองจนนอนไม่หลับ เพราะผมเองก็มีส่วนที่ทำให้พี่เป็นแบบนี้” ปรปรัชญ์ถอนหายใจออกมา เหตุการณ์ในอดีตมันฝังใจเขาเช่นกันไม่ใช่แค่เพียงปกรณ์เท่านั้น


   ปกรณ์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเอาแต่นั่งกอดหมอนฟังนั่งตัวเกร็งแล้วฟังเงียบๆ


   “ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี พูดไปก็เหมือนแก้ตัว แต่ผมน่ะไม่เคยอยากทำร้ายพี่ ไม่เคยอยากทำแบบนั้นกับพี่เลยนะ” น้ำเสียงของปรปรัชญ์เริ่มเครียดเช่นเดียวกับสีหน้า “แต่ถ้าผมไม่ทำ แม่ก็จะยิ่งทำพี่หนักขึ้น ผมไม่ชอบที่แม่เป็นแบบนี้ ผมเกลียดแม่ ผมเลยพยายามตั้งใจเรียนเพื่อที่จะสอบชิงทุนหนีไปเรียนที่อเมริกา เพราะรู้ว่าถ้าขอแม่ตรงๆ แม่คงไม่ยอม ที่ผมหนีไปเพราะผมไม่อยากทำร้ายพี่ ไม่อยากถูกแม่ใช้เป็นเครื่องมืออีกแล้ว พี่ไม่ต้องเชื่อที่ผมพูดก็ได้นะ แต่ผมยืนยันว่าสิ่งที่พูดออกมามันคือความรู้สึกที่แท้จริง”


   ปกรณ์ตั้งใจฟังในสิ่งที่น้องชายพูด เขาไม่สามารถแยกแยะได้หรอกว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก แต่ชานนท์เคยบอกให้เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง... และความรู้สึกของปกรณ์ในตอนนี้บ่งบอกว่าสิ่งที่น้องชายพูดนั้น ไม่ใช่เรื่องโกหก


   เพื่อความแน่ใจ ปกรณ์จึงหันไปมองปาณัฐที่ยังคงนั่งอยู่โซฟามุมห้อง ปาณัฐส่งยิ้มให้แล้วพยักหน้าราวกับต้องการจะตอกย้ำให้เชื่อในความรู้สึกที่เกิดขึ้น


   “ปรัชญ์ไม่ได้เกลียดพี่จริงๆ ใช่ไหม” เป็นคำถามที่พูดออกมาได้อย่างยากลำบาก เขาคิดมาเสมอว่าทุกคนต่างเกลียดชังเขา

 
   “ไม่เลย ไม่เคยอยู่ในความคิดด้วยซ้ำ” เสียงคำตอบนั้นหนักแน่น “ผมรู้สึกผิดกับพี่ รู้สึกไม่ดีกับแม่มาโดยตลอด บางครั้งผมเองก็เครียด ชอบด่าตัวเองในใจ ตอกย้ำว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี แล้วก็โมโหร้ายลงไม้ลงมือกับตัวเองหลังจากที่ทำร้ายพี่ บางทีถ้าเรียนจบ ผมอาจจะต้องมารักษาอาการเหล่านี้เหมือนกัน”


   น้ำเสียงและแววตาของปรปรัชญ์เต็มไปด้วยความจริงใจ เขาไม่ได้โกหก และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องแสร้งมาทำดีแบบนี้


   พอรู้ดังนั้นก็รู้สึกดีใจ หากแต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ เพราะเพิ่งรู้ว่าน้องชายต้องอดทนอดกลั้นกับความรู้สึกของตัวเอง ต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ ถูกแม่ตีกรอบและออกคำสั่งให้ตลอด คงทรมานไม่ต่างกัน


   “ผมรู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ บางครั้งก็นึกเกลียดแม่ของตัวเอง เวลาคิดเรื่องพี่ทีไร สิ่งที่เคยกระทำมันก็ย้อนกลับมาทำร้ายจิตใจผมเสมอ มันคงเป็นเวรกรรมของผมที่ต้องอยู่ในสภาพนี้ ก็สมควรแล้วแหละ ทำร้ายพี่ชายตัวเองซะขนาดนั้น ตอนนี้ก็เลยรู้สึกเกลียดแม่ตัวเอง ผมมันก็แค่ลูกอกตัญญู”


   ปรปรัชญ์เริ่มมีท่าทีเครียดขึ้นเรื่อยๆ ปกรณ์อาจไม่รู้ได้ว่าความรู้สึกเกลียดแม่ของตัวเองนั้นมันเป็นอย่างไรและทรมานมากแค่ไหน เพราะลูกคนไหนต่างก็รักแม่ ต่อให้แม่ดีหรือเลวอย่างไร แต่อาจเพราะสิ่งที่พวกเขาทั้งสองเจอมา มันนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับเด็ก


   “พี่เข้าใจแล้ว เข้าใจทุกอย่างแล้ว” ปกรณ์ยื่นมือไปจับที่บ่าของปรัชญ์ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้องชายนั้นก็ต้องทนอยู่กับความทรมาน จมปลักอยู่กับความเลวร้ายในอดีตที่ตัวเองเป็นคนกระทำโดยมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเรื่องนี้หากจะโทษว่าใครเป็นคนผิดก็คงหนีไม่พ้นฤทัยดี


   แต่ปกรณ์ก็ไม่สามารถคิดโทษหล่อนได้อย่างเต็มปาก เพราะสิ่งที่หล่อนเจอก็หนักหนาสาหัสไม่ต่างกัน กำลังมีแผนจะแต่งงานกับพ่อแต่ทุกอย่างก็ต้องพังทลายเพราะแม่ดันทำเรื่องที่ผิดศีลธรรมกับพ่อเสียก่อน ทุกคนล้วนมีส่วนผิด มีเหตุผลในการกระทำความชั่ว แต่เหนือสิ่งอื่นใด... ผู้ใหญ่พวกนั้นไม่น่าเอาความแค้นที่เกิดขึ้นมาลงที่เด็กอย่างเขาและปรปรัชญ์เลย


   พวกเขาใช้เด็กเป็นเครื่องมือ...


   แม่ใช้ปกรณ์เป็นเครื่องมือในการจับพ่อ...


   ฤทัยดีใช้ปรปรัชญ์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น เอาความแค้นทั้งหมดมาลงที่ลูก โดยคิดว่าลูกตัวเองจะต้องเหนือกว่าในทุกๆ เรื่อง ทำทุกอย่างเพื่อปลูกฝังให้ปกรณ์รู้สึกว่าเป็นเบี้ยล่าง อยู่ใต้อำนาจและความหวาดกลัว ส่วนพ่อน่ะหรือ ไม่เคยสนใจเขาสักนิด พ่อไม่เคยรักแม่อยู่แล้วจึงไม่เคยรักลูกอย่างเขา เทียบกับปรปรัชญ์ อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ยังดีที่ยังมีพ่อที่คอยรักและห่วงใย


   “พี่ให้อภัยผมได้ไหม ผมขอโทษกับทุกสิ่งที่อย่างที่เคยล่วงเกินพี่ ผมเองก็ผิดที่ตอนนั้นขี้ขลาดเกินกว่าที่จะกล้าขัดคำสั่งแม่”


   ปรัชญ์จับมือพี่ชายเอาไว้แน่น


   “พี่ขอถามปรัชญ์เรื่องหนึ่งได้ไหม” ปกรณ์เอ่ยขึ้น ไม่ได้ตอบน้องชายในทันทีว่าจะให้อภัยหรือไม่... ความจริงแล้วปกรณ์ไม่เคยคิดโกรธปรปัชญ์สักนิด อาจเพราะมีแต่ความหวาดกลัวที่เข้าบดบังจิตใจ เลยทำให้ไม่กล้าโกรธและอาฆาตใคร ไหนจะเรื่องของแม่อีก


   “เรื่องอะไรครับ พี่สงสัยอะไรถามมาได้เลย”


   “ตอนนั้น... ตอนที่พี่ถูกคุณน้าจับคว่ำหน้าแล้วกดลงกับที่นอน” แววตาของปกรณ์แน่นิ่ง เขากำลังพยายามข่มความหวาดกลัวเอาไว้เพื่อที่จะเล่าทุกอย่างออกมาด้วยท่าทางที่ปกติที่สุด “ตอนที่คุณน้าสั่งให้ปรัชญ์ทำแบบนั้นกับพี่ ปรัชญ์ไม่ได้ทำใช่ไหม คือ... ตอนนั้นพี่...”


   ปรปรัชญ์ยกมือขึ้นปรามไม่ต้องการให้อีกฝ่ายพูดต่อ เขารู้แล้วว่าปกรณ์หมายถึงเรื่องอะไร เหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตของปรปรัชญ์เช่นกัน


   “ผมไม่ได้ทำ และไม่คิดจะทำแน่นอน ผมรู้ว่าพี่ทรมาน ผมไม่อยากให้พี่นึกถึงตอนนั้นอีกแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้วนะครับ ถึงตอนนั้นผมจะกลัวแม่แต่เรื่องพรรค์นั้นผมไม่มีวันทำกับพี่ชายของผมแน่นอน”


ปรปรัชญ์เองก็เจ็บปวดกับเหตุการณ์นั้นเช่นกัน ฤทัยดีโมโหแล้วแล้วเหมือนปิศาจ หล่อนกระทำกับเด็กที่ไม่มีทางสู้อย่างป่าเถื่อนด้วยน้ำมือของหล่อนเอง


ปกรณ์น้ำตาซึม เหตุการณ์นั้นตามหลอกหลอนเขามาเสมอเวลาที่นึกถึงปรปรัชญ์ ปกรณ์ทั้งเจ็บปวดและหวาดกลัวจนไม่รับรู้เลยว่าใครเป็นคนลงมือ เขาพยายามคิดมาเสมอว่าฤทัยดีเป็นคนทำ แต่อีกใจก็หวั่นว่าปรปรัชญ์จะทำเพราะหล่อนสั่งลูกชายด้วยน้ำเสียงที่ดังก้อง พอได้รู้แบบนี้... ความกังวลก็หายไปพร้อมๆ กับความหวาดกลัว


ปรปรัชญ์รู้ว่าพี่ชายคงเจ็บช้ำมาก พอเห็นน้ำตาซึมเขาก็รีบโผเขาไปกอด... กอดพี่ชายอย่างแนบแน่น... กอดอย่างที่เคยใฝ่ฝันว่าสักวันจะกระทำแบบนี้กับพี่ชาย


ปกรณ์ร้องไห้หนักขึ้นไปอีกเมื่อถูกกอด ทั้งดีใจและตื้นตัน ความรู้สึกหนักหนาสาหัสระหว่างน้องชายที่เคยแบกมาตลอดกำลังพังทลายลง... ไม่มีอะไรค้างคาใจอีกแล้ว


   ระหว่างที่กอดนั้น ปกรณ์ก็ต้องสะดุ้งออกมาจากอ้อมกอดด้วยความตกใจ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างของปาณัฐ


   ...ร่างของปาณัฐค่อยๆ เลือนรางลงราวกับดวงวิญญาณ เหมือนกับว่ากำลังจะเลือนหายไปจากโลกนี้


โดยปกติปาณัฐจะหายไปเวลาที่เขาเผลอหลับ หรือถ้าเจอกันข้างนอกก็จะจากกันหลังจากที่ได้ล่ำลาเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ในตอนนี้ไม่ใช่


   ปกรณ์รู้สึกว่าเวลาระหว่างเขากับปาณัฐกำลังจะหมดลง... หัวใจของเขาสั่นไหว มันเต้นรุนแรงราวกับจะทะลุออกมาให้ได้


   “อย่าไปนะ ไม่จริง... ไม่จริงใช่ไหม” ปกรณ์ลุกพรวดออกมาจากเตียงแล้ววิ่งไปหาปาณัฐด้วยความรวดเร็ว เขากอดกับปาณัฐเอาไว้แน่น มันต้องไม่ใช่นี้ เขายังไม่ได้เตรียมใจรับมือกับเหตุการณ์นี้เลยสักนิด


   ปรปรัชญ์มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ แม้จะรู้จากชานนท์แล้วว่าพี่ชายจินตนาการตัวตนของใครบางคนขึ้นมาเพื่อปกป้องความอ่อนแอ แต่พอได้มาเจอสภาพกับที่ชายที่พูดกับอากาศแถมยังทำท่ากอดกับอากาศราวกับสิ่งที่กำลังกอดอยู่นั้นมีตัวตนอยู่จริงก็ทำให้เขาตกใจ


   “มองพี่สิปาณัฐ มองพี่ มองแล้วบอกกับพี่ว่าไม่จริง  มันยังไม่ถึงเวลา เรายังต้องอยู่ด้วยกัน อยู่ข้างๆ กันแบบนี้ไปอีกนาน” เสียงของปกรณ์สั่นไหวเช่นเดียวกับร่างกายที่สั่นเทาไม่หยุด


   ปาณัฐไม่ได้ตอบอะไรออกมา หากแต่แววตาของเขาจับจ้องกับปกรณ์โดยไม่กระพริบ มันเป็นแววตาที่แสดงออกถึงความสุขใจเหมือนคนไม่มีอะไรติดค้างคาใจและพร้อมจะไปจากโลกใบนี้ ฉับพลันรอยยิ้มของร่างที่กำลังเรือนลางก็ผุดขึ้น


   “ตอนนี้มีคนที่คู่ควรจะอยู่กับพี่มากกว่าผมแล้วครับ” น้ำเสียงของปาณัฐเบาหวิว หัวใจของปกรณ์รู้สึกแบบนั้นเช่นกันแต่ก็ใช่ว่าเด็กคนนี้จะไม่สำคัญอีกต่อไป


ปาณัฐพยักพเยิดไปหน้าไปทางที่ปรปรัชญ์นั่งอยู่ก่อนจะพูดออกมาว่า


“คนนั้นไงครับ น้องชายของพี่”


   ปกรณ์หันไปมองปรปรัชญ์ สลับกับปาณัฐด้วยแววตาที่เจ็บปวด เขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร... ปาณัฐเปรียบเสมือนตัวแทนของปรปรัชญ์ที่ปกรณ์ต้องการให้เป็น ปกรณ์อยากให้ปรปรัชญ์เป็นน้องที่น่ารักและชื่นชมเขาแบบนี้ ไม่ใช่น้องชายที่ใจร้ายและทุบตีอย่างเช่นในความทรงจำ เพราะฉะนั้นจิตใต้สำนึกจึงสร้างปาณัฐขึ้นมา ทำให้เขามองเห็นและพูดคุยกับปาณัฐด้วยความเข้าอกเข้าใจ


   ในเมื่อวันนี้... ปกรณ์และปรปรัชญ์ได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว ความสงสัยแคลงใจในตัวน้องชายได้หายไปจนหมดสิ้น จึงไม่มีพื้นที่ให้สิ่งที่ไม่มีตัวตนอย่างปาณัฐสามารถเชิดหน้าลอยตาอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป


   น้ำตาของปกรณ์รินไหล หัวใจของเขาเจ็บปวดเกินทน แม้จะรู้แล้วว่าปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริงแต่การที่จะต้องจากกันแบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับที่กำลังเห็นคนที่รักตายไปต่อหน้าต่อตา


   ปาณัฐเองก็น้ำตาไหลออกมาเช่นกัน ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นส่งผ่านไปถึงร่างนั้น แม้น้ำตาจะยังไหลรินแต่ปาณัฐกลับยงคงยิ้มออกมาให้อีกฝ่ายเห็นได้


   ฉับพลันร่างนั้นก็หายไป อ้อมกอดที่เคยรู้สึกว่ามีใครกลับว่างเปล่า ปกรณ์ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจพยายามวาดมือไปมาบนอากาศที่ว่างเปล่าเผื่อว่าจะสัมผัสโดนตัวปาณัฐอีกสักครั้ง ทว่า... ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น ปาณัฐจากไปแล้ว ความรู้สึกของปกรณ์มันบ่งบอกว่าการจากการในครั้งนี้เหมือนจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว ...เวลาของปาณัฐได้จบลงแล้ว


   “ม่ายยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!”


   เสียงกรีดร้องดังก้อง ปกรณ์ทรุดลงกับพื้นยังไม่อาจทำใจยอมรับได้ ชานนท์และพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ รีบวิ่งเข้ามา พอเห็นภาพปกรณ์ที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นจึงรีบพากันเข้าไปจับร่างนั้นเอาไว้ แต่เหมือนปกรณ์ไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น หัวใจของเขาในตอนนี้ร้องหาแต่ปาณัฐ


   เมื่อปกรณ์ยังคงดิ้นไม่หยุด ปรปรัชญ์ที่นั่งนิ่งอยู่นานเพราะสับสนที่เกิดขึ้นจึงเดินเข้ามาแล้วกอดกับร่างของพี่ชายเอาไว้แน่น แม้จะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าสิ่งที่ปกรณ์มองเห็นและสัมผัสได้เพียงคนเดียวกำลังจะหายไป... หากไปจากชีวิตของพี่ชายตลอดกาล และถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงมันย่อมเป็นข่าวดี เพราะนั่นหมายความว่าพี่ชายของเขาใกล้กลับมาเป็นปกติแล้ว


   “ผมจะอยู่กับพี่เอง พี่ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้นะครับ” เสียงกระซิบของปรณัฐดึงสติของปกรณ์ให้กลับมาได้


   ร่างของปกรณ์ค่อยๆ นิ่งและกลับมาสงบ ก่อนที่ในที่สุดจะหมดสติไป หมดสติภายในอ้อมกอดของคนที่เขาเคยหวาดกลัวมาทั้งชีวิต


   ทุกอย่างเหมือนจะจบลงด้วยดี ทว่าเสียงประตูที่ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างใหม่ที่โผล่เข้ามาในห้อง ได้ทำให้ปรปรัชญ์ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ


   “ลูกมาทำอะไรที่นี่” หล่อนเค้นเสียงลอดไรฟัน พยายามควบคุมอารมณ์ไว้ ไม่แสดงกิริยาโมโหร้ายต่อหน้าคนอื่น
ทั้งๆ ที่พยายามจะจบเรื่องทุกอย่างลงแล้วแท้ๆ แต่พอมาเห็นลูกชายสุดที่รักกำลังโอบกอดกับลูกชายของคนที่หล่อนเกลียดที่สุดในชีวิต ความแค้นก็เริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจหล่อนอีกครั้ง และยิ่งแค้นมากขึ้นเมื่อไม่รู้ว่าลูกชายกลับมาที่ไทยตั้งแต่เมื่อไร ไม่บอกไม่กล่าวสักคำ แถมชุดที่ใส่ก็เป็นชุดที่หล่อนซักแล้วเก็บเอาไว้ที่บ้าน หล่อนจำได้... กระทั่งกลับไปที่บ้าน ลูกชายก็ไม่คิดจะบอกหล่อนสักคำ


   ปรปรัชญ์อ้ำอึ้ง กลับมาไทยครั้งนี้เขาไม่ได้เตรียมใจมาพบหน้าแม่... แม่ที่แสนใจร้ายในสายตาของเขา


   “ไปกับแม่เดี๋ยวนี้” ฤทัยดีเดินไปกระชากร่างของปรปรัชญ์แล้วลากออกมาจากห้อง ชานนท์รีบขยับเข้าไปประคองร่างของปกรณ์แทนในทันที


   มือของฤทัยดีกำแขนของปรปรัชญ์เอาไว้แน่น หล่อนหน้าบึ้งแต่ก็ไม่พูดไม่จาอะไร พยายามเก็บอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้แล้วก้าวขาด้วยความฉับไวออกจากที่นี่ให้ไวที่สุด ไปในที่ที่ลับตาคนเพื่อที่หล่อนจะได้สั่งสอนลูกชายได้อย่างไม่ต้องระแวงสายตาผู้ใด





จบตอน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นังแม่จะรู้ไหมว่าในขณะที่ตัวเองใช้ลูกเป็นเครื่องมือแก้แค้นลูกของศัตรู ลูกของตัวเองก็บอบช้ำ (ทางใจ) เหมือนกัน

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอน 34


ภายในโรงพยาบาลที่แผนกจิตเวช ปกรณ์ลืมตารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาหมดสติไปเพราะความผิดหวังและไม่อาจทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ร่างของปาณัฐสลายหายไปต่อหน้าต่อตาราวกับปาฏิหาริย์ ปกรณ์พยายามนึกถึงปาณัฐให้มากขึ้น คิดถึงเวลาที่อยู่ด้วยกันด้วยหวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกสักครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


   “คุณชานนท์ครับ” ปกรณ์เอ่ยเรียกคนที่นั่งเฝ้าเขาอยู่ข้างๆ การจากกันนั้นมันเจ็บปวดยากเกินที่จะทำใจ “ปาณัฐหายไปแล้ว เขาไม่โผล่มาให้ผมเห็นอีกแล้ว”


   “อะไรนะครับ” ชานนท์ทวนถาม เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่และสิ่งที่ปกรณ์พูดมานั้นมันหมายความว่าอย่างไร


   “ผมเห็นร่างของเขาค่อยๆ จางหายไป ตอนที่ผมอยู่กับปรัชญ์ เขาพูดเหมือนประมาณว่าเขาไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะมีปรัชญ์อยู่ตรงนี้ แล้วเขาก็หายไป” ปกรณ์อธิบายอย่างไม่อาจทำใจยอมรับ “ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย ถึงเขาจะไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่ผมก็รู้สึกอุ่นใจเวลาที่เจอเขา”

   ชานนท์จับมือของปกรณ์เอาไว้แน่น การจากลาย่อมเจ็บปวดเสมอ ยิ่งถ้าเป็นการจากกันไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้พบกันอีก แต่มันก็เป็นสัจธรรมของชีวิต ไม่ว่าวันหนึ่งวันใดก็ต้องมีการจากลา อยู่ที่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายก็เท่านั้น

   “ผมกับปรัชญ์จะอยู่ข้างๆ คุณเอง”

   “แต่ผมคิดถึงปาณัฐ” แววตาของปกรณ์เศร้าสร้อย ยิ่งพอนึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันในวันที่เขาไม่มีใครยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวด

   “ผมเข้าใจครับ” ชานนท์รับรู้ถึงความรู้สึกของปกรณ์ และเลือกที่จะไม่พูดอะไรตอกย้ำให้อีกฝ่ายเสียใจ ปล่อยให้ปกรณ์ระบายความในใจออกมาเรื่อยๆ เพราะสำหรับปกรณ์แล้วปาณัฐมีค่าและสำคัญไม่น้อยไปกว่าคนที่มีตัวตนอยู่จริง


   ปกรณ์บีบมือของชานนท์แน่น พยายามจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาเพราะไม่อยากทำให้ชานนท์กังวล แต่ยิ่งฝืนมากเพียงไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเกินกว่าจะอวดเก่งทำเป็นคนเข้มแข็งได้ ในที่สุดน้ำตาก็ทะลักมาจากดวงตาอีกครั้ง ปาณัฐที่เคยชื่นชม ปาณัฐที่เคยส่งยิ้มให้ และปาณัฐที่คอยมานั่งเฝ้าเขาอยู่ภายในห้องนี้ไม่มีอีกแล้ว นับจากนี้ไปเด็กคนนี้จะกลายเป็นเพียงความทรงจำ... ความทรงจำที่ล้ำค่าสำหรับปกรณ์

   “แล้วปรัชญ์ล่ะครับ ปรัชญ์อยู่ที่ไหน” ปกรณ์กวาดสายตารอบห้อง เขาลืมไปเสียสนิทว่าได้เพิ่งได้พบเจอกับน้องชาย “หรือว่าเมื่อกี้ผมฝันไป หรือเห็นภาพหลอน ก็ว่าอยู่ ปรัชญ์อยู่ตั้งอเมริกาจะมาที่นี่เพื่อแค่เยี่ยมผมได้ยังไงกัน ผมคงฝันไปสินะ”

   “ไม่ใช่หรอกครับ” ขานนท์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นปกรณ์มีสีหน้าที่ผิดหวัง “พอดีคุณฤทัยดี แม่ของคุณปรัชญ์มาที่นี่ แล้วก็พาตัวคุณปรัชญ์กลับไปตอนที่คุณหมดสติ”

   “แม่เลี้ยงผมมาที่นี่งั้นเหรอครับ” แค่ได้ยินชื่อก็ทำเอาปกรณ์ระแวง มองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวว่าผู้หญิงใจร้ายจะแอบซ่อนอยู่ในห้องนี้

   “ครับ แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ เขาออกไปแล้ว”

   “แล้วปรัชญ์ล่ะ ปรัชญ์จะเป็นยังไง คุณน้าทำอะไรปรัชญ์ไหมครับ” ปกรณ์เซ้าซี้ถาม เขารู้สึกเป็นห่วงน้องชาย รู้อยู่แล้วว่าฤทัยดีไม่ชอบขี้หน้า การที่ได้มาเจอเขากับน้องชายที่นี่คงไม่น่าจะใช่เรื่องดีแน่ แต่ถึงกระนั้นฤทัยดีก็รักลูกชายมาก อย่างมากก็อาจไม่พอใจแต่คงไม่ลงมือทำร้าย แต่ปกรณ์เองนี่สิ... อาจจะโดนเกลียดมากขึ้น

   “น่าจะไม่เป็นไรมั้งครับ เพราะยังไงคุณปรัชญ์ก็เป็นลูกแท้ๆ” ชานนท์ตอบออกมา “แต่ผมกลัวว่าเขาจะเอาความโกรธมาลงที่คุณมากกว่า”

   “ไม่เอานะครับ” ปกรณ์รีบส่ายหน้าทันที

   “ไม่ต้องกังวลครับ อยู่ที่นี่จะไม่มีใครทำอะไรคุณได้แน่นอน ผมสัญญา เดี๋ยวผมจะให้พยายามคอยเฝ้าคุณอย่างใกล้ชิดนะครับ อีกอย่างพอหมดเวลาเยี่ยม ก็ไม่อนุญาตให้คนนอกมายุ่มย่ามในบริเวณนี้อยู่แล้ว เขาทำอะไรคุณไม่ได้แน่”

   “จริงนะครับ” ปกรณ์ถามย้ำ ชานนท์พยักหน้าตอบ “งั้นผมขออยู่ที่นี่ตลอดไปได้ไหมครับ ผมกลัวว่าคุณน้าจะตามไปทำร้ายผมอีก”

   “คุณปกรณ์... คุณอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้นะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นมาอย่างเอ็นดู มือของเขายังคงสัมผัสอยู่ที่มือของอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย “ผมคงยอมไม่ได้หรอกที่จะเห็นคุณอยู่ในสภาพนี้ตลอดไป เป็นนักจิตวิทยาทั้งทีแต่รักษาคนสำคัญของตัวเองไม่ได้มันเจ็บใจนะครับรู้ไหม และถึงคุณจะหายดี ผมก็ไม่มีวันยอมให้ใครมาทำร้ายคุณได้หรอกครับ”

   “ครับ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ จริงอย่างที่ชานนท์บอก ที่นี่คือที่สำหรับคนป่วย เขาเคยรับปากกับชานนท์แล้วว่าจะต้องหายดี เพราะฉะนั้นจะต้องเอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้ ไม่ใช่แค่เขาที่สำคัญสำหรับชานนท์ แต่ชานนท์ก็สำคัญสำหรับปกรณ์เช่นกัน และสำคัญยิ่งกว่าใคร “แล้ววันนี้คุณอยู่กับผมได้ถึงกี่โมง”

   “บ่ายสองครับ อีกหลายชั่วโมงเลย” ชานนท์อมยิ้มออกมา “ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณนะครับ วันนี้ผมแลกวันหยุดกับเพื่อนเอาไว้แล้ว อยู่ได้ทั้งวัน”

   “คุณนี่ใจดีจังเลยนะ รู้สึกโชคดีจังที่ได้เจอกับคุณ” ปกรณ์พูดออกมาตามความรู้สึก “แล้วปรัชญ์จะเป็นไงบ้างนะ คุณน้ามาเจอแบบนี้คงเกิดเรื่องไม่ดีแน่ อ้อ... แล้วคุณรู้จักปรัชญ์ได้ยังไงครับ ดูท่าทางเหมือนจะสนิทกันใช่ย่อย”

   “ทำไมครับ หึงเหรอครับ” ชานนท์เอ่ยเล่นๆ

   “ก็นิดหน่อย น้องชายผมทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ดีกว่าผมไปหมด คุณจะชอบก็คงไม่แปลก แต่ปรัชญ์ไม่น่าจะชอบผู้ชายมั้งครับ หล่อเลือกได้ขนาดนั้น” สำหรับปรปรัชญ์นั้น ปกรณ์ยอมได้ทุกอย่าง อาจเพราะเป็นฝ่ายยอมมาตั้งแต่เด็ก ถ้าจะโดนน้องชายเอาเปรียบหรือแย่งของรักของหวงมันเลยไม่รู้สึกนึกโกรธแต่อย่างใด

   “แต่ผมว่าติดจะกะล่อนไปนิดนะครับ สายตาท่าทางเจ้าชู้ไม่เบา” ชานนท์พูดออกมาตามความรู้สึก จากที่ได้สัมผัส ผู้ชายที่มีมนุษยสัมพันธ์แบบนี้อาจทำให้คนที่ได้ใกล้ชิดหลงรักได้ง่ายโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว บางทีการกระทำของปรปรัชญ์อาจไม่ได้มีอะไรแอบแฝง ทุกอย่างที่ทำไปนั้นบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าใครที่โดนเจ้านั่นหยอดคำหวาน เล่นมุกตลกหรือถูกเอาใจบ่อยๆ แล้วล่ะก็ คงติดบ่วงรักและถอนตัวออกมาได้ยากแน่ แม้แต่กับผู้ชายด้วยกันก็ตาม

   “นั่นไง ผมว่าแล้ว คุณต้องรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ พูดเหมือนรู้จักกันดีเลยนะครับ”

   “ไม่ใช่นะครับ” ชานนท์รีบปฏิเสธ แล้วชี้แจงทันที “เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาแวะมาที่นี่เพื่อที่จะมาเยี่ยมคุณ แต่ผมไม่อนุญาตน่ะครับ เพราะยังไม่ถึงเวลาเยี่ยม แล้วก็กลัวคุณจะมีอาการแย่ลงเพราะผมไม่แน่ใจว่าพร้อมที่จะเจอไหม วันนั้นหลังเลิกงาน ก็เลยไปทานข้าวพูดคุยกันนิดหน่อยครับ น้องชายคุณดูห่วงคุณมากจริงๆ นะครับ เขาเองก็ดูเจ็บปวดไม่เบาเวลาที่พูดถึงเรื่องราวในอดีต”

   “ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันครับ” ปกรณ์พยักหน้า “ปรัชญ์เองก็ต้องอดทนอยู่กับแม่ที่เอาแต่บังคับให้เขาทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ดูเหมือนน้องชายผมก็มีเรื่องเครียดเก็บไว้ในใจ ไม่แน่ว่าอนาคตอาจจะต้องมาเป็นผู้ป่วยที่นี่เหมือนกันนะครับ แต่อาจจะแค่รักษาเบื้องต้นไม่ได้รุนแรงเหมือนผม”

   ชานนท์ยิ้มออกมาให้กับสิ่งที่ได้ฟัง

   “คุณเองก็ห่วงน้องชายไม่แพ้กันเลยนะครับเนี่ย”

   “ผมแทบร้องไห้เลยล่ะ พอรู้ว่าเขามาที่นี่เมื่อเยี่ยมผม และตกใจมากขึ้นไปอีกตอนที่เขาบอกว่าเกลียดแม่ ไม่อยากเจอแม่ตัวเอง เขาแอบเข้าไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านในตอนที่คุณน้าไม่อยู่ ผมตกใจมากจริงๆ”

   “ผมเองก็เหมือนกัน” ชานนท์รู้สึกเช่นเดียวกัน การที่ลูกสักคนจะรู้สึกไม่ดีจนไม่อยากเจอแม่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต้องมีปมฝังใจอะไรบางอย่าง และจากสิ่งที่ปรปรัชญ์เองได้พบได้เจอในทุกๆ วันเมื่อครั้งยังเด็ก จึงไม่แปลกถ้าปรปรัชญ์จะรับไม่ได้กับการกระทำของแม่ “คุณเองก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันนะ ถ้าคุณฤทัยดีรู้ว่าโดนลูกชายเกลียดแบบนั้น เธออาจจะยิ่งไม่พอใจ และอาจมาลงที่คุณอีกก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่ยอมให้เขามาทำอะไรคุณได้หรอก”

   ปกรณ์ก้มหน้า สีหน้าของเขาในยามนี้ตรึงเครียด ไม่ใช่เพราะกลัวฤทัยดี แต่เพราะเป็นห่วงปรปรัชญ์มากกว่า

   “ไม่เอาน่า ไม่คิดมากนะครับ เอางี้ดีไหม เดี๋ยวผมโทรไปหาปรัชญ์ตอนนี้เลย”

   พูดจบก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาฝ่ายนั้นทันที หากแต่ไม่มีใครกดรับสาย ไม่ว่าจะกดโทรออกไปกี่รอบๆ สายโทรศัพท์ก็ตัดไปเอง

   “ไม่มีคนรับเลยครับ” ชานนท์เริ่มรู้สึกกังวลแล้วเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรเจ้านั่นเป็นลูกของฤทัยดี หล่อนคงไม่ใจร้ายถึงขั้นลงไม้ลงมือกับลูกชาย อย่างมากก็คงดุด่า

   “โทรไปเรื่อยๆ เลยได้ไหมครับจนกว่าจะมีคนรับ ผมไม่สบายใจเลย” ปกรณ์อ้อนวอน เขารู้จักความร้ายกาจของฤทัยดี ต่อให้รักลูกชายนักหนาเพียงใด แต่ถ้าหล่อนสติแตกขึ้นมาเมื่อไร อะไรก็ฉุดหล่อนไว้ไม่อยู่ทั้งนั้น ต่อให้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อนก็ตาม

   ย้อนไปตอนที่ยังเป็นเด็ก วันนั้นปรปรัชญ์ไม่ยอมทำตามที่หล่อนสั่ง หล่อนสั่งให้ปรปรัชญ์ใส่รองเท้าสตั๊ดแล้วกระทืบปกรณ์และถุยน้ำลายใส่หน้า เพราะหล่อนโกรธที่ปกรณ์ลืมยกมือไหว้หลังจากที่กลับมาจากโรงเรียน ความจริงปกรณ์ไม่ได้ลืมเพียงแต่กำลังเหม่อลอยเลยมองไม่เห็นหล่อนเท่านั้น

ตอนนั้นปรปรัชญ์คิดว่าคำสั่งของหล่อนมันเป็นเรื่องไม่สมเหตุผล ให้กระทืบและถุยน้ำลายใส่หน้าพี่ชายเพราะแค่ต้องการให้เขารู้สึกต้อยต่ำและรู้ว่าใครสูงส่งกว่าใคร 

   ปรปรัชญ์คิดว่าถ้าต้องเป็นตัวเองที่อยู่ในสภาพแบบปกรณ์นั้น อยู่กับแม่เลี้ยงที่จิตใจวิปริตแบบนี้ก็คงไม่มีกระจิตกระใจจะทำความเคารพ ปรปรัชญ์จึงเถียงออกไป

ฤทัยดีโมโหที่โดนลูกชายด่าต่อหน้าปกรณ์ หล่อนจึงพลั้งมือตบหน้าด้วยความรุนแรงจนปรปรัชญ์สลบแน่นิ่ง พอฟื้นขึ้นมาหล่อนก็จับปกรณ์มาลงโทษอย่างทารุณต่อหน้าปรปรัชญ์ และตั้งแต่ครั้งนั้น ปรปรัชญ์จึงไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งหล่อนอีกเลย




