❃❃ Psychology of love ❃ จิตวิทยาใจ ❃❃ ( ตอนที่ 36 P.5 ) 29/12/60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❃❃ Psychology of love ❃ จิตวิทยาใจ ❃❃ ( ตอนที่ 36 P.5 ) 29/12/60  (อ่าน 31783 ครั้ง)

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทำไมต้องปิดบัง ทำไมไม่ไปแสดงตัวอะ

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนนี้แปลกๆ มันต้องมีไรแน่ๆ แล้วหมอเกื้อล่ะ ???  :katai1:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 25



   ปกรณ์นั่งหลับตาตลอดทาง พยายามทำสมองให้ว่างเปล่าไม่คิดถึงอะไรที่จะทำให้ตัวเองเครียด เขาอยากพบกับชานนท์ในความรู้สึกที่ไม่มีอะไรให้คิดในหัว ไว้พอเห็นหน้าแล้วมีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยพูดและแสดงออกไป

   บุรุษพยาบาลจูงรถเข็นของปกรณ์ไปเรื่อยๆ พาลงลิฟต์ก่อนจะตรงไปยังแผนกจิตเวช

   “พาคุณปกรณ์ไปพบคุณชานนท์ที่ห้องได้เลยนะคะ” เสียงของพยาบาลสาวดังขึ้น ปกรณ์เดาว่าน่าจะเป็นพยาบาลของแผนกจิตเวช

   “ครับ” บุรุษพยาบาลตอบรับแล้วเดินเข็นรถต่อไป จนกระทั่งรถเข็นหยุดสนิท

   ปกรณ์ได้ยินเสียงลูกบิดประตู สักพักรถเข็นก็ถูกดันเข้าไปข้างใน

   “ขอบคุณนะครับ” เสียงนี้เป็นเสียงของชานนท์ ปกรณ์จำได้

   “งั้นเดี๋ยวผมกลับเลยนะครับ” เสียงนี้เป็นเสียงของบุรุษพยาบาล

   “ครับ” ชานนท์ขานรับ จากนั้นเสียงประตูห้องก็ดังขึ้นอีกครั้งก่อนจะปิดลง

   ใจของปกรณ์เต้นไม่เป็นจังหวะ เขารู้ว่าตัวเองก่อเรื่องที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อน เปลี่ยนใจออกจากห้องตอนนี้จะทันไหมนะ
ปกรณ์ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น สักพักมือของใครบางคนก็มาจับที่แขนของเขา

“อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ” น้ำเสียงนั้นสั่นไหว ...ทำไมกัน แค่วิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลต้องเสียใจขนาดนี้เชียวหรือ หรือเพราะรู้สึกผิดที่โกหกเรื่องนรินทร์

ปกรณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ทว่าพอเห็นสภาของอีกฝ่ายดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความตกใจ

“คุณชานนท์ คุณไปทำอะไรมาครับ” ใบหน้าของชานนท์มีรอยช้ำและรอยถลอก แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือที่แขนข้างขวาต้องใส่เฝือก

“คือผมโดนรถเฉี่ยวครับ” ชานนท์เลือกที่จะไม่โกหก เขาเคยโกหกมาครั้งหนึ่งแล้วแม้จะเป็นการโกหกเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แต่สุดท้ายพอรู้ความจริงขึ้นมามันก็แย่อยู่ดี

“ตอนไหน” ปกรณ์เสียงสั่น เริ่มหวั่นไหวว่าเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ “เพราะผมใช่ไหม คุณออกตามหาผมก็เลยโดนรถชนใช่ไหม”
“ไม่เอาสิครับ อย่าโทษตัวเองแบบนี้” ชานนท์ตอบยิ้มๆ

   “ผมขอโทษ” ปกรณ์ก้มหน้าอย่างสำนึก อีกฝ่ายไม่ปฏิเสธอะไรออกมานั่นหมายความว่าชานนท์โนรถเฉี่ยวชนเพราะเขาเป็นต้นเหตุจริงๆ

   “ผมเองก็ต้องขอโทษเหมือนกัน ที่ไม่พูดความจริงตั้งแต่แรกกับคุณ” ชานนท์ใช้มือซ้ายที่ไม่ได้ใส่เฝือกกุมมือของปกรณ์แน่น

   “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้โกรธ ไม่ได้เสียใจแล้ว ผมเข้าใจเหตุผลที่คุณทำลงไป แต่ผมสิ... ผมผิดที่ผมทำให้คุณต้องเจ็บตัว” ปกรณ์กุมมือของอีกฝ่ายแน่นเช่นกัน “ผมจะพยายามควบคุมตัวเอง ไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะครับ”

   “ครับ” ชานนท์พยักหน้า “ผมจะเป็นกำลังใจให้คุณนะครับ”

   ปลายเสียงของชานนท์สะอื้นเล็กน้อย เพราะยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องปิดบัง ถ้าปกรณ์รู้ความจริงขึ้นมา... คราวนี้หัวใจของเขาต้องแหลกสลายกว่าครั้งไหนๆ เป็นแน่ เขาต้องเจ็บปวดกว่าการที่ได้รู้ว่าปาณัฐและนรินทร์ไม่มีตัวตนอยู่จริง เพราะฉะนั้นตัวของชานนท์เองก็ต้องเข้มแข็ง ไม่แสดงความอ่อนไหวและกังวลออกมา

   “สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ” เสียงทักของปกรณ์ทำให้ชานนท์สะดุ้ง กลัวว่าจะโดนจับพิรุธได้ “คุณคงเจ็บแขนมากแน่ๆ ผมขอโทษนะครับที่ก่อเรื่อง ผมไม่อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้เลย”

   “อย่าโทษตัวเองสิครับ” ชานนท์ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ปกรณ์แค่คิดว่าเขาเจ็บแขน “แผลนอกกายรักษาเดี๋ยวเดียวก็หาย... แต่แผลในใจแบบคุณนี่สิ ยังต้องใช้เวลารักษาอีกนาน น่าเป็นห่วงกว่าเยอะ”

   “ยังมีเวลามาห่วงคนอื่นอีกนะครับ ห่วงตัวเองบ้างสิครับ” ยิ่งพูดปกรณ์ก็ยิ่งรู้สึกผิด อยากจะเป็นคนเจ็บแทนชานนท์แต่ก็ทำไม่ได้

   “ผมไม่ได้ห่วงคนอื่นนะครับ” ชานนท์แกล้งขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ผมเป็นห่วงคุณ... ห่วงมากจริงๆ”

   น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นสั่นไหว ปกรณ์เชื่อหมดหัวใจแล้วว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนี้พูดเป็นเรื่องจริง ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่แสดงออกมามันไม่ใช่เรื่องโกหก

   “เอาล่ะ ในเมื่อคุณดีกับผมมากขนาดนี้ ผมก็จะต้องรักษาตัวเองให้หายไวๆ ให้สมกับที่คุณห่วงใย ผมพร้อมแล้วครับ... พาผมไปรักษากับหมอเกื้อได้เลยครับ” ปกรณ์พูดออกมาด้วยความมุ่งมั่น สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวัง มันจะต้องไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก แม้จะยังมองเห็นปาณัฐกับนรินทร์ แต่เขาก็จะพยายามใจแข็งเพื่อที่จะทำให้อาการดีขึ้นให้ไวที่สุด

   ทว่า... ชานนท์กับนิ่งเงียบ มีท่าทีอ้ำอึ้งเหมือนมีความกังวลอะไรบางอย่างในใจ พอรู้สึกว่าปกรณ์เริ่มมองอย่างสงสัย เขาก็รีบเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา

   “คุณจะต้องรักษากับหมอคนอื่นนะครับ พอดีหมอเกื้อย้ายไปเป็นหมอจิตเวชที่ต่างจังหวัดแล้วครับ หมอเกื้อไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว” ชานนท์พูดอย่างฝืนใจ นี่จะเป็นเรื่องโกหกเรื่องสุดท้ายที่เขาจะทำกับปกรณ์ ‘ผมขอโทษนะครับหมอเกื้อ’

   “คุณอย่ามาล้อผมเล่นน่า เมื่อเช้าผมยังคุยกับหมอเกื้ออยู่เลยครับ”

   “อ่อ คุณน่าจะหมายถึงเมื่อวานใช่ไหมครับ เพราะคุณสลบไปหนึ่งวันเต็มๆ หมอเกื้อเองก็ทำงานเมื่อวานเป็นวันสุดท้าย พอดีเป็นคำสั่งด่วนน่ะครับ”

   “นี่คุณไม่ได้โกหกใช่ไหมครับ ทำไมมันกะทันหันแบบนี้” ปกรณ์เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ

   “มันเป็นคำสั่งน่ะครับ และหมอเกื้อเองก็มีความคิดอยากจะไปรักษาตัวผู้ป่วยที่ต่างจังหวัดมานานแล้วด้วยครับ หมอเกื้อเคยบอกว่าที่นี่มีหมอเก่งๆ เยอะ แต่ที่ต่างจังหวัดหมอจิตเวชยังขาดแคลน และคนต่างจังหวัดยังไม่ค่อยกล้าเข้าหาหมอจิตเวชน่ะครับ” ชานนท์พยายามอธิบายเพื่อเอาตัวรอดจากการโดนคาดคั้น หมอเกื้อเคยบอกกับชานนท์ว่าอยากไปอยู่ต่างจังหวัดจริงๆ แต่เขาก็มีเหตุผลสำคัญที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อไป ซึ่งชานนท์เองก็ยังไม่รู้เหตุผลนั้นเหมือนกัน

   “น่าเสียดายจังเลยนะครับ” ปกรณ์รู้สึกเศร้ากับสิ่งที่ได้ยิน หมอเกื้อเป็นหมอที่เก่ง เขามักมีคำพูดดีๆ มาช่วยให้รู้สึกสบายใจเสมอ ถ้ามีโอกาสก็ยังอยากรักษากับหมอเกื้อต่อไป “ผมยังไม่ได้บอกลาหมอเกื้อเลย หมอเกื้อจะต้องเสียใจแน่ๆ ที่ผมก่อเรื่อง อยากมีโอกาสขอโทษหมอจัง ถ้าได้เจอหมออีกสักครั้งคงจะดี”

   ยิ่งปกรณ์พูดออกมามากเท่าไร ชานนท์ก็ต้องพยายามเก็บกักความอ่อนแอข้างในหัวใจมากขึ้นเท่านั้น

   “คุณต้องรีบรักษาตัวให้หายไวไวนะ ไว้ผมจะพาคุณไปขอโทษหมอเกื้อเองครับ”

   “จริงนะครับ” ปกรณ์สายตาลุกวาว “ผมเคยคุยกับหมอเกื้อว่าถ้าหมอรักษาผมให้หายดีแล้วผมจะพาหมอไปเลี้ยงฉลองเพื่อเป็นการขอบคุณ ดีจัง... ถ้าผมหาย ผมจะได้ทั้งขอโทษและขอบคุณในเวลาเดียวกัน”

   “ครับ” ชานนท์ตอบรับสั้นๆ ก่อนจะเดินหลบไปหลบไปที่โต๊ะทำงานแล้วแกล้งหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาอ่านเพื่อปิดบังน้ำตาที่กำลังรินไหล

   ชานนท์ควรจะทำอย่างไรดี เขาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน เขาไม่อยากได้ยินและมองเห็นปกรณ์พูดถึงหมอเกื้อด้วยความยินดีแบบนี้อีกแล้ว เขาเองก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง แม้จะเป็นนักจิตวิทยาแต่ก็ใช่ว่าจะแบกรับเรื่องร้ายๆ เอาไว้ได้ทุกเรื่อง

   ระหว่างนั้นประตูห้องของชานนท์ก็ถูกเปิดออกมา

   “คุณชานนท์ครับ หมอการุณให้มาแจ้งว่าพาตัวคุณปกรณ์ไปได้เลยครับ” เป็นเสียงของบุรุษพยาบาลที่ดังขึ้น

   “ครับ” ชานนท์ตอบรับ “ฝากดูแลคุณปกรณ์ด้วยนะครับ”

   “ครับ” บุรุษพยาบาลตอบรับ

   “ส่วนคุณปกรณ์ครับ คุณต้องรักษาตัวเองให้หายไวๆ นะครับ ผมเป็นกำลังใจให้” ชานนท์พูดก่อนที่บุรุษพยาบาลจะพาตัวปกรณ์ออกไป

   “คุณโอเคใช่ไหมครับ” ปกรณ์สัมผัสได้ถึงท่าทีแปลกๆ

   “โอเคอะไรครับ” ชานนท์แกล้งถามเหมือนไม่เข้าใจในเจตนารมณ์

   “เปล่าครับ” ปกรณ์ตอบเสียงเศร้า เขามั่นใจว่าชานนท์ผิดปกติ ในเมื่อไม่ยอมรับออกมาตรงๆ เขาก็จะตามสืบด้วยตัวเอง

   “งั้นผมพาคุณปกรณ์ไปได้เลยใช่ไหมครับ” บุรุษพยาบาลเอ่ยถาม

   “ได้เลยครับ”

   สิ้นเสียงของชานนท์ บุรุษพยาบาลก็จูงรถเข็นของปกรณ์ออกไปทันที หลังจากที่ประตูถูกปิดลง ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ชานนท์วางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะรีบเดินไปเข้าห้องน้ำส่วนตัวแล้วล้างคราบน้ำตาออกไป

   ใบหน้าของชานนท์เปียกปอน พอมองกระจกก็เห็นภาพสะท้อนของใบหน้าที่แดงระเรื่อเช่นเดียวกับดวงตา เขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่รับมือยากที่สุดในชีวิตตั้งแต่ที่เขาเกิดมา แต่เขาจะอ่อนแอให้ใครเห็นไม่ได้ ทุกอย่างต้องดำเนินต่อไปจนกว่าปกรณ์จะหายดี








   ทางด้านของประสิทธิ์ หลังจากที่เห็นลูกที่ตนไม่เคยสนใจ ฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยเขาก็โล่งใจ ข้อมูลที่ได้รับจากพยาบาลทำให้รู้ว่าคนที่พบกับปกรณ์เป็นคนสุดท้ายก่อนที่จะสติแตกนั้นชี้ชัดว่าเป็นฤทัยดี

   ประสิทธิ์นัดฤทัยดีให้ออกมาเจอกันที่ห้องที่ใกล้ที่สุด เขาต้องการถามว่าหล่อนไปคุยอะไรกับปกรณ์และมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงกันแน่

   นั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง ไม่นานมากนัก ฤทัยดีก็เดินเข้ามา ประโปรงจับจีบสีชมพูนู้ดของเธอพลิ้วไสวเวลาเดิน เสื้อสายเดี่ยวตัวบางสีเดียวกับกระโปรงเผยให้เห็นร่างที่อรชรอ่อนแอ้นของหล่อนได้ชัดเจน แม้หล่อนจะอายุเลยเลขสี่แล้ว แต่หล่อนยังสวยงามและมักเป็นที่จับจ้องเวลาอยู่ข้างนอกเสมอ

   หล่อนเดินไปสั่งกาแฟเย็น ปล่อยให้คนรอรอต่อไปอย่างใจเย็นเพราะรู้อยู่แล้วว่าที่ถูกนัดให้มาพบนั้นเพราะอีกฝ่ายต้องการจะคุยอะไร

   “วันนี้ฤทัยสวยไหมคะ” หล่อนจิกหางตาแล้วส่งยิ้มยั่วยวนให้ประสิทธิ์

   “สวย” ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหก เพราะความสวยและยั่วยวนของหล่อนนี่แหละที่มัดใจประสิทธิ์อยู่หมัด เวลาทะเลาะกัน หล่อนก็จะใช้เรือนร่างและความงามให้เป็นประโยชน์จนอีกฝ่ายต้องยอมศิโรราบให้เสมอ

   ฤทัยดียิ้มออกมาอย่างพึงพอใจในคำตอบ เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าไม่ว่าหล่อนจะพูดอะไรออกไปประสิทธิ์ก็ต้องยอมให้กับหล่อนแน่นอน

   “พี่สิทธิ์เรียกฤทัยมาที่นี่มีธุระอะไรคะ” หล่อนแกล้งถามอย่างใสซื่อ

   “เมื่อวานเธอไปหาไอ้ปกรณ์ทำไม” ประสิทธิ์เข้าประเด็นทันที

   “อ้อ... พอดีฤทัยว่าง ก็แค่อยากไปเยี่ยมหลานน่ะค่ะ”

   “หลานงั้นเรอะ เธอเรียกเจ้านั่นว่าหลานเนี่ยนะ นี่ฉันหูฝากไปหรือเธอสติไม่ดีกันแน่เนี่ย” ประสิทธิ์เหย้าแหย่อีกฝ่าย

   “พี่ไม่ได้หูฝากหรอกค่ะ ถึงจะไม่ถูกกันแต่ยังไงปกรณ์ก็เป็นลูกชายพี่ ก็เท่ากับว่าเป็นหลานของฤทัยนั่นแหละค่ะ” หล่อนรู้สึกกระดากปากทุกครั้งเวลาที่ต้องแสร้งเรียกปกรณ์ว่าหลาน จึงต้องจิบกาแฟตามทันทีทุกครั้งที่พูดจบ

   “ลูกที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา” ประสิทธิ์หวนนึกไปถึงอดีต

   “ใช่ค่ะ” ฤทัยดีตอกย้ำ “ลูกที่พี่สิทธิ์ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา ฤทัยไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้นะคะ แค่คิดก็ขยะแขยงเต็มทน”

   “แต่ถึงยังไงมันก็คือลูกของพี่” นี่เป็นครั้งแรกที่ประสิทธิ์รู้สึกอยากปกป้องเวลาที่ฤทัยดีพูดถึงปกรณ์ในทางเสียๆ หายๆ

   “พี่ดูแปลกไปนะคะ” ฤทัยดีเริ่มไม่สนุก หล่อนไม่เคยเห็นประสิทธิ์ใจอ่อนแบบนี้ “พักหลังมานี้ดูเป็นห่วงเป็นใยปกรณ์เหลือเกิน แล้วลูกของเราล่ะคะ พี่ไม่พูดถึงบ้างเลย”

   “เจ้าปรัชญ์ญ์มันไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง อีกไม่กี่เดือนก็จะกลับมาไทยแล้วนี่นา เรียนจบจากเมืองนอกเมืองนาเดี๋ยวก็คงหางานทำได้ไม่ยาก”

   “พี่พูดแบบนี้แสดงว่าพี่ห่วงปกรณ์จริงๆ งั้นเหรอคะ ทำไมคะ พี่ก็ยกบ้านให้แล้วนี่คะ”

   “พอรู้ว่ามันอาการแย่ขนาดนี้ ก็เลยรู้สึกแปลกๆ น่ะ” ประสิทธิ์ก็สับสนกับความคิดตัวเองเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี่แทบไม่อยากมองหน้าปกรณ์ด้วยซ้ำ เพราะมองทีไรก็หวนไปนึกถึงสิ่งที่แม่ของปกรณ์ได้กระทำกับเขา แต่พอรู้ว่าปกรณ์มีอาการทางจิต เขาก็เป็นกังวลมาตลอด ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือบางทีอาจจะเป็นสายใยพ่อลูก

   “ช่างเถอะค่ะ ฤทัยดีไม่อยากจะเซ้าซี้” หล่อนแกล้งตอบออกไปทั้งๆ ที่ในใจกำลังร้อนรุ่ม รู้สึกไม่พอใจกับท่าทีแบบนี้ “แต่อย่าลืมเตรียมรางวัลให้ปรัชญ์ญ์นะคะ อุตส่าห์พยายามจนเรียนจบเมืองนอกมาได้ตามหลักสูตร ปกรณ์ได้บ้านไป แล้วปรปรัชญ์ญ์จะได้อะไรนะ อยากรู้จัง”

   “รู้แล้วล่ะน่า” ประสิทธิ์ลอบถอนหายใจออกมา เงินเดือนแม้จะเฉียดแสนแต่หากใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัวก็มีโอกาสหมดตัวได้ เพราะต้องผ่านค่าบ้านทุกเดือน โชคดีที่ปรปรัชญ์ญ์สอบได้ทุกของรัฐบาลเลยทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปเปราะหนึ่ง ฤทัยดีแม้จะไม่ทำงาน แต่ก็ยังดีที่หล่อนไม่ได้ฟุ่มเฟือยมากนัก เมื่อได้ของที่พอใจแล้วก็จะหยุดอยู่แค่นั้น ไม่อยากได้พร่ำเพรื่อ จึงทำให้มีเงินเก็บมากพอที่จะซื้อของแพงๆ ให้กับลูกชายคนเก่งโดยไม่ต้องกังวล ...แต่เขาก็แค่หงุดหงิดที่ฤทัยดีเอาแต่พูดเรื่องนี้วันละหลายสิบรอบ ยิ่งพอใกล้ถึงวันกลับยิ่งย้ำแล้วย้ำอีก

   “พี่ถอนหายใจใส่ฤทัยเหรอคะ ฤทัยเห็นนะคะ”

   “ก็เธอเล่นเอาแต่พูดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา รับปากแล้วก็คือรับปาก เจ้าปรัชญ์ก็ลูกของเรานะ ทำไมพี่จะไม่มีรางวัลให้ล่ะ แถมยังเป็นเด็กดีและเรียนเก่งขนาดนี้ เธอก็รู้นี่ว่าใครที่พี่รักมากกว่ากัน”

   “อ่อ... ฤทัยก็แค่ตื่นเต้นน่ะค่ะ ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ” หล่อนยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

   “เรื่องอื่นตอนนี้ช่างมันเถอะ ตกลงเธอไปคุยอะไรกับปกรณ์ ทำไมเจ้านั่นถึงต้องวิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลจนทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน”

   “เปล่าเลยนะคะ ฤทัยยอมรับว่าไม่ชอบปกรณ์ แต่ก็บอกแล้วไงคะว่ายังไงก็เป็นหลาน แค่เข้าไปหาพอเห็นหน้าปกรณ์ก็โวยวาย ผลักฤทัยล้มแล้วก็วิ่งออกไปเลยค่ะ สงสัยเห็นหน้าฤทัยแล้วคงกลัวมั้งคะ ตอนเด็กๆ ฤทัยคงดุเขาบ่อยไปหน่อย”

   หล่อนพยายามโกหกให้เนียนที่สุด ถ้าตอบออกไปว่าไปเยี่ยมเพราะรักและห่วงใยปกรณ์เพียงเท่านั้น มันจะทำให้หล่อนดูเสแสร้ง ประสิทธิ์ไม่ใช่คนโง่พอที่จะแยกแยะอะไรไม่ออก จึงต้องพยายามพูดให้ตัวเองดูร้ายบ้างเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่แคลงใจสงสัย

   “เป็นแบบนี้เองสินะ เจ้านั่นมันเจอเรื่องแย่ๆ มาเยอะ พอเห็นหน้าเธอแล้วรู้สึกกลัวก็คงไม่แปลก” ประสิทธิ์คล้อยตามในคำตอบของฤทัยดี “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เธอก็อย่าเพิ่งไปเยี่ยมมันนะ เดี๋ยวมันจะทำให้คนอื่นเขาวุ่นวายกันอีก”

   “ก็ได้ค่ะ” ฤทัยดีพยักหน้าตกลง “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้างคะหลังจากที่ปกรณ์วิ่งหนีไป ฤทัยเองก็ตกใจเลยรีบกลับ รู้สึกไม่ดีกลัวคนอื่นจะมองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ปกรณ์เป็นแบบนั้น”

   “อืม... ก็แย่หน่อยนะ” ประสิทธิ์ก้มหน้าลง คิ้วขมวดเป็นปม “เกิดอุบัติเหตุ มีนักจิตวิทยากับหมออีกคนตามไปช่วยได้ทัน เจ้าปกรณ์มันไม่เป็นอะไรมาก มีแผลช้ำเล็กน้อยแล้วก็สลบ แต่คนที่ไปช่วยน่ะสิ...”

   สีหน้าของประสิทธิ์เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ปกรณ์เป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวาย เขาเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบเพราะอย่างไรเจ้านั่นก็คือลูก

   “ทำไมคะ” ฤทัยดีเอ่ยถามอย่างสนใจ ไม่ได้สนใจกับใบหน้าที่เคร่งเครียดของสามีเลยแม้แต่นิดเดียว หล่อนกำลังคิดว่าเรื่องที่กำลังฟังกำลังสนุกราวกับละครโทรทัศน์ คนบ้าวิ่งหนีออกจากโรงพยาบาล มีคนตามไปช่วยแล้วเกิดอุบติเหตุ... แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปล่ะ หล่อนแทบจะลุ้นจนตัวนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว

   “นักจิตวิทยาแขนหักต้องเข้าเฝือก... ส่วนอีกคนเป็นหมอตอนนี้อยู่ที่ไอซียู อาการหนักมาก ยังไม่ฟื้น หมอที่รักษาบอกว่าโอกาสรอดค่อนข้างน้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี”

   ฤทัยดีถึงกับพูดไม่ออก แม้หล่อนจะไม่ใช่คนดี มีรักโลภโกรธหลงอาจจะมากกว่าคนทั่วไปและทำเรื่องแย่ๆ กับปกรณ์เอาไว้เยอะ แต่เรื่องคอขาดบาดตายนั้นไม่ใช่เรื่องตลก แม้จะไม่ใช่คนใกล้ตัวแต่ก็อดใจหายไม่ได้กับสิ่งที่ได้ฟัง

   “อย่าให้ปกรณ์รู้เรื่องนี้เด็ดขาดนะ ถ้ามันรู้ว่าหมอเป็นแบบนี้เพราะมัน มันจะเอาแต่โทษตัวเองจนอาจทำให้สติฟั่นเฟือนจนไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้อีก” ประสิทธิ์เอ่ยขึ้น “เรื่องนี้สำคัญมาก หากเธอเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ปกรณ์ฟัง ฉันกับเธอขาดกัน”

   “พี่สิทธิ์ว่าไงนะคะ นี่พี่เห็นปกรณ์สำคัญกว่าฤทัยเหรอคะ” ฤทัยดีรีบแย้งทันที ถึงอย่างไรหล่อนก็เอาแต่สนใจเรื่องของตัวเอง

   “พี่ไม่ได้บอกว่าปกรณ์สำคัญกว่าเธอ แต่ถ้าเธอเอาเรื่องนี้ไปบอกปกรณ์พี่แค่บอกว่าเราจบกัน แค่นี้มันก็วุ่นวายมากเกินพอแล้ว พี่อยากให้เรื่องทุกอย่างมันจบลง ไม่อยากให้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับใครอีก” สีหน้าของประสิทธิ์แสดงออกถึงความเคร่งเครียด

   “ค่ะฤทัยจะไม่เล่า” ฤทัยดีรับปาก แม้ในใจลึกๆ จะอยากทำเช่นนั้นก็ตาม แต่หล่อนก็กลัวจะโดนประสิทธิ์ทิ้งมากกว่า ประสิทธิ์สำคัญกับหล่อนมาก ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น แต่เพราะหล่อนรักประสิทธิ์ด้วยความรู้สึกที่แท้จริง และทั้งคู่รักกันมาก่อนที่แม่ของปกรณ์จะโผล่มาเสียอีก... แม่นั่นมันก็แค่รุ่นน้องในที่ทำงานของประสิทธิ์ที่ร่านราคะจนต้องกระทำเรื่องจัญไร

   ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น.... หล่อนเคยเกือบจะได้แต่งงานกับประสิทธิ์มาก่อนด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างก็จบลงเพราะความอัปรีย์ของผู้หญิงคนนั้น ตอนนั้นหล่อนเสียใจมากจึงตัดสินใจหนีไป เพราะทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสองปี หล่อนก็ได้บังเอิญเจอกับประสิทธิ์อีกครั้ง

   พอเจอกัน ประสิทธิ์ก็ง้อหล่อนทุกวิถีทาง มันยากนะ... ที่หล่อนจะไม่ใจอ่อนในเมื่อหัวใจของหล่อนยังคงหนักแน่กับรักครั้งนี้เสมอมา แค่ได้พบหน้าหัวใจหล่อนก็สั่นไหว ยิ่งพออีกฝ่ายเข้ามาใกล้กำแพงที่แสนจะเปราะบางของหล่อนก็พังทลายลง ประสิทธิ์วิงวอนออดอ้อนขอนอนกับหล่อนอีกครั้ง ประสิทธิ์รักหล่อนแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่ได้เคยเจ้าชู้หลายใจกับใครอื่นอย่างที่โดนประณาม 

   แต่หล่อนก็ถูกตราหน้าว่าเป็นเมียน้อยทันทีที่ขึ้นนอนกับประสิทธิ์ครั้งแรก เมื่อภรรยาจอมมารยาดันกลับบ้านมาก่อนเวลาที่ได้แจ้งกับประสิทธิ์เอาไว้ พอนางนั่นเห็นหล่อน นางก็โวยวายและเดินเข้ามาตบหล่อน ตีหล่อน ใช้เล็บจิกผมและข่วนใบหน้าหล่อนจนเป็นแผล

วินาทีนั้นผู้หญิงคงนั้นคงรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดเช่นเดียวกับที่หล่อนได้รับ ในทีแรกหล่อนกะว่าจะมานอนกับประสิทธิ์แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแล้วก็จบกันไป แต่พอโดนกระทำเช่นนั้นและโดนด่าว่าเป็นชู้หล่อนก็เคืองแค้นและไม่คิดจะหนีไปไหนอีก... แม่นั่นควรได้รับรู้รสชาติของการถูกแย่งคนรักเสียบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าประสิทธิ์มีแฟนอยู่แล้วแม้จะไม่เคยเห็นหน้ากันก็ตามแต่ก็ยังหน้าด้านมาแย่งของรักของคนอื่นไป ...ใครกันแน่ที่เป็นเมียน้อย

“ฤทัย... เธอกำลังคิดเรื่องนั้นใช่ไหม” อยู่ๆ เสียงของประสิทธิ์ก็ดังขึ้นเรียกสติของฤทัยดีให้กลับมา

“ค่ะ ฤทัยไม่คิดว่าชีวิตของฤทัยจะเคยตกต่ำได้ขนาดนั้น โดนตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย ทั้งๆ ที่รักกับพี่มาก่อนมันด้วยซ้ำ” แววตาของฤทัยดีเศร้าสลดลง พอคิดถึงเรื่องนี้ทีไรความอ่อนแอก็เข้าเกาะกินหัวใจของหล่อนทุกที “ฤทัยยอมรับนะคะว่าเกลียดและแค้นมันมากเลยพาลให้เกลียดลูกมันด้วย และฤทัยก็ยอมรับนะคะว่าไม่อยากให้ปกรณ์หายป่วย เพราะยิ่งเห็นเป็นแบบนี้ก็ยิ่งสะใจ แต่ในเมื่อพี่ขอร้อง พี่ก็สบายใจได้เลยนะคะ ฤทัยจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้ปกรณ์ฟังแน่นอนค่ะ ฤทัยจะพยายามให้ความแค้นมันจบลงแค่เพียงเท่านี้ ความจริงสิ่งที่ฤทัยเคยทำกับปกรณ์ไว้มันก็หนักหนาสาหัสสำหรับเด็กคนนั้นเหมือนกัน ให้ความแค้นมันจบลงแค่นี้คงจะดีกับทุกฝ่าย”

พอนึกย้อนกลับไป หล่อนปล่อยให้อารมณ์ความแค้นควบคุมจิตใจมาโดยตลอด หล่อนทั้งดุด่าตบตีปกรณ์ไม่เว้นวัน ทำเหมือนกับปกรณ์เยี่ยงทาสในเรือนเบี้ย... ไม่สิทาสอาจจะยังอยู่สุขสบายกว่าปกรณ์ด้วยซ้ำ

“ขอบใจนะฤทัย ขอบใจจริงๆ” ประสิทธิ์ยื่นมือไปจับกับมือของฤทัยดี แม้จะสงสัยว่าฤทัยดีเคยทำอะไรกับปกรณ์เอาไว้บ้างแต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยถาม ประสิทธิ์เองก็ไม่อยากรื้อฟื้นอะไรขึ้นมาเพื่อให้อีกฝ่ายไม่สบายใจเช่นกัน

   ในเวลานี้... พวกเขาทำได้เพียงภาวนาให้เรื่องทุกอย่างมันดีขึ้น ขอให้ปกรณ์หายป่วยจากอาการทางจิต ขอให้แขนของนักจิตวิทยากลับมาใช้การได้เหมือนเดิม และขอให้เกิดปาฏิหาริย์กับหมอจิตเวชที่กำลังนอนโคม่า แม้หมอที่ทำการรักษาจะบอกว่าโอกาสรอดแทบจะไม่มีเลยก็ตาม...





จบตอน......

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :a5: มองไม่เห็นทางออกเลยย

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ก็ยังไม่ชอบฤทัยดีอยู่ดี
ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไร สิ่งที่หล่อนทำกับปกรณ์มันโหดร้ายเกินไป
 :3123:
รอค่าาา

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 26

ภายในห้องผู้ป่วยจิตเวช ปกรณ์ต้องเข้าทำการรักษากับหมอคนใหม่... แม้ช่วงที่ผ่านมาเขาจะได้มีโอกาสพบปะกับผู้คนมากขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่ต้องทำความรู้จักกับคนแปลกหน้า

   “คุณปกรณ์ครับ หมอชื่อการุณนะครับ จะมาดูแลคุณต่อจากหมอเกื้อ” หมอการุณเป็นชายวัยกลางคนอายุ 45 ปี มีผิวสีแทน ใบหน้าคมเข็มรูปร่างสันทัดสูงประมาณ 175 เซนติเมตร สูงกว่าปกรณ์เล็กน้อยเท่านั้น น้ำเสียงของหมอการุณฟังดูเคร่งขรึมมากกว่าหมอเกื้อหลายเท่า

   “ครับ” ปกรณ์ตอบรับเพียงสั้นๆ เขารู้สึกว่าหมอการุณน่าจะดุกว่าหลายเท่า แม้อยากกลับไปรักษากับหมอเกื้อเหมือนเดิมแต่ก็คงทำไม่ได้

   “หมอทราบประวัติอาการของคุณมาจากคุณชานนท์และหมอเกื้อแล้วนะครับ อาการของคุณปกรณ์จะต้องใช้ยารักษาร่วมด้วยนะครับ ซึ่งอาจจะมีผลข้างเคียงค่อนข้างมากอยู่พอสมควร ขณะได้รับยาสติของคุณจะสงบลงแต่อาจจะรู้สึกเบลอ พูดช้า คิดช้า ทำช้า สับสนและอาจรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา คุณจะต้องพยายามอดทนนะครับ เพื่อที่คุณจะได้หายเป็นปกติไวไว”

   “ครับ” ปกรณ์พยักหน้า เรื่องแค่นี้คงไม่หนักหนาสาหัสสักเท่าไรหากเทียบกับสิ่งที่เขาเจอมาตลอดชีวิต

   “หมอทราบมาว่าคุณสร้างตัวตนของคนที่สามารถมองเห็นและพูดคุยได้เฉพาะคุณขึ้นมาสองคน ชื่อปาณัฐกับนรินทร์ใช่ไหมครับ”

   “ใช่ครับ” รู้สึกแปลกๆ ที่ต้องยอมรับว่าสองคนนี้ไม่มีตัวตนเพราะปกรณ์ยังมองเห็นและสัมผัสพวกเขาได้อยู่เลย บางทีพวกเขาอาจจะมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ ก็ได้นะ แต่ทุกคนแค่กำลังโกหก ภาพที่ชานนท์วิ่งทะลุร่างของปาณัฐอาจจะเป็นแค่ความฝัน ตอนนั้นเขาอาจจะแค่คิดไปเอง หรือเพราะความเครียดจึงทำให้เห็นภาพเช่นนั้น พอคิดดังนั้นปกรณ์ก็รีบส่ายศีรษะให้หยุดคิด เดี๋ยวจะเป็นบ้าเอาเสียก่อนจนไม่สามารถแยกความจริงกับความคิดออกจากกันได้

   “ถ้าอย่างนั้นหมอจะฉีดยาให้นะครับ สักพักคุณปกรณ์อาจจะเห็นสองคนนั้นแวะมาเยี่ยมคุณ ถ้าคุณอยากพูด อยากคุยอะไรกับสองคนนั้นก็ให้พูดออกมาให้หมดเลยนะครับ” หมอการุณเอ่ยขึ้น เขาไม่ยิ้มเลยสักนิด บุคลิกแตกต่างจากหมอเกื้ออย่างสิ้นเชิง

   “เดี๋ยวครับหมอ” ปกรณ์ไม่เข้าใจ ในเมื่อสองคนนั้นไม่มีตัวตนแล้วพวกเขาจะแวะมาเยี่ยมได้อย่างไร “ผมไม่เข้าใจที่หมอพูดครับ ทำไมผมถึงมองเห็น พอคิดย้อนกลับไปผมเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเห็นพวกเขาได้ตอนไหน รู้แต่ว่าทุกครั้งที่มีปัญหาในใจนรินทร์ก็มักจะโผล่มา หรือถ้ากำลังมีความสุข ผมก็มักจะคิดถึงปาณัฐแล้วเราก็บังเอิญได้เจอกัน แต่ตอนนี้ผมไม่เห็นใคร ผมไม่รู้สึกอะไรเลยครับ”

   “หลังฉีดยาคุณอาจจะรู้สึกสุขหรือเศร้า ผมเชื่อว่าเขาจะต้องปรากฏตัวแน่นอนครับ ยิ่งคุณกำลังสับสนว่าพวกเขามีตัวตนหรือไม่ คุณก็จะเอาแต่คิดเรื่องเขา ยาจะช่วยให้คุณมองเห็น และเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะเกิดได้เองครับ”

   “ครับ” ปกรณ์เข้าใจแล้ว เป็นฤทธิ์ของตัวยาที่อาจจะทำให้มองเห็น

   “ถ้าอย่างนั้นหมอจะให้พยายามนำอาหารมาเสิร์ฟให้ก่อนนะครับ หลังจากนั้นประมาณครั้งชั่วโมงหมอจะกลับมาฉีดยา ระหว่างที่รอนั้นคุณพยายามทำจิตใจให้สงบนะครับ คิดแต่เรื่องที่ทำให้สบายใจ อ้อ... คุณสนิทกับคุณชานนท์ใช่ไหม ให้คุณชานนท์มาอยู่เป็นเพื่อนคุณก่อนก็ได้นะครับ”

   “ครับหมอ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป

   ไม่นานมากนัก ประตูห้องพักของปกรณ์ก็ถูกเปิดออก พยาบาลจูงรถเข็นอาหารเข้ามาโดยมีชานนท์เดินตามให้หลัง ปกรณ์ขยับยิ้มทันทีที่เห็นร่างนั้น

   “เดี๋ยวผมจัดการให้เองนะครับ” ชานนท์หันไปบอกพยาบาล

   “ค่ะ” พยาบาลรับคำก่อนจะเดินออกจากห้องไป

   ทันทีที่ประตูปิดลง ปกรณ์ก็รีบพุ่งลงจากเตียงแล้วเดินมาลากรถเข็นเข้าไปยังเตียงผู้ป่วยเอง

   “แขนใช้งานได้ข้างเดียวยังจะทำเก่งอีกนะครับ” ปกรณ์เอ่ยขึ้นแล้วกระโดดกลับขึ้นไปบนเตียง “คุณไม่ต้องมาป้อนผมเลยนะ ผมกินเองได้”

   “เดี๋ยวนี้คุณมองความคิดผมออกแล้วนะครับเนี่ย อีกหน่อยจะทำอะไรผมก็คงโดนคุณจับได้ไปซะทุกเรื่องแน่ๆ”

   “ไม่หรอกครับ ก็คุณใจดีกับผมขนาดนี้ ผมก็เดาไปงั้นแหละ มานี่สิครับ มานั่งข้างๆ ผมก็พอ” ปกรณ์ตบเบาะตรงขอบเตียง
 
   ชานนท์เดินไปนั่งลงบนขอบเตียงตามคำสั่ง ปกรณ์เขยิบเข้าไปใกล้ๆ ร่างนั้นแล้วมองที่แขนที่เข้าเฝือกของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสำนึกผิด

   กี่ครั้งแล้วที่เขาเป็นต้นเหตุทำให้ชานนท์ต้องมาลำบากด้วย แต่ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยบ่นออกมาสักคำ กลับกันเขายังแสดงออกถึงความห่วงใยทุกครั้ง ไม่รู้ว่าในชีวิตนี้ปกรณ์จะมีโอกาสได้เจอใครที่แสนดีแบบนี้อีกไหม

   “รีบหายนะครับ” ปกรณ์ทิ้งศีรษะลงที่แผ่นหลังของชานนท์ก่อนจะใช้มือโอบกอดร่างนั้นอย่างระมัดระวังไม่ให้ไปกระทบกับแขนที่เข้าเฝือก “ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องมาเหนื่อยกับเรื่องของผม ถ้าไม่มีคุณ ชีวิตผมตอนนี้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไง”

   ชานนท์จับอ้อมแขนของปกรณ์เอาไว้แน่น นี่เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์เป็นฝ่ายที่เข้ามาทำแบบนี้ก่อนในสภาพที่ความคิดเขายังคงปกติ แม้จะรู้สึกดีใจ อยากที่จะหันไปกอดอีกฝ่ายขึ้นมาบ้าง แต่พอคิดถึงหมอเกื้อเขาก็ไม่สามารถทำอย่างที่ใจคิดได้ เขาคงมีความสุขได้ไม่เต็มร้อยหากหมอเกื้อไม่ฟื้นกลับมาเป็นปกติ

   “กินข้าวกันเถอะครับ” ชานนท์พูดเสียงเบา หวังว่าปกรณ์ไม่เอะใจหรือสงสัยอะไรหากท่าทีของเขาในตอนนี้ไม่มีความสุขเท่าที่ควร

   “ครับ” ปกรณ์ตอบรับแล้วผละอ้อมกอดออก แค่ชานนท์สัมผัสแขน เขาก็สบายใจแล้ว ...ก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้แต่ก็ยังอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน

   ปกรณ์รับประทานอาหารของโรงพยาบาลโดยที่มีชานนท์นั่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา อยู่ๆ ก็นึกอยากจะป้อนจึงลองตักอาหารแล้วยกไปใกล้ๆ ที่ปากของชานนท์บ้าง

   ชานนท์ยิ้มให้กับภาพที่เห็นก่อนที่จะอ้าปากรับประทานอาหารในช้อนนั่น อาหารโรงพยาบาลทั้งจืดชืด ไม่มีความอร่อยสักนิด แต่พอมีคนป้อนมันก็ทำให้อาหารที่จืดสนิทกลายเป็นอาหารหวานขึ้นมาได้เช่นกัน

   ปกรณ์ป้อนอาหารให้ชานนท์สลับกับทานเองอีกหลายคำจนกระทั่งอาหารในชามหมดเกลี้ยงจึงลากรถเข็นไปแอบไว้ที่มุมห้อง

   “ถ้าผมหายดี เราไปเยี่ยมหมอเกื้อกันดีไหมครับ” ปกรณ์อ้อนขอคนที่นั่งอยู่บนขอบเตียงก่อนจะยื่นน้ำดื่มที่รินให้ ชานนท์รับแก้วน้ำนั่นขึ้นมาก่อนจะกลืนลงไปอย่างฝืดคอ

   “ได้สิครับ แต่ต้องรอจนกว่าคุณจะหายดีนะ” ชานนท์ตอบออกไป พยายามมองหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ เพื่อปกป้องอาการพิรุธ “ถ้าไม่หายผมไม่พาไปเด็ดขาด”

   “ใจร้าย” ปกรณ์พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “พูดดักไว้แบบนี้ ผมก็จะพยายามนะครับ จะเชื่อฟังหมอ แล้วก็... คุณ”

   “ครับ” ชานนท์ยิ้มอย่างเอ็นดู ปกรณ์ดูเปลี่ยนไปมาก เขารู้จักการทำตัวให้น่ารักขึ้น ในสายตาของชานนท์ เขาคิดว่าผู้ชายที่ทำแบบนี้ไม่ได้ดูหน่อมแน้มเลยสักนิด แต่กลับดูมีเสน่ห์มากกว่า

   “หมอการุณบอกว่าจะเข้ามาฉีดยาหลังจากทานอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็ให้ผมทำอะไรก็ได้ที่สบายใจ แล้วหมอยังบอกอีกว่าจะให้คุณมาอยู่เป็นเพื่อน เหมือนว่าเขารู้เลยนะครับว่าผมกับคุณสนิทสนมกัน”

   “รู้สิครับ ใครๆ ก็รู้ ในสายตาคนอื่นคุณเป็นผู้ป่วยของผมเหมือนกันนะครับ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานมันยิ่งย้ำให้คนอื่นเข้าใจว่าเราสองคนสนิทสนมกันนะครับ” ชานนท์ตอบออกมา “แต่ยังไม่มีใครรู้หรอกนะครับว่าจริงๆ แล้วผมรักคุณมากขนาดไหน”

   “แล้วคุณล่ะ...” ปกรณ์รู้สึกแปลกๆ ที่ชานนท์พูดถึงเรื่องความรัก มันไม่ค่อยชินแต่ในเมื่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันเป็นเช่นนั้น เขาก็ต้องพยายามทำตัวให้ชินและแสดงออกให้เท่ากับอีกฝ่าย “รู้หรือยังว่าผมเองก็รักคุณมากขนาดไหน”

   ชานนท์รีบหันไปมองหน้าคนพูด ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าต่อปากต่อกรขนาดนี้ ปกรณ์เปลี่ยนไปมากจริงๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงทำให้เขาสึกนึกและคิดอะไรได้หลายๆ อย่าง หรืออาจจะแค่เป็นการรู้สึกผิด แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรกันแน่ ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี

   “ไม่รู้ครับ” ชานนท์ส่ายหน้า เขาไม่ได้โกหก เขารู้ใจตัวเองดี แต่ไม่รู้ความรู้สึกอีกฝ่ายเลย เป็นนักจิตวิทยาใช่ว่าจะเดาอารมณ์ของผู้ป่วยได้ทุกเรื่อง ยิ่งเรื่องของความรักมันละเอียดอ่อนเกินกว่าจะมีข้อกำหนดบ่งบอกชัดเจนว่าการกระทำไหนคือรักหรือไม่รัก บางทีอาจจะแค่ชอบ หรือรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้เท่านั้น เรื่องแบบนี้ต้องให้ความรู้สึกของแต่ละคนเป็นคนตัดสิน

   “อ่อ... เดี๋ยวคุณก็รู้” ปกรณ์ไม่ใช้คำพูดยืนยันความหนักแน่นของความรัก เขาคิดว่าจะใช้การกระทำแสดงให้รู้ เหมือนกับที่ชานนท์ใช้การกระทำแสดงออกให้กับเขา จนตอนนี้เขารับรู้ถึงความรู้สึกของชานนท์แล้ว

   “คุณนี่ยังไงเนี่ย ทำผมแปลกใจหลายเรื่องแล้วนะครับวันนี้” น้ำเสียงของชานนท์ตื่นเต้น เริ่มผ่อนคลายลงหลังจากที่เอาแต่คิดมากเรื่องหมอเกื้อ อาการหมอเกื้อทำให้ทุกคนในโรงพยาบาลสะเทือนใจ อีกทั้งพ่อแม่ของหมอเกื้อแทบใจสลายเมื่อทราบ โชคดีที่ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นอุบัติเหตุ พยายามจะไม่โทษปกรณ์ แม้ในใจลึกๆ อาจจะมีบ้างที่ไม่พอใจก็ตาม แต่สำหรับชานนท์นั้น... คิดว่าต้นเหตุที่ทำให้หมอเกื้อต้องเป็นแบบนี้ก็คือเขา ถ้าเขาไม่ให้หมอเกื้อออกไปตามหาปกรณ์ด้วย หมอเกื้อก็คงไม่ประสบอุบัติเหตุแทนเขาแบบนี้

   “ดีไหมล่ะครับ” ปกรณ์ยอกย้อนถาม

   “ไม่ดี... มั้ง” ชานนท์ตอบ “ขืนเป็นแบบนี้ผมก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันสิครับ”

   “อ่อ...” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจอะไรบางอย่าง “แสดงว่าชอบผมเพราะคิดว่าผมอยู่ในโอวาทของคุณสินะครับ”

   “เปล่าซะหน่อย” ชานนท์พยายามปฏิเสธ

   “คอยดูเถอะไว้ผมหายดีเมื่อไหร่ล่ะก็ ผมนี่แหละจะเป็นฝ่ายที่ไล่ต้อนคุณเอง” ปกรณ์ยื่นหน้ามาใกล้ๆ แล้วยักคิ้วใส่อย่างยียวน อาจเพราะตอนนี้ปกรณ์ไม่มีอะไรแคลงใจในตัวผู้ชายคนนี้แล้ว เขาจึงกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่กับชานนท์ตามลำพัง

   “หรือไม่แน่... คุณอาจจะเลิกสนใจผมก็ได้ พอคุณหายดี คุณก็อาจมีสังคมมากขึ้น รู้จักคนเยอะขึ้น” ชานนท์แกล้งพูดเล่น แต่อีกฝ่ายกับมีสีหน้าจริงจัง

   “ไม่มีทาง” ปกรณ์ปฏิเสธเสียงหนักแน่น เขาจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับใคร ปกรณ์รู้ดีว่าการนอกใจมันทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดมากขนาดไหน

   “คุณ... ผมขอโทษ” ชานนท์รีบพูดอย่างสำนึก เขาลืมนึกถึงปัญหาครอบครัวของปกรณ์ และลืมคิดไปว่าถ้าพูดเรื่องพรรค์นี้แม้แต่นิดเดียว ปกรณ์อาจจะโยงไปเกี่ยวข้องและหวนทำให้เขานึกถึงอดีตเหล่านั้น

   “ดูสิ... หน้าหงอยเชียว” ปกรณ์ยิ้มออกมาแล้วแกล้งดึงหน้าทำตาโตให้ตัวเองดูตลกที่สุด เขานึกถึงเรื่องในอดีตอย่างที่ชานนท์คิด หากแต่พอเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าสำนึกผิด เขาจึงต้องรีบทิ้งความคิดเหล่านั้นแล้วหาวิธีทำให้ชานนท์ยิ้มออกมาให้ได้ เหมือนที่ชานนท์ชอบทำให้เขาหายเครียด ปกรณ์เลือกที่จะเรียนรู้ความดีของชานนท์แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง

   “ทะเล้นได้ขนาดนี้ผมก็หมดห่วงละ ไม่กี่วันก็คงจะหาย” ชานนท์ขำออกมาให้กับท่าทีตลกๆ นั่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหัวเราะออกมาอย่างไม่ฝืนใจนับตั้งแต่ที่หมอเกื้อช่วยเขาเอาไว้อีกทีจนทำให้หมอเกื้อต้องเป็นฝ่ายที่ถูกรถบรรทุกชนเข้าจังๆ

   “แบบนี้ก็ไม่ดีสิครับ” ปกรณ์ขมวดคิ้วอย่างขัดใจ

   “ทำไมล่ะครับ”

   “ก็ผมอยากให้คุณห่วงอ่ะ” แกล้งทำน้ำเสียงน้อยใจออกมาจนทำให้ชานนท์ต้องขำอีกครั้ง

   “โอเคๆ ผมพูดผิดเอง ต่อให้คุณจะเป็นยังไงผมก็ห่วงคุณเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นรีบหายไวไวนะครับ แบบนั้นแหละดีที่สุดแล้ว”

   “ครับ” ปกรณ์พยักหน้า “แบบนี้สิครับ ค่อยน่ารักหน่อย เออ... แล้วถ้าผมหายดี ปาณัฐกับนรินทร์จะเป็นยังไงครับ”

   “เรื่องนี้...” เสียงของชานนท์เบาลง เพราะไม่รู้ว่าหากตอบออกไปแล้วอีกฝ่ายจะรับได้หรือไม่ แต่ในเมื่อถูกถาม เขาก็ต้องตอบความจริงออกมา “ถ้าคุณหายดี ปาณัฐกับนรินทร์จะหายไปจากชีวิตของคุณ”

   “เหรอครับ... ว้า แย่จังเลยเนอะ” ปกรณ์ยิ้มออกมา พยายามแสดงท่าทางไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะไม่ต้องการให้ชานนท์คิดมาก
 
   ใช่ว่าเขาจะยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ ปาณัฐกับนรินทร์เปรียบเสมือนเพื่อนที่ปกรณ์ไว้ใจที่สุดในชีวิต แค่รู้ความจริงว่าพวกเขาไม่มีตัวตนทั้งๆ ที่ยังคงมองเห็นมันก็เจ็บปวดจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ และหากวันหนึ่ง... พวกเขาต้องหายไปตลอดกาล ปกรณ์ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถทนกับความรู้สึกตอนนั้นได้ไหม มันคงเหมือนกับว่าคนที่รักมากที่สุดได้ตายจากไป ความเสียใจมันคงไม่แตกต่างกัน

   ระหว่างนั้น ประตูห้องก็เปิดขึ้นพร้อมกับร่างของหมอการุณ ชานนท์จึงล่ำลากับปกรณ์และเดินออกจากห้องไปในทันที เขาจำเป็นต้องอยู่ห่างกับปกรณ์ขณะรักษา และอาจต้องถูกห้ามให้เข้าเยี่ยมระหว่างนี้สักพัก ปกรณ์ไม่รู้เรื่องนี้เพราะชานนท์ไม่กล้าบอก... ถ้าเขารู้ เขาอาจจะไม่ยอมรับยาและตัดสินใจยุติการรักษา

   หลังจากที่ออกมาจากห้อง ชานนท์ยังมีธุระสำคัญที่ต้องไปทำซึ่งนั่นก็คือการไปเยี่ยมพ่อกับแม่ของหมอเกื้อ เขาต้องแสดงความรับผิดชอบกับฝ่ายนั้น แม้จะกังวลใจกลัวจะโดนต่อว่า ไหนจะเรื่องที่ต้องรบกวนให้ทุกคนแกล้งบอกว่าหมอเกื้อย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัดอีก ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงหมอเกื้ออาการหนัก โอกาสรอดแทบไม่มี ชานนท์รู้ดีว่าการทำแบบนี้มันเหมือนเป็นการเอาแต่ใจ แต่ถึงอย่างไรมันก็สำคัญกับปกรณ์เช่นกัน เขาได้แต่หวังว่าพ่อกับแม่ของหมอเกื้อจะเข้าใจ ...ถ้าเลือกได้ ชานนท์ก็ไม่อยากให้หมอเกื้อต้องไปนอนอยู่ตรงนั้น มันควรจะเป็นเขามากกว่า

   คิดดังนั้น ชานนท์ก็ฉงนใจ เพราะอะไรหมอเกื้อถึงต้องพุ่งมินิไบค์มาขวางแล้วผลักร่างเขาออกไปข้างทางระหว่างที่รถบรรทุกกำลังจะชน ทำไมหมอเกื้อถึงเอาชีวิตเข้าแลก... เหมือนกับที่เขาได้ทำกับปกรณ์ ทั้งๆ ที่เขาเองก็เป็นแค่นักจิตวิทยาที่ทำงานร่วมกับหมอเท่านั้น  ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับหมอสักนิด

   หรือว่า...

   คิดดังนั้นชานนท์ก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจ เพราะถ้าเป็นแบบที่คิดจริง เขาคงรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกหลายร้อยเท่า แค่นี้เขาก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว เขาไม่เคยสังเกตปฏิกิริยาของหมอเกื้อเลย ...ไม่สิ ต้องบอกว่าหมอเกื้อเป็นหมอจิตเวชที่ไม่เคยแสดงความรู้สึกกับใครเป็นพิเศษมากกว่า หมอเกื้อยิ้มแย้มและใจดีกับทุกๆ คนไม่ต่างกับเขาเลยอาจทำให้ชานนท์ไม่เคยเข้ารู้อะไรเลย ในความคุ้นเคยที่แฝงความรู้สึกอะไรเอาไว้มากมายของหมอเกื้อ

   ชานนท์หวังว่าเรื่องที่คิดจะไม่ใช่เรื่องจริง ขอให้เป็นเรื่องมโนไปเองเท่านั้น ที่หมอเกื้อทำไปคงเพราะความตกใจและปฏิกิริยาทางด้านบวกที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น จึงทำให้สมองสั่งการออกมาอย่างฉับพลันว่าต้องปกป้องเขา ...ใช่ มันต้องเป็นแบบนั้น


จบตอน


ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หมอเกื้อ ชอบชานนท์สินะ งืออออ ลำบากใจ หมอเกื้อก็ดี๊ดี สุภาพบุรุษมากกก
 :z3:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ปมอะไรจะเยอะขนาดนั้น เขียนได้น่าติดตามจริงๆ ครับ อ่านไปเกร็งไป

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 27



หลังจากที่ชานนท์เดินออกไป หมอก็สั่งให้ปกรณ์นอนรออยู่บนเตียง ระหว่างนั้นหมอก็สารวนกับเครื่องมือทางการแพทย์และยาที่เข็นเข้ามาด้วย


   “หมอจำเป็นจะต้องบอกก่อนนะครับ ระหว่างการรักษาหากผู้ป่วยมีอาการคลุ้มคลั่ง ทางโรงพยาบาลจำเป็นจะต้องล็อกผู้ป่วยไว้กับเตียงนอน ถ้าไม่อยากโดนล็อกเอาไว้ ผู้ป่วยต้องพยายามมีสติอย่าปล่อยให้ความอ่อนแอ ความหวาดกลัว เข้าควบคุมจิตใจนะครับ” หมอการุณอธิบาย

   “มันจะแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ปกรณ์ไม่รู้มาก่อนเลยว่าตัวเองอาจจะอาการหนักถึงขั้นนั้น

   “บางทีน่ะครับ” หมอตอบออกมา “ฤทธิ์ยาอาจจะมีผลข้างเคียงหลายอย่างจนทำให้ผู้ป่วยคิดอะไรไปต่างๆ นานาได้ แต่มันมีวิธีช่วยให้ผู้ป่วยยับยั้งอาการนั้นอยู่นะครับ”

   “วิธีอะไรครับ” ปกรณ์ถามอย่างร้อนรน

   “ให้นึกถึงคนที่รักมากที่สุดในชีวิตขณะที่รู้สึกว่าสติของตัวเองกำลังจะหลุดลอยไป ในกรณีนี้ส่วนใหญ่จะใช้ได้ผลกับผู้ป่วยที่เป็นพ่อคนแม่คนนะครับ เพราะมักจะคิดถึงหน้าลูกๆ ของตัวเอง ในวัยหนุ่มสาวอาจจะยากหน่อย เพราะส่วนใหญ่ยังไม่มีคนรัก และมักจะมีปัญหาครอบครัวกันทั้งนั้น ถ้าคุณปกรณ์มีใครที่รู้สึกว่ารักเราจริงๆ และเราก็รักเขา แค่เพียงคนเดียวก็ได้นะครับ เขาคนนั้นอาจจะเป็นคนที่ช่วยให้คุณหลุดพ้นจากอาการหวาดกลัวก็ได้นะครับ”

   “คนที่รักเราแล้วเราก็รักงั้นเหรอครับ” ปกรณ์ทวนคำ ยังไม่ทันจะพยายามนึกถึงใครด้วยซ้ำใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนของชานนท์ก็รีบเข้ามาจับจ้องพื้นที่ในความคิดของเขาทันที ‘ว่าแล้วต้องเป็นคุณ’

   “ยิ้มแบบนี้แสดงว่ามีใช่ไหมล่ะครับ” หมอการุณแกล้งแซว

   “เปล่านะครับหมอ” ปกรณ์ปฏิเสธออกไป เพราะกลัวว่าถ้ายอมรับตรงๆ อาจจะหลุดปากว่าคนคนนั้นคือชานนท์ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นมันอาจจะทำชานนท์อาจจะโดนล้อเอาได้ ถึงแม้จะเชื่อใจว่าหมอจิตวิทยาจะไม่พูดเรื่องส่วนตัวของผู้ป่วยก็เถอะ แต่มันก็อดระแวงไม่ได้อยู่ดี

   “โอเคครับ หมอไม่แกล้งแล้ว ถ้าอย่างงั้นหมอจะฉีดยาให้เลยนะครับ” หมอการุณเริ่มขยับยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์เห็นรอยยิ้มจากหมอคนนี้ มันเป็นเทคนิคของหมอการุณ เขาเลือกที่จะทำหน้านิ่งเวลาที่พบกับผู้ป่วยในครั้งแรกๆ จนกว่าจะได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล เขาจึงจะหาวิธีการพูดที่สร้างความสนิทสนมแล้วจึงจะยิ้มให้ เพราะหมอการุณคิดว่าการให้เขาเห็นรอยยิ้มของตนในเวลาสุดท้ายก่อนที่จะรับการรักษา มันจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจและดีใจขึ้นมามากกว่าปกติเวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มของหมอยิ้มยาก และพอผู้ป่วยสบายใจมันก็จะทำให้การรักษาง่ายขึ้นโดยที่เขาไม่กล้างอแง

   “ครับ” ปกรณ์ยื่นแขนไปให้ อดที่จะยิ้มตามหมอไม่ได้ แท้จริงแล้วหมอคนนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวถึงแม้จะยิ้มยากสักหน่อยก็เถอะ รู้สึกดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของหมอในเวลาแบบนี้

   หมอการุณจัดการฉีดยาเข้าไปที่แขนของปกรณ์ทันที ปกรณ์นั่งนิ่งไม่แสดงความเจ็บปวดใดใดออกมา เขาไม่กลัวเข็มฉีดยา เจ็บแค่นี้มันยังน้อยนิดหากเทียบกับสิ่งที่เขาเผชิญมาทั้งชีวิต

   “เสร็จแล้วครับ” หมอการุณถอนเข็มฉีดยาออกมาแล้วรีบใช้สำลีปิดบริเวณที่ฉีดเอาไว้ก่อนจะใช้เทปกาวติดแผล “เก่งมากครับ”

   “แล้วผมต้องทำอะไรต่อครับ” ปกรณ์ยกมือขึ้นมากดสำลีเอาไว้

   “ทำใจให้สบายครับ จะนอนอยู่บนเตียง หรือเดินเล่นไปมาก็ได้ หมอจะให้พยาบาลกับนักจิตวิทยาสลับกันมาเฝ้าและสอบถามอาการเรื่อยๆ นะครับ อย่าลืมนะครับถ้ามองเห็นปาณัฐกับนรินทร์เมื่อไหร่ อยากพูดอยากคุยอยากระบายความในใจอะไรให้พูดออกมาให้หมดๆ เลยนะครับ”

   “ครับ” ปกรณ์พยักหน้ารับ

   หมอการุณยิ้มให้ปกรณ์อีกครั้งก่อนจะเก็บเครื่องมือทางการแพทย์แล้วออกจากห้องไป






   ทางด้านของชานนท์ เขาเดินตรงไปยังตึกที่หมอเกื้อทำการรักษาตัวอยู่ หมอเกื้อยังคงอยู่ในห้องไอซียู หมอและพยาบาลแต่ละแผนกต้องผลัดกันเข้าทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะอาการของหมอเกื้อยังคงไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น

   พ่อและแม่ของหมอเกื้อยังคงนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องไอซียู พอทราบข่าวพวกท่านทั้งสองก็รีบมาที่โรงพยาบาลทันที ในตอนนี้พวกท่านอายุ 60 กว่าแล้ว เกษียรงานราชการได้เงินบำนาญเลี้ยงชีพรวมถึงเงินเดือนที่ลูกชายส่งให้ในแต่ละเดือนนั้นก็มากโขจนเหลือเก็บ จึงไม่มีปัญหาที่จะใช้เวลาทั้งหมดของแต่ละวันมานั่งเฝ้าลูกชายเพียงคนเดียว

   ชานนท์ใจสั่นและหยุดนิ่งเมื่อมองเห็น พวกท่านตาแดงก่ำแต่ไม่มีหยดน้ำตาเพราะที่ผ่านมาคงร้องไห้ออกมาจนหมดตัวแล้ว อยากจะหนีไปให้ไกลเพราะไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่ใช่เพราะกลัวความผิดเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่เพราะกลัวว่าพวกท่านจะยิ่งเสียใจร้องไห้เมื่อเข้าไปคุยด้วย แต่ถึงอย่างไรชานนท์ก็ต้องเดินเข้าไปขอโทษ

   “คุณพ่อ คุณแม่ครับ” ชานนท์เดินไปคุกเข่าตรงหน้าพวกทั้ง สองมือยกขึ้นมาที่หน้าอกก่อนจะก้มกราบที่ตักของพ่อแล้วย้ายไปที่แม่ “ผมขอโทษนะครับที่เป็นต้นเหตุจนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้”

    พวกท่านมาเฝ้าลูกชายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่เพราะชานนท์เองก็ได้รับบาดเจ็บต้องเข้าทำการรักษาจึงยังไม่ได้เจอหน้ากัน แต่พยาบาลและหมอที่รับรู้ถึงเหตุการณ์ตอนที่เกิดอุบัติเหตุกับชานนท์ก็ได้มาชี้แจงพวกท่านแล้ว

   “ชานนท์สินะ” แม่ของหมอเกื้อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ท่านจำชานนท์ได้เพราะเคยมาหาลูกชายที่โรงพยาบาลนี้อยู่บ่อยครั้ง

   “ครับแม่” ชานนท์เงยหน้าขึ้น ดวงตาของท่านแดงก่ำมีน้ำคลออยู่เต็มเบ้า ไม่ต้องอธิบายอะไรออกมาก็สัมผัสได้ว่าท่านรู้สึกแย่แค่ไหน พอหันไปมองพ่อ น้ำตาของท่านก็เอ่อล้นจนจะทะลักดวงตาอยู่แล้วเช่นกัน ความรู้สึกผิดปะเดปะดังเขาในจิตใจทันที ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวและในที่สุดน้ำตาของชานนท์ก็ไหลลงมาโดยที่เขาไม่ได้สะอึกสะอื้นเลยสักนิด

   แม่ของหมอเกื้อยื่นมือมาปาดน้ำตาให้ชานนท์ แม้ท่านจะอายุมากแล้วแต่ยังแข็งแรง อาจเพราะมีลูกชายที่เป็นหมอคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ยิ่งเป็นหมอจิตเวชยิ่งสามารถดูแลได้ทั้งร่างกายและจิตใจ

   “ไม่ต้องร้องนะลูก แม่เข้าใจ มานั่งข้างๆ แม่สิ” ชานนท์ไม่สงสัยเลยสักนิดว่าความเป็นสุภาพบุรุและความใจดีของหมอเกื้อนั้นถูกถ่ายทอดมาจากใคร ครอบครัวของหมอเกื้อเลี้ยงลูกได้ดีมาก ขนาดเขาที่เป็นต้นเหตุทำให้หมอเกื้อได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง ยังได้รับการต้อนรับอย่างดี

   ชานนท์ยั้งกายลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ ในตอนนี้แทนที่ชานนท์จะเป็นฝ่ายปลอบโยนแต่กลับเป็นแม่เสียอีกที่ยื่นมือมาจับกับมือของชานนท์เอาไว้แน่น แล้วยังปลอบใจชานนท์ที่น้ำตายังคงไหลเพราะรู้สึกผิดทั้งยังตื่นตันใจ

   “ไม่ร้องนะลูก ถ้าเกื้อตื่นขึ้นมาเห็นชานนท์อยู่ในสภาพนี้ เกื้อคงเสียใจแย่ที่รู้ว่าคนที่เขาช่วยกำลังนั่งร้องไห้รู้สึกผิด”

   คำพูดของแม่แต่ละคำช่างบาดหัวใจเหลือเกิน ชานนท์ไม่คิดว่าในโลกนี้จะมีใครที่ใจดีได้ถึงเพียงนี้อีกแล้ว ในตอนนี้ร่างกายของเขาเริ่มสั่นและยังสะอึกอื้นออกมา เขาอยากพูดขอบคุณที่คุณแม่เข้าใจแต่ก็ไม่สามารถขยับปากพูดอะไรออกมาได้เลยเพราะความตื้นตันใจที่เกิดขึ้น

   “เดี๋ยวเกื้อก็หาย” คุณแม่หันไปค้นกระเป๋าก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้กับชานนท์

   “หมอเกื้อจะต้องหายครับ” ชานนท์ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น ขอให้ความดีของหมอเกื้อเป็นเกาะป้องกันสิ่งเลวร้ายที่ต้องการจะมากระชากลมหายใจของหมอเกื้อไป

   “เกื้อน่ะเป็นเด็กดี” คราวนี้เป็นฝ่ายของพ่อเอ่ยขึ้นมาบ้าง ท่านนั่งไขว่ห้างแล้วนั่งก้มหน้ามองไปที่พื้นราวกับกำลังนึกถึงเรื่องเก่าๆ “ไม่เคยทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังแม้แต่ครั้งเดียว เกื้อไม่มีศัตรู ใครๆ ก็รักเกื้อ เหมือนที่พ่อกับแม่รัก พ่อเองเป็นทหารเพิ่งเกษียรมาไม่กี่ปีไม่ค่อยมีเวลาดูแลเกื้อเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แม่เขาจะเป็นคนดูแล แต่ทุกครั้งที่เจอกันพ่อก็สอนให้เกื้อเป็นคนเสียสละ ให้รู้จักช่วยเหลือคนอื่นถ้ายังพอมีแรงหรือกำลังที่พอจะช่วยเหลือได้ พ่ออาจจะปลูกฝังมากเกินไป เกื้อเลยอาจจะรักคนอื่นจนลืมให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเอง พ่อดีใจนะที่เกื้อเป็นคนแบบนี้ แต่พ่อก็ไม่อยากให้เกื้อเป็นอะไรไปเหมือนกัน เกื้อจะต้องฟื้นขึ้นมา พ่อเชื่ออย่างนั้น”

   สิ่งที่ท่านพูดออกมายิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการเลี้ยงดูหมอเกื้อ ทั้งพ่อและแม่เป็นแบบอย่างที่ดี หลายคนอาจคิดว่าเป็นคนดีคนเสียสละแล้วเราจะได้อะไรตอบแทนกลับมา ทั้งๆ ที่เราเองก็อาจเอาตัวไม่รอด ...ใช่ อย่างที่พ่อของหมอเกื้อสอน ให้เสียสละและช่วยเหลือเท่าที่มีแรงกำลัง จะได้อะไรตอบแทนไม่สำคัญแค่ทำให้เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกมีความสุขหรือยิ้มออกมาให้กันได้นั่นแหละสำคัญที่สุดแล้ว

   “ผมขอโทษนะครับ ถ้าเป็นผมที่นอนอยู่ตรงนั้นคงจะ...”

   ยังไม่ทันที่ชานนท์จะพูดจบ แม่ของหมอเกื้อก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปาก

   “ทุกคนสำคัญเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นใครที่นอนอยู่ตรงนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี การที่เกื้อเลือกที่จะปกป้องชานนท์นั่นหมายความว่าเกื้อเห็นความดีและคุณค่าของชานนท์เหมือนกัน ในเมื่อเกื้อเลือกที่จะปกป้อง แม่กับพ่อเองก็จะไม่ตำหนิต่อว่าอะไร ชานนท์ไม่ได้ทำอะไรผิด อุบัติเหตุนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น รวมถึงผู้ป่วยของหมอเกื้อคนนั้นก็คงไม่ได้ตั้งใจ หลายคนอาจคิดว่าเขาเป็นตัวต้นเหตุ แต่แม่ไม่คิดแบบนั้นหรอก แม่จะไม่โทษใครเพราะแม่สอนเกื้อให้เป็นคนแบบนี้เอง”

   “ขอบคุณครับแม่ ผมเข้าใจแล้วครับ” ชานนท์ตอบเสียงเบา เขาพยายามกลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่อยากให้น้ำตามันไหลลงมาอีก ครอบครัวของหมอเกื้อเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ชานนท์อดนึกอิจฉาไม่ได้ ทุกคนมีความคิดในด้านบวก

   ในตอนนี้ชานนท์ทำได้เพียงภาวนา ให้คุณหมอผู้แสนดีฟื้นขึ้นมารับรู้ว่ามีคนที่รักและห่วงใยพวกเขามากมายแค่ไหน ไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่หมอ พยาบาล นักจิตวิทยาหรือแม้แต่แม่บ้านและยามที่โรงพยาบาลแห่งนี้ทุกคนต่างก็รักหมอเกื้อ ไม่มีคุณหมอคนไหนที่ยิ้มเก่ง เป็นกันเองและใจดีกับทุกๆ คนได้เทียบเท่ากับหมอเกื้ออีกแล้ว

   ระหว่างนั้นเอง ชายหนุ่มที่สวมเครื่องแบบยามรักษาการของโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ได้เดินตรงเข้ามา ในมือของเขาถือเสื้อกาวน์ที่ขาวสะอาดเข้ามาด้วย ชานนท์จำได้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือยามคนที่หมอเกื้อได้ฝากชุดกาวน์เอาไว้

   ยามหนุ่มยกมือไหว้พ่อกับพ่อของหมอเกื้อรวมถึงชานนท์ ก่อนที่จะมานั่งข้างๆ กับชานนท์

   “หมอเกื้อเป็นยังไงบ้างครับ” ยามหนุ่มสอบถามอาการ หน้าตาของเขาดูไม่ค่อยดีนักอาจเพราะได้ทราบข่าวมาก่อนหน้านี้

   “ยังไม่ได้สติเลยครับ” ชานนท์ตอบออกมา ชายหนุ่มเงียบเสียงลงชั่วขณะเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรในใจก่อนที่จะพูดต่อ

   “หมอเกื้อจะต้องหายนะครับ ตอนแรกผมกะจะเอาชุดมาคืนหมอ แต่ผมขอเก็บมันไว้ก่อนนะครับ ผมจะรอให้หมอฟื้นขึ้นมารับมันคืนกับผมเอง” ปลายเสียงของยามเริ่มสะอื้น “หมอจะต้องฟื้นขึ้นมานะครับ ถ้าไม่มีหมอเกื้อ ผมเองก็คงไม่ได้งานทำที่นี่ และคงไม่มีเงินเลี้ยงลูกกับเมียจนทุกวันนี้”

   เมื่อครั้งที่หมอเกื้อเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ เขาได้พบกับยามหนุ่มคนนี้โดยบังเอิญ ในวันนั้นยามหนุ่มได้มาสมัครงานเป็นยามที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่โรงพยาบาลไม่รับเพราะที่โรงพยาบาลมีการว่าจ้างยามกับบริษัทรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว หมอเกื้อเห็นยามหนุ่มนั่งเศร้าหน้าตาหมดอาลัยตายอยากอยู่บริเวณประตูโรงบาลเลยเข้าไปสอบถามจึงทราบถึงเหตุผลทั้งหมอ และเป็นหมอเกื้อนี่แหละที่เป็นธุระฝากงานที่บริษัทรักษาความปลอดภัยให้กับยามจนในที่สุดก็ได้มาทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้

   “ผมเคยถามหมอเกื้อนะครับว่าทำไมถึงช่วยผม ถึงเชื่อใจฝากงานและค้ำประกันให้ผม ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน ผมอาจจะโกง หนีงานและทำให้หมอเสียชื่อเสียงได้ แต่คำตอบของหมอก็เล่นเอาผมแทบจะคุกเข่าลงไปกราบเลยล่ะครับ แม้หมอจะอายุมากกว่าผมไม่กี่ปี แต่ผมก็นับถือหมอเป็นยิ่งกว่าพี่ชายแท้ๆ ซะอีกครับ หมอเกื้อบอกว่าตอนที่ผมพูดถึงลูกถึงเมียและอยากได้งานทำ แววตาของผมมันมีแต่ความจริงใจ จะไม่ช่วยก็คงไม่ได้ หรือหากถูกโกหกก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยหมอก็ได้มีโอกาสช่วยเหลือคนๆ หนึ่งที่กำลังลำบาก แค่นี้หมอก็มีความสุขแล้วครับ แล้วหมอก็ยิ้มให้ผมแถมยังบอกผมอีกว่า... เห็นไหมล่ะหมอเลือกช่วยคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย” ยามหนุ่มน้ำตาคลอเบ้า เขาไม่ยอมให้น้ำตามันไหลลงมารีบยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตา

   ชานนท์ได้ฟังเรื่องที่ยามเล่าก็พลอยรู้สึกประทับใจไปด้วยแต่คงไม่มากกับบุพการีของหมอเกื้อแน่นอน แม้ในยามนี้พวกท่านจะยังคงมีสีหน้าตรึงเครียดเพราะห่วงใยอาการของลูกชาย แต่หัวใจของท่านคงกำลังยิ้มอย่างภาคภูมิใจกับสิ่งที่ลูกชายได้กระทำ

   “เดี๋ยวผมจะมาเยี่ยมหมอบ่อยๆ นะครับ ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ” ยามหนุ่มกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะยกมือไหว้แล้วเดินออกไป

   “แม่กับพ่อกินอะไรหรือยังครับ” ชานนท์เอ่ยถามเพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ และถ้าเดาไม่ผิดพวกท่านน่าจะกินอะไรไม่ลงแน่ๆ

   “ยังเลย” ผู้เป็นแม่ตอบออกมา ไม่ผิดจากที่คาด “ไม่ใช่ว่าแม่กับพ่อไม่หิวจนกินอะไรไม่ลงหรอกนะ แต่แม่เป็นห่วงเกื้ออยากนั่งอยู่ตรงนี้ อยากรอฟังข่าวว่าเกื้อปลอดภัยก็เลยไม่อยากลุกไปไหน”

   “ครับ” ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปซื้อกับข้าวมาให้นะครับ แม่กับพ่ออยากกินอะไรสั่งมาได้เลยนะครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะ” แม่หยิบกระดาษกับปากกาออกมาจากกระเป๋าก่อนจะจดเมนูอาหารลงไปแล้วยื่นแผ่นกระดาษมาให้ ไม่ถามพ่อด้วยซ้ำ

   ชานนท์รับแผ่นกระดาษมาดูพอเห็นเมนูก็เข้าใจ แม่สั่งมาเผื่อพ่อด้วยแล้ว

   “รอผมสักครู่นะครับ แล้วผมจะรีบกลับมา” ชานนท์เอ่ยขึ้น พ่อกับแม่ของหมอเกื้อพยักหน้า จากนั้นจึงเดินจากไป

   ชานนท์รู้สึกโล่งใจหลังจากที่ได้คุยกับพ่อและแม่ของหมอเกื้อ พวกท่านทั้งสองใจดีและอ่อนโยนไม่ผิดจากลูกชาย พอได้ขอโทษหลังจากที่รู้สึกผิดก็รู้สึกสบายใจ ตอนนี้เหลือแค่ความหนักใจสุดท้ายก็คืออาการของหมอเกื้อเท่านั้น ชานนท์เฝ้าย้ำภาวนาให้หมอเกื้อฟื้นขึ้นมา ไม่ใช่แค่ชานนท์ แต่ทุกๆ คนเองก็คิดเช่นนั้น

   ‘หมอจะต้องฟื้นขึ้นมานะครับ’



จบตอน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Fransit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกดี เป็นคนที่ชอบอ่านแนวนี้ด้วย เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ :impress3:

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :monkeysad:
เก๊าเริ่มรักหมอเกื้อแล้ว น่ารักๆ ทั้งพ่อทั้งแม่ น่ารักมากกกก
ใครๆ ก็รักหมอ ขนาดน้องยามยังรัก กิสสส
ถ้าไม่ติดว่าน้องยามมีลูกมีเมีย จะจิ้นให้ได้หมอแล้วนะเนี่ย
มีการรอเอาเสื้อกาวน์มาคืนกะมือด้วย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆจ้า รอนะคะ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ตามมาอ่านต่อทันเเล้ว :hao5:

ให้กำลังใจทุกตัวละครรวมถึงคนเเต่งด้วยนะคะ :pig4:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 28


หลังจากที่ซื้ออาหารเสร็จ ชานนท์ก็รีบกลับขึ้นไปยังหน้าห้องไอซียูแล้วนำอาหารและน้ำดื่มไปให้กับพ่อและแม่ของหมอเกื้อ


   พอไปถึง ชานนท์ก็พบกับแขนผู้มาใหม่อีกคน เธอเป็นหญิงสาวผิวขาวรูปร่างเล็กผมยาวตรงสีดำขลับ หน้าตาน่ารัก ตาตี่น่าจะมีเชื้อสายจีน

   ชานนท์จำเธอได้ ผู้หญิงคนนี้ชื่อ ‘ลิลดา’ หรือ ‘หมอลิน’ เป็นเพื่อนสนิทของหมอเกื้อ เธอเรียนคณะแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกับหมอเกื้อ แต่เรียนด้านสูตินารีเวชคนละสายกับหมอเกื้อและพอเรียนจบก็ทำงานคนละที่ แต่ด้วยความสนิทสนมทำให้ต่างฝ่ายต่างไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จนชานนท์เข้าใจว่าทั้งคู่คบกัน และตอนนี้ก็ยังคิดเช่นนั้น

...ใช่แล้วหมอลินกับหมอเกื้อคบกัน เพราะฉะนั้นเขาไม่ควรจะมโนอะไรโง่ๆ จนทำให้หมอเกื้อเสียหาย

   ใบหน้าที่เคยขาวเนียนของหมอลินในยามนี้กลับแดงปลั่งเช่นเดียวกับดวงตา น้ำตาของเธอคลออยู่เต็มเบ้าเช่นกัน หมอลินคงเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก ขนาดคนที่ไม่ได้สนิทกับหมอเกื้อยังใจหายแล้วคนใกล้ชิดอย่างหมอลินล่ะจะกำลังมีสภาพจิตใจย่ำแย่แค่ไหน

   “อ้าว... ชานนท์” หมอลินยกแขนขึ้นมาปาดรอบดวงตาไม่ให้น้ำตามันไหลลงมา

   “หมอลิน” ชานนท์เอ่ยเสียงเบา หลังจากที่ส่งอาหารและเครื่องดื่มให้กับพ่อและแม่ของหมอเกื้อก็ขยับไปนั่งข้างๆ กับหมอลิน “หมอลินกินอะไรมาหรือยังครับ”

   หมอลินส่ายหน้าเป็นคำตอบ แววตาของเธอเศร้าสร้อยผิดจากวิสัย ปกติหมอลินจะร่าเริงยิ่งเมื่อได้อยู่ใกล้กับหมอเกื้อยิ่งร่าเริงมากขึ้น

   “กินอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้”

   “ไม่เป็นไร แต่ถ้ารบกวนไปนั่งเป็นเพื่อนจะได้ไหม ลินไม่อยากอยู่คนเดียว” พอหมอลินมองหน้าชานนท์ ใบหน้าของเธอก็แดงเข้มขึ้นเหมือนกับจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้

   “ได้ครับ” ชานนท์ตอบตกลง ก่อนจะหันไปบอกพ่อและแม่ของหมอเกื้อ “เดี๋ยวผมพาหมอลินไปทานอาหารก่อนนะครับ”

   “เดี๋ยวลินมานะคะ”

   พ่อกับแม่ของหมอเกื้อพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเธอก็ยั้งร่างลุกจากเก้าอี้แล้วเดินนำออกไปโดยมีชานนท์เดินตามหลัง

   ภายในโรงพยาบาลจะมีโซนขายอาหารแยกไว้เป็นบางตึก ซึ่งตึกผู้ป่วยไอซียูที่ต้องเข้ารับการรักษาฉุกเฉินนี้จะไม่มีร้านขายอาหาร ต้องเดินไปซื้อที่ตึกอื่นเท่านั้น หมอลินมาที่นี่บ่อยครั้งจึงเลือกที่จะเดินนำไปยังตึกแผนกจิตเวชที่เธอมักจะนั่งรับประทานอาหารกับหมอเกื้อเป็นประจำเวลาที่มาที่นี่

   หมอลินสั่งอาหาร ครู่หนึ่งก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ เธอมองหน้าชานนท์เหมือนมีอะไรค้างคาใจอีกครั้ง ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเปิดใจกับชานนท์

   “ชานนท์” เสียงของหมอลินแผ่วเบากว่าปกติคงเพราะกำลังใจหาย

   “ครับ”

   “อาการของเกื้อหนักมาก ลินเองก็ไม่รู้ว่าเกื้อจะต่อสู้กับมันได้อีกนานแค่ไหน ไหนๆ ก็ไหนๆ  แล้ว ลินมีเรื่องที่อยากคุยกับชานนท์ อยากคุยมานานแล้วด้วย” น้ำเสียงของหมอลินหนักแน่นมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าเรื่องที่กำลังจะคุยกันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

   “เรื่องอะไรครับ” หัวใจของชานนท์เต้นเร็วขึ้นเพราะตื่นเต้น เดาว่าหมอลินจะต้องพูดเรื่องความสัมพันธ์กับหมอเกื้อแน่ๆ และชานนท์เองก็ไม่ได้รู้สึกดีเลยที่หมอเกื้อต้องเป็นแบบนี้ หมอลินคงทุกข์ทรมานใจมาก

   “ลินกับเกื้อเป็นเพื่อนสนิทกันมากๆ เรามีอะไรก็มักจะปรึกษากันทุกเรื่อง” หมอลินเริ่มเกริ่นนำ “เวลาที่ลินมีปัญหา ก็มีแต่เกื้อนี่แหละที่คอยรับฟัง บางทีก็ช่วยคิดแก้ปัญหา หรือหาคำพูดดีๆ ทำให้ลินรู้สึกดีขึ้นเสมอ แต่เกื้อ... ไม่เคยปรึกษาอะไรกับลินเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเกื้อไปหาลินที่โรงพยาบาล แล้วเขาก็มาปรึกษากับลินเรื่องชานนท์”

   ชานนท์ขมวดคิ้ว พลางคิดย้อนกลับไปว่าเขาเคยทำอะไรให้หมอเกื้อไม่สบายใจหรือไม่

   “ตอนแรกนั้นเกื้อบอกว่ามีนักจิตวิทยาใหม่มาทำงานด้วย เขาสุภาพ อ่อนโยน ใจดี ยิ้มเก่งเหมือนกับเกื้อ แล้วก็เล่าให้ฟังว่าน้องคนนี้น่ารักมาก เชื่อฟังหมอทุกคน หมอหรือใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำ เกื้อมักแอบมองดูน้องเขาแล้วยิ้มขึ้นมาเฉยๆ จนเกื้อรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเองก็เลยมาปรึกษากับลิน”

   ชานนท์ประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าถูกหมอเกื้อมอง ไม่ฉุกคิดด้วยซ้ำ เวลาเจอหน้าแล้วยิ้มให้กัน รู้สึกเพียงว่าหมอเกื้อเป็นคนที่สุภาพอ่อนโยนเท่านั้นเลยมักยิ้มให้กับหมอเกื้อบ่อยๆ

   “เกื้อเป็นลูกชายคนเดียว เขาก็กลัวพ่อแม่ผิดหวังเรื่องนี้เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เกื้อไม่เคยทำให้พ่อกับแม่เสียใจเลย เกื้อกลัวว่าถ้าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับชานนท์มันคือความรัก เขากลัวว่าพ่อแม่จะเสียใจที่มีลูกเป็นแบบนี้ และไม่มีทายาทสืบสกุล แต่ยิ่งเกื้อพยายามฝืนใจ ไม่สนใจชานนท์ เกื้อก็ยิ่งกระวนกระวายทุกข์ร้อน ดูไม่มีความสุข ลินเลยบอกกับเกื้อว่าเกื้อรักน้องเขาเข้าแล้วล่ะ”

   “ไม่จริงน่า... แล้วหมอลินกับหมอเกื้อไม่ได้คบกันเหรอครับ” ชานนท์พึมพำออกมา ผู้ชายที่สุดแสนจะเพอร์เฟคแบบหมอเกื้อมีตัวเลือกที่ดีกว่าเขาเยอะแยะ ถึงแม้หมอเกื้อจะไม่ได้ชอบผู้หญิงก็ตามก็ไม่น่าจะมาชอบชานนท์ได้

   “อ่อ ลินกับเกื้อเป็นแค่เพื่อนกัน เพื่อนที่ซี้กันมากๆ ลินเองก็มีคนที่ลินคบด้วยอยู่แล้ว ที่มาหาเกื้อบ่อยๆ ก็มาปรึกษาเรื่องแฟนของลินเนี่ยแหละ เพราะลินงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลา เขามักจะน้อยใจ บางครั้งลินเองก็ทำตัวกับแฟนไม่ถูก เป็นหมอก็แบบนี้แหละ” หมอลินชี้แจงเรื่องความสัมพันธ์ก่อนจะเข้าเรื่องของหมอเกื้อต่อ

   “แล้วเราก็สนิทกันมากขึ้นเพราะเกื้อเอาเรื่องของชานนท์มาปรึกษาลิน มันทำให้เราได้คุยกันบ่อยขึ้น ลินเองก็บอกเกื้อแล้วนะว่าให้ชัดเจนกับความรู้สึก แสดงออกให้ชานนท์รู้ไปเลยว่าชอบ แต่เกื้อก็ไม่กล้า บอกว่าไม่รู้ว่าชานนท์จะชอบผู้ชายไหม ถ้าไม่... ชานนท์ก็คงอึดอัดแย่หลังจากได้รับรู้ความรู้สึกของเกื้อ เกื้อก็เลยเลือกที่จะปล่อยเลยตามเลย แค่ได้ทำงานด้วยกันใกล้ๆ กันก็พอ”

   ใจของชานนท์เต้นไม่เป็นจังหวะ อธิบายความรู้สึกในตอนนี้ไม่ได้ นึกโทษตัวเองที่เขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหล่านั้นของหมอเกื้อแม้แต่นิดเดียว

   “จนกระทั่งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น มันทำให้ลินเงียบต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ลินอยากให้ชานนท์รับรู้ความรู้สึกของเกื้อ เกื้อยอมเอาชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องชีวิตของชานนท์ ถ้าปาฏิหาริย์มีจริง ถ้าเกื้อตื่นขึ้นมา... ชานนท์รับปากกับลินได้ไหม ว่าจะทำให้เกื้อมีความสุข รับรู้ความรู้สึกที่หวังดีของเกื้อ ลินไม่รู้หรอกนะว่าชานนท์คิดยังไง ลินแค่อยากให้เพื่อนของลินมีความสุขในความรักสักครั้ง... สักครั้งเดียวในชีวิต เกื้อทำเพื่อคนอื่นมามากพอแล้ว เกื้อไม่น่าจะต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้” หมอลินน้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง

   ชานนท์สัมผัสได้ถึงความหวังดีที่มีต่อเพื่อนของหมอลิน คำพูดของหมอลินแต่ละคำเหมือนหนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจของชานนท์ พอรับรู้ถึงความรู้สึกของหมอเกื้อ ชานนท์ก็ปวดใจ บางทีถ้าเขารู้เร็วกว่านี้ รู้ว่ามีใครที่แสนดีแบบหมอเกื้อคอยมองและห่วงใยอยู่ตลอดเวลา เขาอาจจะตอบรับความรู้สึกนั้นไปแล้วก็ได้ แต่เพราะเขาเองเป็นแค่นักจิตวิทยา จะไปคาดหวังหรือคาดคิดว่าหมอจะชอบตัวเองก็คงไม่กล้า ชานนท์จึงไม่เคยรับรู้ถึงความปรารถนาดีของหมอเกื้อเลย

   ระหว่างนั้น ภาพของหมอเกื้อในวินาทีสุดท้ายก่อนที่หมอเกื้อจะโดนรถชนก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมอง... ตอนนั้นพอเห็นรถบรรทุกกำลังพุ่งตรงมาที่ร่างของปกรณ์ สมองของชานนท์ไม่ได้ไตร่ตรองอะไรทั้งสิ้น หัวใจของเขาสั่งให้เขาช่วยคนคนนั้นแล้วก็รีบพุ่งลงจากมินิไบค์แล้วผลักร่างของปกรณ์ออกไปสุดแรง  ฉับพลัน... ร่างของเขาก็กระเด็นตามไป

   หมอเกื้อขับมินิไบค์คู่ใจมาหยุดอยู่กลางถนนแทนที่ชานนท์ เสี้ยววินาทีถัดมา ชานนท์จำได้ว่าหมอเกื้อยิ้มให้ก่อนจะหลับตาลงเพราะรู้ถึงชะตากรรมตัวเองแล้วรถบรรทุกก็พุ่งเข้าใส่ ร่างของหมอเกื้อกระเด็นออกไปไกล โชคดีที่มินิไบค์ช่วยต้านความแรงของรถบรรทุกทำให้รถบรรทุกเบรกทันก่อนที่จะเหยียบซ้ำไปที่ร่างของหมอเกื้อ

   “ชานนท์ รับปากกับลินนะ ว่าจะทำให้เกื้อมีความสุขถ้าเกื้อฟื้นขึ้นมา” เสียงของหมอลินดึงสติของชานนท์กลับมา น้ำตาของชานนท์รินไหลลงโดยที่เขาไม่รู้ตัว

   ชานนท์ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา เขาไม่สามารถตอบออกได้ในทันที ปกรณ์เองก็สำคัญ ปกรณ์นั้นเกิดมาในครอบครัวมีปัญหาจึงไม่ควรที่จะได้รับความผิดหวังจากคนที่ยอมเปิดใจ ส่วนหมอเกื้อเองก็แสนดี มีครอบครัวที่อบอุ่นและกล้าเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนที่ตัวเองรัก

   ...มันดูใจร้ายเกินไปหากชานนท์ต้องปฏิเสธใครไปสักคน

แต่หัวใจของชานนท์มีแค่ดวงเดียว ถ้าปกรณ์หายดีและหมอเกื้อฟื้นขึ้นมา เขาควรจะตัดสินใจอย่างไร หากปกรณ์ต้องผิดหวัง อาการของเขาอาจจะกำเริบและกลายเป็นคนที่ไม่ยอมเปิดใจให้ใครอีกเลย แต่ถ้าเป็นหมอเกื้อ... ชานนท์เองก็ไม่อาจใจร้ายทำให้ผู้ชายที่ปกป้องเขาต้องเจ็บปวดอีกครั้ง พอรู้ความรู้สึกของหมอเกื้อ เขาเองก็เริ่มลังเลใจ

ชานนท์ไม่อาจตอบได้ว่ารักใครมากกว่ากันในเมื่อตอนนี้หัวใจของเขามีคำตอบชัดเจนว่ารู้สึกดีกับคนทั้งคู่ เขาต้องกลายเป็นคนหลายใจโดยที่ไม่มีทางเลือกอย่างนั้นหรือ

“ผมจะทำให้หมอเกื้อมีความสุขครับ”

 ท้ายที่สุดก็ตอบออกไป อย่างน้อยถ้าหมอเกื้อฟื้นขึ้นมา ชานนท์ก็ต้องตอบแทนหมอเกื้อ ยอมทำทุกๆ อย่างให้สมกับที่หมอเกื้อยอมปกป้องเขา




   
   อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ปกรณ์ได้รับยา พอเวลาผ่านไปสักพักเขาก็รู้สึกร่างกายเบาหวิว สติค่อยๆ สงบลง ความคิดในหัวว่างเปล่า

   ปกรณ์นั่งนิ่งๆ อยู่บนเตียงนอนเหมือนคนที่ไร้จิตวิญญาณ แววตาล่องลอยไร้ความรู้สึก เขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ามีบุรุษพยาบาลเปิดประตูเข้ามาเพื่อเฝ้าดูอาการภายในห้อง

   ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ในหัวของเขาก็เริ่มปั่นป่วน ปกรณ์ยกมือขึ้นมากุมขมับเอาไว้แน่น เขากำลังสับสน เขาจำอะไรไม่ได้ พยายามคิดว่าตัวเองคือใครกันแน่แต่ก็คิดไม่ออก ความเป็นตัวตนกำลังจะหายไป

   มันเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวจนน่าขนลุกเมื่อพยายามคิดว่าตัวเองคือใครกันแน่ ปกรณ์คือใคร... ใครคือปกรณ์... พยายามลุกจากเตียงนอนแล้วเดินไปส่องกระจกภายในห้องน้ำอย่างยากลำบาก ภาพที่สะท้อนออกมาคือใบหน้าของเขา พอเห็นใบหน้าของตัวเองก็เริ่มรู้สึกโล่งใจ ...นี่แหละปกรณ์

   ปกรณ์คือลูกของแม่กับพ่อ ความทรงจำในวัยเด็กที่แสนเจ็บปวดค่อยๆ แล่นเข้ามา สมองของเขาเริ่มทำงานหนักอีกครั้ง ทำไม... มันมีแต่ความทรงจำที่เลวร้าย มีแต่ภาพที่พ่อตบตีแม่ ด่าแม่ ภาพแม่เลี้ยงที่ทารุณ เสียงน้องชายที่ก่นด่าเพราะถูกแม่เลี้ยงบังคับ

   ความหวาดกลัวนี้... ทำให้เขาต้องการใครสักคน ปกรณ์เดินกลับออกมาจากห้องน้ำแต่ยังไม่ทันที่จะถึงเตียงก็ทรุดลงกับพื้น เขาร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ตัวสั่นเทา กอดตัวเองแน่นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดผวา

   “ผมเกลียดพ่อ พ่อทำให้แม่เสียใจ พ่อทำทำร้ายแม่ พ่อไม่รักแม่” ปกรณ์พูดซ้ำไปซ้ำมาเมื่อภาพในหัวฉายซ้ำถึงฉากตอนที่แม่จับชู้ของพ่อได้คาเตียง

   ปกรณ์ไม่อยากเห็นภาพนี้อีกแล้ว เขาพยายามสลัดความคิดแต่ก็ไม่หายจนกระทั่งเสียงของใครบางคนดังขึ้น

   “ปกรณ์” เสียงนั้นแผ่วเบาและเป็นเสียงของคนที่เขาคุ้นเคย ปกรณ์รีบเงยหน้าขึ้นมองทันที ร่างนั้นยืนอยู่ข้างๆ หน้าต่างสายตาของเขารับรู้ถึงความเจ็บปวดของปกรณ์

   “นรินทร์” ปกรณ์รีบคลานเข้าไปหาร่างนั้นก่อนจะยั้งกายให้ลุกขึ้นแล้วกอดกับนรินทร์ เขาซุกหน้าเข้าที่หัวไหล่แล้วปล่อยโฮออกมาเต็มที่ ขอแค่ใครสักคนที่กอดเขาในยามที่หัวใจเปราะบาง เพียงแค่นี้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตเขาแล้ว

   บุรุษพยาบาลมองภาพของปกรณ์อย่างเข้าใจ ยากำลังออกฤทธิ์ จนทำให้ผู้ป่วยเห็นภาพของคนที่เขาสร้างขึ้นมา ปกรณ์กำลังทำท่าทางราวกับโอบกอดใครสักคน และยังพูดคุยกับคนคนนั้นราวกับว่าเขามีตัวตนอยู่จริง

   “หมอครับ ยาออกฤทธิ์แล้วครับ” บุรุษพยาบาลโทรไปรายงานหมอการุณตามที่ได้รับคำสั่งก่อนหน้านี้ ว่าหากปกรณ์มาทีท่ามองเห็นใครให้รีบโทรบอกทันที

   ไม่นานมากนัก หมอการุณก็เปิดประตูเข้ามาในห้องเพื่อสังเกตอาการของผู้ป่วย

   “พ่อแม่งเลว ทำร้ายแม่ เอากับผู้หญิงคนนั้นต่อหน้าแม่” ปกรณ์วนไปวนมาเรื่องเดิมๆ จนกระทั่งจู่ๆ เขาก็เริ่มนิ่ง ยืนตัวแข็งทื่อเมื่อนรินทร์พูดอะไรออกมา

   “นายลืมไปแล้วเหรอว่าทำไมพ่อนายถึงร้ายกับแม่ ทำไมถึงไม่เคยรักแม่”

   “เราไม่ลืม... เรารู้ว่าเพราะอะไร แม่จงใจทำให้เราเกิดมาโดยที่พ่อไม่ได้เต็มใจ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือแม่เราจับพ่อปล้ำตอนที่พ่อกำลังเมา”

   คำพูดของปกรณ์ทำให้หมอการุณและบุรุษพยาบาลตกใจเล็กน้อย และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อได้รับรู้ถึงความเป็นมาของครอบครัวนี้

   “นายจำอะไรได้อีก พูดออกมาให้หมดสิ ระบายมันออกมา อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว” นรินทร์โน้มน้าวให้ปกรณ์พูด

   “แม่... แม่...” น้ำเสียงของปกรณ์เริ่มสั่น ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนกระทั่งทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง น้ำตาไหลไม่ยอมหยุด “แม่รู้อยู่แล้วว่าพ่อมีคนรักมาก่อนและกำลังวางแผนว่าจะแต่งงาน แต่แม่ก็หลงพ่อมากจนตัดสินใจทำเรื่องที่ผิดมหันต์ เพื่อให้ได้พ่อมาเป็นคู่ชีวิต แต่พ่อก็ไม่เคยรักแม่ จนกระทั่งคนรักเก่าของพ่อกลับมา ซึ่งก็คือน้าฤทัย ความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเริ่มจากความคิดเลวๆ ของแม่ แม่ที่เลี้ยงดูเราเป็นอย่างดีกลับกลายเป็นคนที่แย่งผู้ชายคนอื่นซะเอง ใช่... ความจริงเราเองก็เกลียดแม่ เกลียดที่แม่ทำแบบนี้ เกลียดที่พ่อตบตีแม่ เกลียดที่ถูกน้าฤทัยตีแต่เพราะรู้ดีว่าแม่ทำอะไรกับน้าฤทัยไว้ก็เลยยอมน้าฤทัยทุกอย่าง เราอยากชดใช้กรรมให้แม่ ความจริงเราไม่น่าเกิดมาด้วยซ้ำ น่าจะตายๆ ไปซะ ไอ้ปกรณ์ ไอ้คนไม่มีใครต้องการ แกมันก็แค่ไอ้เด็กที่นรกส่งมาเกิด ไอ้คนไม่มีคุณค่า!!!”

   น้ำเสียงของปกรณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความเครียดที่เกิดขึ้นส่งผลให้เขาทุบตีและทำร้ายตัวเอง ปกรณ์กำหมัดอัดที่เบ้าหน้าตัวเองอย่างแรงก่อนจะเอาหัวโขกกับพื้น

   บรุษพยาบาลและหมอการุณที่ยืนสังเกตการณ์รีบเข้าไปช่วยตัวตัวของปกรณ์ไว้ แล้วพยายามใช้เชือกมัดอย่างยากลำบาก เพราะปกรณ์ดิ้นสู้แต่เมื่อตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ถูกเชือกมัดเอาไว้จนแน่น เขาจึงทำได้เพียงตะโกนด่า... ด่าตัวเองซ้ำไปซ้ำมา

   บุรุษพยาบาลประคองร่างของผู้ป่วยไปที่เตียง หมอการุณรีบฉีดยานอนหลับให้... ในตอนนี้พวกเขาทราบสาเหตุที่แท้จริงแล้ว สงสัยมานานเพราะการที่พ่อหรือแม่มีชู้กันนั้นเป็นสาเหตุทำให้เด็กเครียดก็จริง แต่ไม่น่าจะถึงขั้นสร้างใครสักคนขึ้นมาเพื่อระบายความทุกข์

   พ่อเองก็ผิด แม่เองก็ผิด แม่เลี้ยงก็ผิดที่เอาความแค้นมาลงกับเด็ก... การรักษาต่อจากนี้คือต้องให้ปกรณ์ยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ แต่ต้องลบความคิดที่เป็นปมปัญหาว่าตัวเองไม่สมควรเกิดมาออกไป เรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของผู้ใหญ่ ไม่ใช่โทษตัวเอง

หมอการุณ นักจิตวิทยารวมถึงพยาบาลในแผนกจิตเวชต้องทำให้ปกรณ์เห็นคุณค่าของตัวเอง ต้องทำให้ปกรณ์คิดจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหลังจากนี้ และปัญหาที่ยากที่สุดก็คือต้องให้ปกรณ์ยอมรับว่านรินทร์และปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริง แม้ในสภาพที่เขากำลังอ่อนแอที่สุด ก็จะไม่มีสองคนนี้โผล่ขึ้นมาเพื่อปกป้องความอ่อนแอของเขา

ปกรณ์ต้องยอมรับกับสภาพปัญหาของตัวเองแล้วเอามันไปเป็นแรงผลักดันในการใช้ชีวิต ไม่ใช่บั่นทอนจิตใจ





จบตอนจ้า

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สงสารทุกฝ่ายเลย  :hao5:

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :o12: อะไรจะซับซ้อนขนาดนี้ หมอเกื้อนะหมอเกื้อ
ถ้ากล้าก็ได้ไปครอบครองแล้ว
นี่สินะ ตัวอย่างของคำว่า ด้านได้อายอด...
แต่ก็เข้าใจเหตุผลหมอเกื้อแหละ ผช ไม่แสดงออกเหมือนกัน
ใครจะกล้ารุกเข้าหา ถ้ารู้หรือว่ามั่นใจว่าเป็น ก็คงกล้าจีบไปแล้วใช่ไหมหมอ

ชอบค่ะ เนื้อเรื่องในส่วนของความรู้สึกเรียลดี
ชีวิตจริงมันไม่ได้ง่ายๆ เห็นแล้วชอบ แล้วจีบ แล้วได้กัน จบปิ๊ง..
ต้องแบบนี้แหละค่ะ อินมากๆ สงสารทุกคนเลยตอนนี้
ถ้าเป็นชานนท์เราก็คงลังเหมือนกัน

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 29


ตลอดระยะหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนที่ชานนท์จะข่มตาให้หลับลงด้วยความสบายใจได้แม้แต่คืนเดียว เขาเอาแต่คิดเรื่องปกรณ์กับหมอเกื้อ พอได้ทราบความจริงจากหมอการุณว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของปกรณ์บ้าง มันยิ่งทำให้ชานนท์คิดไม่ตก ปกรณ์พยายามใช้หัวใจปกปิดความจริงและไม่ยอมรับสิ่งที่แม่กระทำ เพื่อให้เขาได้มีความภาคภูมิใจเกี่ยวกับแม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำบ้าง

ปกรณ์ต้องก้าวผ่านความทรมานในแต่ละคืนวันมาเพียงคนเดียวตั้งแต่ตัวยังเล็กๆ ตามลำพัง มันหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีใครรักและอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาโดยตลอด

   เปรียบเทียบกับหมอเกื้อ ถ้าครอบครัวของปกรณ์คือสีดำมืดสนิท ครอบครัวของหมอเกื้อก็คือสีขาวบริสุทธิ์ ทั้งสองเกิดมาในครอบครัวที่มีความแตกต่างกันมาก หมอเกื้อถูกสั่งสอนมาอย่างดีจึงมีแต่ความคิดด้านบวก ...บางทีอาจจะขาวจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ เลยทำให้หมอเกื้อกล้าที่จะตัดสินใจเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องใครก็ตามที่เขารักโดยไม่ลังเล พอรู้ความรู้สึกของหมอเกื้อ ชานนท์ไม่อาจปฏิเสธได้เลย มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความสงสารหรือเห็นใจเท่านั้น แต่เพราะสิ่งที่หมอเกื้อกระทำ และพอคิดย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ชานนท์เริ่มหวั่นไหว

   ในความเป็นจริงมนุษย์สามารถรักใครหลายๆ คนพร้อมกันได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ในความถูกต้อง... มนุษย์ควรจะต้องตัดสินใจคบกับใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่เช่นนั้นปัญหาต่างๆ ก็จะตามมา

   ‘ให้ความรู้สึกต่อจากนี้เป็นคำตอบละกัน’

   ในเมื่อตัดสินใจไม่ได้ ชานนท์ก็ต้องรอ... รอให้แน่ใจ รอให้ขาได้ใกล้ชิดกับปกรณ์อีกครั้ง และรอให้หมอเกื้อตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะได้เปิดอกคุยกัน ถึงตอนนั้นเขาคงจะตัดสินใจได้เอง อย่างไรก็ตามตอนนี้ชานนท์ขอแค่ให้หมอเกื้อฟื้นขึ้นมาเสียก่อน แม้ร่างกายจะยังไม่มีอาการตอบสนองใดๆ แต่หัวใจยังคงเต้น เพราะฉะนั้นทุกคนที่รักหมอเกื้อต่างยังคงรอคอยให้หมอเกื้อฟื้นขึ้นมาด้วยความหวัง
...เขาก็เป็นมนุษย์ทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ผิดใช่ไหมถ้าเขาจะรู้สึกหวั่นไหวกับคนสองคนพร้อมๆ กัน

   วันนี้... หมอการุณอนุญาตให้ชานนท์สามารถเข้าเยี่ยมปกรณ์ได้ เขาจึงรีบไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า เฝ้ารอเวลาที่จะได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง ชานนท์เองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นจะทำให้เขามีท่าทีอย่างไรเมื่อได้พบกับปกรณ์

   หมอการุณจะให้ชานนท์เข้าพบหลังจากที่ปกรณ์รับประทานอาหารเช้าและกินยาเสร็จ

พอถึงเวลาอาหารชานนท์ก็รีบไปเฝ้าหน้าห้องทันที แล้วยืนมองลอดผ่านกระจกใสบานเล็กที่ติดกับประตู

   ปกรณ์ดูซูบลงเล็กน้อย ดวงตาบวมช้ำ หน้าตาอิดโรย แค่ได้ยืนมองจากจุดนี้ หัวใจของชานนท์ก็สั่นไหว คิดว่าปกรณ์นั่นแหละคือคนที่ใช่สำหรับหัวใจ อยากจะเข้าไปกอดร่างนั้นให้แน่นๆ แล้วระบายความในใจทั้งหมดออกมาให้ฟัง แต่แล้วอยู่ๆ ภาพรอยยิ้มของหมอเกื้อก็ปรากฏขึ้นมาในความคิด ความรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้คิดถึงหมอเกื้อมันคืออะไรกันแน่

   ระหว่างที่คิดอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับบุรุษพยาบาลที่เข็นรถเข็นอาหารออก

   “ผมเยี่ยมได้เลยใช่ไหมครับ” ชานนท์เอ่ยถาม

   “ได้เลยครับ” บุรุษพยาบาลตอบออกมาแล้วลากรถเข็นออกไป

   ชานนท์เดินเข้าไปในห้อง สักพักปกรณ์ก็หันมามองตอบ ใบหน้าอิดโรยมองอย่างไร้ความรู้สึกในทีแรก แต่พอสมองเริ่มประมวลผลได้ว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาไม่ใช่บุรุษพยาบาลหรือหมอ ริมฝีปากของคนป่วยก็เริ่มขยับยิ้ม แววตาลุกวาวอย่างมีความหวัง เหมือนกับว่าเขารอคนคนนี้มานานแสนนาน... และพอได้เจออีกครั้ง ความดีใจทั้งหมดมันก็ปะทุออกมา

   “คุณชานนท์” น้ำเสียงของปกรณ์สั่นไหว “ผมนึกว่าคุณจะไม่มาหาผมอีกแล้ว”

   ชานนท์เจ็บปวดเหลือเกิน เขารู้ใจตัวเองดีว่าไม่สามารถทิ้งผู้ชายคนนี้ลงได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหมอเกื้อฟื้นขึ้นมาล่ะ... เขาก็คงไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน

   “ทำไมคิดแบบนั้นล่ะครับ” ชานนท์เดินเข้าไปนั่งบนขอบเตียง ปกรณ์รีบขยับร่างมานั่งข้างๆ กันแล้วจับมือของชานนท์ข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกเอาไว้แน่น

   “ผมมันตัวปัญหา ผมทำให้คุณเดือดร้อน” เสียงของปกรณ์แผ่วเบา เขาดูเหนื่อยล้ามากกว่าเคย

   “โทษตัวเองอีกแล้วนะครับ” ชานนท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแล้วออกแรงบีบเบาๆ ที่ฝ่ามือ “คุณรับปากกับผมแล้วนะว่าจะรีบหายดี เพราะฉะนั้นอย่าคิดอะไรแบบนี้อีก... ให้นึกถึงอนาคตข้างหน้าเอาไว้ครับ จะต้องรีบหายเพื่อใครบางคนที่รอคุณอยู่”

   “อนาคตข้างหน้า... เพื่อใครบางคนเหรอครับ” ปกรณ์ทวนคำก่อนจะทำหน้าครุ่นคิด เขานิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อ “อนาคตผมมีแต่คุณชานนท์คนเดียว ผมพยายามนึก.... แต่ก็ไม่มีใครในความคิดผมอีกเลย”

   ชานนท์ยิ้มให้กับคำตอบอย่างเอ็นดู ชีวิตของปกรณ์ที่ผ่านมาคงประสบแต่เรื่องแย่ๆ จนไม่มีใครให้นึกถึง แม้แต่คนในครอบครัว

   “แล้วปาณัฐ นรินทร์ล่ะครับ” ชานนท์ตัดสินใจถาม อยากรู้เหมือนกันว่าสองคนนี้ยังมีอิทธิพลในความคิดของปกรณ์มากแค่ไหน

   “ทั้งสองคน...” ปกรณ์ก้มหน้าลง แววตาเศร้าเมื่อคิดถึงพวกเขา “ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ อนาคตของผมคงไม่มีพวกเขา แต่ในตอนนี้ ผมยังมีพวกเขา ทั้งสองคนกำลังนั่งมองและอยู่กับผมในห้องนี้ตลอดเวลา”

   ชานนท์เกือบสะดุ้งโหยงให้กับคำตอบ บางที... ก็รู้สึกว่าสองคนที่ปกรณ์เอ่ยถึงมีตัวตนอยู่จริง เพียงแต่เป็นสภาพของดวงวิญญาณที่คนอื่นไม่อาจมองเห็น พอคิดดังนั้นก็อดที่จะตกใจไม่ได้ ยิ่งน้ำเสียงของปกรณ์ที่เอื่อยเฉื่อย หางเสียงที่ยืดยานนั้นยิ่งทำให้รู้สึกขนลุก

   “พวกเขาอยู่ตรงไหนครับ”

   “นรินทร์ยืนอยู่ข้างๆ หน้าต่าง เขามักยืนอยู่ตรงนั้นแล้วมองออกไปข้างนอก ส่วนปาณัฐมักจะนั่งเล่นอยู่บนโซฟา หรือบางทีก็มานั่งขอบเตียง ที่เดียวกับที่คุณกำลังนั่งอยู่”

   เป็นอีกครั้งที่ชานนท์ขนลุก พอนึกภาพตามว่าสองคนนั้นมีจริงและกำลังนั่งที่เดียวกับเขา มันก็ให้ความรู้สึกกับว่าเขากำลังนั่งทับซ้อนกับวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น

   “คุณเห็นพวกเขาตลอดเลยเหรอครับ” ปกรณ์เอ่ยถามต่อไป พยายามไม่คิดอะไรฟุ้งซ่าน

   “ไม่ครับ วันละครั้งถึงสามครั้งได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าครั้งละกี่นาที บางทีเผลอๆ พวกเขาก็หายไป” ปกรณ์ตอบก่อนจะขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ เพื่อที่จะกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับชานนท์ “แต่ตอนนี้ผมเห็นนะ แต่พยายามแกล้งทำไม่เห็น เพราะอยากอยู่กับคุณเท่านั้น... นรินทร์ดูเครียดและไม่พอใจ เขาคงคิดว่าคุณมาแย่งความรักไป ส่วนปาณัฐยิ้มให้ผมและคุณตลอดเวลา แต่บางทีก็เหมือนจะร้องไห้ เหมือนว่าไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”

   ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจ ถ้าปกรณ์ยอมรับเรื่องนี้ได้ อีกไม่นานทั้งปาณัฐและนรินทร์ก็คงจะค่อยๆ เลือนหายไปและไม่ปรากฏขึ้นมาอีกเลย ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญญาณดี แต่หากมีเรื่องอะไรกระทบใจปกรณ์อีกครั้ง ความพยายามในการรักษาทั้งหมดอาจเป็นศูนย์ ต้องเริ่มใหม่.. ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะใช้เวลานานกว่าเดิม

   มีเรื่องที่ชานนท์กังวลอยู่สามเรื่องก็คือ...

เรื่องแรกคือเรื่องของแม่เลี้ยงและพ่อ ถ้าพวกเขาเจอกันและใช้คำพูดรุนแรงอาจทำให้ปกรณ์แย่ลงได้จนต้องยืดระยะเวลาในการรักษา
 
   เรื่องที่สองคือเรื่องของภูษิต ไม่รู้ว่ายังคงคิดว่าปกรณ์เป็นพ่ออยู่ไหม หากปล่อยให้เจอกันอาจเรื่องที่ไม่ควรได้ยินให้ปกรณ์รับทราบก็ได้ ซึ่งเรื่องนั้นก็คือข้อสุดท้ายเรื่องของหมอเกื้อ เรื่องนี้ปกรณ์จะรู้ไม่ได้โดยเด็ดขาดจนกว่าจะมั่นใจว่า มีอาการดีขึ้นจนเกือบจะปกติ ความคิดในด้านลบลดลงจนแทบไม่เหลือ

   “งั้นก็รีบๆ ไล่พวกเขาไปซะนะ ผมกังวลจะแย่แล้วที่ต้องมาคอยระแวงคุณ กลัวว่าคุณจะใส่ใจพวกเขามากกว่าผม” ชานนท์เริ่มใช้จิตวิทยาในการสื่อสาร แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าไม่ชอบใจแต่พยายามพูดให้ติดขำเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกังวล นั่นจะเป็นการกระตุ้นให้ปกรณ์อยากที่จะทำตามเพื่อคนที่เขารัก ...แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แค่คำพูดทางจิตวิทยาเท่านั้น ชานนท์เองก็รู้สึกแบบที่พูดจริงๆ

   “นี่คืออาการของคนหึงใช่ไหมครับ” น้ำเสียงของปกรณ์ยังคงเลื่อนลอย อาจเพราะฤทธิ์ยาและอาการที่อดหลับอดนอนเลยทำให้เขาอาจแสดงความรู้สึกในด้านบวกออกมาได้ไม่เต็มที่ “ดีใจจัง พอรู้ว่าคุณหึง ก็รู้สึกมีค่ายังไงก็ไม่รู้ อธิบายไม่ถูก”

   “อื้อ ครับ... ก็หึง” ชานนท์แกล้งตอบอย่างไม่เต็มใจ เบือนหน้าหนีให้อีกฝ่ายเข้าใจว่ากำลังเขินอาย “รู้แบบนี้แล้วต้องตัดใจทิ้งพวกเขาไปจากชีวิตให้ได้นะครับ คิดถึงจะแย่เวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”

   “ผมเองก็คิดถึงเหมือนกัน” ปกรณ์พูดออกมาเสียงสั่น ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับชานนท์คือช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตของปกรณ์

   มือของคนทั้งสองจับกันเอาไว้แน่น ไม่มีคำพูดใดใดเอ่ยออกมาอีก ต่างฝ่ายต่างรับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกัน จนกระทั่งประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของบุรุษพยาบาลที่เดินเข้ามา ทั้งคู่จึงปล่อยมือออกจากกัน

   “คุณชานนท์ครับ หมอการุณเรียกพบครับ”

   “ครับ” ชานนท์พยักหน้ารับทราบก่อนจะหันไปมองกับปกรณ์ อีกฝ่ายยิ้มให้และพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ถ้าหมออนุญาตให้เยี่ยมอีก ผมจะรีบมาหานะครับ”

   “ครับ” ปกรณ์รับคำ พออีกฝ่ายลุกจากเตียงไป เขาก็ร้องเรียกเอาไว้ก่อน “เอ่อ... คุณชานนท์ครับ”

   “ครับ” ชานนท์หันกลับมา

   “ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ช่วงนี้คุณดูไม่ค่อยสดชื่นเท่าไรนะครับ” ไม่ใช่แค่ชานนท์ที่มองเห็นความแตกต่าง แต่ปกรณ์เองก็มองเห็นความแต่งต่างของอีกฝ่ายเช่นกัน

   “ครับ” ชานนท์ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

   ปกรณ์มองดูร่างนั้นเดินจากไปด้วยความทรมาน เขาอยากจะวิ่งเข้าไปห้ามแต่ก็ต้องพยายามข่มความต้องการเอาไว้ หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานานราวกับหนึ่งปี ต้องอยู่คนเดียวในห้องพักกับอาการที่ไม่ปกติหลังได้รับการฉีดยามันไม่สนุกเลยสักนิด แต่ปกรณ์ก็ต้องอดทน ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อชานนท์ด้วย เขาจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล

   ชานนท์เดินไปที่ห้องของหมอเกื้อ... ทว่าภายในห้องนั้นกับมีบุคคลแปลกหน้าที่เขาไม่เคยพบ หากพิจารณาจากสายตาเขาน่าจะสูงประมาณ 180 เซนติเมตร ใบหน้าของเขาหล่อเหลาราวกับดารา ผิวขาวเปล่งปลั่ง รูปร่างกำยำ จมูกโด่งเป็นสัน ไม่ว่าจะมองมุมไหนๆ ก็ดูดีไปเสียหมด

   “นี่คุณชานนท์ใช่ไหมครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยทัก

   “ครับ” ชานนท์ตอบรับอย่างแคลงใจ เขาไม่มีญาติที่ดูดีแบบนี้ และไม่น่าจะเคยรู้จักคนนี้มาก่อน แล้วเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน ฉับพลันความสงสัยทั้งหมดก็คลายลงเมื่อเขาเอ่ยแนะนำตัว

   “ผมชื่อปรปรัชญ์เป็นน้องของพี่ปกรณ์ ผมต้องการมาเยี่ยมพี่ปกรณ์ครับ แต่หมอยังไม่อนุญาต หมอบอกว่าต้องคุยกับคุณก่อน ถ้าคุณไม่ตกลง ผมก็เข้าเยี่ยมไม่ได้”

   ชานนท์กลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ นี่น่ะหรือปรปรัชญ์ น้องชายของปกรณ์ แววตาไม่ได้สื่อถึงความประสงค์ร้ายและไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด เข้าใจแล้วล่ะ ว่าเหตุใดปกรณ์ถึงสับสนว่าปรปรัชญ์อาจจะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายหรือกลั่นแกล้งเขา แต่เพราะมีคนคอยยุยงเลยอาจทำให้เด็กหน้าตาหล่อเหลาคนนี้ฝืนใจทำตาม...



จบตอน

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านรวดเดียว สนุกมากค่า ติดตาม :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
หรือว่าปรปรัชญ์จะมาเปนตัวแปรอีกคนนึงสำหรับความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงของสามคนนี้นาาา~ รู้สึกสงสารปกรณ์อ่ะ ฮือออ ถ้ารู้ว่าชานนท์หวั่นไหวกับคนอื่น เราอยากให้ปกรณ์หายดีและเข้มแข็งได้แม้ไม่มีใคร><

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :z3:  ตอนจบค้างมาก ลุ้นกับน้อง จะมาดีหรือร้ายเนี่ย
ตื่นเต้นอ่ะ โผล่มาแบบนี้ จะทำไรบ้างนะ
ขอให้มาดี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 30


ชานนท์ยืนครุ่นคิดอยู่นาน ไม่ได้พูดอะไรกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ สายตาของปรปรัชญ์ที่มองมานั้นจับจ้องด้วยความคาดหวัง

   “ผมไม่อนุญาตครับ” เมื่อได้บทสรุปก็ตอบออกไป

   “ทำไมครับ” อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ผมต้องการเหตุผล”

   “คุณกินอะไรมาหรือยังครับ ถ้ายังไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหมครับ” เมื่ออีกฝ่ายยังคงงุนงง คิ้วขมวดเป็นปมด้วยความไม่เข้าใจ ชานนท์จึงพูดต่อ “ผมจะเล่าอาการของคุณปกรณ์ให้ฟังครับ และเดี๋ยวคุณจะรู้ว่าทำไมถึงยังเข้าเยี่ยมไม่ได้”

   “อ๋อ... งั้นก็ได้ครับ” ปรปรัชญ์พยักหน้าจากนั้นชานนท์จึงเดินนำออกจากห้องแล้วไปยังร้านขายอาหาร

   ปรปรัชญ์สั่งเพียงนมสดปั่นแก้วเดียวเท่านั้น ส่วนชานนท์ที่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืนสั่งข้าวเปล่ากับต้มยำกุ้ง

   “คุณไม่กินเหรอครับ” ชานนท์เอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายถือเพียงแก้วนมสดปั่น

   “ผมยังไม่ค่อยหิวน่ะครับ” ปรปรัชญ์ตอบ ชานนท์พยักหน้ารับรู้แล้วเริ่มเข้าเรื่องปกรณ์ทันที

   “ตอนนี้คุณปกรณ์อยู่ในระหว่างการรักษาน่ะครับ จำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ จะไม่อนุญาตให้คนที่อาจมีผลต่อสภาพจิตใจของเขาเข้าเยี่ยมน่ะครับ”

   “อย่างนี้นี่เอง” ปรปรัชญ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ เขารู้ตัวดีว่าเคยทำอะไรไม่ดีต่อปกรณ์เอาไว้หลายอย่าง แต่ปกรณ์ไม่เคยรู้หรอกทุกครั้งที่ต้องลงมือมันฝืนใจแค่ไหน

   “คุณคงรู้นะครับว่าการที่คุณปกรณ์เข้ารักษาที่นี่ เขาจำเป็นต้องเล่าเรื่องทางบ้านให้กับหมอและนักจิตวิทยาฟัง” ชานนท์เอ่ยถาม

   “ผมทราบข้อนั้นดีครับ” ปรปรัชญ์ก้มหน้า เพราะเหตุนี้เขาจึงเป็นตัวอันตรายสำหรับปกรณ์ในตอนนนี้

   “ปกรณ์บอกกับพวกเราว่าเขากลัวคุณ แต่ผมว่าคุณดูไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลยนะครับ” ชานนท์มั่นใจว่าเขาดูคนออก แม้จะพยายามปกปิดตัวตนที่แท้จริงอย่างไร แต่ดวงตานั้นไม่สามารถโกหกได้ตลอดเวลาแน่นอน และแววตาของปรปรัชญ์นั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดมากกว่าที่จะมาอาฆาตแค้นอะไรจากปกรณ์

   “ครับ” ปรปรัชญ์พยักหน้ารับ ทุกครั้งที่ลงมือกระทำพี่ชาย ไม่ว่าจะเตะหรือต่อย เขาไม่เคยเต็มใจ เพราะแม่สั่งให้ทำ ถ้าไม่ทำแม่ก็จะเป็นฝ่ายตีปกรณ์และลงมือรุนแรงยิ่งกว่าเขาหลายเท่า ปรปรัชญ์จึงจำเป็นต้องทำ ต้องแกล้งทำเป็นเกลียด เพื่อให้แม่อ่อนลง จะว่าไปเขาเองก็ไม่ได้ชอบแม่ที่เป็นแบบนี้สักนิด จึงตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศเพราะไม่อยากอยู่กับแม่ แต่ถึงอย่างนั้น... แม่ก็คือแม่ เขาจะบอกคนอื่นได้อย่างไรว่าแม่ของเขาโหดร้ายแค่ไหน

   “แล้วนี่คุณกลับมาจากต่างประเทศนานแล้วเหรอครับ อ้อ... พอดีคุณปกรณ์เคยเล่าให้ฟังนะครับว่าน้องชายไปเรียนที่ต่างประเทศ” ชานนท์เห็นอีกฝ่ายเครียดจึงหาเรื่องอื่นมาคุย เด็กหนุ่มคนนี้คงไม่ได้มีความสุขที่ต้องเห็นปกรณ์มีความทุกข์ เขาเองคงมีเรื่องราวฝังใจเหมือนกัน

   “เพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้ครับ พอทราบข่าวจากพ่อว่าพี่ปกรณ์เข้ามารักษาที่โรงพยาบาล ผมก็รีบเคลียร์งานแล้วหาวันลาหยุดกลับมาที่ไทยเพื่อที่จะมาเยี่ยมพี่ปกรณ์ พอลงเครื่องผมก็รีบมาที่นี่ก่อนเลยครับ ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาด้วยเพราะกะจะเข้าไปเอาชุดที่บ้านมาใส่”
   “เอาชุดที่บ้านมาใส่” ชานนท์ไม่เข้าใจ ปรปรัชญ์หมายถึงอะไร

   “อ้อ... ผมไม่อยากนอนที่บ้านน่ะครับ แต่จะเข้าไปเอาชุดแล้วคงหาโรงแรมแถวๆ นี้นอนพัก” ปรปรัชญ์ตอบออกมา เขาไม่ได้เกลียดพ่อกับแม่ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เจอมานั้นทำให้เขาไม่อยากอยู่ใกล้ มันเป็นความอึดอัดเวลาที่ได้อยู่ใกล้กับแม่ รู้ว่าแม่รักตนมากแต่ก็ไม่ชอบการที่แม่บังคับให้ทำนั่นทำนี่และตอนนี้เขาเองก็โตพอที่จะตัดสินใจอะไรเองได้แล้ว

   “แล้วคุณอยู่ที่ไทยได้กี่วันครับ”

   “สิบวันครับ ผมต้องรีบกลับ”

   “ผมขอถามอะไรคุณตรงๆ ได้ไหมครับ แต่ถ้าไม่สบายใจที่จะตอบ คุณไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ”

    “ได้ครับ”

   “คุณรู้สึกยังไงกับพี่ชายของคุณกันแน่” เป็นคำถามสั้นๆ ที่นักจิตวิทยาอย่างปกรณ์ไม่ได้ต้องการคำตอบที่แท้จริงหรอก เพราะเขาไม่รู้ว่าคำพูดของอีกฝ่ายจะจริงหรือเท็จ แต่แค่ต้องการจะดูปฏิกิริยาของคนที่ถูกถามเพื่อที่จะวิเคราะห์ว่าเขาแสดงออกอย่างไร

   “คือผม...” ปรปรัชญ์ก้มหน้า สายตาของเขาเหมือนไม่มั่นใจในคำตอบ อาจเพราะกลัวว่าคำตอบนั้นอาจจะไม่ส่งผลดีต่อตัวเองหรือแม่ แต่ท้ายที่สุดปรปรัชญ์ก็เลือกที่จะตอบมันออกมาเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงได้ข้อมูลมาจากปกรณ์หมดแล้ว คงไม่เป็นไร
“ความจริงผมไม่เคยเกลียดพี่ปกรณ์เลยนะครับ สภาพจิตใจผมก็แย่ไม่ต่างจากพี่หรอก ผมต้องลงมือร้ายพี่โดยที่ผมไม่อยากทำ ทุกครั้งที่ทำแบบนั้นผมก็จะเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว แล้วชกหมอนชกที่นอน ไม่ชอบที่แม่บังคับ แต่ถ้าไม่ทำ... พี่ก็จะโดนหนักกว่า ยิ่งพอรู้ว่าพี่ปกรณ์ป่วยแบบนี้เพราะผม ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ ถ้าผมไม่ได้พบพี่ปกรณ์แล้วขอโทษ ผมก็คงรู้สึกค้างคาและมาเสียเที่ยว เพราะฉะนั้นให้ผมพบกับพี่ปกรณ์เถอะนะครับ”

   ชานนท์รับฟังด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย จากคำตอบของปรปรัชญ์และคำพูดของปกรณ์ที่เคยเอ่ยถึงน้องชายมันสอดคล้องกัน ปกรณ์เคยบอกว่าไม่แน่ใจว่าน้องชายรู้สึกอย่างไรกันแน่ เพราะบางครั้งก็เหมือนไม่เต็มใจที่ทำร้าย แต่เพราะมีแม่เลี้ยงคอยยุยง เขาก็เลยหวาดกลัวไปหมด

   “นะครับคุณชานนท์” ปรปรัชญ์ส่งเสียงอ้อนวอนอีกครั้ง

   “ได้ครับ แต่ไม่ใช่วันนี้นะครับ” ชานนท์ตอบออกมา

   “ขอบคุณครับ” ปรปรัชญ์ยิ้มออกมาอย่างมีหวัง “แล้วให้ผมมาเยี่ยมได้วันไหนครับ”

   “เดี๋ยวผมต้องถามหมอการุณอีกทีว่าจะฉีดยาให้คุณปกรณ์วันไหนบ้าง ต้องรอให้ยาคลายฤทธิ์ลงก่อนนะครับ เอางี้นะครับถ้าได้วันที่แน่นอนผมจะโทรไปบอก รบกวนขอเบอร์คุณด้วยนะครับ”

   “ครับ” ปรปรัชญ์ตอบรับด้วยความยินดี “เอาโทรศัพท์มาเลยครับเดี๋ยวผมเมมเบอร์ให้”

   ชานนท์หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้อีกฝ่ายทันที ปรปรัชญ์จัดการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ให้เพียงครู่เดียวก็ส่งคืน

   “แล้วผมก็มีอีกเรื่องที่อยากรบกวนคุณชานนท์”

   “เรื่องอะไรครับ”

   “พ่อเล่าเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นให้ฟังแล้วนะครับ กำชับแล้วว่าไม่ให้พี่ปกรณ์รู้ คือผมต้องขอโทษคุณชานนท์จริงๆ นะครับที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แล้วผมก็อยากไปเยี่ยมหมออีกคนที่ประสบอุบัติเหตุ อยากจะไปขอโทษแทนพี่ปกรณ์น่ะครับ”

   “คือเรื่องนั้น...” ชานนท์วางช้อนกับส้อมลงแล้วหลบสายตาลงต่ำพอคิดถึงหมอเกื้อ “หมอเกื้อยังไม่ฟื้นเลยครับ อาการของหมอค่อนข้างสาหัส ตอนนี้ยังไม่ได้สติ แต่หัวใจยังเต้นและยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ครับ”

   ปรปรัชญ์เข้าใจในสิ่งที่ชานนท์พูด เขาไม่รู้มาก่อนว่าอาการของหมอหนักถึงเพียงนี้ ยิ่งพอรู้แบบนี้เขายิ่งรู้สึกผิดที่แม่และเขาคือต้นเหตุที่ทำให้ปกรณ์ป่วยทางจิต จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

   “แต่เดี๋ยวผมพาไปเยี่ยมพ่อกับแม่ของหมอเกื้อนะครับ ท่านเฝ้าลูกชายทั้งวันทั้งคืนเลย”

   “ได้ครับ ขอบคุณครับ”








   หลังจากที่ผู้ป่วยแผนกจิตเวชรู้ข่าวว่าหมอเกื้อไม่ได้ประจำการที่นี่แล้ว หลายคนมีท่าทีไม่พอใจ บางรายถึงขั้นส่งเสียงกรีดร้องออกมาเพราะไม่อยากรักษากับคนอื่น บางรายร้องไห้แล้วเอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าคิดถึงหมอเกื้อ แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนสะเทือนใจผู้ที่พบเห็น เพราะมันตอกย้ำให้พวกเขารู้ว่าหมอเกื้อสำคัญมากแค่ไหนกับผู้ป่วย และผู้ที่เจ็บปวดที่สุดก็คงหนีไม่พ้นชานนท์... เขาจำเป็นต้องโกหกผู้ป่วยเพื่อที่เรื่องจะได้ไม่บานปลาย

   ชานนท์ต้องฝืนกลั้นน้ำตาทุกครั้งที่ผู้ป่วยถามถึงหมอเกื้อจนกระทั่งวันนี้... ถึงคิวนัดตรวจอาการของภูษิต

   ศรันย์เด็กหนุ่มวัย 21 ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องเป็นคนพาภูษิตมาเข้ารับการรักษาเหมือนอย่างเคย ชานนท์ลำบากใจที่ครั้งเมื่อเห็นผู้ป่วยแล้วจะเป็นต้องแจ้งข่าวเรื่องของหมอเกื้อ

   “คุณศรันย์ครับ ผมมีเรื่องที่จะต้องแจ้งนะครับ” น้ำเสียงของชานนท์จริงจัง

   “ครับ”

   “เราจำเป็นต้องเปลี่ยนให้หมอท่านอื่นดูแลภูษิตนะครับ เพราะหมอเกื้อย้ายไปประจำการที่ต่างจังหวัด” ชานนท์ไม่ชอบการโกหก ทุกครั้งทำพูดแบบนี้มันตอกย้ำให้เขารู้สึกผิด เหมือนเป็นคนเลวที่ต้องหาเหตุผลข้ออ้างเพื่อปกป้องใครอีกคน โดยไม่สนใจความรู้สึกของญาติๆ หรือคนรู้จักของฝั่งหมอเกื้อ แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเข้าใจก็ตาม

   “ครับ” ศรันย์พยักหน้ารับทราบ เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจและคิดว่าคงมีอะไรมากกว่านั้นแน่แต่คงพูดต่อหน้าภูษิตไม่ได้ จึงเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วค่อยรอสอบถามทีหลัง

   ศรันย์หันไปอธิบายให้ภูษิตฟัง แววตาของภูษิตแสดงถึงความผิดหวังทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ถ้ามีศรันย์อยู่ใกล้ๆ ภูษิตก็จะเป็นเด็กดีกับทุกคนทันที

   พอไปส่งภูษิตรักษากับหมอคนใหม่ ศรันย์ที่ต้องรอจึงตัดสินใจใช้เวลาที่ว่างนี้ไปคุยกับชานนท์ให้หายค้างคาใจในสิ่งที่กำลังสงสัย

   “คุณชานนท์ครับ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หมอเกื้อไม่ได้ย้ายไปที่อื่นใช่ไหมครับ” น้ำเสียงของศรันย์ฟังดูร้อนรน เชื่อในความคิดตัวเอง

   ชานนท์นิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าควรพูดความโกหกเพื่อที่ว่ายิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี หรือพูดความจริงออกไปเลยเพื่อให้อีกฝ่ายหายแคลงใจ อีกทั้งศรันย์ก็ไม่ใช่คนที่น่าจะเก็บความลับไม่อยู่

   “ตกลงมีอะไรจริงๆ ใช่ไหมครับ บอกผมเถอะครับ ผมไม่เอาไปบอกใครต่อแน่ครับ” ศรันย์คาดคั้น พอเห็นท่าทีที่อึกอักของชานนท์ก็มั่นใจได้ในทันทีว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับหมอเกื้อ

   “คือว่าหมอเกื้อ...” ชานนท์ต้องยอมจำนน ไม่ว่าจะปกปิดหรือเปิดเผยสักวันศรันย์ก็ต้องรู้อยู่ดี ระหว่างที่ทั้งสองกำลังจดจ่ออยู่กับการพูดคุย พวกเขาไม่รู้เลยว่าประตูห้องได้ถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับร่างของใครบางคนที่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาสนทนากันทั้งหมด “หมอเกื้อประสบอุบัติเหตุครับ วันนั้นมีเรื่องเกิดขึ้น คุณปกรณ์กำลังจะถูกรถบรรทุกชน หมอเกื้อและผมตามไปเห็นพอดี ผมก็เลยวิ่งเข้าไปช่วย... แล้วหมอเกื้อก็พุ่งเข้ามาช่วยผมอีกทอด ร่างของผมกับปกรณ์กระเด็นไปที่ข้างทางก่อนที่รถบรรทุกจะชน ส่วนหมอเกื้อนั้นถูกชนเข้าเต็มๆ เลยครับ”

   ศรันย์ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

   “แล้วตอนนี้หมอเกื้ออยู่ที่ไหน อาการเป็นยังไงบ้างครับ” ศรันย์ภาวนาไม่ให้เป็นอย่างที่เขาคิด

   “หมอเกื้อพักรักษาตัวอยู่ที่นี่แหละครับ อาการของหมอเกื้อหนักมาก หมอเกื้อหมกสติทันทีที่ถูกชนจนตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยครับ นี่ก็หนึ่งสัปดาห์กว่าแล้ว”

   “หมอเกื้อถูกรถชน ยังไม่ฟื้นเหรอครับ” น้ำเสียงสั่นไหวที่ดังขึ้นทำให้คนที่กำลังสนทนากันหันไปมอง ทั้งคู่ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างนั้นกำลังยืนสั่นไหวอยู่หลังบานประตูที่กำลังแง้มเปิดเข้ามา “หมอเกื้อเจ็บหนักเหรอครับ”



จบตอน...

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ความลับที่รู้หลายคนมักปิดไม่มิด พึงระวังยามบอกเล่า หึหึ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
คงไม่ใช่ปกรณ์ใช่มั้ยที่มาได้ยินอ่ะ :hao5:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ปกรณ์ชัวร์ๆ  :katai1:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 31

ภูษิตรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกรถชนเสียเอง เขาแทบจะยั้งกายเอาไว้ไม่ไหวจนศรันย์ต้องรีบไปประคองร่าง สำหรับภูษิตแล้วนอกจากศรันย์และชานนท์ ก็มีหมอเกื้อนี่แหละที่ภูษิตรักและไว้ใจ หมอเกื้อเป็นหมอที่ใจดี พูดคุยกับเขาได้สนุกสนาน หมอเกื้อทำให้เขารู้สึกสบายใจได้อย่างน่าอัศจรรย์เวลาที่ได้มาหา


   “ผมไม่อยากให้หมอตาย” คำพูดอาจจะฟังดูห้วนๆ แต่มันเป็นการพูดที่บริสุทธิ์ใจอย่างยิ่งยวดของผู้ที่มีอาการป่วยทางจิต “หมอจะต้องไม่ตาย คุณชานนท์ คุณรับปากกับผมนะครับว่าจะต้องช่วยหมอ หมอจะต้องไม่ตาย”


   ภูษิตขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วดึงชายเสื้อของชานนท์ เขาอ้อนวอนร้องขออยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา


   “หมอจะต้องปลอดภัยครับ” เป็นอีกครั้งที่ชานนท์น้ำตาคลอ ไม่น่าจะเป็นหมอเกื้อที่นอนอยู่ตรงนั้น หมอเกื้อสำคัญกับใครอีกหลายคน ควรจะเป็นเขามากกว่า ยิ่งเห็นสีหน้าของคนอื่นที่ผิดหวังเสียใจเมื่อได้ทราบข่าวของเมื่อเกื้อ ชานนท์ก็ยิ่งเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น


   ชานนท์ไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะยอมแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ได้ เมื่อเจอเรื่องที่หนักหนาสาหัสเขาเองก็อ่อนแอจนอยากจะได้ใครสักคนมาทำให้เขาดีขึ้น แต่ใครล่ะที่จะมาช่วยให้กำลังใจเขาในยามที่เขาอ่อนแอ


   ระหว่างนั้นเอง ใครอีกคนก็เดินเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มรูปร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์ขายาวรีบเข้าไปประคองร่างของชานนท์เอาไว้


   ชานนท์ตัวสั่นเทา ศรันย์รีบพาภูษิตออกจากห้อง เพราะเขาก็ต้องดูปลอบโยนภูษิตเหมือนกัน


   “คุณชานนท์ คุณเป็นอะไรครับ”


   “คุณปรัชญ์เองเหรอครับ” ชานนท์หันหน้าไปมองอีกฝ่าย เขาไม่ได้หมดแรงจนยืนไม่ไหว เพียงแค่คิดแล้วเจ็บใจที่คนนอนป่วยไม่ใช่เขา เขาอยากจะไปนอนอยู่ตรงนั้นแทนหมอเกื้อ


   “มีอะไรเหรอครับ สองคนนั้นทำอะไรคุณ”


   “เปล่าครับ ไม่ใช่ๆ” ชานนท์รีบปฏิเสธ


   “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นครับ” ปรปรัชญ์เซ้าซี้ ท่าทางของเขาดูห่วงใยมาก ดูเป็นคนที่รักพวกพ้องไม่เบา ชานนท์รู้สึกว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนหรือคนสำคัญของเขา เขาคงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องผ่านไปง่ายๆ แน่


   “ผมรู้สึกแย่ครับ” ชานนท์ไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาจำเป็นต้องระบายความในใจออกมาให้คนอื่นรับทราบ เป็นนักจิตวิทยาแท้ๆ แต่กลับต้องปรึกษาคนอื่นเสียเอง “น้องภูษิตเป็นคนป่วยของหมอเกื้อ เขาบังเอิญได้ยินที่ผมพูดถึงอาการของหมอเกื้อ น้องตกใจน่ะครับ พอคิดถึงเหตุการณ์นั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดเสมอ มันควรเป็นผมที่นอนอยู่ในห้องนั้นแทนหมอเกื้อ”


   ปรปรัชญ์เข้าใจความรู้สึกนี้ คนที่ต้องแบกรับเรื่องแย่ๆ ที่ได้กระทำมาทั้งชีวิตอย่างเขามีหรือที่จะไม่เข้าใจ ถึงเหตุการณ์จะต่างกันก็ตาม


   ปรปรัชญ์กอดร่างของปกรณ์เอาไว้ มันอบอุ่นเหมือนกับที่ชานนท์เคยกอดกับปกรณ์


   “อย่าโทษตัวเองนะครับ” น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นมานั้น มันเหมือนกับที่ชานนท์มักพูดกับปกรณ์ไม่มีผิด


   แต่ถึงจะอย่างไร ชานนท์ก็อดโทษตัวเองไม่ได้อยู่ดี พอตั้งสติได้แล้วรู้ตัวว่าโดนกอด ชานนท์จึงรีบผละร่างออกจากอ้อมแขนของปรปรัชญ์


   “ผมขอโทษ” ชานนท์เอ่ยขึ้น เขาเผลอให้ความอ่อนแอครอบงำจิตใจ


   “ผมเองก็ขอโทษเหมือนกัน” ปรปรัชญ์รีบเอ่ยขึ้นบ้าง “ผมไม่รู้ว่าคุณถือหรือเปล่านะครับ แต่ที่อเมริกาผมกับเพื่อนกอดกันเป็นเรื่องปกติ พอเห็นคุณมีท่าทางไม่สบายใจ ผมก็แค่อยากปลอบใจ ไม่อยากให้คนที่ช่วยชีวิตพี่ชายของผมต้องมาคิดโทษตัวเองแบบนี้ ถ้าไม่โอเคผมต้องขอโทษด้วยครับ”


   “ผมไม่ได้ถือครับ” ชานนท์รีบแย้งเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด “ผมเป็นนักจิตวิทยาน่าจะควบคุมอารมณ์ได้มากกว่านี้ เลยทำให้คุณต้องคิดมากไปด้วย”


   “ผมไม่ได้คิดมากนะครับ” ปรปรัชญ์กล่าวก่อนจะขยับออกมาแล้วไปนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานตรงข้ามกับเก้าอี้ของชานนท์ “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ อย่าลืมสิ ผมเองก็เคยผ่านความเจ็บปวด ต้องแบกรับความรู้สึกผิดมาทั้งชีวิตแล้วเหมือนกัน ถ้าคุณกำลังภาวนาให้หมอเกื้อหายดี ผมเองก็ภาวนาให้พี่ชายของผมกลับมาเป็นปกติ ผมอยากเจอพี่ อยากขอโทษทุกสิ่งที่อย่างที่เคยกระทำ มันแย่นะครับความรู้สึกแบบนี้”


   “ใช่ครับ มันรู้สึกแย่มากๆ”


   “ผมก็เลยไม่อยากเห็นคุณเป็นแบบนั้น ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ เวลาคนป่วยคิดแบบนี้ คุณจะมีวิธีปลอบคนป่วยยังไงล่ะครับ คุณก็ลองเอาความคิดและคำพูดเหล่านั้นมารักษาอาการโทษตัวเองดูบ้างสิครับ”


   “ผมเข้าใจแล้วครับ” ชานนท์พยักหน้า จริงอย่างที่ปรปรัชพูด เขาไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้ จะเอาแต่โทษตัวเองก็คงไม่ถูก “แล้วนี่คุณมาทำอะไรครับ”


   ชานนท์เอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะเขาโทรไปบอกปรปรัชญ์แล้วว่าอีกสามวันจึงจะสามารถเข้าเยี่ยมปกรณ์ได้


   “มาหาคุณไงครับ” ปรปรัชญ์ยิ้มออกมา ชานนท์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ผมอยากไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุแม่ของหมอเกื้อน่ะครับ”


   “อ่อ...” ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะทำสีหน้าแบบรู้สึกผิด “แต่ผมติดงานน่ะครับ อาจต้องรอตอนพักกลางวันหรือเลิกงานเลย”


   “งั้นไว้เดี๋ยวผมมาใหม่ตอนคุณเลิกงานนะครับ” ปรปรัชยิ้มรับอย่างเข้าใจ เขาเองก็คิดตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณชานนท์อาจจะไม่ว่าง ที่ไม่ได้โทรมาหาก่อนเพราะตั้งใจจะออกมาข้างนอกอยู่แล้ว หมกตัวอยู่แต่ในโรงแรมมันน่าเบื่อ “คุณเลิกงานกี่โมงครับ”


   “วันนี้ผมต้องอยู่ถึงหกโมงเย็นครับ” ชานนท์ตอบ


   “โอเคครับ เดี๋ยวผมมาใหม่นะ”


   “ครับ”


   หลังจากที่ปรปรัชญ์ออกจากห้อง ศรันย์พาภูษิตกลับเข้ามาภายในห้องอีกครั้ง


   แววตาของภูษิตดูแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ได้ทราบข่าวเรื่องหมอเกื้อ


   “คุณชานนท์ ผมอยากไปเยี่ยมหมอเกื้อ” ภูษิตเว้าวอน


   “หมอเกื้อยังไม่ฟื้นเลยครับ” ชานนท์ตอบออกไป “เอาไว้ถ้าหมอเกื้อฟื้นเดี๋ยวพี่จะรีบโทรบอกคุณศรันย์ให้พามาเยี่ยมหมอเกื้อที่นี่นะครับ”


   “ครับ” ภูษิตพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาสงสัย “แล้วพ่อล่ะครับ”


   “พ่อ” ชานนท์ทวนเสียงเบาด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าภูษิตหมายถึงอะไร


   “อ่อ... หมายถึงคุณปกรณ์นะครับ” ศรันย์เป็นคนอธิบาย “หลังจากที่เกิดเรื่องตอนนั้นก็ยังไม่ได้เจอกันอีกเลยนะครับ ภูษิตก็เอาแต่ถามหา ผมก็แก้ตัวไปเรื่อง ส่วนคุณลุง พ่อของภูษิตน่ะครับ พอทราบเรื่องวันนั้นก็เสียใจ เอาแต่โทษตัวเองว่าดูแลลูกไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็เมาหัวราน้ำกลับบ้านมาทุกคืนเลยครับ ส่วนคุณป้าก็... เฮ้อ”


    ศรันย์ถอนหายใจออกมา เขาไม่อยากจะพูดเรื่องนี้สักเท่าไร ถึงอย่างไรแม่ของภูษิตก็เป็นป้าของเขา


   “ไม่สนใจอะไรเลยครับ เอาไว้เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังนะครับ” ศรันย์ยกมือขึ้นมาลูบหัวของภูษิตก่อนจะอมยิ้มออกมา ชานนท์เข้าใจได้ในทันทีว่ามันคงเป็นเรื่องที่ไม่สวมควรจะพูดต่อหน้าเขา


   “แล้วทำไมเมื่อกี้น้องภูถึงมายืนอยู่ตรงนั้นได้ครับ” ชานนท์หมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ที่ภูษิตเปิดประตูเข้ามาได้ยินทุกอย่าง


   “อ๋อ... พอดีหมอการุณจะสอบถามประวัติเพิ่มนิดหน่อยนะครับ น้องภูตอบไม่ได้ก็เลยมาตามผม แต่เมื่อกี้ตอนที่แขกคุณชานนท์เข้ามาผมไปคุยกับคุณหมอเรียบร้อยแล้วครับ”


   “แล้วคุณหมอว่ายังไงบ้างครับ”


   “เพราะเปลี่ยนหมอ หมอคนใหม่เลยยังตอบไม่ได้ แต่ถ้าถามผม ผมว่าก็เหมือนเดิมนะครับ ยังจำคุณลุงคุณป้าไม่ได้เลย คงมีเรื่องอะไรที่ฝังใจมากๆ บางทีผมอาจต้องไปโน้มน้าวคุณลุงคุณป้า ยอมให้น้องภูพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่าจะดีกว่า”


   “ผมว่าก็ดีนะครับ” ชานนท์พยักหน้าเห็นด้วย


   “แต่มันยากตรงคุณป้าเนี่ยแหละครับ อ้อ... คุยเพลินเลย เดี๋ยวผมพาน้องภูออกไปรอรับยาก่อนนะครับ กวนเวลางานของคุณชานนท์มานานแล้ว ยังไงก็สู้ๆ นะครับ” ศรันย์ยิ้มให้


   “ขอบคุณครับ”


   หลังจากที่ศรันย์และภูษิตออกไปจากห้อง ชานนท์ก็ทำงานของตัวเองต่อ ทั้งวิเคราะห์อาการผู้ป่วยเพื่อส่งให้กับหมอ ทั้งรับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยรายเก่าบ้าง รายใหม่บ้างที่แวะเวียนมาทำการรักษา แล้วก็มีผู้ป่วยประจำที่พักรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลที่เขาต้องเวียนเข้าไปดูแลและสอบถามข้อมูลเพื่อมาวิเคราะห์และประเมินผลว่ามีอาการดีขึ้นหรือไม่


   ในหนึ่งวันเขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อบรรเทาอาการของผู้ป่วยให้ดีขึ้นได้มากที่สุด ปัจจุบันมีผู้ป่วยจิตเวชมาเข้าทำการรักษามากขึ้น แต่ยังถือว่าน้อยมากหากเทียบกับต่างประเทศ เนื่องจากประเทศไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไรนัก  และตัวผู้ป่วยเองยังคงวิตกกังวลว่าการที่มาเข้ารับการรักษาจะถูกมองว่าเป็นคนบ้า ซึ่งค่านิยมความเชื่อนี้ถือเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์


   มนุษย์เรา มีความเครียดกันทุกคน ทั้งยังมีปมฝังใจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยและการเลี้ยงดู จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากแต่ละบุคคลจะมีความคิด ความอ่านที่แตกต่างกัน แต่ถ้ารู้สึกว่าความคิดของตัวเองข้อไหนที่เป็นเรื่องผิดปกติ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็เข้ามาทำการรักษาได้ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข


   ชานนท์ที่มัวแต่วิเคราะห์ข้อมูลจึงลืมดูไปว่านี่ก็เลยเวลาเลิกงานมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาเพิ่งนึกออกว่ามีนัดกับปรปรัชญ์ จึงรีบกดโทรศัพท์หาทันที


   “กว่าจะโทรมาได้นะครับ ผมนึกว่าลืมนัดไปแล้วนะเนี่ย” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นทันทีที่กดรับสาย


   “ผมขอโทษนะครับ มัวแต่ทำงานจนลืมเวลาไปเลย” ชานนท์เอ่ยขึ้นด้วยความสำนึกผิด “แล้วนี่คุณปรัชญ์อยู่ที่ไหนแล้วครับ ผมจะรีบไปหา”


   “อยู่ที่หน้าห้องคุณครับ ไว้เคลียร์งานเสร็จเมื่อไหร่ค่อยออกมาก็ได้นะครับ ผมไม่รีบ แค่นี้นะครับ เกรงใจคุณ คุยนานเปลืองค่าโทรเปล่าๆ” พูดจบก็ตัดสายทันที


   ชานนท์กุลีกุจอรีบวิ่งเปิดประตูออกจากห้องทำงานทันที ปรปรัชญ์กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่จัดไว้ให้ อยู่เยื้องๆ กับห้องของชานนท์ เขาส่งยิ้มให้แล้วยักคิ้วเหมือนพอใจที่เห็นสภาพลุกลี้ลุกลนของชานนท์ เส้นผมของชานนท์ยุ่งเหยิงชี้ไปมา ใบหน้าก็ดูเหนื่อยจากการทำงานอย่างเห็นได้ชัด มันจึงทำให้ปรปรัชญ์อดที่จะขำออกมาอย่างชอบใจไม่ได้


   ชานนท์เดินเข้าไปหาร่างนั้นทันที เขาไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ปรปรัชญ์รอนาน


   “ไม่ต้องพูดว่าผมขอโทษหรอกครับ” ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ปรปรัชญ์ก็รีบเอ่ยก่อนอย่างรู้ทัน ชานนท์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ผมเข้าใจ คุณทำงานหนัก ผมเองก็ว่างด้วย เพิ่งมาถึงที่นี่ไม่กี่นาทีเองครับ”


   “อ้าวคุณชานนท์ เคลียร์งานเสร็จแล้วเหรอคะ” ระหว่างนั้นเองก็มีพยาบาลสาวเดินผ่านมาพอดี เธอหยุดแวะร่วมวงสนทนาด้วยชั่วคราว “คุณคนนี้มารอคุณตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้วนะคะ ดิฉันจะเข้าไปเรียกให้ก็ไม่ยอม บอกว่ากลัวรบกวนคุณชานนท์”


   “อ่อ... ขอบคุณครับ” ชานนท์หันไปขอบคุณพยาบาล


   “ค่ะ งั้นดิฉันขอตัวทำงานต่อก่อนนะคะ” เธอส่งยิ้มให้ชานนท์และปรปรัชญ์ก่อนจะเดินจากไป นานๆ ทีจะมีคนนอกที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับดาราย่างกายเข้ามาในแผนกจิตเวช เหล่าพยาบาลสาวจึงมักจะรู้สึกให้ความสนใจเป็นพิเศษ


   “ปัดโถ่... คุณพยาบาล บอกซะละเอียดเลย แบบนี้ก็โดนจับได้น่ะสิ” ปรปรัชญ์แกล้งตีหน้าเศร้าหลังจากที่พยาบาลเดินจากไป เขาไม่อยากให้ชานนท์ไม่สบายใจที่ปล่อยให้เขารอนอน เพราะแค่นี้เขาก็คงมีเรื่องเครียดมากพอแล้ว แต่คุณพยาบาลสาวดันทำเสียแผนไปแล้ว


   “ทำไมไม่เข้าไปหาผมล่ะครับ หรือบอกพยาบาลให้ตามผมก็ได้” ชานนท์รีบเอ่ยถามทันที


   “ก็ผมเห็นคุณชานนท์เดินเข้าๆ ออกๆ ห้องตลอดเวลา เอาแต่มองแฟ้มเอกสารกำลังตั้งใจทำงานน่ะครับ ผมไม่อยากไปขัด อีกอย่างเราก็นัดกันหกโมงเย็น ผมผิดเองที่มาก่อนเวลา คุณชานนท์ไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย... จริงไหมล่ะครับ” ปรปรัชญ์ยักคิ้วใส่


   “งั้นรอผมอีกแป๊บนะครับ ไม่เกินสองนาที ไปเก็บของแล้วจะรีบออกมา”


   “ครับ”


   ปรปรัชญ์ลองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจับเวลาหลังจากที่ชานนท์เดินหันหลังกลับไป และพอชานนท์เดินกลับออกมาอีกครั้งเข้าก็จิ้มที่หน้าจอให้เวลาหยุด


   “ไม่เกินสองนาทีจริงด้วย” ปรปรัชญ์แกล้งพยักหน้าอย่างชื่นชม “เหลืออีกตั้งสองวินาทีแหนะ”


   ชานนท์หลุดขำออกมาในทันทีทันใด ท่าทางทะเล้นของชายหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าถึงเจ็ดปีคนนี้ทำให้เขาลืมเรื่องเครียดๆ ที่สะสมทั้งวันได้หมด


   “คุณชานนท์หิวยังครับ เราไปหาไรกินกันก่อนดีไหมครับแล้วค่อยไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่ของหมอเกื้อ” ปรปรัชญ์ออกความเห็น


   “ดีเลยครับ ผมเองก็หิวแล้ว แต่คุณน่ะสิครับ มารอตั้งนานคงทั้งหิวและเบื่อแย่” ชานนท์เห็นด้วย


   “ไม่เบื่อหรอกครับ นั่งเล่นเกมในมือถือรอ เคลียร์ได้ตั้งหลายด่าน”


   “งั้นเดี๋ยวผมเลี้ยงนะครับ ถือเป็นการไถ่โทษที่ปล่อยให้คุณรอนาน” ชานนท์เอ่ยขึ้น


   “คุณชานนท์นี่ท่าจะดูหนังมากไปนะครับเนี่ย พูดอย่างกับในหนัง รอนานอะไรกันครับ นี่ผมมารบกวนคุณชานนท์นะครับ ต้องให้ผมเลี้ยงสิ แล้วก็เออ... เลิกเรียกผมว่าคุณสักทีครับ เรียกปรัชญ์เฉยๆ ก็ได้ ผมอายุน้อยกว่าตั้งเยอะ พอโดนเรียกคุณก็รู้สึกแปลกๆ ไม่ชินน่ะครับ”


   ชานนท์มองอีกฝ่ายพูดอย่างอึ้งๆ เด็กอะไร เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่พูดจาราวกับสนิทสนมมานาน พูดเหมือนคนไม่เคยได้มีโอกาสพูดมาก่อน และยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรออกไป ปรปรัชญ์ก็ยังแย่งเอ่ยขึ้นมาก่อนอีกครั้ง


   “คุณเบื่อผมไหมเนี่ย ผมอาจจะพูดมากหน่อยนะครับ พอดีเมื่อก่อนแม่ชอบแย่งพูด ไม่สิทั้งแย่งพูด ทั้งบงการให้ผมทำนู่นทำนี่ตามที่แม่ต้องการ จนผมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”


   “ไม่เบื่อครับ” ชานนท์ตอบออกไป พลางนึกสงสัยว่าเด็กนี่อ่านจิตใจเขาได้หรืออย่างไรกัน พูดเหมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “แค่แปลกใจเฉยๆ พูดเก่งและอัธยาศัยดีผิดกับคุณปกรณ์เลยนะครับ”


   “พี่ของผมน่ะไม่ได้เป็นคนพูดน้อยนะครับ แต่ไม่พูดเลยมากกว่า” ปรปรัชญ์แย้ง “ส่วนอาหารเดี๋ยวไปกินที่ร้านสุกี้ฝั่งตรงข้ามโรงบาลกันนะครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง ถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยมาเป็นเพื่อนผม แล้วก็จะพาผมไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่ของหมอเกื้อ แล้วก็ขอบคุณที่รักษาและปกป้องพี่ชายของผม แล้วก็....”


   “พอๆๆๆๆ” ชานนท์เอ่ยขัด “ยอมแล้วครับ จะเลี้ยงอะไรก็เลี้ยงเลย พี่ไม่ขัดแล้ว เอาที่น้องปรัชญ์สบายใจเลยละกัน”
   “ให้มันได้อย่างนี้สิพี่ชาย” ปรปรัชญ์ดีดนิ้วอย่างชอบใจ ไม่ใช่แค่ดีใจที่อีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ แต่เพราะเขายังเรียกแทนตัวเองว่า ‘พี่’ และเลิกเขาว่า ‘คุณ’ ทำให้รู้สึกถึงความสนิทสนมกันมากขึ้น

จบตอน
   

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :katai1: :katai1: :katai1:
น้องชายปกรณ์เค้ามาดีใช่มั้ย ระแวงไปหมดแล้วว

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้องชายปกรณ์น่ารักนะ ชอบตอนนั่งรอหน้าห้อง
อย่าหักมุมให้ร้ายนะคะ แบบนี้ดีแบ้วว

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 32


สองวันต่อมา...


   วันนี้เป็นวันที่หมอการุณอนุญาตให้คนสนิทของปกรณ์สามารถเข้าเยี่ยมปกรณ์ได้อีกครั้ง ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายสอง ชานนท์จึงโทรนัดให้ปรปรัชญ์มาที่โรงพยาบาลหลัง 10 โมง ส่วนตอนเช้านั้นชานนท์ขออยู่กับปกรณ์ตามลำพัง อาจจะดูเหมือนชานนท์เห็นแก่ตัว แต่เพราะชานนท์มีเหตุผล

   ไม่ใช่แค่เพราะคิดถึงปกรณ์และต้องการความเป็นส่วนตัวเท่านั้น แต่เขาต้องพูดโน้มน้าวเรื่องที่ปรปรัชญ์จะมาเยี่ยมให้ปกรณ์รับรู้แล้วเข้าใจด้วย เพราะยังไม่แน่ใจว่าปกรณ์พร้อมไหมหากต้องเผชิญหน้ากับปรปรัชญ์

   ทางด้านของปกรณ์ พอทราบจากหมอการุณว่าวันนี้จะอนุญาตให้ชานนท์เข้าเยี่ยม เขาก็รีบตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า รอคอยคนที่คิดถึง

   การห่างกันเพียงแค่ไม่กี่วัน มันทำให้ปกรณ์รู้ความรู้สึกของตัวเองแล้วว่าชานนท์สำคัญมากขนาดไหน

   “เดี๋ยวพี่ชานนท์ก็มาน่า” เป็นเสียงของปาณัฐที่เอ่ยแซว ก่อนหน้านี้เขาไม่เจอกับปาณัฐมาหลายวันแล้ว แต่อาจเพราะวันนี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอตื่นเช้ามาก็เห็นปาณัฐมานั่งเฝ้าที่โซฟาตัวเดิม

   “ก็ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน ทำไงได้ ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอก แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย” ปกรณ์พูดออกไปตรงๆ คนที่ไม่มีใครรักมาทั้งชีวิตพอได้พบกับใครสักคนที่ทำให้เชื่อมั่น มันจึงไม่แปลกอะไรหากเขาจะมีอาการดีใจ ตื่นเต้นกับเรื่องแบบนี้มากกว่าคนทั่วไป ...คนที่รายล้อมไปด้วยคนรักคงไม่มีวันเข้าใจหัวอกของหมาหัวเน่าแบบปกรณ์หรอก

   “ดีจังเลยนะครับ” ปาณัฐพึมพำ

   ปกรณ์สังเกตเห็นสายตาของปาณัฐส่อแววเศร้าลงระคนความยินดีไปด้วย มันเหมือนคนแอบรักที่กำลังอกหัก เสียใจแต่ก็ต้องฝืนแสดงความยินดีอย่างไรอย่างนั้น ...หรือว่าใกล้จะถึงเวลาที่ต้องจากกันแล้ว

   “ไม่ใช่นะปาณัฐ” ปกรณ์รีบเอ่ยขึ้น เขากลัวความคิดนั้นจะเป็นจริง “กับเราพี่ก็ดีใจที่ได้เจอเหมือนกัน”

   “ผมเองก็ดีใจที่ได้เจอกับพี่” ปาณัฐยิ้มออกมา ทุกครั้งที่คุยกับปาณัฐปกรณ์รู้สึกเหมือนความคิดของตัวเองกำลังโต้ตอบกันไปมา เด็กคนนั้นมักจะตอบตามที่ใจเขาต้องการเสมอ “ไม่อยากจากพี่ไปไหนเลย”

   ปกรณ์รู้สึกหดหู่ทันทีที่ได้ยินคำนี้ อาการตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบเจอกับชานนท์หายไป เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย อารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวสุขเดี๋ยวเศร้า

   ระหว่างนั้นเอง ใครที่เขารอคอยก็เปิดประตูเข้ามา แต่เพราะความเครียดเลยทำให้ปกรณ์ไม่รู้ตัวเพราะเอาแต่คิดเรื่องปาณัฐจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง

   “คุณปกรณ์ เป็นอะไรไปครับ ทำไมหน้าเป็นอย่างนั้น” ชานนท์รีบเดินเข้าไปหาทันที

   “อ้าว คุณชานนท์” ปกรณ์หันหน้ามามอง เขาไม่รู้ตัวสักนิดจนกระทั่งชานนท์เดินเข้ามาใกล้ๆ “มาตั้งแต่ตอนไหนครับ”

   “เพิ่งมาครับ แต่คุณสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ กำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย หรือว่า... เสียใจที่จะได้พบผม” ชานนท์เอ่ยยิ้มๆ เขาแกล้งพูดเล่นแต่อีกฝ่ายกลับจริงจัง

   “ไม่ใช่นะครับ ผมดีใจมากที่รู้ว่าวันนี้จะได้พบคุณ” ปกรณ์รีบโพล่งออกมา กลัวว่าชานนท์จะเข้าใจผิด “พอดีเมื่อกี้กำลังคุยกับปาณัฐอยู่ครับ เขาบอกว่าไม่อยากจากผมไปไหนเลย”

   ชานนท์รับฟังด้วยความเข้าใจ ตอนนี้ปกรณ์รู้อยู่แล้วว่าปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่ที่ยังพบเห็นเพราะหัวใจของเขายังไม่พร้อมที่จะให้เด็กคนนั้นหายไป ปาณัฐหรือนรินทร์จึงยังโผล่มาเรื่อยๆ ชานนท์เองก็ลำบากใจ ถ้าจะบอกให้ตัดใจตัดขาดให้ได้ไปเลยก็คงจะใจดำเกินไป ค่อยๆ ให้เวลาเป็นยารักษาคงจะดีกว่า อะไรที่ฝืนใจมากไปไม่เป็นผลดีหรอก

   “งั้น...” ชานนท์แกล้งทำเสียงสูงเรียกร้องให้อีกฝ่ายสนใจ “เดี๋ยวผมมาใหม่ดีไหมครับ ให้คุณคุยกับน้องปณัฐก่อน”

   “ไม่เอาหรอกครับ” ปกรณ์รีบปฏิเสธออกมา “กว่าจะได้เจอคุณ ผมก็ไม่อยากให้คุณจากไปไหนเหมือนกัน”

   ได้ผล... ชานนท์เริ่มหันมาสนใจที่เขา ถ้าชวนคุยอีกสักนิด ปกรณ์ก็คงจะลืมแล้วปาณัฐก็คงจะหายไป

   “นี่รู้อะไรไหม ตั้งแต่ที่คุณมารักษาอยู่ที่นี่ผมทรมานโคตรๆ เลยล่ะครับ อยู่ใกล้กันแต่รู้สึกเหมือนอยู่ไกลยิ่งกว่าตอนที่คุณไม่ได้นอนพักที่นี่อีกนะครับ เห็นแต่ไม่สามารถพูดคุย มองแต่ไม่สามารถเข้ามาหาได้... แต่ผมก็ดีใจนะครับ ที่คุณเองพยายามสู้กับมัน สู้ต่ออีกนิดนะครับ ออกจากที่นี่เมื่อไหร่ผมก็ไม่ต้องทนคิดถึงคุณแบบนี้อีกแล้ว”

   ชานนท์พูดประโยคที่ยืดยาวออกมา มันใช่แค่คำพูดที่เพียงต้องการให้อีกฝ่ายสนใจเท่านั้น แต่มันเป็นความรู้สึกที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจของเขาจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเห็นคนที่ตนเองรักทนอยู่ในสภาพที่ทรมาน บางวันก็ห่อเหี่ยวเหมือนคนไร้จิตวิญญาณ บางทีก็ต้องเห็นเขานั่งคุยคนเดียว บางทีก็ร้องไห้ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จนหลายๆ ครั้งปกรณ์ก็เกือบจะร้องไห้ตามไปด้วย แต่พอได้เข้ามาหา ชานนท์ก็ต้องพยายามข่มความรู้สึกหลายๆ อย่างเอาไว้ ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ปกรณ์เห็น เพื่อที่เขาเองก็จะได้มีกำลังใจสู้ต่อไป ไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังเรื่องของเขาด้วย

   ไม่ใช่แค่ปกรณ์เท่านั้น... หลายครั้งลังจากที่แอบดูปกรณ์จากหน้าประตูห้อง ชานนท์ก็ต้องไปเฝ้าหมอเกื้อต่อด้วยความรู้สึกที่ทรมานไม่ต่างกัน

   “ได้ยินคุณพูดแบบนี้ผมเองก็มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย ขี้เกียจจะทนคิดถึงคุณแล้วเหมือนกัน” ปกรณ์ตอบออกมา พักหลังมานี้พวกเขาเปิดใจให้กันมากขึ้น กล้าพูดอะไรออกไปตามความรู้สึก อาจเพราะความไว้ใจ เชื่อใจและความผูกพันที่มีมากขึ้นจึงทำให้พวกเขาไม่รู้สึกขัดเขินหากเทียบกับเมื่อก่อน ...แต่จะว่าไม่เขินเลยก็ไม่ใช่ แค่เก็บความรู้สึกเอาไว้ได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง

   “งั้นกินข้าวเช้ากันก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”

   “ข้าวโรงบาลเหรอครับ” ปกรณ์แกล้งทำหน้าบู้ อิดออดเหมือนไม่อยากกิน “ข้าวโรงบาลจืดจะตาย ไม่อยากกินเลย”

   “ใครว่าล่ะครับ” ชานนท์ยิ้มออกมาให้กับการกระทำที่ดูน่าเอ็นดูนั่น “ผมมาเยี่ยมคุณได้ทั้งทีก็ต้องทำอะไรอร่อยๆ มาให้คุณทานอยู่แล้ว”

   “จริงเหรอครับ” ปกรณ์ตาลุกวาว “คุณบอกว่าคุณทำมาให้ ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมครับ ไม่ได้ฝันไปใช่ไหมครับเนี่ย”

   ชานนท์ขำออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางดีใจราวกับเด็กๆ อดหมั่นไส้ไม่ได้จึงยกมือไปดึงแก้มเบาๆ

   “ฝันไหมล่ะครับ”

   “แหม่... เชื่อๆ แล้วครับว่าไม่ได้ฝัน” ปกรณ์พูดติดตลก มีความสุขทุกครั้งที่ได้คุยกับผู้ชายคนนี้ “แต่ถ้าเป็นฝันก็คงเป็นฝันดีที่สุดเพราะมีคุณอยู่ในนี้”

   “โอ้โห... คำพูดคำจาแบบนี้ ไม่สมควรเป็นคนป่วยแล้วมั้ง” ชานนท์เอ่ยแซว แกล้งทำตาเบิกโพลงให้กับคนที่เคยไม่กล้าสู้หน้าคน ...ตอนเจอกันครั้งแรก ปกรณ์ไม่มองหน้าเข้าด้วยซ้ำ แต่พอมาวันนี้ทั้งมอง ทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะอย่างมีความสุข แถมยังปากหวานอีกด้วย ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการที่ดีเยี่ยม

   “ก็ดีครับ ไม่อยากเป็นคนป่วยแล้ว แต่ถ้าไม่ป่วยผมก็จะไม่ได้เป็นคนไข้ของคุณแล้วน่ะสิครับ” ปกรณ์แกล้งทำเสียงงอแงเหมือนเด็กๆ เกิดมาเพิ่งเคยอ้อนใครแบบนี้ก็ครั้งแรก มันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง

   “ก็มาเป็นคนรักแทนไงครับ”

   ท่าทีที่ดุกดิกไปมาเมื่อครู่ของปกรณ์หยุดลงในทันทีที่ได้ยินคำนี้ เขากำลังทบทวนคำพูดของชานนท์ การที่คุณชานนท์พูดออกมาแบบนี้จะสื่อเป็นนัยๆ ว่าขอคบกับเขาหรือเปล่านะ หรือแค่พูดเพื่อให้รู้สึกดีใจเท่านั้น แม้ชานนท์จะแสดงออกว่าห่วงใย และปกรณ์ก็เข้าใจในความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองดี พอได้ยินแบบนี้เขาก็เลยไม่แน่ใจว่าคนอยากเขาจะมีคนรักได้เหมือนกับคนอื่นจริงๆ น่ะหรือ ....เขาเนี่ยนะกำลังถูกขอความรัก

   ปกรณ์ไม่อยากมโนเข้าข้างตัวเองเลย แต่ก็อดคิดไม่ได้ นี่เขากำลังเป็นอะไรไปเนี่ย กำลังสูญเสียความเป็นตัวตน กำลังเขิน ไม่กล้าตอบ ไม่กล้าสบตาจนต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง

   “แต่ถ้าไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันก็ไม่เป็นไรนะครับ” ชานนท์ที่เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งแถมยังเบือนหน้าหนีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา รู้สึกใจแป้วเหมือนกันที่พูดอะไรออกไปแบบนั้นแถมยังโดนปฏิเสธอีก แต่พอปกรณ์ได้ยินประโยคนี้ปุ๊บจึงรีบหันกลับมาปั๊บเพราะกลัวว่าจะพลาดโอกาสสำคัญนี้ไป

   “เปล่านะครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ตกลงครับ ผมโอเค ตอนนี้เราตกลงคบกันแล้วนะครับ” ปกรณ์พยักหน้าหงึกๆ เหมือนยืนยันในคำตอบ ไม่ยอมเสียโอกาสนี้เด็ดขาด เขาดูถูกตัวเองมาทั้งชีวิตแล้ว จะเป็นอะไรไปถ้ายอมเชื่อและทำตามความรู้สึกสักครั้ง เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในความรู้สึก ...และเชื่อมั่นในคนรัก

   ชานนท์ค่อยๆ ขยับริมฝีปากยิ้มออกมา รอยยิ้มของชานนท์แฝงไปด้วยพลังประหลาด มีอานุภาพมหาศาลที่สามารถสะกดให้ผู้ที่เผลอจ้องมองต้องตัวอ่อนระทวยได้ในบันดล จนปกรณ์ต้องรีบเบือนหน้าหนี

   “ดีใจจังที่ไม่โดนปฏิเสธ งั้นเดี๋ยวผมไปเอาข้าวที่ผมตั้งใจทำมาให้ทานนะครับ รอแป๊บนึงนะ”

   “ครับ”

   พอชานนท์เดินออกไป ปกรณ์ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าครั้งไหนๆ เลิกคิดสงสัยในความรู้สึกของตัวเองแล้วว่ามันคืออะไร ที่เหลือก็แค่ภาวนาให้อีกฝ่ายเป็นแบบนี้ตลอดไป อย่าเปลี่ยนแปลงไปและทำให้ผิดหวังหรือเสียใจก็พอ

   ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ฝั่งของชานนท์เองก็มีอาการไม่ต่างกัน เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะยืนพิงกับประตู พอรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองยังคงเต้นแรงอย่างต้องเนื่องจึงยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอกแล้วสั่งให้มันสงบอาการลง

   ‘ใจเย็นเอาไว้ โล่งแล้วชานนท์’ เขาพูดกับตัวเอง... หลายวันมานี้เขาเป็นทุกข์ในการตัดสินใจว่าควรจะเลือกรักใครดี

ชานนท์คิดว่าความรู้สึกของคนเราไม่สามารถบังคับได้ แม้หมอเกื้อจะเอาชีวิตเข้าปกป้อง และแม้จะรู้ว่าเหตุผลที่ทำลงไปนั้นคือความรักก็ตาม แต่ความรักที่มีให้หมอเกื้อนั้นเป็นเพียงความรักแบบพี่ชายที่แสนดีเท่านั้น ชานนท์ต้องแยกให้ออกระหว่าง ความดี ความสงสาร กับความรัก จะรักใครเพราะดีหรือสงสารไม่ได้ เพราะถ้าทำแบบนั้นไม่วันใดวันหนึ่งมันก็ต้องมีจุดสิ้นสุด

...แต่ถึงจะเลือกไปแล้ว ชานนท์เองก็ไม่มั่นใจว่าถ้าหมอเกื้อฟื้นขึ้นมา ถ้าเขาได้มีโอกาสพูดคุยกับหมอเกื้ออีกครั้ง เขาจะยังสามารถหนักแน่นในความรู้สึกที่มีให้กับปกรณ์ไว้ได้หรือไม่ ชานนท์ไม่อยากคิดอะไรแล้ว รอไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนค่อยคิดแล้วกัน เขาควรจะมีความสุขกับปัจจุบัน และตอบแทนความดีของหมอเกื้อด้วยการดูแลพ่อกับแม่ของหมอเกื้อเพื่อเป็นการขอบคุณ แม้มันจะไม่สามารถทดแทนกันได้ก็ตาม แต่ก็น่าจะดีกว่าการที่ต้องฝืนความรู้สึกของตัวเอง

หลังจากที่สติกลับมาพร้อมกับความตื่นเต้นที่จากไป ชานนท์ก็รีบเดินไปที่ห้องทำงานเพื่อไปหยิบข้าวกล่องที่เตรียมมา ชานนท์ไม่เคยทำอาหาร เรื่องฝีมือคงอยู่ปลายแถว แต่เขาก็อยากทำเพื่อปกรณ์ จึงลองศึกษาวิธีทำข้าวห่อไข่สไตล์ญี่ปุ่นจากคลิปวีดีโอฝึกสอนแล้วหัดทำตาม ถึงรสชาติที่ออกมาจะไม่ได้อร่อยมากแต่ก็ไม่ได้แย่จนกลืนไม่ลงแน่นอนเพราะเขาลองทพและชิมเองแล้วหลายรอบ

ชานนท์เดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งแต่ยื่นข้าวกล่องสีฟ้าไปให้ ที่เลือกสีฟ้าเพราะอยากให้จิตใจของปกรณ์สดใสเพราะเขาต้องทนอยู่ในโลกที่มืดมนมาแล้วทั้งชีวิต

   ปกรณ์รับกล่องข้าวสี่เหลี่ยมสีฟ้าแล้วเปิดฝาออกทันที พอเห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น รอยยิ้มก็ผุดขึ้น

   “ข้าวห่อไข่ แล้วนี่อะไรครับเนี่ย” ปกรณ์ชอบใจซอสมะเขือเทศที่ชานนท์แต่งออกมาเป็นรูปหัวใจ พร้อมกับข้อความที่เขียนเอาไว้สั้นๆ ว่า ‘ LoVe U’  แล้วมีรูปใบหน้ายิ้มต่อท้าย “เป็นข้าวห่อไข่ที่มุ้งมิ้งน่ารักที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นตั้งแต่เกิดมาเลยนะครับเนี่ย”

   “พูดมากน่า... กินๆ ไปเถอะ” ชานนท์เอ่ยขึ้น คราวนี้เป็นเขาที่ไม่กล้าสบตากับปกรณ์บ้าง

   “คุณนี่จริงๆ เลย เป็นผู้ชายที่อบอุ่นและน่ารักขนาดนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะปล่อยตัวให้โสดมาจนถึงทุกวันนี้” พอได้ทีก็แซวใหญ่

   “จะกินไม่กินครับ” ชานนท์ทำท่าว่าจะแย่งข้าวกล่องคืนแต่ปกรณ์ก็รีบคว้าหลบเอาไว้ได้ทัน

   “กินๆ ครับ ไม่แกล้งแล้วครับ” ปกรณ์พูดออกมา “แต่ผมก็ต้องขอบคุณจริงๆ นะครับ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองสำคัญสำหรับใคร พอเห็นคุณทำข้าวกล่องมาให้ และที่ผ่านมาก็ทำนู่นทำนี่เพื่อผมสารพัด ผมรู้สึกว่าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่มารักษาที่นี่แล้วได้รู้จักกับคุณ ผมไม่คิดว่าผมจะกล้าพูดกล้าคุยกับใครแบบนี้ด้วยซ้ำ คุณทำให้ผมรู้สึกว่าคุณคือคนที่พิเศษที่ผมจะยอมเสียไปให้ใครไม่ได้ ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะครับ”

   น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแต่ละคำนั้นมีแต่ความจริงใจ ปกรณ์ไม่ใช่คนที่มีลูกเล่นแพรวพราว รู้สึกอย่างไรก็พูดอย่างนั้น

   “แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง สมมตินะครับแค่สมมติ ถ้าคุณเสียผมไปให้ใครคุณจะทำยังไง” อดไม่ได้ที่จะลองถาม อยู่ๆ ภาพของหมอเกื้อก็ผุดขึ้นมาในสมองตอนที่ปกรณ์บอกว่าจะไม่ยอมเสียเขาให้ไป

   “สมมติเหรอครับ” ปกรณ์ทำสีหน้าครุ่นคิด เขาจริงจังกับคำถามนี้มากพยายามจะหาผลลัพธ์ให้ได้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็นึกไม่ออก “ไม่รู้สิครับ ตอบไม่ได้เลย ไม่กล้าคิดแบบนั้น กลัวจะเสียใจ”

   “อ่อครับ” ชานนท์พยักหน้า “แค่สมมติเฉยๆ นะครับ อย่าคิดมากล่ะ กินข้าวเถอะ”

   “ครับ” ปกรณ์หยักหน้า ถึงชานนท์จะบอกว่าสมมติก็เถอะ แต่เขากลับรู้สึกแปลกๆ หลังจากที่ได้ยินคำถาม เหมือนว่าวันหนึ่ง... เรื่องที่ชานนท์ถามนั้นจะเกิดขึ้นจริง แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านั้น รีบตักตวงวามสุขที่เกิดขึ้นในตอนนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุดดีกว่า

   ชานนท์จ้องมองปกรณ์ตักอาหารคำแรกเข้าปากด้วยความตื่นเต้น ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะกินลงไหม

   “เป็นไงบ้างครับ ผมไม่เคยทำอาหารเลยนะ นอกจากต้มมาม่าและทอดไข่”

   “ครั้งแรกเหรอครับ” ปกรณ์เอ่ยออกมาหลังจากที่กลืนคำแรกลงไป “มิน่าล่ะ... ยังต้องปรับปรุงอีกเยอะ”

   “โถ่... ไม่อร่อยจริงๆ ด้วย” ชานนท์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เขาก็คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เทียบกับสเต๊กที่ปกรณ์เคยทำมันคนละเรื่องกันเลย

   “เปล่านะครับ ไม่ใช่ไม่อร่อย แต่หมายถึงว่าสามารถทำให้อร่อยได้มากกว่านี้ครับ” ปกรณ์ปลอบใจก่อนที่จะตักคำต่อไป “ อาหารที่คุณทำ ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันก็อร่อยหมดนั่นแหละ ผมชอบ”

   “ผมว่าคุณอาการดีขึ้นเยอะเลยนะครับ รู้จักวิธีใช้คำพูดให้คนอื่นรู้สึกดีได้ด้วยทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังต้องรักษา อีกไม่นานผมว่าคงออกจากโรงบาลได้แล้วล่ะ”

   “คนอื่นที่ไหนล่ะครับ” ปกรณ์แกล้งทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ “เราไม่ใช่คนอื่นแล้วนะ อีกอย่างก็กล้าคุยแค่กับคุณคนเดียวนั่นแหละ”

   “ให้จริงเถอะครับ จะรอดูหลังจากที่คุณหายดี”

   “รอเก้อเหอะครับ เพราะมันจะไม่มีวันนั้น วันที่ผมไปรู้สึกแบบนี้กับใคร”

   “นั่นไง เถียงเก่งจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่ชวนคุยแล้วเดี๋ยวกินข้าวไม่หมดสักทีจะเลยเวลากินยาเอา”

   “ครับ”

   จากนั้นทั้งคู่ก็เงียบเสียงลง แต่ยังคงส่งสายตาหากัน จนกระทั่งอาหารในกล่องหมดเกลี้ยง ชานนท์ก็ส่งยาที่ต้องกินทันทีหลังรับประทานอาหารให้ ปกรณ์กินยานั้นลงไปอย่างง่ายดาย เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย จึงถึงเวลาที่ชานนท์จะต้องบอกกับปกรณ์ว่าวันนี้จะมีแขกคนสำคัญมาเยี่ยม

   “ตอนนี้คุณคิดว่าอาการของคุณเป็นยังไงบ้างครับ อาการ ความคิด คิดว่ามีอะไรดีขึ้นจากเมื่อตอนก่อนที่เข้ารับการรักษาไหม” ชานนท์เริ่มสอบถามอาการจากผู้ป่วย เพื่อฝึกให้เขาวิเคราะห์

   “ก็น่าจะดีขึ้นนะครับ” ปกรณ์ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปพอสมควร “ผมคิดว่าผมกล้าสบตาคนมากขึ้น กล้าพูดคุยมากขึ้นนะครับ ยิ่งถ้ากับคุณนะผมยิ่ง...”

   “พอๆ” ชานนท์รีบยกมือห้ามปราม เขาพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไรต่อ

   “ทำไม ไม่อยากฟังเหรอครับว่าผมจะพูดอะไร” ปกรณ์ส่งยิ้มทะเล้นออกมา

   “แค่นี้ผมก็รู้แล้วครับว่าคุณดีขึ้น” ชานนท์พูดด้วยเหตุผล

   “แต่ผมอยากตอบ” ปกรณ์เถียงและไม่รอให้อีกฝ่ายขัด เขารีบคว้าร่างที่อยู่ใกล้ๆ มากอดเอาไว้แน่น “ยิ่งถ้ากับคุณต่อให้เป็นฝ่ายเข้าไปกอดผมก็กล้าทำ...”

   ชานนท์แกะอ้อมกอดของคนป่วยที่เริ่มฉายแววความทะเล้นออกจากร่างของตน ก่อนจะขยับออกไปให้ไกลจากจุดอันตราย

   “เดี๋ยวมีคนมาเห็นน่าครับ” ชานนท์ไม่ได้โกรธ แต่ก็ต้องห้ามเอาไว้ ถ้าปล่อยให้ปกรณ์ทำอะไรตามใจเกินไปมันก็ย่อมไม่เป็นผลดีเหมือนกัน พออาการเริ่มดีขึ้น เขากล้าคิดกล้าทำแต่ต้องสอนให้รู้จักแยกแยะด้วยว่า ควรพูดหรือควรทำในสถานที่ไหน อย่างไร

   “ผมขอโทษ” ปกรณ์ก้มหน้าจ๋อย

   “อย่าทำหน้าจ๋อยสิครับ ผมไม่ได้ว่าคุณผิดนะ แต่ถ้าคนอื่นมาเห็นมันจะดูไม่ดี” ชานนท์อธิบายออกไป แต่อีกฝ่ายสีหน้ายังไม่ดีขึ้น จึงต้องหาวิธีทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาให้ได้ “เอาไว้เราค่อยไปกอดกันที่อื่นเนอะ รีบๆ หายละกัน ถึงตอนนั้นจะไม่บ่นคุณสักคำ”

   “จริงนะ” ได้ผล ปกรณ์สายตาลุกวาว

   “สัญญาเลยครับ” ชานนท์ยกนิ้วก้อยขึ้นมาเป็นการยืนยันอย่างหนักแน่น พอปกรณ์กำลังอารมณ์ดีเขาจึงรีบเอ่ยในเรื่องที่ต้องการจะพูดต่อทันที “แล้วตอนนี้คุณรู้สึกยังไงกับน้องชายคุณบ้างครับ”

   “ปรัชญ์น่ะเหรอ” ปกรณ์ครุ่นคิด เขาไม่แน่ใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ถ้าถามว่ายังกลัวไหม ก็คงกลัวเพราะปรปรัชญ์เคยเตะต่อยเขารุนแรงเหมือนกัน แต่พอคิดย้อนไปตอนนั้น ปกรณ์รู้สึกว่าสีหน้าและแววตาของปรปรัชญ์ไม่เต็มใจสักนิด “ไม่รู้สิครับ ผมเองก็ไม่แน่ใจ”

   “ถ้าเกิดว่าต้องเจอกัน คุณคิดว่าจะส่งผลอะไรต่อสภาพจิตใจคุณไหม” ชานนท์ถามออกไปตรงๆ

   “กับปรัชญ์เหรอครับ”

   “ใช่ครับ”

   “คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร เราไม่ได้เจอกันนานมากๆ ตั้งแต่ที่เขาเรียนจบมัธยมปลาย เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย คงไม่น่าจะเป็นอะไรมั้งครับ ผมอธิบายไม่ถูกนะ แต่ในใจลึกๆ ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้เกลียดผม ถึงแม้ว่าผมอาจจะยังรู้สึกกลัวปรัชญ์นิดๆ อยู่ก็ตามที” ปกรณ์ตอบออกไปตามความรู้สึก

   “แน่ใจนะครับ” ชานนท์ถามย้ำ

   “ครับ” ปกรณ์ยืนยันในความตอบโดยไม่เอะใจสักนิดว่าทำไมชานนท์ถึงถามเรื่องนี้

   “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ ผมจะให้น้องชายมาพบคุณที่นี่นะครับ”

   “ว่าไงนะครับ” ปกรณ์ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม “เจอกับปรัชญ์น่ะเหรอครับ ปรัชญ์เรียนอยู่อเมริกานู่นจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”

   “ปรัชญ์ทราบข่าวเรื่องคุณจากคุณพ่อ พอว่างก็เลยรีบบินมาที่นี่เพื่อที่จะมาเยี่ยมคุณน่ะครับ” ชานนท์ชี้แจง

   “ไม่จริงน่า คุณอย่ามาโกหกผม” ปกรณ์ไม่อยากปักใจเชื่อ อย่างเขาเนี่ยนะจะมีค่าพอให้น้องชายบินมาหาเพื่อแค่ดูอาการ คุยกันดีๆ สักครั้งยังไม่เคย “นี่เป็นขั้นตอนการรักษาใช่ไหมครับ คุณกำลังทดสอบอะไรผมใช่ไหมครับ”

   ยังไม่ทันที่จะได้ตอบคำถาม เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะสามครั้ง พร้อมกับร่างของใครบางคนที่เดินเข้ามา

   เขาไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบของโรงพยาบาล เขาไม่ใช่หมอ ไม่ใช่พยาบาล แต่ปกรณ์จำเขาได้... เขาเปลี่ยนไปมาก ตัวหนาและสูงขึ้น ผมยาวกว่าเมื่อก่อน และที่สำคัญเขาหล่อขึ้นผิดหูผิดตา อาจเพราะโตเต็มวัยแล้ว

   ส่วนชานนท์ก็ตกใจไม่แพ้กัน ยังไม่ทัน 10 โมงด้วยซ้ำ แต่เขาก็มาที่นี่ก่อนเวลานัดหมาย แต่ยังดีที่ชานนท์เพิ่งคุยกับปกรณ์จบไป และมั่นใจว่าปกรณ์จะไม่เป็นอะไรแน่นอน

   “ปรัชญ์” ปกรณ์เอ่ยเรียกชื่อของคนๆ นั้นก่อนจะกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ ทั้งๆ ที่เพิ่งบอกกับชานนท์ว่าคงไม่กลัว แต่พอได้พบกันอีกครั้ง... ปกรณ์เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในความคิดขึ้นมา หรืออาจแค่เพราะปกรณ์คิดไปว่าปรปรัชญ์ตัวโตขึ้น หากต้องโดนเจ้านี่ต่อยอีกสักครั้ง ความรุนแรงคงเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนหลายเท่า มันเลยทำให้เขารู้สึกหวั่นๆ ก็เท่านั้นเอง



จบตอน

T__T สงสัยเรื่องนี้ไม่สนุก แฮ่คอมเม้นท์ไม่ค่อยมีเลย  :sad11:

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
สนุกสิคะ สนุกมาก ลุ้นตลอดเวลา แต่อยากบอกนักเขียนว่าถ้าจะลงเรือ เกื้อชานนท์ น้องปรัชญ์์พี่ปกรณ์จะผิดไหมเนี่ย แต่ยังไงก็ตามอย่าทำร้ายพี่เกื้อเลย ขอให้พี่เกื้อฟื้นมามีชีวิตรอดด้วยเถอด  :katai4:
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
ขอติตอนหนึ่งที่ภูษิตชักแล้วกัดแขนปกรณ์นะคะ เวลาชักเค้าห้ามเอาช้อนงัดปากแล้วนะ มันเป็นวิธีที่ผิดมหันต์เลยนะคะ อยากให้ไปหาข้อมูลแล้วแก้เนื้อหาตรงส่วนนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ อย่าโกรธกันนะ เค้าหวังดี :mew2: :L1: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2017 20:11:28 โดย Roman chibi »

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด