ในความคิดถึง
...เมื่อความบังเอิญ ทำให้เราเดินมาพบกันอีกครั้ง...
มัณฑนากรหนุ่มละสายตาจากข้อความในอีเมลของลูกค้าบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบกระเป๋าสตางค์ก่อนจะดึงบางสิ่งออกมา ไม่ช้าเชือกถักสีฟ้าสลับขาวก็ถูกบรรจงผูกรอบข้อมือข้างซ้ายอีกครั้งหลังจากถอดเก็บตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน เพราะเจ้าของกลัวว่าจะไปหลุดหายที่ไหนระหว่างที่ตระเวนเก็บภาพในหลาย ๆ สถานที่ที่ตกแต่งภายในเสร็จเรียบร้อยเพื่อถามถึงผลตอบรับและการใช้งานจริงจากการออกแบบของลูกค้า ดวงตาสีเข้มทอดมองเส้นใยเล็ก ๆ ที่เกี่ยวตวัดขัดเบียดจนเกิดเป็นลวดลายง่าย ๆ พลันรอยยิ้มจาง ๆ ก็ฉาบทั่วทั้งใบหน้า…
“จะเปื่อยหมดแล้วเนี่ย อันที่พี่ซื้อให้ไม่เห็นจะเอามาสวมแทนเส้นนี้เลย” หญิงสาวที่เดินมาหยุดกล่าวพลางวางแก้วกาแฟที่ซื้อมาจากร้านเปิดใหม่ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของบริษัทลงบนโต๊ะ เธอเลื่อนเก้าอี้แล้วทิ้งตัวนั่งกอดอกมองเชือกถักที่เห็นรุ่นน้องร่วมแผนกสวมติดข้อมือตั้งแต่พบกันในวันแรกที่เขาเข้ามาในฐานะนักศึกษาฝึกงานกระทั่งกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานในที่สุด
ภากรส่ายหัวยิ้ม ๆ ไม่ใช่เพราะว่าอรพิมพูดเช่นนี้มาหลายรอบ หากแต่เพราะเขาไม่ใช่คนที่จะสามารถเปลี่ยนอะไรง่าย ๆ ต่างหาก ทั้งรองเท้า กระเป๋าสตางค์ ดินสอกด หรือแม้แต่คัตเตอร์ ถึงจะพังแล้วก็ยังพยายามหาแบบเดิมรุ่นเดิมมาใช้
“ผมกลัวของพี่อ้อจะเก่านี่ครับ อีกอย่าง...เส้นนี้ก็ยังดีอยู่เลย”
“กลัวเก่าหรือคุณค่าทางจิตใจมันเทียบเชือกเส้นนี้ไม่ได้กันแน่จ๊ะ”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ เรียวนิ้วยาวคว้าแก้วกระดาษทรงสูงแล้วเลื่อนมาไว้ตรงหน้าก่อนจะก้มลงดูดกาแฟรสกลมกล่อมที่คู่ซี้ต่างวัยซื้อมาฝาก
“เฮ้อ! อีกหน่อยพัดไม่อยู่แล้วพี่จะซื้อกาแฟมาเลี้ยงหมาที่ไหนล่ะเนี่ย สงสัยต้องกลับไปตักบาตรตอนเช้าเหมือนเดิมถึงจะได้บุญ” อรพิมเท้าคางบ่นอู้อี้มองดูชายหนุ่มที่กำลังนั่งสำลักน้ำ
“หมาที่ไหนจะหน้าตาดีขนาดนี้ พี่อ้อก็พูดไป” ว่าพลางดึงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงขึ้นซับเหนือริมฝีปาก
“จ้ะ! พ่อคุณ” คนอายุมากกว่าแสร้งค้อนขวับ “แล้วนี่เริ่มเก็บของบ้างหรือยัง อีกไม่กี่วันแล้วนะ”