   อีกด้านหนึ่ง ปรปรัชญ์ถูกลากออกไปยังลานจอดรถ ฤทัยดีเปิดประตูรถแล้วสั่งให้ลูกชายเข้าไปนั่งในนั้นก่อนที่หล่อนจะเปิดประตูตามเข้าไปในฝั่งคนขับ

   หล่อนสตาร์ทรถแล้วเปิดแอร์แต่ยังไม่ได้ขับออกไปไหน จิตใจของหล่อนกำลังร้อนลุ่มเมื่อเห็นภาพของลูกชายสุดที่รักกำลังโอบกอดกับร่างของลูกชายของนางผู้หญิงที่หล่อนเกลียดที่สุด

   “ลูกไปกอดมันทำไม แล้วมาที่นี่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกแม่” หล่อนเค้นเสียงลอดไรฟัน  พยายามข่มเพลิงที่กำลังสุมในจิตใจไม่ให้ปะทุออกมา ทั้งๆ ที่กะว่ามาวันนี้จะมาเคลียร์เรื่องทุกอย่างให้จบลงด้วยดีแท้ๆ

   ทว่า... ปรปรัชญ์กลับนั่งนิ่ง ไม่ตอบคำถามใดใดออกมา ไม่สนใจอีกฝ่าย ไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าด้วยซ้ำ และอาการเมินของลูกชายได้กลายเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้ไฟแห่งความโกรธแค้นของฤทัยดีระเบิดออกมา

   “ลูกก็รู้ว่าแม่เกลียดไอ้บ้านั่น!” หล่อนตะคอกเสียงดัง ไม่เหลือคราบของผู้ดีแล้ว “แม่เกลียดมัน แล้วทำไมยังต้องไปทำดีกลับมัน แม่สอนมาตลอดไม่ใช่เหรอว่าให้มองมันเหมือนเป็นขี้ข้าตัวหนึ่งเท่านั้น เอามันไว้รองมือรองตีน แล้วนี่อะไร สายตาห่วงใยของลูกที่มองมัน ท่าทางแบบนั้นลูกทำลงไปได้ยังไง ไม่ขยะแขยงเลยรึไง”

   เสียงของหล่อนดังจนปรปรัชญ์ต้องยกมือขึ้นมาอุดหู ความจริงหล่อนอยากจะระบายความแค้นออกไปด้วยการลงไม้ลงมือด้วยซ้ำ แต่เพราะคนตรงหน้าคือลูกชาย และในยามนี้เขาก็หล่อเหลา และยังมีผลการเรียนที่อยู่ในระดับดีมาก เป็นความภาคภูมิใจ หล่อนจึงพยายามยั้งมือยั้งเท้าเอาไว้ ไม่กระทำอะไรรุนแรงกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพราะกลัวจะโดนเกลียด... แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะคิดช้าเกินไป

   “หึ... โกรธผมเหรอครับ” ปรปรัชญ์แสยะยิ้มออกมาแล้วเหลือบสายตาไปมองแม่ของตนด้วยความรู้สึกที่สมเพช ไม่ได้อยากทำแบบนี้สักนิด แต่เพราะการกระทำของคนเป็นแม่มันทำให้เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ ต่อให้ใครจะพร่ำสอนว่าแม่คือผู้มีพระคุณ ห้ามแสดงกริยามารยาทที่ไม่สมควรออกมา แต่ถ้าเลือกได้เขาไม่ขอเกิดมาเป็นลูกของแม่ที่จิตใจสกปรกแบบนี้ยังจะดีเสียกว่า

   “ทำไมมองแม่แบบนี้” น้ำเสียงของหล่อนสั่นไหว เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายคนนี้ ท่าทีของเขาเปลี่ยนไป สายตาที่เย็นชานั่น ทำไมมันจึงทำให้หล่อนรู้สึกทรมานใจได้มากขนาดนี้ มองราวกับว่าหล่อนไม่ใช่แม่ เป็นแค่สิ่งไร้ค่าที่น่าสมเพช

   ฤทัยดีกำลังลิ้มรสของความเจ็บปวด การที่ถูกมองแบบไร้ค่าจากคนที่ตนรักมากที่สุดนั้นมันทรมานยิ่งกว่าถูกใครมอง หล่อนอาจจะกำลังเจ็บปวดเท่ากับที่ปกรณ์เคยรู้สึกหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะคนที่ทำให้หล่อนรู้สึกไร้ค่าคือลูกชายแท้ๆ ของหล่อน
   “ทำไมครับ เจ็บงั้นเหรอ เสียใจเหรอ แม่มีความรู้สึกแบบนั้นด้วยเหรอ”

   น้ำเสียงของปรปรัชญ์ช่างเย็นชาเหลือเกิน แต่ละวาจาที่เอ่ยมา แต่ละกิริยาที่แสดงออก ฤทัยดีสัมผัสได้ถึงความห่างเหิน  เหมือนกับว่านี่ไม่ใช่ลูกชายที่เคยอยู่ในโอวาท ราวกับว่ากำลังมีผีห่าซาตานตนไหนกำลังเข้าสิงจิตใจของร่างนั้นจึงทำให้ปรปรัชญ์เปลี่ยนไป

   “เกิดอะไรขึ้นกับลูก ใครทำให้ลูกเป็นแบบนี้ ไอ้ปกรณ์ใช่ไหม มันเป่าหูอะไรลูก บอกแม่มา บอกแม่มาเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของฤทัยดีร้อนรน หล่อนจ้องมองลูกชายด้วยความแคลงใจ ลูกชายที่น่ารักและเคยเชื่อฟังของหล่อนหายไปไหน แล้วหล่อนก็พยายามหาเหตุผลอะไรที่ทำให้เปลี่ยนไป

   “ไม่มีใครทำอะไรผมหรอกครับ” ปรปรัชญ์เอ่ยออกมา น้ำเสียงยังคงเย็นชาแน่นิ่งผิดกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่น้ำเสียงของหล่อนนั้นช่างเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยความทรมานใจเหลือเกิน “ถ้าจะมีใครสักคนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ก็คงจะเป็นคุณนั่นแหละ คุณฤทัยดี”

   “กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!” ฤทัยดีกรีดร้องเสียงดังลั่น คำพูดที่น่าผิดหวังและเยือกเย็นที่เปล่งออกมาจากปากของลูกชายทำให้หล่อนขาดสติ

ปรปรัชญ์ไม่ยอมเรียกหล่อนว่าแม่ การที่เรียกหล่อนว่า ‘คุณฤทัยดี’ แม้จะฟังดูแสนสุภาพแต่พอมันออกมาจากปากของลูกชายสุดที่รักในบริบทแบบนี้มันจึงทำให้หล่อนรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าการโดนตบหน้าเป็นไหนๆ คำพูดที่เหมือนปกติแต่กลับมีอานุภาพรุนแรงจงส่งผลกระทบต่อความเจ็บปวดในจิตใจอย่างแสนสาหัส ถ้าต้องโดนลูกชายมองและพูดจาด้วยความเย็นชาแบบนี้ หล่อนยอมให้ลูกชายทุบตียังดีเสียกว่า

“ลูก...” เสียงของหล่อนสั่นไหวและแหบพร่าเนื่องจากเพิ่งส่งเสียงกรีดร้องออกไปอย่างหนักหน่วง “มันทำให้ลูกเป็นแบบนี้ใช่ไหม ไอ้ปกรณ์ลูกของอีสารเลวนั่น ลูกอย่าไปฟังมันนะ ลูกอย่าทำแบบนี้กับแม่”

ปรปรัชญ์มองฤทัยดีด้วยหางตา สายตาที่วิงวอนแบบนั้นมันเหมือนกับตอนที่ปกรณ์เคยทำเมื่อตอนถูกหล่อนทุบตี คิดดังนั้นหัวใจของปรปรัชญ์ก็รู้สึกเจ็บปวด เขาที่เป็นลูกชายแท้ๆ กลับทำให้แม่เสียใจ แต่เขาก็ต้องใจแข็งทนไว้ ในเมื่อแม่ยังพูดจาไม่น่าฟัง แถมยังเอาแต่อาฆาตคนอื่น ปรปรัชญ์จึงไม่อาจยอมรับได้เช่นกัน

“โกรธผมไหมครับ ที่ผมเป็นแบบนี้” เสียงของปรปรัชญ์เบาหวิว

“ไม่เลย แม่ไม่โกรธลูกเลย” ฤทัยดีส่ายหน้า ในตอนนี้ถ้าลูกสั่งให้ทำอะไรหล่อนก็ยอมทั้งนั้น ขอแค่ให้ได้ลูกชายคนเดิมกลับมา

“งั้นผมขออะไรอย่างได้ไหม”

“ได้สิ ลูกจะขออะไรบอกแม่มาเลย”

“เลิกเรียกพี่ปกรณ์ว่าไอ้ เลิกดูถูกพี่ปกรณ์ เลิกอาฆาตแม่ของพี่ปกรณ์สักที แม่เขาก็จากไปแล้ว แล้วก็ไปขอโทษพี่ปกรณ์กับผมตอนนี้ จากนั้นก็เลิกยุ่งกับพี่ปกรณ์ไปเลย ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีกเพราะผมลูกว่ายังไงคุณก็ไงทำใจให้ยอมรับพี่ปกรณ์ไม่ได้ ในเมื่อเป็นแบบนั้นก็ต่างคนต่างอยู่ ขอแค่นี้ ทำให้ผมได้ไหม”

ปรปรัชญ์เอ่ยออกมาด้วยความหวัง แม้จะรู้ว่ามันริบหรี่เพียงใดแต่ก็ลองขอดูก่อน ขอแค่ได้พูดออกไปเผื่อว่าแม่จะรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของเขาบ้าง

แต่ความหวังของปรปรัชญ์คงจะริบหรี่จริงๆ เมื่ออีกฝ่ายนั่งนิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไรกลับมา สายตาแข็งกร้าวขณะกำลังใช้ความคิด ปรปรัชญ์รับรู้ได้ทันทีว่าคำขอร้องนี้ไม่มีวันประสบผล ดังนั้นเขาก็ไม่อาจยอมรับแม่ที่มีนิสัยแบบนี้ได้เช่นกัน

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ส่วนคุณ... อย่ามาพยายามยุ่งกับผมอีก แล้วอย่ามาหาว่าผมไม่เตือน” ปรปรัชญ์ส่งคำขู่ทิ้งท้ายก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวออกจากรถไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เขาต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งทั้งที่ในใจกำลังอ่อนแอ การเย็นชากับแม่ผู้บังเกิดเกล้ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เขารู้สึกผิดแต่ก็ไม่มีทางเลือก ในเมื่อฤทัยดีเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนข้อ เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องอดทน เขาจะต้องไม่ใจอ่อนให้กับแม่เช่นกัน

‘ขอโทษนะครับแม่ หวังว่าแม่จะเข้าใจ’

ฤทัยดีกัดฟันกรอด มือทั้งสองข้างกำแน่นหลังจากที่ปรปรัชญ์เดินออกจากรถไป อะไรทำให้ลูกชายของหล่อนเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ หล่อนไม่อาจทำใจยอมรับได้ที่ลูกชายเรียกปกรณ์ว่า ‘พี่’ และเรียกหล่อนว่า ‘คุณ’ ความเหินห่างมันชัดเจน ปรปรัชญ์เลือกที่จะอยู่ข้างอีกฝ่าย และยังบังคับจิตใจให้หล่อนยอมอ่อนข้อด้วย มีหรือที่หล่อนจะยอม

ทิฐิของฤทัยดีคงสูงส่งเกินไป... สูงเกินกว่าที่จะยอมก้มหัวอ่อนข้อให้กับคนที่คิดว่าต่ำต้อยกว่า ในเมื่อปรปรัชญ์ร้ายมา หล่อนก็คงต้องร้ายกลับไป ต่อให้เป็นลูกชายที่รักมากขนาดไหน ในเมื่อกล้าทำให้หล่อนผิดหวังได้ถึงเถียงนี้มีหรือที่หล่อนจะยอม

“ห่วงใยมันมากใช่ไหม” ฤทัยดีพึมพำออกมา “เกลียดแม่มากใช่ไหม แล้วจะได้เห็นดีกัน ลูกไม่รักดี!”




จบตอน

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สะใจยายป้าฤทัยดี ไงล่า ลูกก็ไม่เข้าข้าง

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 35

   ปรปรัชญ์เดินกลับเข้าไปภายในโรงพยาบาลอีกครั้ง จุดหมายของเขาคือห้องพักของปกรณ์ในแผนกจิตเวช จิตใจของเขาในตอนนี้กำลังสับสน เขาไม่อาจทำนิ่งเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หลังจากที่ได้พูดจาทำร้ายจิตใจของแม่ผู้บังเกิดเกล้า แม้จะไม่ชอบใจแต่สำนึกในความเป็นลูกของปรปรัชญ์นั้นมันยังคงหยั่งรากลึกอยู่ในจิตใจอย่างมั่นคง จึงทำให้ปกรณ์เสียใจทุกครั้งที่กระทำไม่ดีกับแม่ เหตุที่เกิดขึ้นคงเป็นผลจากกรรมที่แม่ได้กระทำเอาไว้ ไม่ว่าจะเจ็บปวดหัวใจเพียงใด ปรปรัชญ์ก็ต้องอดทน เพราะยังมีใครอีกคนที่เจ็บปวดมาทั้งชีวิตมากกว่าเขาด้วยซ้ำ และใครคนนั้นก็คือปกรณ์

   ประตูห้องของปกรณ์ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับร่างของปรปรัชญ์ ชานนท์และปกรณ์ที่นั่งอยู่ในห้องหันไปมองทันที พอเห็นว่าใครกำลังเดินเข้ามารอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

   “พี่ฟื้นแล้วเหรอครับ” ปรปรัชญ์เดินเข้าไปหาทั้งสองด้วยท่าทางที่ร่าเริงแจ่มใส เขาข่มความทุกข์ใจทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้ในใจเลือกที่จะไม่แสดงออกมาเพื่อให้ทุกคนสบายใจ

   “ฟื้นแล้วครับ พอคุณออกไป สักพักพี่ชายคุณก็ตื่นขึ้นมา” ชานนท์เล่าให้ฟัง

   “หูย... รู้แบบนี้แล้วเสียใจจัง พี่ไม่อยากเจอผมขนาดนั้นเลยเหรอครับเนี่ย พอผมไม่อยู่แล้วรีบตื่นขึ้นมาเชียวนะ” ปรปรัชญ์พูดติดตลก

   “เปล่านะ” ปกรณ์รีบปฏิเสธในทันทีกลัวว่าน้องชายจะเข้าใจอย่างที่พูดจริงๆ “พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ ปรัชญ์คงเห็นตอนที่พี่พูดคนเดียวแล้วสินะ”

   ปกรณ์หลบสายตาอย่างรู้สึกประหม่า... มันน่ากังวลเวลาที่คนอื่นรู้ว่าเขาบ้าและเพ้อเจ้อจนสามารถคุยกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงได้ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร อาจจะกำลังสมเพชเขาอยู่ก็ได้

   “เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอกครับ” ปรปรัชญ์เดินเข้าไปนั่งข้างๆ กับปกรณ์อีกฝั่ง ในตอนนี้ปกรณ์กำลังนั่งอยู่ตรงกลางโดยมีชายหนุ่มอีกสองคนขนาบข้างเอาไว้ “สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือพี่ต้องรักษาตัวเองให้หายดี ไม่ต้องคิดหรือกังวลอะไรทั้งนั้น พี่ชานนท์จะดูแลพี่ ผมเองก็เหมือนกัน ผมจะเป็นกำลังใจให้พี่ อีกไม่กี่วันผมก็ต้องกลับไปเรียนต่อ อีกแป๊บเดียวก็จะจบ ผมจะรีบจบรีบกลับมาหาพี่นะ พี่ให้สัญญากับผมนะ ว่ากลับมาคราวนี้ พี่จะต้องหายดี แล้วเราสองคนพี่น้องจะไปเที่ยวด้วยกัน อ้อ... ถ้าคุณชานนท์ว่างจะไปด้วยกันก็ได้นะครับ”

   ปกรณ์รู้สึกโล่งใจที่ได้ยินน้องชายพูดแบบนี้ ความหวาดระแวงที่เคยมีต่อปรปรัชญ์เขาคิดเองเออเองทั้งนั้น เด็กหนุ่มคนนี้อ่อนโยนกว่าที่คิด และเชื่อว่าอีกไม่นานคงจะยอมรับกับการจากไปของปาณัฐได้ ปรปรัชญ์เป็นคนเดียวที่สามารถปลดปล่อยความคิดถึงที่มีต่อปาณัฐ แค่ได้รับรู้ว่าน้องชายห่วงใยมากแค่ไหน เขาก็ไม่ต้องการใครมาคอยชื่นชมอีกแล้ว

   “พี่สัญญา” ปกรณ์ส่งยิ้มให้พร้อมตอบรับด้วยความแน่วแน่ก่อนจะหันไปมองชานนท์ “แต่ถ้าพี่ไม่หายให้โทษคุณนักจิตวิทยาคนนี้เลยนะที่ดูแลพี่ไม่ดี”

   “อ้าว...” ชานนท์หันไปมองกลับ “แบบนี้ก็ได้เหรอ”

   “ได้ครับ ถ้าพี่ไม่หาย ผมจะโทษพี่ชานนท์” ปรปรัชญ์ตอบปกรณ์ก่อนจะหันไปมองชานนท์ “ฝากด้วยนะครับพี่ หนักหน่อยนะงานนี้”

   “โห... สองพี่น้องเล่นรุมกันแบบนี้ผมก็แย่น่ะสิครับ” ชานนท์แกล้งทำน้ำเสียงตัดพอ ปกติแค่ต้องรับมือต่อปากต่อคำกับพวกเขาตามลำพังว่ายากแล้ว นี่เล่นรวมหัวกันแบบนี้เขาก็ไม่รอดน่ะสิ

   ท่าทีของชานนท์ส่งผลให้สองพี่น้องหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ พวกเขาเข้ากันได้ไวกว่าที่คิด อาจเพราะความผูกพันลึกๆ ในอดีตเป็นจุดสำคัญที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็รับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกัน ไม่เคยนึกเกลียดกันแม้จะมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำเกิดขึ้นหลายอย่าง

นี่แหละหนาถึงได้มีคนบอกว่า... สถาบันครอบครัวคือสิ่งที่ปลูกฝังจิตใจความรู้สึกของมนุษย์ได้ดีที่สุด ถ้าต้องอยู่ในสภาพครอบครัวที่ย่ำแย่ แต่ยังมีใครสักคนที่แสนดี ก็ยังถือว่าเป็นการดีกว่าการที่ไม่มีใครสนใจกันเลย

   พวกเขาทั้งสามใช้เวลาอยู่ด้วยกันภายในห้องพักของปกรณ์จนกระทั่งหมดเวลาเยี่ยม แม้ปกรณ์จะรู้สึกเศร้าแต่เขาก็ยินดีมากกว่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้

การปรากฏตัวของปรปรัชญ์มีผลในการเยียวยารักษาจิตใจของปกรณ์ เขาทำให้ปกรณ์หัวเราะออกมาได้อย่างมีความสุขในตอนที่อยู่ด้วยกัน หมอการุณที่เห็นสภาพหลังจากที่พวกเขาทั้งสามแยกจากกันถึงกับต้องเอ่ยปากลับหลังกับชานนท์ว่าอาการของปกรณ์ดูดีขึ้นมาก ไม่จมอยู่กับความเศร้านานเหมือนยังเคย ปรับตัวกับคนอื่นได้ง่ายขึ้น มีการพูดคุยซักถามกับพยายามที่เขาไปดูแล มีการโต้ตอบมากขึ้น ความเขินอายน้อยลงซึ่งเป็นผลดีกับผู้ป่วย

หมอการุณคิดว่าหากไม่มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ ทำการรักษาอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ และลองให้เข้ารับการบำบัดแบบกลุ่มร่วมกับผู้ป่วยคนอื่นๆ อีกไม่น่าเกินหนึ่งเดือนก็น่าจะหายและออกจากโรงพยาบาลได้

ชานนท์และปรปรัชญ์ที่ได้ฟังคำชี้แจงจากหมอก็อดที่จะรู้สึกดีใจแล้วยิ้มออกมาไม่ได้ ทุกอย่างกำลังไปได้ดี... แต่อีกด้านหนึ่ง ปรปรัชญ์ก็อดที่จะห่วงไม่ได้เช่นกัน ฤทัยดีกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ หล่อนอาจจะมาหาปกรณ์ที่นี่แล้วทำให้เรื่องทุกอย่างมันแย่ลง และถ้าเป็นเช่นนั้นปรปรัชญ์อดที่จะโทษตัวเองไม่ได้แน่ ถ้ายอมอ่อนข้อให้แม่สักนิด แม่อาจจะใจเย็นและยอมทำตามที่เขาขอร้องก็ได้

“พี่ชานนท์ครับ” ปรปรัชญ์เอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขาแยกตัวเข้าไปในห้องทำงานของชานนท์

“ครับ มีไรเหรอปรัชญ์” ชานนท์เอ่ยถามเพราะรู้สึกว่าใบหน้าของปรปรัชญ์กำลังสื่อถึงความเครียด

“เรื่องแม่น่ะครับ” ปรปรัชญ์เอ่ยออกมา เพียงเท่านี้ชานนท์ก็เข้าใจได้ทันทีว่าจะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ “ผมอยากให้ระวังไว้นะครับ ถ้าจะให้ดีผมอยากให้หมอและพยายามห้ามไม่ให้แม่เข้ามาในนี้ยิ่งดี ผมไม่ไว้ใจ”

“มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ” ชานนท์ถาม เพราะปรปรัชญ์ยังไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“ผมกับแม่ผิดใจกันนิดหน่อยครับ ผมคิดว่าแม่โกรธผมมากแน่ๆ และไม่แน่ว่าอาจจะเอาความโกรธมาลงกับพี่ปกรณ์ ถ้าปล่อยให้แม่ได้เจอพี่ปกรณ์ ที่พี่พยายามรักษาอาจจะสูญเปล่าได้ครับ”

น้ำเสียงของปรปรัชญ์เคร่งเครียด ชัดเจนว่าเรื่องที่กล่าวมานั้นมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นจริง

“เดี๋ยวพี่จะแจ้งหมอกับพยาบาลให้ครับ ความจริงที่นี่ก็ค่อนข้างดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดีไม่ให้ใครมาเพ่นพ่านอยู่แล้ว แต่ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าคุณฤทัยดีรู้ได้ยังไงว่าวันนี้หมออนุญาตให้เข้าเยี่ยมปกรณ์”

“แม่อาจจะมาสืบ หรือ... อาจจะรู้จากพ่อก็ได้มั้งครับ ยังดีหน่อยที่ผมรู้สึกว่าพ่อดีขึ้น จากที่ไม่เคยสนใจพี่ปกรณ์ แต่ก็คอยโทรมาเล่า มาบอกอาการของพี่ปกรณ์ให้ผมฟัง”

“คุณประสิทธิ์สินะครับ” ชานนท์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากที่เคยคุยกัน ชานนท์เองก็สัมผัสได้ลึกๆ ว่าผู้ชายคนนี้มีความห่วงใยปกรณ์อยู่ในที แต่ที่ไม่แสดงออกมาอาจเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับแม่ของปกรณ์นั้นก็ร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเขาพอสมควร จึงเป็นการยากที่คนที่พยายามปฏิเสธลูกชายคนนี้มาโดยตลอด จะยอมรับว่าเขาคือลูกแบบตรงๆ และแสดงออกถึงความรักอย่างเช่นที่แสดงกับปรปรัชญ์

“ใช่ครับ เมื่อก่อนพ่อทำเหมือนพี่ไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เริ่มพูดถึงมากขึ้น ผมดีใจมากๆ เลยนะตอนที่พ่อเสียค่าโทรศัพท์ตั้งหลายบาทเพื่อแค่ที่จะโทรข้ามประเทศไปเล่าให้ผมฟังเรื่องอาการของพี่ปกรณ์”

“แล้วกลับมานี่ได้เจอกับพ่อบ้างยังครับเนี่ย”

“ยังเลยครับ ผมไม่อยากบอกพ่อ ถ้าพ่อรู้ก็คงบอกแม่ แต่ตอนนี้แม่ก็จับได้ซะแล้ว ยังไงผมคงต้องหาเวลาแวะไปหาพ่อแล้วล่ะครับ เดี๋ยวพ่อก็คงรู้จากแม่อยู่ดี ถ้าไม่ไปหาจะถูกน้อยใจเอา”

   “ก็ดีแล้วครับ พี่ว่าคุณประสิทธิ์ก็คงอยากเจอคุณเหมือนกัน” ชานนท์เห็นด้วย ถึงอย่างไรก็เป็นพ่อลูก กลับมาเมืองไทยทั้งทีถ้าไม่ไปเจอเลยคงจะใจร้ายเกินไปหน่อย

   “พี่ชานนท์รู้จักพ่อด้วยเหรอครับ” ปรปรัชญ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย “อ่อ สงสัยตอนที่พ่อมาที่นี่ คงได้เจอกันแล้วสินะครับ”

   “ครับ” ชานนท์พยักหน้า “จริงๆ ก็เคยเจอก่อนหน้านี้อยู่นะครับ แต่ก็รู้สึกลึกๆ ตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าคุณประสิทธิ์ก็ห่วงปกรณ์อยู่เหมือนกัน แค่ไม่แสดงออก”

   “ใช่ไหมล่ะครับ ขนาดพี่ชานนท์ยังดูออก” ปรปรัชญ์พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ เขาไม่ได้คิดไปคนเดียว ตอนนี้ก็เหลือแต่แม่เท่านั้นที่ไม่ยอมอ่อนข้อ และดูท่าจะยากเสียด้วย “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมโทรนัดเจอกับพ่อ พี่ชานนท์ไปเพื่อนผมด้วยนะ ผมไม่อยากไปคนเดียว โอเค ขอบคุณครับ ผมโทรหาพ่อแป๊บ”

   พูดจบก็หยิบโทรศัพท์แล้วกดโทรออกทันที

   “เดี๋ยวสิ พี่เกี่ยวอะไรด้วย” ชานนท์พยายามจะขัด แต่ปรปรัชญ์ก็แกล้งไม่สนใจ พยายามเบี่ยงตัวหลบ หันหน้าหนี “เฮ้ย ปรัชญ์ หันมาคุยกันก่อน”

   “ฮัลโหล พ่อเหรอครับ” ปรปรัชญ์เอ่ยขึ้นเมื่อปลายสายกดรับสาย ชานนท์จึงต้องยอมสงบลง

   “พ่อรู้จากฤทัยแล้วล่ะ แกนี่มันเหลือเกินจริงๆ กลับมาไม่คิดจะบอกพ่อเลยสักคำ” ปลายสายพูดขึ้นมา

   “ก็ไม่อยากรบกวนน่ะครับ ว่าจะรีบมารีบกลับ ไหนๆ ก็รู้แล้ว เจอกันหน่อยไหมครับ”


   “วันไหน ที่ไหนดีล่ะ”

   “วันนี้สักทุ่มหนึ่งละกัน เอาไว้เย็นๆ ผมจะโทรไปหาอีกทีนะครับ อ้อ... คุณชานนท์จะไปด้วยนะครับ ที่เป็นนักจิตวิทยาน่ะครับ” พอถูกเอ่ยถึง ชานนท์ก็ถอนหายใจออกมา ไม่สงสัยเลยว่านิสัยบังคับใจคนอื่นถูกถ่ายทอดมาจากใคร

   “ได้เลย ไว้บอกอีกทีละกัน”

   “อ้อ พ่อ... อย่าบอกแม่นะครับ ผมไม่อยากเจอ”

   “แกนี่มัน...”

   “ตามนั้นนะครับ สวัสดีครับพ่อ ไว้ดี๋ยวโทรไปหาอีกทีครับ” พูดจบก็รีบรวบรัดตัดสาย แล้วทำท่าทางสบายใจ

ปรปรัชญ์กับพ่อสนิทสนมกันมาก วันหยุดพ่อจะต้องพาออกไปเที่ยวเสมอ บางครั้งก็พาไปแนะนำให้เพื่อนที่ทำงานของพ่อรู้จัก ประสิทธิ์มอบความรักที่มีทั้งหมดให้กับปรปรัชญ์คนเดียวเท่านั้น ส่วนปรปรัชญ์เองก็มีความสุขที่ได้รับความรักนี้ ในตอนนั้นปรปรัชญ์เองก็ลืมนึกถึงความรู้สึกของปกรณ์ เพราะการแสดงออกของพ่อระหว่างลูกสองคนช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ...สำหรับปรปรัชญ์ ประสิทธิ์เป็นทั้งพ่อและเพื่อนในเวลาเดียวกัน

   “เย็นนี้ว่างไหมครับพี่ชานนท์” ปรปรัชญ์หันไปถามพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง ส่วนอีกฝ่ายน่ะหรือได้แต่ทำหน้าเอือมระอาให้กับความเอาแต่ใจและกวนโอ๊ยเอาแต่ใจคนนี้

   “บอกคุณประสิทธิ์ซะขนาดนี้ ไม่ว่างก็คงเสียมารยาทแย่สิครับ”

   “เยี่ยมครับ” ปรปรัชญ์กำมือขึ้นอย่างถูกใจ “งั้นพี่ไปทำงานต่อเถอะครับ เดี๋ยวผมนั่งรอตรงนี้”

   “นั่งรอตรงนี้เนี่ยนะ” ชานนท์พูดออกมาด้วยความตกใจ เหลืออีกประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าที่เขาจะเลิกงาน

   “ครับ ทำไมครับ” ปรปรัชญ์ถามด้วยความใสซื่อ และยังเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิมที่เคยนั่งรอชานนท์เมื่อครั้งก่อน “ตรงนี้แหละครับ”

   “แต่มันอีกตั้งสามชั่วโมงเลยนะ” ชานนท์กลัวว่าปรปรัชญ์จะเบื่อและรู้สึกเกรงใจลึกๆ ด้วยแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนบีบบังคับนัดแนะเขาเองก็เถอะ

   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเล่นเกมในมือถือรอ” ปรปรัชญ์ยักคิ้ว

   “สามชั่วโมงแบตหมดพอดี” ชานนท์เองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน

   “ผมมีแบตสำรอง” ปรปรัชญ์ยักคิ้วให้แล้วค้นกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วยก่อนจะหยิบแบตสำรองออกมาโชว์

   “ขอโทษนะคะ คุณชานนท์คะ” เสียงของพยาบาลดังขึ้นขัดจังหวะ

   “ครับ” ชานนท์หันไปคุยด้วย

   “พอดีหมอการุณเรียกพบที่ห้องน่ะค่ะ เห็นบอกว่าจะคุยอาการของผู้ป่วยที่มาเข้ารับการรักษาเมื่อวันก่อน”

   “ได้ครับ ผมจะรีบไป” ชานนท์ตอบรับก่อนที่พยาบาลสาวจะเดินจากไป เขาหันกลับไปมองปรปรัชญ์ เจ้านั่นยังคงนั่งกดโทรศัพท์แล้วยิ้มยั่ว พอรู้สึกว่าโดนจับจ้อง ก็วางละสายตาจากมือถือก่อนจะหันไปมองสู้ตรงๆ

   “ไปสิครับ หมอเรียกพบไม่ใช่เหรอ” ปรปรัชญ์เอ่ยขึ้น เขาไล่ชานนท์เอาดื้อๆ ทั้งที่เป็นฝ่ายชานนท์มากกว่าที่ควรจะไล่เขาไป “หรือพี่เป็นห่วงผมครับ อันแน่... แน่ๆ เลย แบบนี้ผมหวั่นไหวนะเนี่ย”

   “เออ งั้นก็ตามใจ” ชานนท์ส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา เด็กหนุ่มคนนี้นั้นฝีปากและกิริยากวนบาทาเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้ “งั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ”

   “ครับ” ชานนท์ยิ้มแก้มปริ แต่พอชานนท์หันหลังเดินไปสองสามก้าวเขาก็เรียกเอาไว้ “อ้อ เดี๋ยวครับพี่”

   “มีอะไร” ชานนท์หันกลับมามองคนเรียกด้วยความสงสัย

   “ตั้งใจทำงานนะครับ สู้ๆ” ปรปรัชญ์ชูกำปั้นขึ้นเหมือนต้องการจะตอกย้ำว่าเป็นกำลังใจให้

   ชานนท์ถอนหายใจ ไม่สนใจกับท่าทีของเจ้านั่นก่อนจะเดินหันหลังกลับไปเพื่อที่จะไปพบกับหมอการุณ

   ปรปรัชญ์มองอีกฝ่ายจนกระทั่งลับสายตาก่อนจะยิ้มออกมา ความจริงเขาเป็นเด็กที่สุภาพเรียบร้อยมาก เชื่อฟังผู้หักผู้ใหญ่ ไม่เคยทำท่าทีแบบนี้กับใคร แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกับชานนท์เขาถึงมีความสุขที่ได้แกล้ง

อาจเพราะในครั้งแรกที่ได้เจอแล้วนัดกัน ชานนท์เดินออกมาจากห้องทำงานด้วยเส้นผมที่ฟูฟ่อง วันนั้นคงปวดหัวกับงานแล้วเผลอเอามือขยี้กับศีรษะบ่อยๆ จนเส้นผมชี้โด่ชี้เด่ ดูทุ่มเทกับงานจนอดปลื้มไม่ได้ ทั้งชานนท์ยังเป็นนักจิตวิทยาที่สนิทสนมกับพี่ชายของเขา เขาจึงแค่อยากจะทำให้คนที่ดูแลพี่ชายของเขามีความสุขก็เท่านั้น... มั้ง



จบตอน

ออฟไลน์ Dark_Sky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หน่วงจิตใจมากสงสารทุกคนเลย
ขออย่าให้ป้าฤทัยมาตามรังควานปกกรณ์เป็นพอ
ถึวตามรังควานก็ขอให้ปกรณ์ของเราเข้มแข็งก้าวผ่านไปให้ได้
ขอให้หมอเกื้อหายไวๆสู้ๆนะคะรวมทั้งคนเขียนด้วยเป็นกำลังใจให้ค่ะ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 36


เย็นวันนี้ ชานนท์ไม่ลืมเวลานัดหมายเหมือนครั้งก่อน เขามีงานที่ต้องสะสางไม่มากนักจึงสามารถเลิกงานได้ตรงเวลา พอห้าโมงเย็น ชานนท์ก็เก็บกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากห้องทันที


ปรปรัชญ์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แต่อิริยาบถเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เล่นโทรศัพท์แล้วแต่กำลังนั่งหลับตากอดอกแล้วศีรษะผงกไปมา จนชานนท์อดขำไม่ได้


ชานนท์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้ ชอบกวนใจเขาดีนัก ต้องโดนเอาคืนบ้าง พอถ่ายภาพจนหนำใจจึงหันไปตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ


“ตื่นได้แล้ว”


   ปรปรัชญ์สะดุ้งทันทีที่ถูกเรียกก่อนจะรีบเงยหน้าสบตามองคนที่มาปลุกเขา


   “แกล้งหลับเฉยๆ นะ เนียนล่ะสิ” ปรปรัชญ์แก้ตัวออกไป จนชานนท์ต้องยิ้มออกมา


   “ครับ... เนียนมาก...” ชานนท์ลากเสียงยาว “จะไปพบคุณประสิทธิ์กันที่ไหน ไปได้แล้วเร็วๆ”


   “ไม่ต้องรีบหรอกครับ นัดพ่อไว้ที่ห้างใกล้ๆ น่าจะอีกชั่วโมงนู่นแหละครับกว่าที่พ่อจะมาถึง”


   “งั้นก่อนกลับไปแอบดูคุณปกรณ์กันหน่อยดีไหมครับ” ชานนท์เอ่ยชวน ในเมื่อยังเหลือเวลาและไม่รู้จะทำอะไร เขาก็อยากเห็นหน้าของปกรณ์ก่อนกลับ สักนิดก็ยังดี


   “พี่ดูห่วงพี่ปกรณ์จังเลยนะครับ” ปรปรัชญ์ชักสงสัย อะไรหลายๆ อย่างมันค่อนข้างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้มันมีมากกว่าแค่นักจิตวิทยาและผู้ป่วย แต่ก็ไม่แน่ใจเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้


   “เปล่า” ชานนท์ปฏิเสธออกไป เขาไม่แน่ใจว่าถ้าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปกรณ์ถูกเปิดเผยให้คนในครอบครัวทราบมันจะเป็นผลดีหรือไม่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ผู้ชายทั้งคู่ “ก็ปรัชญ์อุตส่าห์กลับมาเมืองไทยทั้งที ได้เจอปกรณ์แค่เดี๋ยวเดียวเอง ก็เลย... ชวนไปแอบดู ไม่ไปก็ได้นะ”


   “อ่อ... ครับ” ปรปรัชญ์พยักหน้าก่อนจะอมยิ้มออกมา “งั้นก็ไปเลยครับ”


   ชานนท์เดินนำไปยังห้องพักของปกรณ์ ประตูห้องผู้ป่วยเป็นประตูสีขาวแน่นหนา  จะมีหน้าต่างกระจกใสสี่เหลี่ยมอยู่ระดับใบหน้า สามารถมองจากข้างนอกเข้าไปเห็นข้างใน แต่ผู้ที่อยู่ข้างในจะไม่สามารถมองทะลุออกมาข้างนอกได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยในแผนกจิตเวชตกใจเผื่อมีใครเดินผ่านไปมาหน้าประตู


   ชานนท์และปรปรัชญ์ยืนมองใกล้ๆ กัน ในยามนี้ปกรณ์นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน เขานอนตะแคงข้างหันหน้าออกมาทางประตูพอดี ใบหน้าของคนที่นอนหลับในยามนี้ดูจิ้มลิ้มน่าทะนุถนอมจนชานนท์ต้องอมยิ้มออกมา


   “เออ ผมลืมไปเลย เมื่อก่อนพี่ปกรณ์ไม่กล้านอนบนเตียงนี่ แล้วทำไมตอนี้ถึงดูหลับสบายจังนะ” ปรปรัชญ์ยิ้มออกมาเมื่อเห็นพี่ชายนอนหลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข


   ชานนท์สะดุ้งเล็กน้อยกับความสงสัยของปรปรัชญ์ เนื่องจากเขาเองก็มีวิธีรักษาในแบบของเขาแต่คนอื่นไม่ควรรู้หรอก ...อย่าสงสัยให้มากนักเลย


   “พี่รู้ใช่ไหมครับ เพราะพี่กับหมอใกล้ชิดกับพี่ปกรณ์ที่สุดแล้ว น่าจะรู้ว่าพี่ปกรณ์กลัวเตียงนอน”


   “อืม... ก็รู้ว่ากลัว” ชานนท์พยักหน้า “แต่หมอก็มีวิธีรักษาของหมอ เรื่องมันยาว อย่าไปสนใจนักเลย”


   “อ่อครับ” ปรปรัชญ์พยักหน้า “พี่ดีขึ้นมากจริงๆ คงอีกไม่นานก็น่าจะหายดีใช่ไหมครับ”


   “ถ้าไม่มีอะไรมากระทบจิตใจ ก็น่าจะไม่นานครับ” ชานนท์ตอบออกมา


   “งั้นต้องระวังแม่เลยนะครับ” ปรปรัชญ์รีบพูดออกมา “ถ้าจะมีอะไรที่มากระทบกระเทือนจิตใจพี่ ก็คงมีแต่เรื่องแม่นั่นแหละ”


   “พี่บอกทุกคนให้เฝ้าระวังไว้แล้วครับ ถ้าคุณฤทัยดีมาให้กันไว้เลย ให้แจ้งว่าเข้าเยี่ยมยังไม่ได้ยังอยู่ในขั้นตอนการรักษา เป็นกฎของโรงพยาบาล” สำหรับชานนท์นั้นไม่ห่วงเรื่องฤทัยดีสักเท่าไร เขากังวลเรื่องหมอเกื้อมากกว่า ถ้าเกิดมีใครเผลอหลุดปากจนปกรณ์ได้ยินล่ะก็แย่แน่ หรือต่อให้ปกรณ์หายดีแล้วก็ตาม ถ้าอาการหมอเกื้อยังไม่ดีขึ้นก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกลับมาเครียดจนต้องเข้ารับการรักษาอีกครั้ง ในตอนนี้จึงได้แต่ภาวนาให้หมอเกื้ออาการดีวันดีคืน


   “ครับ ถ้าแม่โดนห้ามหรือกันไว้ก็คงไม่เข้ามาแน่” ปรปรัชญ์รู้นิสัยของแม่ตัวเองดี หล่อนไม่ทำอะไรให้เสื่อมเสียชื่อเสียงแน่ ถ้าโดนห้ามไว้หล่อนก็คงไม่คิดจะดันทุรังเข้าไปให้ถูกตำหนิ


   “เรื่องคุณฤทัยดีพี่ก็ไม่ค่อยห่วงหรอก พี่กังวลเรื่องหมอเกื้อมากกว่า ทั้งอาการของหมอ ทั้งกลัวว่าปกรณ์จะรู้ความจริง” ชานนท์เอ่ยเสียงเบา ว่าจะไม่พูดแต่ก็อดไม่ได้ พอคิดถึงเรื่องหมอเกื้อทีไรก็ต้องระบายออกมาทุกที


   ปรปรัชญ์หันไปมองชานนท์ด้วยความเห็นใจ หากเป็นเขาที่ต้องอยู่ในเหตุการณ์นั้นแทนก็คงจะรู้สึกเครียดเช่นเดียวกัน ไหนจะอาการของหมอเกื้ออีกทั้งต้องปกปิดไม่ให้ปกรณ์รู้อีก คงลำบากใจแย่


   “ไม่เป็นไรนะครับ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” ปรปรัชญยืดแขนไปโอบบ่าอีกฝ่ายเอาไว้เป็นการปลอบใจ “ไปกันเถอะครับ”


   ท้ายที่สุดก็ชวนชานนท์ออกไปจากที่แห่งนี้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดมาก หลังจากที่ทั้งคู่เดินไป ใครบางคนที่ซุ่มรออยู่นานก็แสยะยิ้มออกมา ฤทัยดีนั่งอยู่ที่บริเวณทางออกหน้าแผนก หล่อนสวมเสื้อยืดกางเกงยืนขาวซึ่งไม่ใช่แนวที่หล่อนชอบเพื่อไม่ให้ใครสงสัย ระหว่างนั้นก็หยิบแว่นดำขึ้นมาสวมใส่ พอเห็นปรปรัชญ์เดินออกมา หล่อนก็ยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาบังหน้าจนกระทั่งร่างของลูกชายและนักจิตวิทยาเดินจากไป


   ฤทัยดีมุ่งตรงไปที่แผนกจิตเวช เดินไปที่เคาน์เตอร์หน้าแผนกเพื่อที่จะคุยอะไรบางอย่าง


   “ขอโทษนะคะ รบกวนช่วยอะไรหน่อยได้ไหมคะ” หล่อนเอ่ยขึ้น


   “ค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ” พยาบาลที่นั่งอยู่ในเคาน์ตอบออกมา เธอเป็นพยาบาลฝึกงาน ซึ่งจะไม่ทราบเรื่องภายในแผนกเลยว่าผู้หญิงที่กำลังสอบมารบกวนเธอนั้นคือบุคคลต้องห้าม


   “พอดีหลานฉันมารับการรักษาที่นี่ แกป่วยน่ะค่ะ ชื่อนายปกรณ์ แล้วแกเป็นนักถ่ายภาพมีผลงานเป็นโฟโต้บุ๊คด้วยหนึ่งเล่ม พอดีมีแฟนคลับที่ติดตามผลงานทราบข่าวว่าปกรณ์มารักษาที่นี่ ก็เลยมีคนเขียนจดหมายมาให้กำลังใจน่ะค่ะ อยากจะรบกวนฝากคุณพยาบาลส่งให้คุณปกรณ์ได้ไหมคะ”


   “จดหมายเหรอคะ ได้ค่ะ” พยาบาลยิ้มรับด้วยความเป็นมิตร


   “นี่นะคะ” ฤทัยดีค้นกระเป๋าออกมา หล่อนหยิบจดหมายในกระเป๋าแล้วส่งให้กับพยาบาล ทั้งหมดมี 8 ฉบับ เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย หล่อนจึงลงทุนซื้อซองจดหมายคละสีคละลาย


   “ได้ค่ะ แต่คงต้องเป็นวันหลังนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะส่งจดหมายให้คุณปกรณ์ผู้ป่วยจิตเวชนะคะ” พยาบาลตอบตกลง เธอเป็นพยาบาลที่มารับการฝึกงานที่นี่เธอจึงยินดีและมีความสุขทุกครั้งที่มีคนมาขอร้องให้เธอช่วย ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม


   “ค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ หลานดิฉันจะต้องมีกำลังใจขึ้นมากแน่ๆ และจะต้องดีวันดีคืนแน่ๆ ค่ะ” ฤทัยดีกล่าวขอบคุณก่อนที่จะเดินกลับออกไป


   หล่อนมั่นใจว่าปรปรัชญ์ต้องคุยกับหมอและพยาบาลในแผนกว่าห้ามให้หล่อนเข้าไปพบกับปกรณ์โดยตรง หล่อนจึงเลือกที่จะใช้วิธีเขียนจดหมายแล้วฝากไว้ที่เคาน์เตอร์หน้าแผนกเอา จะช้าหรือเร็วก็ช่างขอแค่ให้ปกรณ์ได้อ่านก็พอ


   ‘ขอโทษนะคะพี่ประสิทธิ์ ฤทัยทำใจยอมรับไม่ได้ที่ลูกของเราดีกับไอ้ปกรณ์แต่เย็นชากับฤทัย ฤทัยไม่มีวิธีอื่นแล้วค่ะ ต้องให้ปรัชญ์ได้รู้ว่าการเย็นชาใส่แม่มันจะทำให้เขาต้องเจ็บปวดแค่ไหน ถ้าไม่เลิกดีกับไอ้ปกรณ์ ไอ้ปกรณ์ก็จะต้องไม่มีวันหายดีแน่นอน...’


   สิ้นความคิดหล่อนก็เผยอยิ้มออกมา ริมฝีปากกระตุกเบาๆ เมื่อคิดว่าชัยชนะครั้งนี้กำลังจะตกเป็นของหล่อน ปรปรัชญ์จะต้องกลับมาหาและขอโทษที่เย็นชาใส่หล่อนหลังจากที่ได้รับรู้ว่าอาการของปกรณ์ย่ำแย่ลง ในเมื่อลูกชายเลือกที่จะใจร้ายใส่มาก่อน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่หล่อนจะต้องไปใจดีกับลูกของคนที่แย่งผู้ชายของหล่อนไป จนทำให้หล่อนต้องโดนตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย









   ชานนท์และปรปรัชญ์ไปเดินรอเวลาที่ห้าง ไม่นานมากนักประสิทธิ์ก็โทรมาแล้วแจ้งว่ามาถึงแล้วทั้งคู่จึงไปรอประสิทธิ์ที่ร้านอาหารซึ่งได้นัดแนะกันไว้


   ปรปรัชญ์สั่งอาหารรอ ไม่ถึงสิบนาทีพ่อของเขาก็มาถึง พอเห็นร่างของชายวัยกลางคนที่ใบหน้ายังคงความหล่อ ลูกชายคนโปรดก็ลุกขึ้นไปเดินกอดทักทายด้วยความรู้สึกสนิทสนม ชานนท์มองการกระทำนั้นด้วยความขัดใจนิดๆ นึกไม่พอใจประสิทธิ์ที่ไม่เคยทำแบบนี้กับปกรณ์บ้างแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ มันเป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่น แต่ละคนคงมีเหตุผลของตัวเอง ได้แต่หวังว่าประสิทธิ์จะคิดได้โดยเร็วไว



   “หวัดดีครับพ่อ” ปรปรัชญ์ทักทาย


   “สวัสดีครับคุณประสิทธิ์” ชานนท์เองก็ลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้เช่นกัน


   “หวัดดีๆ” ประสิทธิ์ทักทายชายหนุ่มทั้งสองอย่างเป็นมิตร ถ้าไม่นับเรื่องปัญหาของปกรณ์ ประสิทธิ์ถือได้ว่าเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นคนหนึ่งเลยทีเดียว จากการที่เขาแสดงความรักกับปรปรัชญ์อย่างเปิดเผย มีพ่อแม่ไม่กี่คนหรอกที่เป็นกันเองกับลูกได้มากถึงเพียงนี้


   จะโทษประสิทธิ์เสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะถ้าแม่ของปกรณ์ไม่ทำร้ายจิตใจประสิทธิ์ก่อน เรื่องเลวร้ายทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่ชานนท์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าเป็นชานนท์ที่กำลังจะแต่งงานกับใครสักคน แต่อยู่ๆ มีใครก็ไม่รู้มาจับเขาไปทำแบบเดียวกับที่ประสิทธิ์โดน เขาก็คงจะผิดหวัง เจ็บใจและทรมานเนื่องจากอนาคตที่วางไว้กับคนรักมีอันต้องพังทลายลง


   “ปกรณ์เป็นไงบ้างล่ะ” หลังจากได้ที่นั่งประสิทธิ์ก็เอ่ยถามทันที


   “ก็ดีนะครับ ผมไม่รู้นะว่าเมื่อก่อนพี่อาการแย่ขนาดไหน แต่หมอกับคุณชานนนท์บอกว่าพี่ดีขึ้นมาก คงอีกไม่นานเดี๋ยวก็หาย” ปรปรัชญ์ตอบออกมา


   “แล้วเราเนี่ยไปสนิทสนมกับปกรณ์ตอนไหน เมื่อก่อนแทบจะไม่คุยกันเลย หน้าก็ไม่มองด้วยซ้ำ” ถึงแม้จะไม่เคยสนใจปกรณ์แต่ปรปรัชญ์ก็อยู่ในสายตาของประสิทธิ์ตลอด


   “ก็เพิ่งสนิทเนี่ยแหละครับ” ปรปรัชญ์ตอบออกไปตรงๆ ที่เขาไม่เคยสนิทกับพี่ชายก็เพราะแม่หรอกนะ เขาทำดีกับปกรณ์ไม่ได้ ถ้าแม่รู้หรือเห็นว่าพวกเขาคุยกัน ปกรณ์จะต้องโดนลงโทษ ปรปรัชญ์จึงต้องแกล้งใจร้ายกับพี่ชายเหมือนกับทุกๆ คน แต่จะพูดความจริงทั้งหมดให้พ่อฟังก็ไม่ได้ แม่ไม่เคยทำร้ายปกรณ์ต่อหน้าพ่อ แถมยังขู่ไม่ให้ปกรณ์ฟ้องพ่ออีก ถ้าพ่อรู้เรื่องนี้ พ่ออาจจะเกลียดแม่ไปอีกคน อย่างน้อย... ก็ให้ความรู้สึกของพ่อที่มีต่อแม่เป็นเหมือนเดิมน่าจะดีที่สุด


   “มีอะไรหรือเปล่า” ประสิทธิ์ไม่ใช่คนโง่พอที่จะมองอาการของลูกชายไม่ออก น้ำเสียงที่กระแทกแดกดันนิดๆ และท่าทางที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เหมือนว่าเขามีอะไรบางอย่างในใจ


   “เปล่าครับ แค่สงสารพี่ นึกโกรธตัวเองที่ไม่เคยคุยกับพี่ชายเลย” ความจริงปรปรัชญ์เกลียดการกระทำของตัวเองด้วย ไม่ใช่แค่ไม่คุย แต่เขาเคยลงมือทำร้ายร่างกายพี่ชายหลายครั้งเพราะแม่สั่ง นึกย้อนกลับไปทีไรก็โกรธให้กับความขี้ขลาดของตัวเองที่เคยทำแบบนั้น “แล้วพ่อล่ะ แต่ก่อนก็ไม่เคยพูดถึงพี่ด้วยซ้ำ”


   “อะไร... จะมาสงสัยอะไรพ่อ” ประสิทธิ์แกล้งทำเมินแต่พอรู้ว่าโดนลูกชายคนโปรดจ้องมองด้วยสายตาคาดคั้นเขาก็ต้องยอมแพ้แล้วตอบออกไป “ก็เปล่า ไม่ได้สนใจอะไรมันหรอก แต่ยังไงมันก็ลูก”


   “เนอะ ยังไงพี่ปกรณ์ก็คือลูกของพ่อ เป็นพี่ชายของผม” ปรปรัชญ์พยักหน้าเห็นด้วยแต่ก็อดหมั่นไส้ให้กับความปากแข็งของพ่อตัวเองไม่ได้ “แล้วแม่ล่ะ แม่รู้ไหม ว่าพ่อก็ห่วงพี่ปกรณ์”


   “บอกว่าไม่ได้ห่วงไง เอ๊ะ... นี่ยังไง จับผิดพ่อจัง” ประสิทธิ์แสร้งทำเสียงขัดใจ


   “อ้ะๆ ไม่ห่วงก็ไม่ห่วงครับ” ปรปรัชญ์เบ้ปากแล้วพยักหน้าแต่ก็อดที่จะหลอกถามไม่ได้อยู่ดี “แล้วตกลงแม่รู้ไหมครับ”


   “ก็รู้มั้ง” ประสิทธิ์ตอบออกมา “แต่ก็คุยกันเรื่องนี้แล้วนะ ฤทัยก็รับปากว่าจะไม่ยุ่ง จะพยายามเลิกเกลียดเด็กคนนั้น เออ... วันนี้ก็เจอกันที่โรงพยาบาลกับแม่นี่เนอะ ฤทัยตกใจมากเลยนะที่เจอลูกที่นั่น เสียงของฤทัยสั่นมากเลยล่ะตอนที่โทรมาบอกว่าเจอลูก หมอการุณโทรมาบอกให้วันนี้ไปเยี่ยมเจ้านั่นได้ พอดีพ่อติดธุระเรื่องงาน ก็เลยฝากของขวัญไปกับฤทัย ฤทัยเองก็คงรู้สึกไม่ดีที่ชอบดุด่าเด็กคนนั้นจนเป็นแบบนี้ อย่างว่าแหละเนอะครอบครัวเรามันยุ่งเหยิงไปหมด”


   “พ่อว่าไงนะครับ” ปรปรัชญ์กลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ เขาเข้าใจแม่ผิดไปงั้นหรือ


   “ก็ฤทัยบอกถ้ามีโอกาสก็อยากขอโทษเจ้านั่นเหมือนกัน ไม่รู้ได้คุยกันหรือยังน่ะสิ”


   คำตอบของประสิทธิ์แทบอยากจะทำให้ปรปรัชญ์เอาหัวโขกกำแพงให้ตาย เขามองแม่ผิดไปหรือนี่ แถมยังพูดจาไม่ดีกับแม่อีก... ไม่แปลกที่แม่จะโกรธตอนที่เห็นเขากอดกับปกรณ์ แม่คงตกใจที่เจอเขาที่นี่ อีกอย่างใจลึกๆ แม่ก็ไม่ชอบปกรณ์อยู่แล้ว แต่ก็คงพยายามจะสงบสติอารมณ์ ตอนที่ลากเขาไปบนรถอาจจะแค่อยากสอบถามธรรมดา แต่เขากลับพูดจาเย็นชาและทำร้ายจิตใจแม่


    และถ้าเป็นเช่นนั้น... แม่ก็อาจจะโกรธและเกลียดปกรณ์มากขึ้นไปอีก และเขาเองก็คือต้นเหตุที่ทำให้แม่ต้องกรีดร้องออกมาและแสดงออกชัดเจนว่าจะไม่มีวันให้อภัยปกรณ์ ถ้าตอนนั้นเขาใจเย็น คุยกับแม่ดีๆ และฟังที่แม่พูด เรื่องทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นแบบนี้


   “แป๊บนึงนะครับพ่อ” ปรปรัชญ์พูดขึ้นมาด้วยท่าทีที่เร่งรีบแล้วลุกออกจากโต๊ะไปยืนอยู่นอกร้าน


   ปรปรัชญ์กดเบอร์โทรศัพท์หาผู้เป็นแม่ แต่ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสาย ลองกดอีกหลายครั้งแต่ก็ได้ยินเพียงเสียงตอบกลับว่าไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกทุกครั้งไป


   ปรปรัชญ์ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้แม่ใจร้อนจนทำอะไรวู่วาม เขาอยากจะกลับไปคุยกับแม่ อยากขอโทษที่พูดจาไม่ดีและมองแม่ผิดไป เขารู้ว่าแม่เป็นคนทิฐิสูง การจะดีกับคนที่เกลียดที่สุดในชีวิตมันเป็นเรื่องที่ยากมาก แม่พยายามจะทำเช่นนั้นแต่เขาก็ทำให้ทุกอย่างพังทลาย ...เขาคือสาเหตุที่ทำให้แม่ยังคงเกลียดปกรณ์ต่อไป หรืออาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ


   ‘โถ่เว้ย ไอ้โง่ปรัชญ์!!!’


   ปรปรัชญ์ได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจก่อนจะเดินกลับไปภายในร้านอาหารอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจ


   ชานนท์สังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่ก็เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ถามอะไรออกไปไว้รอให้แยกกับคุณประสิทธิ์ก่อนค่อยถาม บางทีเรื่องที่ปรปรัชญ์กำลังคิดมันอาจจะเป็นเรื่องที่พ่อของเขาไม่ควรรับรู้ แล้วไม่ว่าปรปรัชญ์จะกำลังมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรในใจ ชานนท์ก็ภาวนาเอาใจช่วยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี และหวังว่าเรื่องเหล่านั้นมันจะไม่เกี่ยวของกับปกรณ์


จบตอน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
ลุ้นมากๆ คือยิ่งอ่านมันยิ่งน่าติดตามว่าจะเป็นยังไงต่อไป
ตัวละครหลักๆ มากันครบหมดละ มันส์ๆแน่
แต่คุณผู้แต่ง หายไปไหน กลับมาแต่งให้จบนะเรื่องนี้ เข้มข้นดี

เดาไม่ถูกเลยว่าเรื่องจะดำเนินไปยังไง อยากให้ปกรณ์หายไวๆและเข้มแข็งมากๆ จะได้รับมือไหว
หมอเอื้ออีกคนขอให้ฟื้นเถอะนะ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :hao5:ลุ้นสุดดดด โอ้ยยยแม่นี้ก็รังควาญไม่เลิกจริง
น้องปกรณ์นี่ชอบชานนท์อีกคนแล้วแน่เลย

ออฟไลน์ W2P5

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ลุ้นมากกกก ฤทัยดีนี้ไม่ยอมเลิกลาสีกที  สงสารชานนท์มาก  ดูสับสน และที่สำคัญทำไมหมอเอื้อน่าสงสารแบบนี้  :hao5:  :hao5:

ออฟไลน์ [x]-SayHi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
สนุกดีคับ รอตอนต่อไปอยู่นะคับ ^^

ออฟไลน์ plugie

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทำไมไม่ปล่อยว่างบ้างเลย :hao5:

ออฟไลน์ lnwgreankak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาต่อไวๆเลยครับ :z13:
แต่ละคนก็มีปมเป็นของตัวเอง ได้เห็นสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ส่งผลให้พฤติกรรมต่างกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองด้วยว่าจะยอมให้ทิศทางชีวิตไปทางไหน
โดยรวมแล้วชอบครับ สะท้อนมุมมองหลายมุม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด