ดั่งพรานล่อเนื้อ
{1}
ด้วยความอยากเป็นคนป่าของและความปรารถนาที่จะปั่นต้นฉบับให้เสร็จโดยไม่มีใครมากวน ผมจึงเก็บข้าวของขับรถไปถึงโคราช แวะไปบ้านเพื่อนที่อยู่ในตัวเมืองเพื่อฝากของเอาไว้ก่อนจะพาตัวเองพร้อมสัมภาระไม่กี่ชิ้นหนีขึ้นเขาใหญ่ไปเพียงลำพัง ไอ้ตั้มเพื่อนรักไม่ใส่ใจถามอะไรมากนักเพราะมันรู้ดีถึงนิสัยติสต์แตกแบบลมเพลมพัดของผมมันจึงรับฝากรถและมือถือผมไว้โดยไม่ว่าอะไร
ปกตินานๆ ทีผมจะทำอะไรแบบนี้สักที บางหนก็เบื่อบ้านตัวเองจนเปิดโรงแรมย่านกลางเมือง ขังตัวเองไว้ในห้องพักแล้วเค้นหัวเขียนนิยายหรือเรื่องสั้นแล้วแต่อารมณ์จะพาไป และบางครั้งก็ถึงกับหนีไปต่างจังหวัดใกลๆ เลยก็มี ไม่ว่าจะเป็นครั้งไหนผมก็ไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและมักจะไม่ได้แจ้งข่าวใครเอาไว้ก่อนแถมยังปิดช่องทางการสื่อสารทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครกวน เข้าทำนองนักเขียนสมองตันหนีไปปลีกวิเวกในป่าเพราะหวังว่าหัวจะแล่นขึ้นมาบ้าง
แต่หนนี้นอกจากจะยังเขียนไม่ออกสักบรรทัดแล้วยังมาพบว่าเมื่อกลับลงมาข่าวร้ายก็รอผมอยู่
คุณปู่จากไปแล้ว...
ตอนที่คุณปู่กำลังจะสิ้นลมทุกคนในครอบครัวต่างก็รายล้อมกันพร้อมหน้า ยกเว้นผม หลานชายที่คุณปู่รักและโปรดที่สุด...
ปู่จากไปอย่างสงบแต่ยังไม่วายพะวงใจเพราะผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น แม่เล่าว่ากระทั่งตอนที่คุณปู่อาการหนักจนแทบไม่มีแรงจะลืมตาท่านก็ยังพยายามใช้นิ้วเคาะโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้มือเป็นสัญญานให้คุณพ่อของผมต่อสายหาผมอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะโทรกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ติดต่อไม่ได้
ผมไม่เคยโกรธตัวเองเท่านี้มาก่อนในชีวิต รู้ทั้งรู้ว่าปู่สุขภาพทรุดลงเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังไม่เอะใจ ไม่เคยคิดว่าปู่จะจากไปกระทันหันอย่างนี้ ที่ผ่านมาผมเอาแต่บอกตัวเองว่าเดี๋ยวไว้ค่อยไปเยี่ยมปู่พรุ่งนี้ก็ได้ แต่รู้สึกตัวอีกทีมันก็สายไปแล้ว ผมไปหาปู่ไม่ได้อีก จะคุยกับท่านก็ไม่ได้แล้ว ผมทอดทิ้งท่านยามที่ท่านต้องการผมที่สุดทั้งๆ ที่ท่านเป็นคนเดียวที่เข้าใจผมและอยู่ข้างผมในตอนที่ทั้งครอบครัวหันหลังให้
ผมติดหนี้ปู่มากมายนักและคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้ตอบแทนปู่อีก...แต่ผมคิดผิด ยังมีบางอย่างที่ผมทำเพื่อปู่ได้ ผมพบบางสิ่งบางอย่างที่ว่านั้นตอนที่เข้าไปเก็บกวาดในห้องทำงานของปู่
คุณปู่ของผมท่านเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง ท่านมีห้องทำงานส่วนตัวที่สร้างแยกออกห่างจากตัวบ้านใหญ่ อันที่จริงจะเรียกว่าห้องทำงานก็ดูจะไม่เหมาะนัก อาจเรียกได้ว่าเป็นกระท่อมเล็กๆ ที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพในนั้น มันเป็นโลกส่วนตัวของปู่
ภายในกระท่อมชั้นเดียวที่มีพื้นที่กระทัดรัดนั้นเต็มไปด้วยหนังสือโคลงฉันทร์กาพย์กลอน วรรณคดี ประวัติศาสตร์ ตลอดจนสารคดีหลายหลายประเภท ปู่เป็นนักสะสมหนังสือตัวยงดังนั้นในกระท่อมน้อยหลังนี้นอกจากจะมีหนังสือวางเรียงกันมากมายบนชั้นหนังสือ แล้วยังมีหนังสือวางกองอยู่กับพื้น บนโต๊ะทำงาน หรือแม้กระทั่งโซฟาที่ปู่ใช้งีบหลับเป็นครั้งคราวอีกด้วย
ด้วยความที่คุณปู่รักความเป็นส่วนตัวมากจึงไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้ามาย่างกรายได้ กระทั่งคุณย่าเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปได้ง่ายๆ
มีอยู่หนหนึ่งที่คุณย่าอาศัยจังหวะที่คุณปู่ออกไปข้างนอกเข้าไปทำความสะอาดและเก็บหนังสือที่วางระเกะระกะให้เป็นระเบียบ เย็นวันนั้นบ้านเราแทบแตกเมื่อปู่กลับมาพบว่าห้องทำงานส่วนตัวที่สุดรักสุดหวงถูกศรีภรรยาเข้าไปปัดกวาดและโยกย้ายของโดยไม่ได้บอกกล่าวกันก่อน คุณปู่ดุคุณย่าอยู่หลายคำก่อนจะหนีไปนอนที่กระท่อมสุดหวงคนเดียว แต่ผมรู้ว่าคืนนั้นปู่แทบไม่ได้หลับ ผมแอบเห็นแสงไฟจากห้องทำงานของท่าน และเห็นเงาร่างของปู่เดินไปมาอยู่ไหวๆ
คืนนั้นคุณปู่จัดแจงห้องทำงานตัวเองไห้กลับไประเกะระกะเหมือนเก่า ก่อนที่จะหากุญแจมาล็อคหลังจากนั้นไม่กี่วัน
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมาปู่ได้สั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไปเหยียบห้องของท่านถ้าท่านไม่อนุญาต ส่วนคุณย่าก็งอนปู่อยู่หลายวันกว่าจะกลับมาคืนดีกันได้ ถึงกระนั้นย่าเองก็สาบานว่าจะไม่หวังดีเข้าไปทำความสะอาดให้อีก เชิญคุณปู่เก็บกวาดเองตามสบาย แล้วก็อย่ามาบ่นว่ากองหนังสือหล่นทับก็แล้วกัน!
แต่ในกระบวนคนในครอบครัวทั้งหมด เห็นจะมีแต่ผมคนนี้ที่คุณปู่ยอมให้เข้าไปในห้องของท่านได้ มีอยู่หนหนึ่งแม่ถึงกับล้อว่าผมอาจจะเป็นลูกหลงที่ความจริงน่าจะมาเกิดเป็นลูกคุณปู่กระมัง เพราะทั้งหน้าตาทั้งนิสัยละม้ายคล้ายกันเหมือนพ่อลูกมากกว่าปู่กับหลาน
คุณย่าเคยแอบกระซิบบอกผมว่าพ่อของผมเคยน้อยใจปู่จนถึงขั้นเผลอตัดพ้อต่อว่าปู่ว่ารักเอ็นดูหลานชายมากกว่าลูกชาย ซึ่งตรงนี้เห็นจะจริงเพราะแม้ปู่จะเข้มงวดกับทุกคน แต่กับผมท่านกลับตามใจจนถึงขั้นลำเอียงอยู่บ่อยๆ หลายคนบอกว่าคนเป็นปู่เป็นตาก็อย่างนี้รักหลานหลงหลานมากกว่าลูก แต่ผมมีพี่ชายหนึ่งคน พี่สาวและน้องสาวอีกอย่างละหนึ่ง แต่คุณปู่ก็ไม่ได้เอ็นดูพี่ๆ น้องๆ ผมมากเท่าที่ท่านเอ็นดูผม ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าออกห้องทำงานปู่ได้โดยไม่โดนว่าสักคำ
{2}
หลังจากที่จัดการงานศพของคุณปู่เสร็จ ผมก็กลับมาขอกุญแจห้องทำงานของปู่จากพ่อ ตอนแรกพ่อทำท่าจะไม่ให้ ท่านยังโกรธที่ผมไม่อยู่ตอนที่ปู่จากไป นี่ยังไม่นับว่าช่วงสามสี่ปีให้หลังมานี้ผมกับพ่อก็ห่างกันมากกว่าเดิมเพราะพ่อไม่ชอบใจไลฟ์สไตล์ของผม
ผิดกับปู่ที่เข้าใจและสนับสนุนผมทุกอย่าง
ตอนที่ผมเกือบจะมีปากเสียงกับพ่ออีกเพราะพ่อดื้อแพ่งไม่ยอมส่งกุญแจให้ก็โชคดีที่แม่เข้ามาห้ามทัพทัน
“เอากุญแจให้ลูกซะคุณ” แม่บีบต้นแขนของพ่อเป็นเชิงห้ามปราม ผมกับพ่อคงจะแตกหักกันไปหลายครั้งแล้วถ้าไม่มีใช่เพราะผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ดีและแม่ที่ยอดเยี่ยมคนนี้
พ่อชายตามองแม่อย่างเคืองๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ท่านแค่โยนกุญแจไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ
แม่ได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกุญแจมาวางไว้บนมือผม
“เก็บไว้ซะลูก คุณปู่เขาตั้งใจจะยกห้องนั้นให้เราอยู่แล้วล่ะ เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้” แม่บีบมือผมครั้งหนึ่ง “พ่อเขายังโมโหอยู่ ลูกก็ไปนอนที่ห้องทำงานปู่ก็แล้วกัน เอาไว้พ่อเขาเย็นลงสักหน่อยแล้วค่อยคุยกัน”
ผมยิ้มเฝื่อนๆ ให้แม่ทีหนึ่งแล้วรับปากว่าจะเก็บกวาดทำความสะอาดห้องทำงานของคุณปู่ให้เอง
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ ใครก็รู้ว่านอกจากลูกแล้วปู่ไม่ยอมให้ใครเข้าไปที่นั่นหรอก ขืนคนอื่นแอบเข้าไปคุณปู่อาจจะออกมาหลอกเอาก็ได้!” แม่หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
ตอนแรกผมคิดว่าการทำความสะอาดไม่น่าจะยากเย็นอะไรนัก คุณจะหาว่าผมถูกเลี้ยงแบบตามใจเกินไปก็ว่าได้ ผมไม่เคยต้องจัดไม้กวาดเลยสักหน ซักเสื้อผ้าก็ไม่เป็น จานเจินก็ไม่เคยล้าง มาตอนนี้ต้องจัดการทำความสะอาดและจัดระเบียบกระท่อมห้องทำงานหลังกระจิดริดแบบนี้ผมยิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่
สำหรับคนอื่นการทำความสะอาดกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่งอาจใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน แต่ผมใช้เวลามาสี่วันกว่าแล้วก็ยังไม่เสร็จเสียที อุปสรรคไม่ได้มีแค่ว่าผมไม่ถนัดงานบ้านอย่างเดียวหรอกนะ แต่ก็เพราะหนังสือที่รายล้อมผมนี่แหละที่ทำให้ผมวอกแวก
ทุกครั้งที่จะยกกองหนังสือย้ายไปสักที่ สายตาผมก็จะเหลือบไปเห็นหนังสือที่เตะตาเข้าสักเล่ม หลังจากนั้นวงจรอุบาทว์ก็จะเริ่มขึ้น นั่นก็คือผมจะหยุดทุกอย่างแล้วนอนอ่านหนังสือเล่มนั้นโดยบอกตัวเองว่าขออ่านสักห้านาที
แล้วก็อีกห้านาที...
แล้วก็อีกห้านาที...
หลายต่อหลายห้านาทีสุดท้ายอะไรก็ไม่เสร็จสักอย่าง เหตุการณ์ดำเนินไปแบบนี้จนกระทั่งเข้าวันที่ห้า ในระหว่างที่ผมกำลังเก็บกวาดโต๊ะของปู่อยู่โดยไม่พยายามมองไปทางกองหนังสือที่อยู่ใกล้เท้า จู่ๆ ผมก็พบว่ามีลิ้นชักอยู่อันหนึ่งที่เปิดไม่ออก ผมลองดึงลิ้นชักชั้นอื่นออกเช็คดูก็พบว่าทุกตัวเปิดได้หมดยกเว้นตัวนี้ตัวเดียว
อะไรบางอย่างกวนใจผมทำให้ผมต้องดิ้นรนหาอะไรมาเปิดมันออก ผมอยากรู้เสียเหลือเกินว่ามีอะไรอยู่ในลิ้นชักตัวนั้น
ใจผมเริ่มเต้นเร็วขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่าอาจได้พบอะไรที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว ถ้าถามกันจริงๆ ผมก็ไม่อยากจะงัดลิ้นชักออกมาเลยเพราะปู่รักโต๊ะตัวนี้มาก แต่ด้วยความที่ไม่ว่าผมจะพยายามตามหากุญแจมาไข หรือพยายามที่จะสะเดาะกลอนด้วยกิ๊ฟติดผมแบบในทีวีแค่ไหนมันก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายผมก็เลยต้องพังมันออกมาด้วยการใช้ชะแลง
ผมพึมพำคำขอโทษถึงปู่เบาๆ และค่อยๆ แงะลิ้นชักออกมา ออกแรงนิดหน่อยล็อคก็หลุดออก ทว่าสิ่งที่หล่นลงมากลับเป็นกุญแจทองเหลืองหนึ่งดอกและกล่องเหล็กหนึ่งกล่อง
แต่โชคร้ายไปหน่อยที่กุญแจดอกนี้ไม่ได้มีไว้ไขกล่องปริศนานี่มันจึงทำให้ผมต้องเสียเวลาปล้ำอยู่กับกล่องปริศนาอยู่เกือบค่อนวันกว่าจะงัดมันเปิดออกมาได้
ข้างในกล่องมีจดหมายหลายต่อหลายสิบฉบับอัดแน่นกันอยู่ จดหมายเก่าคร่ำคร่าที่จ่าหน้าถึงปู่และมันส่งมาจากคนๆ เดียวกัน ทุกฉบับล้วนแล้วแต่ขึ้นต้นลงท้ายเหมือนกันว่า ‘ถึง พรานล่อเนื้อ’ และ ‘จาก เรียม’
ผมนิ่งนึกอยู่พักใหญ่เพราะรู้สึกคุ้นๆ อย่างประหลาด ผมหันไปมองรอบๆ ห้องจนเหลือบไปเห็นเครื่องเสียงโบราณของปู่เข้า เครื่องเล่นแผ่นเสียงเครื่องนี้แม้จะมีนักสะสมหลายคนเสนอขอซื้อด้วยราคาแสนแพงแต่ปู่ก็ไม่ยอมขาย คุณปู่รักเครื่องเล่นตัวนี้มาก
ผมเหม่อมองมันสักพักแล้วก็แทบอยากเขกหัวตัวเองเพราะคำตอบอยู่ตรงหน้าผมแล้วแท้ๆ
ปู่รักเสียงเพลงและเก็บแผ่นเสียงเกือบร้อยแผ่นแต่ผมจำได้ว่ามีอยู่แผ่นหนึ่งที่ปู่จะต้องเปิดฟังทุกวัน ผมรื้อหาแผ่นที่ว่าจนพบ และเมื่อลองเปิดฟังดูก็เป็นจริงอย่างที่ผมคิด ชื่อในจดหมายนั่นมาจากเพลงนี้แน่ๆ
เจ้ายักคิ้วให้พี่เจ้ายิ้มในที เหมือนเจ้าจะมีรักอารมณ์
ยั่วเรียมให้เหงามิใช่เจ้าชื่นชม อกเรียมก็ตรมตรมเพราะคมตาเจ้า
เรียมพะวักพะวงเรียมคิดทะนง และเรียมก็คงหลงตายเปล่า
ดังพรานล่อเนื้อเงื้อแล้วเล็งเพ่งเอา ยั่วใจให้เมาเมาแล้วยิงนั่นแล
น้าวศรเล็งเพ่งเอาทุกสิ่ง หากเจ้าหมายยิง ก็ยิงซิแม่
ยิงอกเรียมสักแผล เงื้อแล้วแม่อย่าแปรอย่าเปลี่ยนใจ
เรียมเจ็บช้ำอุรา เจ้าเงื้อเจ้าง่า แล้วเจ้าก็ล่าถอยทันใด
เจ็บปวดนักหนาเงื้อแล้วลาเลิกไป เจ็บยิ่งสิ่งใดไยมิยิงพี่เอย
ผมปล่อยให้เพลงเล่นซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ความคิดจะเก็บกวาดมลายไปจากหัว มือก็โยนไม้ขนไก่ทิ้งและเขี่ยกองหนังสือให้พ้นทางก่อนที่จะนั่งลงกับพื้นเพื่ออ่านจดหมายพวกนั้นแทน
เนื้อหาในจดหมายถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาที่เต็มไปด้วยวรรณศิลป์ในเชิงกาพย์กลอน มองเผินๆ ราวกับว่าเป็นจดหมายของนักเลงกวีส่งหากันเพื่อปะทะคารม แต่หากผู้ที่อ่านมันเป็นผู้เจนจัดในด้านภาษาก็จะพบว่าความหมายที่แอบแฝงอยู่ในจดหมายเหล่านั้นส่อให้เห็นถึงจุดประสงค์จริงๆ ของพวกมัน
จดหมายพวกนี้เป็นจดหมายรัก!
ผมอ่านจดหมายเหล่านั้นด้วยความฉงนในตอนแรก แล้วค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นความเต็มตื้น และสุดท้ายก็ด้วยความเศร้าใจ ผมได้ตระหนักถึงความจริงสามอย่างจากจดหมายเหล่านี้ หนึ่งก็คือคู่รักของปู่ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม...เขาเป็นผู้ชาย
ผมหวนคิดไปถึงตอนที่ผมบอกครอบครัวว่าผมเป็นเกย์ ตอนนั้นมีปู่คนเดียวที่ไม่ก่นด่าผมหรือคาดคั้นผม มีแค่ปู่เท่านั้นที่เดินเข้ามาหาผมแล้วบอกผมว่า
“กวินทร์ไม่ว่าแกจะเลือกอะไร ปู่ก็จะยังรักแก...”
และก็เป็นปู่อีกนั่นแหละที่ทำให้ครอบครัวของผมยอมรับตัวผมแบบนี้ได้ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีแค่ปู่ที่เข้าใจ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว
ปู่เข้าใจผมเพราะปู่ก็เหมือนผม ปู่รู้ดีว่าการที่เราแตกต่างมันสร้างเส้นกั้นบางๆ ระหว่างเรากับคนปกติเขา และคนปกติเหล่านั้นก็ไม่อาจยอมรับความแตกต่างของเราได้ด้วยกฎเกณฑ์ที่พวกเขาตั้งขึ้นมาเอง
อย่างที่สองที่ผมรู้คือปู่จะไม่มีวันได้ตอบจดหมายของคนรักของปู่อีกแล้ว ผมแทบไม่อยากนึกเลยว่า ‘เรียม’ คนนั้นเขาจะคิดอย่างไรเมื่อพบว่าจดหมายของตัวเองถูกตีกลับ จดหมายที่เขาเฝ้าเขียนอย่างไม่เคยหยุดทุกเดือน เดือนละฉบับมาเป็นเวลากว่าสี่สิบปี แล้วเขาจะรู้ไหมหนอว่า ‘พรานล่อเนื้อ’ของเขาจากไปแล้ว...
อย่างที่สามที่ผมตระหนักจากการอ่านจดหมายเหล่านั้นคือผมอิจฉาปู่! ผมหลงใหลถ้อยคำที่ ‘เรียม’ ของปู่เขียน ผมหลงรักเนื้อความที่สื่อถึงความรักที่ไม่เคยจางของทั้งคู่ ผมริษยาความรักของทั้งสองเพราะผมไม่เคยรู้จักความรักแบบนี้ ลึกๆ แล้วผมปรารถนาที่จะเจอใครสักคนเหมือนที่ปู่เจอ ใครบางคนที่สามารถเติมเต็มจิตใจของผมได้เหมือนที่ ‘เรียม’ เติมเต็มปู่
“พรานล่อเนื้องั้นเหรอ...” ผมเอนตัวลงนอน ปล่อยให้เสียงเพลงขับกล่อมไปเรื่อยๆ พลางฮัมเพลงไปมาในหัว แล้วผมก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นมานั่งและหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านตรงฉายาที่เรียมคนนั้นตั้งให้ปู่ ผมระเบิดหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่อยู่
“เรียมของปู่นี่สุดยอดเลย! เขียนจดหมายรักให้แต่ดันตั้งฉายาปู่ว่าพรานล่อเนื้อ นี่เขาจะตัดพ้อหรือเหน็บว่าปู่ชอบเล่นตัวกันแน่เนี่ย!”[/font][/size]