“ทยอยเก็บลงกล่องบ้างแล้วละครับ” ภากรบอกขณะเลื่อนตาลงมองลังกระดาษที่วางอยู่ข้างโต๊ะเขียนแบบ ครึ่งหนึ่งคือของขวัญวันรับปริญญาที่พี่ ๆ มอบให้เมื่อเกือบ 2 ปีมาแล้ว ส่วนอีกครึ่งคือหนังสือที่ซื้อเก็บไว้และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพในช่วงเวลาที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนแทบจะยึดเอาที่ทำงานเป็นบ้านหลังที่สอง
“น่าใจหายเนอะ” จู่ ๆ คนมองตามก็เอ่ยเสียงอ่อย “มาทำให้พวกพี่เอ็นดูแล้วก็จะหนีกันไปเสียแล้ว”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ยิ่งพี่อ้อพูดผมยิ่งรู้สึกผิดที่ตัดสินใจแบบนี้”
ความเคร่งขรึมในน้ำเสียงส่งผลให้หญิงสาวต้องรีบเปลี่ยนสีหน้าทันที “ล้อเล่นจ้ะ อย่าคิดมากสิ พี่เข้าใจนะ ใคร ๆ ก็ต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้ตัวเองเสมอ อีกอย่างพัดก็อยากเป็นอาจารย์อยู่แล้วนี่ เขามีทุนให้ไปเรียนเป็นพี่พี่ก็เอา อีกไม่กี่ปีก็จะได้กลับมาตามฝันสักที ถึงตอนนั้นก็อย่าลืมแวะมาหากันบ้างก็แล้วกัน”
“ต้องมาสิครับ” คนฟังค่อยยิ้มออก ยังคงระลึกถึงไมตรีจิตที่อีกฝ่ายมีให้ไม่เสื่อมคลาย การเป็นลูกชายเพียงคนเดียวทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อยที่มีอรพิมคอยดูแลประหนึ่งเป็นพี่สาวแท้ ๆ แม้อายุจะห่างกันเพียง 3-4 ปี แต่ความคิดความอ่านของเธอก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่เกินอายุนัก ดังนั้นสถาปนิกสาวผู้นี้จึงนับว่าเป็นที่พี่สาวและปรึกษาที่ดีที่สุดในยามที่น้องชายต้องการความช่วยเหลือเสมอ
สองคงยิ้มให้กันกระทั่งเสียงแจ๋วดังขึ้น
"เฮลโหลเด็ก ๆ”
ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องจำต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้วหันไปมองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นหินแกรนิตดังถี่ขึ้น ในที่สุดร่างผอมเพรียวภายใต้เสื้อผ้าอาภรณ์เปรี้ยวเข็ดฟันก็ก้าวผ่านประตูเข้ามา “พาน้องฝึกงานมาแนะนำให้รู้จักจ้ะ” นุชนรีซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลกล่าวก่อนจะกวักมือเรียกใครบางคนที่รออยู่ด้านนอก ไม่ถึงอึดใจชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวผูกเนคไทสวมกางเกงสแล็คสีดำก็เดินตัวลีบเข้ามาหยุดอยู่ข้าง ๆ
“นี่น้องเอกจ้ะ”
สิ้นเสียงหญิงสาว ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เจ้าของทรงผมแสกข้างฉีดเสปรย์เสียจนลมพัดไม่กระดิกจึงก้าวขึ้นมาพร้อมกับยกมือไหว้ทุกคนในห้อง
“ผมชื่อเอก ชื่อจริงชื่อเอกพลครับ”
“ส่วนอีกคน....ชื่ออะไรนะจ๊ะ ขอโทษทีพี่ลืมเสียแล้ว”
“ปนายุครับ เรียกป่านก็ได้ครับ” เจ้าของชื่อกล่าวและยกมือไหว้
“เอ้อใช่ นี่น้องป่านนะจ๊ะ สองคนนี้จะมาฝึกงานกับเราจ้ะ”
“สวัสดีจ้ะ” อรพิมกล่าวพลางมองสำรวจร่างสูงที่กำลังก้าวขึ้นมายืนข้างเพื่อน รู้สึกขัดใจอยู่หน่อยก็ตรงผมสีดำขลับไม่ได้จัดแต่งทรงที่ถูกปัดลงมาปรกหน้าผาก เข้าใจว่าเป็นทรงยอดนิยมที่มักเห็นตามนิตยสารแฟชัน แต่เล่นปล่อยยาวระลูกตาเช่นนี้ก็ให้นึกอยากจะจับมัดด้วยยางรัดถุงกับข้าวเสียให้เรียบร้อย
นุชนรีแนะนำคณะและมหาวิทยาลัยที่ส่งนักศึกษาฝึกงาน ก่อนจะหันไปเล่าคร่าว ๆ ถึงงานในแผนกออกแบบตกแต่งภายในของบริษัทซึ่งเป็นงานที่นักศึกษาจะได้เข้ามาเรียนรู้ ถือโอกาสนี้อธิบายกฎระเบียบและเวลาสแกนนิ้วเข้า-ออกไปพร้อม ๆ กัน
“ในห้องนี้ครึ่งหนึ่งน่าจะเป็นรุ่นพี่จากคณะสถาปัตย์ มหาวิทยาลัยเดียวกับพวกเธอ ใช่ไหมโอม” หันไปถามคนอายุมากที่สุดในห้องเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ครับ” คนนั่งหลังสุดตอบ
“เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน มีอะไรก็ปรึกษาพี่ ๆ เขานะ ส่วนห้องทำงานของพวกเธอก็จะอยู่ห้องนี้แหละจ้ะ” พูดจบจึงหันไปกำชับกับคนอื่น ๆ “ยังไงพี่ฝากจัดที่นั่งทำงานให้น้อง ๆ ด้วย เดี๋ยวพี่จะพาน้องสองคนไปเจอหัวหน้าพวกเธอแล้วจะพาไปพบผู้จัดการฝ่ายขายต่อ”
“พี่ภพไม่อยู่ที่ห้องหรอกค่ะพี่นุช เพิ่งเดินสวนกับอ้อเมื่อครู่นี่เอง เห็นว่ามีประชุม ก็คงประชุมกับคุณคฤทธิ์ด้วย” อรพิมบอก
“อืม...ถ้าอย่างนั้นพี่ฝากน้อง ๆ ไว้ที่นี่ก่อนก็แล้วกันนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่จะแวะไปดูที่ห้องประชุมหน่อยว่ามีใครเข้าประชุมบ้าง เผื่อประชุมเสร็จจะได้พาน้อง ๆ ไปแนะนำทีเดียว” พูดจบหัวหน้าฝ่ายบุคคลก็ก้าวฉับ ๆ ออกจากห้องไป ทิ้งให้สองคนสบตากันปริบ ๆ
“ตามสบายน้อง ที่นี่เราอยู่แบบกันเอง” พี่โอม...ชายหนุ่มร่างกะทัดรัดที่กำลังกวาดม้วนกระดาษเขียนแบบลงกล่องเอ่ยขึ้นก่อนจะเรียกให้สองคนไปนั่งที่โต๊ะที่เพิ่งจัดเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ “พี่ พี่ท็อป พี่ฝ้าย ก็จบมาจากคณะสถาปัตย์ มหาวิทยาลัยเดียวกันกับน้องนั่นแหละ ส่วนคนนั้นพี่อ้อ เขาจบนอก แล้วก็ไอ้พัด...ข้ามไปเลยดีกว่า อีกไม่ถึงอาทิตย์มันก็จะออกแล้ว”
“อ้าวพี่โอม ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ ตอนนี้ผมก็ยังเป็นสมาชิกของที่นี่นะพี่” คำท้วงติงของคนถูกพาดพิงเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมงานได้ไม่น้อย จะมีก็แต่สองนักศึกษาที่ยังคงวางหน้านิ่งเพราะทำตัวไม่ถูก
“เออ ลืม ๆ โทษที” โอมหันมายิ้ม “ไอ้คุณพัด จบมาจากคณะมัณฑนศิลป์ เมื่อก่อนมันก็เข้ามาฝึกงานเหมือนพวกเรานี่แหละ พอปีกล้าขาแข็งก็คคิดตีจาก”
“เกือบจะดีแล้วเชียว ถ้าจะแนะนำแบบนี้ พี่ด่าผมเถอะ” ภากรกล่าวกลั้วหัวเราะ
“ไอ้...” โอมตะโกนลั่นในคำแรกก่อนจะเหลือไว้เพียงรูปปากที่เหยียดออกในคำหลัง แม้ไม่มีเสียงแต่อีกฝ่ายก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามันต้องหมายถึงสัตว์เลื้อยคลานที่พี่ดอมใช้เรียกแทนชื่อน้อง ๆ ในห้อง
“ขอบคุณคร้าบบบ” พูดจบมัณฑนากรหนุ่มก็คว้ากระเป๋าสตางค์และกระเป๋าใส่แบบมาไว้กับตัว “ไปดีกว่า สบายใจแล้ว”
“อ...อ้าว จะไปไหนล่ะพัด” อรพิมถามอย่างแปลกใจ
“มีนัดไปติดตามงานกับลูกค้าครับ”
“เฮ้ย! เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ไป นี่จะไปอีกแล้วเหรอ”
“งานสุดท้ายของผมแล้วก็อยากให้มันเรียบร้อยน่ะพี่ ไปก่อนนะครับทุกคน ถ้าพวกพี่ยังไม่กลับ บ่าย ๆ คงได้เจอกัน” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกออกจากโต๊ะ ไม่ลืมยิ้มและค้อมศีรษะให้นักศึกษาฝึกงานที่พากันหลีกทางให้...
...
ภากรย้อนกลับมาอีกครั้งอย่างที่บอกไว้ แต่เพราะฝนฟ้าที่ตกลงมาทำให้การจราจรในกรุงเทพฯ แทบเป็นอัมพาต สถานีรถไฟฟ้าแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่รอเดินทาง แทนที่เขาจะถึงบริษัทในเวลาบ่ายคล้อยอย่างที่คำนวณเอาไว้ก็มาถึงเอาหลังเวลาเลิกงานไปแล้ว เมื่อผลักประตูเข้าไปในห้องก็พบว่าทุกคนยังอยู่กันพร้อมหน้า โต๊ะประชุมด้านในถูกยกให้นักศึกษาฝึกงานซึ่งในขณะนี้กำลังง่วนอยู่กับการขีดเขียนภาพลงบนกระดาษ
“พี่โอมสั่งให้น้องฝึกงานทำอะไรเนี่ย” เจ้าของร่างสูงเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาหยุดข้างหลัง มองสิ่งที่สองคนกำลังทำ
เมื่อไม่มีใครเงยหน้าขึ้นตอบคนสั่งจึงจำต้องเดินมาบอกเสียเอง “ให้ลองเขียนแบบโครงสร้างอาคารน่ะ ปิดเทอมไปนานเดี๋ยวลืมหมด ต้องเคาะสนิมสักหน่อย”
“มาฝึกงานวันแรกก็โดนพี่โอมรับน้องเสียแล้ว” คนอายุน้อยกว่ากระเซ้า
“ตอนแกเข้ามาฝึกงานที่นี่วันแรกก็โดนพี่ภพรับน้องแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือไง”
“ใช่ ข้าวปลาไม่ได้กิน ไม่เสร็จไม่ให้กลับบ้าน ฝึกงานไม่ผ่านด้วย โหดมาก”
“ไปนั่งเลยไอ้พัด พูดขู่กันแบบนี้เดี๋ยวน้องมันกลัวหมด”
“น้องไม่กลัวหรอก เพราะพี่โอมกำลังจะเดินมาบอกว่าไว้มาทำต่อพรุ่งนี้ก็ได้ ใช่ไหมล่ะครับ”
โอมพยักหน้าแล้วกล่าวประโยคนั้นซ้ำ ดังนั้นสองคนจึงวางดินสอลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย
ภากรเลื่อนตาตามร่างสูงโย่งของชายหนุ่มที่เดินไปหยุดยังหน้าต่าง ดวงตาของเขาทอดมองเม็ดฝนที่ยังคงโปรยลงมาอย่างไม่ขาดสาย
“ตกหนักเลยว่ะเอก กลับบ้านได้ไหมเนี่ย”
“เดี๋ยวฉันเกาะพี่โอมกลับ ถามมาแล้วว่าบ้านอยู่ทางเดียวกัน” เอกพลพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะรีบเก็บกล่องดินสอใส่เป้
“อ้าวไอ้นี่ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวเลยนะแก” ปนายุบ่นอุบก่อนจะเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม
“สนองนโยบายรัฐไง ทางเดียวกันไปด้วยกัน”
“บ้านอยู่แถวไหนล่ะ ถ้าไม่ไกลเดี๋ยวพี่ไปส่งก็ได้ หรือจะติดรถไปลงที่สถานีรถไฟฟ้าก็ได้นะ” โอมเสนอ
“ไม่เป็นไรครับ บ้านผมกับบ้านไอ้เอกคนละทางกันเลย รถไฟฟ้าตอนนี้คนคงมหาศาลแน่ ผมนั่งทำงานไปเรื่อย ๆ ดีกว่า รอฝนหยุดแล้วค่อยว่ากัน”
“เอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้ก็ได้ พี่ก็แค่อยากดูฝีมือเฉย ๆ นี่ก็เลิกงานแล้วด้วย เดี๋ยวก็ทยอยกลับกันหมดแล้ว ฝ่ายบุคคลเขาก็ยังไม่ได้ทำบัตรเข้าออกตึกให้ไม่ใช่เหรอ” ผู้มีอาวุโสที่สุดในห้องกล่าว เริ่มร้อนใจเพราะตนเองได้รับมอบหมายจากหัวหน้าให้ดูแลนักศึกษาฝึกงาน
“จริงด้วย” หนุ่มนักศึกษากล่าวเสียงอ่อย “ถ้าอย่างนั้นผมกลับเลยดีกว่า”
“ไม่เป็นไร ถ้ายังไม่อยากกลับก็อยู่ต่อก่อนก็ได้” เป็นภากรที่แทรกขึ้นด้วยเข้าใจดีว่าช่วงเวลาเช่นนี้ในระบบขนส่งสาธารณะคงจะโกลาหลน่าดู ว่าแล้วเขาเบนหน้าไปยังเพื่อนรุ่นพี่แล้วพูดต่อ “ผมมีงานต้องเคลียร์แล้วก็ว่าจะเก็บของต่ออีกหน่อย พี่โอมกลับไปก่อนเลย เดี๋ยวผมพาน้องออกจากตึกเอง”
“เออ ถ้าอย่างนั้นฝากด้วยนะ วันนี้แฟนพี่ชวนไปกินข้าวกับพ่อแม่เขาที่บ้านน่ะ” โอมว่าพลางเก็บของอย่างรีบร้อนในขณะที่เสียงเตือนข้อความเข้าจากก็ดังถี่จนแทบอยากจะปิดโทรศัพท์หนี “ไปโว้ยเอก”
“ครับ” เอกพลรับคำพร้อมกับลุกขึ้นสะพายเป้แล้วเดินมาตบหลังเพื่อน “ไปก่อนนะไอ้ป่าน”
“เออ เจอกันพรุ่งนี้” ปนายุโบกมือให้พลางมองตามคนที่กำลังเดินตามพี่เลี้ยงของพวกเขาออกไป...
ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาที่ยังคงเรียบร้อยไม่ต่างกับเมื่อตอนเข้างานยกกรวยกระดาษที่มีน้ำอยู่เกือบเต็มขึ้นดื่มพลางเงยหน้าขึ้นมองมองนาฬิการติดฝาผนังที่เหนือขึ้นไปบนตู้น้ำเย็น แม้จะเลยเวลาเลิกงานมาแล้วเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ตามแผนกต่าง ๆ ก็ยังพอมีพนักงานหลงเหลืออยู่บ้าง ส่วนด้านนอกนั้นฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ปนายุเดินกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานอีกครั้งก่อนจับดินสอลากไปมาโดยมีไม้บรรทัดเป็นตัวกำกับไม่นานเส้นหนาบางเหล่านั้นประกอบกันเป็นรูปร่างและรูปทรงต่าง ๆ
“ถ้าใช้โปรแกรมเขียนป่านนี้เสร็จไปนานแล้ว” ริมฝีปากได้รูปบ่นกับตัวเอง
“ถึงทำด้วยโปรแกรมจะเร็วกว่า แต่ยังไงการเขียนแบบด้วยมือมันก็เป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับสถาปนิกไม่ใช่เหรอ” คนที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ เลือกของจากลิ้นชักใส่ลังกระดาษเอ่ยขึ้น
“ก็จริงครับ” หนุ่มนักศึกษากล่าวพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองแท่งดินสอกดที่หมุนไปมาตามการบังคับของเรียวนิ้ว ในที่สุดเขาก็พ่นลมใจยาวขยับนั่งตัวตรงแล้วเริ่มจดปลายกราไฟต์ลงบนระนาบรองรับ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงชายหนุ่มจึงวางดินสอลง ลุกขึ้นแล้วถอยห่างออกมามองผลงานของตนเอง
“ทำงานที่นี่สนุกไหมครับ” ถามในขณะที่ดวงตายังไม่ละจากกระดาษตรงหน้า
ภากรจ้องกรอบรูปในมือนิ่ง มันเป็นของที่ระลึกในวันสุดท้ายของการฝึกงานที่พี่ ๆ มอบให้ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ แล้ววางภาพความทรงจำสุดประทับใจซ้อนลงบนสิ่งของอื่น ๆ “ก็สนุกดี ถึงบางที่จะเหนื่อยสุด ๆ หรือบางวันแทบจะไม่ได้นอนก็ยังสนุก”
“แล้วทำไมถึงลาออกเสียล่ะครับ”
“ได้ทุนไปเรียนต่อน่ะ”
“ทุน? ที่นี่มีทุนให้ด้วยเหรอครับ” ปนายุกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจกึ่ง ๆ สนใจ
“ไม่ใช่หรอก เป็นทุนของมหาวิทยาลัยที่เคยเรียนน่ะ แต่จบแล้วก็ต้องกลับไปสอนให้เขา”
“ดีจัง นึกว่าจะเลิกทำงานสายนี้แล้วเสียอีก”
คนฟังเงยหน้าขึ้นมองเมื่ออีกฝ่ายเดินมาหยุด “อยากกลับบ้านหรือยัง”
“เก็บของให้เสร็จก่อนก็ได้ครับผมไม่ได้รีบไปไหน ท่าทางฝนต้องตกทั้งคืนแน่ ๆ”
“ไว้ค่อยเก็บต่อพรุงนี้ก็ได้ แต่ขอตอบเมลลูกค้าก่อนนะ เสร็จก็จะกลับแล้วละ”
ปนายุพยักหน้าก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงกวาดตาไปรอบ ๆ ห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ด้านหนึ่งเป็นผนังกระจกมองออกไปเห็นทิวทัศน์ของมหานครยามค่ำคืน หูได้ยินเสียงปลายนิ้วกระทบแป้นพิมพ์ ในที่สุดดวงตาของเขาก็มาหยุดยังข้อมือซึ่งพันหลวม ๆ ด้วยเชือกถักสีฟ้าขาว
“เรียบร้อย” ภากรบอก ยิ้มให้ตัวเองเมื่อนึกถึงภารกิจที่ใกล้จะเสร็จสิ้นพร้อม ๆ กับเวลาที่กำลังจะหมดลง ชายหนุ่มปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนจะใช้สองมือประคองลังกระดาษใบหนึ่งขึ้น “กลับเถอะ”
“ผมช่วย” พูดจบปนายุก็ทำท่าจะรั้งลังกระดาษมาอุ้มเอาไว้เสียเอง
“ไม่เป็นไร ช่วยปิดไฟในห้องให้ก็พอ”
“ไม่เป็นไรครับ ให้ผมช่วยเถอะ ผมอยากช่วย”
เมื่อเห็นหนุ่มนักศึกษายืนยันเจตนารมณ์เดิม ภากรจึงยอมปล่อยลังกระดาษให้ คว้าร่มแล้วเดินไปปิดไฟจากนั้นก็ตามกันออกไปยืนรอลิฟท์
“บ้านอยู่ไหน” มัณฑนากรหนุ่มเอ่ย
“พระโขนงครับ”
“ไกลจัง แล้วเมื่อเช้ามายังไง”
“นั่งรถไฟฟ้ามาครับ แล้ว...พี่ล่ะครับ บ้านอยู่แถวไหน”
“ใกล้ ๆ นี่แหละ...บางซื่อ” คนพูดหัวเราะ
“ไม่ไกลเลยเนอะ บางซื่อ-สุรศักดิ์” ปนายุย่นคิ้วพลางเหล่มองคนข้าง ๆ
“ไปกลับอย่างนี้จนชินแล้วน่ะ”
“อืม...ถ้าผมจะรบกวนขอติดรถไปลงที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้ ๆ หน่อยจะได้ไหมครับ”
“ได้สิ รบกงรบกวนอะไรกัน” ภากรกล่าวก่อนจะเอื้อมมือดันบานประตูที่เพิ่งเปิดออกรอกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้าไปจึงเดินตามไปหยุดยืนข้างกัน
เมื่อประตูปิด ลิฟต์แก้วก็ค่อย ๆ ไต่ระดับลงจากอาคารสูง ความมืดโรยตัวลงห่มคลุมผืนดินอีกครั้งหากแต่ที่นอกผนังกระจกนั้นปรากฏแสงไฟสว่างไสว เป็นภาพแปลกตาสำหรับคนมาใหม่ ชายหนุ่มเบือนหน้ามองออกไปยังดวงไฟเล็ก ๆ ที่เคลื่อนอย่างเชื่องช้าตามกันเป็นสายบนทางยกระดับ ไม่นานก็ดึงสายตากลับมายังเงาสะท้อนร่างคนข้าง ๆ บนระนาบกระจก เห็นว่าเขาเองก็มองออกไปที่ด้านนอกเช่นกัน
“Bird’s eye view” ปนายุเอ่ยขึ้น
“ชอบแบบไหน Bird’s eye view หรือ Worm’s eye view” ภากรหันมาถาม
“ผมชอบ Human’s eye view มากกว่า ไม่อยากเป็นทั้งนกทั้งหนอน”
“ทำไมล่ะ”
“ภาพที่เห็นจากมุมมองของนกมันดูไกลเกินไป เห็นทุกอย่างเป็นแค่จุดเล็ก ๆ ส่วนภาพที่เห็นจากมุมมองของหนอนตัวเล็ก ๆ มันยิ่งไกลเกินเอื้อม ว่าไหม”
“อืม...ก็จริงนะ”
สิ้นเสียงภากรต่างคนก็ต่างมองออกไปนอกกระจกอีกครั้ง กระทั่งลิฟต์เปิดออกที่ชั้นล่างสุด สองคนเดินผ่านประตูอัตโนมัติออกมาที่ด้านหน้าของอาคาร
“รถจอดตรงไหนครับ”
“ข้างป้อมรปภ.นั่นน่ะ”
คนถามมองตามก่อนจะพยักหน้า เมื่อเห็นว่าฝนเริ่มซาจึงก้าวลงบันได “ไปเถอะครับ”
ภากรโคลงหัว กางร่มออกแล้วเร่งฝีเท้ากระทั่งตามอีกฝ่ายทัน “เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี”
ปนายุเหลียวมองเสี้ยวหน้าของคนที่เดินกางร่มให้นิดหนึ่งก่อนจะเลื่อนลงมายังข้อมือที่จับคันร่มของเขาแล้วมองไปข้างหน้าหมือนเดิม
สองคนเดินเคียงกันไปกระทั่งรถที่จอดอยู่ จากนั้นภากรก็เปิดประตูให้อีกฝ่ายวางลังกระดาษไว้ที่เบาะด้านหลังคนขับ
“ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ช่วยแบกมาให้”
“ไม่เป็นไรครับ” ว่าแล้วคนพูดก็วิ่งอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อเจ้าของรถจะได้ไม่ต้องกางร่มมาส่ง
“เอ้า! ไม่รอเลย เดินไปส่งก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ” พูดจบก็เปิดประตูเข้าไปนั่ง
“พรุ่งนี้เป็นหวัดมาทำงานไม่ได้อย่ามาโทษกันนะ” ภากรกล่าวอย่างไม่จริงจังนักเมื่อเข้ามานั่งประจำที่คนขับ เก็บร่มแล้วส่งไปไว้ด้านหลังก่อนจะติดเครื่องยนต์
“ไม่โทษหรอกครับ”
เจ้าของรถยิ้มพลางลอบสำรวจชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังยกมือขึ้นขยี้หัวที่พราวด้วยละอองฝน ทันทีที่เส้นผมถูกเสยปัดขึ้นเผยให้เห็นแผงคิ้วและดวงตาอย่างชัดเจน คนมองก็รู้สึกราวกับเคยเห็นใบหน้าเช่นนี้ที่ไหนมาก่อน
“รถติดจัง” ปนายุพึมพำกับตัวเองเมื่อรถเคลื่อนเข้าสู่ถนนสายหลักมาได้หน่อยก็ต้องจอดนิ่ง
ภากรละสายตาจากที่ปัดน้ำฝน ผ่อนลมหายใจยาวแล้วเอื้อมมือกดปุ่มเปิดเครื่องเสียงติดรถยนต์ เลื่อนหาคลื่นของรายการวิทยุไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง...
“เคยเอาคะแนนไปสมัครโครงการคัดเลือกรอบพิเศษของคณะมนุษย์ใช่ไหมครับ”
คนฟังชะงัก ลดมือลงวางบนหน้าขา มองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“จำได้ไหม เราเคยเจอกันเมื่อวันสอบสัมภาษณ์”
เมื่อเช้าถ้าใครผ่านมาแถวอโศกจะเห็นว่ารถติดมากเลยนะคะ เพราะวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก เราจะเห็นน้อง ๆ นักเรียน นิสิต แต่งกายถูกระเบียบเรียบร้อยน่ารักเดินกันเป็นกลุ่มบนสถานีรถไฟฟ้า... มัณฑนากรหนุ่มนิ่งเงียบ ยิ่งคิดหัวคิ้วก็ยิ่งเคลื่อนเข้าหากันจนแทบจะขมวดเป็นปม
และเพลงหนึ่งที่คุณผู้ฟังขอเข้ามาทาง SMS ก็ช่างเข้ากับบรรยากาศช่วงนี้เหลือเกินค่ะ...เพียงโน้ตห้าตัวแรกดังขึ้นภาพของอีกฝ่ายก็ถูกซ้อนทับด้วยภาพของเด็กหนุ่มร่างสูงโย่งเจ้าของผมยาวระต้นคอ วินาทีนั้นคล้ายกับเข็มนาฬิกาหยุดแล้วหมุนทวนพาวันเวลาย้อนคืนไปสู่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหกปีก่อน...
(มีต่อค่ะ)