JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้  (อ่าน 1483 ครั้ง)

ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้
« เมื่อ19-05-2017 21:13:22 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

**********************************************



ทักทายกับผู้เเต่ง

สวัสดีครับ ผมชายที่ใส่เเว่น เเต่นามเเฝงขอใช้ว่า MARAM นะครับ เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องเเรกที่ตั้งใจ (ดองไว้นาน) มาก กว่าจะกล้าเอามาลงในเว็บนี้ 5555 พลอตเรื่องอาจไม่หวือหวาเท่าไหร่ เเต่กุมใจผู้อ่านที่น่ารักได้เเน่นอนครับ  นิยายเรื่องนี้ได้เเรงบันดาลใจจากเพลงๆ นึงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักสักเท่าไหร่ ของวง Armchair ครับ เพลงนี้ชื่อเพลง เเค่เรา เนื้อหาพูดถึงการตัดสินใจเรื่องความสัมพันธ์ของคนสองคนว่าจะทำยังไงก็มี "เเค่เราที่รู้" ซึ่งผมกำลังคิดพลอตได้เพราะเพลงนี้เเหละครับ เรืยกได้ว่า นี่เป็นเเกนหลักของเรื่องเลยทีเดียว ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ จะทำให้เต็มที่ครับ

เเต่ถ้าอยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง ต้องอ่าน ครับผม!

ปล.นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับ บุคคล สถานที่ หรือ สมาคม ใดๆที่มีอยู่จริง หาก ชื่อของตัวละคร หรือ ชื่ออื่นๆ ดันไปตรงกับชื่อของ บุคคล สถานที่ หรือ สมาคม ใดเข้าถือว่าเป็นความบังเอิญทั้งสิ้น

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2017 23:06:48 โดย Manwithglasses12 »

ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
INTRO

   “ไอ้เค มึงว่าไงนะ พรุ่งนี้วันส่งรายงานเหรอ!!”

   เสียงอุทานของ “อาม” ดังลั่นห้อง จนทุกคนต้องหันมามอง แต่เขาไม่สนใจ เพราะสิ่งที่ทำให้เขาต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ มันสำคัญกว่าสายตาของคนอื่นอีก ตัวเขาเองก็เอาแต่เล่นมือถือตอนที่อาจารย์ไม่สอน และปกติแล้วงานวิชานี้ ต้องส่งวันที่มีคาบ ซึ่งยังเป็นเวลาอีกสองวัน แต่ทำไมถึงเป็นวันพรุ่งนี้เขาไม่เข้าใจสักนิด?

   “จะเสียงดังทำไมวะ แค่นี้คนเขาก็รู้หมดแล้ว”

   “เค” เด็กหนุ่มเจ้าของคำบอกเล่าที่ทำให้เด็กหนุ่มสติแตก ทำหน้าเซ็งๆกับเพื่อนของตัวเอง ไม่นึกว่ามันจะตกใจถึงขนาดเสียงดังลั่นขนาดนี้ เขาน่าจะบอกตอนเย็น จะได้ไม่มีใครหันมามอง เขาอาย  จริงๆการเป็นเพื่อนกับคนที่เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียร์เตอร์ขนาด1นี้ มันก็ไม่ได้แย่หรอก แต่เวลามันลืมกินยาทีไรนี่สิ แทบอยากจะเอาดินสอให้มันคาบทั้งชั่วโมง

   “ต้องเสียงดังสิ กูยังไม่ได้ทำเลย” เด็กหนุ่มยิ้มแทนคำตอบ รู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาทันที
   “อ้าว กูว่าไอ้เอยมันก็บอกในกลุ่มแล้วนะ แต่...” เขาหยุดพูดแล้วหันมายิ้มอย่างน่าสะพรึง
   “มึงมันไม่เอากลุ่มนี่หว่า”

   “เออดิ แค่อยู่กลุ่มของพวกมึง ไลน์กูก็เด้งเป็นจังหวะแซมบ้าแทบทุกสิบนาที จนกูต้องปิดแจ้งเตือน แล้วใครจะไปรู้วะ ว่ามันจะปิดไปหมดแบบนี้วะ” อามกอดอกคิดหนักกับเรื่องที่ตัวเองได้กระทำลงไป เขายอมรับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่เขารำคาญ คือ ตอนแรก ปกติตอน ห้าหกทุ่ม พอเขาเล่นเกมเสร็จกำลังจะนอน ต้องมีเสียงไลน์เข้ามาตลอด ไอ้เขาก็คิดว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญมากถึงขนาดต้องแชทตอนเที่ยงคืน แต่พอกดไปดูน่ะเหรอ

   “นอนหรือยังทุกคน ฝันดีจุ๊บๆ”

   กูจะไม่ได้นอนเพราะมึงนี่แหละ เขาคิดในใจ หลังจากนั้นเขาก็ปิดการแจ้งเตือนทุกอย่าง เอาไว้ตัวเองอยากเข้าไปดูเมื่อไหร่ก็ค่อยเข้าไป แต่กับแชทเพื่อน อามจะไม่ปิด เพราะถ้ามีการแจ้งเตือน คือมีเรื่องสำคัญ ไม่ก็มีเรื่องที่อยากจะคุยจริงๆมากกว่า
 
   แบบนี้มันเรียกว่าจังหวะนรกดีมั้ย?

   “อย่างมึงน่ะ ทำงานคู่กับไอ้ปืนไม่ใช่เหรอจะซีเรียสไปทำไมวะ” เคเหลือบหันไปมอง “ปืน” ที่กำลังกดมือถืออยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มที่กำลังทำตัวไม่ถูก เขาไม่ได้ทำงานคนเดียวสักหน่อย

   “เออว่ะ...” เขาคิดได้ หันมาพูดกับคนข้างๆ “มึง เซฟไฟล์ไว้ใช่ป่ะ แฟลชไดร์ฟที่ให้ยืมไป”

   “ไม่ว่ะ พอดีขี้เกียจทำ”

   คำตอบกวนประสาทสร้างความโมโหในใจให้กับเด็กหนุ่มมาก ไอ้คนก็อุตส่าห์ให้ยืมแฟลชไดรฟ์ไปเซฟงาน แต่กลับไม่ได้เซฟ แล้วมันเอาไปทำอะไร อามพยายามคุมสติให้ได้ แม้มันจะมีน้อยเต็มที ยิ้มออดอ้อนปืนทั้งที่ในใจอยากจะ...ไม่บรรยายดีกว่า

   “อย่าล้อเล่นดิวะ ไม่เห็นเหรอ ว่าไอ้เค มันก็บอกว่าเราต้องส่งงานพรุ่งนี้”
   “แล้วไง...”

   ผึง!
   เส้นความอดทนขาดสะบั้น พร้อมกับเสียงตบโต๊ะดังต่อจากนั้น รอยยิ้มที่พยายามฝืน กลับกลายเป็นการกัดฟันจนแทบจะกลืนไปกับปากของตัวเอง

   “แล้วไงเหรอ!” อามหยิบมือถือแย่งมาจากมือของปืนโดยที่ปืนไม่ทันตั้งตัว
   “อะไรของมึงเนี่ย เอามาดิ”
   “กู จะ ยึด มือถือ จนกว่ามึงจะทำงาน”

   “มีสิทธิ์อะไรวะ?” ปืนทำหน้างงๆพลางเกาหัว แต่กลับทำให้เด็กหนุ่มโมโหขึ้นไปอีก
   “สิทธิ์ในการทำงานคู่ไง หรืออยากจะให้กูตัดชื่อมึง แล้วให้ ติด ร ล่ะ!”

   ปืนมองเด็กหนุ่มที่กำลังโวยวายใส่เข้า ในใจก็รำคาญ แต่คิดว่าปล่อยๆไปแบบนี้แหละ เดี๋ยวพอบ่นจนเสร็จ เด็กหนุ่มก็คืนมือถือให้เอง เขารู้นิสัยเพื่อนคนนี้ดี ก็มันเพื่อนสนิทเขานี่นา จะกวน จะด่าอะไรก็ได้ เเละอีกอย่างเขาอยากจะเห็นคนตรงหน้าตอนที่โมโหสุดๆ

   มันตลกดี...

   “มองไรวะ”
   “มองคนบ้า”
   “เออ กูอ่ะบ้า แต่จะบ้ามากกว่านี้ ถ้ามึงไม่ทำงาน...”

   ผัวะ!

   อามหัวทิ่ม หันไปมองคนที่เอามือมาฟาดหัวเขาอย่างแรง สีหน้าเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

   “เงียบหน่อยดิ รำคาญ”

   “โล่” เจ้าของเสียงและเป็นศัตรูคู่อาฆาตของอามตอบอย่างเบื่อ ไอ้เสียงมันนี่ทำให้เขาที่กำลังหลับต้องตื่นมาอยู่เรื่อย ไม่รู้ทำไม แต่มันน่ารำคาญโคตรๆ ยิ่งตอนที่โวยวายนะ ยังกับคนกินยาไม่เขย่าขวด สงสัยอยากจะโดนกระทืบมากเลยสินะ ทำตัวโง่แล้วยังงี่เง่าอีก ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมากมั้ย

   “มึงอ่ะเสือกไร นอนไปดิ” เมื่อเห็นหน้าอามก็ไม่รอช้าที่จะพูดตรงๆปนกวนตีนเข้าไปหน่อย

   “ก็เพราะมึงเนี่ยแหละ ทำให้กูไม่ได้นอน เเหกปากอยู่นั่นเเหละ”

   “ใส่หูฟังดิ ไม่ได้อยากให้ฟังสักหน่อย” อามตอบพลางหยิบมือของอริออกจากหัวอย่างรวดเร็ว

   “บอกดีๆ ทำไมต้องกวนตีนด้วยวะ”

   “ก็คนที่พูดมันไม่น่าพูดดีด้วยไง โง่ป่ะ”

   เด็กหนุ่มร่างโตได้ยินแบบนั้นก็จับคอเสื้อของอามทันที อามจับคอเสื้อไว้ไม่ให้ถูกดึงจ้องหน้าตอบ แต่แรงของคนตรงหน้ามันก็เยอะกว่าจริงๆ "ม่อน" เห็นเพื่อนท่าไม่ดีรีบเดินเข้าไปดึงโล่ให้ออกห่างจากอาม แต่ถูกสะบัดออกจนล้มกับพื้น

   “เก่งแต่ปากนะมึง ตัวสั่นเลย”
   “กูไม่ได้เก่งแต่ปาก...”  เขายิ้มก่อนจะใช้จังหวะที่โล่กำลังนิ่ง ใช้หัวตัวเองโขกกับปากคนตรงหน้า

   โป๊ก!

   โล่เซล้มไปตามแรงที่โดนอามโขก ม่อนจับล็อคไว้ได้พอดี อามลูบหัวมึน จากแรงกระแทกเมื่อกี้ทำให้เขาเองเสียการทรงตัวเหมือนกัน  เขาจึงนั่งลงกับเก้าอี้แล้วไปซบกับไหล่คนข้างๆทันที เขาเงยผ่านไหล่เห็นหน้าเพื่อนสนิทตัวเองชัดเจน จนอึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็รู้สึกตัวเมื่อได้ยินคำพูดของคนที่มองตัวเองด้วยสายตาหวานฉ่ำประหนึ่งพระเอกในหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง

   “อ่อยเหรอ?”
   “อ่อยเชี่ยไรล่ะ” อามรีบดึงตัวขึ้นก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นโกรธอีกครั้ง
   “ค่อยเคลียร์เรื่องของมึงทีหลัง  ตอนนี้ขอเอาคนเสือกก่อน”

         อามยกหมัดเตรียมจะต่อยคนที่โดนเพื่อนล็อค

   “หยุด!”
   “เอย” หัวหน้าห้องผมสั้น เป็นเจ้าของเสียงห้ามนั้น

         เเละทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน.....

*******************************************

   “เซ็งเว้ย ทำไมกูไม่ต่อยหน้ามันไปก่อนที่ไอ้เอยจะห้ามวะ” อามบ่นขณะกำลังเก็บของใส่กระเป๋าจะกลับบ้าน และแน่นอน ไม่มีการต่อสู้อะไรทั้งนั้น หัวหน้าห้องยุติเรื่องทั้งหมดด้วยประโยค ประโยคเดียว

   “ถ้าไม่หยุดทะเลาะ กูจะเอาเอ็นซีของมึงกับไอ้โล่ ไปโปรยแจกให้ห้องอื่นอ่านเลยแม่ง!!”

   แค่นั้นแหละ ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติ แต่ที่เขายังไม่ปกติคือ เขาต้องรีบกลับไปทำรายงานให้เสร็จ พอคิดๆดู ก็นึกโมโหคนที่เพิ่งมีเรื่องกับเขา เขากำลังจะพูดคำชี้ขาดกับปืน ถ้ามันไม่เข้ามาเสือกก่อน ป่านนี้คงได้พูดแล้ว ให้ตายเหอะ ตั้งแต่มาอยู่โรงเรียนนี้มีแต่เรื่องวุ่นวาย ดีนะ มีเพื่อนเยอะ คอยช่วยงานอยู่ ไม่งั้นนะ ต้องกลายเป็นคนที่สังคมไม่เอาแน่ๆ เขายิ่งเกลียดการถูกเมินอยู่

   “วันนี้พวกกูจะไปเกะกันไปป่ะ” “กอล์ฟ” เพื่อนร่วมห้องและในกลุ่มแมนๆคุยกันมาเรียกเด็กหนุ่ม
   “ไปพ่องสิ งานพวกมึงเสร็จแล้วเหรอ”
   “ชิลๆ เดี๋ยวกูค่อยส่ง” “เติ้ล” ตอบแบบชิลตามประสาคนที่มีเกรดไม่แย่มากนัก อามเเอบเบ้ปาก
   “เออๆ ขอบใจที่ชวน แต่กูต้องกลับไปทำรายงาน”
   “งั้นเดี๋ยวจะถ่ายรูปลงเฟซบุ๊คให้”

   “ไม่ดูเว้ย!!” ทั้งสองคนเดินออกไป ทิ้งให้อามอยู่กับห้องกับคนไม่กี่คน

   อามมองตามขำๆ สองคนนั้นเป็นเหมือนตัวคอยปรับอารมณ์ในกลุ่มไม่ให้มันเครียดเกินไป แต่มุขส่วนใหญ่ที่มันเล่น ชวนจะไล่กระทืบมากกว่า แถมพวกเขายังชอบแซวผู้ชายว่าแอบคบกัน สร้างความรำคาญกับอามมาก เขาไม่ได้รังเกียจ แต่ว่าถ้าไม่จริงอย่าเล่นก็แค่นั้น นี่มันสมัยไหนแล้ว คนอย่างเขาน่ะเหรอ เรื่องคบกันยังอีกนานเลย

   “วันนี้มึงต้องไปบ้านกับกู” อามวางมือถือบนโต๊ะคนข้างๆ เขารีบหยิบหันมามอง
   “ถ้าไม่ไปล่ะ?”
   “รู้อยู่ไม่ใช่รึไง ร เรือออออ” เด็กหนุ่มกระดกลิ้นใส่จนน้ำลายเเทบกระเด็นใส่หน้า

   เขาไม่อยากใช้ไม้นี้ แต่ทำไงได้ปืนเป็นคนที่ค่อนข้างเดาการกระทำได้ยากสำหรับเขา นี่เขายังสงสัยเลยว่ามาคบมาสนิทกันได้ยังไง โดนกวนประสาททุกวัน แถมยังไม่ค่อยจะชอบทำงานอีก อาจารย์สั่งงานทีไรก็มาขออยู่กลุ่มเดียวกันบ้าง คู่เดียวกันบ้าง เรียกได้ว่าเป็นคู่จิ้นประจำห้องเลยก็ว่าได้

   “เจ้าเล่ห์จริงนะ”
   “คนอย่างมึงอ่ะ มันต้องเจอกู”
   “แน่ใจ”
   “ไม่งั้นจะทนอยู่กับมึงได้ไงเนอะ...”

   อามตบไหล่ปืนก่อนจะเดินออกไป ถึงจะด่าสักแค่ไหน แต่ที่เขาทำก็เพราะเขาหวังดีและหวังคะแนน...นั่นเเค่ของเเถมเฉยๆ

   ปืนนั่งกดมือถืออยู่ในห้อง กดเข้าไปดูในเฟซบุ๊คของตัวเอง...เลื่อนดูโพสต์ย้อนหลัง

   “17 แล้วนะมึง เลิกมึนได้แล้ว”

   คำอวยพรที่ไม่เหมือนใครแบบนี้ สำหรับเขา มีแค่คนเดียว ไม่ต้องมีคำว่า สุขสันต์วันเกิดนะมึง HBD นะเว้ย หรืออะไรให้มากมาย เหมือนคนอื่น เขาชอบแบบนี้มากกว่า มันดูกวนๆ แต่ก็จริงใจดี แต่ถ้าจะให้เขาเลิกมึนน่ะเหรอ คนอย่าง นายปราวุธน่ะ ทำไม่ได้หรอก ตราบใดที่ต้องอยู่กับคนบ้าอย่างนายอาวุธ ตัวจริงของเขามันก็เป็นแบบนั้นแหละ เดาอะไรไม่ค่อยออก เหมือนที่อามชอบบ่นให้ฟังแทบทุกวันจนเฉยเเล้ว ที่เขากวนประสาทเมื่อตอนบ่าย เป็นแผนของเขาเอง แฟลชไดรฟ์ที่ได้รับจากอาม เขาเอาไปเก็บข้อมูลสำหรับทำงานไว้เรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ และแบ่งเอาไปใส่ไว้ใน One drive ที่เก็บเอกสารของไมโครซอฟต์เข้าบัญชีตัวเองเรียบร้อยแล้ว เวลาอยากจะเอางานอะไรมาค่อยไปกด ค่อยไปปริ้นท์ สะดวก สบาย เด็กหนุ่มเก็บมือถือตัวเองแล้วเดินออกจากห้องไป แต่เขาไม่บอกหรอกนะ...

        งานคู่มันก็ต้องไป “ทำด้วยกัน” ที่บ้านสิ...



ขออนุญาตชี้เเจง

1.เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 2015 นะครับ เพราะงั้นเรื่องลักษณะเเวดล้อมรอบๆจะไม่เหมือนปีปัจจุบันครับ
2.เหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น
3.นิยายหลักเป็นมุมมองของอาม (ตัวเอกเเละนายเอกนะครับ) เเต่เปิดเรื่องด้วย บุคคลที่สามก่อน ต่อไปจะเข้าเนื้อเรื่องหลัก
4.เเฮชเเท็ก #เเค่เราที่รู้ หากใครสนใจจะเล่นหรือพูดคุยอะไรในทวิตเตอร์ มาเเชร์ด้วยกันนะครับ
5.ปืนเป็นเพื่อนสนิทของอาม เเต่จะมากกว่านั้นหรือเปล่านะ



ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
JUST 01. CLOSE-FRIEND

คำว่า เพื่อน กับ สนิท มันมีเส้นกั้นอยู่บางๆ

“กริ๊งงงง!!!”

ผมลืมตาลุกขึ้นกึ่งนั่งบนเตียง มองไปที่นาฬิกาเจ้าปัญหาที่ดังอยู่ข้างๆ แล้วเอื้อมไป กดปิด ก่อนจะนอนต่อ แต่แล้วผมก็ต้องชะงักเมื่อขยับตัวได้สักพัก เหมือนมีบางอย่างอยู่ใกล้ๆข้างๆผม ผมมองนิ่งอยู่สักพักก่อนจะดึงผ้าห่มออก...ชัดเลย เด็กผู้ชายที่กำลังนอนข้างๆผม กำลังใช้มือคว้าร่างที่นั่งอยู่โดยหมอนข้างที่กั้นระหว่างกันไว้ แต่เมื่อมันหาที่จับได้มันก็ใช้แรงดึงอย่างรวดเร็ว จนผมลงไปนอนกับมันด้วย

“นิ่มจังเลยวะ หมอนข้างใช่รึเปล่า” มันกอดผมที่กลายสภาพเป็นหมอนข้างขนาดย่อม ผมยิ้มก่อนจะใช้เท้ายันมันออกห่างอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถต้านแรงของคนที่กำลังกอดได้ แรงควาย ไม่มีคำว่ายอม “ไอ้หมอนข้างนิ่มๆจะเตะไข่มึงให้แหลกเลย” ก่อนยิ้มร้ายก่อนจะยกขาที่นอนราบไปกับร่างของมัน ฟาดลงไปอย่างเเรง 

ฟุ่บ!

ไม่มีเสียงอะไรตอบ นอกจากใบหน้าที่บิดเบี้ยวของคนที่โดน ก่อนจะผ่อนแรงที่รัดผมไว้จนผมออกจากอ้อมกอดนั่นได้ ก่อนจะหยิบหมอนข้างที่อยู่ฝั่งผม ฟาดไปที่หน้ามันทันที

“นี่ของมึง…เอาไป!”

เหมือนการฟาดอย่างเดียวไม่พอสำหรับผม เลยจะปาหมอนใส่ด้วย แต่..

“กริ๊งงง!!” เสียงนาฬิกาเตือนผมอีกครั้ง มาดังอะไรตอนนี้วะ “โชคดีนะมึง” ผมมองใบหน้าที่กำลังทำหลับอย่างไม่สนใจ ยิ้มอีก โรคจิต ส่ายหน้าหันไปหยิบมันจะกดปิดอีกรอบ แต่ทว่า..เข็มมันชี้ที่เลข 7 ก็หมายความว่า

“เชี่ยแล้วววววว!!!!” ผมหน้าตื่น

“เชี่ยไรมึง”

“กะ ก็...!”

ผมหันไปบอกมัน แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อคนที่เกือบจะโดนผมวิสามัญฆาตกรรมด้วยหมอนข้างดันลุกขึ้นมาอยู่ข้างหลังผมพอดี หน้าจะปะทะหน้าเลยที่นี้ แต่ผมรีบบอกกับมัน

“สายแล้วไง เก็บที่นอนเดี๋ยวนี้! ไปอาบน้ำก่อนล่ะ” ผมจะรีบวิ่งไปห้องน้ำ แต่โดนมันคว้าแขนไว้ สายตาที่กำลังรีบร้อนหันมามองทันที มันถามผมท่าทางกวนประสาท อยากโดนอีกใช่มั้ย

“ทำไมต้องเก็บด้วย...” จะนอนอยู่อย่างนั้นใช่มั้ย

“เออน่า เดี๋ยวอาบเสร็จ กูมาช่วยเก็บ มึงจะได้อาบต่อ จะได้รีบไปแดกข้าว”

“ไม่เอา ถ้าจะอาบก็ต้องเก็บด้วยกันก่อน อย่าขี้โกง”

“แม่งอะไรกันนักหนาวะ กูไม่อยากโดนเช็คสายนะ”

อยากจะบีบคอมันจริง ดูเวลาแล้ว แค่จะจับคอเสื้อ ยังมากเกินไปด้วยซ้ำ บ้านผมอยู่ไกลจากโรงเรียนประมาณ 20 นาที โรงเรียนเข้า 7โมงครึ่ง แล้วคิดดูว่านี่ 7 โมง 10 นาทีแล้ว พอจะสะบัดแขนมันก็จับเอาไว้ซะแน่นเลย แม่งเป็นปลิงรึไง...

“....หรือจะให้อาบน้ำพร้อมกับมึง”

มันมองหน้าผมพร้อมๆกับทำตาเจ้าเล่ห์มองที่ผม ยอมก็ได้ว่ะแม่ง เก็บที่นอนกับมัน แต่อาบน้ำแยกห้องกับมันนะ แต่งตัวอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึง 5 นาที ก่อนจะรีบลงไปที่โต๊ะกินข้าวห้องครัว ที่แม่กำลังทำกับข้าวอยู่ แม่หันมาเห็นผมกับมันพอดี เลยทักผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“มาเร็วลูก เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน” ผม ชื่อ “อาม” ครับ เรียนอยู่โรงเรียนมีชื่อของเขตดังในกรุงเทพ ปีนี้ก็อยู่ ม.5 แล้ว ภายนอกดูบ้าๆ ไปนิดหน่อย ผมนั่งลงกับโต๊ะ แม่เดินมาที่โต๊ะก่อนจะวางขนมปังที่อบเสร็จใหม่ๆ บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบอกกับไอ้คนข้างๆผมที่มานั่งลงตามอย่างเป็นกันเอง

“ปืน เป็นไงลูกเมื่อคืนทำงานดึกมั้ย เดี๋ยวเช้านี้กินเยอะๆน่ะ” อะไรกันนี่แม่ผมพูดกับมันมากกว่าที่คุยกับผมซะอีก อ้อ! ไอ้กวนประสาทนี่ “ปืน” เพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนสนิท(รึเปล่าไม่รู้ของผม) แต่รู้จักกันมาปีนึงก็สนิทพอตัวอยู่ แต่ที่สนิทน่าจะเป็นแม่ผมมากกว่านะ ดูจะถูกชะตากับมันมากจนเรียกเป็นลูกอีกคน โห่ แม่ ลูกอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะ เอาใจมันจัง หมั่นไส้โคตรๆ

“ก็นิดหน่อยครับ แต่ได้ไอ้อามงานเลยเสร็จไว้หน่อย”

มันเหลือบมามองผมที่กำลังหยิบขนมปังบนโต๊ะยัดเข้าปากอย่างไม่อายใคร ผมเลยส่งเสียงเเละสายตาไปหามันพร้อมกับส่งเสียงทั้งๆที่มีอาหารในปาก มองอยู่ได้ กินอะไรก็กินไปดิ เเม่งมากินทั้งข้าวเย็น ข้าวเช้า ไม่กินข้าวเที่ยงเลยล่ะ!

“อะไอ?”

“เปล่า”

มันพูดแค่นั้นก็ยิ้มหยิบขนมปังกินบ้าง ก็ไม่สนใจมันสักเท่าไหร่หรอก เพราะว่ากำลังอร่อยและก็รีบด้วย แต่ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมมันถึงมานอนบนเตียงด้วยได้ ทั้งๆที่ก็ให้มันนอนพื้นแล้วนะ ขอคิดแป๊บนึง

คิดออกแล้ว! เมื่อคืนผมนั่งพิมพ์งานในห้อง ส่วนไอ้ปืนนั่งเล่นเกมโทรศัพท์อย่างเมามัน ผมรู้สึกเซ็งไม่พอใจที่อยู่คู่กันแล้วไม่คิดจะช่วยงานบ้าง เคยด่ามันว่า เดี๋ยวกูจะตัดชื่อมึงออก! กูเอาคะแนนคนเดียว เอามะ แต่เนื่องว่าผมก็ยังมีสำนึกของการเป็นคนดีอยู่ (อวยตัวเองสุดๆ) จึงหันมาเรียกมันที่อยู่บนเตียงให้มาช่วย

“เฮ้ย มึง! มาช่วยกูดูดิ ว่าไอ้ข้อมูลตรงนี้ควรเป็นไง”

ขอโทษเค่อะ ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่กำลังเรียกในขณะนี้ โปรดเรียกใหม่เค่อะ (โอเปอร์เรเตอร์น่าตบฉิบหาย)

เพราะมันยังเล่นเกมของมันอยู่ อย่างน้อยก็น่าจะบอกนะ ว่ากำลังจะผ่านด่าน กูจะได้เข้าใจ เพราะเวลาแม่ผมบอกให้หยุดเล่น ก็พูดแบบนี้ ถุยเหอะ! ผมหันกลับไปพิมพ์ต่อ แต่แล้วผมก็รู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่ข้างหลังผม โดยไม่ทันสังเกต ผมหันไป

“เฮ้ย!”

“เฮ้ย!” ผมอุทานพร้อมๆกับหันมาถีบมันจนกลิ้งไปลงกับเตียง โชคดีนะที่เตียงกูนุ่ม แต่ว่าเห็นสภาพของไอ้คนที่ไม่สนใจอะไรถูกถีบแบบนี้ มันก็สะใจดีวะ หายโมโหแล้ว ก็นั่งพิมพ์งานต่ออย่างสบายใจ มันลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะมายืนข้างๆผมพลางจับไหล่อย่างสนิทสนม ผมจับออก มันก็ทำหน้าเซ็งๆ

“มึงนี่นะ ตีนหนักเหมือนปากเลย”
“เออดิ คนทำงานเสือกมากวน เดี๋ยวมีเป็นคอมโบอีกนะ” ผมหันไปชี้หน้ามันก่อนจะพิมพ์ต่อ

“ก็มาช่วยมึงแล้วไง มะ กูจัดเอง!” มันเข้ามาวางมือบนเมาส์ที่มีมือผมวางซ้อนไว้อีกที ผมเอามือออกอย่างรวดเร็ว แม่งไม่ดูเลยเหรอวะ ว่ามือใครอยู่ ก่อนจะนั่งดูมันจัดการตรงนั้นตรงนี้ นี่ถ้ามันไม่เก่งนะ ผมคงไม่ด่ามันหรอกที่ไม่ช่วยงาน จนกระทั่ง บรรณานุกรมเสร็จ ผมก็ตาค้างด้วยความอึ้งปากค้าง มันต้องมาหุบ

“เสร็จแล้ว”

“ทะ..ทำได้ไงวะ”

“อ่อนหัด มีความตั้งใจแต่ก็...”

มันทำมือก่อนเว้นคำพูดก่อนจะก้มลงยื่นหน้ามาที่ผม “อ่อนหัด!”

ผัวะ!

ชกเข้าให้ ถึงจะพิมพ์งานช้า แต่เรื่องหมัดผมเร็วนะ อย่าเผลอแล้วกัน

“อะไรวะ เอะอะก็ต่อยกู ไม่น่ารักเลย”

“เออดิ ไม่กระทืบให้ก็บุญแล้ว แล้วเลิกพูดแบบนั้นซะที แหกตาดูบ้างว่ากูเป็นใคร”

ดูมัน ล้อเลียนดึงหนังตาให้เปิดเเล้วมองผม กวนตีน!

ผมหันกลับไปเซฟงานจะปิดเครื่อง แต่มันก็ห้ามผมไว้ก่อน ผมคิดว่า ถ้ามีบางจุดยังไม่เสร็จ มันอาจจะแก้ไขให้ แต่ที่ไหนได้ มันกลับเลื่อนเมาส์ไปที่ไอคอนเกมที่ผมลงไว้ พร้อมๆกับหันมายิ้มให้

“ขอเล่นเกมหน่อยดิ ไหนๆงานก็เสร็จแล้วอ่า”

ผมที่กำลังจะกระตือรือร้นเรื่องงานได้ยินเข้าไปแทบเดือดเป็นไฟยกหมัดขึ้น “มึงนี่นะ....”

“เที่ยงคืน มึงยังจะเล่นเกมอีกเหรอ!!! มึงแหกตาดู ที่มึงทำก็แค่จัดหน้า กูยังต้องเช็คข้อมูลอีก ถ้าจะเล่น ไปบ้านมึงนู่น!”

ไม่ต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน....นั่งจ๋อยเลยครับ

ผมปิดคอมหลังจากที่จัดการมันเสร็จ ก็ไปที่เตียงก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัว แต่แล้ว ไอ้ปืนที่นั่งสงบดูจะทนหมัดทนตีนผมนี่ ค่อยๆมายืนข้างๆพร้อมกับดึงผ้าผมออกจนตัวผมแทบกลิ้งไป ทำหน้าแปลกใจ

“จะให้กูนอนไหน?”

“นอนพื้นไง ปูให้แล้ว สบายสุด”

ผมชี้ไปที่ๆมันเหยียบอยู่ พลางหลับตาจะนอน ง่วงมากเลยครับ แต่แล้ว ผมก็รู้สึกเหมือนเตียงมันหนักขึ้น มันลักขึ้นบนเตียงแน่ๆ แต่เรื่องอะไรผมจะยอมก็ นี่มันเตียงผม เตียงรูปโดราเองม่อนสีฟ้าน้ำทะเล ใครก็ห้ามมายุ่ง แล้วมันก็นอนพื้นตลอดเวลามาที่บ้าน แต่จะมาฝ่าฝืนมันไม่ง่ายหรอก

“ขยับไป” ไอ้ปืนเอาเท้ามาเขี่ยผม ผมมองมันด้วยสายตาอาฆาต บังอร! เอ้ย บังอาจ!

“ลงไปเดี๋ยวนี้” ผมยื่นคำขาดพร้อมกับเพ่งมองหนักกว่าเดิม

“ง่วงแล้ว” ถ้ามันฟัง มันคงไม่ทิ้งร่างตัวเองลงแล้วก็นอนลงหรอกนะ

“นับ 1” ผมยกนิ้วขึ้นมา แต่ไอ้ปืนหันไปอีกด้านของเตียง นอนหันหลังให้ผม

“ง่วงจริงๆเว้ย” ไอ้ปืนงอแงใส่ จะทนไม่ไหวแล้วนะ

“2” มันดิ้นบนเตียงไปมาบอกผม ผมค่อยๆยกเท้าขึ้นมา

“หลับแล้วนะ”

ยัง ยังไม่หยุดอีก

“3!”

มึงตายยยย!!!


ผมเตรียมจะถีบให้ตกเตียง แต่ดูท่ามันจะรู้ทัน เลยกระโจนโถมมาทับตัวผมในผ้าห่มทันที หายใจไม่ออก ตัวแม่งโคตรหนักแถมรู้สึกเหมือนหน้ามันอยู่ไม่ใกล้หัวผมด้วยซ้ำ ดีที่ผ้าห่มมันกันเอาไว้ ไม่งั้น..เชี่ยยย ขนลุก

“ไม่เอา มีที่นอนแล้ว ขอนอน”

“มึงตลกเหรอ กูหายใจไม่ออก”

“นอนบนตัวมึงก็ได้”

พูดบ้าอะไรของมัน ลงไป!!

“สัส! ลงไป!”

ผมใช้แรงผลักมันออกจากในผ้าห่ม แต่มันก็กดแน่น จนไม่ได้ผล

“นอนไปดิ” แม่งมันมึนหรือว่าหน้าด้านวะเนี่ย คนด่ายังจะอยู่ 

ผมถอนหายใจก่อนจะยอมมันในที่สุด

“เออ ก็ได้ ลงมาก่อน แล้วมึงนอนข้างๆกูได้ แต่...”

“แต่ไรอีก” มันพูดพลางขยับตัวไปมา จนผมได้แต่เอามือค้ำไว้

“ช่วยเอาหมอนข้างมากั้นด้วย จะได้แน่ใจว่ามึงจะไม่ทำอะไรกู”

“กูจะทำอะไรมึง แต่ก็ไม่แน่นะ" มันมองหน้าผม "บางที...กูอาจจะลักหลับมึงก็ได้” ผมจับเเขนตัวเอง เชี่ย..

“กูบอกลงไปจากตัวกู!”

ได้ผลครับ มันลงไปจากตัวผมแล้วก็ไปนอนข้างๆตามที่ผมบอกก่อนที่เอาหมอนข้างมากั้นระหว่างผมกับมันไว้ พร้อมๆกับห่มผ้าห่มผืนเดียวกัน แต่มันก็พูดบางอย่างกับผม

“ฝันดีนะ มึง”

ผมไม่พูดอะไรนอกจากแกล้งหลับ เมื่อแน่ใจว่ามันหลับผมก็เปิดผ้าห่มออกมา หันไปมองมันที่นอนอยู่ไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะหลับตาม...แล้วก็มาถึงตอนนี้แหล่ะ

“อิ่มแล้วครับ” ผมสะกิดไอ้ปืนที่อาหารยังอยู่ในปาก

“ไรวะ กูยังไม่อิ่มเลย”

“งั้นก็เชิญรับประทานให้อร่อยเลยน่ะครับ” ผมพูดอย่างสุภาพทั้งๆที่ใจจริง

“แดกให้ตายไปข้างนึงเลยน่ะ! ไม่ต้องไปเรียน”

แต่แม่อยู่ไงครับ เดี๋ยวโดนด่า ผมรีบเดินออกไปก่อนที่มันจะรู้ซะอีก มันลุกจากโต๊ะถือกระเป๋า เดินตามผมออกมาที่หน้าบ้าน บ้านของผมเป็นบ้านพอมีฐานะ แต่ก็ไม่เท่าไอ้ปืนมันหรอก ลูกของนักธุรกิจ บ้านใหญ่กว่าเยอะ ผมเคยไปครั้งนึง แม่โจ้! บ้านผมไม่ต่างกับกระท่อมเลยถ้าให้เทียบ ช่างเหอะ ผมไม่สนเรื่องฐานะหรอก ผมมีชีวิตอยู่ได้เพราะพ่อแม่ ผมจะไม่ลืมฐานะตัวเองหรอก มันบ่นอีก

“อะไรวะ แค่นี้งอน”

“งอนเชี่ยไร ก็บอกให้มึงกินให้อิ่ม”

“แต่เห็นหน้าก็รู้ว่าเมียงอน”

ผมจ้องหน้ามันเขม็งทันที เอาอีกเเล้ว ไอ้คำนี้

“ใครเมียมึง กูผู้ชาย และกูก็ชอบผู้หญิงเว้ย”

“ไม่รู้สิน่ะ มึงกับกูสนิทจนได้ชื่อว่าผัวเมียประจำห้องเลยนะ” มันพูดข้างหู ผมยกหมัดขึ้นมา มันถึงถอยออก ใช่ครับ คือในห้องของผม มันมีหัวหน้าห้องคนนึงมันคิดบ้าๆครับ ว่าถ้าผู้ชายใครสนิทกันมากๆจะให้เป็นผัวเมียซึ่งแบ่งได้ตามประเภทที่จัดไว้ดังนี้

1.ผัวเมียฟรุ้งฟริ้ง สำหรับคู่ที่มีเคมีฟรุ้งกระจาย
2.ผัวเมียแซ่บเวอร์ สำหรับคู่ที่ เล่นกัน “ติดเรต”
3.ผัวเมียละเหี่ยใจ สำหรับ...ไอ้พวกตีกันเเต่เคมีมันได้

แล้วให้ทายว่าผมอยู่ตำแหน่งไหน ...ตามนั้นครับ

“พูดมาก ไปเอามอไซค์มา”

“จ๊ะๆเมีย เดี๋ยวผัวไปเอามาให้”

“ผัวจ๋า อยากกิน TEEN มั้ยจ๊ะ”

ผมยิ้มหวานให้แต่มือชี้เท้าที่เตรียมกระดิกใส่หน้ามันอยู่ จนมันต้องรีบเดินออกไป ให้ตายสิ มีเพื่อนที่สนิทแต่เสือกกวนตีนอย่างกับอะไรดี นี่เหี้ยรึเปล่า! ไม่นานมอเตอร์ไซค์ฮอนด้ารุ่นดังก็ขับออกมาจากรั้วบ้าน ผมรีบกระโดดซ้อนท้ายมัน มันขับออกไปทันที....


ถึงโรงเรียนสักที แต่จากการที่ลืมคำนวณเรื่องเวลาที่บริเวณถนนหน้าโรงเรียนรถจะติดของผม ทำให้รถของมันติดแหงกอยู่ไม่ไกลจากหน้าโรงเรียนครับ ชีวิตโคตรดีเลย

“เชี่ย เอาไงดีวะ จะแปดโมงแล้ว” พลางบ่นมองนาฬิกาบนคอมือตัวเอง เพราะมันตัวเดียว

“บ่นอยู่ได้”

“แล้วเพราะไอ้หมาตัวไหนล่ะ ที่ทำให้ตื่นสาย”

"อย่าว่าหมาดิ มันงง ดูดิ มีตั้งหลายตัว"

ผมจะกระโดดถีบมันเเน่ ถ้ามีเเค่เราสองคน

"ด่ามึงนั่นเเหละ!"

ผมหันไปด่า มันนิ่งไม่พูด หมั่นไส้ว่ะ แม่งทำตัวเป็นคนใจเย็นไปได้ แล้วส่ายหน้า จนสายตาผมเหลือบไปเห็นลานกว้างฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียน ผมรีบชี้ให้มันดู เผื่อว่าจะเอารถไปจอดแล้ววิ่งฝ่าเข้าไปในโรงเรียนได้

“มึงดูตรงนั้น มีที่จอดอยู่”

“จริงดิ”

“เออ หรืออยากโดนเจ๊เกียวเล่นล่ะ”

ชื่อครูปกครองครับ ได้ยินชื่อแล้วใครก็ขนลุกกันทั้งนั้น

“เออว่ะ”

มันรีบขับลอดรถที่ติดพอจะมีทางให้ไปตรงลานจอดตรงนั้น แล้วก็จอดอย่างรวดเร็ว ผมถอดหมวกกันน็อคยื่นให้มัน ก่อนทำท่าจะวิ่งออกไป แต่โดนมันจับมือไว้ก่อน

“อะไรอีก”

“ไปพร้อมกัน”

“ก็ได้”

พูดไม่พูดเปล่า มันรีบจับมือพาผมวิ่งฝ่ารถที่ติดเพื่อข้ามที่ฝั่งประตูโรงเรียน แต่แล้ว...

ติ๊งต๊อง!

เสียงนี้มันทำให้ผมที่กำลังวิ่งอยู่ชะงักก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน ก่อนที่ไอ้ปืนจะปล่อยมือแล้วหันมามอง “เป็นไรว่ะ เหนื่อย?” ผมส่ายหน้าก่อนจะบอกเสียงเรียบว่า

“กริ๊งโรงเรียนดัง เขาเริ่มจับเด็กแล้ว โอ๊ย”

ผมมองประตูหร้าโรงเรียนอย่างเซ็งๆ อีกสักพักจะมีคนที่ทุกคนเคารพรักออกมายืนต้อนรับนักเรียนที่น่ารักทุกคนด้วยการให้วิ่งรอบสนาม นี่ผมโดนเช็คสายอีกแล้วใช่มั้ย! รู้รึเปล่าว่าถ้าสายอีกรอบ กูโดนเรียกผู้ปกครองนะเว้ย! ไม่อยากให้แม่มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ โวยวายในใจ ผมเห็นมันที่มองประตูไม่พูดอะไร

“เอาไงดีว่ะ” ผมเกาหัวทำอะไรไม่ถูก นักเรียนคนอื่นๆ ค่อยๆเดินเข้าไปแล้วก็โดนจับให้ยืนอยู่ก่อน ผมกลืนน้ำลายเอือกตาม มีทางไหนมั้ย ทางที่จะพาผมหรือมันเข้าโรงเรียนโดยที่ครูจับไม่ได้ มองกำแพงโรงเรียนก็สูงเกินไป จะวิ่งฝ่าก็ต้องโดนเรียกอยู่ดี

แต่ในระหว่างที่เครียดอยู่ ไอ้ปืนมันกลับจับมือพาผมวิ่งผ่านประตูหน้าโรงเรียน ก่อนจะพาผมอ้อมผ่านรั้วไปอีกด้าน โรงเรียนนี้เหมือนอยู่ใจกลางของเมืองเลยมีรั้วกำแพงใหญ่ล้อมรอบอยู่อย่างที่บอก อารมณ์เหมือนวัดพระแก้วอะไรประมาณนี้ มันพาผมวิ่งมาทางข้างหลัง ผมเห็นประตูเหล็กเล็กๆ อยู่

มันถีบอย่างแรงและรวดเร็ว!! ผมสะดุ้ง

ก่อนที่จะพาผมวิ่งเข้าไป แล้วผมก็รู้ตัวแล้วว่า ผมอยู่ตรงหลังโรงอาหารซึ่งไม่ไกลจากสนาม ผมตั้งท่าจะรีบวิ่งไปเข้าแถวแต่มันจับไหล่ ห้ามผมไว้ก่อน นี่ผมจะโดนห้ามอะไรหลายครั้งเนี่ย เเต่เห็นหน้าที่ซีเรียส โอเค กูยอม

“ออกไปตอนนี้เดี๋ยวก็โดนจับ อยู่แถวนี้ไปก่อน”

“ทำไมไม่บอกกูวะว่ามีทางเข้าอีกทาง” ผมหอบเล็กน้อยก่อนจะบอกอย่างชื่นชม

“มันเป็นทางออกของภารโรงเวลาจะทิ้งขยะใหญ่ข้างนอก ครูแม่งไม่รู้ด้วยซ้ำ กูก็ใช้โดดเรียนบ่อย และที่ไม่บอก ก็เพราะมึงอ่ะ อ่อนหัด ไม่รู้จักลู่ทางเล้ย” ไอ้ปืนบอกพลางหัวเราะไปด้วย ผมส่ายหน้า ก็จริง ถ้าไม่ได้มันช่วย ผมคงโดนจับเช็คสายแน่ๆ ถือว่าโชคดีที่ผมมีมิตรที่ดี....ใช่มั้ย? 

“มิน่าล่ะ ทำไมมึงถึงไม่โดนจับ เวลาหนีเรียนกับพวกไอ้โล่มัน” ผมพูดถึงหัวโจกของห้องที่ไอ้ปืนอยู่ในกลุ่มของพวกมัน ที่มักจะชอบหนีเรียนไปสูบบุหรี่บ้าง ไปกินเหล้าบ้างละ ดีๆ ทั้งนั้น แต่ผมก็ไม่สนใจหรอกน่ะ ผมรับได้ เพราะมันก็เพื่อนผม (อย่าเอามะเร็งมาให้กูแล้วกัน) ผมก็ต้องเข้าใจว่ามันต้องการอะไร

ที่ผมสงสัยคือ..ไม่มีใครบอกมันเหรอว่ามันไม่ดี เอาจริง นี่ไม่ได้โลกสวย
   
“เออดิ มึงก็อย่าไปบอกใครนะ” ผมไม่พูดอะไรนอกจากโวยวายอยู่ในใจ

“คงจะบอกอยู่หรอก เรื่องแย่ๆ นี่ให้กูเก็บเป็นความลับตลอดดดด”
 


“ถ้าไม่ห่วงมึง ไม่บอกหรอกนะเว้ย สำนึกซะบ้าง” ผมชี้ตัวเองขมวดคิ้ว มันพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป อะไรของมันวะ ผมมองตามเกาหัว ไม่ห่วงก็ไม่บอก ก็เพื่อนกันนี่หว่า เรื่องปกติ จะไปสงสัยอะไร

จะว่าไปไอ้ปืนมันก็หน้าตาดีเหมือนกัน ถ้าเทียบกับผม ตัดรองทรง ดวงตาท่าทางเจ้าเล่ห์ แต่ก็ดูจะมีพละกำลังมากในเวลาเดียวกัน ที่ผมต้องมาบรรยายก็เพราะว่าอยู่มาเกือบ 2 ปี เพิ่งมาสนิทช่วงเปิดเทอมม.5 จริงๆ ก็คุยกันบ้างตอนม.4 แต่ตอนนั้นมันค่อนข้างจะวุ่นวายไปนิดหน่อย คือผมก็ยังไม่ค่อยมีเพื่อนมากเท่าไหร่ นอกจากไอ้เค ไอ้ม่อน และพี่กู๊ด

จนกระทั่ง ไอ้ปืน เข้ามา ผมก็เริ่มมองเห็นสิ่งใหม่ๆ ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของมัน อย่างที่เห็นจากที่ ขี้เกียจ แต่พอให้ทำอะไร ก็ทำเต็มที่ ไม่งั้นมันไม่มาอยู่ในแฟลชไดรฟ์สำรองในกระเป๋าผมแล้วล่ะ เดี๋ยวคาบวิชาคอม เข้าไปปริ้น พูดตรงๆ ยังไม่ชินเท่าไหร่ที่สนิทกับมันคือ...ผมเองก็มีนะเพื่อนม.ต้น 

แต่ช่างเหอะ...ก็เป็นแค่อดีต

“เอ้อ มึง ว่าแต่..” ผมเรียกมันไว้ แต่มันก็ไม่หยุดเดิน

“ไร” ผมค่อยๆเลียบเคียงพูดออกมา

“มึงไม่ตงิดปากบ้างเหรอ เวลาเรียกกูว่า เมีย”

มันขมวดคิ้วไปมา “จะตงิดทำไม ก็มึงเป็นเมียกูจริงๆ”

ผมส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อ “ทั้งๆที่มันเป็นแค่ตำแหน่งที่ไอ้เอยแต่งตั้งเนี่ยนะ?”

มันหันมามองยิ้ม  “ก็แล้วไง ก็หนุกดี มีมึงเป็นเมีย เมียบ้า ชอบอยู่กับพวกผู้หญิง” 

ผมเดินตามต่อพลางพูดไปเรื่อย

“แหงสิ อยู่กับพวกผู้ชาย ไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลัง กูไม่เคยเจอสังคมอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ ตอนม.ต้น กูสนิทแต่กับผู้หญิง เพิ่งมาสนิทกับผู้ชายจริงๆก็ตอนม.4เนี่ยแหละ ดีนะที่ไอ้เคกับไอ้ม่อนมันก็คล้ายๆกับกู ถ้าให้พูดตอนนี้มึงก็เป็นเพื่อนสนิทกูอีกคนล่ะนะ” ผมหน้าแดง ไม่ได้เขิน แต่อายที่บอกความจริงไปกับคนอย่างมัน แต่เอาเข้าจริงสนิทมาได้ขนาดนี้มันก็ไม่แปลกหรอก แล้วจะหน้าแดงทำไมวะ?


“เหรอ ถามจริงๆ นะ มึงไม่รู้สึกแปลกๆบ้างเหรอ” ไอ้ปืนถามคำถามที่ทำให้ผมตอบอย่างไม่ลังเล

“แปลกยังไงว่ะ?”

ผมกอดอกมองมันเล็กน้อย  “เปล่า ช่างเหอะ รีบไปดีกว่า ร้องเพลงชาติแล้ว”

“ถ้าไม่อยากพูดไม่ต้องพูดก็ได้” ผมพูดออกมา

ไอ้ปืนยืนนิ่งชะงัก ผมหยุดสงสัย ก่อนที่ไอ้ปืนจะหันมาจับมือผมแล้วส่งสายตาหวานให้ เอ่อ...ผมควรรู้สึกยังไงล่ะ เขินหรือจะด่ามันดี “เป็นแฟนกับกูนะ”

ผมชะงักเล็กน้อย “นี่ ใช้มุขนี้มาร้อยกว่ารอบแล้ว คิดว่ากูไม่รู้เหรอ ไปฝึกมาใหม่นะน้อง”

ผมหัวเราะออกมาพลางลูบหัวมันอย่างเอ็นดู ไม่งอนนะน้องปืน

มันมองหน้าผมหน้าเศร้าๆ ก่อนจะบอก

“ไม่รู้สึกจริงๆด้วย”

เสียงเศร้ามากกกก พอพูดเสร็จก็เดินหนีผมไปซะเฉยๆ เล่นเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก พลางกุมหัวตัวเอง แล้วคิดอะไรมากมายในหัว มองตามมันไป ด้วยความรู้สึกสงสัยและแปลกๆชอบกล กับคำถามที่อยู่ในหัวของผม

รู้สึกอะไรของมึงว่ะ?

ช่วยพูดอะไรให้มันชัดเจนกว่านี้หน่อยได้มั้ย ไอ้ปืน...



เพื่อนสนิทสองคน รู้ใจเเละนิสัยกันดี เเละเหมือนจะไม่มีอะไร  เเต่จะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา...
มันคือเรื่องอะไรกัน?

ตอนหน้าจะมีตัวละครเพิ่มด้วยล่ะ อย่าลืมติดตามด้วยนะครับ
(สัญญาว่าจะเเต่งให้จบ อาจจะดองนิดนึง 5555)

หากมีภาษาอะไรเเปลกๆ บริบทของเรื่องครับ ไม่ได้ตั้งใจจะใช้ภาษาไทยผิดๆ เเต่อย่างใด
เเล้วมาเเชร์เรื่องกันนะครับ
 

ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้ (UP.02)
«ตอบ #3 เมื่อ27-05-2017 00:13:10 »

JUST 02. ME AND HIM (PART 1)

เพื่อนกัน จะจิ้นมากเเค่ไหน ยังไงก็เพื่อนกัน?

ผมตัดสินใจตามเพื่อนสนิทต้อยๆ เพราะว่าอยู่ที่เดิมก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ดีไม่ดีจะโดนครูตามมาจับ มันหันมามองผม ก่อนจะยิ้มให้เล็กน้อย แล้วปล่อยให้เดินตาม ผมล่ะเกลียดรอยยิ้มแบบนั้นชะมัด ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน รู้เเต่ว่ามันทำให้ผมดูด้อยกว่ามันเลย คือผมก็หน้าตาไม่ได้เเย่นะ (ไม่หล่อเลย) เเต่ก็ไม่เอามันมาเป็นปม อิจฉาใครที่ดีกว่าหรอก เเต่กับไอ้ปืนที่ชอบส่งสายตาเป็นประกายนี่้เเหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมหล่อไม่ได้เท่ามันหรอก สายตาเจ้าเล่ห์ ยิ้มมีเลศนัย เฮ้อ พอผมยิ้มนะ ทีนี่ล่ะ

คนบ้าหลุดจากโรงพยาบาลประสาทครับ จับเขาที! 

ผมบ่นอะไรเนี่ย เเค่เพื่อนสนิทมองหน้า ก็คิดเป็นเรื่องเป็นราวเลยเนอะไอ้อาม

"มึงหมายความว่าไง ที่พูดเมื่อกี้"

"นี่กูพูดภาษาไทย หรือมึงหูหนวกวะ"

อ้าว ไอ้...

ไม่ทันที่ผมจะด่า หรือถามอะไรมันเพิ่ม ไอ้ปืนก็รีบคว้ามือผมที่กำลังเหม่อๆแล้วรีบพาผมเดินไปยังหลังอาคารเรียน อาคารหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากสนามกีฬาเท่าไหร่ ผมก็งงๆ มันก็ไม่บอก ทำไงได้ ก็ต้องตามมันมาสิ ผมมองมือที่กุมไว้เเน่น เหมือนจะไม่ยอมปล่อยออก เเล้วเหลือบมองคนตรงหน้าที่หันมาพอดี ผมส่งสายตาเป็นสัญญานให้ปล่อยมือ มันทำหน้าเซ็งๆ ปล่อยก่อนจะส่ายหัวพูด จะเซ็งทำไมล่ะ มือคนอื่นก็ไปจับสิ มาจับทำไมมือผู้ชาย คือมันชอบจับมือผมเเทบทุกครั้งเลยที่จะเดินด้วยกัน เเต่โดนผมสะบัดออกทุกที มีครั้งนี้เเหละ ที่ดูจะพิเศษ ตรงที่ผมเผลอยอมให้มันจับ

"พามาที่นี่เพื่อ?" ผมมองรอบๆ ไม่ค่อยมีคนอยู่ ไอ้ปืนหันหน้ามาทำตาประกาย

“ไหนบอกจะไปเข้าแถว ตามมาทำไม?”  มันพูดกับผม พลางมองไปทางอื่น ระหว่างที่กำลังยืนพิงผนังข้างตึกอยู่ ผมกอดอกพูดสวนมันกลับไป “ก็เบื่ออ่ะ ไม่อยากเข้าแถว โอเคป่ะ ทำไม มีอะไร?” มันจับหน้าของผมมาประชันกับหน้ามัน จนผมถอยหนีตามสัญชาตญาน “ก็เพราะ...ครูแม่งมาดิ เลยต้องเเอบ” ผมหันมองตามจากที่ๆพอสังเกต เออว่ะ มีอยู่สองคน ถึงจะไม่น่ากลัว เเต่ก็ให้เห็นไม่ได้ สงสัยจะมาทำธุระแถวนี้ แต่มันไม่ต่างกับผู้ร้ายจะลอบขโมยของเลยนะเนี่ย ผมเเอบอยู่ข้างๆ โดยที่ไอ้ปืนเอามือไว้ข้างหลังผม จู่ๆก็รู้สึกขนลุกเหมือนอะไรทิ่มข้างหลัง เเต่นั่นไม่ใช่ประเด็น นอกจากความกลัวครู หันไปหาคนที่อยู่ข้างๆ
 
“แล้วจะเอาไงต่อ...”

ผมจ้องหน้านิ่งค้าง เมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนสนิท มันใกล้มากๆ ตาเรายังประสานกัน

“มองเชี่ยอะไร?”ยอมรับว่าเห็นหน้าแบบนี้แทบจะทุกวัน แต่ผมบอกเลยว่า ไม่เคยชินสักนิด หน้าตามันเหมือนไม่เคยซ้ำกันสักวันยังไงยังงั้น คือ ไอ้ปืนดูเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป ตัวสูงแต่เตี้ยกว่าผมเล็กน้อย ตัดรองทรงสูงที่คนทั่วไปชอบตัด เเบบผู้ชายปกติครับ  หน้าตี๋เหมือนคนขายน้ำเต้าหู้หน้าเซเว่นแถวหมู่บ้าน (ผิดเเต่มันหล่อกว่า) นี่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนั้น สงสัยไม่ค่อยได้อยู่กับผู้ชายเท่าไหร่ละมั้ง

“มองมึงแหละสัด มองอยู่ได้ หน้ากูเหมือนพ่อมึงรึไง” ผมสวนเข้าให้ เมื่อมันเรียกสติด้วยคำพูด ผมจะหันกลับไปมองต่อ ครูสองคนนั้นไม่อยู่แล้ว แต่ไม่ทันไร ไหล่ข้างขวาของผมก็ถูกจับให้ถูกตรึงชิดกับผนัง พร้อมๆกับสายตามันที่ยืนมองเหมือนค้นหาอะไรบางอย่างจากตัวผม ผมมองหน้ามันด้วยความสงสัยปนระทึกขวัญสั่นประสาทเหมือนถูกเค้นความลับจากหน่วยซีไอ ก็ดูมันมองสิ ยิ้มเเบบนั้นสิ มันเหมือนจะฆ่าผมให้ตายกับผนังด้วยซ้ำ

“แล้วมึงอ่ะ ทำอะไร”

“ขอมองมั่งดิ” มันจ้องหน้าผม

“หน้ากูมีอะไรให้มอง หน้ายังกับเต้าหู้” ผมบอกพลางชี้หน้าดึงหน้าตัวเอง

“ไม่รู้ แต่รู้ว่ามี” ไม่เคยเข้าใจความคิดไอ้เพื่อนคนนี้เลย ว่ามันจะเอาอะไรมากมาย ผมมันก็เป็นคนแค่เด็กผู้ชายปกติ? สูงก็ไม่มาก ตัดรองทรงที่ไม่สูง แต่ตัดให้เหมือนเพิ่งตัดใหม่ๆ (งงใช่มั้ย) หน้าก็ธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ถ้าให้ไปอยู่ในกลุ่มผู้ชาย ยังไงผมเป็นคนสุดท้ายที่คนจะมอง ช่างแม่ง เเละก็คงไม่ปกติอยู่ส่วนนึงแหละ เเบบป้ำๆเป๋อๆ พูดจาไม่ค่อยรื่นหู เอาเป็นตัวเองไม่มีอะไรเหมือนคนอื่นอยู่แล้ว ผมใช้เเขนผลักร่างมันออก ก่อนที่มันจะจ้องนานกว่านี้

“พอได้เเล้ว จ้องอะไรนักหนา เดี๋ยวถีบให้”

“ปากดี งั้นก็อยู่นี่กับกูแหละ” มันหัวเราะ ก่อนจะถอยออกห่างจากผม เเล้วมายืนข้างๆเเทน ก่อนจะหยิบบุหรี่มาสูบ

"นี่ยังมีอารมณ์มาสูบอีกเหรอ"

"เออ ครูไม่เห็นหรอก" ผมจะพูดต่อ เเต่ไอ้ปืนหันมาส่งสายตา

"ความสุขของกูอ่ะ อย่าขัดได้มั้ยวะ"

ผมนิ่งยอมรับการตัดสินใจของมัน สงสัยเพราะว่าวันนี้อะไรๆมันไม่เหมือนวันปกติทั่วไป เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ผมคงจะยืนอยู่ข้างหน้าเพื่อคุยกับหัวหน้าห้องและเพื่อนหญิงคนสนิทของผม ส่วนมันก็อยู่กับเพื่อนของมัน เพียงเเค่ตอนนี้จึงเหมือนว่าเรามีอะไรร่วมกันมากกว่าปกติ...เหมือนมันจงใจอ่ะ ถามว่ามันดีมั้ย มันก็ดี เพราะผมเองก็รู้สึกว่าถึงเราจะเรียกว่า สนิท ได้เต็มปาก เเต่ไม่มีอะไรที่ชี้ให้เห็นว่าเราสนิทอย่างที่พร่ำบอกใครๆ เลยสักนิด

"เเล้วเเต่มึง เเต่อย่ามากนะ เป็นห่วง"

"เออ ผัวไม่ทำให้เมียเสียใจหรอกจ้ะ" มันหยิกหน้าผมทำเสียงหวานใส่

เดี๋ยวได้ถีบมันจริงๆ

"สูบไป อย่ามารุ่มร่าม เดี๋ยวคนมาเห็น จะนึกว่ากูกับมึงอ่ะ เเดกกันเอง" ผมลงเสียงหนักประโยคสุดท้ายให้มัน

เสียงหัวเราะของมันดังขึ้น มันจะรู้มั้ยหนอว่า ผมกำลังยิ้มเล็กๆในใจ



เสียงปล่อยนักเรียนให้ขึ้นห้อง ผมเดินมาพร้อมกับมัน ก่อนจะเดินผ่านสนามกีฬาและโรงอาหารไปยังอาคารเรียนชั้นม.5ที่อยู่เลยไปจากตรงนี้ไม่มาก ก่อนจะใช้สองเท้าของตัวเองเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นเรียนของพวกเรา มันเดินขนาบข้างผม กระทุ้งท้องผมเล็กๆ เป็นเชิงอวดๆ

“เป็นไงล่ะ แผนพี่ปืน”   
“เออ เเต่ทีหลังเอาปกติกว่านี้ดีกว่า” ไอ้ปืนส่ายหน้า
“โอเค แต่มึงไม่ต้องโทรให้มากูมารับนะ”

“กูเคยโทรไปด้วยเหรอ ถ้าไม่รีบกูไม่โทรหรอก” ความจริงก็รีบทุกวันแหล่ะครับ และไม่มีวันไหนที่มันจะไม่รับสาย รีบซิ่งมาจอดมอไซค์รอที่หน้าบ้าน มาโรงเรียนด้วยก่อน ถ้าเป็นก่อนรู้จักมัน คงนั่งรถหลายต่อและคงตื่นเช้ากว่านี้ ตั้งแต่รู้จักมัน 7โมงจะครึ่ง ผมก็ยังไปโรงเรียนทัน (แบบฉิวเฉียดครับ อายจัง)

“ให้ตาย เมื่อไหร่จะเห็นความดีของกูซะทีวะ หรือมองแต่ด้านเหี้ยๆ” มันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงน้อยใจเล็กๆ จะมานอยด์อะไรเนี่ย ไม่ใช่ไม่เห็นความดีมันหรอก แต่ปากมันพาลให้เป็นแบบนี้ซะแล้ว แต่ต้องพูดถึงการกระทำของมันด้วย แต่ละอย่างจะบอกว่าดีเต็มปากก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย

“ก็จนกว่ามันจะลอดผ่านลูกกะตากูนั่นแหละ” ผมหันไปบอกกวนๆ ก่อนจะหันไปมองทางอื่นไปเรื่อย

“ไม่รู้ มึงเลี้ยงข้าวเที่ยงกู” มันพูดขึ้นมา ผมหันขวับอย่างรวดเร็ว

“หา?ข้าวใครก็จ่ายเองดิวะ เอาตังค์มาร้อยเดียวเว้ย!” เดี๋ยวหยิบมาฟาดแม่ง เลี้ยงนะ ได้ แต่ ตังค์มันไม่มี

“งกว่ะ” มันทำหน้าหมาหงอยเลยครับ โอ๋ๆ เดี๋ยวเอาเพดดิกรีให้แดก สูตรใหม่เลย

“ดูบ้านกูด้วย แต่ตอนเย็นไม่แน่ เลี้ยงน้ำแก้วนึงได้ป่ะ” ผมยกนิ้วขึ้น

“เอา11ดีกรีแก้ว” น้ำเว้ย ไม่ใช่สุรา

“พ่องสิ! ไม่แดกเหล้าเว้ย” ผมโวยใส่มัน “กูแดกไม่ใช่มึง” พูดแบบนี้ ผมก็เงิบสิ

“กูล้อเล่น เอากาแฟสตาร์บัคส์ไซส์กรานเดเเก้ว” หะ เดี๋ยวนะ หูไม่ฝาด แก้วเล็กก็โคตรไม่คุ้มแล้ว

“มึงซื้อแดกเอง กาแฟห่าไรปริมาณ 20 บาท แต่ราคาราวกับเมล็ดกาแฟบนยอดเขาหิมาลัย แดกหน้าโรงเรียนเถอะ กูเลี้ยงมุงเลย 2 ถุง” ผมด่าไปเดินไป มันก็หัวเราะยอกย้อนและกวนประสาทผมอีก

"รับทราบครับ คุณอาวุธ"

หลังจากที่คุยกันอย่างจริงจัง ในที่สุดเราก็เข้ามาในห้องเรียนสักที แปลกมากใช่มั้ยครับ ห้องเรียนนึงมีผู้ชายไม่ถึง 10คน แต่ผู้หญิงกลับมีมากกว่า 20 อีก แต่พวกเราก็ไม่ได้จะยอมให้ผู้หญิงครองนะครับ ยกเว้นกับคนๆนึง ที่ผมยอม ผมยกเก้าอี้ก่อนจะวางกระเป๋า ไอ้ปืนลงนั่งข้างๆ ก่อนจะพูดกับผม ผมหยิบหนังสือขึ้นมา ผมหันไปพูดกับมันต่อ

“ตามที่พูดนั้นเเล”
“ตามนั้นอะไรหรอวะ” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“ก็ตามนั้น.ไอ้เค มึงนี่หูไวเนอะ” ผมตบหัวคนที่ถามเบาๆ ก่อนจะหันไป นี่ “ไอ้เค” ครับ เพื่อนซี้อีกคนของผม อาจจะเป็นเหมือนลูกน้องผมด้วย มันลูบหัวตัวเองก่อนจะตบผมคืน แต่เรื่องอะไรที่คนอย่างผมจะยอมให้ตบอ่ะ ผมหลบ 60 องศา หยิบหนังสือที่อยู่บนโต๊ะมาตีมันซ้ำ แต่มันเอามือค้ำเอาไว้ซะก่อน ผมใช้แรงที่มีอยู่กดลงไปให้มันหมดแรง ซึ่งมันก็เกือบจะสำเร็จแล้ว ถ้าไม่มีใครบางคนดึงหนังสือออกไปจากมือผม

“เล่นอะไรกันตั้งแต่เช้า การบ้านไม่มีทำรึไง” เสียงทุ้มๆแบบนี้
“โห่ พี่แม่ง ขัดตลอด”

ผมหันไปโวยวายเป็นพิธีกับ “พี่กู๊ด” ไม่ได้กระแดะหรืออยากมีพี่หรอกครับ คือไอ้พี่กู๊ดเนี่ยเป็นคนที่ซ้ำชั้นปีนึงมาแล้ว และพอถึงรุ่นพวกผมก็เลยเจอกันด้วยความที่ผมเป็นคนที่เคารพผู้สูงวัย เอ้ย! ผู้อายุมากกว่าผมก็เรียกตามขั้นแหละคร้าบ แต่สงสัย พวกคนอื่นถึงเรียกว่าไอ้ แบบเป็นเพื่อนซะได้ มีแต่ผม เค ปืน แหละที่เรียกพี่ ไอ้เคเกาะตัวมองหน้าผมเหมือนอยากรู้ พลางมองไปทางไอ้ปืนแบบไม่สบอารมณ์

“ไหนๆมึงบอกมาสิว่าตามนั้นเป็นยังไง อยากรู้นะเนี่ย” มันไม่จบครับ ผมเลยยิ้มให้มันก่อนจะพูดจาไพเราะเพราะพริ้งให้ฟัง “เค มึงเป็นเพื่อนกูใช่มั้ย” มันมองหน้าผมพยักหน้า “เพราะงั้น ไม่เสือกนะ โอเค๊” ผมทำมือประกบ มันนั่งลงกับที่เหมือนเดิม หน้านิ่งไป ผมแรงไปรึเปล่าวะ มันก็ดันชอบได้ยินเรื่องที่ผมพูดตลอดเลย จนผมต้องพยายามเพราะเหตุผลส่วนตัว มันเลยทำให้ผมดูเป็นคนโหดร้ายทารุณกับเพื่อนและคนรอบๆ แต่ความจริงผมก็คนปกติคนนึงแหละ แค่ไม่อยากให้เรื่องมันใหญ่ แค่นี้ก็เป็นเป้าของไอ้เอยแล้ว พี่กู๊ดเอามือวางบนหัวเบาๆ จะตบก็ตบเลยสิ

“อาม ทำไมชอบว่าเคตลอด ไม่น่ารักเอาซะเลย คุยกับมันดีๆหน่อย”
“ผมผู้ชายนะพี่ อีกอย่างไอ้เคมันก็ชอบกวนผมแบบนี้แหละ ไม่มีไรหรอก”

ดูสรรพนามผมกับพี่เขาซะก่อน คนละแบบกับสภาพแวดล้อมรอบตัวเลย จนไอ้ปืนได้แต่กระแฮ่มออกมา

“พูดเพราะแบบนี้ ส้นตีนติดคอเหรอ ให้ช่วยมั้ย”
“ส้นพ่อง กูพูดแบบนี้กับคนที่กูเคารพเว้ย!”

พี่กู๊ดตบมือเเล้วพูดออกมา “สมกับฉายา ผัวเมียละเหี่ยใจจริงๆนะ พี่ไม่เเปลกใจจริงๆ”

ก่อนจะไปอยู่ข้างพลางจับไหล่ไอ้เคที่ทำหน้าเศร้าอยู่ ผมคงปากไวไปหน่อย ต้องขอโทษจริงๆ งั้นผมก็คงต้องบอกความจริงกับมันแหละนะ “มึง กูขอโทษ ความจริงกูกะจะทำให้มึงประหลาดใจ ตอนเย็นกูว่าจะไปห้าง เลยอยากชวนมึงทีหลัง มึงไม่โกรธกูใช่มั้ยว่ะ แบบเซอร์ไพรส์ ไรงี้ มึงก็เพื่อนกูคนหนึ่งนะเว้ย” ไอ้เคหน้านิ่งไปสักพัก ผมมองกลืนน้ำลาย หรือครั้งนี้จะแรงไปวะ?

“ไม่อ่ะ ขอบใจนะที่ชวนกูไปแน่ เนอะพี่” ก่อนจะกลับมาอมยิ้มเหมือนเดิม มันหันไปมองพี่กู๊ดเหมือนเด็กๆ ไม่น่าใจอ่อนกับแม่งเลย แถมยังไปอ่อยกับพี่เขาอีก ทำตัวได้มุ้งมิ้งผิดกับหน้าตามาก คือไอ้เคก็คือผู้ชายหน้าไทยดีๆ ตัวขาวหน่อยๆ ตัดผมสั้นๆ ไถข้างนี่เองครับ แต่พี่กู๊ดนี่เขาหน้าตาระดับเดือนโรงเรียน (แต่ไม่ได้เป็นนะ พี่เขาไม่ชอบเป็นจุดสนใจ) ไอ้ปืนทุบไหล่เบาๆ เรียกให้ผมหันไปมองมัน เป็นอะไรอีกล่ะ มันทำหน้าเหมือนไม่พอใจที่ผมชวนเพื่อนไป

“ไหนบอกจะไปกันสองคนไง ไปเอาใครมาอีก”
“ก็ไปกันหลายคนก็สนุกดี ดีกว่าไปสองคน เผื่อจะได้ยืมตังค์ไอ้ไทด้วย” 

“ตอแหลนะมึงอ่ะ” ตอแหล มันพูดกันจนผมชินเป็นนิสัยแล้ว ทำไมไม่เป็นกะล่อนปลิ้นปล้อน แต่ตอแหล เอิ่ม...มึงผู้ชายใช่มั้ยเนี่ย ผมลุกขึ้นยืนหันไปมองอีกฝั่งนึง เด็กผู้หญิงผมสั้น หน้าตาท่าทางน่ารักและเรียบร้อยกำลังยิ้มพูดคุยกับเพื่อนๆในห้องเป็นอย่างดี สมกับที่เป็นหัวหน้าห้องเรา ถ้าคิดแบบนั้นคุณคิดผิดแล้วครับ ตัวจริงของมันน่ะเหรอ

“โอ๊ย! บอกให้มึงไปเอาใบเช็คชื่อก็ไม่เอามา คือเดี๋ยวต้องโทษกูอีกว่า ไม่ไปเอา”

ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักคงช็อค แต่ผมเฉยๆ เพราะแบบนี้แหละถึงจะสมกับเป็น "ไอ้เอย" เพื่อนผู้หญิงของผม

ผมเดินไปหาที่โต๊ะฝั่งผู้หญิง ระหว่างนั้นก็มีผู้หญิงคนนึงเดินสวนมาพอดี ผมรีบไปประคองไว้

“โทษทีเว้ย”
“ซุ่มซ่ามจริงมึง” 

“จิ” เป็นเด็กผู้หญิงคนนึงซึ่งหน้าตาก็น่ารักดี และผมก็รู้จักแค่นั้น ไม่ได้มีอะไรมาก รู้แต่ว่าเป็นเพื่อนหญิงคนสนิทไอ้เอย ที่ผมไม่ค่อยได้คุยด้วยสักเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้อะไรมาบ้าง ว่าเธอเป็นคนเงียบๆ ชอบอยู่กับคนน้อย และยังติดโทรศัพท์มากด้วย ติดไม่พอยิ้่มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนมีเเฟนในนั้น ซึ่งมันก็บอกว่าจริง หนึ่งใน นักร้องวง เอคโค่ นี่เเหละ เอ่อ มโนเก่งเป็นบ้า ไม่ใช่คนไม่น่าคบเหมือนที่ใครพูดซะเท่าไหร่ เธอเดินออกไป จนมาถึงโต๊ะของหัวหน้าห้อง ผมสะกิดเรียกเธอจากข้างหลัง

“มึงๆ”
“ไอ้อาม เมื่อเช้ากูไม่เห็นเข้าแถว มึงโดนเจ้กันตาจับป่าววะ” ประโยคเเรกของวันที่ถามด้วยความเป็นห่วงปนอยากรู้ ผมก็ได้แต่ยิ้มเล็กน้อย “ก็ไม่เชิง คือเมื่อเช้ากูมากับไอ้ปืนนะ เลยไม่ได้เข้าแถว มันช่วยเอาไว้” แค่คำๆนั้น ตาของเธอก็ลุกวาวเหมือนกับเพชรที่กำลังส่องแสงระยิบระยับ ผมมองเธอหวั่นๆเล็กๆ ไม่แปลกหรอก เธอหยิบสมุดโน้ตขึ้นมา จั่วหัวว่า “ไอเดียแต่งฟิค” เห็นนะแต่ไม่สนใจหรอก
 
มันยังเป็นสาววายตัวแม่และเป็นผู้ก่อตั้งตำแหน่งผัวเมียที่ผมกล่าวไว้อีกด้วย...

“ก็มันนะ พาแอบเข้ามาอีกทางและก็รอจนออดดังปล่อยขึ้นห้องแล้วกูก็เข้าห้องพร้อมมัน แค่นี้เอง? จะให้มีอะไร เดินกุมมือ สบตาหวาน ไม่มีหรอก” ผมโกหกครับถึงมันจะไม่โรแมนติก แต่ผมก็นับ

“โห่..” มันทำหน้าเซ็ง คือถ้าผมหน้าด้านพอเล่าให้มันฟังว่ามีแนวๆนี้คงไม่จบแค่ชม.เดียว

“ไม่ต้องมาโห่ คิดอะไรอยู่ บอกกี่ครั้งแล้ว เพื่อนสนิทกันเว้ย เมื่อคืนมันก็มาทำรายงานที่บ้านกู”

“หา!” จู่ๆมันก็หยิบหนังสือมาปิดหน้าเขินๆ ก่อนที่ผมจะเห็นเหมือนหนังสือมันสั่นๆ

“แล้วไงต่อ มันทำอะไรมึงเปล่า” มันดึงหนังสือออก พร้อมรอคำตอบจากคนตรงหน้าอย่างผม

“ทำเชี่ยไรละ จะฆ่ามันตายอยู่แล้ว แม่งแทบไม่ทำอะไรเลย เพิ่งมาทำตอนจะเสร็จบรรณานุกรม”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-05-2017 00:19:30 โดย Manwithglasses12 »

ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้
«ตอบ #4 เมื่อ27-05-2017 00:20:51 »

JUST 02. ME AND HIM (PART 2 END)

“มึงนี่นะ ไม่เคยทำตัวเป็นเคะที่ดีเลยนะ ยอมๆไปเหอะน่า เดี๋ยวก็ดีเอง” ผมรู้นะไอ้เรื่องเมะเรื่องเคะเนี่ย โดนมันพูดกรอกหูจนจำได้ไม่มีผิดเพี้ยน และเคะคือคำที่ผมไม่ได้เกลียดแต่ก็ไม่ชอบ และจะไม่ขอเป็นเมะด้วย เพราะผมไม่ใช่เกย์!!! แค่ชอบอ่านวายแค่นั้นเอง (เดี๋ยว) “ยอมบ้าอะไร ฟังนะ กูไม่ใช่เคะ และก็ไม่คิดอะไรทั้งนั้นแหละ เพลาลงบ้างไอ้ฟิควายอ่ะ เห็นเต็มกระเป๋ายิ่งกว่าหนังสือเรียนอีกมั้ง” ผมเหลือบไปมองกระเป๋าที่เปิดอ้าอยู่ของเธอ เเต่ละเรื่องหน้าปก น่ายืมดี (เฮ้ย)
   
“โว้! อะไรวะ มึงนี่มันเดินตามกระแสโลกจนตามไม่ทันจักรวาลแล้วสินะ” จักรวาลไร ผมงงครับ ผมไม่เข้าใจที่เอยพูดมันแปลกๆ จักรวาลห่าอะไรให้ผู้ชายรักกันนี่มันเกินจักรวาลแล้ว มันมองผมก่อนจะพูด 

“อาม มึงรู้ป่ะ 80เปอร์ ของผู้ชายที่มีอะไรกัน บอกติดใจ”

“แล้วมันเกี่ยวอะไร?” มันอธิบายต่อ “นี่การที่กูทำตำแหน่งผัวเมียขึ้นมาก็เพื่อ....”

“เออ กูเข้าใจแล้ว แต่ไม่มีวันหรอก เพราะอีกไม่นานมันก็คงถึงเวลาที่กูต้องหาแฟนดีๆสักคน...” 

“อย่างไอ้ปืนใช่มั้ย?” ไอ้เอยขัดจังหวะผมอีก ผมเนี่ยแค่หุ่นเล็กเพราะกินอะไรน้ำหนักไม่ขึ้น เล่นกีฬาก็ไม่ค่อยเก่ง แถมยังไม่ค่อยมีวิชาการงานอะไรนอกจากการเรียน แต่อย่าดูถูกผมนะครับ เพราะหมัดกับเท้าผมก็เอาพวกมันนอนพื้นได้แล้วกันล่ะ ผมยืนมองมันแล้วค่อยๆพูด

“จิ้นในขอบเขตเว้ย จิ้นในขอบ” มันมองทำตาจับพิรุธ “แต่กูว่ากูไม่ต้องต้องจิ้นแล้ววะ ดูนู่น ผัวหึงเมียอยู่นู่นแล้ว” เอยชี้ไปทางฝั่งไอ้ปืนที่มองฝั่งของผมท่าทางโกรธ เป็นอะไรของมันวะ “เออ มึง รายงานที่จะส่งวันนี้กูเอามาแล้ว ส่งนะ” ผมเบนความสนใจมาที่งานเมื่อคืนแทน “มาสิ แต่ว่าเคลียร์กับผัวมึงก่อนนะ แล้วค่อยมาส่ง” “อะไร้ กูบอกเลยนะโมเมนต์ที่มึงต้องการอยู่หลังโต๊ะกูนู่น” ผมชี้ไปทางพี่กู๊ดกับไอ้เคที่นั่งคุยกันอยู่ มันมองตามหันมาพูด

“นั่นก็ใช่ แต่โมเมนต์ แบบ มึงเป็นของกูเถอะนะ ไม่นะ!กูไม่ได้รักมึง และก็บะแล่วๆๆๆ มันแซ่บกว่านิ”

“โอเค เอาที่มึงสบายใจ กูไปละ” โบกมือลา อยู่นานกว่านี้ ผมคงทึ้งผมตามมันแน่ๆ

ผมเดินกลับมานั่งที่เดิม ไอ้ปืนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ เป็นเชี่ยไรอีก ผมสะกิดมัน “มึงเป็นไรวะ ทำไมดูโกรธๆ”

“เปล่า มึงคุยอะไรกับมันวะ” คุยอะไร มันเพื่อนสนิทผมอ่ะ มันจะงอนผมอีกแล้ว อยากให้กูสนิทกับมึงคนเดียวอย่างนี้? ไม่ได้ๆ เราต้องมีเพื่อนเยอะสิ “คุยเรื่องวาย คิดมาก ยังไงกูก็รักมึงนะ ไอ้ปืน” ผมกอดคอมันเป็นการยืนยัน แต่แล้วผมก็ลืมไปว่าถ้า เพื่อนมันมี อริก็ต้องอยู่ในห้องเดียวกันด้วย

ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก...

คนร่างใหญ่เดินเข้ามา แค่นั้นผมก็คันทั้งปากกับส่วนล่างสุดแล้ว คือผมก็อยากเล่านะว่าทำไมถึงเกลียดมาก แต่เรื่องมันยาว เอาเป็น ก็เกลียดอ่ะ ในสถานการณ์แบบนี้ผมหยิบโทรศัพท์ตัวอีกขึ้นเสียบหูฟังก่อนจะเปิดเพลงฟัง โดยไม่พลาดที่จะยื่นให้ไอ้ปืนฟัง มันมองสักพักแล้วมองไปทางนั้นก็เข้าใจ แล้วก็หยิบมาฟัง   ก่อนที่ไอ้โล่จะเดินผ่านโต๊ะผม เพื่อปลุกใจด้วยเพลงของเทย์เลอร์สวิฟต์ที่เป็นกำลังใจให้ผมมาตลอด

You, with your words like knives แก ด้วยคำพูดของแกที่เหมือนมีด
And swords and weapons that you use against me และดาบอาวุธที่แกใช้ทำร้าย
You have knocked me off my feet again แกทำให้ฉันล้มทั้งยืนอีกแล้วนะ
Got me feeling like I'm nothing ให้ฉันรู้สึกไร้ค่า
You, with your voice like nails on a chalkboardแก เสียงที่ตอกตะปูบนกระดาน
Calling me out when I'm wounded เรียกฉันทั้งๆที่มีบาดแผล
You picking on the weaker man แกรังแกคนที่อ่อนแอกว่า
   
เนื้อหาของเพลงนี่ด่ามันแบบไม่ไว้หน้าครับ  เพราะการกระทำของมัน สมกับเพลงนี้มาก แต่ว่าคงน้อยไปสำหรับคนอย่างมัน เพราะมันฟังไม่ออก มันไม่รู้หรอกครับ ว่าผมกำลังด่ามัน แต่ผมด่าก็แล้วกัน เมื่อผมมองหน้ามันเพียงนิดเดียว มันก็แค่ดึงหูฟังผมแล้วก็เดินผ่านโต๊ะผมไป ผมมองตามมันด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไร ไอ้ปืนเห็นก็กะจะรีบเดินไปหาแต่พี่กู๊ดห้ามไว้ก่อน

“ไม่ต้องหรอก ปล่อยมันไปอย่างที่เป็น”เป็นเพลงเลยไอ้อาม ถ้ามีผ้าคลุมนี่พีคเลย

“เอ้อ มึง การบ้านภาษาไทยเสร็จยังวะ” ไอ้เคถามผม นี่แหละครับผมถึงเกลียดมัน คนอะไรแทงใจดำฉิบหายเลย “เชี่ย! ยังไม่ได้ทำเลย” “ลอกพี่ได้นะ” พี่กู๊ดยื่นให้ผมจะรับ แต่ไอ้ปืนก็ฉวยโอกาสหยิบมาแทน

“ขอบใจพี่”

“ของกู”

“ไปเอากับไอ้เอยดิ เพื่อนรักมึงนิ”

เจริญล่ะ งอนอีก เเละผมก็ต้องยอมเดินเข้าไปขอยืมการบ้านภาษาไทยของเธอที่ต้องส่งตอนคาบสอง ซึ่งเธอก็ให้ ถือว่าโชคดีที่เธอทำเสร็จ แม้ลายมือจะ...ผมจะไม่พูดนะ ให้เกียรติเพื่อนหน่อย กลับมานั่งจดยิกๆเลยครับ หวังว่าคงจะส่งทันคาบที่สองนะ เพราะผมไม่แน่ใจว่าระหว่างผมกับมันใครจะเสร็จส่งก่อน

“รายงานมึงเสร็จยังวะ”

วันนี้คนถามเรื่องงานเยอะจังเลย หรรษาจัง!!

“ไอ้ม่อน” เพื่อนผู้ชายอีกคน เดินมานั่งข้างๆ ผม เมื่อวานมันเพิ่งช่วยผมจัดการกับคนที่ผ่านไปเมื่อกี้ แต่เอยห้ามไว้ก่อน ไม่งั้นเราสองคนคงได้มีเสียเลือดแน่ๆ ผมพยักหน้าแทนคำตอบ

“อ๋อ ก็นึกว่าไอ้ปืนจะถ่วงมึง” ไอ้ปืนหันขวับมา เอาจริงๆ ไอ้ม่อนก็เป็นงี้แหละครับ คล้ายผม

“เปล่า ก็แค่เป็นห่วง กลัวว่าจะโดนใครบางคนเอาเปรียบ” พอก่อน มากไปแล้วนะ

“ม่อน ไอ้ปืนมันทำให้งานเสร็จ อย่าพูดแบบนั้น” ผมห้ามไว้เมื่อเห็นไอ้ปืนจะลุกขึ้น

“อ๋อ ก็คิดอยู่ ว่าถ้าเป็นมึง มันก็คงทำแหละ” มันมองหน้าผม ก่อนจะพูดต่อ

“ขอโทษละกัน”

“เฮ้ย ไอ้ม่อน มึงไม่เสือกกับเขาได้มั้ยว่ะ” “ไอ้ไท” เดินเข้ามา เหมือนเห็นว่าผมกำลังโดนซักไซ้ ไอ้ไทเป็นเพื่อนในห้องที่มีพร้อมทุกอย่าง ผมตัดทรงแนวเกาหลี (โรงเรียนนี้ให้ตัดได้ครับ เขาเห็นว่าการศึกษามาก่อนภาพลักษณ์) หน้าใสแบบเกาหลี รวยอีกตะหาก แต่ไม่เท่าไอ้ปืนนะ ท่าทางจะมาช่วยผมจริงๆ ไอ้ม่อนหันไปโวยใส่ด้วยความหมั่นไส้

“อะไรของมึง กูคุยกับไอ้อาม ยุ่งไร”

“ดูไอ้อามกับไอ้ปืนดิ มันพูดไม่ออกแล้ว” มันมองหน้าผมเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง

“นิดหน่อยป่ะวะ แล้วมึงอ่ะเป็นไร อ้อ ไอ้อามมันคนโปรดมึงนี่”

“จะบ้าเหรอ ไอ้อามเพื่อนกู”

“แล้วจะมาช่วยทำไม”

“กวนตีนกูเหรอ” อ้าว เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งตีกัน

“อย่าไปถือสามันเลยน่า มันก็งี้แหละ เนอะ” ไอ้ไทเอามือปิดปากไอ้ม่อน หันมายิ้มให้ผม ทำดีๆ

“เพื่อนที่ดีงั้นเหรอ” จู่ๆ ไอ้ปืนก็ขำขึ้นมา ผมมองก่อนจะถาม

“ขำทำไม”

“สุดท้ายก็ได้แค่นั้นใช่ป่ะ”

“เอ้า แล้วจะให้เป็นยังไง ผัวเหรอ ตลกว่ะมึง” ผมหัวเราะหลังจากพูดจบ ไอ้ปืนตั้งแต่ได้ฉายาคู่จิ้น แม่งเอามาใช้ซะคุ้มเลย จู่ๆก็เรียกผมว่าเมีย เวลาอยากเรียก จนผู้หญิงเขาหนีผมหมดเลย แต่ไอ้ปืนมันก็แก้ตัวว่า ก็ผู้หญิงพวกนั้นมันไม่ให้ผ่าน ผมก็ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะเลือก ผมก็แค่อยากเข้าไปทำความรู้จัก ไอ้เอยก็เหมือนเพื่อนผู้ชาย แถมจิ้นผมกับมันอีก โอ๊ยจะบ้าตาย

“ก็ดี” มันพูดออกมาเบาๆ จนผมทำปากกาหล่น ไอ้ไทกับไอ้ม่อนมองนิ่ง

“เฮ้ย ไม่ขำนะเว้ย” ผมตบหัวมันเบาๆ หัวเราะไปพลางๆ มันหันมามอง

“ก็ไม่ได้เล่นตลก” ผมชะงักเล็กน้อย แต่รีบเก็บท่าทาง

“พวกมึงอ่ะ กลับที่ไป เดี๋ยวกูเคลียร์กับไอ้ปืนเอง” ผมบอกกับไอ้ไทกับไอ้ม่อน เหลือบเห็นไอ้ไทจับไหล่มันอยู่ ไอ้ม่อนรู้ตัวปั๊บ สะบัดหน้าเดินไปนั่งที๋โต๊ะ ไอ้ไทยิ้มก่อนจะเดินตาม พวกมันนั่งที่ ไอ้ม่อนไม่มองหน้าไอ้ไท แต่ไอ้ไทมองไอ้ม่อน แปลกดี นั่งข้างกัน แต่กัดกันอย่างกับหมา พวกมึงนี่ ผมหันมาหาไอ้ตัวปากพร่อยก่อน มาดูสิว่าจะรับผิดชอบยังไงกับคำพูดที่ทำให้กูคิดมากเนี่ย หืม?

“พูดอะไรออกไปน่ะ กูกับมึงอ่ะนะ แค่คิดก็ขนลุกจะแย่อยู่แล้ว เพื่อนนะเว้ย”

“เออ กูจะจับมึงทำเมียเดี๋ยวนี้ จะได้เลิกเป็นเพื่อน” อย่านะเว้ย

มันจับล็อคคอผมเกี่ยวไว้ข้างแขน ขยี้หัวผมไปมา ผมหัวเราะ ก่อนจะเป็นฝ่ายล็อคคืนบ้าง

กวนตีน...นั่นแหละมัน

และแล้วก็มาถึงพักกลางวันที่ใครๆต่างก็รอคอยสำหรับผมก็ได้ ไม่มีอะไรมาก สิ่งที่ผมทำคือการไปทานข้าวกับเอยตามปกติทุกวัน แม้จะมีผู้ชายเขาจะมองว่าผมเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ก็ช่างหัวประไร กูไม่ได้เป็น เเละต่อให้มีไอ้ปืน ผมก็ไม่นั่งหรอก อย่าลืมว่าต้องมีไอ้โล่อยู่ด้วย ซึ่งผมคงไม่ยอมนั่งให้มันด่าหรอก ปล่อยให้เพื่อนในกลุ่มนั่งไป

“เออ อาม เมื่อเช้าเป็นโมเมนต์ที่โคตรฟิน” เอยพูดขึ้นมาในขณะที่ผมตั้งใจจะตักผัดกะเพราเข้าปาก ทำให้ผมต้องวางช้อนก่อน “โมเมนต์? อ๋อ ที่กูยื่นหูฟังให้ไอ้ปืนอ่ะนะ” ผมพูดตามความเข้าใจของผมเอง เธอกลับส่ายหน้าก่อนจะบอกว่า “ทำหน้าที่เมียได้ดีนะ ปลอบใจผัว” “เฮ้ยๆมึงอุตส่าห์มอบตำแหน่งให้ แต่กูอดขนลุกไม่ได้นะ” ผมหัวเราะ สักพักก็มีคนตามมาสมทบ ไอ้เค เคมันก็ไม่ค่อยชอบพวกมันอยู่แล้ว แต่ก็ไม่นึกว่าจะย้ายตามผมมา อย่าลืมว่าถ้ามีเคก็ต้องมี...

“เค วันนี้ทำไมมึงมากินอะไรตรงนี้”

“ผมรำคาญพวกแม่ง รู้มั้ยพี่ ขนาดไอ้อามมันยังหนีมาเลย คิดดูนะ ถ้าให้ฟังพวกมันพูดเรื่องบอล ผมคงได้บ้าตายพอดี” มันบ่นก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ผมมองสักพักก็กินข้าวต่อ “อ่อย” เอยยิ้มพลางทำหน้ากวนๆ วันนี้ไม่ได้มีแค่สองพี่น้องตัวติดกันเท่านั้น ยังมีขาประจำ นั่นไงเดินมาแล้ว 

“เฮ้ย! เอย โทษทีกู พอดีครูปล่อยช้า”

“ไม่ใช่ไปหาผู้ชายมาหรอกเหรอ”

“อีอร” ชื่อเหมือนจะเป็นกุลสตรี ผมบอกเลย ลืมไปซะ มันคือทอมหมวยที่มัดผมอยู่นี่เอง แต่ว่าก็มีผู้ชายมาจีบนะ สงสัยผู้ชายคงอยากให้อะไรใหม่ๆกับชีวิต ซึ่งผมคงไม่ใช่ผู้ชายพวกนั้น เธอบอกกับเอย

“โถ ใครจะนอกใจเมียได้ลง...อ้าว อาม ยังไม่ตายอีกเหรอ” เธอเว้นจังหวะพูดหันมามองผม

“เออ เห็นเป็นหมารึไง” ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ไอ้อรจ้องหน้าผม จนไอ้เคต้องห้ามไว้

“กัดกันทำไมวะ แดกข้าวไปดิ”

“เสือก!” ผมกับอรพูดพร้อมกัน ไอ้เคนั่งกินข้าวเหมือนเดิม ก่อนจะส่งสายตาพิฆาตไม่มีใครยอมใคร เราไม่ได้เกลียดกันหรอก แค่ไม่ชอบแค่นั้น แต่ไม่เท่ากับไอ้โล่นะ ไอ้นั่นแค่คิดยังรกสมอง ไม่มีส่วนไหนน่าเอาเข้ามาในชีวิตเลย พี่กู๊ดนั่งลงข้างไอ้เคก่อนจะพูดปลอบ “เมนส์มาก็งี้” เดี๋ยว! อรใช่แต่กู!? ทำให้เอยที่กำลังสนใจนิยายในโทรศัพท์ถึงกับขำออกมา

“มันใช่”

“พี่พูดบ้าๆผมจะไปมีเมนส์ได้ไง ผมมีไข่นะ” ผมตักข้าวไปบอกกับพี่เขาไปในขณะที่กำลังหงุดหงิดกับคำว่า เมนส์ แต่ก็ยังไม่เท่าคำต่อไป “อ๋อลืมไป ไม่มีประจำเดือนแล้วนี่นา” หัวเราะอีก พี่ซื่อหรือพี่โง่ครับก็บอกว่าผมเป็นผู้ชาย!! ทำให้อรกับเอยหัวเราะพร้อมกัน ผมส่งสายตาไปให้ไอ้เคที่ขำไปแดกไป

“ไอ้เค! กินข้าวดิ มึงบอกกูอ่ะ” ผมโวยใส่มัน เล่นเอาคนที่กำลังหัวเราะเงียบทันที ไอ้เอยมองผมเล็กน้อย “มึงก็โหดไปนะ อย่าทำร้ายนุ้งเคของพี่กู๊ดสิคะ” เกลียดการทำตัวไร้เดียงสาของมันสุดๆเลย แล้วพี่กู๊ดจะตักข้าวไปยิ้มทำไมอ่ะ หรือว่า มันจะมีมูลเหตุบางอย่างที่ไม่ได้อยู่แค่ในภาพมโน แต่ไม่ทันจะสันนิษฐานอะไรเพิ่ม อรที่นั่งข้างเอยถามผมที่ตักข้าวเข้าปากพอดี “ก็มึงมันแรดนี่ไง” ผมอมข้าวไว้ก่อนจะหันไปทางมัน

“อูแอดองไอน” (กูเเรดตรงไหน) ผมพูดทั้งๆที่ข้าวเต็มปาก เด็กดีไม่ควรทำตามนะครับ เธอรีบหลบเลยครับ สะใจครับ ข้าวหมดแล้วก็อิ่มพอดีด้วย ไอ้อรหันมาโวยใส่ “นี่เล่นขนาดนี้เลยเหรอวะ กูก็แค่แซวเอง” มันปัดข้าวออกจากโต๊ะ ในขณะที่จิก็เงยหน้าขึ้นมามอง “เอาอาหารมาเล่น นิสัยเสีย” แล้วก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ คนที่เล่นมือถือตอนกินข้าวก็พอๆกันแหละครับ ข้าวมันยังเต็มจานอยู่เลย

“ขอโทษครับ” ผมยกมือไหว้ ไอ้เคตบจับไหล่ผม “ไม่เป็นไรนะเพื่อน”

“บางทีอามก็ควรเจออะไรหนักๆบ้างนะ” พี่พูดแบบนี้ได้ไง ผมเป็นเด็กดีจะตาย
   
ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่อยากแกล้งอรเล่น” ผมหน้าสลด ก้มหน้าตามไอ้จิ อรหัวเราะคิกคัก เออยอม

“แต่ถ้ายังทำแบบนี้ มันก็สมควรโดนด่านะ จำไว้” เห็นพี่เขาชอบยิ้ม ก็มีมุมโหดๆ แบบมุ้งมิ้ง ที่ทำเอาผมไม่กล้าเถียงได้เลย เขาเป็นเหมือนพี่ชายที่คอยดูแลน้องๆในห้อง คอยประสานงานกับไอ้เอยในฐานะรองหัวหน้าห้อง และเป็นผู้ชายที่อบอุ่นมาก แต่แปลกที่เขาไม่อยากให้ใครมารู้จัก คงไม่อยากเป็นเหมือนไอ้ไทหรอกมั้ง รายนั้นถึงขั้นทำเฟซเอฟซีให้เลย แถมติดไอ้เคแจตลอด ไอ้เคก็ทำตัวเหมือนเป็นเด็กไปได้ 17 แล้วนะ ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นผู้ชายอกสามศอก หรือ สองคืบหว่า?

ผมเหลือบหันไปมองไอ้เอยที่กำลังคุยโทรศัพท์ เหมือนกำลังจะคุยอยู่กับคุณครูอยู่ด้วย มีเรื่องอะไรน่ะ ถึงได้เรียกพวกเรามาที่นี่ น่าสงสัยที่สุด “คะๆ อ๋อ ได้คะ เดี๋ยวจะรีบดำเนินการให้ทันภายในวันพุธนะคะ สวัสดีคะ” ไอ้เอยวางโทรศัพท์ ผมถามทันที “ครูโทรมาทำไมวะ?” เอยวางช้อนลง มองผมกับพวกไอ้เค แล้วพูดออกมาท่าทางจริงจัง

“พวกมึงรู้แล้วใช่มั้ยว่าอีกไม่กี่อาทิตย์จะมีงานวันอาเซียนประจำปีนี้”

“อ๋อ รู้แล้ว ที่จะให้ห้องเราเป็นคนจัดใช่มั้ย” พี่กู๊ดตอบอย่างรู้ดี ยกเว้นที่ผมนั่งฟังเงียบๆเหมือนกับไอ้เค คือลืมไปเลยนะเนี่ยว่านี่เดือนสิงหาคม ก็ว่าอยู่ว่าทำไมเห็นเอยเข้าห้องพักครูสังคมบ่อยๆ ที่แท้ก็แอบเป็นแม่งานนี้สินะ “กูเลยคิดว่าเราจะจัดให้มีการแต่งกายประจำชาติทั้งสิบประเทศอาเซียน คิดว่าไง?” มันมองเหมือนอยากฟังความคิดเห็นของผม

“ก็ดีนะ คนดูจะได้รู้ว่ามีประเทศไหนบ้าง เป็นยังไงในแต่ละประเทศ” ผมบอกตามความเห็นของผม เธอหันมายิ้มก่อนจะบอกกับผม   ”ถูก และสำหรับมึง พี่ เค และปืน กูมีอะไรที่พิเศษกว่า”  ไอ้เคถาม “แล้วทำไมต้องเป็นพวกกู 4 คนด้วยวะ มันแหม่งๆ” “เพราะพวกมึงอยู่ในตำแหน่งที่พวกมึงก็รู้อยู่แล้วว่าคืออะไร เพราะงั้นกูจะไม่พูดอะไรมาก นี่คือสิ่งที่พวกมึงจะได้ทำในงานอาเซียน....” เอยทำท่าจะพูด ทุกคนนั่งฟังบนโต๊ะอย่างใจจดใจจ่อ แต่บอกตรงๆ ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ โดยเฉพาะได้เมื่อเห็นรอยยิ้มเธอที่ดูน่ากลัวแปลกๆ ผมกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อมั่นใจได้ทันที

ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อผมแน่ๆ...


เนื่องจากเกินตัวอักษรจึงต้องเเบ่งออกเป็นสองพาร์ทนะครับ...

ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
JUST 3. SIDE BY SIDE (PART 1)

“ยังไงก็ไม่เอา ไม่เอาเด็ดขาด!!”

ผมพูดในขณะที่เดินออกมาจากห้องเรียน หลังเลิกคาบเสร็จ เอยเดินขนาบข้างตามมาขอร้องผมกับเรื่องบ้าๆ เมื่อตอนเที่ยง บอกแล้วว่าผมควรจะเปลี่ยนใจตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นไงละ โดนต้อนจนมุม

“นะๆ ถือว่าเป็นงานของโรงเรียน ถ้ามึงไม่ช่วยก็ไม่มีคนอื่นแล้วนะ” มันดึงแขนผมไว้

ผมอยากจะสะบัดแล้ววิ่งจริงๆ แต่ผมก็ไม่ทำ เพราะแรงผมเยอะ เดี๋ยวจะทำร้ายเธอเปล่าๆ เพราะงั้นคุยด้วยเหตุและผลดีกว่า น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว แต่ว่าผมคงเพิ่มดีกรีอารมณ์หน่อยๆ เพื่อความหนักแน่น

“งานโรงเรียน แล้วกูล่ะ นี่มึงเห็นกูเป็นเพื่อนหรือว่าตัวตลกวะ”

ผมหันไปบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ คือเหตุผลมีครับ แต่บางทีผมต้องใช้ไม้แข็งบ้าง

“เอาเข้าจริงๆ ก็แค่หาคนอื่นมาแทน มันจะยากอะไรวะ ยังไงกูก็ทำไม่ได้จริงๆว่ะมึง” ผมเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นหน้าหงอยๆ ของคนที่ฟังอยู่ มันแรงไปมั้ยนะ มันทำหน้าเลิ่กลั่กๆ พูดต่อจนผมส่ายหน้าเบาๆกับความคิดของมัน

 “มึงเป็นเพื่อนรักกูนะเว้ย มีแค่พวกมึง 4...”

“2 ตะหาก” ผมยกนิ้วสองนิ้ว ขัดไว้ ถ้าจะให้พูดแล้วมันก็น่าอับอายขายขี้หน้าผู้ชายอย่างผมที่สุด เรื่องอะไรเหรอ

ให้ผมย้อนกลับไปตอนที่ประชุมแล้วกัน...ง่ายดี

“นี่คือสิ่งที่พวกมึงจะได้ทำในงานอาเซียนปีนี้....”

ผมนั่งรออยู่นานจนจะเลิกตื่นเต้นแล้ว “อะไรล่ะ รีบบอกซะทีดิวะ เดี๋ยวออดก่อนพอดี” ไอ้เครีบบอกกับเอยให้รีบพูด ทำดีมากเพื่อนเอ๋ย แบบนี้สิถึงจะเป็นลูกผู้ชายที่กล้า กล้าปะทะกับผู้หญิง มันมองพวกผมก่อนจะยิ้มแล้วผายมือขึ้น

“เดินแบบโชว์ชุดอาเซียนเซตคู่เต้น”

“เซตคู่ ได้ๆ”  ผมพยักหน้าเหมือนยอมรับ

เดี๋ยวก่อนนะ ก็หมายถึง กู ไอ้เค พี่กู๊ด และก็ไอ้....   

“พวกมึงจะได้เดินแบบประจำชาติต่อไปนี้...” มันพูดต่อ เหมือนพวกเราเข้าใจ ไม่เข้าใจเว้ย

“เดี๋ยวๆทำไมต้องเป็นพวกกูละ” ผมห้ามเธอเอาไว้ก่อนที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้

“ลืมไปแล้วเหรอว่าพวกมึงน่ะได้ตำแหน่งผัวเมียจากกูนะเอามาใช้สิ เอามาใช้สิ” เอาแล้วไง เข้าเรื่องวายวอดกูอีกแล้วไง

“ไอ้ตำแหน่งบ้าๆนี่ยังพอรับไหว แต่เรื่องเดินแบบกับมัน กูทำไม่ได้ยังไงก็ทำไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น..”

ผมชะงักก่อนจะหยุดพูด เอยมองหน้าสงสัย ผมบอกไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องที่ดี ผมเกาหัวตัวเอง พยายามบอกกับมันด้วยเหตุผลอ้อมๆ

   “เพราะว่ากู...”

   “มันชอบไอ้ปืนไงล่ะ!”

เสียงไอ้อรที่แป๋นออกมากลางวง ทำให้ผมนิ่งทำหน้าไม่ถูก เเล้วหันไปมองอย่างอาฆาต ตัว ไอ้คนพูดก็ทำลอยหน้าลอยตา เดี๋ยวคราวนี้จะไม่ใช่ข้าวสวยแล้วนะ พี่กู๊ดกับไอ้เคก็มองผมด้วย “ไม่ใช่! คือทำไมไม่เป็นผู้หญิงจริงๆวะ แล้วให้ไปจับคู่กันเองมันไม่ง่ายกว่าเหรอ” คิดออกพอดี ทำไมไม่คิดให้เร็วกว่านี้วะไอ้อาม  เธอก็จ้องหน้าผมแล้วก็พูดออกมา

“ก็บอกแล้วว่าพวกมึง เท่านั้น” ยิ้มหวานแต่น่าสยดสยองสำหรับผม

“ให้กูกับไอ้ปืนขึ้นเวทีของโรงเรียน ไม่กลัวเวทีล่มเหรอวะ ก็รู้อยู่ว่ากูห่วยเรื่องเต้นรำ”

ตอนม.4 ได้เกรด 2.5 ก็บุญแล้ว ไม่เห็นสำคัญเลยไอ้วิชาแบบนั้น แถมจับคู่ใครไม่จับ ไปจับกับไอ้โล่อีก หนอยแนะ มันเล่นจับเอวจับมือผมแล้วก็ยิ้มร้าบใส่ ผมเองก็ซื่อบื้อเห็นว่าเป็นคะแนนก็ยอมๆไป แต่ใจจริง ผมอยากจะจับคู่กับพี่กู๊ดมากกว่า ส่วนไอ้ปืนตอนนั้นผมไม่ได้สนิทมันตอนนั้น เลยไม่ค่อยสนใจอะไร แต่ผมเห็นว่าแม่งเต้นเก่งจริง แหงล่ะ บ้านคนมีเงินก็งี้ ต้องฝึกไว้ให้ดีๆ ไม่งั้นเสียหน้าหมด

มันกลับส่ายหน้า

“ไม่กลัว เพราะนั่นคือสิ่งที่กูหวังไว้อยู่แล้ว” มันชี้หน้าที่ผม

หวัง หวังอะไร ไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจสักนิด

“ก็เอาเป็นว่า พวกมึงสำคัญแล้วกัน และไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์ว่าคนจะมองพวกมึงเป็นเกย์ เป็นแต๋วหรอกนะ มึงก็เปิดกว้างอยู่ใช่มั้ย?”

“มันจะเป็นยังไง ในเมื่อพวกเราเป็นผู้ชายกันหมด” พี่กู๊ดพูดบ้าง

“มีวิธี” เธอหันไปซุบซิบกับไอ้อรก่อนจะยิ้มคิกคักเหมือนชอบใจ นี่แหละผมถึงกลัวเวลาผู้หญิงหัวเราะ เพราะมันมีแต่เรื่องที่คาดไม่ถึงทั้งนั้น

“ก็จับมึง กับ ไอ้เคแต่งเป็นผู้หญิงซะ ก็จบ” ผมไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย เธอคิดอะไรอยู่ในหัวเนี่ยถึงได้พูดออกมาแบบนี้ “พวกมึงจะบ้าเหรอ พวกกูเป็นผู้ชายทั้งแท่งนะ!” ผมโวยวายค้านสุดฤทธิ์ “ใช่ๆ ทำไมไม่เอาผู้หญิงจริงๆละ” ไอ้เคตามสำทับ  ผมมองหน้ามันเป็นเชิงคำตอบ ผมยอมรับนะว่าตัวขาว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเหมือนผู้หญิง ไอ้เคก็ด้วย ไม่ใช่คนที่จะไปแต่งตัวสวยๆแล้วเหมือนผู้หญิงได้หรอก

เธอมองผม ไอ้เค พี่กู๊ด พวกผมพยักหน้าแทนคำตอบ “ไม่ต้องห่วง พวกมึงไม่เสียอะไรทั้งนั้น เพราะพวกมึงจะอยู่ในฐานะคู่ชายหญิงแบบทั่วไป” หมายความว่าไงชายหรือหญิง คือจะให้กูสลับร่างกับมึงใช่มั้ย มา! เอาหัวมากูจะโขกหัวมึงเอง นี่อาจารย์ยอมรับความคิดแบบนี้ของมันได้ไง 

“คนอื่นเสีย กูอ่ะเสียนะเว้ย ถ้ามีคนรู้ กูไม่โดนแซวแย่เลยเหรอ”
“มึงจะไปแคร์ทำไม มึงทำเพื่อโรงเรียน ทำเพื่อกูนะเว้ย”

ผมไม่ได้จะเหยียดเพศที่สาม ผมแค่รู้สึกว่าให้เต้นรำว่าแย่ แต่ให้แต่งตัวเป็นผู้หญิงมันแปลกมากสำหรับผม ทำไมไม่ใช่แนวๆแบบเจ้าบ่าวกับเจ้าบ่าวแบบที่นานาชาติเขายอมรับ ผมอาจจะพอโอนอ่อนลงบ้างก็ได้ คือผมว่ามันดูดีกว่าแต่งหญิง มันตลกและก็น่าอายมาก ผมไม่รู้จะเถียงยังไง พี่กู๊ดเห็นผมไม่พูดอะไรพูดขึ้นบ้างด้วยท่าทางมั่นใจ

“เอาด้วย พี่ก็ว่างั้น ไม่แย่เท่าไหร่” พี่เขายกมือขึ้นเป็นหนึ่งเสียง

“หา”

สิ่งที่ผมให้ผมอึ้งคือ พี่กู๊ดยอมรับได้ เฮ้ย ใช่สิ พี่ไม่ได้มาแต่งตัวเป็นหญิงเหมือนเรานี่นา เอาไงดี พูดให้มันฟัง มันคงไม่ฟังอะไรแล้ว ความคิดเผด็จการ (ถึงพวกไอ้เคจะยอมรับดื้อๆก็เหอะ) แต่ผมน่ะเป็นอิสระ คิดได้แล้ก็เอาจานไปเก็บดีกว่าจะได้ไปจากตรงนี้ ไปให้ไกลๆ เดี๋ยวก็ลืมไปเอง แต่ทว่า “ถ้าพี่กู๊ดเอา ผมก็เอา” ผมหันขวับทันที ไอ้เคมึงเป็นเมียเขาเหรอวะ ถึงได้ตามขนาดนั้น ไม่ได้การ รีบลุกขึ้นเดินเนียนๆไปดีกว่า ผมลุกขึ้นก่อนจะก้าวขาออก ดูท่าจะรู้ทันเลยถามผม

“จะไปไหนเหรอ”

“ไปเก็บจานนะอีก 5 นาทีก็เข้าคาบเรียนแล้ว เดี๋ยวไม่ทันคาบ”

“มานั่งก่อนเลย! เดี๋ยวไปเก็บด้วยกัน”


ผมนั่งลงที่เดิมพลางมองไอ้เคกับพี่กู๊ดที่สายตาจริงจังและกำลังมองมาที่ผมเช่นเดียวกัน “เอาละ คู่นี้ได้แล้ว ส่วนคู่นี้ละ” เอยหันมามองผมกับไอ้ปืน ผมส่ายหน้ามึนๆแทนคำตอบ ไอ้เอยพยายามส่งสายตาปิ๊งๆมาให้ เหอะ ไม่หลงกลหรอก “ไม่เอา! ไอ้ปืนยังไม่รู้ แต่ถ้ากูไปบอกมัน มันก็ต้องไม่เอาแน่ๆ เสียใจด้วยนะ ที่จะไม่มีกูกับไอ้ปืนได้เต้นแน่” เธอทำหน้าพูดไม่ออก ผมยิ้มชั่วร้าย คนฉลาดก็ต้องร้ายแบบนี้ละ เอยมึงน่ะ รู้จักกูน้อยไป

แต่ว่า…พอไปเรียกมันมาคุย มันเสือกตอบ

“เอาดิ”

“หา!?” ผมอ้าปากค้าง เมื่อคำตอบที่ได้มากลับไม่เป็นตามที่คาดการณ์ วันนี้มันเกิดบ้าอะไรถึงได้ตอบตกลงเดินแบบกับผม กับเพศเดียวกัน และไอ้คนแบบผม เอยยิ้มสะใจอย่างเห็นได้ชัด
“มึงพูดเล่นป่าววะปืน กับกูนะเว้ย ผู้ชาย” ผมสีหน้าตื่นจับไหล่ของมันทั้งสองข้างเขย่าไปมา “กูพูดจริง” มันจับมือผมไว้ มองหน้าผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ผมรีบสะบัดมือออก ทั้งๆที่ใจจริงจะบิดแขนแม่งแล้ว ยังจะมาเล่นอีกนะ

“ไอ้เชี่ย! อย่ามาตลก ไม่ขำนะ” ผมด่ามันระหว่างที่กำลังมึนงงและโคตรจะสับสน ก่อนจะตามมาด้วยคำพูดที่เป็นเหมือนระเบิดสมองผม

“กูไม่เคยเล่นตลก” ไอ้คนเจ้าแผนการมองแล้วก็ยิ้มบอก

“เอาเป็นว่ามึงตกลงนะ ก็เหลือแต่มึงแหละอาม” มันหันมามองผมอีกครั้ง ให้ตายยังไง ผมก็ไม่เดิน โดยเฉพาะให้ลูกผู้ชายอย่างผมๆผแต่งตัวเป็นผู้หญิง ลิงแต่งตัวชัดๆ ลิงแบบงานวัดที่เเต่งหน้าจัดๆ อ่ะ ไม่นะ ยิ่งโดยเฉพาะกับเพื่อนสนิทที่ผมยังรู้สึกไม่ค่อยสนิทใจอย่างมันด้วย

ไม่ไหวหรอก ไม่รู้ผมจะทำอะไรแย่ๆลงไปบ้าง และดีไม่ดี ผมต้องอับอายแน่ๆ ผมเหลือบไปมองมันเหมือนมันจะยิ้ม ยิ้มอะไรของมัน?

แล้วการตามให้ผมไปเป็นนาย(นาง)แบบของเธอก็มาถึงตอนเย็นจนได้ ก็เล่นมานั่งข้างโต๊ะตามตอแยอยู่นั่นแหละ บางทีก็อยากไปถามอาจารย์ที่คุมงานให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ไม่กล้า กลัวจะกลายเป็นว่าเขาเห็นดี แล้วผมจะได้กระโดดตึกแทน ทำงานก็ไม่สะดวก ซ้ายก็หัวหน้าห้อง ขวาก็ไอ้เชี่ยตัวหนึ่ง โว้ย!! วันนี้มันวันอะไรวะเนี่ย ตั้งแต่เช้ามีแต่เรื่อง ตอนบ่ายก็มีคนมาเจ๊าะแจ๊ะ ผมล่ะเพลีย ดีนะที่ส่งงานผ่านไม่งั้นนะ ผมคงสติแตก
   
กลับมาปัจจุบันเถอะ...

“อาม มึงก็รู้ว่างานนี้กูเป็นคนจัดการ ก็ยอมๆไปเถอะ”

“เป็นมึงจะยอมได้มั้ย ให้แต่งตัวเป็นผู้หญิง”

“ได้สิ ถ้าเพื่อเพื่อน ก็ทำได้หมดแหละ”

“ไม่ ให้ตาย ก็ไม่มีวัน!”

“ทำไมมึงดื้อด้านแบบนี้วะ! มันเป็นอะไรนักหนาเหรอ แค่แต่งวันเดียว ไม่ได้ให้แต่งตลอดชีวิตนะเว้ย มึงไม่สงสารกูก็ช่วยโรงเรียนเหอะ มึงอ่ะเคยทำอะไรให้โรงเรียนบ้าง นอกจากเล่นดนตรีในวงโย” เธอขึ้นเสียงเริ่มหมดความอดทน เมื่อเห็นผมยังยืนกรานที่จะไม่ทำในสิ่งที่เธอต้องการ

“อย่างน้อยกูก็เคยเล่นดนตรีในงานต่างๆ มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอวะ” ผมเคยอยู่วงโยมาเทอมก่อน ตอนนี้ออกมาละ

“อาม กูขอร้องล่ะนะ ช่วยกูเหอะ กว่าจะอนุมัติงานนี้ได้มันไม่ง่ายเลยนะเว้ย”

ผมเห็นเธอเหมือนจะโกรธๆ เลยค่อยๆพูด “มึง ใจเย็นๆก่อน คือกูไม่ได้เรื่องมากหรืออะไรหรอก แต่เพราะกูเป็นแบบนี้ไง กูถึงเป็นให้มึงไม่ได้จริงๆ” ผมชี้ตัวเอง ผมมันไอ้บ้าคนนึง ไม่มีวันเป็นอย่างอื่นได้หรอก ไอ้เอยเงียบเดินมองผม “มึงรู้มั้ยว่ากูหวังไว้มากเลย ว่ามึงจะสวยบนเวที แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว”

เดี๋ยว นี่มันยังเห็นผมเป็นผู้ชายป่าวเนี่ย ผมยืนอึ้ง

มันเงยหน้ามองผมเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นเสียงใส่จนสะดุ้ง เมื่อเห็นท่าทางเเข็งกร้าวของผม

“โอเค!กูอาจจะคิดผิดที่มึงจะยอมช่วย ไม่เป็นไร กูเข้าใจ เดี๋ยวกูไปบอกครูก็ได้ ว่าไม่ต้องมีงาน กูยอมโดนด่าเอง!! เเละจะไม่โทษมึงด้วย อาม มึงเป็นผู้ชายคิดมาก คงจะทำไม่ได้”

้ผมพูดไม่ออกเลย นี่ผมทำผิดไปใช่มั้ย? 

เมื่อเธอพูดเสร็จก็หันหลังก่อนจะเดินออกไป ผมจำได้ว่าก่อนที่เธอจะหันหนีผม น้ำตามันอยู่ที่ดวงตาคู่นั้นของมันแล้ว  ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอวะ แต่ทำไงได้ ผมยืนมองตามเอยจนสุดสายตา ไม่รู้จะทำยังไงต่อไป เสียงดังมาแต่ไกล

“เฮ้ยอาม จะไปห้างใช่ป่ะ ป่ะ งานก็ส่งครูแล้วนี่หว่า” ผมชะงักนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องไปส่งงานเมื่อตอน ไอ้เคเดินมากอดคอผมอย่างสนิทสนม โดยที่มีพี่กู๊ดเดินออกมาด้วยกัน นี่ถ้าไม่คิดว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องนะ คงคิดว่าเป็นแฟนกันแล้ว ไอ้อาม มึงเศร้าอยู่ อย่าจิ้น อย่ามโน ผมค่อยๆผละออกจากร่างไอ้เค หันมาบอกมันด้วยอารมณ์ค่อนข้างขุ่นมัว

“ไว้คราวหลังนะ วันนี้...กูไม่ค่อยสบาย” ไอ้เคเห็นหน้าผมก็ทำหน้างงๆ

“มีปัญหาอะไรเหรอวะ กูก็ไม่ว่ามึงหรอก แต่ทำแบบนี้มันก็ใจร้ายกับไอ้เอยไปหน่อยมั้ยวะ”

ไอ้เพื่อนเลว ตอกย้ำอยู่นั่นแหละ ไปอยู่กับมันเลยมั้ย?

“ใช่ พี่ว่าอามควรจะไปคิดดูดีๆ บางทีมันอาจจะไม่แย่เท่าไหร่ก็ได้นะ อามอาจจะสวยด้วย” ผมอยากหล่ออ่ะ

“แหงสิ พี่แต่งเป็นผู้ชาย” ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพาลคนไปทั่ว

“กูก็แต่งเป็นหญิง กูยังเฉยๆเลย อาม มันไม่เสียหายหรอก แค่ลองดู เชื่อกู”

ไอ้เคตบบ่าให้กำลังใจผมที่กำลังรู้สึกผิด ผมโผเข้าไปกอดไอ้เคทันที

“กูขอโทษจริงๆนะ ไว้วันหลังกูจะพามึงกับพี่ไปเลี้ยง เเต่ตอนนี้กูไม่พร้อมจริงๆ”

“อะไรของมึง” มันทำท่างงๆ แต่ก็ตบหลังเบาๆ มีพี่กู๊ดเคยลูบหัวผมอยู่ด้วย ไม่เเปลกเพราะเราต่างก็ปลอบใจเเบบนี้อยู่ประจำ

“ไม่ต้องรีบหรอกอาม อามแค่ต้องพยายามจัดการ ทบทวนให้ดีๆ แล้วค่อยมาตอบพรุ่งนี้ก็ได้”

พี่กู๊ดนี่ชิลจังเลยเนอะ เขาเป็นที่ปรึกษาได้เสมอ อบอุ่น ถ้าจะมีผู้หญิงมาชอบก็คงไม่แปลก แต่ผมเห็นเคมีระหว่างพี่เขากับไอ้เคมากกว่า จะว่ายังไงดี เอาเป็นว่าผมเห็นแหละ

“เคนะ งั้นกูไปละ กูไปกับพี่กู๊ดก็ได้”

“เออๆ ไปเถิดทั้งคู่ไปสู่ประตูสวรรค์” ผมทำมือโปรยใส่เหมือนดีใจที่เพื่อนจะได้กัน

ผัวะ!

ไอ้เคตบหัวผม เจ็บหัวไม่เป็นไร เจ็บใจมากกว่า ผมน้ำตาไหลออกมาเมื่อเห็นไอ้เคเดินออกไปพร้อมกับพี่กู๊ด ก็ตั้งแต่ขึ้นม.5มา พวกมันก็สนิทกันมาก ไม่แปลกใจถ้าจะโดนจิ้นเป็นผัวเมียฟรุ้งฟริ้งอย่างที่เขาบอก แล้วไหนล่ะ ไอ้ผัวละเหี่ยของผม ทีเวลาแบบนี้หายหัวตลอด ผมผิดเอง ผมมไม่น่าเอาความคิดเพียงชั่ววูบเรื่องภาพลักษณ์มาเป็นข้ออ้างในการหาเหตุผลที่จะไม่ร่วมงาน ผมนี่แม่งโคตรเห็นแก่ตัวเลย

ผมเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ยืนก้มมองพื้นถนนค่อยๆ รำพึงคำที่อยากจะบอกคนที่ผมเพิ่งบอกปฏิเสธไปอย่างไร้ความหมาย ผมเช็ดน้ำตาเล็กน้อย น้ำตาผมหยุดไหลตั้งแต่ผมต้องปั้นหน้านิ่งตอนเดินลงมาจากอาคารแล้ว รอบตัวคึกคักยังไง สุดท้ายผมก็อยู่คนเดียวอยู่ดีกับหูฟังของผมที่เสียบไว้ที่หูทั้งสองข้างของผม

คำขอโทษของผมคงทำได้แค่พูดเบาๆและไม่มีใครได้ยิน ต่อให้คนอยู่บริเวณนี้ก็ตาม ผมทำเกินไปจริงๆใช่มั้ย ผมเคยบอกกับเอย ว่าผมเพื่อมันทำได้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้ ผมทำไม่ได้เลยสักนิดเดียว ผมหันหลังจะเดินไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าป้ายของโรงเรียน ก็ต้องชนกับคนที่เดินสวนมา จนผมชะงักเล็กน้อย ดีที่แว่นตาที่ผมสวมอยูตั้งแต่เช้าไม่หล่น ไม่งั้น ผมคงจะด่าแหลกไปแล้ว แต่แค่ตอนนี้ผมก็ไม่มีกระจิตกระใจจะว่าอะไร


“ขอโทษครับที่ชน” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ

ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นหน้าของคนที่ผมเพิ่งจะชนไป ก่อนจะเห็นเป็น ไอ้ผัวละเหี่ยใจของผม ไอ้ปืน ไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้ผมจะด้อยค่ากว่ามันซะด้วยซ้ำ น่าเจ็บใจชะมัดเลย

“ซุ่มซ่ามว่ะมึง ร้องไห้อีก ขี้แยไปมั้ยครับ คุณแฟน”

ไอ้ปืนจับแขนผมยื่นหน้ามาใกล้ๆเเบบที่ชอบทำ

“ไม่ใช่แล้วเว้ย!!”


ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้
«ตอบ #6 เมื่อ17-06-2017 21:40:52 »

JUST 3. SIDE BY SIDE (PART 2)

ผมโวยวายจะทุบอกมันแต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้นผมก็ซบที่ไหล่มัน รู้สึกอึดอัดในใจไปหมด มันค่อยๆลูบหัวเบาๆ ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ความรู้สึกผิดก็ยังคงมีมากกว่าเเค่นั้น น้ำตาผมเริ่มไหลออกมา ทุบไหล่มันเหมือนอยากได้ที่ระบายความอึดอัดออกไป (เเอบเนียนเช็ดหน้าตัวเองด้วยเเหละ) ไม่สนคนรอบๆ ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ วันนี้มันวันบ้าอะไรอีกเนี่ย

“กูมีเหตุผลนะ เเต่กูก็ไม่อยากให้เป็นเเบบนี้”

“เฮ้ย อย่าร้องไห้ โตเป็นควายยังร้องไห้อีก”

“เออดิ ตอนนี้กูเป็นควาย เป็นควายที่ร้องไห้เป็นเเล้ว!!” ผมโวยวายใส่ เหมือนจะรับมุขเเต่ก็ไม่ใช่

"เเล้วอย่ามาเนียนเช็.." ผมพูดต่อเลยไม่ได้ยินมันพูดจบ

“พากูกลับบ้านเหอะ กูไม่อยากไปไหนแล้ว” มันไม่ทำอะไรนอกจากปล่อยให้ผมร้องไห้ออกมาตรงเสื้อมันและลูบหัวผมเบาๆ ท่ามกลางสายตาของพวกเด็กผู้หญิงที่อยู่ทางป้ายรถเมล์ อย่างน้อยก็คงพอให้ผมไม่รู้สึกแย่ไปกว่านี้ ผมขอแค่นี้จริงๆ ไม่ต้องพูดอะไร แค่ปลอบใจผมก็พอ พอเเล้ว

มันมาส่งที่หน้าบ้านผมอีกตามเคย ผมที่หน้าโทรมเพราะร้องไห้หนักมาตลอดทาง เสื้อนักเรียนไอ้ปืนคงเปียกจนเเฉะ กำลังไขประตูเข้าบ้าน

“เฮ้!” มันเรียกผม “ป้าอิงไปไหน?”

ผมหันไปบอก “แม่กูโทรบอกว่า ซื้อของ” ไขเสร็จพอดีเลย

“ให้กูเข้าไปมั้ย? ไปอยู่เป็นเพื่อนมึงไง” มันถามผมเมื่อผมเปิดประตู ผมหันบอก “อย่าจอดมอไซค์ขวางประตูบ้านแล้วกัน” ผมเดินเข้ามาในบ้าน ก่อนจะนั่งทรุดลงที่โซฟาห้องรับเเขกด้วยความเหนื่อย มันที่เพิ่งเดินตามเข้ามามองผมถาม

“มึงซีเรียสจริงๆเหรอวะ” กูขำมั้ง เห็นหน้ามั้ย? ไม่เอาๆ

“เออดิ ทำเพื่อนเสียใจ ใครมันจะไปอารมณ์ดีได้ลงวะ” ผมเอามือก่ายหน้าผาก อารมณ์เศร้าลดลง มีแต่ความรู้สึกผิด มันค่อยๆนั่งลงตรงโซฟาข้างผม “กูถามจริงเหอะ มึงกลัวอะไรของมึง ไอ้เคกับพี่กู๊ดยังไม่เป็นเลย” ถามตรงๆแบบนี้ จะไปตอบยังไงดีวะ หรือว่าจะแกล้งร้องไห้ดี เอาวะ

“มึงจะอยากรู้ไปทำไมเหรอ..ฮึกๆ เเอ้ เเหะๆ”

เอามือปิดหน้าแล้วก็ทำเสียงสะอื้น สั่งน้ำมูก อย่าลืมยกคอ ส่งเสียงร้องแบบเด็กๆให้ดูมีอินเนอร์อย่างหนังที่ดูมา

ดูน่าเกลียดมาก เพราะอินเนอร์มาเต็ม ผมเหลือบมองมัน

“อย่าตอแหล” มันเปิดมือที่ผมปิดออก ผมมองหน้ามัน ก่อนจะยิ้มแหยๆ แม่งเสือกรู้ทันซะงั้น

“เออ ไอ้ปืน พูดตรงๆนะ อาจเป็นเพราะกูสนิทกับผู้ชายน้อยมั้ง กูเลยยังสนิทใจกับมึงไม่ได้ นอกจากพวกนั้นอ่ะ” ผมพูดตรงๆ เพราะผมจำได้ว่าตอนม.4 มันเคยกวนตีนผมก่อน ไม่รู้ไปไงมาไงถึงมาสนิทแบบนี้

มันโค้งคอลงมาเหมือนเสี่ยเเก่ที่อยู่ในละคร “ไม กลัวโดนปล้ำเหรอ?” ผมทำหน้าโหดใส่เป็นเชิงว่าไม่อยากตอบโต้ ขอเอาหน้าตาสู้แล้วกัน     

 “แต่อย่างน้อยก็สนิทกับมึงได้นิดนึงแล้วนะยอมรับเลยว่ากูไม่ค่อยพาเพื่อนเข้าบ้านหรอก บ้านกูมันเล็กแบบนี้ ไม่ได้รวยเหมือนบ้านมึง” ก็บ้านมัน ยังกับบ้านทรายทองขนาดย่อมๆ มันยกมือห้าม

“เฮ้ยๆ ก็แค่ตอนงานเลี้ยงแหละ สุดท้ายก็มีแค่กูคนเดียวอยู่ดี”

มันหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะถามผม “แล้วมึงโหดจริงรึเปล่าวะ”

ผมมองหน้ามันนิ่งๆ กลัวใช่มั้ยละ ผมนี่ขาโหดจำเป็นของโรงเรียนเก่า ถุ้ย! ตบยุงยังลังเลเลย

“ก็นะ โหด เเต่โหดเรื่องเรียน เมื่อก่อนกูเป็นเด็กเรียนปกติ แต่โดนแกล้ง มีครั้งนึงที่กูเผลอตอบโต้คนที่แกล้งกูหนักไปหน่อย ตกบันได ตอนนั้นกูยอมรับว่าสะใจ แต่ก็เสียใจอยู่เหมือนกัน ดีที่ผอ.ไม่เล่นกู ตั้งแต่นั้นกูก็เปลี่ยนลุคใหม่จะได้ไม่มีใครมาแกล้ง...มึงถามกูทำไมวะ กูเคยบอกมึงหลายครั้งแล้ว หรือลืม?”

มันนั่งฟังเหมือนหลุดไปในภวังค์ของผม แต่ก็ไม่ค่อยอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ผมนั่งจ้อง

"เฮ้ๆ กลับมาก่อน จบเเล้ว" ผมยกมือส่ายไปมา มันยังไม่ตื่น เลยเปลี่ยนเป็นยกนิ้วกลางใส่หน้า

หมับ!

"ตลกเหรอ"

มันคว้ามือของผมหมับ ทำท่าจะกัด ผมรีบชักมือหนี มันขัดๆเขินๆแปลกๆ เป็นอะไรของมัน อินมากรึไง

“ก็แค่...อยากทำความรู้จักมึงให้มากขึ้น ก็เท่านั้น มึงก็เพื่อนกูใช่มั้ยวะ”

เป็นคนรู้จักมั้ง ให้มานั่งใกล้ขนาดนี้

“เออ นี่ยังไม่มากพอรึไงงงง” ผมลากเสียงให้ แต่ว่ามันก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม เพียงแค่อึดใจ ก็กลับไปเหมือนเดิม ผมมองยิ่งสงสัยเข้าไปอีก

“ทำอะไร”

“จ้องมึง จะได้จำได้ ว่านี่คือเพื่อนสนิทของกู”

“เวอร์ๆ ไปไกลๆเลย เดี๋ยวเอาตีนยันเลย ไปไกลๆ” ผมดันหน้ามันออก ทำตัวบ้าบอ หน้าตาก็ดีนะ เเต่ที่ไม่มีคนมาจีบ คงเพราะกวนประสาทเหมือนคนเมายานี่เเหละ หน้ามันตี๋หล่ออยู่นะ เเต่ถ้ามองดีๆ เเม่งเหม่อๆ งงๆ ฉิบหาย

“ไม่เวอร์เว้ย!” มันดีนะ ถึงบางครั้งก็น่ารำคาญ แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าขาดมันไม่ได้ นี่ใช่มั้ยที่เรียกว่า “ความผูกพัน” ไอ้ปืนหัวเราะสักพักก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่ง ค่อยๆพูดออกมา

“กูอยากรู้ว่า มึงชอบเอยรึเปล่า” ผมหันมองอย่างรวดเร็ว

"หะ?"

ทำไมมันถึงถามแบบนี้กับผมละ ผมก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกสักเท่าไหร่ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นอาจจะใช่นะ เพราะมันก็เป็นผู้หญิงที๋โคตรเป็นตัวของตัวเอง ถ้าไม่ติดที่ชอบเล่นตลกร้ายกับผม ตั้งเเต่รู้ว่าผมเป็นหนุ่มวาย ก็ยัดเยียดคำว่า เคะ โดนกดเเน่ มาตลอด จนโดนผมด่า ผมว่า “เพื่อนสนิท” น่าจะสมกับฐานะของเธอมากที่สุดแล้ว ไม่รู้สินะ เรื่องชอบไม่ชอบมันไม่มีอยู่แล้วตอนนี้สำหรับผม ผมไม่คิดว่าจะมีใครมาสนใจหรอก

“ไม่รู้สิ รู้แต่ว่ากูรักมันมากเลย กูชอบมั้ยล่ะ?” ผมเหลือบมองปฏิกิริยาของมันเล็กน้อย

“ชอบมากกว่ากูป่าว”

"มากกกกก” ผมแกล้งพูดลากเสียงใส่ มันลุกขึ้นสะพายกระเป๋าเตรียมเดินออกจากบ้าน

“กูกลับล่ะ” อะไรของเมิงงงงงงงง มันเกี่ยวอะไรวะ?

“เฮ้ย กูล้อเล่น ไม่แพ้มันหรอกนะ ไอ้ปืน กูรักมึงนะ” ผมกอดคอมัน หยิกหน้ามันด้วยจะได้ไม่งอน ผู้ชายห่าอะไรวะ ต้องให้ง้อตลอดรึยังไง เป็นแบบนี้ทุกทีเวลาพูดถึงไอ้เอยเนี่ย ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผมไปได้ แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกอึดอัดสักเท่าไหร่ แต่เวลามันแตะต้องตัวผม มันรู้สึกแปลกๆ ซึ่งหาคำอธิบายไม่ได้เหมือนกัน ว่ามันคืออะไร เเต่ผมพอจะเดาออกว่า

ขนลุก!
 
“แล้วถ้าตอนนี้มึงสนิทใจกับกูแล้ว ก็เดินแบบให้มันได้ใช่มั้ย?”

ถามว่าพร้อมมั้ย ก็พร้อมแล้ว แต่ยังมีบางอย่างที่แหม่งๆอยู่ ก็ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน แต่คงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง

“ได้น่ะได้ แต่ว่าจะไม่มีใครขำกูใช่มั้ย ไอ้คนอย่างกู ใส่วิก แต่งหญิงมันไม่ใช่วะ ตอนเด็กๆ มันอาจจะเป็นแค่เรื่องปกติ เด็กผู้ชายไม่รู้สึกอะไร แต่พอโตขึ้น เรากลับต้องกลัวว่าคนจะมาว่าเราแทน ว่าไอ้ตุ๊ด ไอ้เกย์ ไอ้อักลี่อะไรทำนองนี้ ซึ่งกูเองก็ไม่อยากจะเป็นแบบนั้นอ่ะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้า เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมา ก่อนจะสะบัดหัว ไม่เอาๆ

“คงจะน่ารักดี ใครจะว่ามึงว่ะ กูว่าแม่งต้องตาถั่วแน่ๆ ดีไม่ดี ไม่มีตาเลย” ผมหัวเราะขำๆ งั้นเหรอ ถนอมน้ำใจดีนะ

“เคยเห็นเหรอ?” ผมถามเหมือนจะลองๆดู ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

“เห็นหน้า ก็..คงจะพอรับได้” แปลกๆแฮะ มันดีรึเปล่า

“ขอโทษแล้วกัน ที่หน้ากูไม่ได้สวยเหมือนผู้หญิงที่มึงชอบมองไปทั่ว” ประชดมัน ก่อนจะลุกขึ้นจะไปเอาไข่ในตู้เย็นจะทำไข่เจียวกิน โดยเฉพาะตอนที่เครียดเนี่ย หิวเว้ย!

“กินป่ะ ทอดให้”

ไม่มีคำพูดใดๆ มันลุกขึ้นก่อนจะเดินตามมาในห้องครัวทันทีพลางแหย่

“จะกินได้เหรอ อาหารฝีมือมึง”

“เดี๋ยวๆถ้าเรื่องที่กูกินก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำส้มแทนน้ำส้มสายชู ไม่ต้องกลัว เพราะกูทำให้คนแดก ซึ่งไม่ใช่กูแดก”

มันก็ไม่เเย่นะ เเค่เปรี้ยวขึ้นเเค่นั้นเอง ก็ไม่เข้าใจทำไมคนถึงคิดว่ามันเเปลก เพราะพอผมไปหาในเว็บ

ที่กำเเพงเพชรเขาก็กินกัน เเถมมีน้ำสตรอว์เบอร์รี่ด้วยนะ

สงสัย คนจะไม่ค่อยรู้จัก หรือไม่อยากกินนั่นเเหละ

ผมเปิดตู้เย็น เจอไข่เหลืออยู่สองฟอง เอาน่าก็แม่บอกอยู่แล้วว่าไปซื้อของ เดี๋ยวก็ได้ของใส่ตู้เย็นเพิ่มละ ผมหยิบออกมา ก่อนจะปิดตู้เย็น เปิดแก๊สก่อนจะตั้งไฟใส่น้ำมัน

“เอ่อ กูว่ามึงคนไข่ก่อนดีมั้ย มึงเปิดแก๊สไว้น้ำมันสุกพอดี”

ผมกำลังตอกไข่อยู่ หันมาโวยใส่ “กูทำทันอยู่น่า” หยิบที่คนไข่ ก่อนจะคนอย่างรวดเร็ว คนอย่างผมถ้าจะทำอะไรก็ทำได้ ไม่ต้องให้มันช่วยหรอก ก่อนจะเทไข่ใส่ลงไป ไข่ในกระทะเป็นแผ่น แต่แล้วผมก็ต้องหลบอย่างรวดเร็ว เนื่องจากน้ำมันกระเด็นใส่ ทั้งร้อนทั้งทำให้สะดุ้งอีก ผมทำประจำแหละ ปลอดภัยไว้ก่อน

“หลบไปเลย ไปหยิบจานมา” มันชี้ไปทางครัว ก่อนจะหยิบตะหลิวในมือของผม แล้วค่อยๆดันร่างผมออกไปจากกระทะ “กูยังไม่อยากเห็นมึงสะดิ้งตอนนี้” นี่บ้านของผม “เดี๋ยวเหอะ ก็มันร้อนนี่หว่า” ผมพูดพลางจับแขนตัวเองที่เหมือนจะโดนเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เก็บจานออกมาก่อนเหลือบมองมันเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับมาที่เดิม

“เสร็จยัง?”

“รีบเหรอ”

“มาเลย ชักช้าวะ” ผมรีบเดินเข้ามาข้างมัน พลางจะหยิบตะหลิวจากมือ มันหันมามองยิ้ม “กูชักเร็วตะหาก”

“ไอ้เชี่ย!! แม่งใช่เรื่องเดียวกันป่ะ”

อยากตบหัวมันมากเลย ที่พูดคำนี้ออกมากูจะกินลงมั้ยเนี่ย

“มึงนี่มันอ่อนจริงๆ” เหอะๆ ใครกันแน่ที่อ่อน “มึงรู้จักกูน้อยไปซะแล้ว ไอ้ปืน” ผมพูดพลางยื่นจานให้ ก่อนที่มันจะยกไข่วางบนจาน รูปร่างเหมือนไข่เจียวทั่วไป แต่ทำไมมันเหมือนไม่ใช่แบบที่แม่ทำเลย

“แค่นี้ ง่ายๆ”

“เดี๋ยวๆ คิดบัญชีทีหลัง”

“อย่าเลยครับเมีย” มันทำหน้าทะเล้นใส่ แต่ผมหันมายิ้มหวาน

“เรียกเเบบนั้นอีก จะเอาน้ำมันที่ทอดไข่เสร็จ มาราดไข่มึง! กรอบเเน่!”

ผมพูดพลางหยิบกระทะที่มีน้ำมันอยู่ มองมาที่มันยิ้มหัวเราะอย่างชั่วร้าย มันที่ทำหน้ากวนประสาทอยู่ก็ทำหน้าเซ็ง ก่อนจะไปนั่งโต๊ะกินข้าว...

“จะเดินมั้ย?” ห้วนๆ งี้เลยเหรอ

“ไม่เอาไง ก็ไปบอกเอยว่ากูจะเดิน” ไข่ของมันอร่อยดีแหะ (ไข่เจียวของมัน)

“จะบอกว่า มึงยอมเดินแบบกับกูแล้ว?”

“เออ กูไม่ได้ทำเพราะมึงหรอกนะ กูทำเพราะเอย” หน้ามันนิ่งสักพักก่อนจะพูด ก็เพื่อมันส่วนนึงเเหละ ทำมาเครียด

“มึงแคร์มันจริงๆว่ะ กูอิจฉา” แล้วจะทำหน้าเศร้าทำไมล่ะเฮ้ย

“ล้อเล่น แคร์หมดแหละ บางทีถ้าได้เดินกับมึง อาจจะดีก็ได้นะ”

ผมตักไข่ในจานกินต่อ

“ก็หวังไว้” มันตักไข่กินต่อ ผมมองมันกิน ทำไมสีหน้าดูเหมือนไม่ดีใจอะไรเลย

“กินข้าวนะเว้ย ทำหน้ามีความสุขหน่อย นี่มึงทำเองนะ”

“งั้นกูขอทำแบบนี้แล้วกัน” ว่าแล้วมันก็ใช้ส้อมตักไข่ไปจากจานใหญ่ไปจานของมันทันที ผมมองอย่างอึ้งๆ แต่ผมก็หยิบส้อมตัวเองมาเอาฝั่งมันบ้าง สงครามไข่เจียวครั้งนี้ ไม่มีใครยอม ผมกับมันจ้องตาไม่มีใครยอมใคร ไอ้ปืนยิ้มก่อนจะค่อยๆส้อมลงแล้วเอาไข่ที่มันเอามา มาให้ผม ผมมองสงสัย แต่เมื่อเห็นไอ้ปืนเป็นแบบนี้ ผมก็เอาของตัวเองให้เหมือนกัน สรุปเราก็แลกไข่กันกิน ก่อนจะหัวเราะให้กันเมื่อเห็นหน้าของอีกฝ่าย

พอกินข้าวเสร็จ ผมนั่งดูทีวีบนโซฟากับมัน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมหันไปมองนาฬิกา 6 โมงแล้วเหรอเนี่ย แม่ยังไม่ถึงเลย จะเป็นไรรึเปล่าเนี่ย ผมหยิบโทรศัพท์กดโทรหา “แม่ ถึงไหนแล้วครับ” “กำลังนั่งรถกลับ เออ แม่ซื้อของที่อามชอบมาเยอะเลยนะ แล้วก็พ่อเพิ่งโทรมาว่า พรุ่งนี้จะกลับมาแล้ว” “จริงเหรอแม่ ดีเลย ไม่ได้เจอตั้งนาน” “เออ เดี๋ยวถึงบ้านเจอกัน”ผมตอบรับด้วยความดีใจก่อนจะกดวางสาย

“แม่มึงว่าไง”

“ก็กำลังนั่งรถกลับ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

“กูกลับก่อนละ เย็นแล้ว เดี๋ยวพ่อกูเป็นห่วงเอา”

“เออๆ โชคดี”

“มึงอย่าลืมกาแฟด้วยล่ะ 2 ถุง หน้าโรงเรียน”

“เออ ไม่ลืมหรอก”

ผมยกมือให้ มันลุกขึ้นก่อนจะเดินเปิดประตูออกไป แล้วก็มีเสียงมอเตอร์ไซค์ดังไกลออกไป...

เป็นอีกวันที่แสนจะวุ่นวายอีกวันของผม ทั้งเรื่องมาสาย ทั้งเรื่องไอ้โล่ และก็เรื่องเอย แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อย ก็ยังมีมันแหละที่อยู่ข้างๆละ แต่ว่าที่มันถามว่ารู้สึกยังไงกับเอย ผมว่ามันก็เป็นห่วงทั้งความรู้สึกกับตัวเธอเอง ซึ่งมันเป็นคนเดียวที่ผมบอกทุกอย่างรองจากเธอ สิ่งหนึ่งที่ผมอยากรู้ในตอนนี้คือ ระหว่างที่มันคอยอยู่ข้างๆผม มันคิดอะไรของมันอยู่กันแน่ ยอมรับว่าการเข้าถึงความคิดคนอื่นเป็นสิ่งที่ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้นะ เพียงแค่ต้องให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ เดี๋ยวก็คงเข้าใจเองแหละ

ขอบใจนะ ไอ้ปืน หวังว่ากูกับมึงจะไม่มีอะไรมาทำลายมิตรภาพของกูกับมึงนะ

ผมถอนหายใจ ก่อนจะปิดทีวี และเปิดเครื่องเสียงที่อยู่ใกล้ๆกับทีวี ก่อนจะหลับตาลงและฟังเพลงเบาๆ รอให้แม่มาถึงบ้านหลังจากที่มันไปแล้ว ผมก็อยู่คนเดียวในบ้านของผม เพลงก็ดังขึ้น ไหงเป็นเพลงเก่าซะได้ นี่พ่อเอาแผ่นเพลงมาใส่ไว้ใช่มั้ยเนี่ย ผมไม่ค่อยอยากฟังเพลงเก่าเลยอ่ะ มันไม่เข้ากับอารมณ์ตอนนี้เลย ดนตรีพาลจะทำให้ผมหลับ แต่เมื่อเนื้อเพลงดังขึ้น ผมจำได้แล้ว เพลงนี้พ่อเคยเปิดให้ฟังอยู่หลายรอบเลยล่ะ ชื่อเพลงไม่เห็นเกี่ยวกับเนื้อร้องเลย

รักในซีเมเจอร์วงแกรนด์เอ็กซ์...ไม่ได้ฟังนานเลยเเหะ

~แอบรักเธอ อยู่ในใจ  เก็บหัวใจไว้ ให้เธอ วันทั้งวันฉันมองเหม่อ คิดถึง..เธอ ทุกเวลา~

แล้วซีเมเจอร์มันมีรักยังไงเพลงไม่บอกเฉย…

พ่อบอกว่าเพลงนี้ถ้ามันดังขึ้นที่ไหน มันหมายความว่า คนฟังกำลังจะมีความรัก

ตลกดีที่ตอนนี้ผมไม่มีเลยอ่ะ แต่ทำไมมันเขินแปลกๆ

เปิดเพลงนอนบนโซฟาคนเดียวก็ไม่แย่เท่าไหร่ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น ก็เห็นรูปที่ถ่ายกับมัน ผมทำหน้านิ่ง แต่ ไอ้ปืนกอดคอผมยิ้มเท่ๆ ตอนนั้นจำได้ว่าใครๆก็มองผมหยิ่ง คือผมทำหน้าไม่ถูกจริงๆเวลาถ่ายรูป รู้สึกว่าฟันตัวเองไม่สวยพอจะถ่าย  แต่มันก็เป็นภาพที่อบอุ่นดี ไม่รู้ว่าตอนนั้นมันคิดยังไง ถึงดึงผมมาถ่ายรูปด้วย เพราะตอนนั้นผมก็แค่นั่งอ่านหนังสืออยู่ แต่ผมก็ไม่เคยมีช่วงเวลาแบบนี้เลย ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมไม่เคยถ่ายรูปกับใครแล้วจะสนิทใจเท่ากับเพื่อนช่วงม.ปลายนี่แหละ เลื่อนไปเรื่อยๆก็เห็นรูปตัวเองหน้าขรึมๆทั้งนั้น แต่ไอ้ปืนก็ยิ้มได้ตลอด ผมยิ้มกับภาพนั้น ก่อนจะตั้งเป็นภาพหน้าจอแทน

~เธอเหมือนฉันหรือเปล่า รักคราวแรกแปลกหนักหนา  สุขๆ ซึ้งๆ ตรึงอุรา สองสายตา ประสานหวานเสียจริง~

เพราะจังเลย ให้อารมณ์เหมือนคนจีบกันใหม่ๆ ยุคที่น่าจะมีแต่เทปคาสเซสเปิดฟังบนรถเวลาเดินทางไปตามที่ต่างๆ

~แอบรักเธอสุขเกินใคร  อยู่หนใดหมายแอบอิง ใจฉันยังหวังเธอยิ่ง ขอรักจริงรักเพียงเธอ~


ดนตรีกีตาร์คลอไปพร้อมๆกับผมที่มองภาพที่ผมถ่ายคู่กับมัน ถ้าผมกำลังมีความรักจริงๆ นี่อาจเป็นมิตรภาพที่ดีของผมกับมัน ไม่ใช่แฟน แต่มันคือเฟรนด์ชิพที่ไม่ต้องการให้อะไรมาเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีมัน ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกที่แสนจะอึดอัดที่ผ่านเข้ามายังไง แต่ตอนนี้ผมเข้าใจและรู้แล้ว ผมเก็บมือถือก่อนจะหลับตาลงพร้อมๆกับเนื้อเพลงร้องซ้ำจะดังขึ้นอีกครั้ง
   
เธอเหมือนฉันหรือเปล่า รักคราวแรกแปลกหนักหนา...

ผมไม่ได้เเอบรักมันหรอกนะ อย่าเข้าใจผิด เเค่เพลงมันเพราะเเค่นั้นเอง

..........................................................................................

หายไปเกือบสามสัปดาห์เลย ต้องขออภัยด้วยนะครับ มีการเเก้ไขเนื้อเรื่องนิดหน่อยครับ
เเต่ตอนนี้เนื้อเรื่องก็กำลังจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ของพวกเขาเเล้ว
เรื่องราวจะเป็นยังไงต้องติดตามนะครับ

เพลง รักในซีเมเจอร์ เป็นเพลงเก่า ของวง เเกรนด์เอ็กซ์ครับ เพลงนี้เป็นเพลงฟังสบายๆเคลิ้บเคลิ้มไปกับเนื้อหาที่เกี่ยวกับการเเอบรัก เเต่ไม่ใช่กับตัวละครอามนะครับ จะเป็นใคร ขออุบไว้ก่อน

ตอนนี้เเต่งตอนที่ 4 ไปได้ครึ่งเรื่องเเล้ว ไม่เเน่อาทิตย์หน้าอาจจะมาอัพต่อนะครับ

ชายที่ใส่เเว่น



ออฟไลน์ GMT101

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้
«ตอบ #7 เมื่อ24-06-2017 17:51:16 »

 :mew1:

ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้ EP.04
«ตอบ #8 เมื่อ02-07-2017 19:14:49 »

JUST 4. RIGHT DECISION (PART I)

“แม่มาแล้วนะ”

ผมค่อยงัวเงียลุกขึ้นจากโซฟา หยิบแว่นตาที่ร่วงอยู่ข้างตัวมาสวม ดีนะที่ไม่นอนทับ ไม่งั้นจ่ายหนักแน่เลย แต่เมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียงพูด ผมรีบกระเด้งตัวจากโซฟามานั่งทันที ผมมองด้วยความสงสัย เพราะไอ้คนที่เพิ่งบอกลาผมไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้กลับมานั่งข้างผม มานั่งจ้องผมตอนนอน มันเห็นผมตอนน้ำลายไหลหรือเปล่ารึเปล่าเนี่ย ไหลไปกี่หยดแล้ววะ ผมรีบเอามือเช็ดปาก ก่อนจะหันไปถาม

“บ้านช่องไม่มีให้กลับรึไง”

“เป็นห่วง”

ผมได้ยินแบบนั้นจริงๆนะ

“หา?”

ผมหันมามองคนที่นั่งกดมือถือ พูดเหมือนไม่สนใจว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง

“เปิดเพลงทิ้งไว้ ไหนบอกบ้านจนไง แล้วทำไมเปิดเพลงแล้วก็หลับ เปลืองไฟนะเว้ย”

“ก็เพลงมันเพราะ กูก็หลับป่ะวะ มึงอ่ะเป็นห่าไร พ่อเป็นห่วงไง” มันทำหน้าไม่พอใจ

“เข้าใจสวนนะ จริงๆ มึงก็หลับไม่ได้นานหรอก เพราะระหว่างขับมอไซค์ น้าอรเจอกูพอดี กูเลยอาสาขับมอเตอร์ไซค์มาส่งข้างในให้ขอบใจบ้างดิ”

“จังหวะดีเนอะ”

“ก็ดีพอที่จะเห็นคนหลับน้ำลายยืดล่ะ” มันพูดพลางหัวเราะ แต่มีสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด

“มึงกัดฟันพูดรึเปล่าเนี่ย”

“ไม่นะ มึงเห็นกูเป็นคนยังไง” มองหน้ากูอีกแล้ว ได้ เล่นแบบนี้

“เป็นคนบ้า”

มันวางมือถือลง ก่อนจะเปลี่ยนใจหันมามองผม ยิ้มเลศนัย

“อย่านะ กูรู้มึงจะทำอะไร”

ผมยกหมัดขึ้น แต่ไม่ทันไอ้ปืนพุ่งเข้าหาผม ก่อนจะรวบแขนผมทั้งสองข้าง แล้วทับร่างผมไว้ ผมจะไม่ดิ้นหรอกนะ แม่น่าจะอยู่ในครัวไม่น่าจะสนใจ แต่ทำไมไม่รีบกลับไปวะ คือขอบคุณมันแหละที่มาส่งแม่ให้ แต่ส่งเสร็จก็ควรจะกลับ ไม่ใช่มากวนตีนคนแบบนี้ มันจ้องหน้าผมที่ไม่ขัดขืน เปล่า ผมบอกแล้วว่าผมจะไม่ดิ้นให้เสียแรง มันคลี่ยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว เหมือนคนโรคจิตอ่ะครับ

“ปากแบบนี้ต้องโดนทำโทษ”
   
“คิดว่าทำได้ก็มา” ผมท้ามัน

ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เล่นกัน เราเล่นแบบนี้ประจำ ถ้าอีกฝ่ายหาโอกาสได้ ผมก็เคยกดมันแบบนี้แหละ แต่ส่วนใหญ่มันจะเป็นฝ่ายกดผมเสมอ ไม่รู้ว่าทำไม ผมแรงน้อยล่ะมั้ง

“พูดแล้วนะ” มันทำมือพร้อมจะลงโทษผม ผมเตรียมมือไว้

มือพุ่งมาทางตัว แต่ผมสะกัดด้วยมือสองข้างไว้ได้ ไอ้ปืนดันสุดฤทธิ์ ผมเองก็ไม่ยอมแพ้มัน งานนี้ผมจะเป็นฝ่ายชัยอีกครั้ง ผมเริ่มดันมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ปืนเริ่มต้านแรงของผมไม่ไหว ผมได้จังหวะจะพุ่งไปหามัน แต่แล้ว แม่ผมก็เดินเข้ามาพอดี ผิดจังหวะแล้วแม่!!

“ตื่นแล้วเหรอ ลูก ปืนเขามาส่งแม่น่ะ” แม่ยิ้มให้ ปลื้มไอ้ห่านี่มาก

และผมก็พลาด... ผมโดนไอ้ปืนพุ่งจั๊กกะจี้จนแทบจะทนไม่ได้ ผมถีบมันกลับ แต่มันไม่ยอม เรากลิ้งไปกลิ้งมา ก่อนที่เสียงมือถือจะดังขึ้น มันล้วงมือถือออกมา พอเห็นหน้าจอ ไอ้ปืนหยุดจ้องหน้าเครียด ผมมองมันเเบบนั้นก็เงียบเเทน

“กูต้องไปละ” มันลุกจากตัวผม ก่อนจะเอาเสื้อเข้าในกางเกง สะพายกระเป๋าออกจากโซฟา ผมลุกขึ้นนั่งมองงงๆ อารมณ์เหมือนเมียที่กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข้ม แต่สามีดันไม่เอาด้ายเข้า (อ่านนิยายวายมากไป) ผมถามมันด้วยความสงสัย เพราะหน้ามันตอนนี้คนละแบบกับตอนแกล้งผมด้วยซ้ำ

“รีบเหรอวะ อยู่ต่อก็ได้ไม่ว่าหรอก”

“เออ เจอกันพรุ่งนี้”

“เจอกัน”

“น้าอรครับ ผมกลับแล้วนะครับ” มันยกมือไหว้แม่ แม่ผมทำหน้างง

“ไม่อยู่รอทานข้าวหน่อยเหรอ”

“ขอบคุณครับ แต่ผมต้องไปแล้ว พ่อผมจะว่าเอา”

"จ๊ะๆ" 

มันเดินออกไป ผมลุกขึ้นไปส่งมันที่หน้าบ้าน มันมองหน้าผมยิ้มเล็กๆ

“เมียจ๋า ผัวขอโทษนะ ไว้วันหลังจะมานอนด้วยโอเคป่ะ”

“รีบไปๆ” ผมยืนกอดอกมอง มันหน้าจ๋อยเล็กๆ แล้วสตาร์ทเครื่องขับออกไป

ผมมองตามมอเตอร์ไซค์ของไอ้ปืน ถอนหายใจออกมา

คราวนี้ คงไม่กลับมาแล้วสินะ...

บ่นไปงั้นแหละ ไม่รู้ทำไม พอไม่มีมัน ผมถึงเศร้าได้ขนาดนี้

หลังทานข้าวเย็นกับแม่เสร็จ ผมขึ้นมาบนห้องจะอาบน้ำ แต่มีเสียงมือถือดังขึ้น ผมหยิบมันขึ้นมา ชื่อของไอ้ม่อนขึ้นหรา ผมกดรับสาย มีเรื่องอะไรปกติจะเเชทมานี่นา

“ฮัลโหล”

“เฮ้ย มึงโอเคป่าว มึงไม่คุยกับใครตั้งแต่ตอนบ่าย กูเป็นห่วงเลยโทรมาหา”

ผมยิ้มเล็กๆ ไอ้ม่อนแม่งก็นะ ทำตัวเหมือนจะห้าว แต่จริงๆมันก็น่ารักอยู่

“โอเค กูแค่เพลียๆ ทำรายงานดึกก็งี้แหละ”

“อ๋อ กับไอ้ปืนอ่ะนะ” น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ผมปรามมัน

“มึงเกลียดอะไรมันนักหนาวะ”

“ทำตัวเป็นลูกคนรวย แล้วก็เก๊ก แถมชอบแกล้งมึงอีก นี่เห็นว่าสนิทกับมึงหรอกนะ ถึงไม่ทำอะไรมาก” ผมนึกถึงเรื่องที่มันด่าไอ้ปืนแล้ว ต้องพูดอะไรหน่อย

“นี่ม่อน มึงไม่ชอบใคร มันก็ไม่ผิด แต่กูไม่เห็นมันจะทำอะไรมึงเลย ถ้ามึงจะเกลียดใครสักคน ควรเป็นคนที่ทำให้มึงรำคาญ กูนึกว่าเป็นไอ้ไทซะอีก กวนประสาทมึงประจำเลย”
   
“เออดิ ไม่รู้เป็นห่าไร เห็นกูเป็นเพื่อนเล่นมั้ง” มันเปลี่ยนเรื่องมาบ่นไอ้ไทแทน กูขอโทษนะไอ้ไท

“เอาน่า มันก็แบบนี้แหละ อย่าถือสาเลยนะ” ผมพยายามพูดให้มันรู้สึกดีขึ้น

“จะพยายามว่ะ ถ้ามึงโอเค กูก็สบายใจ วันนี้เล่นเลฟฟอร์เดดป่ะ?” มันเป็นเพื่อนในเกมด้วยน่ะ

“อีกสักพักเดี๋ยวเข้าไป เจอกัน”

“โอเค”

ผมกดวางสาย ก่อนจะเอนตัวลงกับเตียง มองเพดานอย่างเรื่อยเปื่อย ทำไมผมต้องมานั่งคิดมากถึงมันด้วย มันก็เป็นแบบนี้ประจำ ชอบพูดอะไรแปลกๆให้ผมคิด ทำหน้าเศร้าๆ เหมือนในชีวิตไม่เคยมีความสุขอะไรทำนองนั้น ผมแค่ดีใจที่มีมันอยู่ในตอนเวลาที่ตัวเองกำลังสติแตก ถึงแม้เรื่องที่ผมกำลังเจอมันดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับผมมันก็เป็นเรื่องที่คิดหนักเหมือนกัน ผมน่ะเหรอ เต้นรำ แต่งหน้า ใส่วิก เฮ้อ ผู้ชายที่ไหนเขาจะยอมทำแบบนั้น

ผมไง...ผมทำได้ทุกอย่างแหละเพื่อคนอื่น ไอ้ปืนมันจะไปรู้อะไร มันไม่ต้องดิ้นรนแบบให้ลำบากแบบผมนี่นา

“จะเอางั้นเลยใช่มั้ย” ผมลุกขึ้นจากบนเตียง เดินไปเปิดโน้ตบุ๊คบนโต๊ะ เข้าเฟสบุ๊ค เช็คแป๊บ

OK นะครับ เช็คอินที่ สยาม กับ ดีเนอะ


ผมมองยิ้มพร้อมกับกดไลค์ นี่แหละยาใจหนุ่มวายอย่างผม แถมยอดไลค์เกือบสามสิบไลค์ มีไอ้ไท ไอ้ม่อน ไอ้กอล์ฟ ไอ้เติ้ล ไอ้เคกดเองและก็พี่กู๊ด มีความคิดเห็นยาวเหยียดของสาวๆในห้องที่ไปกริ๊ด โดยเฉพาะ

ไอยะ : ไปเดทกันเหรออออ

ซีน : ฟินนนนน

พี่กู๊ดส่งสติ๊กเกอร์มาหาผมมาทักทายหรือซ้ำเติม

Arms : ไปเดทกันอีกแล้วนะ พี่กู๊ดดด

ดีเนอะ : ไม่ใช่ละๆ ก็ใครกัน นอยด์จนกลับบ้านก่อน

Arms : 5555 ก็มีเรื่องเครียดนี่นา

ดีเนอะ : ถ้าเรื่องเดินแบบอ่ะ พี่อยากให้อามมาด้วยกันนะ

Arms : ผมคิดอยู่

ดีเนอะ : อย่าคิดนานนะ พี่รอ เครอ ปืนเขาก็รอ

Arms : ครับ ก็ไม่อยากจะคิดนานหรอก

ผมมองข้อความสักพักนึงยิ้ม ตัดสินใจได้ โปรแกรมเกมชื่อดังก็เด้งข้อความขึ้นมา

“มาดิ”

ผมยิ้มก่อนจะปิดเฟสบุ๊คและเข้าเกมอย่างที่ตกลงกับกู๊ดไว้

เสียงอะไรสั่น..สงสัยจะเป็นข้อความSMS สมัครนั่นนู่นนี่ หรือไม่ก็ไลน์ส่งเกมมาให้

ตอนนี้ผมต้องเล่นเกมให้ผ่อนคลาย งานเสร็จหมดแล้ว อ่านหนังสือไว้ทีหลังก็ได้มั้ง

“It’s time for fight!”
   

ตอนเช้าแล้ว ผมมาโรงเรียนเช้ากว่าปกติ เพราะไม่อยากให้ไอ้ปืนมาลำบากทำไมถึงลำบาก? อย่าถามมากเลยน่า เอาเป็นว่ามาถึงก็มาถึงแหละ พอมาถึงผมคิดทำอะไรสักอย่าง เพื่อแก้ปัญหา แบบที่เคยผ่านๆมา กับเอย แล้วผมจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามวัยมัธยมปกติสักที ไม่ต้องมาเครียดเรื่องอะไรแบบนี้ ถ้าผมสามารถทำได้ ผมก็จะสามารถผ่านได้ทุกปัญหา ผมไม่ไปหาพวกไอ้เคมันที่โรงอาหาร แต่กลับเดินขึ้นอาคารเรียนแทน

ไอ้เอยมันจะอยู่ที่ห้องตอนเช้าๆ นั่นแหละเหตุผล (บอกแล้วนะ)

ผมเร่งฝีเท้ามาที่ห้องเรียนของผม และไม่พบกับใคร นอกจากคนที่ไม่อยากเจอที่สุด เมื่อไอ้โล่ยืนค้ำหน้าต่างมองผมที่วิ่งเข้ามาเหนื่อยๆอยู่

“ควายอย่างมึงมาตั้งแต่เช้า สงสัยลืมกินหญ้า”

ผมฟังแล้วเลือดจะเดินขึ้นไปบนหน้า(หล่อๆ)ของผม แต่ว่าใจเย็นไว้ก่อน

“งั้นมึงก็คงลืมอ่านหนังสือนะ ว่าควายมันตื่นเช้ากว่าคนอีก” ผมยืนกอดอกขำเล็กน้อย รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นพระเอกไม่มีผิด

“มึงกวนตีนกูเหรอ” มันเดินออกจากหน้าต่าง ย่างสุขุมมาทางผม ก่อนที่จะมายืนประจันหน้ากับคนที่ไม่เคยกลัวอะไรอย่างผม

“กูไม่ได้กวนตีน กูยังไม่ได้บอกเลย ว่ากูพูดถึงใคร แต่ถ้าคนอย่างมึงจะรับไปก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ผมพูดไม่สนใจ ไม่รู้หรอกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ แต่ตอนนี้ ผมจะไม่ถอย ผมจะขอสู้มันให้ถึงที่สุด ไอ้คนแบบมันอ่ะนะ ต้องเจอผมด่าซะบ้าง

“เป็นควายเสือกไม่อยู่แบบควาย”

“ก็กูเป็นควายที่ไม่ได้โง่เหมือนใครบางคนว่ะ Sorry~~” ผมลากเสียงใส่กวนแม่ง

“จะเอาใช่มั้ย”

“มาดิ คิดว่ากลัวเหรอ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะมึงอ่ะ สงสัยอยากเจ็บตัว...”

ไม่ทันขาดคำ หมัดก็พุ่งเข้าหน้าผม แต่เรื่องอะไร ผมหลบทันแบบเฉียดๆ ซัดหมัดกลับไป แต่มันก็หลบได้ จับหมัดผมไว้ พร้อมๆกับยิ้มดูถูกผม “มีแค่นี้เหรอ ไม่เก่งอย่างปากเลยนะ” ผมบอกเลยมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเจออะไร ผมเตะขามันตอนที่มันจับมือผมไว้แหละครับ มันเสียหลักก่อนที่ผมจะถีบซ้ำ ก่อนที่จะกลิ้งไปกับพื้น ให้ตายเหอะ เตะได้แต่ก็เจ็บชะมัด แม่งขาแข็งซะขนาดนั้น ผมมองมันสักพักก่อนจะบอกกับมันพร้อมๆกับยิ้ม

“อย่าดูถูกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต่อให้มึงจะเเข็งแกร่งแค่ไหน สุดท้ายก็จะมีคนเเข็งเเกร่งกว่า คอยดู”

ผมลุกขึ้น ค่อยๆเดินออกมา เสียเวลาชะมัด สงสัยต้องลงไปข้างล่างรอเข้าแถวซะแล้วสิ หลังเห็นว่ามันสิ้นฤทธิ์แล้ว ผมจะซ้ำทำไมละ มันลูกหมาเกินไป แต่บางทีการซ้ำมันก็อาจจะทำอะไรเราไม่ได้อีก เหมือนที่ผมกำลังจะเจอ เมื่อมันลุกขึ้นมาแล้วพุ่งมาหาผมที่หันมามองแต่ไม่ทัน
   
“มึงคิดว่ามึงเก่งมากเหรอ!”

ผมอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ เเต่ไม่ทันซะเเล้ว...

ร่างล้มกับพื้นจากแรงที่มหาศาล มันทับร่างผมเอาไว้ ก่อนจะต่อยผมเข้าที่หน้า และที่แขน โดยที่ผมไม่มีทางสู้  ไม่ มันไม่ใช่แบบนี้ จะทำยังไงดี
   
เอาสิ ทำกูอย่างที่มึงพูดสิ ไอ้ตุ๊ดอย่างมึงจะทำอะไรได้”

คำพูดนั้นทำให้ผมที่กำลังพ่ายให้ ถึงกับฟื้นขึ้นมา “ด่าใครไม่ด่ามาด่ากูว่าตุ๊ด งั้นก็เอาตีนไปแดก”

ผมใช้เท้าสองข้างถีบมันอย่างแรง จนมันกระเด็นไปโดนโต๊ะเรียนล้มระเนระนาด ก่อนจะลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เปื้อนตัว มองไอ้โล่ที่นอนกุมท้องด้วยความเจ็บ ผมแน่ใจว่าเจ็บแน่นอน ล้มกลิ้งไปขนาดนั้น มันมองผมด้วยสายตาอาฆาต แต่ผมไม่มองหน้ามันอีก เดินผ่านมันพร้อมกับพูดเหมือนจงใจให้มันได้ยิน

“จะด่าว่ายังไงก็ช่าง อย่าพูดคำนี้ให้กูได้ยินอีก! มึงไม่หยุด กูก็จะไม่หยุดเหมือนกัน”

ผมพูดก่อนจะเดินออกมา พลางเช็ดปากที่เปื้อนเลือดของตัวเอง ก่อนจะลงบันไดไปห้องพยาบาล พร้อมๆกับอาการสะบักสะบอมของผม...ผมไหวน่า เรื่องแค่นี้อีก ตอนม.ต้น ผมเจอหนักกว่านี้ยังผ่านมาได้เลย ห้องพยาบาลของโรงเรียนอยู่ชั้นล่าง จากที่เคยคิดว่าจะไปหาเอย ผมเลยต้องเปลี่ยนแผนจากการไปบอกเธอว่าผมตัดสินใจได้เรื่องงาน ไปที่นั่นแทน ผมเดินคิดไปตลอดทาง แต่สิ่งที่เป็นใจความสำคัญ

ห้ามให้ไอ้ปืนรู้ ยังไงไอ้โล่ก็เพื่อนมันคนนึงแหละ....

“ไอ้อาม ปากมึงไปโดนไรมาวะ” ไอ้ม่อนถามผมตอนที่เห็นสภาพหน้า เมื่อผมเข้ามาในโรงอาหาร พร้อมๆกับเพื่อนอีกสองคนคือไอ้เติ้ลกับไอ้กอล์ฟที่กำลังกินข้าวอยู่

“ไอ้โล่”

“ไอ้โล่มันทำอะไรมึง” ผมตอบมียาทำเเผลโปะที่ปาก

“มันวอนหาตีนเข้าปาก” ผมพูดด้วยความโกรธก่อนจะวางก้นตัวเองลงที่นั่ง

“เเล้วมึงก็ไปต่อปากกับมัน ถ้ามึงอยู่เฉยๆ มันก็ไม่ทำอะไรมึงแล้ว เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”
 
ไอ้เติ้ลที่นั่งฝั่งตรงข้ามบอกกับผม “อย่าไปฟังไอ้เติ้ลมัน ฟังนะไอ้อาม การจะอยู่สังคมนี้ได้มันต้องสู้ ว่าแต่ไอ้โล่อยู่ไหน?” ไอ้กอล์ฟบอกกับผมพร้อมๆกับถามหาไอ้โล่

“อยู่บนห้อง”

“เดี๋ยวกูคุยกับมันเอง” ไอ้ม่อนบอกกับผม พร้อมๆกับตบบ่า แต่ผมส่ายหน้าให้แทน

“ไม่ต้อง กูจัดการมันเรียบร้อยแล้ว”

“อะไรนะ มึงเล่นงานคนตัวใหญ่ได้ไงวะ” ไอ้เติ้ลผมอย่างไม่เชื่อ เมื่อรู้ว่าผมคือคนที่ทำไอ้โล่ไปกองกับโต๊ะเมื่อกี้

“ก็มันเสือกให้จังหวะ กูเลยจัดการเตะมันล้มเข้าให้”

“มึงนี่นะ ทั้งๆที่อ่อนโยนขนาดนี้ ไหงถึง....เสียดายว่ะ” ไอ้ไทพูดขึ้นมาแบบเป็นห่วง

“ไม่ต้องเสียดายไร กูไม่ได้ทำอะนะ”

“เสียดายความน่ารักของมึงไง ฮิ้ว!” ไอ้กอล์ฟพูดแซว แต่ผมจะหยิบน้ำสาดหน้าให้ แซวอย่างกับกูเป็นผู้หญิง ยิ่งนึกถึงงานเดินแบบอาเซียนแล้ว

โอ๊ย! ไม่อยากจะคิดภาพเลย

“ไอ้กอล์ฟก็พูดไป ไอ้อามมันมีผัวแล้วเว้ย เราคงแห้วรับประทาน”

“ใครวะ” ไอ้กอล์ฟทำเหมือนไม่รู้ ตอแหล

“นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี” ไอ้ม่อนพูดพร้อมๆกับพยักคอให้ผมหันไปมองคนที่เดินเข้ามาที่โต๊ะ ไอ้ปืนแบกกระเป๋าสะพายเดินมาทางพวกผม แล้วไอ้ผัวนี่มันอะไรอยากโดนรอบโต๊ะรึไง เดี๋ยวเอาไว้ทีหลังก่อน เจ็บปากเจ็บใจไปหมดแล้ว ผมรีบหาของมาปิดหน้าตัวเองทันที พวกมันมองผม ถึงอยากจะให้มันรู้ แต่ก็ไม่อยากให้มันมีเรื่องจนเป็นศัตรูกับไอ้โล่อีก ไอ้ปืนถามผมทันทีเมื่อเห็นผมยิ้มให้อย่างแปลกๆ

“ทำไมมึงมาก่อนไม่บอกกู กาแฟวันนี้ร้านไม่มา” โห่ ไรวะ

“โทษๆ กูกลัวสายเลยรีบมา ความจริงกูมาหาเอย แต่ไม่เจอ” ไอ้ปืนนิ่งไปสักพักก่อนจะนั่งลงข้างๆผม ผมรีบเอามือปิดมุมปากตัวเอง ไม่ให้รู้ว่ามีเรื่องชกต่อย แต่ไอ้เติ้ลนี่สิ

“เฮ้ย ไอ้ปืนดูเมียมึงดิ แม่งไปฟัดกับใครมา” ไอ้สัด ผมด่าไอ้เติ้ลในใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-07-2017 19:57:08 โดย Manwithglasses12 »

ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้
«ตอบ #9 เมื่อ02-07-2017 19:53:21 »

๋JUST 4. RIGHT DECISION (PART II)

“มึงบอกมันทำไมวะ!” ผมหันไปจ้องไอ้เติ้ลตาเขียว ก่อนที่ไอ้ปืนจะจับหน้าผมหันมามอง และเมื่อเห็นดังนั้นก็หน้านิ่งทันที  “ใครทำมึง?” มันจับหน้าผม เบาๆ นั่นปากกู แผลนะ  “กูล้มปากฟาดกับพื้นตอนวิ่งมาจากชั้นบน” ผมโกหกมันไปจะได้ไม่ต้องถามอีก แต่พวกมันก็หวังดีกับผมซะเหลือเกิน พากันช่วยบอกความจริงมันสุดๆ จนผมได้เเต่พยายามทำเฉยๆ

“เฮ้ย ไอ้ปืนถ้ามึงเชื่อมึงก็เป็นผัวโง่เลยนะเว้ย ล้มปากฟาดพื้นอะไรเป็นแค่มุมปาก”

ผมหันไปส่งสายตาห้ามไอ้กอล์ฟอีกคน ทำไมต้องบอกทุกเรื่องด้วยวะ

“บอกมาว่าใครทำมึง กูจะได้ไปจัดการให้ ไอ้โล่ใช่มั้ย” ผมจะส่ายหน้า

“เฮ้ย มึงรู้ได้ไงว่าไอ้โล่ทำ” ไอ้นี่อีกตัว ไอ้ม่อนเดี๋ยวจะจับมันมัดรวมแล้วจุดไฟเผาแม่ง พวกปากสว่างกันทั้นนั้น มันรีบลุกจากที่นั่ง ผมจับแขนมันไว้

“อย่า กูไม่เอาอะไรกับมัน มึงก็อย่าไปเอาเลย” มันหันมาขึ้นเสียงใส่ “แล้วที่มันทำมึงละ” “เออ ช่างเหอะ กูไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่” เป็นครั้งแรกที่ผมขอร้องมัน เพราะผมยอมรับว่าโกรธเเละเจ็บใจแต่ไม่อยากให้มันทะเลาะกัน

“เรื่องมันใหญ่ตั้งแต่มึงโดนมันทำร้ายแล้ว! ”

“เฮ้ยๆ ผัวเมียทะเลาะกันวะ” พวกแม่งพูดพร้อมกันทั้งสามคน

“เงียบก่อนสิวะ!” ไอ้ปืนโหด ตะคอกใส่พวกแม่งจนเงียบได้ มันยังจับหน้าผมที่บวมเพราะถูกต่อย

“โอเค กูจะไม่ไปเอาอะไรกับมัน เพราะตอนนี้ที่กูห่วงสุดก็คือ มึง”

“สารภาพรักว่ะเฮ้ย ฮิ้ว!!” ไอ้เชี่ยกอล์ฟพูดจนทั้งโรงอาหารมองก่อนจะเก็บอาการ

“จะมาห่วงกูทำไม กูโอเค ไม่มีอะไรให้ห่วง มึงแม่งชอบพูดเล่นแบบนี้อยู่เรื่อย”

“ดูก็รู้ว่ามึงเจ็บ มะ เดี๋ยวกูพาไปทำแผลที่ห้องพยาบาล”

“มันไปมาแล้ว”

คนรอบโต๊ะ พูดพร้อมกัน เหมือนนัดมา เเล้วก็หัวเราะ

“อ้าวเหรอ แล้วเมื่อวานทำไมไม่รับโทรศัพท์กู?”

“กูง่วง”

“2ทุ่มเนี่ยนะ”

“เออดิ”

สรุปว่าเมื่อคืนมันโทรมาครับแต่ผมไม่ได้รับ เพราะมัวแต่เล่นเกมส์อยู่ เพิ่งมารู้ก็ตอนตื่นนี่ล่ะครับ

“ว่าแต่ไอ้กู๊ดกับไอ้เคยังไม่มาเลยนะ นี่ก็จะ7โมงครึ่งแล้ว” ไอ้ม่อนพูดขึ้น ก่อนที่ผมจะตอบ

“ก็คงกำลังมาแหละวะ กูว่าไปเข้าแถวดีกว่า”

“เออๆ ก็ดีเหมือนกัน”

ผมกับพวกมันเดินออกมาจากโรงอาหารไม่ทันไร ไอ้ไทก็เดินมาหาพวกเราพอดั ส่งยิ้มโบกมือให้

“อ้าว คุณไท วันนี้มาไวว่ะ ปกติเห็นมาตอนเข้าแถว นึกว่าจะมาสายซะอีก” ไอ้ม่อนเปิดฉากถามมันกวนๆ เมื่อเห็น ไอ้ไท ออร่าออกมาแต่ไกล มันเป็นที่กริ๊ดของสาวๆทั้งโรงเรียนมาก ทำให้ไอ้ม่อนที่ก็หน้าตาพอสูสีกันถึงกับต้องออกปากว่า “หล่อตรงไหน” ด้วยความอิจฉา จะบอกให้แล้วกันว่าหล่อกว่ามึงเยอะ หวังว่ามันคงไม่โกรธนะถ้าผมพูดจริงๆ เพราะทรงผมของไอ้ไทมันคล้ายเกาหลีซะขนาดนั้น ส่วนมันเหรอ ก็ผู้ชายทั่วๆไป ไอ้ไทก็เลยดึงดูดพวกผู้หญิงได้มากกว่า แต่ที่น่ากลัวกว่าคือไอ้ไทมันจะหื่นมากๆ โดยเฉพาะกับผมในบางที

“กูมาเร็วบ้างไม่ได้?” มันมองหน้าไอ้ม่อนในระหว่างที่ยิ้มให้ด้วยท่าทางที่กวนตีนไม่แพ้กัน ผมเห็นท่าไม่ดี รีบบอกไอ้ไท “เฮ้ย มาเร็วก็ดีนะเว้ย” พลางตบไหล่มัน มันจับมือผม มองหน้าก่อนจะยิ้มอีก “สำหรับมึงนะ กูเต็มใจ” หาไม่รู้เลยว่าสายตาพวกมันมองไอ้ไทแปลกๆ ก่อนที่ไอ้ปืนจะรีบดึงมือออกมาพลางบอกกับผมที่เหมือนไม่รู้เรื่องอะไร

“ไหนบอกไปเข้าแถวไง เจอผู้ชายถึงกับหยุดเลย?”

“กูก็คุยกับมันจับไหล่จับมือไม่เห็นเป็นอะไรเลย”

“เฮ้ย! ไอ้อาม ไอ้ปืนหึงมึงวะ” ไอ้ตัวชงหัวเราะบอกกับผม จนผมต้องด่ามันกลับไป “ถ้าไม่หยุดพูดจะเอารองเท้ายัดปากเลย!” ไอ้เติ้ลที่หัวเราะอยู่ถึงกับต้องเงียบ ทำไมต้องบอกว่าผมกับไอ้ปืนเป็นผัวเมียด้วยวะ ด้านตำแหน่งมันใช่ แต่ก็ไม่อยากให้เรียกทุกครั้งเวลาที่อยู่กับพวกมัน เหมือนผมเป็นเมียจริงๆ

“ไปเหอะ”

ไอ้ม่อนบอกกับพวกผมก่อนจะเดินนำหน้าผ่านไอ้ไทออกไป พวกเราเดินตามมัน เข้าใจอยู่หรอกว่าความหล่อมันไม่เข้าใครออกใคร แต่พวกมึงก็ไม่ต้องมาคุอะไรตอนนี้ก็ได้ป่าววะ กูอึดอัด! เป็นเพื่อนกันทำไมต้องมาแย่งกันเด่นด้วยวะ เด่นแล้วมันได้โล่เกียรติคุณคนเด่นแห่งชาติเหรอ!


ในห้องเรียนผมนั่งอยู่บนโต๊ะกับไอ้ปืนที่ดูเหมือนจะโกรธเรื่องเมื่อเช้า ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าจะโกรธทำไมในเมื่อเพื่อนกันมันก็แตะต้องตัวกันได้ไม่ใช่เหรอ ผมกะจะสะกิดมัน แต่เมื่อเห็นมันเล่นเกมส์โทรศัพท์อยู่เลยไม่อยากรบกวนมัน แต่แล้วเอย ก็เดินเข้ามา ผมรีบลุกขึ้นจะเดินไปหา

“เอย คือกู...”

“ไม่ต้องพูด กูรู้ว่ามึงทำไม่ได้”

ทำไมต้องงอนด้วยว่ะ!!! ไม่รู้หรือไงว่าผมมาที่นี่เพื่อทำสิ่งที่ตรงข้าม ผมจะพูดต่อ “ไหนบอกว่าจะทำทุกอย่างไง แล้วทำไมเรื่องแค่นี้ถึง” แล้วเธอก็ปิดหน้าปิดตาร้องไห้ซึ่งมันทะแม่งๆแปลกๆ แต่ผมก็ลูบหัวเธอเบาๆ ก่อนที่ไอ้เติ้ลจะพูดเเค่คนทั้งห้องคงได้ยินน

“ไอ้อามทำสาวร้องไห้เว้ย!” ไอ้นี่แม่ง อยู่เฉยๆก็ได้ ไม่ต้องแซวตลอด

“ร้องเหี้ยไร กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย!” ผมปฏิเสธ แต่แล้วก็กลับมาปลอบอยู่ดี

“คือกูตัดสินใจแล้วว่าเรื่องเดินแบบอาเซียน...กูจะเดิน”

“หือ?” เธอเงยหน้าขึ้น น้ำตายังไหลอยู่ ผมยื่นเสื้อไปเช็ดให้ มันมองผมไม่เเสดงกิริยาใดๆ ไหงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้นะ

“ยอมเดินให้ก็ได้ โอเค เลิกร้องนะ”

สิ้นคำพูด เธอก็ลุกขึ้นก่อนจะจับไหล่ผมอย่างรวดเร็ว “จริงเหรอมึง มึงไม่ได้โกหกใช่มั้ย?” ดูท่าจะดีใจ ผิดกับอารมณ์ที่ร้องไห้เมื่อกี้ ผมมองหน้าอึ้งๆ “เดี๋ยวนะ แล้วเมื่อกี้มึงร้องไห้เพื่อ..” เธอหัวเราะปาดน้ำตาก่อนจะมองหน้าผม “มึงนี่นะ ตามมารยากูไม่เคยทันเลย” แล้วผมก็เหลือบไปเห็น ผู้หญิงเงียบที่นั่งอยู่ข้างๆก็หยิบบางอย่างขึ้นมาพร้อมกับยิ้ม ซึ่งนั่นทำให้ผมถึงกับยืนขึ้นเลย

ยาหยอดตา...ผมโดนต้มยำเเล้ว!!!

“หมายความว่าไง?” ผมจ้องหน้าปากสั่นขณะพูด

“มึงทำเพื่อกูใช่มั้ยละ ชอบกูก็บอกมา” กล้าพูดนะ ผมไม่มีทางชอบมัน

“กูไม่ได้ชอบมึง” แต่ทำไมผมถึงพูดไม่ค่อยออกนะ ไม่เข้าใจเลย แต่ไม่ได้ชอบจริงๆนะ

“แต่ว่า ต้องให้กูเหนื่อยแบบนี้ คงต้องใช้ผู้ช่วยหน่อย” พูดเสร็จมันก็หันไปมองไอ้ปืนที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ก่อนที่มันจะวางโทรศัพท์ลงแล้วหันมายิ้มให้ผมด้วยท่าทางที่เจ้าเล่ห์และน่ากระทืบ ทั้งหมดที่พวกมันทำคือแผนให้ผมยอมลงงานบ้านี่ใช่มั้ย ทั้งตอนที่ร้องไห้เดินออกไป ทั้งไอ้ปืนที่เข้ามาได้จังหวะ และทุกคำพูดที่ไอ้ปืนบอกผม คือ แผนที่วางไว้เป็นอย่างดี ถ้ามันไม่พูดผมจะไม่รู้เลยนะ โง่ชะมัด

“ทำไมถึงทำกับกูแบบนี้!” ผมกัดฟันพูดออกมาด้วยความที่เสียท่าให้พวกมันมัน

“ก็เพราะมึงดื้อไง เลยต้องใช้ไม้แข็ง ขอโทษนะเว้ย และก็ขอบคุณด้วย”

“แล้วทำไมต้องเอาความรู้สึกกูมาเป็นตัวตัดสินด้วยวะ กูทำเพื่อมึง! แต่พวกมึงก็เล่นสนุกกับมัน!!” ผมโวยวายออกมาด้วยความฏโกรธและเสียใจจนทุกคนในห้องมอง ที่อุตส่าห์ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่ผมรักมีความสุข แต่ทำไมทุกอย่างเป็นแค่เรื่องโกหกที่จัดขึ้นมาเพียงไม่ถึงวันด้วย! เอยที่เห็นผมเป็นอย่างนั้นก็พูดให้ผมใจเย็น “อามคือกู..ขอโทษ กูจะไม่...”

“แล้วไม่ต้องขอบคุณด้วย เพราะกูไม่ทำห่าอะไรทั้งนั้น!!” ผมบอกกับเอยด้วยน้ำเสียงแข็งรีบเดินออกมาจากห้องด้วยความโมโหสุดๆ ทำไมวะ ทำไมเราต้องโดนหลอกด้วยวะ ทั้งๆที่เราก็อุตส่าห์ ตั้งใจเรียนตั้งใจทำทุกอย่างแท้ๆ หรือเพราะไว้ใจกันถึงได้ทำร้ายกันง่ายๆงี้เลย ผมไม่ร้องไห้ แต่จู่ๆน้ำตามันไหลออกมาเอง ผมเดินปาดน้ำตาจริงๆ ไม่ใช่ของปลอมแบบมัน ไม่ได้แสดงแบบพวกมัน

เพลงประกอบบิวต์อารมณ์ มา! ไม่ใช่เเล้ว

ผมวิ่งก้มหน้า ไม่สนใจว่าใครจะเห็นว่าผมร้องไห้ จนต้องมาหยุดอยู่ในห้องน้ำชั้นล่างของอาคารเรียน ก่อนจะทรุดลงกับพื้น ร้องไห้กุมหัวไปมา ภาพในอดีตลอยเข้ามาในหัว ผมไม่ได้รังเกียจที่จะแต่งเป็นผู้หญิง แต่ตอนอนุบาล ผมเคยแต่งเป็นผู้หญิงมาก่อน แล้วมีเพื่อนคนนึงตอนประถมเห็นรูป เลยเอามาล้อจนผมอับอายยันจบป.6 ผมเลยไม่อยากให้ใครเห็นผมเป็นแบบนั้นอีก แต่พวกมันก็ยัง...เสียงประตูเปิดเข้ามาในห้อง

“น้องครับ” ใครเรียกว่ะ เป็นพี่ผมก็ไม่ไว้หน้าหรอกนะ ไม่มีอารมณ์มาเคารพใครทั้งนั้น คนกำลังเล่นเอ็มวีเศร้าๆอยู่เลย ร้องไห้หน่อยๆ ให้มันรู้สึกดีขึ้นก็แค่นั้น มันเป็นความเลวร้ายในชีวิตที่ย้อนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง ผมต้องกลับไปคิดถึงเรื่องนั้นอีก ก็เพราะพวกมัน ทำไมไม่เข้าใจกันบ้างเลย ผมไม่อยากบอกเพราะพวกมันไม่จำเป็นต้องรู้ นี่คือปัญหาของผม

“อย่าเพิ่งกวนได้มั้ย” คนที่เรียกผมก็เอามือเข้ามาสะกิด จนผมต้องผุดลุกขึ้นมาโวยวายด้วยความรำคาญ

“บอกว่าอย่า...” แต่ผมก็ต้องรีบปิดปากตัวเอง เมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นคนที่อายุมากกว่า หรือหมายถึงรุ่นพี่ม.6 นั่นเอง เสียงเพื่อนของเขาเรียกอยู่จากข้างนอก  “เฮ้ย! ไอ้เบส เดี๋ยวสายนะเว้ย”  ชายหนุ่มร่างสูงที่จ้องผมหันไปบอก

“แป๊บๆ เดี๋ยวกูตามไป ไปก่อนเลย” ผมรีบพูดด้วยท่าทางสุภาพเมื่อเห็นว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่น่าเคารพจริงๆ

“ขอโทษครับ”  ผมยกมือไหว้พลางก้มหัวล่กๆ

พี่เขายกมือห้ามยิ้มเล็กๆ “ไม่เป็นไร นั่งลงแล้วใจเย็นก่อน...ว่าแต่ ทำไมน้องถึงมาร้องไห้อยู่ในห้องน้ำล่ะ”

เขาจ้องหน้าผมที่กำลังเช็ดน้ำตาตัวเองด้วยเสื้อนักเรียนจนเกือบจะเปียกชุ่ม หน้าอับอายจริงๆ ที่คนหล่อเเบบเขาต้องมาเห็นสภาพที่ผมไม่ค่อยเเสดงให้ใครเห็นนอกจาก ไอ้ปืน ที่ผมก็เเทบอายจะเเย่ เเต่นี่กลับเป็นคนเเปลกหน้าที่จู่ๆ ก็เข้ามาถามว่าผมมีปัญหาอะไร

"เช็ดน้ำตาก่อน เเล้วค่อยตอบ โอเค๊" เขายิ้มตบไหล่เบาๆ

"ผมไว้ใจพี่ได้เหรอ พี่มาจากไหนก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็เข้ามาถามเเบบนี้"

"หน้าตาพี่ดูไม่น่าเชื่อถือรึไง?" เขาขำ

"เปล่า"

"เรื่องไหนพี่ก็รับฟังได้หมดเเหละ มันเป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ของโรงเรียนที่ต้องดูเเลรุ่นน้อง"

"ผมไม่เห็นจะมีคนเเบบพี่เลย"

"จะเล่ามั้ย?"

เขาพูดคำนั้นคำเดียว เลยทำให้พยักหน้าเเทนคำตอบ คิดสภาพตัวเองที่จู่ๆ ก็มีคนหน้าตาดี ดีมากๆ ดีโคตรๆ มาซักเรื่องของผม สงสัยอย่าง ทำไมถึงมีคนมาถามผมราวกับรู้จักกันตั้งแต่แรก

"โอเค เล่ามา พี่มีเวลาให้ เเต่ไม่เกิน 5 นาทีนะ"

เขาชูมือห้านิ้วประกอบ ยิ้มอีกเเล้ว

ก็คงเป็นนิสัยของเขาละมั้ง เป็นมิตรกับผู้คน เห็นว่าไหนๆแล้ว เล่าให้ฟังแบบตรงไปตรงมา อย่างน้อยก็คนแปลกหน้าคนนึง แต่จะว่าไปพี่คนนี้ก็น่าคุ้นๆเหมือนกัน แต่ผมจำไม่ได้ว่าเคยเจอรึเปล่า แต่ผมคงคิดไปเองแหละ หน้าตาแบบนี้น่ะเหรอ ผมจะเคยเจอ ไม่มีทางหรอก ที่นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเจอกันง่ายๆด้วยนะ เขาค่อยๆนั่งลงข้างๆ และฟังอย่างตั้งใจ เหมือนเรื่องที่ผมจะเล่ามันยาว เเต่จริงๆเเล้ว มันย่อให้จบในประโยคเดียวก็ได้

“ผมโดนเพื่อนหลอกให้เดินแบบงานอาเซียน ผมเสียใจ หนีมาร้องไห้ข้างล่าง The End ครับ”

ฟังดูงี่เง่าเนอะ เเต่เชื่อเหอะ ถ้าเจอเข้ากับตัวเอง จะคุมสติสตางค์ ได้อย่างผมรึเปล่า

“อืม ขนาดนั้นเลยเหรอ แค่เดินแบบเนี่ยนะ คิดมากไปป่าว” พี่เขาจับปาก มองผมไปมา ผมโกรธเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น เเถมพี่เขายังพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“ถ้าให้แต่งตัวเป็นผู้หญิงพี่จะยัง “เนี่ยนะ” ได้อยู่มั้ย?” 

ผมบอกด้วยท่าทางเซ็งๆ พี่เขาได้ยินก็หัวเราะ ผมหัวเราะขืนๆ ตาม ก่อนจะพูดขึ้น “ว่าเเต่พี่มีอะไรข้องใจกับผมรึเปล่าถึงมาคุยกับผมเนี่ย คือเราไม่เคยเจอกัน พี่ไม่ควรมาสนใจผมด้วยซ้ำ ผมโอเค ผมเเค่อยากอยู่กับตัวเอง” พี่เขายิ้มๆแล้วก็บอกว่า

“พี่กลัวน้องสายแล้วโดนอาจารย์ด่า" เขาพูด ผมชะงัก "เพราะพี่ก็เคยเจอเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน แต่ว่า พี่ไม่ได้โดนขนาดน้องนะเรื่องแค่นี้จะเศร้าไปทำไม ไม่อยากจะเล่าหรอก เเต่เมื่อปีก่อน พี่โดนจับแต่งตัวซะเละตุ้มเป๊ะ ไม่เหลือเค้าตัวเอง ทั้งๆที่หน้าตาก็หล่อขนาดนี้” เสร็จก็ยกนิ้วเก๊กหล่ออีก เอ่อ บอกทำไมวะ หลงตัวเองไปรึเปล่า แต่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าหล่อจริงๆเเหละ หล่อแบบตี๋ๆ ดัดฟันด้วยมั้ง แต่ทำไมคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเจอที่ไหนสักแห่ง จริงๆนะ ผมเริ่มใจเย็นลง ไม่มีอะไรให้คิดแล้ว

“ตอนแรกพี่ก็โกรธนะ พี่โวยวายใส่เพื่อนหนักมาก ด่าทอมากมาย ไม่สนใจว่าเขาจะเป็นยังไง พี่คิดว่าพี่ตัดสินใจถูกที่เรียกสิทธิ์ให้ตัวเอง เเต่ตอนนั้นพี่คิดผิด พี่ไปเห็นพวกมันประชุมกัน บอกว่าพี่เป็นคนเดียว เเละ มันเป็นงานที่เป็นหน้าเป็นตากับห้อง พี่ไปเห็นเข้าพอดี เมื่อเห็นเเบบนั้น พี่ก็ตัดสินใจได้ ว่าพี่จะตั้งใจทำทุกอย่างที่เพื่อนต้องการ เพราะไม่ใช่เเค่เพื่อเพื่อน หรือชื่อเสียง เเต่เพราะมันจะเเสดงให้เห็นว่า เราทำได้ทุกอย่าง ไม่กลัว ไม่ขี้ขลาด จนตอนนี้พี่ก็กลายเป็นหนุ่มป๊อบไงล่ะ”

พี่เขาพูดเรื่องที่ผ่านมาเเล้ว หัวเราะไปมา เหมือนเป็นเรื่องตลก ผมขำไม่ค่อยออก เเต่ก็พอจับใจความได้

ความคิดอคติที่มีอยู่ พาผมย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อวาน แล่นสู่สมองอีกครั้ง ใช่งานนี้ แม่งานอย่างไอ้เอยตั้งใจมาก ถึงขั้นขอร้อง ถึงนั่นจะเป็นแผนเพื่อหลอกล่อให้ผมยอม แต่ผมเชื่อว่าเธออยากให้ผมทำงานนี้จริงๆ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม

“โดนหลอกล่ะสิ?” พี่เขาได้ยินก็หัวเราะเสียงดัง เส้นตื้นไปมั้ย เขาเหมือนรู้ตัวรีบพูดต่อ “เต็มใจให้หลอกตะหาก ไปๆมาๆ น้องมีอะไรที่คล้ายพี่มากเลย เหมือนน้องชาย เเต่น้องกลับเลือกจะหนีปัญหา พี่เชื่อนะ เพื่อนของน้องคงมีเหตุผลแหละ น้องอาจจะดื้อ โมโห หรือ มีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้ ใช่มั้ย?”

ผมนิ่งไป ใช่ผมคงโมโหมากเกินไป โดนความไม่พอใจบังตาซะได้ 

“จริงๆ ผมจะไม่คุยกับคนรู้จักนะ อาจเป็นเพราะเป็นพี่มั้ง คุยเพลินเลย” ผมหันไปบอกท่าทางมีกำลังใจมากขึ้น “เฮ้ย! ขนาดนั้นเลย ดีใจจัง นึกว่าจะโดนด่าซะแล้ว” เขาจ้องผมไม่หยุดเลย ก่อนจะพูดขึ้น

“น้องรู้จักพี่มั้ยเนี่ย?”  ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่ความจริงก็ยังเหมือนคุ้นๆแต่คิดไม่ออกจริงๆ ขอโทษด้วยนะครับ พี่เขาทำหน้าอึ้งไปแป๊บก่อนจะพูดขึ้น “แปลกเนอะ พี่ออกงานโรงเรียนบ่อยๆ” คือผมไม่สนใจรอบๆตัวเท่าไหร่ เพราะผมไม่ค่อยอยากจะมีเรื่องให้คิดมากมาย มันทำให้ผมเครียดง่าย

“พี่ชื่อเบสท์นะ เบสท์ สุดยอด โรจน์พัฒนะ นี่ชื่อจริงพี่” พี่เขาดึงปกเสื้อให้ผมเห็นชื่ออย่างเป็นกันเอง บอกนามสกุลด้วย

“ผมอาม ชื่อจริง อาวุธ” ผมยกมือไหว้ แต่พี่เขาจับมือผมแทน แต๊ะอั๋งกันใช่มั้ย? ผมมองหน้าเขานิ่งๆ แต่เหมือนเขาจะนึกว่าผมไม่ชอบเลยรีบปล่อยมือ ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ก็หน้าเป็นแบบนี้เอง แค่มองเฉยๆ

“อาวุธ?” ชื่อเล่นของผมมีความหมายอยู่สองแบบ คือ แขน กับ อาวุธ ซึ่งแน่นอนว่าคงเป็นอย่างที่สอง พ่อแม่ก็เลยเอาความหมายที่สองมาเป็นชื่อจริง “ใช่ครับ” พี่เขายิ้มจะจับมือกับผม ผมยื่นมือให้อย่างเป็นมิตร

แต่แล้วผมก็นึกขึ้นได้ ค่อยๆบอกเขา “เอ่อ..แล้วไม่ไปเรียนต่อเหรอครับ สายแล้วนะ” เขานิ่งไปสักพักก่อนจะมองนาฬิกาข้อมือตาโตหันมาบอกกับผมพลางลุกยืนและทำท่าจะวิ่งออกไป หันกลับมามองผมที่ค่อยๆลุกขึ้น

“เวรแล้ว!”

“เจอกันทักได้นะ น้องอามวุธ พี่ไม่ใช่คนหยิ่ง แล้วก็ ตัดสินใจได้แล้ว ก็ทำเลยนะ” เขายิ้มกว้างจนเห็นเหล็กดัด ก่อนจะวิ่งออกไปจริงๆ ผมมองขำ ล้างหน้าตัวเอง คิดอะไรไปเรื่อยๆ มันยังมีคนอยากรู้จักคนอย่างกูอีกเหรอวะ ถ้ามีคนแบบพี่เขาเยอะๆก็ดี ผมคงมีเพื่อนทั้งโรงเรียนแล้วมั้ง ทำไงได้อยู่เมื่อเกือบสองปี รู้จักแต่คนห้องตัวเองและไม่ใช่ทุกคนด้วยสิ เห็นแบบนี้ ผมขี้อายนะจะบอกให้

เดี๋ยว เมื่อกี้เรียกอามวุธคืออะไร? เดี๋ยว ไม่ใช่เเล้ว

กูก็มีคาบเรียนเหมือนกันนี่หว่า!!!

ผมมองกระจก อึ้งทันที ฉิบหาย เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว คาบนี้แม่งถ้าเข้าช้าถึงครึ่งชั่วโมงโดนครูหักคะแนนแน่ ฝีเท้าของผมไม่แพ้ใครหรอก วิ่งไปเลย ผมมองข้ามลิฟต์ที่อยู่ใกล้ห้องน้ำแล้ววิ่งไปทางบันไดอย่างรวดเร็ว ผมมองไปรอบๆสลับกับมองนาฬิกาในโทรศัพท์ ขอให้ทันทีเถอะ ผมมัวดราม่าไร้สาระเลย แต่มันก็ยากนะ กว่าจะรู้ตัวเอง แต่ทำไงได้ล่ะ บางทีเราก็เผลอใช้เหตุผล และ อารมณ์ตัวเองเกินไป จนทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัว แต่ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว ประตูห้องอยู่ข้างหน้า วิ่งไปๆ เปิดประตูเลย

“ขออนุญาตครับ” ผมเข้ามาในห้อง เพื่อนๆ หันมามองผม ผมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อาวุธ หายไปไหนมา นี่มันจะครึ่งชั่วโมงแล้วนะ” ปากกาของครูกำลังจะจรดใบรายชื่อผมพอดี

“ไปเข้าห้องน้ำมาครับ”  ผมตอบอย่างว่องไวทันใจแน่นอน!

“เกือบครึ่งชั่วโมงเลยเนี่ยนะ” ครูทำท่าขมวดคิ้ว เชื่อๆไปเถอะ

“โหครู เข้าห้องน้ำไม่ใช่แค่สิบนาทีนะครับ” เพื่อนเกือบทั้งห้องหัวเราะกัน ครูส่ายหน้าให้ผม

“ไปนั่งๆ คุยกับเธอทีไรแล้วปวดหัวทุกที” ก็กินยาไทลินอลครับ แก้ปวดทุกอย่าง

ผมเดินเข้ามาที่โต๊ะ ที่ไอ้ปืนนั่งอยู่ หยิบหนังสือเรียนขึ้นมา ไอ้ปืนถามผมแบบเหมือนรู้สึกผิด

“หายเศร้าแล้วเหรอมึง เมื่อกี้เห็นดราม่าน้ำตาไหลวิ่งออกไปยังกับนางเอกละคร” ยังจะกวนต่ออีก

“เหอะ ถือว่าหวังดีนะ”  ผมตบไหล่ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟัน มันยิ้มก่อนจะกระซิบข้างหูผม

“เมียคิดเมื่อไหร่ ผัวก็พร้อมให้เมื่อนั้นเเหละ” เสี่ยวว่ะแม่ง ผมยกศอกตัวเองขึ้นมาวางบนโต๊ะสะบัดหัวมองที่มัน

“เอาศอกกูไปแดกก่อนมั้ย?” มันหันกลับไปทางตัวเองก่อนจะบ่นพึมพำแต่ได้ยิน

“ไม่รู้ว่าเมียกูโหด”

“เออ”

ผมพูดเสร็จก็หันไปมองไอ้เอยยิ้มเล็กๆ จนมันเหลือบเห็นผมยิ้มให้ เธอมองอย่างงงๆ ก่อนที่ผมจะลงจดงานที่ครูเพิ่งสั่งไปไม่นาน อย่างอารมณ์ดี ไอ้ปืนมองผมสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับผม นอกจากจดงานของมันต่อ ผมนึกขอบคุณ ขอบคุณคนที่ผมได้เจอโดยความบังเอิญ (ใช่มั้ย) แค่คำพูดไม่กี่ประโยค ก็ทำให้ผมกล้าตัดสินใจซะที ว่าผมควรทำอะไร เพื่อใคร ไอ้เคเองก็รู้สึกแปลกๆ ไม่แพ้เช่นกัน มันมองผมเหมือนผมไม่เคยเป็นแบบนี้ เฮ้ย! อย่ามองอย่างนั้นดิ พี่กู๊ดโต๊ะข้างๆ ก็มองผมด้วยความสงสัย ตบไหล่ผม ผมหันมาทำหน้าแจ่มใสใส่

“อาม นี่วันนี้กินอะไรผิดมารึเปล่า” พี่นะพี่ ชอบแซวจัง เขิน ถุ้ย!

“เปล่านะครับ”


ตอนพักเที่ยง พวกเรามานั่งกินข้าวกันที่เดิม ก่อนที่ไอ้เคจะเริ่มสังเกตว่าผมดูเงียบๆ และพี่กู๊ดก็พยายามพูดให้ผมใจเย็น แต่ไม่มีอะไรที่ผมต้องกลัวแล้ว อยากให้ทำอะไรว่ามาเลย คนอย่างผมน่ะทำได้ทุกอย่าง เอยที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนยังกลัวว่าผมจะโกรธๆ ก่อนที่ผมจะพูดสะกิดเธอ

“เฮ้ยๆ นิ่งทำไม กูไม่ได้จะด่าหรือโกรธมึงสักหน่อย กูเข้าใจว่าเพราะความดื้อของกู” ผมหยุดพูดต่อ

“กูมีเรื่องจะบอกกับพวกมึง” ผมค่อยๆพูดออกมา
   
ทุกคนจ้องมาที่ผม หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูด “ต้องขอโทษที่กูทำตัวงี่เง่า กูแค่ไม่พอใจนิดหน่อย เอยกูขอโทษที่กูคิดว่ามึงจะแกล้งกู” เอยทำหน้ารู้สึกผิด “กูก็ขอโทษจริงๆ ที่ต้องใช้แผนนั้นกับมึง” ผมส่ายหน้าไม่เอาอะไรกับมัน ไอ้เอยยังพูดต่อไป “กูตัดสินใจแล้ว กูให้เป็นผู้ชายกับผู้ชายก็ได้ แต่งานนี้ต้องมีมึง มึงจะโอเคมั้ย” ผมยกมือห้ามมัน แล้วพูดต่อ จังหวะกำลังจะได้     

“พอ ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น ฟังกูให้ดีๆนะ...” 

ผมมั่นใจ ว่าสิ่งที่พูด พวกมันจะต้องเซอร์ไพรส์! และทุกอย่างมันจะต้องดีอย่างเมื่อก่อนเเน่นอน!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-10-2017 01:53:48 โดย Manwithglasses12 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้
« ตอบ #9 เมื่อ: 02-07-2017 19:53:21 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้ EP.05
«ตอบ #10 เมื่อ15-08-2017 23:18:11 »

JUST 5. WHOSE LIFE  (PART I)

“กูจะเดินงานนี้”

"....อะไรนะ!"

ทุกคนนั่งอึ้ง เหมือนกับว่าผมไม่เคยเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ น้อยใจเเม่ง กูก็ทำอะไรดีๆได้นะเว้ย

“เฮ้ย ไอ้อามมึงแดกยาคลายเครียดป่าวเนี่ย เมื่อเช้ายังด่าเอยปาวๆ เลย”

ไอ้เคพูดพลางจับหน้าผากผม ไม่ต้องจับแรงขนาดนั้นก็ได้นี่หว่า อย่าว่ามันคนเดียว ไอ้พี่กู๊ดมันก็อีกคนจับหน้าผม

“พี่ว่าก็ปกติดีนะ”

เอาเข้าไป เข้ากันเป็นผัวเมียเลยนะ พวกมึง

“ผมไม่ได้เป็นอะไรพี่ ไอ้เค มึงเลิกจับหน้าผากกูได้แล้ว!” ผมหันไปมอง ไอ้เคเลยละมือออก เเม่งจับจนมันย่นหมดแล้ว

“มึงพูดจริงเหรออาม มึงไม่โกรธกูจริงใช่มั้ยวะ กูขอโทษจริงๆนะ กูสัญญาว่ากูจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”

เอยทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ผมพยักหน้าพร้อมคำตอบ

 “อืม”

ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากโต๊ะโผเข้ามากอดผมกอดเธอตอบ

“แต่ทีหลังไม่ต้องมาดราม่าก็ได้นะ ก็รู้ว่ากูแคร์มึง เเต่กูก็ผิดจริงๆเเหละ...”

เธอก็พูดทั้งๆที่ร้องไห้อยู่

“มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเลยวะ”
ผมรู้สึกเหมือนปลดล็อคทุกอย่างออก พี่เบสท์พูดถูกจริงๆ

ถ้าผมเลือกเข้าใจคนอื่นก็คงไม่ต้องรู้สึกแย่ตั้งแต่แรก ผมยิ้มเมื่อนึกถึงหน้าของเขาตอนนั้น คิดถูกจริงที่เจอเขา

“เออๆ เลิกกอดได้แล้ว” ผมบอกก่อนจะมองไอ้เคกับพี่กู๊ดที่มองผมตาไม่กระพริบ

ผมยิ้มก่อนจะถามเธอที่ดูปลื้มมากที่ผมยอมทำและไม่โกรธมัน

“นี่ แล้ววันงายเมื่อไหร่วะ กูจะได้เตรียมตัว”
“อาทิตย์หน้าไง นี่มึงจำวันอาเซียนไม่ได้จริงดิ”

เดี๋ยว อะ ไร นะ !

ผมรีบพูดด้วยความตกใจ “เอาจริงดิ ไหนบอกไม่กี่อาทิตย์ไง แต่นี่มันอาทิตย์หน้า คิดว่ามันจะทันเหรอวะ”

เธอยิ้มพยักหน้าแทนคำตอบ ระหว่างนั้นไอ้อรก็เดินกร่างท่าทางห่ามๆ ถือจานข้าวเข้ามาที่โต๊ะ

“อ้าว พวกมึงไม่แดกข้าวเหรอวะ ข้าวเย็นหมดแล้วมั้ง”

เอยหันไปตอบพร้อมกับจับมืออร  “อามจะเดินงานให้กูแล้วเว้ย อร!” ผมเห็นสายตาอรมองผมยิ้มแบบแปลกๆ ไอ้เคถามผมขึ้นมาอย่างสงสัย

“ผีเข้าเหรอมึง มึงยังบอกไม่เอาอยู่เลย เมื่อเช้า รู้มั้ยไอ้เอยมาร้องไห้ให้ฟัง กูล่ะเบื่อออ” มันพูดพลางลูบหัวเอยไป

“ก็ยังไง ตอนนี้ไม่แล้ว”

“มากอดดิน้องชาย” พี่กู๊ดพูดแค่นั้นก่อนที่จะดึงผมมากอดอย่างรวดเร็ว โอ๊ย! แน่นไปแล้ว ตัวก็ใหญ่ กอดจนตัวจะลีบอยู่แล้ว

ผมเหลือบไปเห็นเอยหน้านิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย....

ไม่แปลก แต่อรมันถือด้วยนี่คืออะไร!

ไอ้เคก็ยืนหัวเราะ ไม่ว่าอะไรด้วยซ้ำถ้าผมจะกอดกับพี่ชายที่แสนดี พยายามหลบหน้าแต่ก็ไม่พ้นรัศมีกล้องของพวกเธอ....กลายเป็นเหยื่อของเหล่าสาววายอีกแล้วสินะ

มิตรภาพอันงดงามตะหากเล่า ไม่เข้าใจเลย จิ้นได้ก็จิ้นไปเถอะ ก็มันไม่จริงนี่

เมื่อกินข้าวเสร็จก็ต้องไปเก็บจาน ผมอาสาเก็บจานให้กับทุกคน ยกเว้นไอ้เคกับพี่กู๊ดที่เก็บเองได้ แต่ผมที่ต้องรับใช้สาวๆพวกนี้ก็ต้องรับบทหนักประจำเลย ทำไงได้เป็นบุรุษต้องทำงานเพื่อสตรี (หรือบุรุษ แต่ละคนไม่มีคำแบบนั้นให้เอ่ยเลย) นี่ถ้าผมมีแฟนจะหนักขนาดไหนเนี่ย..จะมีหรือเปล่า ผมยังไม่รู้เลย แทบไม่มีเรื่องแบบนั้นอยู่ในหัว นอกจากเพื่อนกับเรื่องเรียน และ ครอบครัว แค่นั้นแหละ

ยกจานสามจาน ไม่น่าเป็นงานหนักสำหรับผม ถ้าวันนี้ไม่มีคนเข้าโรงอาหารเยอะ!!
แถวยาวสัสๆ เอาไงดี ก็รอสิ...

นานแล้วที่ผมยืนรอประมาณ 5 นาที (นั่นนานเหรอ) แถวก็เริ่มลดน้อยลง แต่ว่าเมื่อผมเห็นผู้หญิงมาต่อแถว ผมก็ใจอ่อนขอให้มาอยู่ข้างหน้าตลอดจนผมมาอยู่รั้งท้ายแล้ว แต่ก็ช่างเหอะ พวกผู้หญิงผมไม่ถือ แต่ถ้าคนนั้นกร่างผมไม่ยอมแน่ ไม่นานนักตรงที่ผมยืนรอก็มีคนมาต่อแถวผม ก็ให้เขาอยู่ไปก็แล้วกันยังไงสุดท้ายคนก็หมดอยู่ดี ผมหันหน้ามาหลบให้คนข้างหลัง

“อยู่หน้าได้นะ”
“มึงอยู่ไปเหอะ อย่าใจดีให้มาก”  ผมชะงักเมื่อเห็นเป็นมัน มึงอีกเเล้วเหรอ!

ไอ้ปืนดึงผมกลับมาอยู่ที่เดิม ก่อนจะต่อแถวตามปกติ ก็ตามใจอยากรอก็เชิญมัน กระทั่งแถวน้อยลง ไอ้ปืนก็ขยับเดินตามมาติดๆ

“ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้โว้ย! ที่เยอะแยะ” มันทำหน้ากวนๆ ก่อนจะเดินขยับมาใกล้มากกว่าเดิม สงสัยอยากกินหมัดผมเป็นของว่างหลังมื้อเที่ยง ผมยื่นหมัดไปต่อยแต่มันจับทัน ผมพูดเสียงแข็งใส่ ผมยังไม่หายโกรธมันหรอกนะ

“ไม่กวนกูจะได้มั้ย กูยังไม่หายโกรธเรื่องที่มึงทำกับกู ไอ้เราก็คิดว่ามึงห่วงกู จริงๆก็เป็นเเค่เเผนสินะ ไอ้ชั่ว!”

มันทำหน้าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เพิ่มความรำคาญปนโมโหเข้าไปอีก

“ก็เป็นห่วงจริงๆนี่หว่า...” ผมชะงัก พูดทำไมถ้ามันไม่จริง หันมาตอบเสียงเรียบ
"ไม่เอาสิ พูดใจจริงดีกว่า ว่าอยากเห็นภาพที่น่าสมเพชของกู ใช่มั้ย"

"เห็นกูเป็นคนยังไง...เออ ที่ทำให้มึงเสียใจ กูขอโทษ พอใจยัง?” มันลูบหลังคอไปมาเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร ไอ้นี่เเม่ง!

“พอใจก็ได้ ถือว่ากูเสียค่าโง่ เพราะมึงมันปลิ้นปล้อนกะล่อนตอแหล!” ผมหันไปทำหน้ากวนๆ ยักไหล่ให้ ไหงมาสวมวิญญาณพ่อพระวะ เมื่อเช้ายังกวนประสาทส่วนล่างสุดอยู่เลย

“ถ้า...มึงจะต่อยกูก็ได้นะ กูยอม ถ้าทำให้มึงสบายใจ ทำให้มึงเชื่อใจ” มันจับมืิอผมไว้ อย่ามายุ่งได้ป่ะ ผมสะบัดเเขนออก เพราะไอ้ปืนไม่ยอมปล่อย เเถมมีทีท่าว่าจะยาว

“เอ๊ะ! มึงเป็นอะไร กูบอกว่า ไม่เป็นไ..”

ไม่ทันที่ผมจะพูดจบใครบางคนก็พุ่งเข้ามาชนไหล่ผมอย่างไม่รู้ตัว

จานข้าวบนมือผมระเนระนาดโดนเสื้อผม!!

เฮ้ย! ข้าวหกหมดอดกินเลย (ห่วงถูกเรื่องมั้ย)

ส่วนผมล้มลงกับพื้นก่อนจะเงยหน้า ไอ้คนชนก็ไม่สนเลย ผมเงยหน้าแล้วเปลี่ยนจากงงงวยกลายเป็นโกรธแทน

มึงไม่จบจริงๆใช่มั้ย! ไอ้สัดโล่

“นี่แค่เบาะๆ เพราะถ้าไม่หยุดเสือกเรื่องของกูอีกล่ะก็ ต่อไปของจริง!” ไอ้ปืนประคองผมให้ลุกขึ้น แต่ผมสะบัดออกจากตัวมัน ไอ้โล่มองหน้าด้วยท่าทางสะใจ จนไอ้ปืนต้องมาขวางมันไว้

อย่ามาขวางดิ ถึงจะไม่อยากให้พวกมึงตีกัน แต่ กูจะตีกับมันเอง คนเริ่มมอง แต่ผมไม่สนใจอะไรแล้ว ไอ้ปืนถามๆไอ้โล่ไม่พอใจ

“มึงทำมันทำไม!”

ท่าทางโกรธไม่เป็นที่เป็นทางของมัน แปลกจริงๆ ที่ผมกลับรู้สึกดี ทั้งที่ปกติมันไม่เป็นแบบนั้น

“ลองถามมันเองสิ ว่าทำไมถึงทำตัวให้น่าโดน” ผมเลือดขึ้นหน้าทันที ไม่เข็ดสินะ

“งั้นจะเอาใช่มั้ย!” ผมขึ้นเสียงปัดเสื้อที่ข้าวออก ก่อนจะลุกขึ้น พับแขนเสื้อก่อนจะเดินไปหามัน ไอ้ปืนเห็นดังนั้นก็เอามือของมันห้ามผมไว้ก่อน

“หลบ!”  พูดจบแค่นั้นผมก็เตรียมเสยหมัดเข้าที่หน้าไอ้โล่

เเต่เเล้วก็คนที่ห้ามก็กลายเป็นฝ่าย ต่อย อย่างแรงจนมันล้มลง

“นี่สำหรับที่มึงทำกับคนของกู!”

หา! คนของมึง กูเหรอ?

เสียงซุบซิบเริ่มดัง ผมอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก พยายามไม่สนใจ ถ้าไอ้ปืนจะจัดการ งั้นผมเก็บเศษอาหารก็ได้ ผมเดินเข้าไปเก็บจานที่หล่น เสียงเริ่มดัง ครูก็ไม่รู้ แถมยังเป็นทำนองเหมือนแฟนปกป้องกัน รักสามเศร้าแน่อ่ะแก สายเหลืองว่ะ ผมอยากจะตะโกนออกไปดังๆ ว่ามันไม่ใช่โว้ย! เลิกเพ้อเจ้อเวิ่นเว้อซะที นี่ปี 2015 ไม่มีหรอกนะ รักสามสงสามเศร้า ไร้สาระ

"มึงมานี่" 

ไอ้ปืนจับเเขนผมเดินออกมาจากโรงอาหารโดยไม่มองไปที่ไอ้โล่อีก

“จานคงจานข้าวไม่ต้องเก็บแล้ว เดี๋ยวแม่บ้านเขาเก็บเองได้” ผมพยายามจะห้ามมันเพราะรู้สึกผิดที่ตัวเองทำให้เรื่องวุ่นวาย ทำไมไม่เกิดที่หลังโรงเรียนว่ะ ไม่งั้นผมจะเอาให้มันหนักกว่าเดิม นี่อยู่โรงอาหารแถมทำพื้นเลอะเทอะอีก หมดกัน

“แต่กูทำหกนะ กูต้องเก็บ...” มันมองเสื้อผมที่เต็มไปด้วยเศษอาหารที่เต็มเสื้อก่อนจะบอก

“เปื้อนขนาดนี้ สงสัยต้องซักแล้วละ” ทำไมต้องซักด้วย ใส่ไปก็ได้ ตอนแกงเขียวหวานหกใส่ยังเข้าห้องแอร์สบายเลย

“มันเปื้อนโต๊ะ เปื้อนคนอื่นหมด” แต่ให้ผมถอดเสื้อแล้วผมจะใส่อะไรละ ถอดเสื้อเหรอ ผมไม่มีพวกซิกแพคอะไรไว้อวดด้วยดิ
   
“เอางี้ มึงรู้ใช่มั้ยว่าบ่ายนี้มีเรียนยูโด”

ฉิบหาย แล้วเสื้อดันมาเป็นแบบนี้! โอ้ ตาย

“เออ เชี่ย กูไม่ได้ใส่ชุดพละมา โดนทำโทษแน่ ทำไงดีวะ” ผมดันใส่ชุดนักเรียนมาซะได้

“เอางี้ มึงก็ถอดเสื้อนักเรียนออกมา เอาไปซักในห้องน้ำ ระหว่างที่รอให้มันแห้ง มึงก็ใส่ยูโดทับก็ได้”

“เออว่ะ! กูคิดไม่ออกเลยนะเนี่ย ขอบใจนะเว้ย มึงนี่ช่วยกูได้ตลอดเลยแหะ”

“เพราะฉะนั้น....คงต้องจัดการอะไรสักหน่อยแล้ว”

ก่อนจะจับแขนลากผมเข้าไปในห้องน้ำทันที ผมตกใจมากเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“เฮ้ย! จะทำอะไร อย่าเข้ามา กูถีบมึงจริงเอ้า!”

“อยู่เฉยๆ จะถอดเสื้อไปซักให้ไง”
“ไม่ต้อง ใส่เองได้ เสื้อกู”
“แต่ตอนนี้เป็นของกู!”  ของกูบ้าอะไรล่ะ แล้วยังจะพยายามอีกนะ
“ไปไกลๆ ไม่งั้นจะโดนตีน!”
“กลัวตายล่ะ ขาเล็ก ตีนเท่าฝาหอย”

ผมเลือดขึ้นหน้าเเต่นั่นทำให้มันดึงเสื้อออกได้ในที่สุด

“เอาเสื้อคืนมา ไอ้บ้าปืน”

ผมพยายามจะไปยื้อเอาคืนทุบตีมันสารพัดแต่มันทั้งอึด หรือหมัดผมไม่แรงพอ

มันยิ้มใส่ผม เอาเสื้อนักเรียนผม จุ่มน้ำแล้วเดินไปตากเฉย

ผมมองตาค้างเมื่อเห็นเสื้อที่เปียกอยู่บนราวต่อหน้าต่อตา มันหันมายิ้มให้ เป็นยิ้มที่ทำให้ผม อยากจะ...

จับมันกดกับก๊อกน้ำให้สาเเก่ใจเลย โมโหเว้ย จากที่คิดว่าเฉยๆ นี่คิดว่าจะกลายเป็นเกลียดมันเเล้วนะ (หยอกๆ)


“เอาน่า รับรองมึงไม่โป๊แน่ มึงเป็นอะไรของมึง....”

ผมตั้งท่าไม่พูดจา กระโดดถีบมันจนชนผนังห้องน้ำ เปลี่ยนใจแล้ว เกลียดมึง!!!

“นี่ กูไม่ใช่ของมึง เพราะงั้นอย่าทำแบบนี้อีก”

“ใจเย็นสิครับ เมีย” มันยกมือห้ามเมื่อเห็นท่าทางของผมที่พร้อมจะกระทืบมันให้จมดิน แต่จู่ๆหน้ามันก็ค่อยๆ แดงขึ้นมา ผมนึกขึ้นได้ เวร! ไม่ได้ใส่เสื้อนี่หว่า งั้นตอนนี้ผมก็...มีแต่นมอ่ะดิ ไอ้ปืนมึง!

“อ้ากกกกกกกกก” ผมพุ่งหมัดเข้าหามันทันที

“เหวออออ” แต่มันยิ้มเหมือนโคตรดีใจ

“เฮ้ย! ถอดเสื้อทำไมวะ”

ไอ้ม่อนพูดไปขำไป ต่างจากไอ้ไทที่มองผมไม่วางตาเมื่อเห็นสภาพเปลือยท่อนบนของผม ผมเอามือปิด ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านักกีฬายูโด ที่มีแต่พวกผู้ชาย จะไม่มีก็แต่ไอ้โล่ ที่โดดคาบนี้เพราะมันไม่ตั้งใจเรียนอยู่แล้ว วันๆหาเรื่องคน สูบบุหรี่ ต่อยเตะคนอื่นคงเจริญอยู่หรอก แต่ก็ดี ไม่มีมัน ผมจะได้ไม่เผลอใช้ท่ายูโดกับพื้นที่จริงไม่งั้น มันคงได้เข้าโรงบาลแทนห้องสอบแน่นอน

หลังจากที่ผมกรีดร้องพร้อมกับต่อยมัน เราเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมกำลังเครียดๆที่ไม่รู้จะหาอะไรปิด ไอ้ปืนที่หน้าแดงเพราะโดนผมต่อยเดินข้างๆผม ถอดเสื้อนักเรียนของมันให้ใส่ เนื่องจากบริเวณรอบๆ คนผ่านเยอะ ก่อนจะมาเปลี่ยนเสื้อในห้องเปลี่ยนชุดนี่แหละ อายแทนมันเนี่ย ต้องมาเห็นสภาพไม่น่าอภิรมย์ของหัวนมผู้ชาย เราสนิทกัน แต่ผมไม่เคยให้ใครเห็นเลยนะ มีแต่มันนั่นแหละ ภูมิใจมาก ดีที่มันไม่เดินแก้ผ้าในห้องนอนผม ไม่งั้น ผมคงถีบออกนอกห้อง

“ไอ้ปืน มึงไปทำอะไรไอ้อามมันวะ” ไอ้เติ้ลถามในระหว่างที่หยิบเสื้อยูโดมาใส่

“ก็แค่จับถอดเสื้อ ทำเป็นดีดดิ้นเหมือนมึงไม่เคย” มันพูดด้วยท่าทางไม่สนใจคนที่อายแทบแทรกแผ่นดินหนี
“เออดิ นอกจากพ่อเเม่ก็มีมึงนี่เเหละที่เห็นของกู” ผมพูด มีจุดประสงค์จะเอาหัวนมไปขายในเว็บสินะ (คิดห่าไร)
"เหยดด" พวกเเม่งพากันสรรเสริญชาบูเเม่งใหญ่ ไอ้ปืนก็ได้ใจพูดต่อ

“คนของกู กูก็ต้องเป็นคนดูแล” โห ซาบซึ้งจนขนลุกเลยว่ะ ผมรีบเอาชุดยูโดมาใส่ทันทีเลย

“รีบใส่ทำไมวะ” เสียงพึมพำ ดังออกมา แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะมันเบามาก

“ใครพูดเมื่อกี้” ผมหันไปเมื่อมีเสียงในห้อง แต่ก็ไม่มีใครตอบ ใครมาพูดหมาๆแบบนี้ ช่างเหอะ คิดว่าเป็นเสียงหมาแล้วกันก็พูดแล้วนี่นา

“มีเรื่องที่โรงอาหารเกิดอะไรขึ้นเหรอวะ” ไอ้ไทถามผม ผมสะดุ้งเล็กน้อย

“ไอ้โล่มันมาหาเรื่อง แล้วไอ้ปืนก็ชกหน้ามัน ดีที่ครูไม่อยู่ตอนนั้น”

“อ๋อ เจ็บตรงไหนบ้างมั้ยเนี่ย” ไอ้ไทถามผมพลางจับตัวไปมา

“ไม่เป็นหรอก กูอยู่ทั้งคน” ไอ้ปืนเหมือนไม่ค่อยพอใจพูดแทนผม

“มึงอ่ะตัวดีเลย พวกเดียวกันไม่ใช่เหรอ”

“ไม่เกี่ยวป่าววะ ไอ้อามมันเพื่อนกู”

“ไอ้อามก็เพื่อนกู”

“หยุด! พอ เลิกเถียง จบนะ กูไหว้ล่ะ” ผมยกมือห้าม ปวดหัวกับไอ้พวกนี้จริงๆ

ไอ้ม่อนพูดบ้าง “บางคนก็โอเวอร์เนอะ ตัวเองไม่ได้อยู่แท้แต่ดันทำตัวเหมือนอยู่”

“ไม่มีคนคุยหรือไงครับ” ไอ้ไทพูดขึ้นบ้าง

“มี เยอะแยะด้วย เยอะกว่ามึงอีก”

“เอายอดเพื่อนเฟสบุ๊คมาอวดดิ”

“ได้”

"โอ๊ย!" ผมมองพวกมัน ห้ามศึกหนึ่ง มีศึกนึง ยังจะมาข่มกันอีก ไอ้พวกนี้ จะว่าไปไอ้พวกนี้ก็มีลักษณะของเคมีแนวคู่กัดนะ แต่ปัญหาคือแม่งชายแท้ ผมเลยไม่กล้าจิ้น กลัวไอ้ม่อนกระทืบ แต่ไอ้เคได้อยู่มันไม่ค่อยซีเรียสอะไรเท่าไหร่ แถมจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้ความสัมพันธ์ของมันกับพี่กู๊ดดูโคตรดีเลย ต่างคนต่างดูแล หยอดเล็กๆ แต่ไม่เลี่ยน ผมจะไม่เอาเรือผีแบบไอ้คู่นี้เด็ดขาด

“กูไปรอข้างนอกแล้วนะ”

“ยังไม่ถึงคิวเลย ไม่ต้องลงทุนขนาดนั้นก็ได้นี่หว่า ยังไงซะก็ใส่ชุดนักเรียนเล่นได้อยู่แล้ว” ผมหันมาอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินไอ้ม่อนพูดขึ้นมาเหมือนแปลกใจกับท่าทีของผม

“เดี๋ยว ใส่ชุดนักเรียนได้เหรอวะ?”

“เออดิ ใครบอกมึงว่าให้ถอดเสื้อ เรียนมาเป็นเดือนแล้วยังไม่รู้อีกเหรอ”
“มึงว่ากูโง่เหรอ? กูแค่ลืมป่าววะ”  ผมลนแน่ๆเลย แต่ไอ้ม่อนก็พูดแบบนั้นจริงๆ

“งั้นก็แต่งไปเหอะ” มันเดินออกไปจากผมพร้อมๆกับท่าทางเฉยๆ โดยมีไอ้ไทมองอยู่ มองอะไรนักหนา แต่ก็ดีพวกมันจะได้ไม่ต้องมาข่มกันไปข่มกันมา เพราะไอ้ม่อนดูจะสนใจเรื่องผมมาก ผมยิ้มหันไปมองไอ้ปืนที่กำลังหยิบสายรัดออกมาจากตู้เก็บของ เมื่อได้จังหวะผมจึงคว้าเอามาจากมือก่อนจะรัดเอวมัน

“มึงหลอกกู!! ไอ้เชี่ยปืน! ตาย!!”

“เฮ้ยยยยย!!!” พวกมันร้องประสานเสียงก่อนจะรีบเข้ามากันผมกับไอ้ปืนไว้ เสียท่ามันอีกจนได้ มีอะไรที่ผมเชื่อได้จริงๆจากมันมั้ยวะ ต้องการอะไรกันแน่ ผมไม่ใช่ของมันนะ

สำนึกไว้ด้วยว่าอย่า หลอกคนซ้ำซ้อน เพราะคนที่เขาเชื่อ เขาเชื่อจริงๆ ไม่อย่างงั้น ผมจะไม่เชื่ออะไรที่มันพูดอีก!

พี่กู๊ดรีบเข้ามาล็อคตัวผมไว้ “ใจเย็นก่อน อาม ทำไมถึงดุเป็นหมาแบบนี้ล่ะ” ผมรีบหันมาหาทำท่าจะกัดเขา

“ก็มันหลอกให้ผมเอาเสื้อไปซัก เพื่อจะได้ให้ผมไม่มีเสื้อใส่ จะได้ถือโอกาส..” ผมไม่พูดต่อกลัวโดนแซว

“มันชั่วขนาดไหนก็คิดดู ไหนจะเรื่องเมื่อเช้าอีก” ผมเงียบแล้วโวยวายด้วยความโมโห “แล้วจะให้ผมใจเย็นลงอีกเหรอ!” ผมดึงแน่นขึ้น มันหัวเราะแต่ยังไม่สาสมหรอก ไอ้ไทลูบขาของผมไว้ พูดด้วยท่าทางหื่นๆ จนอยากจะเอาสายรัดมารัดคอมันแทนจริงๆ

“ขาวว่ะ เพิ่งเห็นตอนนี้แหละ”

“ตลกเหรอ!” ผมเตะมันป้าบเข้าให้ ไอ้กอล์ฟได้ยินเสียงรีบวิ่งเข้ามาแก้ปมเชือกจนมันเป็นอิสระ แต่เอาจริงๆ ผมเอาสะใจไม่ได้จะฆ่ามันจริงๆซะหน่อย ไอ้ปืนมันก็เหมือนจะรู้ และผมก็ไม่ได้โกรธอะไรมันจริงจังสักหน่อย ก็แค่เอาคืน!

“มึงเกือบฆ่าคนแล้ว รู้ป่ะเนี่ย” ไอ้เติ้ลบอกผมด้วยท่าทางเหนื่อยๆ หลังจากห้ามคดีฆาตกรรมไอ้ปืนเสร็จ ผมหอบเหมือนหมาบ้า

“ฆ่าได้ก็ดีดิ คนอะไรเชี่ยฉิบหาย แค่รัดเอวแน่นๆมันไม่ตายหรอก ไม่เท่ากับที่มันทำกับกู”

“แล้วถ้าเกิดมันหายใจไม่ออกขึ้นมาล่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ” ไอ้กอล์ฟถามพร้อมๆกับมองผม ไอ้ปืนแอบยิ้ม กูมีพวกละ

“เออ ก็เห็นพูดจริงจังขนาดนั้นนี่หว่า” ผมรีบหลบสายตาตอบ ไอ้เราเองก็โง่ที่ไปเชื่อแม่ง

“ไม่รู้แล้ว ขอโทษเว้ย แต่ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ไอ้ปืน กูให้อภัยเเล้ว จบมั้ย"

เเม่ง กูต้องเป็นฝ่ายขอโทษมันอีก
 
ผมชี้หน้ามันเดินออกมาจากห้อง ชั่ววินาทีเหลือบไปเห็นไอ้ปืนยิ้มให้ผมอย่างมีความสุข

นี่ผมจะไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเลยใช่มั้ย ฝากไว้ก่อนเถอะ!


ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้
«ตอบ #11 เมื่อ15-08-2017 23:38:34 »

JUST 5. WHOSE LIFE (PART II)

ในที่สุดทุกคนในห้องก็มาอยู่ในห้องยูโดจนได้ อาจารย์ก็พูดท่านั้นท่านี้ไปเรื่อยๆ ผมก็ฟัง พี่กู๊ดดูท่าไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะเขาเป็นแชมป์ยูโดเก่าอยู่แล้ว ส่วนไอ้เคได้คู่กับพี่กู๊ดทุกครั้ง ไอ้สองคนนี้มันผัวเมียจริงๆสินะ ส่วนไอ้ปืนนั่งกดโทรศัพท์และแน่นอนผมคู่กับมันคราวนี้แหละผมจะต้องเอาคืนมันอีกให้ได้ ทำอะไรเอาไว้ แค่นี้ยังไม่พอหรอก แต่ทว่า

“ปราวุธได้แต้ม”

แต่กลายเป็นว่าผมนี่แหละที่พลาดท่ามันอีกแล้ว ผมพยายามพุ่งจับคอเสื้อจะฟาดไอ้ปืนลงกับพื้น แต่ก็พลาดโดนมันพุ่งชนจนล้มหรอกและก็ถูกกดให้นอนลง ก่อนที่มันจะชนะไป แล้วมันก็มากระซิบหูผม

“อ่อนหัดจริง ไปเรียนใหม่ไป” คุ้นๆนะ

ผัวะ!

เกลียดคำนี้เว้ย!

ผมสะบัดมือตัวเองเล็กน้อย มองไปที่ไอ้ปืน เลือดเปรอะที่มือเล็กน้อย ครูรีบเข้ามาปรับผมแพ้ทันที

ผมผิดเหรอที่ผมจะต่อยคนที่ชอบพูดเหมือนผมอ่อนแออ่ะ หืม?

“โห ไรวะอาม กูเห็นมึงต่อยคนเก่ง ไหงยูโดมึงอ่อนตลอดเลยวะ ไม่สม”

ไอ้เคบอกระหว่างที่อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า “ทำไงได้ คนมันอ่อน” ไอ้ปืนมันพูดทั้งๆที่ปากมันแตก ฝีมือผมเอง อยากปากไม่ดีเองนะ ผมมองมันส่ายหน้าเหนื่อยใจ

“สงสัยไม่เข็ด อยากโดนอีกมัดใช่มั้ย?” ผมเก็บชุดเข้าตู้และกลายเป็นว่าผมมีแค่กางเกงนักเรียน ทุกอย่างครบยกเว้นเสื้อนักเรียน พี่กู๊ดบอกผมว่าจะไปเอาให้ แต่ให้เขาเปลี่ยนเสื้อเสร็จก่อน

“มึงเองก็เหมือนกัน ทุ่มเขาเอา ทุ่มเขาเอา”

“ก็เขาให้กูทุบนี่หว่า กูก็อยากให้เขาโชว์ฝีมือจริงๆอยู่ แต่เขาส่งสายตาให้ กูก็ไม่รู้อ่ะ”

“ฮั่นแน่ มึงกับพี่เขา มี something อ่ะป่าว” ผมตาลุกวาวเมื่อได้ยินโมเมนต์

“ตลกละๆ มึงคิดว่ากูกับเขาเป็นมากกว่านั้นเหรอ อย่าเลย เขาเป็นพี่ที่ปรึกษาที่ดี”

“มึง...”

“มันจะทำให้เปลี่ยนไป เหมือนคนนั้น” ผมพยักหน้ารับ 

เพราะว่ามันเลิกกับแฟนตอนม.4 เทอมสอง มีแค่ผม พี่กู๊ดที่รู้เรื่องนี้ดี

ไอ้เคเลยกลายเป็นคนไม่กล้าเริ่มอะไรสักเท่าไหร่ เพราะกลัวว่าถ้าให้ใจเขามาก เขาจะทิ้งไป

“พอๆ เลิกดราม่า” ผมโยนเสื้อให้มัน มันรับก่อนจะโยนไปมาอย่างสนุก

พี่กู๊ดเดินเข้ามา ไอ้เคหันมามองรีบใส่เสื้อ พี่กู๊ดเดินมากอดคอมัน

“รอตรงนี้สักพักก่อนดีมั้ย เดี๋ยวพี่ไปหาดูให้” พูดแล้วไอ้เคกับพี่กู๊ดก็เดินออกไปกันสองคน ปาท่องโก๋ยังอาย ตัวติดกันยิ่งกว่าพ่อลูกอีก ผมยิ้มเล็กๆ จะผิดมั้ยถ้าจะจิ้นคู่นี้ กู๊ดเค น่ารักจังเลย! ขอชิพคู่นี้จริงๆนะ

ผมนั่งลงกับพื้นก่อนจะมองดูรอบๆ ไอ้ปืนที่เจ็บปากก็มานั่งข้างๆเช่นกัน “ยังโกรธกูเหรอวะ? ต่อยมาได้” ยังมีหน้ามาถามผมอีก

“เออดิ เชื่ออะไรไม่ได้เลย มึงอ่ะ เกลียดที่สุดคือคนโกหก ถามจริงเหอะ สนุกเหรอวะ ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อน กูเลิกคบเหมือนไอ้...ช่างมันเหอะ”

ผมพูดออกมาทั้งหมดก่อนจะชะงักเงียบไปด้วยความน้อยใจ รู้สึกเหมือนความเชื่อใจมันลดน้อยลง มันพูดออกมาว่า “ถึงกูรู้ แต่กูก็เลือกจะทำ เพราะคงไม่มีใครที่กูอยากจะกวนตีนเท่ากับมึงแล้ว มึงรู้ดีว่าเราเป็นยังไง กูขอโทษจริงๆนะ” ผมชะงัก ไม่ใช่กับคำขอโทษของไอ้คนที่นั่งข้างๆหรอกครัย แต่เพราะไอ้ปืนมันพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง กลับเป็นฝ่ายพูดจาดี แล้วขยับตัวมาจ้องตาผมเขม็งจนผมต้องห้ามไว้

“หลายครั้งแล้วนะเว้ย หยุดสักที!”  ผมพยายามดันหน้าอกมันออก “มองหน้าคนที่กูอยากกวนไง ไม่เข้าใจเลยรึไง” ผมส่ายหน้าถามมันออกไปด้วยท่าทางหวาดระแวง กลัวมันทำสิ่งที่ผมเห็นในนิยาย

“แล้วจะยื่นหน้ามาใกล้ทำไม ขนลุกเว้ย” 
“ก็อยากเห็นชัดๆ” เหมือนโดนสะกดจิตด้วยแววตาของมัน ผมจ้องตามันตอบ ผมรู้สึกถึงบางอย่าง ก่อนจะค่อยๆตาโตแทน เวรแล้วไง!! เพราะริมฝีปากของมันเริ่มจะจ่อมาที่ปากของผม ผมพยายามจะร้อห้าม แต่เหมือนข้างในมันแปลกๆจนพูดไม่ออก อย่าไอ้ปืน อย่าทำแบบนี้

แต่แล้วไอ้ปืนก็หันหน้าไปทางอื่นไม่มองผมอีกอย่างจงใจ

“ตกใจหมด แม่ง”

ไม่ทันไร มันจับมือผมไว้ ก่อนจะจับใบหน้าผมเบาๆ ลูบไปมา
   
“กู...”

มันมองหน้าผมกำลังจะพูดบางอย่างออกมา ผมรอฟังอยู่ พูดมาสิ


“เฮ้ย!! ไอ้อามเสื้อแห้งพอดีเลย กูเลยเอามาให้”
   
ไอ้เคนั่นเองที่เข้ามาในห้อง โอ้ ผู้ช่วยชีวิตผม โชคดีนะที่มันไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ “เออๆ” ผมลุกก่อนจะสะบัดหัวไปมา ผมเป็นอะไร ผมควรจะรู้สึกไม่ชอบหรือไม่ก็โมโหสิ แต่ผมกลับไม่ทำ ต้องมาเป็นกับไอ้ผู้ชายเชี่ยกวนประสาทอย่างไอ้ปืน แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว! ผมอึ้งมองไม่ปืน ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาอีกให้ผมรู้สึกปั่นป่วนไปมากกว่านี้ นี่ผมกับมันสนิทพอที่จะจ้องหน้ากันได้ขนาดนี้แล้วเหรอ
   
ผมรีบเดินออกมาจากพวกมันทันที
   
“อาม มึงเป็นอะไรป่าววะ”

ไอ้เคเรียกผมหลังจากที่ผมขอสลับที่กับพี่กู๊ด ไม่ใช่เพราะผมกลัวไอ้ปืนมันหรอก แต่ผมกำลังว่าผมกำลังสนิทใจกับมันมากไป มากเกินกว่าที่ผมจะรู้สึกซะอีก แล้วผมต้องมาปวดหัวกับเรื่องนี้เพื่ออะไร ทุกอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สายตาและการกระทำของมัน ทำให้ผมไม่แน่ใจแล้วจริงๆ ว่าเพื่อนสนิทเขาเป็นแบบนี้กันจริงๆหรือเปล่า เห็นพวกไอ้กอล์ฟมันก็ทำอยู่กับไอ้เติ้ล แบบทำท่าเหมือนเอากัน แต่มันก็ไม่เหมือนกันแบบนั้น อันนั้นมันขำ แต่อันนี้ผมขำไม่ออกจริงๆนะ

“คิดไปเรื่อย ไม่มีไรหรอก” ทำไมผมถึงไม่พูดไปเลยวะ ว่าไอ้ปืนมันจะทำอะไร? ปกติผมพูดได้แทบทุกเรื่องนะ ใจจริงผมอยากจะถามมันตรงๆ แต่ตอนนั้นมันกังวลหลายๆอย่าง

ผมอาจจะคิดมากไปก็ได้

“แต่อามดูเหม่อๆนะ ไม่เป็นไรจริงเหรอ” พี่พูดตามจากไอ้เค “ไม่ได้เป็นอะไรพี่”
   
บางทีจุดประสงค์ของคนอย่างมันคืออะไร หวังดี หรือ คิดอะไรที่ผมคาดไม่ถึง ผมเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาที่แทบจะไม่มีประสบการณ์เรื่องความรัก อาจเป็นเพราะการเลี้ยงดูของครอบครัว และการคบเพื่อนของผม ที่ไม่อาจทำให้ผมดูย่ำเกรงและน่าหวาดกลัว มันกลับกลายเป็นดูถูกและดูแย่มาก ใช่สิ! คนที่คบกับเพื่อนผู้หญิงมาตั้งแต่ป.1 จะไปเข้าใจอะไรเรื่องที่ผู้ชายทั่วไปเขาคิดกันล่ะ ผมก็พยายามปรับตัวแล้วนะ แต่ไม่ไหวอ่ะ มันไม่ใช่ ใครจะว่าผมเป็นอะไรก็ช่าง ผมพอใจที่จะเป็นแบบนี้
   
ผมเห็นสีหน้าของมันตอนที่รู้ว่าผมขอย้ายไปนั่งข้างหลัง ก็ดูนิ่งผิดปกติแต่ก็ยอม ผมมานั่งกับไอ้เค อีกอย่างคงเพราะพี่กู๊ดเค้าก็เรียนเก่งในระดับนึงแล้ว น่าจะพอคุยกันรู้เรื่องมากกว่าผมที่หัววิชาการไปนิด ส่วนไอ้ปืนพูดอะไรแม่งก็ไม่เคยเข้าหา มันเอาเล่นแต่เกม บางทีก็ชอบโดดไปสูบบุหรี่ที่ห้องน้ำ ห้ามก็ไม่ได้ ผมไม่ใช่แม่มันนี่หว่า อยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ ถ้ามันไม่เดือดร้อนใคร แต่ก็ไม่ชอบเอาซะเลยที่มันทำแบบนี้ เพราะผมอีกแล้วใช่มั้น
   
“แล้วเรื่องที่มึงเดิน มึงโอใช่มั้ย?” ไอ้เคลอบถามผม คงคิดว่าผมคงกังวลเรื่องงานนั้น แต่นั่นก็ส่วนหนึ่ง เรื่องไอ้ปืนท่าจะเป็นเมนไอเดียมากกว่า เมื่อมันไม่หันมาคุยกับผมเหมือนกับทุกวัน ใช่ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ผมได้แต่บอกกับตัวเองว่า ผมคงทำถูกแล้ว เพราะผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่าผมรู้สึกยังไงกับมันกันแน่ ผมว่าผมกำลังรู้สึกไม่ใช่ตัวเองเลยตอนที่เจอสายตานั้นเข้าไป

“โอเค แต่ตอนนี้ขอกูอยู่เงียบๆได้มั้ยวะ” ผมตอบมันแต่กลับเหม่อลอยเหมือนไม่สนใจอะไร
“มึงคิดยังไงถึงย้ายที่วะ ไอ้ปืนทำอะไรมึงอีกล่ะ เห็นไอ้เคบอกว่าอยู่ด้วยกัน”

ไอ้ม่อนที่นั่งอยู่ข้างหลังแถวผมอีกทีนึง นั่งอยู่กับเพื่อนรักมัน ไอ้ไทนั่งนิ่ง ตั้งใจเรียนมาก ไม่สนใจ(ไม่ก็แอบฟัง)
   
“เปล่า ก็แค่...อยากเปลี่ยนบรรยากาศ” ผมตอบแบบไม่ได้คิดอะไรมาก “เปลี่ยนบ้าอะไร แค่สลับโต๊ะกับพี่กู๊ดเนี่ยนะ” ไอ้ม่อนมึงจะมากไปแล้ว “ก็ใช่ อยากเห็นอะไรไกลๆหน่อยว่ะ แล้วก็...รู้สึกว่าถ้านั่งกับไอ้ปืน กูจะไม่มีสมาธิ” พยายามหาเหตุผลที่เป็นหลักการ ไม่แถลให้มัน ไอ้ม่อนมันพวกชอบสันนิษฐานอยู่แล้ว มันน่าจะไปเป็นนักสืบนะ ชอบสนใจเรื่องของคนอื่น ไปเคลียร์เรื่องไอ้ไทก่อนไป

“ชอบเสือกเรื่องคนอื่น” ไอ้ไทพูดแทนใจผมซะงั้น แน่นอนไอ้ม่อนหันไปจ้องตาเขม็ง
“แล้วมึงจะ เสือก ทำไมไม่ทราบ”
“เรื่องของกูป่ะ” มันนั่งจดงานต่อไม่สนใจคนที่กำลังด่า

“เฮ้ย พวกมึงหยุดทะเลาะดิ คนจะเล่นเกม”

ไอ้เติ้ลที่นั่งอยู่ข้างอีกฝั่งนึงห้ามไว้ ไอ้พวกนี้ ทะเลาะเพราะหน้าตาไม่พอ ยังจะขัดแข้งขัดขาตลอด ผมเหลือบหันไปเห็นไอ้ตัวปัญหาที่กลับมานั่งเรียนในคาบนี้ มองผมด้วยสายตาเอาเรื่อง ผมยกไหล่ให้ จะสนทำไมละ ทำตัวเอง โชคดีไปนะที่ไอ้ปืนทำไม่ใช่ผม หันกลับมาที่เดิมและได้แต่มองไอ้ปืนก่อนจะนั่งจดงานต่อ

ไม่เอาน่า อาม ไม่สนใจๆ เรียนๆ

พอเลิกเรียน ผมรีบเดินมาหาเอยที่เพิ่งยกโต๊ะเสร็จ อย่างน้อยเธอก็เป็นที่ปรึกษาที่ดีให้ผมได้ โดยเฉพาะเรื่องแบบนี้ ไอ้เอยดูแปลกใจมากที่เห็นผม เพราะผมไม่ได้เข้าไปหามันอีก ลืมไปซะสนิท มัวแต่มีเรื่องบ้าบอขอแตกกับไอ้โล่นี่แหละ ไม่งั้นผมคงไปนั่งกินโกโก้สบายใจกับพวกมันสักสิบนาทีละ

“ตอนเที่ยงหายไปไหนมาวะ ไม่ยอมกลับมาหาเลย เห็นอีกทีที่ห้องยูโดแล้ว แล้วเสื้อไปโดนอะไรมาน่ะ เป็นรอยเชียว” ขอทีละคำถามได้มั้ยครับ คุณอังศุมาลา

“อ้อ พอดีกูดวงซวยทำข้าวหกใส่เสื้อ เลยซักเสื้อนะ”

“ก็นึกว่าหายไปไหนซะอีก แล้วมีอะไรล่ะ”

“กูขอสลับคู่ได้มั้ยวะ? ให้กูเดินกับพี่กู๊ดแทน นะๆ”

“หา ทำไมล่ะ มึงมีอะไรกับไอ้ปืน บอกกูมาได้”

เธอดูตกใจมากเมื่อผมพูดออกมา แต่มือหยิบสมุดออกมาจากกระเป๋า คืิออะไร

ผมเดินกับไอ้ปืนผมคงไม่มีสมาธิแน่ๆ ถ้าผมยังเป็นแบบนี้ เปลี่ยนคนยังจะดีกว่า

“คือกูรู้สึกว่าถ้ากูเดินกับมัน กูต้องไม่ไหวแน่ๆ”

“คิดมาก มึงสนิทกับมันจะตาย ไหงมาไก่อ่อนตอนนี้วะ”

“เออดิ กูคิดมาก” ผมทำหน้าเหมือนไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่เธอกลับมองหน้าผมเหมือนกับจะรู้ทันความคิดจากในหัวของผม แต่ผมพยายามมองหน้าเธอกลับเพื่อไม่ให้เธอสนใจอะไร แล้วเธอก็ถามขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัว 

“ตอนยูโดกูยังเห็นพวกมึงเล่นกันอยู่เลย บอกมาซะดีๆ จะเอาไปแต่งฟิค” เดาถูกอีก แน่ละสำหรับคนที่จ้องผมกับมันตาเป็นประกาย

“กูกลัวไม่มีสมาธิเฉยๆแหละ” ผมตอบได้แค่นั้น ไอ้เอยกอดอกก่อนจะมองผมทำท่าไม่เชื่อ“คนอย่างมึงมีสมาธิด้วยเหรอ กูเห็นสอบแต่ละทีไม่เคยใช้ ครั้งสุดท้ายจำได้ว่านั่งรำหาคำตอบตอนวิชาคณิต...”  ผมไม่พูดเพราะอายลึกๆ ช่างมันเหอะน่า อดีตก็คืออดีต แล้วก็ไม่ช่วยอะไร ข้อสอบ 30 ยังได้ 10 เจริญ!

“แต่ไม่ได้หรอก บอกแล้วไง..นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของกู มึงเลือกแล้วนะอาม เปลี่ยนใจตอนนี้มันสายไปแล้วล่ะ ยังไงมึงก็ต้องเดิน”

ว่าแล้วเธอก็ยิ้มแล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมยืนงงและสับสน

“เดี๋ยว เอย ฟังเหตุผลกูก่อน”

“เหตุผลอะไรเหรอ” ทำไมเสียงแปลกๆวะ

ใครบางคนมาตบไหล่ผมเบาๆ ผมหันไปมองตาม “มึง?” ไอ้ปืนทักผมนี่เอง มันน่าจะกำลังมีเรื่องอยากจะคุย อยากรู้เหตุผลที่ผมสลับที่ตอนคาบสุดท้ายแน่ๆ ผมได้แต่มองหน้าพูดไม่ออก “เป็นอะไร ไม่สบายเหรอวะ?” มันค่อยๆยื่นมือจะแตะหน้าผาก ผมจับมือห้ามมันไว้

“นิดหน่อย เดี๋ยวกู..กลับบ้านก่อนนะ บอกเอยด้วยวันนี้ยังไม่ซ้อม เหนื่อย”

“ไม่ใช่เพราะเรื่องตอนบ่ายเหรอว่ะ?” ผมนิ่งก่อนจะทำตัวปกติ ยิ้มไว้ๆ
 
“ไม่อ่ะ ก็ไม่ได้ซีเท่าไหร่ เพื่อนกัน ก็ทำได้อยู่แล้วนิ” หน้ามันดูจะรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ ไม่ต้องดราม่าเอาความรู้สึกนั้นมาให้กูเถอะ “เอาน่า ยังไงมึงก็ช่วยเปลี่ยนเสื้อกู รู้ป่ะ มึงอ่ะโคตรเก่งเลย ขนาดกูดิ้นอ่ะนะ มึงยังท...” ยิ่งพูดไป มองหน้ามันไป ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองดูโอเวอร์แอคติ้งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนคนบ้า จริงๆก็เหมือนอยู่แหละ ผมยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นแนบหัว มันยิ้มเล็กๆก่อนจะลูบหัว ผมรีบถอยออกมา หน้ามันเปลี่ยนไปทันที ผมตัดบท ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ยังรู้สึกแปลกอยู่ดี

“ไม่ต้องห่วงนะ กูโอเค เรื่องนั้นมันแค่เล่นๆแหละ”

ผมรีบเดินออกมาจากตรงนั้นทันที ผมกำลังจะเป็นคนบ้าอย่างที่มันบอกจริงๆแล้ว

ผมกลับมาที่บ้านด้วยสภาพทั้งเหนื่อยและปวดหัวเกินกว่าจะบรรยาย พร้อมๆกับรับสายไอ้ม่อนที่โทรมาถามด้วยความเป็นห่วงหรือจะกวนตีนอะไรก็ไม่รู้มัน ไอ้นี่มันก็เเปลกๆพอกัน เหมือนไบโพล่าร์ อยู่กับผม ก็อ่อนโยน พอกับไอ้ไทกลายเป็นคนโมโหขึ้นมา เเสดงว่าคนมันมีอิทธิพลกับนิสัยเฉพาะเเหละ
 
“มึงก็กินยาก็แล้วกัน จะได้หาย” ผมยิ้มเล็กน้อย ก็เป็นห่วงแหละ

“ไอ้เชี่ย กูไม่ได้เป็นไข้”

“มึงเป็นไข้เว้ย..ไข้ใจ วู้!” แหวะ ผมอยากจะอ้วกตั้งแต่ได้ยินมันพูดเป็นไข้แล้ว “ถุ้ย! ไข้ใจเชี่ยอะไร กูเครียด อย่าพูดมาก” มันเงียบไปสักพัก เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่   

“ทำไม เครียด อกหัก แฟนทิ้ง?” เสียงปลายสายถามผมด้วยความสงสัย “ก็ไม่เชิงหรอก แค่รู้สึกไม่ใช่” ผมถอนหายใจเล็กน้อย จะบอกว่าเป็นเรื่องไอ้ปืนก็กลัวมันเข้าใจว่าไอ้ปืนทำร้ายผม

“เอาเป็นว่าให้กูพักเดี๋ยวกูก็หายแล้ว แค่นี้นะ อย่าคุยกับสาวจนดึกล่ะเว้ย” ผมแอบทิ้งท้ายแซวมันตามประสาผู้ชาย แต่มันพูดเสียงหงอยๆ

“มีก็ดีสิ ส่วนใหญ่มาขอเฟซ เพื่อมาถามหาเฟซของไอ้ไทอีกที แม่งทำตัวเป็นเซเลบิตี้ หมั่นไส้ฉิบหายเลย กูไม่หล่อตรงไหนวะ”

ผมแอบขำๆ ที่จะอวดยอดเพื่อนนี่คงเป็นของไอ้ไทหมดเลยสินะ ไอ้ไทมันทำบุญด้วยอะไรนะ ผมให้กำลังใจมัน

“มึงหล่อเว้ย แต่ไอ้ไทมันภาษีดีกว่า ตรงที่หน้ามันเหมือนคนเกาหลี” ท่าทางของมันก็เปลี่ยนไปทันที “มึงจะให้กูไปศัลยกรรมมั้ยล่ะ จะได้หล่อๆ เอาให้มึงหลงเลย”

มันพูดติดตลกๆ ผมเงียบไป

“จะบ้าเหรอ มึงก็ออกจะหล่อแบบไทยๆ หล่อกว่าผู้ชายตี๋ๆโรงเรียนกางเกงน้ำเงินอีก เเต่สิ่งที่มึงมี คือใจ ใจของมึงหล่อมาก” ผมพยายามพูดให้มันอารมณ์ดี มันเงียบไปก่อนจะถอนหายใจ

“มีแต่มึงที่เข้าใจกู แค่นี้แหละ กูจะต้องหล่อให้มากกว่านี้” มันวางสายไม่รอให้ผมพูดอะไรอีก เดี๋ยวยาว

ผมทิ้งตัวลงบนเตียง โยนถุงเท้าใส่ตะกร้าและวางกระเป๋าไว้ข้างเตียง ก่อนจะได้กลิ่นข้าวแกงจากเสื้อที่แห้งแต่กลิ่นไม่หาย กลับมาถึงบ้านได้ไม่นาน แต่กลิ่นต่างๆยังไม่จางหายเลย กลิ่นน้ำหอมไอ้ปืนอีก เดี๋ยว! อันนั้นมันไม่น่าใช่ ใช่ดิวะ ใครจะไปรู้ว่ามันจะจ้องหน้าราวกับจะจูบขนาดนั้น เพิ่งเข้าใจแล้วว่าทำไมนางเอกต้องโดนจูบก่อนถึงค่อยสะบัดหนี เขาไม่ได้อ่อย แต่เขาทำอะไรไม่ได้ตะหาก ผมโชคดีที่ไอ้ปืนมันแค่เล่นๆ ไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็...ผมคิดถึงมันอยู่เหรอ

ใช่สินะ...

“แม่งเอ้ย!” ผมสบถออกมา ก่อนจะถอดเสื้อนักเรียน กางเกง เข็มขัดออก เอาแขวนไว้ คิดๆดูแล้ว ผมอาบน้ำด้วยดีกว่า จะได้รอรับพ่อมาถึงบ้านด้วย มาวันนี้แหละ แม่ผมก็เหมือนเดิมไปซื้อของข้างนอก ทิ้งให้ผมเฝ้าบ้านแทบทุกครั้งเลย แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าโจรกระจอกเข้ามา ผมจะอัดให้น่วมเลยคอยดู

ผมเดินลงบันไดไปที่หลังบ้านมีเครื่องซักผ้าอยู่ ผมทำตามวิธีที่ผมทำเวลาซักผ้าตามปกติ ก่อนจะนั่งมองมันหมุนไปเรื่อยๆ แล้วหยิบของกินในตู้เย็น เป็นขนมปังสังขยาใบเตยกับนมช็อคโกแลต เดินมานั่งที่โซฟา นั่งดูทีวีไปเพลินๆ ปากเคี้ยวขนมปังจนหมดในเวลาไม่กี่นาที และดื่มนมตาม หิวเว้ย ผมนอนเอนตัวบนโซฟา ก่อนจะปิดทีวี นอนกลางเย็นก็ไม่เลว ค่อยๆหลับตาลง คิดถึงความสงบ...เงียบ ลมพัดเย็น และเสียง...เหมือนใครกำลังงัดประตูเข้ามาในบ้าน มาคนเดียวสินะ คิดว่าผมจะโทรหาตำรวจมั้ย ไม่!
   เพราะมันเลือกปล้นผิดบ้านแล้วครับ...

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

*กับคนเเต่ง

เกือบสี่อาทิตย์ที่ไม่ได้มาลง มันคงเป็นอะไรที่ทรมานผู้อ่านมากเลยสินะครับ (เออสิ) เเต่ติดเรียน เลยไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจเหมือนตอนปิดเทอม จนบางทีอาจจะมีปัญหาเรื่องการอัพเรื่องช้า ทางผู้เเต่งก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เพราะตอนนี้เริ่มไม่เเน่ใจเเล้วว่าจะอัพเป็นอาทิตย์ต่อตอนได้อีกมั้ย เเต่คงไม่เกินเดืิอน ทางผู้เเต่งจะพยายามมาอัพต่อให้ได้นะครับ

สำหรับตอนนี้เราจะเริ่มเห็นบางอย่างที่เเปลกไป เราเคยโกรธเพื่อนสนิทไม่ลงมั้ย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็คงไม่ เพราะเราสนิทกันจนมองข้ามสิ่งที่เพื่อนสนิททำลงไป อาจเพราะเขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีกับเรา เเต่กับปืนเเละอามมันดูเหมือนคู่ผัวเมียทะเลาะกันเหมือนที่พวกเพื่อนๆพากันเเซวจริงๆเเหละ 555 กัดกันอยู่ได้ คนเเต่งก๋็เเอบเพลีย เเต่ก็เขาสนิทกัน จะเเสดงความรักเเบบเเปลกๆก็เป็นเรื่องปกติ ไอ้ปืนนี่ก็ทนมือทนเท้า+หน้าด้านดีจริง อามก็ไม่ยอมด่าก็เเล้ว ทำร้ายก็เเล้ว เเต่เหมือนเเพ้ปืนตลอดเลย
(เเอบสะใจเล็กๆ #ทีมปืน อามบอก เเล้วกูล่ะ? กูนี่โคตรไบโพลาร์ฉิบหายเลย) ก็มารอติดตามว่า มีใครบุกบ้านอาม เเล้วทำไมอามถึงไม่โทรเเจ้งตำรวจ เขาเชื่อในฝีมือการตีขนาดนั้นเลยเหรอ เเล้วอามจะรอดหรือไม่ มาร่วมสมน้ำหน้าพร้อมกันในตอนหน้านะครับผม

ขำๆ ก่อนจาก

ณ โลกของคนเขียน

อาม : กูจะไปบ้านคนเขียน จะไปฆ่าคน!! กูเป็นพระเอกนะ! 
ปืน : กูตะหากพระเอก มึงมันนางเอก
อาม : มึงเเค่ตัวประกอบ พระเอกเขาโผล่มาเเล้วว่ะเสียใจด้วย
ปืน : อย่าบอกนะว่าเป็น..กู
เเว่น : โทษนะ ทั้งสองคนกลับไปเตรียมสเเตนด์บายฉากต่อไป เเละห้ามสปอยด้วย ไม่งั้นจะหักค่าตัว
ปืน, อาม : งี้ก็ได้เหรอ
เเว่น : ผมคนเเต่งนี่นะ
อาม : เอาที่สบายใจเลย ขออย่างเดียว อย่าให้ผมได้ไอ้ปืนเป็นเมียนะ ไม่ไหว ประสาทเเดก
ปืน : เขาว่าไม่อยากได้อะไร ก็ได้อย่างนั้นนะ *มองยิ้มกริ่ม
อาม : เสือก! *ชกหน้าปืน
เเว่น : คนเขียนขอจบตอนเพียงเท่านี้ ปล่อยให้มันตีกันเเบบนี้เเหละครับ เดี๋ยวลูกก็ดก
อาม : เดี๋ยวกูผู้ชาย
เเว่น : เปรียบเปรยเว้ย ไปล่ะนะครับ ฟิ้ว!
ปืน : นี่คนหรือเดอะเเฟลช ช่างเหอะ ขอเเกล้งไอ้อามเเป๊บ ไหนๆนี่ก็โลกนอกจักรวาล *มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเเปลกๆ
อาม : ผมขอไปเตรียมเเสดงต่อ ตอนต่อไปดีกว่า *เปิดประตูกลับโลกเดิม
ปืน : รอกูด้วย เมียจ๋า!!
อาม : ขอคนที่มันดีๆ กว่านี้ไม่ได้หรือไงวะ!!!


ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้
«ตอบ #12 เมื่อ12-10-2017 09:02:05 »

เข้ามาติดตามและให้กำลังใจคนเขียนครับ :กอด1: :L2: :3123:

ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้
«ตอบ #13 เมื่อ15-10-2017 01:18:36 »

JUST 6. IN THE NIGHT (PART I)

เมื่อได้ยินแล้ว สัญชาตญาณสั่งให้ผมเตรียมพร้อมทันที เพราะแม่ผมก็กลับดึก พ่อผมก็ยังไม่น่าจะถึง มีอย่างเดียวคือคนแปลกหน้า ผมมองไปที่ของในครัวก่อนจะค่อยๆย่องไปหยิบกระทะแบนๆ ที่แม่กับผมชอบเอาไว้ทอดไข่กิน ซึ่งจากน้ำหนักที่ผมจับมันเหมาะมือผม เข้ามา อยากหัวแบนเหมือนกะทะก็เข้ามา! ผมเห็นเงาไวๆ ผมค่อยๆย่องไปใกล้ๆ เมื่อเห็นมันอยู่ใกล้โซฟาโดยที่ไม่รู้ตัวว่าชะตามันจะขาด และผมก็คงไม่โง่ร้องว้ากหรือย้ากให้มันรู้ตัวหรอก จะตีมันก็ตีตรงๆแม่ง ผมเงื้อกระทะสุดมือ

แต่แล้วเมื่อเห็นเป้าหมายใส่ชุดนักเรียน มันก็ทำให้ผมต้องรีบวางกะทะลงกับพื้น ก่อนที่มันจะหันมาเห็นพอดี

ไอ้ปืน...ว่าเเล้วเชียว จะมีใครล่ะที่กล้าปีนเข้าบ้านคนอื่น นอกจากมัน

“มึงมาลับๆล่อๆอะไรในบ้านวะ แล้วกูเรียกมึงก็ไม่หัน จนต้องตามมานี่ เเล้วเอากะทะมาทำอะไร” มันมองผมเหมือนพยายามกลั้นขำ เออดิ ถ้าเป็นโจรจริงผมคงโทรเรียกตำรวจเเล้ว เเต่ผมรู้ไงว่าเป็นมัน

“พอดีกูชอบความตื่นเต้นนะ เลยต้องหาอะไรทำ เช่น ไล่ตีพวกบุกรุกบ้านคนอื่น”

“ให้กูช่วยมั้ย?” มันยิ้มเดินเข้าหาผม พร้อมๆกับยื่นหน้ามาใกล้ เหตุการณ์ในห้องน้ำแล่นในหัวอีกครั้ง หมัดผมพุ่งไปโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีสัญชาตญานสั่งเหมือนเมื่อกี้เเล้ว

“เฮ้ย!” มันหมอบทันก่อนจะโวยวายใส่ผมที่ดูจะตกใจ “เป็นบ้าอะไรของมึงวะ จู่ๆก็”

“เปล่า ไม่มีไร ตกใจเฉยๆ” ผมรีบเก็บหมัดตอบมันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“แต่หน้ามึงแดงมากเลยนะ เขินเหรอ”

“เออดิ จู่ๆก็มาบอกว่าจะช่วยให้ตื่นเต้น” มันมองผมก่อนจะหัวเราะใส่

“ทำไม กูจะชวนมึงเล่นเกมส์บนห้อง หรือจะเล่นบน...” พูดจาสองเเง่สองง่ามกับผมตลอดไอ้นี่ บ้านไม่มีหนังโป๊ดูรึไง บ้านผมไม่มี

ไม่ดู เคยโดนบังคับให้ดูตอนมัธยมต้น ไม่เอาไม่ใช่เเนว

สายตามันก็ชะงักเมื่อมองมาที่ผมที่ไม่มีเสื้อใส่นอกจากกางเกงนักเรียน ก็แหงละ เสื้อผมมันไปอยู่ในเครื่องซักผ้าจนมันต้องพึมพำออกมาเบาๆ

“เซ็กซี่วะ” มันมองผมนิ่งจนผมรู้ตัวว่ามันมองผมที่ไม่ใส่เสื้ออยู่ รีบตบหัวมันทันที

“เจ็บนะเว้ย ตบมาได้”

“เออ อย่ามองได้ดิ” ผมด่ามันทั้งๆที่ยังมึนงงกับเหตุการณ์ตอนคาบยูโดกับสิ่งที่มันจะพูด ก่อนที่จะ....ไปคิดมากทำไมวะ แต่ก็ต้องรู้ให้ได้ ไม่งั้นต้องปวดหัวตายแน่ๆ

“นี่ไอ้ปืน” ผมใส่เสื้อแล้วนะครับ ขึ้นไปบนห้องมา

“หืม?” “ตอนนั้นที่ห้องยูโด มึงคิดจะจูบกูเหรอ” ผมถามมันตรงๆ คงไม่มีใครกล้าถามคนที่เกือบจะจูบตัวเองหรอกใช่มั้ย มันหน้านิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มแล้วพูดออกมา

“แกล้งมึงหนุกดี” ยื่นหน้ามาอีกแล้ว

“เอาหน้าไปไกลๆเลยนะ พูดไม่ขาดคำ เป็นห่าไรมากป่ะเนี่ย”

ผมด่ามันให้ก่อนจะโดนมันเตะขาแทน “จะด่าทำไมวะ! ก็เเค่เห็นเวลามองมึงใกล้ๆแล้ว..."

"เเล้วมันอะไรวะ พูดดีๆ ถ้าตลกไม่ต้องมาคุยกัน" ผมเตรียมจะเดินหนีขึ้นห้องเเล้ว อยากทำอะไรตามสบาย

"น่ารักทุกที” ผมที่กำลังอึ้งๆ ปนโกรธ ชะงักหยุด

“มึงว่าไงนะ พูดอีกทีดิ”

“น่ารักดีไง หูหนวกรึไง”

ผู้ชายแบบนี้มีด้วยเหรอวะที่มาชมผู้ชายว่าน่ารัก ถ้ามีน่าจะดูดีกว่าไอ้ปืนเยอะ

“เหอะ! ชอบผู้ชายรึไง ชมกูอยู่ได้ ไม่เหลิงหรอกนะ หล่อก็พอ” เเซวมันขำๆ เเหละ ยังไงมันก็ต้องปฎิเสธอยู่ละ

“ไม่ กูน่ะสาวตรึม มึงไม่มีหรอก”

ครับ ไอ้พ่อหล่อ (พ่อมันหล่อนะ)

“เออ ไอ้เทพบุตรสุดหล่อน่าลากไปตื้บ”

พูดเสร็จมันก็หยิกแก้มผมทันที “คร้าบ ก็ดีกว่าไอ้คุณชายอินดี้ไม่มีแม้แต่แฟนอย่างมึงเเหละ”

"พูดมาก กูอยากมีก็มีเองเเหละ ไม่เหมือนมึงมีพร่ำเพรื่อ คนอย่างกูนะ ถ้าลงมือจีบจริง ใครๆก็ต้องตกหลุม"

"จะรอดูเเล้วกัน ถ้าไม่โดนจีบซะก่อน"

มันหยิกเเก้มผมเเรงขึ้น ผมพยายามสะบัดหน้าออกแต่มันก็หยิกซะจนเจ็บดิ้นไม่ไหว โมโหผมรึเปล่าเนี่ย

“โอ้ย อ่อยอะ”  (ปล่อยนะ)

มันทำหูผึ่งแต่ก็ยังไม่ปล่อย “ว่าไงนะ อ่อยนะ?”

ผมโมโหพยายามจะพูดแต่ก็ออกมาแค่เสียง มองมันด้วยความหมั่นไส้เกินที่จะหาผู้ใดมาเทียบเทียมได้ จนหน้าผมเริ่มรู้สึกว่ามันเจ็บๆ ผมตีผลักไอ้ปืนออก มันถึงยอมปล่อย เเละเมื่อได้จังหวะผมก็ตรงเข้าไปคร่อมมัน

“เฮ้ย! อย่าดิ ไม่เอาเว้ย ทำตัวเป็นเด็กๆ”

“กูรู้ว่ามึงบ้าจี้ เจอนี่ มือมหากาฬของกู!!”

ความเจ็บเอามันไม่อยู่ต้องเอาความบ้ามาจัดการมัน และมันก็ได้ผลผมจี้ไล่จนมันล้มลงบนโซฟา ผมก็ยังไม่สะใจตามจี้ต่อ จนเห็นมันหัวเราะจนนิ่ง ผมมองมัน สะใจวะ แต่แล้วแขนของมันก็จับแขนของผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงผมลงมาที่โซฟาด้วยอีกที มันมองผมที่อยู่ติดขอบด้วยยิ้มกวนประสาท

“อะไรของมึงเนี่ย”

“สรุปเสมอนะ”

“เหรอ” พูดจบผมก็ถีบมันกลิ้งออกจากโซฟา ก่อนที่ตามกลิ้งตัวเองลงมาทับอย่างแรง ผมขยับตัวมันไปมาและน้ำหนักผมก็พอให้มันจุกได้อยู่ อย่างน้อยผมก็โล่งใจที่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด ผมคิดมากไปเอง ทำไมไอ้นิสัยแบบนี้ถึงแก้ไม่หายเลยวะ สงสัยต้องขอโทษมัน

“ขอโทษนะไอ้ปืน กู เหวอ!” มันคว้าตัวผมกลิ้งกับพื้นทำให้ฝ่ายที่ทับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกทับ มันยิ้มมองผมพอๆกับที่ผมตีหน้ายักษ์ใส่มัน

“ขอโทษเรื่อง?”

ผมพูดออกมาแบบเขินๆ “เรื่องที่กูไม่ไว้ใจมึง” มันขำ “มึงคิดว่ากูจะปล้ำมึง? ดูหนังโป๊มากไปรึเปล่า” เกี่ยวไรกับหนังโป๊วะ กูไม่เคยดูนะเฟ้ย “ก็แววตาที่มึงมองกูมันแปลกๆนี่หว่า ไม่คิดได้ไง”

“แววตากูแปลกยังไง มันเห็นชัดเลยเหรอ” มันถามผมพร้อมๆกับก้มลงจ้องหน้า อย่าจ้องดิวะ ก็มันแปลกตรงนี้แหละ ไอ้ตาที่มันจดจ่อผมเนี่ย

“แบบนี้เเหละ” ผมบอกมัน ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป เพราะตอนนี้ผมอยู่ข้างล่าง ไอ้ปืนทับอยู่ครับ

“อ๋อ มึงก็เลยเปลี่ยนที่กับพี่กู๊ดเขา ขี้มโนจริงมึง ว่างๆเดี๋ยวกูซื้อยาเม็ดสลายมโนมาให้ ให้สองปุกเลยอ่ะ”

“มึงเเดกเองเถอะ” เดี๋ยวเอาวิคซอลกรอกปากมันก่อนเลย

“ถ้าไม่มาหาจะบอกกูมั้ยเนี่ย” ผมไม่บอกหรอก เก็บไว้ให้มันทรมานใจเล่นเอา

“คงไม่อ่ะ เสียเวลา” ผมทำหน้าเฉยๆพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อยทั้งๆที่โดนมันทับอยู่ มันบอกกับผม

“มึงเป็นเพื่อนสนิทกูนะอาม มีอะไรบอกกูได้หมด มึงไว้ใจกูได้” เอาแล้วจ้องผมจริงจังแบบนี้อีกแล้ว

“เออๆ กูรู้น่า ย้ำอยู่นั่น” ผมบอกมันเเล้ว รีบลุกขึ้นยืนไม่ยอมอยู่ในท่านี้หรอกนั่งลงบนโซฟาเหมือนเดิม พร้อมๆมองไอ้ปืนที่ยืนอยู่ “บ้านไม่มีหรือไงวะ” ลึกๆก็แอบสงสัยว่ามันมีบ้านไว้นอนจริงๆหรือเปล่า ถึงมานอนบ้านผมแทบทุกวันเลย

"มี เเต่พอดีมีบ้านเมียอยู่ใกล้โรงเรียน"

"ฮั่นเเน่ มีตัวจริงซะด้วย ใครวะ" นานๆทีมันจะพูดเรื่องเเฟนให้ฟังนะเนี่ย

มันชี้ไปรอบๆบ้าน เเละ ผม

“เนี่ยแหละบ้านเมียกู”

“โห หน้าด้านว่ะ” เหอะ อยู่โรงเรียนทำเป็นนิ่ง ที่จริงมึงก็บ้า บ้าไปเเล้ว เป็นบ้ากว่ากูอีก

“เรื่องธรรมดา” มันโผเข้ามาจะกอดผม ผมรีบยกเท้าขึ้นยันโครมเข้าให้

“ก็จะไม่ให้กูคิดได้ไง ทำตัว” ผมพูดส่ายหน้าเมื่อเห็นมันนอนกองกับพื้น

 ตอนเย็นๆ แม่กลับมาถึงบ้านพร้อมกับข้าวมากมาย เพื่อต้อนรับพ่อที่ใกล้มาถึงบ้านแล้ว ผมดีใจมากเพราะท่านต้องไปทำงานต่างแดนจะกลับบ้านแต่ละทีก็สอง-สามเดือน ผมเลยต้องทำทุกอย่างเท่าที่จะช่วยแม่ได้ แต่ทำไงได้ละ ก็งานนี้มันรายได้ดี พ่อก็เลยทำเพื่อผมและแม่ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน

“มึง ให้กูทำแทนดีกว่ามั้ย” ไอ้ปืนพูดระหว่างที่มองผมหั่นผักช่วยแม่อยู่ ผมหันมามองตาเขียว กูทำเป็นเว้ยไม่ต้องมายุ่ง แม่หัวเราะเล็กน้อยก่อนจะหันมาบอกมัน

“อามมันหมาเฝ้าบ้าน วันๆนะ ป้าเห็นมันเล่นแต่เกม ไม่เห็นจะอ่านหนังสือซะที แต่ไหงสอบได้เกรดดีประจำเลย” ไม่เห็นต้องพูดเหมือนไม่เชื่อขนาดนั้นก็ได้แม่ เห็นงี้ก็อ่านหนังสือนะ ไม่เห็นต้องเรียนพิเศษก็ได้คะเเนนดี ละคณิตไว้ละกันเนอะ

“เรื่องฝีมือทำอาหาร ปืนอาจไม่เชื่อใช่มั้ย แต่อามทำได้อยู่นะ”แม่ผมยิ้มเมื่อนึกถึง แต่กับไอ้ปืน มาแย่งผมทอดไข่

“ผมก็นึกว่าคนอย่างมันดีแต่กวนคนนะครับ” อยากโดนมีดหั่นผักปักหัวมั้ย?

“อย่ามองคนผิดสิจ้ะ อามนะ เก่งกว่าที่คิด แต่ก็แย่หน่อยที่ไม่ค่อยทำให้ใครกิน นอกจากตัวเอง”

“โห่แม่ ก็แม่ไม่ให้ผมทำซะที ผมนะ อยากทำให้กินจะตาย แต่แม่ก็ชิงทำตลอด”

“ไอ้อาม อยู่โรงเรียนมันขยันออกครับ การบ้านรายงานอะไรมาปุ๊บมันทำปั๊บ งานสั่งวันศุกร์มันรีบนัดผมมาเตรียมงานตั้งแต่วันเสาร์แล้วก็ค้างวันอาทิตย์ด้วย” มันเหลือบมองมาทางผม ฟ้องเหรอ ก็ถ้ามันไม่มา ใครจะมาช่วยผมทำ อยู่คู่เดียวกันนี่หว่า แต่ก็ดีพรีเซนต์เยอะๆ แม่จะได้ไม่บ่นผมเวลาเล่นเกม (จริง?)

“แล้ว...อามเขามีแฟนมั้ย?” ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มเล็กน้อยจะพูด แต่ไอ้ปืนแย่งพูดก่อน

“ถ้าจะมีคงเป็นหนังสือละครับ ที่เป็นแฟนมัน สาวที่ไหนมันก็ไม่เคยมอง”

ฉับ!

เสียงหั่นผักที่ดังกว่าปกติจากมือคนที่ได้ยินทุกอย่าง ก่อนจะสับผักจนละเอียดไม่มีชิ้นดี หึ! ก็เพราะกูไม่ได้หน้าม่ออย่างมึงนี่หว่า หนอย มาพูดว่าหนังสือเป็นแฟนกู เออ ใช่ ก็มันไม่เคยทำให้ผมเสียใจนี่หว่า แล้วผมก็ไม่มีวันเลิกกับมันด้วย จนกว่าจะเปิดใจให้คนจริงๆเข้ามา ตอนนั้นคงสักม.6 ไม่ก็วัยทำงานเลยล่ะมั้ง

“อาม!!” แม่ผมตกใจอุทานลั่น

“ขอโทษครับ เผลอสับผักเละหมดแล้ว” ผมยิ้มพลางทำหน้าอ้อนๆ

“ตายแล้ว! เด็กคนนี้ มาเดี๋ยวแม่ทำเอง ไปดูทีวีก่อนไป๊”

“แต่แม่...” แม่แย่งมีดไปจากมือผมบ่งบอกว่าผมหมดหน้าที่พ่อครัวแล้ว

ผมเห็นมันหัวเราะเล็กๆ เมื่อเห็นหน้ามุ่ยของผมก่อนจะเดินออกมาจากห้องครัว พร้อมๆมัน มันมาทีไรนะ อารมณ์ผมไม่เคยอยู่ปกติเลย มันขึ้นๆตลอดเลย

“นี่มึงไม่เห็นต้องโกรธเลยนี่หว่า เอางี้มั้ย เดี๋ยวกูหาสาวให้” ไอ้ปืนกอดคอผมพร้อมๆกับบอก ผมหันมาพร้อมๆกับจับเเขนออก
 
“โทษด้วยนะ ที่กูไม่มีแฟนเป็นคน อยากทำอะไรก็ทำ พ่อกูมาก็เรียกกูด้วย” บอกแค่นั้นผมก็จ้ำขึ้นบันไดไป มันวิ่งตามผมจนถึงห้อง แต่ผมปิดประตูล็อคเอาไว้

“กูล้อเล่นน่า ให้กูเข้าไปเหอะ”

“ไม่ต้อง! ขออยู่แบบส่วนตัวหน่อย ปวดหัวจะตายห่าอยู่แล้ว อยู่กับมึง เเดกพารากี่เม็ดก็ไม่ช่วยเว้ย!”

ผมตะโกนบอกผ่านประตู ก่อนที่เสียงจะเงียบไป ทันใดนั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์เตือนขึ้นมา ผมรีบเดินไปหยิบบนเตียงก่อนจะกดเปิดดู เสียงเฟซบุ๊คขึ้นจอหราว่า

“BAD BEST อยากเป็นเพื่อนกับคุณ”

ใครวะ ผมกดเข้าไป ก่อนจะเห็นรูปคนที่ผมคุ้นที่สุด และไม่คิดว่าจะเป็นคนเดียวกัน  ผมหยิบแว่นในกล่องบนโต๊ะมาสวมใส่เพื่อให้เห็นชัดขึ้น ในรูปเป็นผู้ชายหน้าตาดีใส่ชุดนักเรียนทำนิ้วเก๊กหล่อ พร้อมๆกับยิ้มกว้างจนเห็นเหล็กดัดฟันชัดแจ๋ว น่ารักดี ผู้ชายสมัยนี้เขาเป็นแบบนี้กันเหรอวะ ไอ้ความมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งเนี่ย เป็นอย่างที่เอยเคยบอกเป๊ะๆเลยแหะ ผมพึมพำออกมา

#ผู้ชายเป็นเพศที่มุ้งมิ้งผู้หญิงเป็นเพศที่ฮาร์ดคอร์

แฮชเเท็กนี้ท่าจะจริง...

แล้วเมื่อผมกดเลื่อนดูสเตตัส ก็ทำให้ผมรู้ทันทีว่า พี่คนนี้คือคนที่ผมเจอเมื่อตอนเช้า คนที่ทำให้ผมกล้าตัดสินใจจะทำงานนี้ให้ได้ คนที่ทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก  คนที่ยอมทิ้งเวลาของตัวเองเพื่อมาคุยกับผม

พี่เบส..

“รู้สึกถูกชะตา น่ารักดีนะ น้องคนนั้น” รูปภาพพร้อมรอยยิ้มของเขา พร้อมสเตตัสนี้ทำให้ผมยิ้มเล็กน้อยกับความตลก ไม่น่าทวนคำพูดเลย อายแย่ ข้างล่างมีเพื่อนของพี่พิมพ์ตอบโต้กันมากมาย บางอันก็แซวประมาณว่า ไปเจอสาวที่ไหนเนี่ย หรือไม่ก็บอกกูด้วยนะ ซึ่งผมไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้วไง อาจจะเป็นสาวคนอื่นก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือ เขาไปเอาเฟซผมมาจากไหน แต่ผมสะบัดความคิดนั้นไป ก่อนจะกดยืนยันรับเป็นเพื่อน และในเวลาไม่ถึง 5 นาที ก็มีเสียงดังอีกครั้ง
   
“เเอดซะทีนะครับ น้องอามวุธ ” ใส่  “ม” เข้ามาอีก เล่นอะไรเนี่ย

สถานะของพี่เขาอยู่ในหน้าของผม พร้อมๆกับรูปการ์ตูนชวนอมยิ้มอีก ผมกดถูกใจให้ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปผ่านแชทด้วยความสงสัย
   
Arms-ไปเอาเฟซมาจากไหนกันครับ? ปกติชื่อเฟซผมหายากนะ

BADBEST-เพื่อนพี่เขาบังเอิญเป็นเพื่อนน้องนะ พี่ก็เลยได้มา

Arms-ร้ายกาจ

BADBEST-โห 5555 ขนาดนั้นเลย เป็นไงบ้างล่ะ เรื่องงานเดินแบบ

Arms-ก็เคลียร์แล้ว ขอบคุณพี่มากเลยนะครับ ^^

BADBEST-เฮ้ย ไม่เป็นไร พี่ก็พูดเท่าที่พูดได้ เอ้อ! พี่ได้ข่าวว่าน้องอามโดนเพื่อนแกล้งกลางโรงอาหาร เป็นไรมากรึเปล่า

ผมหน้าเสียเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเที่ยงก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป

Arms- อย่าไปพูดถึงเลยครับ อดีตก็คืออดีต อย่าไปนึกถึงเลย แล้วก็อีกอย่างเรียกผมอามเฉยๆก็ได้ครับ ไม่ต้องเรียกน้องหรอก รู้สึกไม่โตยังไงก็ไม่รู้สิ แค่นี้แม่ผมก็เรียกเป็นเด็กป.2 อยู่แล่ว หนูอาม

BADBEST-เอางั้นเหรอ อาม แบบนี้นะ?

Arms-โอเคเลยครับ

BADBEST-มีไลน์มั้ย?

Arms-เอาไปทำอะไรพี่ เฟซก็พอแล้วมั้ง ผมไม่ค่อยจะอะไรกับของเเบบนี้ด้วยสิ

ก็ว่าตามมารยาทคือ อย่าเข้ามากวนกู

BADBEST-เผื่อมีเรื่องอะไรจะได้ปรึกษาไง

Arms-โห้ย! ไม่ต้องหรอกครับพี่เบสท์ พอดีไม่ค่อยพกมือถือติดตัว

ปฏิเสธขนาดนี้ควรถอยนะ
 
BADBEST-เพิ่งเคยเห็นคนไม่ค่อยใช้มือถืออย่างอามเนี่ย

Arms-แปลกเหรอครับ? โอเค พี่เองก็เเปลก ผมจะให้ทีหลังก็แล้วกัน ถ้าเจอพี่นะ

BADBEST-555 โอเคๆ ยินดีๆ

Arms- ผมรบกวนเวลาพี่มากไปแล้ว บ๊ายครับ

หน้าจอขึ้นว่าอ่านแล้วไม่ตอบ เหอะ เรามันเก่งเรื่องตัดบทสนทนาอยู่เเล้ว ผมก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ ตัวเหนียวชะมัด ไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่กลับบ้านมา น่าจะไปเข้าห้องน้ำได้แล้ว เผื่อได้ระบายอารมณ์ส่วนตัวด้วย ก็นะนี่มันเรื่องปกติของวัยรุ่นนี่นา

เอาเป็นว่า ถ้าออกมาเเล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกนะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-10-2017 01:56:14 โดย Manwithglasses12 »

ออฟไลน์ Manwithglasses12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: JUST US TO KNOW-เเค่เราที่รู้
«ตอบ #14 เมื่อ15-10-2017 01:51:26 »

JUST.6 IN THE NIGHT (PART II)

ผมถอดเสื้อผ้าออกจนหมด ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำ....สบายตัว  ผมเดินออกมาจากห้องน้ำก็แทบจะทำให้ผ้าเช็ดตัวที่ห่มผมหลุด เมื่อมีคนที่ผมคาดไม่ถึงว่าจะเข้ามาในห้องได้ ไอ้ปืน นั่งอยู่บนเตียงมองผมที่ทั้งตัวมีแค่ผ้าห่อไว้  เข้ามาได้ยังไงวะ ก็ผมล็อคห้องไว้แล้วนี่หว่า มันมองผมด้วยสายตาที่เหมือนผมเคยเห็นจากใครบางคน...ไอ้ไทเคยมองลักษณะแบบนี้ ใช่เลย ผมรีบเอามือปิดตัวเอง คือผมไม่เคยชินเวลามันมองเเบบนี้จริงๆนะ

“มองเชี่ยไรของมึง”

“ก็มองมึงไง”

“เเล้วนี่เข้ามาในห้องได้ไงว่ะ กูล็อคห้องแล้วนะ”

ทันใดนั้น มันก็หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่เล่นเอาผมอึ้งไปสิบวิ จับเวลา

กุญแจห้อง..

“ไปเอามาได้ไงวะ ก็แม่เป็นคน...”

“ก็แค่ไปบอกแม่มึงว่า มึงล็อคห้อง แม่มึงก็เอากุญแจให้กูแล้ว” มันยักไหล่เย้ยใส่....แม่!!!!!

“ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย คนจะแต่งตัว!”

ผมไม่ให้ มันจะพูดอะไรต่อ จึงชี้นิ้วให้มันออกไปจากห้อง ด้วยความหงุดหงิดและความรำคาญ วันนี้ตัวดีมากกกก (ประชด) แต่เหมือนมันจะไม่สนใจ นอกจากกวนประสาทผมต่อ
   
“ไม่ออก มึงเป็นไรไปวะ โกรธเรื่องที่ห้องรับแขกเหรอ”

“เปล่า มึงจะล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวกูมากไปแล้ว ออกไปจากห้อง จะแต่งตัว!”

“มึงถอดเลย กูไม่มองหรอก” มันบอกกับผมพร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์แพรวพราวที่ทำผมขนลุก แม่งวันนี้มันเป็นอะไรวะ ก็รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้พ่อผมจะมาก็ทำตัวเป็นภาระสมองตลอดเลย

เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล ผมจึงใช้ไม้ตายสุดท้าย โดยการเดินหยิบเสื้อผ้าในตู้ก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำ แต่ไอ้ปืนมันก็มาเรียกไว้ก่อน ผมหงุดหงิดสุดๆหันไปบอก

“มึง! ขอเวลาสัก 15 นาทีได้มั้ยวะ!” มันมองผมก่อนจะใช้สายตามองไล่ไปทั่วร่างของผม พลางจับปาก โรคจิตหรือไง “ต้องแก้ให้มึงดูมั้ย?”

ผมบอกแค่นั้น แต่มันก็ลุกจากเตียงแล้วเดินมาหาผมอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับจับไหล่ผมไว้พร้อมๆกับกระซิบที่หูข้างขวาผม

“ถ้าได้ก็ดีดิ อยากเห็นเหมือนกัน” มันจับไหล่ผมพลางลูบไปมา ผมเสียว เอ้ย! ขนลุก

“ไอ้สัด!” ผมหันหลังก่อนจะแบคคิกมันก่อนจะปิดประตูห้องน้ำแล้วรับล็อคห้องทันที น่ากลัวชะมัด วันนี้กินอะไรมา ทำไมดูน่ากลัวแบบนั้น มันเคาะประตูเมื่อเห็นผมกลัวจริงๆ

“เฮ้ย เปิดก่อนดิ กูล้อเล่น”

“ฝันไปเถอะ!”

“กลัวไรวะ เเกล้งๆ” เสียงหัวเราะดังจนได้ยินมาถึงข้างในห้อง ผมที่โมโหทำได้แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำจนเสร็จ ก่อนจะเดินมาเปิดประตูที่มีมันยืนยิ้มแป้นอยู่ ผมมองก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวใส่หัวมันก่อนจะเดินออกไปจากห้องอย่างเซ็งๆ โดยไม่หันกลับมามองอีก เมื่อมาถึงบันไดแม่ก็ตะโกนจากชั้นล่าง

“อาม! ลงมาข้างล่างเร็ว เสียงรถพ่อมาแล้ว”

“จริงเหรอแม่!” ผมรีบลงบันไดก่อนจะพุ่งไปที่หน้าบ้านทันที รถยนต์ยี่ห้อดังฉายไฟหน้าจนเห็นได้ชัด ผมยิ้มด้วยความดีใจก่อนจะรีบไปเปิดประตูรถให้ พ่อลงมาจากรถก่อนจะมองที่ผมเล็กน้อย แล้วบอกกับผมด้วยท่าทางที่เย็นชาราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “อะไร 2 เดือนไม่เจอกัน ทำอย่างกับไปเป็นปี” ผมหน้าบูดเมื่อได้ยินพ่อพูด แต่แล้วท่านก็พุ่งมากอดผมอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว พ่อนะ..

“ไม่เจอกันนาน คิดถึงลูกจังเลย!!”

“โห พ่อ ผมม.5แล้วนะไม่ใช่ป.2”

“ยังไงก็ยังเด็กสำหรับพ่ออยู่แล้ว” พ่อขยี้หัวผมเบาๆ ผมกอดเขาเเน่น

“อ้าวๆสองคนนั้น จะกอดกันนานมั้ย แม่ล่ะน้อยใจ” แม่พูดเมื่อเห็นผมอยู่กับท่าน แล้วพ่อก็เดินไปกอดแม่ตอบ “แหม อย่าน้อยใจสิแม่ พ่อรักทุกคนเท่ากันนะ” ก่อนจะบีบจมูกแม่เล็กน้อย ผมเห็นก็ขำตาม ไม่ได้เห็นครอบครัวพร้อมหน้ากันมาหลายเดือน อย่างน้อยผมก็จะได้มีเรื่องไว้ปรึกษาพ่อ แถมจะได้อ้อนขอค่าขนมเพิ่ม
   
แต่ผมดันลืม

ว่ามีบางอย่างที่เกินมา...

“เอ่อ พ่ออย่าเพิ่งสวีท รีบเข้าบ้านดีกว่า แม่ทำอาหารรอไว้เยอะเลยฮะ”

“จริงเหรอจ้ะ หิวเลยนะเนี่ย”

พ่อหันมามองแม่ ก่อนจะอมยิ้มแล้วเดินตามผมเข้ามาในบ้าน ไอ้ปืนเดินลงมาพอดี มันยกมือไหว้

“สวัสดีครับ”

“อ้าว ปืนมาด้วยเหรอ”

“ค่ะ เห็นบอกว่าอยากมาต้อนรับด้วยนะคะ” จริงเร้อออออ

“ใช่ครับ ผมได้ข่าวว่าลุงจะมาผมก็มารอเลย” มันพูดด้วยท่าทางสุภาพ ผิดกับตอนอยู่กับผมลิบลับ ก็ผู้ใหญ่นี่หว่าจะไปกวนประสาทมันก็ยังไงอยู่ หมั่นไส้อยากจะฉีกหน้ากากความเป็นคุณชายของมัน

“ดีเลย แล้วพ่อแม่ไม่ว่าเหรอ”

“ไม่ครับ ท่านคงเข้าใจผม”

ผมเห็นแววตาที่ดูปกติกับมีอะไรบางอย่าง...

รู้มั้ยว่าสิ่งที่ผมคิดมันก็มีเค้าความจริงมาเหมือนกัน ไม่แน่อาจจะเป็นเหมือนละครที่ดูกับแม่บ่อยๆว่าพระเอกเป็นคนรวยขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่จนได้เจอกับนางเอกแล้วรู้สึกดี อยากมีเธอไว้ข้างกาย แล้วก็เจออุปสรรคพ่อปู่แม่ย่าเรื่องความเหมาะสม ซึ่งนั่นก็เป็นพลอตเดิมที่ผมเห็นเกือบทุกวันในละครยุคนี้ เเต่ทำไมถึงต้องเป็นบ้านผม? อาจเพราะครอบครัวผมอบอุ่นมีอารมณ์ขันมันก็เลยอยากอยู่ด้วยมากกว่าบ้านของมันเองนั่นเเหละ เเละถ้ามันดีอย่างนั้นจริงๆ ผมก็ไม่ปิดกั้นนะ แต่คงเป็นแบบเพื่อนไม่ใช่แบบในละคร น้ำเน่าไปชีวิตจริงอ่ะ ใครจะมาชอบผม โดยเฉพาะไอ้หนอนหนังสือ กับไอ้เด็กขี้โวยอย่างผม ทนได้ทนไปดิ

“เอาเถอะ ก็นอนกับอามนะ มันนอนคนเดียว” อะไรนะ! นี่พ่อก็จะฆ่าผมเหมือนแม่ใช่มั้ยเนี่ย แม่อยู่ก็ให้มันนอนห้องผมทั้งๆที่โซฟาห้องรับแขกก็มีไม่ยอมนอน จนแม่ต้องอธิบายให้ฟัง “คือแขกนะลูก เราต้องต้อนรับให้ดี ให้สมกับที่เขาเป็นแขก” แต่นี่มันแขกไม่ได้รับเชิญนะแม่ จู่ๆก็เดินเข้ามาในบ้าน ทำผมปั่นป่วนเนี่ย

“เมื่อวันก่อนเขายังนอนห้องลูกได้เลย

"เเต่วันนั้นผมก้ับมันทำ..."

"ได้ใช่มั้ยอาม” แม่ผมหันมายื่นคำขาด ผมพยักหน้าเป็นเชิงก่อนจะตอบ

“ได้ครับแม่”

โมโหเว้ย!! วันนี้มีเเต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้

หลังทานข้าวเย็นเสร็จ ผมก็แยกย้ายกับพ่อแม่ ขึ้นห้องจัดการแปรงฟันจนเสร็จก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์ เล่นเกมซะหน่อย resident evil ยิงผีนี่แหละ ผมก็บ้าเกมเป็นนะ ไอ้ปืนเปิดประตูเข้ามา ผมบอกไม่มองมัน “นอนก่อนเลยนะ กูคงนอนดึก วันนี้ออนไลน์” ออนไลน์ที่ว่าคือเล่นกับเพื่อนผ่านอินเทอร์เน็ตครับ กะว่าจะเล่นให้มันนอนไปก่อน จะได้นอนตาม จะได้มั่นใจว่ามันจะไม่ทำอะไรที่พิเรนทร์กับผม

“กูไม่ได้จะนอน” ผมไม่สนใจคำพูดนั้น มันดึงเก้าอี้จากโต๊ะหนังสือมานั่งข้างผมก่อนจะถามผมที่กำลังเล็งหัวผีอยู่จากระยะใกล้ เสร็จแน่

“มึงรู้สึกยังไงกับกูวะ”

หวืด! พลาด แถมโดนกัดอีก จู่ๆเมาส์ก็เคลื่อนไป ผมหันมามองหน้ามันที่มองมาเช่นกัน มันใกล้มากจนผมต้องรีบหันมาเล่นเกมต่อไม่สนใจ  “ก็เพื่อนไง ทำไมคิดว่ากูชอบมึงวะ กูเป็นผู้ชาย!” แต่ทำไมข้างในมันถึงสั่นไหวแปลกๆวะ ไม่เอาดิ ใจอ่อนกับมันทุกที

“มึงคิดเองอีกแล้ว กูหมายถึงกูเป็นคนดีสำหรับมึงมั้ย?”

น้ำเสียงของมันทำให้พอฟังออกว่ามันเองก็รู้สึกผิดเรื่องเมื่อเช้ากับบ่ายเหมือนกัน

“กูมันเชี่ยเองแหละ กูเป็นคนที่ทำให้มึงรู้สึกไม่ดี มึงเกลียดกูใช่มั้ย” ผมหยุดเกมไว้ก่อนจะหันมาจับไหล่ของมันพร้อมๆกับบอก

“ฟังนะมึงไม่ได้ดีหรือเลว มึงก็เป็นคนปกตินั่นแหละ มีทั้งสองอย่าง ถ้ามามัวคิดว่าตัวเองดีหรือผิดมันก็ไม่มีความสุขหรอกวะ เชื่อดิ ส่วนคำตอบ ก็ดี แต่กวนตีนไปนิดนึง แต่อยู่ด้วยก็ปวดหัวดี” ผมหัวเราะเล็กๆ พอเห็นมันซีเรียสทีไรก็อดหายโกรธไม่ได้ทุกที

“นั่นคำชม?”

“เอาเป็นว่า กูไม่เกลียดมึงหรอก เพราะงั้นก็อย่าโทษตัวเอง เพราะคงไมมีใครที่กูอยู่ด้วยแล้วปวดหัวเท่ามึงแล้ว!”

ผมหัวเราะต่อเป็นการบอกว่าไม่มีอะไรให้คิดมากอีก เเถมมันก็ทนมันได้ขนาดนี้ เป็นเเฟนก็คงไม่เลว พายุเข้ากรุงเทพเเน่ ถ้าเป็นงั้น คิดเล่นๆคงขำดี ใครอยู่รอบๆ คงไม่ต่างกับเจอพายุหรอก

“มึงนี่เข็มขัดสั้นนะ”

“อะไรวะ” ผมเองก็คิดไม่ออก เข็มขัดมันเกี่ยวอะไรกับผม

“คาดไม่ถึงตลอดเลยวะ แต่ไม่รู้สิ เวลากูอยู่กับมึง มันก็มีความสุข บอกไม่ถูกวะ แต่ก็ไม่มีใครที่แกล้งสนุกเท่ามึงแล้ว มึงบอกกูได้นะ ถ้าไอ้โล่มันแกล้งมึงอีก” อ้อนี่มุกปนเปลือกของมึงใช่มั้ย บอกตรงๆ อย่าเล่นอีกนะ ผมอายเเทน เข็มขัดห่าไรล่ะ


“ไม่เอาอ่ะ กูจัดการเองได้” ผมพูดพลางตบหน้าอกตัวเอง ทั้งๆที่ใจก็กลัวว่าจะโดนเอาคืนรึเปล่า

“อย่าเก่ง กูรู้ว่ามึงอ่อนหัดกว่าที่คิด”

“ถ้าอ่อนแล้ว จะทำไ...” ผมยกหมัดขึ้นมา มันลูบหัวผมเบาๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาที่มันทำแบบนี้ มันเหมือนผ่อนคลายทั้งความโกรธและความรู้สึกเครียดไปหมดเลย “มึงใจร้าย รู้หมดเลยว่ากูใจอ่อนเวลาเจอคนลูบหัว” ผมพูดด้วยความรู้สึกที่อบอุ่นพร้อมๆกับมองหน้ามันที่ยิ้มให้

“ก็เพราะมึง คือคนที่กูรักไง” อะไรนะ คนที่มันรัก หูฝาดใช่มั้ย ไม่จริงน่า

ผมผงะออกจากมือของมันทันที มันเห็นก็หัวเราะ “มึง หมายถึงเพื่อนนะ เพื่อนรัก”

“แค่คันหัวเว้ย” ผมบอกไปแบบนั้น ทั้งๆที่ความจริงตกใจกับประโยคเมื่อกี้ “จริง?”   

มันยื่นหน้าหลาๆของมันมา เห็นแล้วกลับมาหมั่นไส้อีก เป็นคนที่กวนประสาทได้โล่จริงๆ

“เออ” ผมตอบกระแทกเสียง

"ที่บ้านใครสอนลูบหัวเเบบนี้ ถามจริง"

"เเม่กู..." โอ้เวร เเม่มันเสียตั้งเเต่มันเด็กๆ ไม่น่าสะกิดเลย เปลี่ยนเรื่องๆ

"คือกูไม่..." มันเป็นฝ่ายพูดตัดบทซะเอง

“นอนเถอะวะ จะได้ตื่นเช้า เดี๋ยวกูไปส่งเหมือนเดิม” บอกแค่นั้นมันก็เดินไปที่เตียงของผม

“ไม่ล่ะ นอนก่อนเลย จะเล่นเกมต่อ” ผมหันกลับไปที่คอมแต่หน้าจอไม่ขึ้นอะไรเลย ผมตกใจมาก แต่เมื่อสายตาเห็นปลั๊กไฟที่ต่อไว้หลุดก็รู้ทันทีว่า

“ไอ้เชี่ยปืน!!!” ผมลุกขึ้นหันไปมองมันที่นอนยิ้มให้ “เซอร์ไพรส์พิเศษจากผัวสุดที่รักของมึงไง” มันทำท่าพลางส่งจูบมาให้ ผมยกเท้าพลางกระดิกเล็กๆ ส่งสายตาให้เบื้องล่าง “นอนไปเหอะ” ผมหันมาสนใจกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ นิ่งอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจ ปิดเกมส์แล้วเข้ากูเกิ้ล เข้าเว็บกระทู้ดัง ล็อคอิน คุณชายอินดี้ที่ตั้งไว้เล่นๆ

(สมัครยากเหี้ยๆ ต้องมีสำเนากับรูปถ่ายคู่บัตรประชาชน อายฉิบหาย จำเป็นต้องขนาดนี้มั้ย)

ก่อนผมจะพิมพ์กระทู้ เกี่ยวกับเรื่องที่เจอลงไป ด้วยความสับสนกับสิ่งทีเ่กิดขึ้นเเละกำลังจะจบลงในวันนี้

เพื่อนผมมาปรึกษาผมครับ บอกว่า รู้สึกแปลกๆกับเพื่อนผู้ชาย ผมจะบอกเพื่อนยังไงดี

แน่นอนว่าผมคงไม่เอาชื่อตัวเองหรือชื่อมันในกระทู้แน่ๆ

แล้วผมก็เริ่มพิมพ์เรื่องราว จนเสร็จ...คอมเมนต์ก็มาอย่างรวดเร็วราวกับโซนิค

1-ลองนอนด้วยกันดู ว่าเขาจะรู้สึกยังไง ปล.ถ้าหากรู้สึก ก็แสดงความยินดีค่ะ คุณชอบเขา

2-บางทีนายPอาจจะแค่เป็นคนขี้แกล้งหรือเปล่า อาจจะแค่ชอบเห็นเพื่อนคุณทำท่ากลัวๆ ระแวงๆ แบบดูแล้วฮาดี แต่จริงๆแล้วไม่ได้คิดอะไร คือบางคนก็เป็นประเภทนี้นะ บอกเพื่อนคุณ ให้ลองทำเฉยๆ ปกติๆ แบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรดูค่ะ ดูว่านาย P จะเบื่อเลิกแกล้งไปเองหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่ ดิฉันรอฟินอยู่ค่ะ

ใช่ ต้องเป็นแบบที่ ความคิดเห็นที่ 2 บอกแน่ๆ ผมมองหน้าจอครุ่นคิดไปในหัวซ้ำไปซ้ำมา

ขอให้เป็นแบบที่คิดเถอะ

ผมพิมพ์ขอบคุณในกระทู้ หันไปมองไอ้ปืนที่นอนกอดหมอนข้างอยู่ ด้วยความสงสัย

มึงมีอะไรปิดบังกูอยู่รึเปล่านะ?

ช่างเหอะ หมดเเล้ววันนี้ ค่อยคิดวันใหม่เเล้วกัน

...

ผมลืมตาขึ้นเมื่อแสงตะวันจากหน้าต่างเล็ดมาที่หน้าของตัวเอง เช้าแล้วเหรอวะเนี่ย หนาวจริงครับ เมื่อคืนก็เล่นมันซะหนัก ก็มันดันทำให้ผมฟิวส์ขาดจนต้องจัดการมันซะหน่อย กว่าจะได้นอนก็เกือบๆห้าทุ่ม แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่เวลาไอ้ปืนมันกวนประสาทผมทีไร ผมเป็นได้ต้องขย้ำมันทุกที จนหมดแรง กระทืบแม่งยังไม่หนำใจ จนสุดท้ายผมก็ยอมแพ้พลอยหลับบนเตียงไปโดยไม่รู้ตัว ช่างเหอะ วันนี้วันพฤหัสต้องมีอะไรดีๆแน่ๆ รีบตื่นดีกว่า

ความรู้สึกนี้มัน..เกิดอะไรขึ้น?  ทำไมจึงเจ็บช่วงล่างอย่างนี้วะ

เมื่อคิดในใจความเจ็บปนจุกแล่นขึ้นตอนผมขยับตัวลุกจากเตียง จนต้องล้มนอนที่เดิม ผมจะเริ่มกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นเเล้วสิ แต่ยังไงก็ต้องมีสติ ผมจำได้ว่าเอยชอบเล่าให้ฟังว่า เวลาที่ผู้ชายมีอะไรกัน คนโดนจะเจ็บที่ตรงนั้น ผมเริ่มหน้าซีดรีบเปิดผ้าห่มดู เฮ้ย แล้วทำไมเปลือย เสื้อผ้าหายไปไหน ผมมองก่อนจะเห็นเสื้อผ้าตัวเอง กระจัดกระจายอยู่ที่พื้น ผมมองไปที่กองเหล่านั้น และจะไม่ตกใจเลย...

ถ้ามัน...

ถ้าตรงนั้น ไม่มีเสื้อผ้าไอ้ปืนหล่นอยู่ข้างๆเสื้อผ้าของผมด้วย!!

โนนนนนนนนนนนนนน

++++++++++++++++++++++++++++++คุยกับคนเขียน+++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีครับ ต้องขอโทษด้วยที่หายไปนานเกือบ 2 เดือน ช่วงนั้น ผมติดอ่านหนังสือสอบ เเต่คิดว่าจากนี้คงมีเวลามากขึ้น ขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่ส่งมาให้กำลังใจครับ ก็จบไปเเบบพีคๆ กับตอนนี้ มันจะใช่เเบบที่คิดอยู่รึเปล่า ก็เดาๆไปกันดู สำหรับตอนนี้เราจะเห็นความสัมพันธ์ของปืนอามที่มันออกจะเเปลกๆ คือ ด่ากัน เเต่ก็เป็นห่วง เเถมเหมือนผีเข้าผีออก ฝ่ายหนึ่งวีน ฝ่ายนึงนิ่ง ความสัมพันธ์เเบบนี้มันคงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเพื่อนสนิท เป็น "ความหวังดี" หากเเต่มีบางอย่างที่มันไม่เหมือนเพื่อน สิ่งที่ปืนทำกับอามมันออกจะเกินไปนิดนึง เเละมันก็ทำให้อามสับสนมากด้วย มีที่ไหน ชอบยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เป็นใครก็สะดุ้ง ส่วนเรื่องพี่เบสท์ ก็คิดไว้ก่อนก็ดีนะครับว่าจะมาในฐานะอะไร ส่วนเรื่องที่ปืนปิดบัง อีกไม่นานก็จะเปิดเผยเเล้วครับ เเต่ตอนที่เท่าไหร่ไม่บอกหรอกนะ 5555 เเล้วคนอื่นๆล่ะ ตอนหน้ามาเเน่ครับ

ขอบคุณที่ติดตาม เจอกันตอนหน้านะครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด