ฟางเซียนอวี้ บุรุษปรุงใจ (Yaoi) (Harem) เริ่มการปรับปรุงเนื้อหาครั้งที่1 28/5/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ฟางเซียนอวี้ บุรุษปรุงใจ (Yaoi) (Harem) เริ่มการปรับปรุงเนื้อหาครั้งที่1 28/5/62  (อ่าน 10834 ครั้ง)

ออฟไลน์ minibearsecret

  • ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ฉันก็ฟินเวลาผู้ชายได้กันนะ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
    • Minibear_Secret Writer
#13

   เช้าวันต่อมายามเฉิน(เจ็ดโมงถึงแปดโมงห้าสิบเก้า) ทุกคนมารวมกันครบแล้วเราทั้งหมดเตรียมที่จะออกเดินทางไปยังจุดหมายในครั้งนี้ แต่ที่ช้าคงเป็นเพราะแม่นางลู่บุตรสาวท่านเจ้าเมืองที่ดูจะเป็นห่วงเป็นใยท่านพี่กงหมินมากที่สุด ถึงเอาแต่ล่ำลานานสองนาน

“เหมือนข้าจะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวคลุ้งคล้ายไหน้ำส้มแตกแถวนี้นะน้องอวี้”

“ท่านคิดไปเองท่านพี่ชิวเยี่ย” เป็นพระนามจริงของฮ่องเต้ครับ แซ่หลงนามชิวเยี่ย ตามจริงก็ไม่ค่อยมีใครเรียกหรอกครับ เพราะเมื่อรับการแต่งตั้งแล้วจะเรียกกันแต่ฮ่องเต้เอยฝ่าบาทเอย กลายเป็นห้ามเอ่ยนามขึ้นมาลอยๆไปซะงั้น แต่ผมก็ได้รับอภิสิทธิ์ อืม ลุงขอเรียกว่าโดนบังคับดีกว่าครับ

“เอาเถิด ออกเดินทางเสียที ดูเหมือนยิ่งช้ากลิ่นจะยิ่งแรง” ได้แต่มองแรงไปครับจะไปด่าว่าอะไรได้เล่นอยู่ท่ามกลางคนเยอะแยะแบบนี้อีก

การเดินทางในครั้งนี้ยังอาศัยการขี่เจ้าม้าเช่นเคยครับ แต่เพิ่มคนมาอีก มีทั้งคนงานและท่านเจ้าเมือง ขุนนางต่างๆที่ติดตามมาดูงานครั้งนี้ด้วย

“ท่านอ๋อง”

“ท่านหัวหน้าฟง เรียกข้าว่าเซียนอวี้เถิดขอรับ ข้ามิใช่อ๋องอย่างที่ท่านเรียกหรอกขอรับ”

“ขอรับคุณชายเซียน” คนที่เข้ามาทักผมเป็นหัวหน้าคนงานที่ถูกเรียกตัวมาวันนี้ครับ ถ้าเปรียบกับโลกก่อนก็คล้ายๆนักวิศวกรทำนองนั้นครับ

“ข้าต้องการเชือกกับไม้เพิ่มกำหนดระยะการขุดบ่อขอรับ ท่านหัวหน้าฟงพอจะหาให้ข้าได้หรือไม่”

“ข้าเตรียมมาแล้วขอรับ หากท่านต้องการย่อมมี”

“เช่นนั้นนำมันตามข้ามาเถิดขอรับ จะได้เริ่มงานเสียที”

เมื่อได้ของมาผมก็เริ่มการคาดคะเนพื้นที่ก่อนที่จะรับค้อนมา ตอนแรกก็โดนค้านว่าไม่ให้ทำ แต่ใครจะพลาดเรื่องสนุกแบบนี้กัน มาถึงโลกนี้หนักสุดก็เข้าครัวนี่แหละครับ ช่วยหางานที่เข้ากับความแมนของลุงหน่อยเถอะ

ผมเริ่มลงมือตอกไม้เป็นเสาหลักก่อนจะเดินตอกไปเรื่อยๆและวานหัวหน้าฟงคอยโยงเชือกตามมาจนครบบ่อ ความกว้างที่กะดูทางสายตาของผมน่าจะประมาณหนึ่งไร่สำหรับพื้นที่การขุดบ่อหลัก เมื่อเสร็จทั้งทหารและคนงานที่ตามมาก็เริ่มลงมือขุดหน้าดินกันไปเมื่อเห็นว่าฝั่งนี้ได้ที่แล้วก็ย้ายไปดูทางฝายต่อ

เมื่อมาถึงบริเวณลำธารที่เชื่อไปยังต้นน้ำที่เป็นหน้าผาที่มีน้ำตกลงมา พูดคุยกับชาวบ้านที่ใช้น้ำว่าถึงความยาวของเส้นทางนี้ เมื่อกะระยะได้ก็เริ่มลงมือสร้างฝายขั้นแรกก่อน เพราะจากความยาวถ้ากั้นคงจะต้องทำประมารสามครั้งพอ หากมากเกินไปจะเหลือน้ำน้อยลง

เริ่มต้นนำไม้ตอกทำหลักผมเป็นคนลงมือเองอีกครั้ง ต่อมาก็ไม้ไผ่ ในที่นี้ยังไม่มีตะปูเลยได้แต่เอาเชือกมามัดแทน ทำไม้ไผ่เป็นกรอบเหลี่ยมก่อนจะเอาหินมาวางตรงกลางเพื่อกั้นน้ำ เสื้อผ้าผมเปียกพอสมควรแต่เพราะสนใจงานจนไม่ได้สนใจสายตาของคนที่มองมา กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ขึ้นมาจากลำธารแล้ว

“วันพรุ่งนี้เราจะสำรวจพื้นที่การส่งน้ำจากต้นน้ำไปที่บ่อขอรับท่านพี่ชิวเยี่ย”

“พักก่อนเถิด เหตุใดต้องลงมือทำเอง”

“อย่าห่วงเลยขอรับ ข้าเป็นบุรุษงานเช่นนี้ไม่เกินกำลังเช่นนั้นหรอกขอรับ”

“ไม่เกินกำลังแต่มือแดงเสียขนาดนี้ไหนจะรอยขีดข่วนนี่อีก”

“ท่านพี่กงหมินอย่าดุน้องสิขอรับ น้องรับผิดชอบงานนี้เพราะเป็นคนเสนอ หากให้ผู้อื่นทำแล้วจะมีผู้ใดเข้าใจสิ่งที่อยู่ในความคิดของน้องเล่าขอรับ”

“ทั้งดื้อซนและชอบเถียงอีก แต่ก็อย่าทำให้พี่เป็นห่วงเจ้ามากกว่านี้เถิด กลับจวนท่านเจ้าเมืองไปเปลี่ยนชุดกันเสียก่อนทานมื้อกลางวัน ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่สบายเอา”

“จริงหรือสหายข้า มิใช่กลัวว่าผู้ใดจะมองร่างกายน้องอวี้หรอกรึ”

“หยุดก้าวก่ายม่านมุ่งขอข้าเสียที่ฝ่าบาท” ลุงว่าถ้าจะด่าขนาดนี้ไม่น่าเรียกฝ่าบาทนะท่านพี่กงหมิน

หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับมา มีการส่งเสบียงให้กับคนงานและทหารที่ประจำการเพื่อตอบแทนแรงกายที่มาช่วย แถมยังมีเงินจ่ายเมื่องานเสร็จด้วยครับ อันนี้ผมขอไว้เอง เพราะจะเป็นการให้สินน้ำใจเมื่อมีงานอีกครั้งจะได้วานได้อีก

เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จเราก็มาที่ห้องอาหารของจวน ดูเหมือนทุกคนจะมากันพร้อมแล้วแต่ขาดแค่ผมละมั้งครับ ดูจากสายตาของแม่นางลู่ที่มองมาแบบจิกกัดขนาดนี้ ถ้าหิวไม่กินกันก่อนละครับแม่นาง

“มานั่งข้างพี่เถิด”

“ขอรับท่านพี่กงหมิน”

ผมไม่รู้ตำแหน่งการนั่งแบบพิธีการเท่าไหร่ครับเพราะไม่เคยเข้า แต่การนั่งในตอนนี้หัวโต๊ะเป็นของฮ่องเต้ตามธรรมเนียมปกติฝั่งขวามือฮ่องเต้เป็นท่านเจ้าเมือง บุตรสาวท่านเจ้าเมืองและขุนนางตามลำดับไป ส่วนทางฝั่งซ้ายมือเป็นที่ว่างที่ผมถูกเรียกไปนั่งต่อมาเป็นท่านพี่กงหมิน ท่านแม่ทัพ และขุนนาง

ที่นั่งผมอยู่ตรงกลางระหว่างท่านพี่กงหมินและฮ่องเต้ ดูจากสายตาร้อนแรงของแม่นางลู่คงอยากจะข้ามมานั่งข้างท่านพี่กงหมินมากกว่าละครับ เสน่ห์แรงเสียจริง

“เริ่มลงมือเถิดในเมื่อมาพร้อมแล้ว”

“อ่า”

“เป็นอันใดไปรึน้องอวี้”

“คือ” มือมันสั่นครับ เคยเป็นไหมครับเวลาที่เราใช้งานมือหนักๆแล้วมันจะสั่นจนหยิบจับอะไรไม่ได้เลยไปสักพัก ผมในตอนนี้ก็เหมือนกัน แค่ยกตะเกียบขึ้นมาก็สั่นมากแล้วจะคีบข้าวยังไงกันละทีนี้

“พี่เตือนเจ้าแล้ว เป็นเช่นไรเล่าแล้วจะทานอย่างไรกัน”

“คงต้องรอสักครู่แล้วทานก็ได้ขอรับท่านพี่” ดูเหมือนครั้งนี้ฮ่องเต้จะคุยกับท่านเจ้าเมืองจนไม่ได้หันมามองปัญหาของผมเท่าไหร่ ยกเว้นแม่นางลู่ที่จ้องจนตัวผมจะพรุนอยู่แล้ว

“จะหิวจนพาลเป็นลมไปเสียก่อนจะได้ทาน พี่จะป้อนเจ้าเอง”

“แต่ว่า”

“อย่าให้พี่เป็นห่วงเจ้ามากกว่านี้เลย หรือชมชอบการทำร้ายจิตใจของพี่กัน”

“ข้าอยากทานเป็นน้ำแดงขอรับ”

“หึหึ” ชอบละสิครับเรื่องแบบนี้ ได้ทีเอาใหญ่ตลอด มันดูลำบากไปบ้างที่ต้องป้อนผมไปด้วยทานไปด้วย แต่พอหลายคำผ่านไปผมก็เพิ่งจะสังเกต ว่าตะเกียบที่ป้อนผมท่านพี่กงหมินก็ทานเหมือนกัน แล้วมาแย่งตะเกียบลุงทำไมไอ้หนู

“หน้าแดงเช่นนี้ ไม่สบายหรืออย่างไร”

“อั้นอี้” เพราะเคี้ยวข้าวอยู่แล้วได้แต่พูดอู้อี้ไป อีกฝ่ายดันหัวเราะชอบใจแทน

“ท่านกงหมินเจ้าค่ะ เหตุใดมิเรียกบ่าวมาทำแทนเล่าเจ้าค่ะ” มาแล้วครับเสียงจากฝ่ายตรงข้ามที่นั่งมองกัดตะเกียบมานาน

“เรียกข้าเสนาหวังเช่นผู้อื่นเถิดแม่นาง ข้าและเจ้าเรามิได้สนิทกันเช่นนั้น ผู้คนที่ได้ยินจะนำไปนินทาได้ และที่ข้าทำข้าเต็มใจ”

“ขออภัยเจ้าค่ะ แต่เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ควรจะเรียกบ่าวมาหรือไม่ก็ไปรักษามือเสียก่อนจะกลับมาก็ได้นี่เจ้าค่ะ ทำตัวไร้มารยาททั้งปล่อยให้ผู้หลักผู้ใหญ่รอแล้วยังมาทำตัวมีปัญหาต่ออีก ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ดูท่าคงมิมีใครสั่งสอนเสีย”

เสียงพูดคุยเริ่มเงียบลงหลังจากที่แม่นางลู่พูดจบ มาเป็นชุดเลยนะนังหนู ก็เข้าใจว่าไม่พอใจแต่การมาด่าพ่อแม่คนอื่นทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้มันเกินไปนะ ไม่แปลกที่จะไม่ถูกสนใจแบบนี้

“ขออภัยในเรื่องที่ข้ามาช้าปล่อยให้หลายท่านต้องรอ เพียงแต่ข้าต้องไปเปลี่ยนชุดเสียก่อนชุดของข้า-”

“เพราะไปเล่นซนมาเพียงเท่านั้นเหตุใดจึงไม่สนใจในมารยาทกัน”

“ข้า-”

“เจ้ามิควรมาร่วมโต๊ะเสวยเลยด้วยซ้ำ เป็นเพียงผู้ติดตามที่มากับขบวนแค่นั้นอย่าได้ทำอวดดีเสีย”

“ลู่เอ๋อร์” ท่านเจ้าเมืองเรียกบุตรสาวเสียงดังเพราะดูเหมือนท่านเจ้าเมืองจะรู้ว่าผมเป็นใคร แต่ขุนนางหลายคนอาจจะยังไม่รู้จักก็ได้ถึงนั่งเงียบรอฟัง ผมบีบมือท่านพี่กงหมินแน่นทั้งที่แรงที่ส่งไปเพียงน้อยนิดจากมือที่สั่นเทาเพราะดูเหมือนคนข้างตัวจะโกรธแล้ว แต่ก็ลืมอีกคนไปได้

“แล้วเจ้าที่เป็นเพียงบุตรสาวของเจ้าเมืองแห่งนี้มีสิทธิ์ตัดสินผู้ร่วมโต๊ะเสวยของเจิ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน เพราะท่านเจ้าเมืองเป็นขุนนางที่ดี ทำงานรับใช้เจิ้นมานานถึงอนุญาตเจ้ามา ช่างเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเสียจริง” เงียบไปกันเป็นแถบเมื่อเจ้าแคว้นเริ่มมีน้ำโห

“ขอฝ่าบาทโปรดอภัยให้แก่ความโง่เขลาของบุตรสาวกระหม่อมด้วยพะยะค่ะ ลู่เอ๋อร์ขอโทษคุณชายเซียนเสีย”

“ข้ามิเข้าใจ” นอกจากจะไม่ทำแล้วยังมาจิกตาใส่ผมอีก คือลุงงงครับ ลุงทำผิดอะไรกัน

“หึ ที่เซียนอวี้มาช้าเพราะไปเปลี่ยนชุด เป็นเจิ้นที่บอกแก่เขา อีกทั้งชุดที่เปื้อนเกิดจากการลงมือสร้างฝ่ายเพื่อประชาชนของเราชาวแคว้นเซียนทุกคนให้รอดพ้นจากอุทกภัยและภัยแล้ง หาใช่การเล่นสนุกอย่างที่เจ้ากล่าวไม่ การป้อนอาหารก็เป็นความเต็มใจของกงหมินเกี่ยวอันใดกับเจ้ากัน เจ้าเป็นอันใดกับกงหมินหรือ อีกทั้งเรื่องสุดท้ายที่เจ้าบอกว่าคุณชายเซียนเป็นผู้ติดตามขบวน ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่รู้ว่าคุณชายเซียนเป็นน้องชายของเราอีกคน มียศเทียบเท่าอ๋องผู้หนึ่ง การที่เจ้าว่ากล่าวผู้เลี้ยงดู เจิ้นเกรงว่าจะเป็นการหยามเกียรติเชื่อพระวงศ์ไปเสียแล้ว ที่นี้เจ้าเข้าใจที่เจิ้นกล่าวหรือไม่ บุตรสาวท่านเจ้าเมือง”

เงียบกริบเป็นป่าช้าเลยครับ ดูจากสีหน้าที่ซีดเหมือนกระดาษของแม่นางลู่แล้ว ผมละกลัวนางเป็นลมมากเลยครับ อีกทั้งท่านเจ้าเมืองที่หน้าเสียเพราะลูกไปแล้ว โทษของการดูหมิ่นเชื่อพระวงศ์หนักครับ ยิ่งใช้สายตาแบบนั้นอีก ถ้าเอาเรื่องจริงดูท่าจะรอดยาก เพราะมีพยานนั่งกันเต็มโต๊ะไปหมด อีกทั้งต่อหน้าฮ่องเต้ด้วย

ดูเหมือนแม่นางลู่จะเรียนแต่เรื่องงานบ้านจนลืมที่จะหาความรู้ในเรื่องรอบตัวไปแล้วครับถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หรือไม่ก็เพราะความหึงหวงที่คิดไปเองคนเดียวด้วยที่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายไปอีก

“ขออภัยแทนบุตรของข้าพะยะค่ะฝ่าบาท คุณชายเซียน ข้าน้อยจะสั่งสอนบุตรให้ดีกว่านี้พะยะค่ะ”

“ข้าไม่ได้คิดอะไรขอรับท่านเจ้าเมือง ช่างเถิด ท่านพี่กงหมินน้องอิ่มแล้ว ขอตัว” ผมทำความเคารพทุกคนก่อนออกมา ตัวผมเองไม่คิดอะไรหรอกครับ แต่ดูเหมือนร่างกายมันจะไปเอง

ผมสัญญาไว้ว่าจะทำให้พ่อร่างนี้มีความสุข แต่ครั้งนี้เพราะการเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่จนลืมเวลาไปถึงมาช้า ท่านพ่อเลยถูกเอามาว่าแบบนี้  ไม่มีคนสั่งสอน มันแปลได้ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนละครับ เฮ้อ ดูท่าร่างนี้จะรักครอบครัวมาก เพราะแค่นี้ก็ร้องไห้แล้ว หิวครับแต่กินไม่ลงแล้ว

และถึงจะเสียใจแต่สมองของผมก็ติดใจกับคำพูดของฮ่องเต้เมื่อครู่พอสมควร ยามที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลคำพูดที่ออกมาย่อมเป็นเรื่องที่อยู่ในใจปะปนมาเรื่องหยามเกียรติเชื้อพระวงศ์ เรื่องที่บอกว่าลุงเป็นน้องพอเข้าใจว่าฮ่องเต้คิดอยู่เสมอ ส่วนเรื่องยศอ๋องกับหยามเกียรติ มันดูใส่อารมณ์มากกว่าทุกครั้งที่ฟัง ไม่ใช่เพราะความโกรธเท่านั้นถ้าจับคำดีๆ แต่ตอนนี้ต้องทำให้ร่างนี้หยุดร้องก่อนดีกว่า เอาไว้เก็บรวมไปกับเรื่องก่อนเดินทาง คิดทีเดียวก็ไม่สาย

ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไรแต่กลับดูร่มรื่นน่าพักจนอดใจไม่ได้ต้องไปนั่งพิงที่โคนต้นไม้ เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา บางครั้งร่างกายนี้ก็ทำงานไปเองครับ เพราะว่าการเข้ามาของวิญญาณผมด้วยทำให้มันคงไม่เสถียรเท่าที่ควร

นิสัยร่างนี้เรียบร้อย สุภาพ อ่อนหวาน ไม่ต่างจากผู้หญิงเท่าไหร่ แถมยังไม่เคยมีคนรักด้วย หน้าตาไม่ได้ออกสาวหรือหวานแบบนายโลมในหอพี่อิงฮวาหรือสวยล่มเมืองแบบในนิยาย เป็นใบหน้าธรรมดาที่หาได้ทั่วไป

แต่เมื่อยิ้มจะมีลักยิ้มที่ข้างแก้มสองข้างดูสดใสและน่ามอง รูปร่างตามวัยไม่สูงไปเตี้ย ประมาณร้อยหกสิบกว่าๆ แต่เพราะอยู่แต่ในบ้านเลยขาวแต่ไม่ได้ซีด ร่างโปร่งแต่ไม่ได้ผอมจนเหลือแต่กระดูก ดูมีน้ำมีนวลอยู่บ้าง เพราะทดลองครีมกับสครับ ผิวเลยเนียนขึ้นนุ่มขึ้นกว่าเก่า

ถ้าจะดูรวมๆแล้วร่างนี้ก็มีเสน่ห์ในตัวเองอยู่ครับ อยู่ด้วยแล้วอบอุ่น มีออร่าความอ่อนโยนกระจายออกมา เสี่ยวมู่เคยบอกกับผมว่า ตอนที่เจอครั้งแรกผมเหมือนเทพเซียนเลยครับ ดูมีแสงสว่างรอบตัว ท่านตาหลิวก็เหมือนกัน บอกว่าผมเหมือนผู้มีบุญมาเกิดมากว่าคนธรรมดา

ประวัติของร่างนี้ยังมีข้อสงสัยอยู่อีกมากที่ต้องค้นหาแต่ก็อย่างที่คิดไป เอาไว้ว่างก่อนจะหานะครับ นี่คือความขี้เกียจของลุงเอง คิดเรื่องต่างๆให้ร่างนี้คลายเครียดจนร่างที่เกร็งกลับมาปกติ ปวดมือจังเลยน๊า แดงหมดเลย แต่ก็ดี มือนุ่มๆจะได้สมชายหน่อย แต่จะมีผลกับการนวดแป้งไหมนะ

“มาอยู่ที่นี่เอง”

“เชี่ย” ตกใจไงครับ จะอุทานออกไปก็ไม่แปลก แต่ที่แปลกน่าจะเป็นคนตรงหน้าที่ดูตกใจมาก

“เจ้าว่าอะไรนะ พี่ไม่เข้าใจ”

“น้องเพียงตกใจที่ท่านเข้ามาไม่ทันตั้งตัวเลยส่งเสียงแปลกๆไป ท่านพี่กงหมินอย่าได้สนใจเลยขอรับ”

“อืม แล้วเหตุใดมานั่งที่นี่เล่า ไม่นั่งในศาลากัน”

“ไม่รู้ขอรับ รู้อีกทีก็เดินมานั่งแล้วขอรับ”

“เฮ้อ มีเรื่องกังวลใจหรือ ถึงทำหน้าเช่นนั้น”

“ไม่มีขอรับ น้องสบายดี ว่าแต่ท่านพี่กงหมินทานเสร็จแล้วหรือขอรับ”

“ไม่มีใครกล้าทำอะไรต่อหลังจากที่เจ้าเดินออกมา พี่ก็ตามออกมาเพราะกลัวเจ้าจะคิดมาก”

“แล้วแม่นางลู่เล่าขอรับ ฮ่องเต้ทำอะไรนางไหม”

“ดูเหมือนจะให้ท่านเจ้าเมืองจัดการเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เดินหนีไปไหนเหมือนกัน ดูท่าจะไปสงบสติอารมณ์เช่นกัน”

“เหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้นขอรับ”

“เพราะฮ่องเต้รักเจ้าเหมือนน้องชายแท้ๆอย่างไรเล่า ถึงได้โกรธมากยามที่แม่นางลู่ว่าเจ้าเช่นนั้น”

“ข้าช่างโชคดีที่มีแต่คนรักนะขอรับ น่าอิจฉาจริง” ท้ายเสียงกลับแผ่วเบาเพราะบอกกับตัวเอง ตัวเองที่เป็นลูกหนูไม่ใช่ฟางเซียนอวี้คนนี้


TBC.

เรื่องราวหลังครัวปิด

เซียนอวี้ : ตอนนี้เข้าสู่ช่วงดาร์กโหมดกันแล้วครับ
กงหมิน : ผู้ใดว่าเจ้าพี่จะไปตัดลิ้นมัน
ฮ่องเต้ : ผู้ใดว่าน้องพี่จะนำมันไปตัดหัวเสีย
เซียนอวี้ : ช่างเป็นช่วงดาร์กโหมดเสียจริง (ไม่ใช่ลุงนะ)
นักเขียน : เกลียดความสปอยล์นี้


ลงเนื้อหา 13/9/61
ปรับปรุงเนื้อหา 30/5/62
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2019 15:27:17 โดย minibearsecret »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อยากรู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างฮ่องเต้กับเซียนอวี้จังเลย :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชะนีลู่นี่แปลกๆ กล้าว่าจิกลุง ต่อหน้าฮ่องเต้
ทั้งที่ตัวเองไม่มีหน้าที่อะไรแค่ตามพ่อมา  :really2: :really2: :really2:

ฮ่องเต้ ฮองเฮาดีต่อเซียนอวี้ เพราะอะไรนะ
หรือเซียนอวี้เป็นน้องฮ่องเต้จริงๆ  o22 o22 o22
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ติดตามค่าา แต่ขอแนะนิดนึงนะคะ ยังมีการใช้คะ ค่ะผิดอยู่ในบางประโยค เช่น "นี่เจ้าค่ะ" ตรงนี้ต้องใช้เป็น เจ้าคะ นะคะ ฝากด้วยน้า ติดตามจ้า สุดท้ายแล้วเซียนอวี้ของเราจะคู่ใครนะ อิอิ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ minibearsecret

  • ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ฉันก็ฟินเวลาผู้ชายได้กันนะ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
    • Minibear_Secret Writer
#14

วันนี้เราเริ่มตัดไม้ไผ่เป็นแผ่นแล้วมาเรียงประกบเป็นรูปสี่เหลี่ยมเพื่อทำท่อส่งน้ำเท่าที่มีในโลกนี้ ยิ่งไกลยิ่งใช้เยอะ แต่เพราะมีคนงานเยอะเลยทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น เราใช้เวลาในการขุดบ่อสองวันกว่าจะได้ที่พักน้ำที่มีขนาดและความลึกตามที่ต้องการ มีแรงงานคนทั้งสิ้นเกือบร้อยคนที่มาทำงานนี้

เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมเราก็เริ่มปล่อยน้ำไปที่บ่อ น้ำส่วนแรกที่ลงไปถูกดินดูดซึมจนแห้งหายต้องรอเวลาจนดินอมน้ำจนได้ที่แล้วน้ำจึงหยุดซึม

“เมื่อน้ำเต็มบ่อแล้วข้าขอรบกวนท่านเจ้าเมืองจัดการนำคนมาทำการปิดที่ปากปล่องเพื่อหยุดการส่งน้ำนะขอรับ และยามใดที่น้ำในบ่อนี้ลดให้ทำการเปิดจนเต็มจนกว่าจะหมดหน้าน้ำ และเมื่อน้ำหลากให้ท่านเปิดปล่องอีกสองปล่องเพื่อระบายน้ำที่จะลงไปท่วมพื้นที่ด้านล่างให้มาที่อีกสองบ่อที่เตรียมไว้เพื่อลดการท่วมของน้ำขอรับ”

“คุณชายเซียนช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนักขอรับ ทั้งที่ยังเยาว์วัยเท่านี้กลับมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลและรักใคร่ประชาชน เป็นบุญของแคว้นเราแล้วที่มีคุณชายเซียนอยู่”

“ท่านกล่าวหนักไปแล้วขอรับท่านเจ้าเมือง ข้าเป็นคนของแคว้นนี้เหตุใดจะปล่อยให้บ้านเมืองแคว้นเราต้องเดือดร้อนจากเรื่องที่ช่วยได้ด้วยเล่าขอรับ”

ได้ใจเจ้าเมืองไปอีกคนครับดูจากสีหน้าท่าทางแบบนี้แล้ว จะว่าไปฟางเซียนอวี้คนนี้ก็เป็นที่รักและเอ็นดูจากหลายๆคนเหมือนกันนะครับ กิริยามารยาทที่อ่อนหวานคล้ายผู้หญิง ขนาดผมที่เป็นวิญญาณมาอาศัยเปลี่ยนท่าทางตามตัวไปมากแต่ก็ยังดูมีความอ่อนโยนอยู่ดี แต่ไม่ว่ายังไงสิ่งที่ทุกคนเห็นทุกคนรู้ก็มีเพียงฟางเซียนอวี้คนนี้เท่านั้น ไม่ใช้ลุงที่เป็นวิญญาณเลย งดมาม่าครับ

หลังจากที่จัดการเรื่องตรงนี้เสร็จองค์ฮ่องเต้ก็มีพระประสงค์จะสำรวจการใช้ชีวิตของชาวเมืองที่นี่ต่อเพื่อเยี่ยมชาวเมืองด้วย ดูจากพื้นที่นี้น่าจะเป็นพื้นที่เพาะปลูกโดยส่วนมาก มีทั้งการเกษตรกรรมแบบนาข้าวและพืชไร่

ที่เมืองนี้ประสบปัญหาหนักที่สุดน่าจะมาจากความเสียหายของแหล่งข้าวแหล่งน้ำของแคว้นด้วยเพราะที่เมืองนี้เป็นเมืองที่ส่งออกสินค้าเกษตรมากที่สุดในแคว้นแล้วครับ อีกทั้งยังมีการส่งขายยังแคว้นอื่นด้วย

 พอมองเห็นนาข้าวแล้วนึกถึงขนมนางเล็ดเลยครับ เมนูใหม่ เห็นข้าวโพดก็นึกถึงป๊อบคอร์นอีกด้วย มาเที่ยวที่เมืองนี้ได้เมนูไปเพิ่มด้วยเลยครับ จะว่าไปถ้าทำหมูส้มเป็นกับแกล้มเหล้าคงจะดีนะครับ วิธีทำก็ง่าย แถมยังแปลกใหม่ด้วย

เสร็จจากการเยี่ยมชาวบ้านของฮ่องเต้ก็เดินทางกลับแล้วครับ พวกเราใช้เวลาครึ่งวันในการเดินทางกลับ เมื่อมาถึงต่างแยกย้ายไปตามที่พักตน ผมมาที่ร้านอาหารฟางก่อนเพราะนอนที่นี่และคิดว่าพรุ่งนี้จะต้องลงครัวด้วย พูดคุยทักทายท่านพ่อเล็กน้อยแล้วเข้านอนครับ ไม่ไหว การขี่ม้าทำเอาช่วงล่างแทบพัง

ยามเหม่า(ตีห้าถึงหกโมงห้าสิบเก้า)ได้เวลาตื่นของผมไม่ว่าจะเหนื่อยหรือนอนดึกขนาดไหนร่างกายนี้ก็จะตื่นตามเวลาเดิมเสมอ เหมือนกับโลกก่อนที่ผมต้องตื่นตีห้าเพื่อเตรียมตัวไปทำงานฝ่าวิกฤติรถติดประจำวัน อย่างที่คิดไว้ วันนี้จะทำขนมกินเล่นขายที่ร้านทั้งสอง

“ตื่นเช้าเสียจริง เหตุใดไม่นอนพักกันเล่าอวี้เอ๋อร์เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยพักสักวันก็คงไม่เป็นอะไรไปหรอกลูก”

“ท่านพ่อ ลูกพักผ่อนพอแล้วขอรับ วันนี้ลูกมีอาหารและขนมทานเล่นมาให้ท่านชิมด้วยขอรับ”

“พ่อจะรอเจ้าแล้วกัน”

“ขอรับ”

ทักทายกันยามเช้าเสร็จผมก็ลงมาที่ครัวเพื่อตรวจดูของว่ามีของที่จะทำได้ไหม ไข่เป็ดพร้อม น้ำตาลพร้อม หมูพร้อมข้าวโพดพร้อม อืมข้าวเหนียวสินะที่ยังไม่ได้ใช้ทำเมนูกินกับอย่างอื่นนอกจากหมูปิ้งกับไก่ย่าง

“ซีเอ๋อร์ข้าวานเจ้านำข้าวเหนียวที่ห้องครัวใหญ่ที่นึ่งแล้วกับข้าวสวยมาให้ข้าสักอย่างละถ้วยได้หรือไม่”

“เจ้าค่ะนายน้อย”

“เสี่ยวเปา ข้าวานเจ้าแกะเมล็ดข้าวโพดดิบให้ข้าสักสิบฝักได้หรือไม่”

“ขอรับนายน้อย”

“ข้านำข้าวเหนียวกับข้าวสวยมาแล้วเจ้าค่ะนายน้อย”

“รอข้าสักครู่ก่อนนะซีเอ๋อร์ ข้าจะวานเจ้านำไปตากแดดอีกครั้ง”

“เจ้าค่ะ”

ผมปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนกลมเล็กก่อนจะบี้ให้พอเป็นแผ่นไม่ติดกันจนแน่นไปแล้ววางลงบนผ้าขาวบางที่เตรียมไว้บนถาดอีกที ทำซ้ำๆจนหมดชามก่อนจะปิดผ้าขาวบางทับอีกครั้ง

“ข้าวานเจ้านำไปตากแดดที่ลานตากแล้ววานคนงานที่ทำงานตรงนั้นดูให้ข้าด้วยเมื่อแห้งดีให้นำมาให้แก่ข้า”

“เจ้าค่ะนายน้อย ว่าแต่ท่านจะทำสิ่งใดกับข้าวเหนียวนี้หรือเจ้าคะ”

“เป็นขนมที่มีชื่อว่านางเล็ด”

“นางเล็ด”

“ใช่ รอเสร็จแล้วจะแบ่งให้ชิมนะ”

“เจ้าค่ะ”

“แกะเสร็จแล้วขอรับนายน้อย”

“ขอบใจเจ้าทั้งสองคนมาก เสี่ยวเปาข้าวานไปหยิบเนยตรงมุมห้องมาให้ข้าสักก้อนที”

“ขอรับนายน้อย”

ผมขอบใจทั้งสองคนที่ช่วยผมในเช้านี้ ทั้งสองคนยิ้มรับแล้วทำงานที่ผมสั่งต่อ ผมเอาเมล็ดข้าวโพดที่เสี่ยวเปาแกะไว้ไปใส่ลงในหมอที่มีฝาปิดก่อนจะรับเนยมาอุ่นกับไอน้ำจนละลายแล้วราดลงไปบนข้าวโพดแล้วปิดฝาให้สนิทก่อนจะนำไม้มาเสียบคล้องหูหม้อแล้วตั้งบนเตา

ปัก ปัก ปุ๊ก แปะ เสียงระเบิดของข้าวโพกเริ่มดังให้ได้ยินหลังจากตั้งไฟไม่นาน เสี่ยวเปากับซีเอ๋อร์หลบไปอยู่อีกมุมทันทีเพราะตกใจเสียง ผมจับไม้ที่เสียบไว้พลิกหม้อไปมาบนเตาจนครบด้าน สักพักเสียงก็เงียบหายไปผมเขย่าอีกครั้งยกหม้อลงเลยเปิดหมอเทใส่กระจาดที่เตรียมไว้ ข้าวโพดคั่วร้อนๆมาแล้วครับ

“หอมยิ่งนักเจ้าค่ะนายน้อย”

“ลองชิมดูเถิด”

ผมหยิบป้อนทั้งสองคน ก่อนจะได้รับคำพูดที่ชื่นชมมาตอบแทน ผมแบ่งจากกระจาดใส่จานแล้วให้เสี่ยวเปานำไปให้พ่อครัวจางกับท่านพ่อก่อนเพราะมันจะเหนียวถ้าทิ้งตากลมนานที่เหลือผมก็ให้ซีเอ๋อร์ห่อใส่ถุงกระดาษแล้วส่งให้เงาที่ติดตามผมนำไปส่งเจ้านายตัวเองและฝากที่ร้านเซียนอวี้และท่านพี่อิงฮวาระหว่างทางด้วย

“หอมยิ่งนัก เจ้าทำสิ่งใดอยู่กัน”

“กลับมาแล้วหรือท่านลวี่หลง”

“เรียกขานข้าพี่ลวี่หลงเถิด”

“ขอรับ”

“แล้ววันนี้เจ้าทำสิ่งใด แล้วเจ้าก้อนเหลืองๆนั่นคืออะไร”

“มันมีนามว่าข้าวโพดคั่วขอรับ ท่านพี่ลวี่หลงลองทานดูเถิดขอรับ”

“รสชาติแปลกยิ่งนักแต่กลับหยุดทานเสียมิได้”

“แล้ววันนี้ท่านมีเรื่องอันใดหรือไม่ขอรับ ถึงมาหาข้ายามเช้าเช่นนี้”

“ไม่มีธุระอันใด ข้าว่างเลยมากวนเจ้าเท่านั้น”

“เช่นนั้นท่านนั่งรอก่อนเถิดขอรับ ข้าจะทำขนมให้ท่านทาน”

“เอาสิ” ท่านเทพมังกรนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ส่วนของโต๊ะวางอาหารเมื่อเสร็จแล้วเพื่อมองผมที่เดินไปมา

“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ/ขอรับท่านลวี่หลง”

“อรุณสวัสดิ์สาวน้อยหนุ่มน้อยทั้งสอง”  เสียงทักทายของผู้ช่วยกับท่านเทพที่เจอกันดังขึ้นด้านหลังผมที่กำลังตอกไข่เป็ดแยกไข่แดงและขาวอยู่

“เสี่ยวเปานำน้ำตาลมาใส่กระทะตั้งไฟเคี่ยวให้ข้าที”

“ใส่น้ำเยอะไหมขอรับนายน้อย”

“ครึ่งหนึ่งของน้ำตาลเท่านั้นพอ”

“ขอรับ”

“ซีเอ๋อร์ ไปนำน้ำตาลปี๊บจากห้องครัวใหญ่มาให้ข้าสักสามก้อนเถิด เสร็จแล้วนำมาใส่น้ำแล้วเคี่ยวแบบเสี่ยวเปาพอเดือดลดไฟลงแค่พออุ่นเท่านั้นนะ”

“เจ้าค่ะนายน้อย”

“เสี่ยวเปาเมื่อเสร็จแล้วนำผ้าขาวบางกรองออกแล้วใส่กระทะทองเหลือที่ข้าวางไว้เสร็จแล้วตั้งไฟอ่อนๆให้ข้าด้วย”

“ขอรับนายน้อย”

วันนี้เราจะมาทำทองหยิบทองหยอดกันครับ เพราะผมเห็นกระทะทองเหลืองที่ทางผ่านเลยขอแวะซื้อกลับมาด้วย ผมบอกทั้งสองคนไปก็ตีไข่แดงที่แยกไว้ไป ส่วนไข่ขาวผมเทใส่ขวดโหลแก้วที่ซื้อมาครั้งก่อนไว้ เอาไว้ส่งไปสปาท่านพี่อิงฮวา

พอเตรียมทุกอย่างพร้อมก็เริ่มทำการหยอดขนมเป็นรูปหยดน้ำก่อนครับ พอได้ครึ่งตามที่ตวงก็เปลี่ยนมาทำเป็นแผ่นพอสุกทั้งสองด้านก็ตักขึ้นมาแล้วพักไว้ พอหายร้อนพอประมาณก็จับวางในชามเล็กคล้ายจอกน้ำชาเพื่อปล่อยให้ขนมทองหยิบเซตตัวเป็นรูปดอกไม้เอง

“เสร็จแล้วขอรับเชิญทานขอรับ”หลังจากที่แบ่งเป็นส่วนแล้วก็หยิบจานที่แบ่งไว้ให้คนที่นั่งดูตลอดได้ลองทานบ้าง

“หวานแต่ละมุนลิ้นนัก”

“ขอบคุณขอรับ” ส่วนที่แบ่งให้เงาไปส่งจะใส่ถุงเตรียมไว้ก่อนเพราะรอนางเล็ดอีกอย่างครับจะได้ไปเที่ยวเดียวเพราะขนมรอบนี้รอเวลาได้

ระหว่างรอให้ข้าวเหนียวตากแดดจนแห้งดีก็หันมาหั่นหมูขนาดพอดีคำก่อนจะตำกระเทียมพริกไทยจนละเอียดแล้วนำมาคลุกกับหมูที่คลุกเกลือไว้ก่อนจะนำข้าวสวยที่วานซีเอ๋อร์ไปหยิบมาพร้อมข้าวเหนียวอย่างละชามเมื่อครู่ มาคลุกกับหมูที่หั่นไว้ ผสมส่วนที่ใส่ไปให้เข้ากันบีบจนข้าวเละแล้วแบ่งใส่ห่อกระดาษพับแล้วมัดเชือกเรียงไว้ในหม้อขนาดกลางปิดฝาแล้ววางไว้มุมห้องติดกระดาษวันที่ทำไว้เพื่อนับเวลาเปิดดู สักสามวันน่าจะเปรี้ยวนะครับ

“เจ้าทำสิ่งใดกัน”

“เป็นอาหารที่ไว้ทานคู่กับสุราขอรับท่านพี่ลวี่หลง”

“อีกนานหรือไม่”

“ประมาณสามวันขอรับ”

“ข้าอยากจะทานมันเหลือเกิน”

“หากครบวันข้าจะทอดให้ท่านทานนะขอรับ”

“ข้าจะรอนะ” ยิ้มสวยมากครับท่านเทพมังกร ทำเอาใจลุงสั่นเลยทีเดียว จะมาเขย่าหัวใจลุงอีกคนหรือยังไงกัน แค่นี้ลุงก็ยิ่งกว่านางวันทองสองใจในเรื่องขุนช้างขุนแผนไปแล้วนะครับ

“นายน้อยเจ้าคะ ข้าวเหนียวแห้งพอหรือไม่เจ้าคะ” เสียงของซีเอ๋อร์ดึงสายตาของผมจากรอยยิ้มคนตรงหน้ากลับไปที่เดิม สติลุงอยู่ไหนกัน เรียกกลับมาด่วนครับ

“อืม แดดแรงใช้ได้ “

ผมหยิบข้าวเหนียวที่แห้งแล้วมากองรวมกันไว้ก่อนจะเทน้ำมันใส่ลงกระทะตั้งไฟจนร้อนแล้วทอดข้าวเหนียวจนฟูเต็มที่ก่อนจะนำมาพักจนสะเด็ดนำมันก่อนจะเอาน้ำตาลที่ซีเอ๋อร์เคี่ยวก่อนหน้านี้มาราดเป็นเส้นจนทั่วพักจนแห้งแล้วแบ่งใส่ถุงกระดาษส่งให้เงาตามเดิมก่อนจะให้เสี่ยวเปาไปให้ท่านพ่อกับพ่อครัวจางและผมก็หยิบส่วนที่แบ่งไว้ให้คนที่รอดู

“เชิญขอรับ”

“อืม กรอบและยิ่งอร่อยเมื่อทานโดนน้ำตาลด้านบน”

“ในเมื่อท่านพี่ลวี่หลงว่างวันนี้ไปร้านอิงเซียนเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่ขอรับ”

“ย่อมได้ แล้วเจ้าโหลพวกนี้”

“เป็นสินค้าที่จะนำไปด้วยขอรับ”

“ไข่ขาวนี่หรือ”

“ขอรับมันบำรุงหน้าได้ขอรับ”

“ข้าจะพยายามทำความเข้าใจนะ”

“ขอรับ” ไม่แปลกที่ผู้ชายจะไม่สนใจเรื่องแบบนี้ แปลว่าที่ลุงสนใจเรื่องแบบนี้ลุงแปลกเองสินะ

ร้านอิงเซียน

หลังจากนั้นเราสองคนไม่รวมเงาอีกสามที่ตามมาก็เดินทางมาถึงร้านอิงเซียนร้านที่เป็นการร่วมลงทุนของผมและเจ้าของหอฮวาหรือท่านพี่อิงฮวานั่นเองครับ ดูจากทางเข้ามาลูกค้าเป็นคุณหนูมากมายมาใช้บริการเยอะพอสมควรครับ อีกทั้งยังมีฮูหยินน้อยใหญ่มาเลือกซื้อสินค้าที่วางขายด้วย

สินค้าที่ขายที่ร้านนี้จะไม่เหมือนที่ร้านเซียนของผมครับ ที่ร้านผมจะขายน้ำมันนวด น้ำมันหอม ส่วนพวก สปาจะวางขายที่นี่เท่านั้นครับ เพราะยังไงกำไรผมก็ได้อยู่ดีแถมยังน่าเชื่อถือต่างจากการวางขายในร้านแบบนั้นด้วยเพราะเป็นแหล่งเสริมความงามเลยสามารถวางใจยามซื้อได้ครับ

“ขนมที่ส่งมาล่วงหน้ารสชาติดียิ่งนักน้องอวี้”

“ขอบคุณที่ชมขอรับท่านพี่อิงฮวา”

“ว่าแต่ผู้ที่มากับเจ้า เป็นผู้ใดกัน เจ้านอกใจจิวเฟยหรือ”

“กล่าวหนักไปแล้วขอรับท่านพี่อิงฮวา ท่านผู้นี้เป็นสหายของข้าขอรับ มีนามว่าลวี่หลง ท่านลวี่หลงขอรับนี่คือพี่สาวขอข้านามอิงฮวาขอรับ”

“ยินดีที่ได้พบแม่นางอิงฮวา ตอนนี้ข้าเป็นเพียงสหายของน้องอวี้เท่านั้นขอรับ”

“เป็นเช่นเดียวกับองค์ชายซางไป๋และท่านเสนาหวังใช่หรือไม่น้องอวี้”

“หยุดกล่าววาจาหยอกล้อข้าเสียทีขอรับท่านพี่อิงฮวา วันนี้ข้านำไข่ขาวมาด้วยขอรับ”

“หมดพอดีเชียว เด็กๆนำไปเก็บที่เสีย” มีคนงานมารับของไปก่อนที่ผมจะเดินตามพี่อิงฮวาเข้าไปที่ห้องทำงานเพื่อตรวจสอบบัญชีตามปกติ โดยที่พี่อิงฮวาไปนั่งซักถามท่านเทพมังกรไม่สนใจว่าผมจะทำอะไรเลย ความต้องการของสตรีในเรื่องที่อยากรู้นี่น่ากลัวไม่ว่าจะโลกไหนก็ตาม ลุงยืนยันครับ

หลังจากนั้นผมก็ออกมาเดินเที่ยวตลาดเพื่อซื้อของและดูสินค้าที่จะนำไปทำอาหารเพิ่มกับท่านเทพมังกร ดูเหมือนทั้งสามคนจะมีงานเยอะนะครับช่วงนี้ไม่ค่อยว่างมาเล่นกับผมสักเท่าไหร่ จะว่าไปลุงจะคิดถึงพวกนั้นทำไมกัน พอเลิกคิด

“คุณชายเซียน”

“หืม ข้าน้อยคาราวะท่านแม่ทัพ”

“อย่าได้มากพิธีเลยขอรับ ว่าแต่คุณชายมาทำสิ่งใดที่ตลาดกันยามนี้”

“มาเดินดูวัตถุดิบทำอาหารขอรับ แล้วท่านแม่ทัพเล่าขอรับมาทำสิ่งใดกัน”

“มารับฮูหยินขอรับนางมาที่ร้านอิงเซียน”

“ถ้าเช่นนั้นนำกระดาแผ่นนี้ให้แก่เด็กในร้านยามคิดเงินเพื่อรับของตอบแทนได้ขอรับ”

“ท่านเก็บไว้เถิดขอรับ ว่าแต่ท่านเข้าร้านนั้นจนได้ตั๋วลดราคาหรือขอรับ”

“ข้าเป็นเจ้าของอีกคนของร้านขอรับ”

“โอ้ เป็นคุณชายเซียนหรือขอรับ ข้าได้ยินแม่นางฮวาพูดถึงเจ้าของร้านหลายครา”

“ขอรับ เช่นนั้นรับไปเถิดขอรับ ถือว่าของตอบแทนที่ได้ร่วมงานกันขอรับท่านแม่ทัพ”

“ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ยามอู่ขอเชิญท่านมาทานอาหารที่จวนข้าเพื่อพูดคุยได้หรือไม่ขอรับ”

“ย่อมได้ขอรับ”

“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน ไว้พบกันยามอู่พรุ่งนี้ขอรับคุณชายเซียน”

“เช่นกันขอรับท่านแม่ทัพ”

ล่ำลากันก็แยกย้ายหวังว่าพรุ่งนี้จะได้ลูกค้าใหม่อย่างฮูหยินในจวนแม่ทัพทุกคนนะครับ ว่าแต่ท่านเทพมังกรไปเหมาซาลาเปาหมดร้านหรือยังครับ นานเกิ๊น

TBC.

เรื่องราวหลังครัวปิด

เซียนอวี้ : รอยยิ้มช่างเจิดจ้าจนใจสั่นไหวยิ่งนัก
ซีเอ๋อร์ : นายน้อยกล่าวสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ
เซียนอวี้ : ข้าเพียงนึกถึงกลอนที่เคยอ่านเท่านั้น
ลวี่หลง :  หวั่นไหวกับข้าแล้วใช่หรือไม่เด็กน้อย
เซียนอวี้ : ท่านคิดไปเองขอรับท่านเทพมังกร
ลวี่หลง : หากเป็นเพียงสิ่งที่ข้าคิดไปเอง เหตุใดเจ้าจึงหน้าแดงกัน
เซียนอวี้ : (ปิดหน้าหันหลังเดินหนีไม่ตอบอะไร)
ฮุ่ยเอิง : นี่ข้าได้ลูกเขยเพิ่มขึ้นมาอีกจริงสินะ


ลงเนื้อหา 18/9/61
ปรับปรุงเนื้อหา 30/5/62
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2019 16:00:22 โดย minibearsecret »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ลุงเก่งมาก............  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: 
ทำอาหารไทยกินเอง อย่างนี้อยู่ที่ไหนก็ได้ไม่ง้อใคร

ออฟไลน์ minibearsecret

  • ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ฉันก็ฟินเวลาผู้ชายได้กันนะ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
    • Minibear_Secret Writer
#15

จวนแม่ทัพแคว้นเซียน

ยามอู่(สิบเอ็ดโมงถึงเที่ยงห้าสิบเก้า)  ผมมาถึงจวนท่านแม่ทัพได้สักพักแล้วครับ ภายในกว้างสมฐานะ มีสวนหินสวนดอกไม้ ไหนจะบ่อน้ำอีก และตอนนี้ผมถูกพาชมรอบบ้านรอเวลาอาหารเที่ยงอยู่ครับ ผู้ร่วมชมวันนี้มีผม ท่านแม่ทัพและชายแปลกหน้าที่แนะนำตัวว่าแซ่หม่านามอิงเชียง มีหน้าที่การงานเป็นกุนซือประจำกองทัพแคว้นเซียน ถ้าเปรียบเป็นบริษัทในโลกก่อนที่ผมทำงานก็เหมือนฝ่ายวางแผนและพัฒนากลยุทธ์ละครับ

ตั้งแต่เดินมาผมจับสังเกตได้ว่าท่านกุนซือหม่าหันมามองผมจนเรียกว่าจ้องตลอดเวลาเลยครับ แถมผมลองตรวจกระแสปราณดูแล้วแข็งแกร่งน่าดูครับมีไอปราณสีขาวเข้มเหมือนท่านพี่กงหมินเลย สายตาที่ดูเจ้าแผนการตามหน้าที่ก็หน้ากลัวไม่น้อยกว่ากระแสปราณเลยทีเดียว

หลังจากที่ชมเสร็จก็มาพบฮูหยินที่คอยอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว มีลูกชายลูกสาวจากภรรยาเจ้าของจวนมานั่งกันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมไม่รู้ว่าการมากินข้าวครั้งนี้ท่านแม่ทัพจะให้เกียรติกันขนาดนี้นะครับ

“ข้าน้อยแซ่ฟางนามเซียนอวี้ เรียกข้าว่าเซียนอวี้เถิดขอรับฮูหยินทุกท่าน”ผมก้มหัวตามมารยาทระหว่างที่นั่งลงแล้วพูดคุย

“ยินดีที่ได้พบท่านเจ้าค่ะคุณชายเซียน ข้าน้อยต้องขอบคุณน้ำใจของท่านที่มอบตั๋วใบนั้นเป็นอย่างยิ่ง”

“มิได้ๆ ข้านับถือท่านแม่ทัพดั่งญาติมิตรเพียงแค่ตั๋วใบเดียวไม่มากเกินควรขอรับ”

“เป็นเด็กดีเสียจริง เช่นนั้นเชิญทานให้เต็มที่เถิด”

“ขอรับ”

“เรื่องตำราการรบที่คุณชายเซียนได้กล่าวไว้วันเดินทางกลับ ในเมื่อมาถึงจวนข้าแล้วอย่าได้ลืมหยิบกลับไปเสียเล่า”

“รบกวนท่านแม่ทัพแล้วขอรับ ข้าจะรีบคืนเมื่ออ่านจบนะขอรับ”

“อย่าได้เกรงใจ”

“ท่านชมชอบการอ่านตำราสงครามหรือท่านอ๋อง”

“เรียกข้าเซียนอวี้เถิดขอรับท่านกุนซือ อย่าได้เรียกตามที่องค์ฮ่องเต้กล่าวเลยขอรับ ข้ามิได้รับตำแหน่งใดๆ”

“ถ่อมตนเกินไปเสียแล้ว ในเมื่อองค์ฮ่องเต้ประสงค์เหตุใดท่านจึงขัดเล่า อีกอย่างท่านก็นับเป็นพี่น้องกับพระองค์แล้วมิใช่หรืออย่างไร”

“ถึงข้าน้อยจะนับเป็นพี่น้องกันจริงแต่ข้าที่ไม่มีสายเลือดมังกรย่อมไม่สมควรถูกเรียกขานว่าอ๋องอยู่ดี”

“เป็นเด็กดีเสียจริง น่าสนใจๆ”

“แล้วที่ท่านกล่าว ข้ามิได้ชมชอบตำราสงครามเพียงเท่านั้นสิ่งใดที่เป็นตำราข้าศึกษาทั้งหมดขอรับท่านกุนซือ”

“เช่นนั้นหลังจากนี้ไปหอตำรากับข้าดีหรือไม่ ข้าจะพาเจ้าไปดูตำราที่น่าสนใจ”

“ตำราอันใดหรือขอรับ”

“อย่างพวกการศึกสงคราม การวางแผนการรบ จำพวกที่เก็บในหอตำราหลวงที่มีเพียงขุนนางที่เกี่ยวข้องถึงเข้าได้อย่างไร”

“แล้วข้าจะเข้าได้หรือขอรับ ข้ามิได้เกี่ยวข้อง”

“เข้าได้ เชื่อข้าเถิดว่าเจ้าจะเข้าได้และข้าเป็นคนพาไปเสียอย่าง”

“เช่นนั้นรบกวนท่านแล้วขอรับท่านกุนซือ”

หลังจากที่ทานข้าวเสร็จก็ได้เวลาไปเยือนหอตำราหลวงแล้วครับ ผมกับท่านกุนซือหม่ามาพร้อมท่านแม่ทัพที่ถูกเรียกตัวเช่นกันให้เข้าวังเลยสบายไปครับ ถึงจะชอบอ่านหนังสือแต่ไม่ได้แปลว่าจะอยากอยู่ลำพังกับกุนซือหม่านะครับ สายตาที่มองยังไม่ลดเลยครับ ดูเหมือนท่านแม่ทัพจะมองออกนะครับ เห็นยิ้มแปลกๆมาทางผมด้วย

“หากเจ้าสนใจเล่มใดก็ขอยืมในนามข้าก็ได้”

“ขอบคุณท่านกุนซือมากขอรับ”

“มิเป็นไร” สายตาที่มองมาจนพ้นชั้นกั้นถึงหายไป เราแยกกันไปตามช่องที่สนใจแล้วนัดกันไปเจอที่โต๊ะหนังสืออีกหนึ่งสองยามเพราะหมดเวลาหอตำราหลวงแล้ว

ผมเดินดูหนังสือที่สนใจแล้วหยิบติดมือออกมาด้วยจนมาถึงชั้นที่ดูจะแปลกกว่าชั้นอื่นตรงปกหนังสือ ทุกเล่มจะถูกทำด้วยกระดาษแข็งแต่เล่มนี้ถูกทำด้วยหนัง ผมหันมองรอบตัวก่อนจะหยิบหนังสือที่ดึงดูดใจลงมาแล้วทิ้งตัวนั่งอ่าน เพราะมุมนี้ไม่มีคนที่จะเดินผ่านมาเลย

หน้าปกเขียนไว้ว่าราชวงศ์หลง สมัยฮ่องเต้หลงจินซี คุ้นๆว่าเป็นพระบิดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนะครับ ลองเปิดดูก็เป็นบันทึกประวัติของพระองค์กับเหล่าข้าราชกาลในยุคนั้น หืม ตระกูลหวังของท่านพี่กงหมิน อยู่เป็นที่ปรึกษามาตั้งแต่รุ่นก่อนๆแล้วนะครับ

อ่า ประวัติขององค์ไทเฮาในสมัยนั้นที่ยังคงอยู่รั้งตำแหน่งฮองเฮา พระนามเดิมคืออิ๋นเหมย จากประวัติเหมือนว่าจะเป็นบุตรสาวของอดีตอ๋องที่ออกจากตำแหน่งไปเพราะหลี้ภัยการเมือง ในยุคก่อนผมเคยได้ยินในคลาสประวัติศาสตร์ว่าด้วยเรื่องการบันทึกประวัติ

บางครั้งเป็นเจ้าของเรื่องที่บันทึกเองก็มี ดูจากลายมือที่แตกต่างกัน ผมว่าพระองค์น่าจะเป็นคนจัดทำประวัติของตัวเอง เพราะจากเนื้อหาที่อ่านมันดูซับซ้อนเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟังแล้วบันทึกได้

สรุปย่อคือพระบิดาของฮองเฮาอิ๋นเหมยในตอนนั้นคือพระอนุชาของพระบิดาฮ่องเต้หลงจินซีที่มีพระนามว่าหลงจินเทียน ในรัชกาลของฮ่องเต้หลงจินเหอหรือตาของฮองเฮาอิ๋นเหมยในช่วงนั้นมีองค์ชายสองพระองค์ที่เกิดมา คนพี่หลงจินเทียนได้เป็นรัชทายาทส่วนคนน้องหลงเยี่ยกลัวว่าจะมาคานอำนาจกันจนเกิดเรื่องเลยเสียสละตัวเองไปอยู่กับภรรยานอกวังแล้วเปลี่ยนไปใช้แซ่ของภรรยาแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีตำแหน่งอ๋องติดอยู่เสมอ

หลังจากนั้นเมื่อเปลี่ยนรัชสมัยอดีตรัชทายาทก็ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้และมีบุตรชายหนึ่งคนหรือก็คือฮ่องเต้หลงจินซีและได้มาพบรักกับฮองเฮาโดยที่ไม่รู้ว่าทั้งคู่เป็นญาติกัน แต่เพราะว่ารักมากเลยไม่สามารถเลิกกันได้

และตามกฎแล้วเป็นการรักษาสายเลือดเช่นกันเลยไม่มีใครคัดค้านเมื่อรู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิดฮองเฮา และทั้งคู่ให้กำเนิดองค์ชายสามพระองค์คนโตคือฮ่องเต้หลงชิวเยี่ยในปัจจุบัน คนต่อมาเป็นอ๋องที่รู้จักกันในนามหลงหยงจินและคนสุดท้ายได้ตำแหน่งอ๋องแต่ไม่ได้อยู่ในวังในปัจจุบัน

เท่ากับว่าพระบิดาและพระมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นญาติกันสินะ แล้วองค์ชายสามที่ได้ตำแหน่งอ๋องหายไปไหนกันทำไมถึงไม่มีการพูดถึงกันละ แล้วทำไมผมถึงติดใจแซ่ขององค์ไทเฮาด้วยนะ แซ่อิ๋นทำไมถึงคุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินหรือเห็นมาก่อนกัน อามีหมอกมาบังอีกแล้ว เดี๋ยวนะหมอกบัง มันเกิดเฉพาะเรื่องของแม่ของร่างนี้ อย่าบอกว่าเกี่ยวข้องกันนะ

ท่านพี่กงหมินเป็นเพื่อนของฮ่องเต้มานานอาจจะให้คำตอบเรื่องขององค์ชายสามที่หายไปก็ได้นะครับ ไว้มีโอกาสต้องถามดูแล้ว สายตาของฮ่องเต้มันรบกวนจิตใจมานานเกินพอแล้วไหนจะท่าทางของท่านพ่อร่างนี้ยามพบเจอกันวันนั้นอีก

“มาหลบอยู่ที่นี่เอง ข้าตามหาเสียตั้งนาน”

“อ้ะ ขออภัยขอรับข้าน้อยอ่านตำราจนลืมดูเวลาไปเสียได้”

“มิใช่ข้าเพียงมาเพื่อบอกว่าข้ามีธุระหากเจ้าเลือกเสร็จแล้วจะยืมก็รีบเถิด ข้าขออภัยที่ต้องรีบไป”

“มิได้ขอรับ เพียงเท่านี้ข้าก็รบกวนท่านมากแล้ว เช่นนั้นข้าขอยืมเพียงเท่านี้ขอรับ”

“แล้วเล่มที่ถืออยู่เล่า”

“ข้าอ่านจบแล้วขอรับ”

“เช่นนั้นตามมาเถิดข้าจะนำไปก่อน”

“ขอรับ รบกวนด้วยขอรับ” ผมมองตามหลังกุนซือที่หยิบหนังสือที่กองไว้ของผมไปด้วยก่อนจะรีบเก็บเจ้าหนังสือที่อ่านไว้ที่เดิมก่อนจะตามหลังไป

เมื่อจัดการยืมเสร็จกุนซือหม่าก็ให้รถม้ามาส่งผมที่ร้านเซียน ผมจัดการบัญชีร้านก่อนจะขี่ม้ากลับร้านอาหารฟางเล่าเรื่องกุนซือหม่าให้ท่านพ่อฟังแล้วก็เรื่องที่ได้หนังสือมาจากหอตำราหลวงด้วย

ท่านพ่อไม่ได้ถามอะไรมากทุกอย่างดูปกติ แต่พอผมบอกว่าเจอหนังสือประวัติรัชกาลของฮ่องเต้หลงจินซีด้วยท่านพ่อก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป แม้จะนิดเดียวและรวดเร็วแต่ผมก็จับสังเกตได้ ผมบอกแค่ว่าเจอแต่ไม่กล้าหยิบมาอ่าน ท่านก็ไม่พูดต่อ เปลี่ยนเรื่องคุยไปแทน

เมื่อกลับมาบนห้องผมเก็บหนังสือที่หยิบมาด้วยสองเล่มจากร้านเซียนเข้าที่เพื่อรออ่านเวลาว่าง พรุ่งนี้ผมไม่ได้เข้าร้านเซียนไปตรวจบัญชีแค่ตอนเย็นเท่านั้นเลยว่างที่จะอ่านได้ และที่ไม่ลืมคือข้อสงสัยต่างๆที่ถูกนำมาจดรวมกันไว้เพื่อกันลืม ดูเหมือนจะมีเรื่องราวในม่านหมอกมากกว่าที่ควรรู้แล้วครับ ถ้าไขเรื่องนี้ได้ ผมอาจจะเข้าใจว่ามาที่นี่เพื่ออะไรก็ได้นะครับ

เช้าวันนี้ผมเตรียมทำมันรังนกครับ เป็นขนมทานเล่นได้แถมยังสามารถเก็บไว้ได้นานพอสมควรอีกครับ ของที่ใช้ก็มีมันเทศกับมันม่วงที่ผมพึ่งจะเจอไปเมื่อวันที่ไปเดินตลาด ต่อมาน้ำตาลปี๊บ น้ำมันและสุดท้ายเกลือครับ

ก่อนอื่นก็ปอกมันทั้งสองชนิดก่อนแล้วเอามาหั่นเป็นเส้นพอดีๆไม่สั้นเกินไป เสร็จแล้วก็เทน้ำมันใส่กระทะ ใส่เกลือพอน้ำมันร้อนก็ใส่มันแล้วตามด้วยน้ำตาลปี๊บพอสุกก็ตักขึ้นมาพักแล้วทำมันม่วงต่อ พอเริ่มเย็นลงก็เอามันที่มันจับเป็นกลมวางเรียงบนถาดพอเย็นสนิทก็ฝากซีเอ๋อร์จัดใส่ถุงตามที่เคยทำ

“นายน้อยขอรับแล้วเผือกนี่ต้องทำเช่นไรต่อขอรับ”

“ขอบใจเจ้ามาเสี่ยวเปา วันนี้ข้าจะทำเผือกฉาบให้พวกเจ้าได้ลอง”

ผมรับเผือกที่เสี่ยวเปาหั่นบางเตรียมไว้ก่อนจะเอาไปทอดในน้ำมันแล้วใส่ใบเตยที่ซีเอ๋อร์ล้างไว้ให้พอเผือกสุกก็เอาออกมาพักไว้ก่อนจะเปลี่ยนกระทะใส่น้ำตาลปี๊บเคี่ยวกับน้ำเปล่าและน้ำตาลทรายแล้วใส่ใบเตยเพื่อเพิ่มความหอม เคี่ยวพอน้ำตาลละลายตักใบเตยออกแล้วใส่งาดำกับงาขาวที่ได้จากแคว้นหยุนของท่านพี่ซางไป๋ลงไป ขั้นสุดท้ายก็เอาเผือกที่ทอดแล้วลงไปคลุกจนทั่วตักขึ้นใส่จานแยกแล้วปล่อยเป็นหน้าที่ซีเอ๋อร์จัดการต่อ

“ลองทานดูรสชาติเป็นเช่นไร”

“กรอบหวานหอมใบเตยด้วยเจ้าค่ะนายน้อย” เสี่ยวเปาก็พยักหน้าเพราะยังกินไม่เสร็จ ทั้งสองคนดูมีความสุขกับของกินทุกอย่างที่ผมทำทุกครั้งเลยครับ

“เสี่ยวเปา เมื่อเช้ามืดเห็นหอบลังสิ่งใดเข้ามากันเยอะแยะเชียว” ผมที่นั่งมองน้ำตาลปี๊บอยู่ก็นึกถึงสิ่งที่คนงานชายยกมาเมื่อตอนที่ตื่น

“มีชาวบ้านนำผลหมางกั่วมาขายขอรับ เพราะเดือดร้อน นายท่านเลยรับซื้อไว้แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดดี”

“หมางกั่ว ขอข้าดูหน่อย” เสี่ยวเปาเดินไปหยิบผลไม้ชื่อแปลกมาจากลังมาให้ผม อ๋อหมางกั่ว มะม่วง หมางกั่ว แมงโก้ เป็นการผันเสียงที่ดี ดูเหมือนจะเป็นมะม่วงแรดด้วยนะครับ

“ถ้าเช่นนั้นวันนี้เราจะมีอาหารทานเล่นขึ้นโต๊ะอีกชนิด”

“สิ่งใดกันขอรับ”

“น้ำปลาหวาน”

“น้ำปลาหวาน คือสิ่งใดหรือเจ้าค่ะ”

“เป็นสิ่งที่ไว้ทานคู่กับหมางกั่วอย่างไรเล่า เสี่ยวเปาเจ้าเตรียมของตามที่ข้าจะสั่งนะ ส่วนซีเอ๋อร์ให้คนงานหญิงที่ว่างสักสองคนมาช่วยกันปอกเปลือกหมางกั่วสักห้าสิบลูกนะ”

“เจ้าค่ะ”รับคำแล้วเดินออกไปทันที

“เสี่ยวเปาข้าต้องการน้ำเปล่า น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ กะปิ กุ้งแห้ง หอมแดง พริกสดแดง พริกแห้ง จัดหาให้ข้าหน่อย”

“ขอรับ”

ระหว่างที่รอของจากเสี่ยวเปาก็นึกขึ้นได้ว่ามะม่วงมีเยอะมากแถมเก็บได้ไม่นานด้วย เอามาดองดีไหมแล้วเอาไปขายที่ร้านเซียนแทน ขนมกับของกินเล่นในร้านอาหารฟางจะจัดขายเป็นชุดเท่านั้นถ้าต้องการเป็นอย่างเดียวต้องไปหาซื้อที่ร้านเซียนที่จะมีคนมารับไปวางขายเสมอ

“มาแล้วขอรับนายน้อย”

“ขอบใจพวกเจ้ามาก”

ผมขอบใจคนงานที่มาช่วยยกของก่อนจะตรวจดูของว่าครบไหม ที่โลกนี้กะปิเป็นสินค้านำเข้ามาจากแคว้นเฟยครับเหมือนกับของเค็มอย่างเกลือน้ำปลาก็มาจากทางแคว้นเฟยเหมือนกัน หลังจากที่ประกาศการเข้าเมืองและการค้า สินค้าจากต่างแคว้นก็มีมากขึ้น สบายไปอีกครับลุง

ผมเริ่มจากการซอยพริกแดงสดกับหอยแดงไว้ก่อนครับ จากนั้นเทน้ำปลาใส่กระทะตั้งด้วยไฟแรงไล่กลิ่นคาวสักประมาณห้านาที ก่อนจะยกออกมาพักแล้วใส่น้ำตาลปี๊บน้ำเปล่าและกะปิแล้วเอาตั้งไฟใหม่แต่เป็นไฟอ่อนแทน

คนไปเรื่อยๆจนเข้ากันและน้ำตาลปี๊บละลายเคี่ยวจนเริ่มใส เสร็จแล้วใส่พริกแห้งกับกุ้งแห้งส่วนหนึ่งที่ให้เสี่ยวเปาตำไว้ลงไป แล้วใส่หอมแดงกับพริกที่ซอยไว้คนให้เข้ากันแล้วยกออกจากไฟ พักไว้จนเย็นพอดีกับที่ซีเอ๋อร์นำมะม่วงที่ปอกเสร็จแล้วเข้ามา ผมจัดการหั่นเป็นชิ้นพอดีคำแล้วแบ่งใส่จานส่วนหนึ่งเท่านั้น

“ลองทานดู”

“หวา เปรี้ยวมากเลยเจ้าค่ะ แต่พอทานกับน้ำปลาหวานของนายน้อย รสชาติดีมากเจ้าค่ะ”

“เช่นกันขอรับนายน้อย อร่อยมากแบบที่นายน้อยสอนเลยขอรับ”

“เก่งมากเสี่ยวเปา ฝากจัดการที่เหลือด้วยนะซีเอ๋อร์ ข้าต้องไปดูบัญชีต่อ”

“เจ้าค่ะนายน้อย”

ผมเดินออกจากครัวแล้วเอาของที่ทำวันนี้ไปให้ท่านพ่อทานดู ยิ่งมะม่วงน้ำปลาหวานพอยกออกไปให้ลูกค้าที่มาได้ลองต่างติดใจของซื้อกลับกันไปที่บ้านตัวเองเกือบทุกคน ดีนะครับว่าผมเคี่ยวน้ำปลาหวานไว้เป็นหม้อ นอกจากจะฉลาดแล้วยังเป็นคนดีอีกนะครับลุงเนี่ย

TBC.

เรื่องราวหลังครัวปิด

เซียนอวี้ : ไม่ต้องชมลุงกันนะ ลุงรู้ตัวว่าลุงเก่ง
เสี่ยวเปา : เป็นคำใหม่หรือขอรับนายน้อย
เซียนอวี้ : เป็นเด็กดีมากเลยนะเสี่ยวเปาของข้า (กอดหมับ)
ฮุ่ยเอิง : เจ้านอกใจสามีเจ้าหรือ
เซียนอวี้ : ท่านพ่อกล่าวสิ่งใดกันขอรับ
H : จ้องมองเสี่ยวเปา
เสี่ยวเปา : เหตุใดข้าจึงรู้สึกขนลุกเช่นนี้กันขอรับ

ลงเนื้อหา 20/9/61
ปรับปรุงเนื้อหา 30/5/62

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2019 16:23:47 โดย minibearsecret »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ minibearsecret

  • ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ฉันก็ฟินเวลาผู้ชายได้กันนะ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
    • Minibear_Secret Writer
#16

หลังจากนั้นผมก็นั่งตรวจบัญชีของร้านอาหารฟางไป มีเดินไปคิดเงินบ้างถ้าคนในร้านมากจนดูแลไม่ทัน ยิ่งช่วงเที่ยงคนยิ่งหลั่งไหลเข้ามาเหมือนโลกก่อนที่คนเลิกงานพักเที่ยงพอดีเลยครับ

อืมจะว่าไปตงิดใจมาสักพักและครับเหมือนจะมีคนจ้องแต่พอหันมองก็ไม่มี เลยหันกลับมาแต่ตั้งสมาธิหาสิ่งมีชีวิตที่เป็นเป้าหมาย ทำท่าก้มตรวจบัญชีแล้วหันไปทางทิศที่รู้สึกได้ก็ทันกับที่อีกฝ่ายก้มหลบไม่ทันพอดี กระแสปราณสีฟ้าขาวเข้ม สีฟ้าวิชาการรักษา เป็นหมอที่มีวิชายุทธ์เหมือนท่านพี่กงหมิน ดูเหมือนจะเข้ม กว่าทุกคนที่เคยเจอมา

หลังจากที่กลับมาครั้งก่อนผมได้อ่านตำราว่าด้วยเรื่องขั้นพลังของโลกนี้ สีทองคือราชวงศ์ สีฟ้าวิชาการแพทย์ สีขาวสายธรรมะ สีดำสายมาร สีม่วงผู้ใช้พิษ ส่วนระดับขั้นมีตั้งแต่หนึ่งถึงสิบ จากที่ดูและอ่านมาเหมือนว่าพวกท่านพี่กงหมินกับท่านพี่เฟยหลงจะอยุ่ที่ขั้นเก้า ท่านพี่ซางไป๋กับท่านกุนซือหม่าขั้นแปด ส่วนคนที่แอบมองผมน่าจะอยู่ขั้นสุดท้ายขั้นสิบ แล้วท่านเทพมังกรไปไหน อันนี้ไม่สามารถจัดอยู่ในพลังมนุษย์ได้ครับ

แต่ถ้าจะถามว่าวัดยังไงพวกคุณรู้จักสเปกตรัมไหมครับ ผมวิเคราะห์แยกระดับพลังจากวิธีการคล้ายกัน สเปกตรัมแบ่งแยกสีจากคลื่นความถี่ของแสง ผมก็แบ่งแยกชั้นจากการมองเห็นความถี่ของระดับกระแสปราณเหมือนกันครับ มันอาจจะไม่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นแต่ก็สามารถจะวิเคราะห์รูปแบบได้เหมือนกันครับ

ผมวางงานที่ทำอยู่เพื่อลุกไปนั่งตรงข้ามกับคนที่แอบมองผมมานานสองนาน หน้าตาปานกลางแต่ดูสุขมน่าเข้าหา ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงอยากพูดคุยให้ได้เหมือนกัน ลุงไม่ได้หมายความว่าถูกใจนะ อย่ากล่าวหากัน

“สนใจสิ่งใดในตัวข้ากันถึงมองกันนานสองนาน”

“เอ่อ ขออภัยคุณชายข้าเพียงแต่สงสัย ขออภัยที่เสียมารยาทกับท่านด้วย”

“ข้าไม่ได้มาเพื่อตำหนิท่าน ข้ามาเพื่อพูดคุย อย่าได้กล่าววาจาเช่นนั้น ข้าแซ่ฟางนามเซียนอวี้เป็นบุตรชายเจ้าของร้านอาหารนี้ ท่านเล่า”

“ข้าแซ่จางนามอวิ๋นอี้ เป็นจอมยุทธ์พเนจรจากแคว้นเฟยเดินทางรักษาผู้คนจนมาถึงแคว้นเซียนแห่งนี้”

“ดูเหมือนว่าท่านจอมยุทธ์จางจะมิใช่หมอ”

“ใช่ ข้ามิได้เป็นหมอ บิดาของข้าต่างหากเล่าที่เป็น แต่ข้าก็พอมีความรู้อยู่บ้าง หลังจากที่ครอบครัวของข้าสิ้นลมกันหมดตัวข้าที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลยออกเดินทางใช้วิชาความรู้จากที่ท่านพ่อเคยสอนในวัยเด็กรักษาชาวบ้านแลกเงินประทังชีวิต มาวันนี้ข้าได้ยินชื่อเสียงของร้านอาหารฟางเลยถือโอกาสแวะพักจึงพบเจอคุณชายฟาง”

 ดูเหมือนจะเป็นคนที่ซื่อมากกว่าที่คิดครับ บอกซะหมดเปลือกแบบนี้ โดนหลอกง่ายนะครับคนแบบนี้ แต่รู้ไหมลุงชอบแกล้งคนแบบนี้ที่สุด หึหึ ตบปากสามครั้งคนที่ว่าลุงนิสัยไม่ดี

“เรียกข้าว่าน้องอวี้เถิดท่านพี่อวิ๋นอวี้”

“ชะ เช่นนั้นน้องอวี้” หน้าเน้อแดงหมดแล้วครับ เก็บอาการไม่เป็นขนาดนั้นเลยรึไง

“ว่าแต่ท่านสนใจข้าหรือ”

“มะ ไม่ใช่เช่นนั้นข้ามิได้คิดล่วงเกินเจ้านะ”

“ข้าหมายถึงท่านสนใจอะไรในตัวข้าท่านพี่อวิ๋นอวี้ ข้ายังมิได้กล่าวว่าท่านชมชอบข้าในทางนั้นเสียหน่อย”

“คือ...” ไปต่อไม่ถูกเลยครับ นั่งอึ้งเอ๋อไปแล้วครับ นี่เป็นจอมยุทธ์จริงไหมครับ ถ้าไม่ตรวจกระแสปราณก็ไม่เชื่อนะครับ

“ดูเหมือนข้าจะแกล้งท่านหนักมือไปเสียแล้ว เอาเถิด หลังจากนี้ก็อย่าหนีหายไปเสียเล่า ว่าแต่ท่านพี่อวิ๋นอวี้มีที่พักหรือยังขอรับ”

“ยังไม่มี ข้าเดินทางมาถึงเมื่อยามซื่อยังไม่ได้หา”

“มานอนที่ห้องข้าไหมขอรับ” ผมเอื้อมไปจับมือชายที่นั่งตรงข้าม มือสั่นมากครับ ดูเหมือนจะระเบิดแล้ว

“อึก มะ ไม่รบกวนเจ้าดีกว่า”

“ท่านคิดไปถึงไหนกัน ข้ามีร้านอีกแห่งของข้า ที่นั้นมีจวนอีกหลัง ข้ามิได้พักเลยจะยกห้องนอนที่นั้นให้ท่านชั่วคราว”

“อ่า เจ้าเป็นมารน้อยจำแลงมาหรือไม่ เหตุใดจึงชมชอบการกลั่นแกล้งข้าคนนี้นัก”

“เสียมารยาทแล้วแต่ข้าถูกชะตากับท่านจริงๆนี่ขอรับ”

“รู้หรือไม่ว่าข้าก็ถูกชะตาตั้งแต่พบหน้าเจ้าเช่นกัน แต่สิ่งที่ดึงดูดข้าให้มองคือความขัดแย้งในตัวตนของเจ้าน้องอวี้” รอบนี้กลายเป็นผมที่เอ๋อบ้าง พูดแบบนั้นด้วยสีหน้าจริงจังมันกร้าวใจไปแล้วครับแต่ก็เอะใจกับคำพูดอยู่บ้าง

“ความขัดแย้งในตัวข้าหรือขอรับ”

“ใช่ จากที่มองร่างกายของเจ้าดูอ่อนแรงเหมือนชาวบ้านธรรมดา แต่จากสัมผัสที่ผ่านมาตลอดการเดินทางข้ากลับรู้สึกถึงพลังแปลกๆจากตัวเจ้า เจ้าฝึกยุทธ์หรือ”

“ไม่ขอรับ ร่างกายของข้าอ่อนแอตั้งแต่ยังเล็กไม่สามารถฝึกสิ่งใดได้ข้าเลยเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเพียงเท่านั้น”

มันคือเรื่องจริงครับที่ร่างกายนี้ไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้ แต่ว่าลองหรือยังเคยครับช่วงก่อนหน้านี้แต่เพราะวิเคราะห์ถึงผลลัพธ์เลยหยุดไปก่อน ไม่เคยลองจริงๆจังๆ แต่เพราะร่างกายนี้เป็นการแลกเปลี่ยนพลังกับการมองเห็นเลยคิดได้แค่ว่าไม่สามารถทำได้แน่นอน

“หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดข้าจึงสัมผัสมันได้กัน แม้จะไม่ตลอดก็ตาม แปลกมาก เป็นพลังที่ไม่เคยพบมาก่อนด้วยซ้ำ”

“เช่นนั้นท่านก็ต้องอยู่ใกล้ข้านะขอรับ จะได้เข้าใจมันได้”

“เจ้ามันเป็นมารน้อยเสียจริง” ไอ้การด่าแล้วเขินนี่ลุงเรียกว่าซึนนะครับ โถพ่อคนซึนของลุง

“ข้ามารบกวนเจ้าหรือไม่คุณชายเซียน” เสียงทักจากด้านหลังเรียกสายตาผมให้หันไปมอง

“คาราวะท่านกุนซือ มาได้อย่างไรกันขอรับ”

“ยามเฉินข้าได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรงนึกเรื่องตำราการปกครองที่พูดคุยกับเจ้าได้เลยเข้าหอตำราหลวงหยิบยืมมาให้แก่เจ้า รับไว้เถิด” พูดอย่างยาวสรุปคือเอาหนังสือมาฝาก แล้วสายตานี่คืออะไร อย่างมาตกหลุมรักกันนะครับ แค่นี้ก็เกินพอแล้ว

“ขอบคุณท่านกุนซือยิ่งนักที่นึกถึงคำข้าน้อย เช่นนั้นท่านมีเรื่องอันใดต้องไปอีกหรือไม่”

“วันนี้ข้าว่างยิ่งนัก”

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาท่านทั้งสองไปชมห้องตำราที่ร้านของข้าดีหรือไม่”

“ข้าหรือ” ชายที่นั่งมองผมกับท่นกุนซือพูดคุยกันถามขึ้น

“ใช่ ท่านพี่อวิ๋นอี้ควรไปดูที่พักนะขอรับ”

“ท่านคือจอมยุทธ์จางใช่หรือไม่” อยู่ดีๆก็หันไปคุยกันซะงั้น

“ขอรับ ท่านคือกุนซือหม่าหรือขอรับ”

“เป็นเช่นนั้น ได้พบกันอีกครั้งถือว่าเป็นเพราะโชคชะตา ว่าแต่ท่านรู้จักคุณชายเซียนเช่นกันหรือ”

“ขอรับ ข้าพึ่งได้พบปะพูดคุยไม่นานเกิดความสนใจและนับเป็นพี่น้องกัน”

“เสน่ห์แรงยิ่งนักคุณชายเซียน ข้าเองก็คงตกเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน”

“หากจะทำความรู้จักกันก็เชิญพวกท่านตามสบายอย่างได้ดึงข้าไปเกี่ยวเลยขอรับ” ไอ้คำพูดที่เหมือนสารภาพรักนั้นมันอะไรกัน ลุงไม่ได้มาเพื่อสร้างฮาเร็มที่โลกนี้นะ

“เรายังมีเวลาพูดคุยกันอีกมาก เชิญคุณชายเซียนนำทางเถิด”

“เช่นนั้นตามข้าน้อยมาเถิดขอรับ” ระหว่างที่รอก็เดินไปฝากร้านกับเสี่ยวเปาและซีเอ๋อร์บอกเวลาการกลับร้านอีกครั้ง แล้วนำทั้งสองคนที่ยังพูดคุยกันไม่จบไปที่ร้านเซียนของผม

ร้านเซียน

หลังจากที่มาถึงก็ตอบคำถามท่านตาหลิวก่อนแล้วพาเสี่ยวมู่มาแนะนำกับทั้งสองคน เพราะอีกสี่คนนั้นเสี่ยวมู่รู้จักดีอยู่แล้ว เดินไม่นานก็ถึงห้องที่ผมแบ่งไว้เก็บหนังสือที่อ่านแล้ว มีชั้นอยู่หลายชั้นพอสมควรแต่ก็อัดแน่นไปด้วยหนังสือที่ซื้อมาเหมือนกัน

“ใฝ่รู้ยิ่งนัก ไม่แปลกที่จะเก่งกาจจนเลื่องลือ”

“กล่าวหนักไปแล้วขอรับท่านกุนซือ”

“ดูเหมือนเราทั้งสองจะมีความชอบที่คล้ายกันเรียกข้าพี่อิงเชียงเถิดน้องอวี้”

“อ่า ขอรับท่านพี่อิงเชียง” จนได้ ดูเหมือนว่าในตอนนี้ลุงจะมีพี่ชายหกคนแล้วครับและดูเหมือนว่าจะเป็นพี่ชายที่คิดเกินพี่น้องด้วยทั้งนั้น

เดินดูจนพอใจก็เข้ามานั่งที่ศาลากลางน้ำที่ขุดใหม่เพราะของเดิมเล็กเกินไป จากที่มีโต๊ะตรงกลางก็ยกออกแล้วปูเสื่อวาสงเบาะนั่งแทน ผมว่าสบายกว่านั่งปวดหลังตั้งเยอะ มีโต๊ะวางกาน้ำชาและขนมขนาดกลางอยู่อีกด้านของศาลาหลังนี้ มีหมอนที่วานสาวใช้หยิบมาเตรียมไว้ก่อนหน้าเพื่อวางมือ

“สงบยิ่งนัก เหมาะจะเป็นที่พักเรื่องเครียดจากงาน”

“นั่นคือที่มาของศาลาหลังนี้ขอรับท่านพี่อวิ๋นอี้”

“นายน้อยขอรับ” อยู่ดีๆก็มีชายชุดดำเดินเข้ามาทรุดตัวอยู่ข้างๆ

“อ่า ว่าอย่างไรกัน ช้าก่อนท่านพี่อวิ๋นอี้ นี่คือคนของข้าเองขอรับ” ถ้าห้ามช้ามีหวังเลือดแน่ครับ รู้ว่าเก่งแต่ฟังก่อนสิครับ

“เหตุใดพวกเราจึงไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของนักรบเงาพวกนี้”

“นักรบเงาหรือขอรับท่านพี่อิงเชียง”

“การแต่งกายเช่นนี้เป็นนักรบเงามิผิดแน่ เหตุใดเจ้าจึงมีนักรบเงาข้างกาย”

“จะว่าเป็นคนของข้าก็มิถูก พวกเขาเป็นคนที่มาคอยดูแลข้ามากกว่าขอรับ”

“พวกเขา อย่างไรกันน้องอวี้”

“คือ เจ้านายของพวกเขาเป็นคนส่งพวกเขามาคอยดูแลข้าเองขอรับ มีมากกว่าหนึ่งดั่งที่เห็น”

“เอาเถิดดูเหมือนเขาจะมีเรื่องมาแจ้งเจ้า”

“ว่าแต่มีเรื่องอันใดกันขอรับ”

“นายท่านทั้งสามกำลังเดินทางมาที่แห่งนี้ขอรับ มีเรื่องต้องการคุยกับนายน้อย”

“เพราะพวกเขาใช่หรือไม่”

“ขอรับ”

“ขอบคุณท่านมากที่มาแจ้งข้าก่อน”

“ขอรับ” ยังกับผี พูดจบก็หายไปเลย ยิ่งกว่าวิชานินจาที่เคยอ่านมาอีกครับ

“ฝีมือสูงส่ง ผู้เป็นนายย่อมมิใช่คนธรรมดา”

“ดั่งเช่นที่ท่านพี่อวิ๋นอี้กล่าว นักรบเงาผู้นั้นเป็นคนของท่านพี่กงหมิน อัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นเซียนขอรับ”

“โอ้ เช่นนั้นตัวข้าก็จักได้พบท่านเสนาหวังตัวจริงเสียแล้วกระมัง”

“ขอรับ ดูเหมือนนักรบเงาจะรายงานเรื่องของพวกท่านไปเลยเร่งมาที่แห่งนี้”

“ข้ามิเข้าใจในคำกล่าวของเจ้าน้องอวี้”  ทั้งเสียงและสีหน้ายังคงความสงสัยตามเดิมของท่านพี่อวิ๋นอี้

“แต่ข้าเข้าใจดีอย่างยิ่ง” แต่ไม่เหมือนท่านกุนซือหม่าที่คงจะเข้าใจง่ายกว่าเป็นไหนๆ

ไม่นานทั้งสามคนก็มาพ่วงท่านเทพมังกรที่หายหน้าไปด้วยอีกคน ช่วงนี้งานยุ่งกันทั้งคนทั้งเทพ แต่ยังจะมีเวลามาสนใจเรื่องของการพบเจอคนอื่นของลุงอีกนะ สายดีเกินไปแล้ว นี่พี่น้องหรือภรรยาจะมาคอยหวงอะไรขนาดนี้กัน ใครบอกภรรยาลุงจะงอน

“คาราวะท่านพี่ทั้งสี่ขอรับ” ทำความเคารพตามธรรมเนียมไปครับ เพื่อความสบายใจของทุกคน แฮร่

“ข้าคิดถึงเจ้ามากเลยรู้หรือไม่น้องวี้คนดี”

“เจอหน้าข้าคราใดถึงชมชอบกินเต้าหู้ข้าเสียจริงท่านพี่ซางไป๋” ดูเอาเถอะน้อยหน้าใครที่ไหน เจอหน้ากันทีไรเดี๋ยวกอดเดี๋ยวลูบไปทั่วทุกที

“ก็ข้าชมชอบเต้าหู้เจ้านี่น้องรักของพี่” ผมดันตัวท่านพี่ซางไป๋ออกก่อนจะรีบมาหลบหลังท่านพี่อวิ๋นอี้แทน

“คนพวกนี้คือผู้ใดกันเหตุใดถึงคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งนัก”

“บุรุษชุดขาวผู้นั้นมีนามว่าท่านพี่ซางไป๋ขอรับ ต่อมาชุดดำนามท่านพี่เฟยหลง ชุดสีเขียว นามท่านพี่ลวี่หลงและตรงหน้าท่านคือท่านพี่กงหมินขอรับ”

“ยินดีที่ได้พบพวกท่านข้าแซ่จางนามอวิ๋นอี้ เป็นจอมยุทธ์พเนจร ปีนี้ก็สามสิบปีแล้ว”

“จอมยุทธ์จางนี่เอง ข้าก็คุ้นหน้าแต่ว่านึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใดกัน”

“อ่า เป็นเกียรติที่ท่านประมุขพรรคเมฆาทมิฬจำข้าได้ ครั้งก่อนที่ประมือกันยังมิรู้ผลดันโดนขัดเสียได้”

“เป็นเช่นนั้น ในเมื่อได้พานพบเห็นทีคงได้ประมือกันอีกครา”

“เช่นกันๆ”

“จอมยุทธ์จาง ท่านนี่เองข้าได้ยินนามของท่านในโลกยุทธ์ภพมานาน แล้วเหตุใดจึงปฏิเสธการเป็นจ้าวยุทธภพกันเล่า”

“ท่านเทพมังกรกล่าวเกินไป ข้ามิคิดว่าจะได้เจอท่านที่โลกมนุษย์เสียแล้ว”

คืออะไรกันครับพูดคุยเหมือนรู้จักกันมานานแบบนี้ ไหนจะท่านกุนซือที่หันไปคุยกับท่านพี่ซางไป๋เป็นเรื่องเป็นราวไปแล้วเหมือนกัน เอาเถอะดูเหมือนว่าจะไม่ต้องแนะนำให้มากความละครับ ผมถอยออกมาเพื่อไปหยิบขนมกับมะม่วงมากินรอพวกเขาทั้งหกคนทำความรู้จักแทนละกันครับ

ออกมาไม่นานพอกลับมากลับเจอแต่ใบหน้าเหรอหราของท่านพี่อวิ๋นอี้ที่มองมา คนอื่นก็เอาแต่นั่งขำอะไรกันไม่รู้ จะว่าไปท่านพี่อวิ๋นอี้อายุมากที่สุดในนี้เลยนี่ครับ (เว้นท่านเทพมังกรไว้นะครับเพราะไม่ใช่มนุษย์) แถมยังดูอ่อนต่อโลกในเรื่องความรักด้วย น่าแกล้งจริงๆนั่นแหละลุงยืนยัน ตบปากตัวเองอีกครั้งใครที่ว่าลุงนิสัยไม่ดี

TBC.

เรื่องราวหลังครัวปิด
เซียนอวี้ : ดูเหมือนลุงกำลังเปิดฮาเร็มโดยไม่รู้ตัวเลย
ฮุ่ยเอิง : เจ้าพึ่งจะรู้ตัวหรือลูกรัก
เสี่ยวมู่ : ฮาเร็มคือสิ่งใดกันขอรับท่านพี่อวี้
เซียนอวี้ : โถ เด็กน้อยของลุง

ลงเนื้อหา25/9/61
ปรับปรุงเนื้อหา 30/5/62
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2019 17:09:32 โดย minibearsecret »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ค่อยๆโผล่มาทีละคน

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ minibearsecret

  • ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ฉันก็ฟินเวลาผู้ชายได้กันนะ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
    • Minibear_Secret Writer
#17

เมื่อคืนลุงทำการเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับร่างนี้เข้าด้วยกันแต่ก็ยังไม่มีจุดที่จะเชื่อมโยงทั้งสองฝั่งเข้าหากันอยู่ดี มันต้องมีสิความรู้สึกลุงมันบอกแต่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรมากกว่า

กำลังคิดจะเข้าครัวทำขนมคลายเครียด เงาจากท่านพี่กงหมินก็เข้ามาบอกว่าท่านพี่กงหมินรออยู่ที่ศาลาริมน้ำที่ร้านเซียนอวี้แล้ว อะไรกันนึกจะมาก็มาไหนว่างานยุ่งกันนักไม่ใช่หรือไง ไม่ได้งอนอะไรทั้งนั้นใครว่าลุงงอนลุงจะเคือง

ร้านเซียน

“ลมอะไรหอบท่านมาพบน้องแต่เช้ากันหรือขอรับท่านพี่กงหมิน”

“คงเป็นลมแห่งความคะนึงหาเสียแล้วกระมังที่พัดพี่มาหาเจ้า”

“กล่าววาจาเกี้ยวพาราสีคล่องปากเช่นนี้ เกรงว่าท่านพี่กงหมินคนดีคงจะใช้บ่อยเสียแล้วสินะขอรับ”

“ข้าดีใจที่เจ้าหึงหวง”

“หยุดกล่าววาจาเลื่อนลอยเสียเถิดขอรับ ว่าแต่มีเรื่องอันใดหรือไม่ที่มาพบน้อง”

“หึหึ เอาเถิดเข้าเรื่องเสียก่อนที่เจ้าจะเขินอายกว่าเดิม”

“หึ” ผมหยิบขนมปังมากินระหว่างรอว่าฝ่ายตรงข้ามที่นั่งมองหน้ากันมีเรื่องอะไรจะพูด

“นักรบเงาบอกแก่ข้าว่าเจ้ากำลังสนใจเรื่องของราชวงศ์”

“มีหลายอย่างที่น้องพยายามค้นหาแล้วไม่พบ”

“พี่ช่วยเจ้าได้หรือไม่”

“ท่านจะไม่ถามหรือว่าน้องหาสิ่งใด”

“ข้าไม่ถามเพราะรู้ว่าเจ้าไม่ได้ทำเรื่องที่เดือดร้อนต่อผู้ใด”

“ท่านก็สปอยล์ข้าดีเสียจริง”

“เจ้ากล่าวสิ่งใด”

“น้องหมายถึงว่าท่านเอาใจน้องเสียจริงขอรับ”

“ก็เพราะเป็นเจ้าหรอกนะ ข้าถึงชอบเอาใจ”

“เช่นนั้นน้องสอบถามเรื่องที่สงสัยได้หรือไม่ขอรับ”

“ถ้าพี่รู้พี่จะตอบเจ้าตามจริง”

“น้องอ่านประวัติราชวงศ์มาหลายต่อหลายเล่ม ทุกเล่มจะระบุเพียงว่าฮ่องเต้หลงชิวเยี่ยมีน้องชายสามคน คนรองหลงหยงจิน ตอนนี้รับตำแหน่งอ๋องเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นเพื่อนบ้านในฐานะทูตการค้า กับคนสุดท้องร่วมมารดา หลงจินเทา ได้รับตำแหน่งอ๋องเช่นกัน แต่ปัจจุบันหายไป ข้าอยากทราบเรื่องของอ๋องคนน้องว่าหายไปที่ใด”

เพราะอยู่กันตามลำพังและลุงไม่อยากพูดศัพท์ราชวงศ์ให้มากมายก็เอาแบบกันเองกันเองไปก่อนละกันครับ เข้าใจง่ายดี

“ข้าเป็นเพื่อสนิทของฮ่องเต้และฮองเฮาในสมัยนี้มาตั้งแต่พวกเรายังเด็ก เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถบอกแก่ภายนอกได้ แต่เพราะเป็นเจ้าเซียนอวี้ข้าจะเล่าให้ฟัง” ผมว่างของกินนั่งเรียบร้อยรอฟังเรื่องราวอย่างตั้งใจ

“ชิวเยี่ยเป็นโอรสองค์โตที่กำเนิดจากครรภ์องค์ไทเฮา หรืออดีตฮองเฮาในรัชสมัยฮ่องเต้หลงจินซี จึงได้เป็นรัชทายาทตามธรรมเนียมแคว้นเซียน องค์ต่อมาหลงหยงจินเป็นองค์ชายที่มีความสามารถด้านการพูดและชื่นชอบการค้าเลยขอพระราชทานอนุญาตจากฮ่องเต้หลงจินซีเป็นฑูตการค้าประจำแคว้นและรับตำแหน่งอ๋องเมื่อรัชทายาทชิวเยี่ยขึ้นรับตำแหน่งฮ่องเต้ในปัจจุบัน”

ผมส่งจอกน้ำชามะลิให้เพื่อแก้อาการกระหายน้ำ อีกฝ่ายรับแล้วส่งยิ้มขอบคุณมาให้ก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

“หลังจากที่ฮ่องเต้ชิวเยี่ยขึ้นครองราชย์และอ๋องหยงจิงเดินทางไปการฑูตต่างแคว้นองค์ชายหลงจินเทาก็มาเข้าเฝ้าเพื่อถอนยศอ๋องที่จะพระราชทานตามบรรดาศักดิ์เพื่อเข้ารับตำแหน่งเจ้าตำหนักชะตาลิขิต แต่ฮ่องเต้ชิวเยี่ยไม่ยอม ให้พระอนุชารับยศอ๋องตามเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง เลยกลายเป็นว่าอ๋องจินเทาก็ยังคงมียศอ๋องแต่ออกจากพระราชวังไปพำนักอยู่ที่ตำหนักชะตาลิขิตเพื่อดำรงตำแหน่งเจ้าตำหนักจนปัจจุบัน”

“ตำหนักชะตาลิขิตหรือขอรับ เหตุใดข้าถึงมิเคยได้ยินชื่อกัน” พยายามนึกแต่กลับมีม่านหมอกมาบดบังเหมือนเรื่องของแม่ร่างนี้เลย เดี๋ยวนะ ม่านหมอกบดบัง หรือว่า

“เป็นตำหนักที่อยู่ในหุบเขาไม่ย่างกลายออกมาให้โลกภายนอกรับรู้แต่จะปรากฎตัวเฉพาะกับผู้ที่ถูกลิขิตชะตาไว้เท่านั้น แม้กระทั่งฮ่องเต้หากมิได้มีเรื่องที่เกี่ยวข้องจะไม่สามารถพบหน้ากับอ๋องจินเทาเช่นกัน แต่ดูเหมือนช่วงที่เจ้าเข้าเฝ้าไม่นานอ๋องจินเทาก็มาพบชิวเยี่ย แต่ไม่รู้มาด้วยเรื่องอะไรเช่นกัน”

มาพบหลังจากที่เราเข้าเฝ้า มันต้องเกี่ยวข้องกันแน่ ทั้งเรื่องที่เรามาที่นี่และเรื่องของเจ้าเด็กคนนี้ต้องเกี่ยวกับตำหนักชะตาลิขิตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

“ข้าอยากรู้เรื่องของตำหนักชะตาลิขิต เหตุใดจึงเรียกเช่นนั้นและตำหนักนั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับราชวงศ์หรือขอรับท่านพี่กงหมิน”

“อืม มันเป็นเรื่องที่มีแต่คนรุ่นก่อนเท่านั้นที่รู้แต่เห็นแก่ที่เจ้าถามมาข้าจะบอกเช่นกัน เดิมทีผู้นำตำหนักมีนามว่าอิ๋นซูเป็นบุตรสาวของเจ้าตำหนักคนก่อนมีวิชาการหยั่งรู้เห็นในสิ่งที่ผู้อื่นในแผ่นดินมิมี ต่อมาท่านอิ๋นซูแต่งท่านอิ๋นเยี่ยเข้าจวนใช้แซ่ของท่าน เดิมท่านอิ๋นเยี่ยคือท่านอ๋องเยี่ยพระอนุชาอดีตฮ่องเต้หลงจินเทียนพระโอรสร่วมครรภ์ฮองเฮาอิ๋นเหมยในรัชสมัยฮ่องเต้จินเหอ”

อย่างที่เราเคยอ่านมาเรื่องการแต่งงานของญาติกัน แปลว่าไทเฮาอิ๋นเหมยคือบุตรสาวของเจ้าตำหนักชะตาลิขิต ท่านอ๋องจินเทาเลยกลับไปรับหน้าที่สืบทอดเช่นเดิม

“ท่านอิ๋นเยี่ยและท่านอิ๋นซูมีบุตรสาวฝาแฝดคนพี่คือองค์ไทเฮาส่วนคนน้องไม่ปรากฏ องค์ไทเฮามีวิชาของตำหนักชะตาลิขิตคือการหยั่งรู้และสืบทอดมาที่อ๋องจินเทาจึงเป็นเหตุผลให้พระองค์ต้องกลับไปสืบทอดรับตำแหน่งเจ้าตำหนักเพื่อการคงอยู่ของตำหนักจนปัจจุบัน”

“ท่านพี่กงหมินกล่าวว่าท่านอิ๋นซูมีวิชาหยั่งรู้และมองเห็นในสิ่งที่ผู้อื่นมิเห็นแล้วเหตุใดองค์ไทเฮาจึงมีเพียงการหยั่งรู้เล่าขอรับ”

“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”

“แล้วเรื่องของน้องสาวขององค์ไทเฮา ไม่มีการพบเจอเลยหรือขอรับ”

“ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางคือใครและตอนนี้นางอยู่ที่ใด”

“แล้วเหตุใดท่านจึงรู้เรื่องนี้ดียิ่งขอรับ”

“เพราะตระกูลของข้ารับใช้ราชวงศ์มาชั่วอายุคนจึงมีแปลกที่จะรับรู้เรื่องราวมากกว่าผู้ใด ว่าแต่เหตุใดเจ้าจึงสนใจในเรื่องของวิชาองค์ไทเฮากันเล่า”

“ไม่มีอันใดขอรับข้าเห็นว่าเป็นความรู้ใหม่เพียงเท่านั้น”

“ใฝ่รู้ยิ่งนัก นี่ก็ได้เวลาเข้าวังของข้าแล้ว ไว้วันหน้าข้าจะหาเวลามานั่งคุยเล่นกันเจ้า อืม ข้าเล่าไปหลายเรื่องทีเดียว เจ้ามีของตอบแทนพี่หรือไม่น้องอวี้”

“รับขนมไหมขอรับ”

“ข้าอยากได้ตรงนี้” อีกแล้วคิดจะลวนลามกันอีกแถมยังมีหน้ายื่นหน้ามาใกล้ แล้วไอ้ที่ชี้มันปากไม่ใช่หรือไงกัน

“น้องไม่เข้าใจ”

“ข้ารู้เจ้าเข้าใจ อย่างไรหากเจ้าทำเจ้าเลือกได้ว่าเพียงเท่าใด แต่หากข้าลงมือ อาจจะมิหยุดเพียงจะ-”

“พอใจท่านแล้วหรือไม่ น้องไม่ส่งขอรับ ขอตัว”

ลุงอายหนักมาก ถึงจะอยู่ในร่างเด็กของเจ้าหนูเซียนอวี้แต่ข้างในก็ลุงมากอายุคนหนึ่งนะ จะให้มาทำอะไรราวกับเด็กแรกรุ่นมันก็อดเขินตัวเองไม่ได้ทุกครั้ง แถมไอ้เรื่องใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้พวกเขาอีก บ้าที่สุดนอกจากจะต้องตกใจที่หวั่นไหวกับผู้ชายแล้วยังต้องมาตกใจที่จำนวนคนที่หวั่นไหวมันมากกว่าหนึ่งนี่สิ

กับท่านพี่ซางไป๋ผมมีความสุขที่ได้โต้เถียงแม้จะเป็นเรื่องไร้สาระกันก็ตาม ท่านพี่กงหมินผมแพ้ความอ่อนโยนเอาใจใส่ของเจ้าตัว ท่านพี่เฟยหลงผมแพ้ความเป็นห่วงเป็นใยกับความอบอุ่นยามพึ่งพิงแม้จะชอบแกล้งกันก็ตาม

ท่านเทพมังกรลวี่หลงผมแพ้รอยยิ้มครับ ยิ้มที่อบอุ่นและเข้าใจว่าเวลาไหนผมรู้สึกแบบไหนต้องทำแบบไหนผมถึงพอใจ ส่วนท่านพี่อวิ๋นอี้ หลังจากที่ได้พูดคุยกลายเป็นผมแทนที่ติดการแกล้งให้อีกฝ่ายเขินอาย และคงเป็นคนเดียวที่ผมเข้าหาก่อนเช่นกัน

และคนสุดท้ายท่านกุนซือที่ไม่แสดงออกมาชอบกันเหมือนคนอื่นแต่ก็คอยมาอยู่เป็นเพื่อนแม้ว่างานตัวเองจะยุ่ง จะคอยหาหนังสือที่แปลกใหม่มาเอาใจหรือชวนไปที่อื่นเพื่อผ่อนคลาย แต่เพราะสายตาละครับที่ทำให้ผมมองออกว่าอีกฝ่ายกำลังสนใจผมอยู่

โลกก่อนผมไม่จำเป็นจะต้องมาห่วงเรื่องหัวใจตัวเองแบบนี้ และในโลกนี้หากจะทำตามใจตัวเองผมก็คิดว่าไม่ไหวเหมือนกันเพราะมันเป็นเรื่องที่แปลกมากเกินไปกับการคบผู้ชายหลายคนในครั้งเดียว ยังไงความรักมันก็ขึ้นอยู่กับคนสองคนเสมอ มันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในความคิดตั้งแต่โลกเดิม และร่างที่ผมใช้อยู่ก็ไม่ใช่ของตัวผม ผมไม่กล้าที่จะทำอะไรตามใจตัวเองมาไปกว่านี้แล้วครับ

คิดมากอะไรกัน นี่ลุงจริงหรือเปล่ามากดึงดราม่ากันทำไมนะ แนวของลุงมันต้องใช้ชีวิตสนุกให้คุ้มมากกว่า ว่าไปแล้วคนที่จะตอบเรื่องที่สงสัยให้กระจ่างคนสุดท้ายเห็นทีจะเป็นท่านพ่อของร่างนี้ซะแล้วสินะ นี่แหละแนวทางของลุง พุ่งชนเป้าหมาย มามัวคิดมากเรื่องอะไรอยู่ได้

“ท่านพ่อขอรับ ลูกได้ยินเด็กในตลาดต่างอวดอ้างว่าตนเป็นใครชื่อแซ่ของบิดามารดาต่างเอามาข่มกัน”

“ไม่ดีๆ เจ้าห้ามทำเช่นนั้นเสียละอวี้เอ๋อร์ รู้หรือไม่”

“ข้าทราบดีขอรับ เพียงแต่เมื่อได้ฟังข้ากลับย้อนมาดูตนเอง เหตุใดข้าถึงไม่สามารถพูดได้อย่างผู้อื่นเรื่องมารดาของข้ากัน ดูเหมือนหลังจากที่ฟื้นมาครานี้ข้าจำเรื่องราวของมารดายากกว่าเดิม ทั้งใบหน้าทั้งเสียง หรือแม้กระทั่งนามของมารดา”

“อวี้เอ๋อร์ เจ้าช่างน่าสงสารยิ่งนัก เอาเถิดอยากถามสิ่งใดหรือไม่พ่อจะตอบเจ้าให้หายน้อยใจเสีย”

“ข้ามิได้น้อยใจมากเท่าใดเพียงแค่อยากรู้จักมารดาของตนเช่นรู้จักท่านพ่อเหมือนบุตรพึงทำเท่านั้นขอรับ”

“มารดาเจ้านามเซียนเป็นผู้หญิงที่สวยทั้งรูปและจิตใจ มีความเข้มแข็งต่างจากหญิงอื่น นางเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าข้ามากนัก นางปฏิเสธชายที่บิดามารดาของนางหามาให้แล้วเลือกที่จะออกมาอยู่กับข้า นางออกปากตัดขาดจากตระกูล แต่เพราะมีเพียงนางและพี่สาวฝาแฝดเท่านั้นที่เป็นบุตร จึงไม่สามารถทำได้ตามที่ออกปาก และตอนที่นางคลอดเจ้าออกมาท่านตาและท่านยายาของเจ้าก็มาหาเจ้านะรู้หรือไม่ พวกท่านจ้องมองเจ้า ข้ายังจำคำที่ยายของเจ้ากล่าวได้ดี นางบอกแก่ข้าและมารดาของเจ้าว่า ชะตาของเจ้าชั่งน่าสงสารในตอนต้นแต่จะดีเมื่ออยู่ครบดวงมีผู้ยิ่งใหญ่คอยอุปถัมภ์และได้สิ่งที่ควรจะเป็นกลับคืน  ในตอนนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าครบดวงคือสิ่งใดเช่นกัน แต่เรื่องที่เจ้าดูแปลกไปแลคนที่เข้ามาเกี่ยวพันกับเจ้าทำให้ข้านึกเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน”

“ท่านพ่อขอรับ ก่อนที่ท่านแม่จะแต่งเข้าตระกูลฟางของท่านพ่อ ท่านแม่ใช้แซ่เดิมว่าอย่างไรหรือขอรับ”

“อิ๋น แซ่เดิมของมารดาเจ้าคืออิ๋น”

“อิ๋น ตำหนักชะตาลิขิต”

“อวี้เอ๋อร์  เจ้ารู้เรื่องตำหนักชะตาลิขิตด้วยหรือ”

“ท่านพ่อขอรับ เป็นท่านแม่ใช่หรือไม่ น้องสาวฝาแฝดขององค์ไทเฮา”

“อวี้เอ๋อร์เจ้ารู้”

“เป็นเรื่องจริงสินะขอรับ กับท่าทางของท่านในยามพบหน้าฮ่องเต้และทุกอย่างที่เกิดกับข้าเมื่อเข้าไปพบพระองค์ เหตุผลที่ท่านอ๋องจินเทาเข้าพบฮ่องเต้ชิวเยี่ยก็เช่นกัน หึ เป็นเช่นนี้เอง เหตุผลที่ข้าเฝ้าถามมาเสมอเมื่อลืมตาขึ้นมาทุกเมื่อเชื่อวัน การยัดเยียดตำแหน่งอ๋องทั้งที่พบเจอกับเพียงไม่กี่ครา ข้าเข้าใจทุกย่างแล้วท่านพ่อ”

“อวี้เอ๋อร์”

“ข้ามิเป็นไรขอรับ ข้าขอตัวไปทำขนมใหม่ก่อนขอรับ” ผมยิ้มอย่างสดใสให้ท่านพ่อของร่างนี้เหมือนว่าทำใจกับเรื่องที่รับรู้ได้แล้ว

ปัญหาที่คาใจเมื่อเข้ามาอาศัยร่างนี้อยู่ ปัญหาที่เจ้าตัวอยากจะรู้แต่ไม่สามารถจัดการได้จนกระทั่งจากไป ปัญหาเรื่องชาติกำเนิดของตน ผมสามารถทำให้ร่างนี้ตัดบ่วงไปได้อีกเรื่องนอกจากเรื่องของพ่อตน ความสงสัยที่ถูกส่งต่อมาจนทำให้ผมต้องค้นหาคำตอบจนสำเร็จ

ถ้าเทียบเรื่องราวแล้วสรุปก็คงออกมาอย่างง่ายว่าร่างนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฮ่องเต้ชิวเยี่ยจริง มีสายเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ในร่างแม้จะไม่มากเท่ากับญาติผู้พี่ทั้งสามก็ตาม และตามบรรดาศักดิ์ร่างนี้ควรได้รับยศจากสายเลือดที่สืบทอดมา

ไม่แปลกใจว่าทำไมร่างนี้ถึงมีความลับเรื่องการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นได้ ครั้งที่ได้ยินท่านพี่กงหมินบอกก็เอะใจอยู่เหมือนกัน เพราะว่าองค์ไทเฮาหรือป้าของเซียนอวี้ได้รับการหยั่งรู้และสืบทอดให้อ๋องจินเทาไป เหมือนกับที่ท่านแม่ของเซียนอวี้สามารถมองเห็นกระแสปราณและสืบทอดมาถึงเซียนอวี้เช่นกัน

เรื่องของเซียนอวี้จบไปแล้ว แต่คำถามที่คาใจผมมากที่สุดคือเพราะอะไรผมถึงต้องมาอยู่ในร่างนี้ และคงจะไม่สามารถหาคำตอบด้วยตัวเองได้ แต่ผมว่าผมหาคนอธิบายเรื่องนี้ได้ อย่างเจ้าตำหนักชะตาลิขิตคนปัจจุบันยังไงละครับ

“นายน้อยเจ้าค่ะมีชาวบ้านนำปาเจียว (กล้วยน้ำว้า) มาขายแก่ร้านอาหารฟางจำนวนมาก ท่านจะทำอย่างไรกับมันหรือเจ้าคะ”

“มาแล้วหรือ เมื่อหลายวันก่อนข้าได้ยินชาวบ้านที่ปลูกต้นปาเจียวพากันบ่นถึงผลผลิต อ่า ข้ามหมายถึงพากันบ่นถึงผลปาเจียวที่ปีนี้มีมากจนหาที่ขายไม่ได้ และคนก็ปลูกกันแทบทุกบ้านเช่นกัน ข้าคิดขนมเก็บไว้ทานเล่นได้เลยฝากจี้อันกับกวางเฟยที่ผ่านไปรับของให้บอกชาวบ้านให้นำมาขายแก่ข้าที่นี่เอง”

“ขนมทานเล่นหรือเจ้าคะ เช่นเดียวกับมังรังนกหรือไม่เจ้าคะ”

“ใกล้เคียง รอดูตอนที่เสร็จนะซีเอ๋อร์”

“เจ้าค่ะ นายน้อย”

ระหว่างที่พูดผมก็ปอกเปลือกกล้วยน้ำว้าห่ามใส่ลงในน้ำที่ผสมน้ำมะนาวกันดำไว้ก่อนแล้ว พอได้ตามที่ต้องการก็จัดการฝานกล้วยเป็นแผ่นทอดลงในกระทะที่ซีเอ๋อร์จัดการตั้งไฟไว้ก่อนหน้า คนเบาๆพอไม่ให้กล้วยติดกัน พอเหลืองกรอบก็ตักออกมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน

เสร็จแล้วก็เปลี่ยนไปหยิบหม้อมาแทนที่ใส่น้ำตาลทราย เกลือและน้ำเปล่า เคี่ยวจนน้ำตาลเป็นผลึก ก่อนจะนำไปราดกล้วยที่ใส่ถาดไว้ก่อนหน้าคลุกให้เข้ากัน พักจนหายร้อน แบ่งใส่ถุงไว้ขายหน้าร้านเซียนส่วนหนึ่ง อีกส่วนแบ่งไปตามจวนของพวกท่านพี่ตามที่เคยบอกซีเออ๋ร์ไว้และแยกให้เสี่ยวเปาที่นั่งมองดูมานานไปส่งท่านพ่อเช่นเคย

เรื่องของการแบ่งก็ให้เงาของแต่ละนายเอาไปส่งนายตัวเองและฝากไปส่งที่ร้านเซียนให้ท่านตาหลิว,เสี่ยวมู่,ท่านพี่อวิ๋นอี้,ท่านเทพมังกรและเด็กในร้านได้ชิมในส่วนที่แยกจากของขาย

ตอนนี้นักรบเงาที่ตามผมมีของท่านพี่ซางไป๋ ท่านพี่กงหมิน ท่านพี่เฟยหลง ท่านพี่อิงเชียงหรือกุนซือหม่า ส่วนท่านพี่ลวี่หลงไม่ต้องส่งคนมาตามดูเพราะไม่รู้มาแอบทำพันธะสัญญากันตอนไหนก็ไม่รู้จนสามารถรับรู้ทุกการกระทำของผมจากจิตวิญญาณแทน

และคนสุดท้ายท่านพี่อวิ๋นอี้ผู้เข้าใจในเรื่องรักน้อยที่สุดย่อมไม่มีคนติดตามและไม่รู้ว่าจะมาตามผมทำไมเช่นกัน นี่อาจจะเป็นผลจากการทำเมินพวกท่านพี่ในตอนแรกก็ได้ครับตอนนี้ผมเลยโดนบ้าง
 
ลุงสงสัย ไอ้การเชื่อมจิตวิญญาณกันของลุงกับท่านเทพมังกรทำให้รับรู้ว่าลุงอยู่ในช่วงไหนบ้างทำอะไรบ้าง ถ้าลุงช่วยตัวเองอยู่ท่านเทพมังกรจะรู้ด้วยไหม อันนี้แค่คิดนะไม่กล้าถามเหมือนกัน ใครว่าลุงลามกตบปาก

“ขนมชนิดนี้มีชื่อว่าอะไรหรือขอรับนายน้อย”

“ปาเจียวเคลือบน้ำตาล”

“คล้ายถังหูลู่หรือไม่ขอรับ”

“ใกล้เคียงดีกว่านะ เพราะไม่ได้เคลือบน้ำตาลจนชุ่มเช่นถังหูลู่”

“ขอรับ แล้วกล้วยที่นายน้อยเหลือไว้คืออะไรหรือขอรับ”

“จะทำขนมขึ้นโต๊ะในร้านฟางเพิ่ม”

“ขนมหรือขอรับ”

“ใช่ จักเข้าชุดขนมหวานอีกอย่าง”

เริ่มโดยเอากล้วยมาปอกเปลือกก่อนจะหั่นขวางเป็นสองท่อนต้มในน้ำเดือดพร้อมกับใบเตยที่ให้ซีเอ๋อร์ไปขโมยในครัวใหญ่มาก่อนหน้านี้ จากนั้นประมาณสิบหานาทีโดยประมาณก็ใส่น้ำตาลทรายสีทองลงไปในหมอต้มกล้วย กับน้ำตาลปี๊บ เร่งไฟจนเดือด ช้อนฟองออก เปลี่ยนเป็นไฟกลางทิ้งไว้สองชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วยาม

ระหว่างที่รอมะพร้าวก็มาส่งพอดี ผมจัดการปอกและผ่าเอาเนื้อมาขูดกับกระต่ายที่สั่งทำไว้ก่อนหน้าเพื่อเตรียมคั่นกะทิใช้แรงงานเสี่ยวเปาหลังจากที่สอนไปให้ช่วยคั้นในครั้งต่อไปเพราะกว่าจะเสร็จและสอนทั้งคู่ก็ดูเหมือนว่าจะได้ที่พอดี

เมื่อกล้วยเริ่มเปลี่ยนสีก็บีบมะนาวลงไปเพื่อกันไม่ให้น้ำตาลตกผลึก เคี่ยวต่อจนกล้วยเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วยกออกจากเตาพักไว้

ต่อมาผมจัดการตั้งเตาวางหมอใส่กะทิที่คั้นเสร็จแล้วลงไปเติมเกลือและแป้งข้าวเจ้าจากแคว้นหยุนลงไปคนจนกะทิข้นก็ยกลง จัดการตั้งกล้วยที่เริ่มเย็นใส่ชามราดด้วยน้ำกะทิ เป็นอันเสร็จกล้วยเชื่อมแดง

“จัดการต่อได้ อย่างลืมชิมกันด้วยละทั้งสองคน”

“ขอรับ / เจ้าค่ะ”

“ว่าแต่มันเรียกว่าอะไรหรือเจ้าค่ะ”

“กล้วยเชื่อมแดง คำว่ากล้วยเป็นอีกชื่อหนึ่งของเจียวทุกสายพันธุ์  ถือเป็นคำใหม่ให้พวกเจ้าเรียนรู้กันนะ”

“เจ้าค่ะ / ขอรับ”

ผมหันไปหยิบกล้วยที่เตรียมไว้เมื่อหลายชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มทำกล้วยฉาบมาดูเห็นว่าน่าจะพอใช้ได้แล้วเริ่มทำเมนูต่อมา ขั้นตอนตามจริงก็แค่ปอกกล้วยแช่ในน้ำเกลือประมาณห้านาที จากนั่นฝานในแนวขวางเท่าๆกันจากนั้นก็ผึ่งสักพักพอแห้งใส่ถุงกระดาษเพราะโลกนี้ไม่มีถุงพลาสติกให้ใช้ทิ้งไว้ประมาณห้าชั่วโมง แต่ตอนนี้ผ่านไปสามชั่วโมงกว่าๆแต่ผมไม่รอแล้วครับเลยขอลัดเวลาก่อนละกัน

มาเริ่มกันเลยดีกว่า ผมเอากล้วยที่ใส่ถุงไว้มาแยกชิ้นไม่ให้ติดกัน ก่อนจะพักไว้หันมาใส่น้ำตาลปี๊บที่เตรียมไว้ในหมอเพราะง่ายต่อการคนให้เข้ากัน ต่อมาใส่เนยจากแคว้นหยุน นมสดที่ขโมยครัวใหญ่มาและเกลือเล็กน้อย พยายามคนส่วนผสมให้ได้มากที่สุดเพราะในโลกนี้ไม่มีเครื่องตีแป้งนี่ครับ

จากนั้นก็ตั้งกระทะให้น้ำมันร้อน ระหว่างรอให้ร้อนก็เอากล้วยกับเครื่องที่ผสมไว้มาผสมกันจนได้ที่ น้ำมันร้อนกำลังดี ใส่กล้วยที่คลุกไว้ลงทอดในกระทะ พยายามคนให้แยกกันไว้ ทอดพอเหลืองไม่ให้สีเข้มเพราะจะมีรสขมได้ก่อนจะพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน พอแห้งดีก็แบ่งใส่ถุงไว้ขายและฝากตามปกติ

“มันมีชื่อเรียกว่ากล้วยอบเนย”

“กล้วยอบเนย แต่ข้าเห็นท่านทอดนะขอรับ มิได้อบแบบหมูอบสมุนไพรครั้งก่อน”

“เอาเถอะมันเป็นเพียงชื่อเรียกมิใช่วิธีการทำ” อันนี้ลุงก็งงนะ มันทอดทำไมเรียกอบเหมือนกัน

“ขอรับนายน้อย”

“หมูส้มที่นายน้อยทำคราก่อนลูกค้าที่มาทานต่างติดใจขอซื้อกลับบ้านมากมายเลยเจ้าค่ะ”

“จริงหรือ ผู้คนนิยมเช่นนั้นก็ดี ร้านอาหารเราจะได้มีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง”

“ข้าน้อยได้ยินมาว่าชื่อเสียงของร้านเราดังไกลไปจนถึงแคว้นเฟยแล้วนะเจ้าค่ะนายน้อย”

“เช่นนั้นก็ดี กิจการจะได้มั่นคงมากขึ้น”

“เป็นเพราะนายน้อยนะเจ้าคะ”

“ข้าเป็นเพียงคนที่คิดขึ้นมา มิได้ลงมือจะกล้าเอาดีเข้าตัวได้เยี่ยงไรกัน ท่านพ่อครัวจางหรอกนะที่เป็นผู้ทำขาย”

“โถ นายน้อย ถ่อมตนเกิดไปแล้วเจ้าค่ะ ชื่อเสียงของนานน้อยก็ดังไม่แพ้ชื่อร้านนะเจ้าคะ”

“ชื่อเสียงข้าหรือ”

“เจ้าค่ะ ก็องค์ฮ่องเต้ทรงติดประกาศเรื่องที่ท่านสร้างฝายกับขุดบ่อเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำหลากจนบรรเทาความเดือดร้อนได้ ไหนจะเรื่องการเปิดการค้าเสรีที่นายน้อยเสนอให้คนต่างแดนเข้ามาค้าขายได้อีกอย่างไรเจ้าค่ะ ชาวต่างแคว้นต่างนับถือท่านน่าดูเลย”

“เหตุใดข้าจึงมิรู้เรื่องเหล่านี้กัน”

“ข้าออกไปกับพวกที่ซื้อของเลยพบเห็นประกาศดูเหมือนจะติดได้ไม่กี่วันเจ้าค่ะ”

“ถึงว่า เหตุใดผู้คนจึงมองข้าเช่นนั้นยามข้าขี่ม้ากลับมาจากร้านเซียน ข้านึกสงสัยอยู่นาน”

“หลายคนบอกว่าท่านเป็นอัจฉริยะลงมาเกิดในรอบพันปีก็มีนะเจ้าคะ ไหนจะเรื่องการดูแลร้านอาหารฟางจนรุ่งเรือง ไหนจะร่วมค้าร้านอิงเซียนกับท่านอิงฮวา และร้านเซียนของท่านด้วย ตอนนี้ชื่อเสียงของท่านดังยิ่งนักเจ้าค่ะ”

“แล้วเหตุใดเจ้าดีใจยิ่งกว่าข้าเสียเล่าซีเอ๋อร์”

“ก็ข้าน้อยภูมิใจที่ได้อยู่ข้างกายท่านในฐานะบ่าวคนสนิทนี่เจ้าคะ”

“เอาเถอะๆ ข้าต้องไปดูร้านอิงเซียนก่อนแล้วตรวจบัญชีร้านเซียนด้วย ไว้ข้าจะกลับมาดูบัญชีวันนี้หลังมื้อเย็นนะ ฝากเจ้าด้วยซีเอ๋อร์”

“ยินดียิ่งเจ้าค่ะ”

มีเรื่องอะไรแปลกๆแบบนี้ด้วยหรอครับ สายตาเทิดทูนที่มองมาของชาวบ้านมากระจ่างก็ตอนที่ได้ยินจากปากซีเอ๋อร์นี่แหละครับ ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะออกประกาศแบบนั้น แบบนี้จะมีใครมองว่าเก่งเกินเด็กไหมครับ จะมีเรื่องอันตรายเข้ามารึเปล่าก็ไม่รู้ กลัวคนที่อยู่รอบตัวจะเป็นอันตรายมากกว่าตัวผมเองเสียแล้วสิ

TBC.

เรื่องราวหลังครัวปิด

เซียนอวี้ : ถ้าโลกนี้มีการจัดอันดับเชฟอย่างโลกก่อนลุงคงได้ติดดาว
ซางไป๋ : เหตุใดตอนนี้จึงมีเพียงแค่ท่านหวังกงหมินออกผู้เดียวกัน
กงหมิน : พวกเจ้าก็ออกทุกคนนะ
อิงเชียง : อย่างไร
เซียนอวี้ : ข้าคิดถึงชื่อพวกท่านทุกคนตั้งหลายครั้งเชียวนะขอรับ
ซางไป๋ : ………………
เฟยหลง : ……………..
อิงเชียง : .......................
ลวี่หลง : ………………
อวิ๋นอี้ : เพียงแค่ชื่อก็ดีแล้ว (ตบบ่าที่เหลือให้กำลังใจ)

ลงเนื้อหา 27/9/61
ปรับปรุงเนื้อหา 30/5/62
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2019 17:22:21 โดย minibearsecret »

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ minibearsecret

  • ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ฉันก็ฟินเวลาผู้ชายได้กันนะ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
    • Minibear_Secret Writer
#18

หลังจากวันนั้นที่เรื่องทุกอย่างกระจ่างในตัวตนของฟางเซียนอวี้ที่ผมมาอาศัยร่างแล้ว ชีวิตในแต่ละวันก็หมุนเวียนต่อไป และตอนนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ศาลากลางน้ำหลังจวนร้านเซียนของผมได้ทำการต้อนรับแขกแปลกหน้าที่มีออร่าสูงศักดิ์ตรงหน้า

“เป็นชะตาที่เราได้พานพบกันอีกครั้งน้องข้า”

“ข้าต้องขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับท่านอ๋องจินเทาอย่างสมเกียรติ”

“อย่าได้กล่าววาจาเช่นนั้น ยามนี้ตัวพี่เป็นเพียงอ๋องในนามเท่านั้นหาได้เป็นจริงไม่”

“เหตุใดท่านจึงมาพบข้าในวันนี้กันขอรับ”

“เจ้าเอ่ยนามท่านพี่ชิวเยี่ยเช่นใดโปรดเอ่ยนามตัวพี่ชายคนนี้เช่นนั้นเถิด อย่างไรเราก็เป็นญาติกัน จริงหรือไม่”

“ข้าพอทราบถึงความสามารถในการทำนายของท่านด้านการหยั่งรู้ และการสืบทอดตำหนักชะตาลิขิตของท่าน เรื่องที่เราสองเป็นญาติคือความจริงที่ตัวข้าได้รับรู้ไม่นาน แต่เกี่ยวกับที่ท่านพี่จินเทามาเยี่ยมเยียนครั้งนี้หรือไม่ขอรับ” คนที่มีความสามารถมองเห็นอนาคตแบบนี้น่าจะบอกได้ว่าเพราะอะไรผมถึงมาอยู่ที่นี่และเพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้

“ชะตาเป็นผู้ลิขิตเส้นทางการดำเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงให้พบเจอกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถหลีกหนีมันเช่นกัน ไม่ว่าจะมนุษย์เดินดินหรือเทพเซียนเบื้องบนก็ตาม”

“เรื่องนั้นข้าพอจะเข้าใจที่ท่านกล่าวมาขอรับ ชะตาไม่ว่าจะยิ่งใหญ่มาจากที่ใดก็ย่อมหนีไม่พ้นเช่นกัน”

“แลเรื่องของเจ้าก็เช่นกัน สิ่งที่จากลาย่อมนับเป็นความทรงจำที่สวยงาม ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดข้าอยากให้ตัวเจ้าจดจำมันไว้เพื่อเอาตัวรอดในภายหน้า”

“ท่านรู้สิ่งใด” ทำไมพูดเหมือนรู้เรื่องของผมกัน หรือเพราะวิชานั้น

“ตัวพี่ไม่รู้สิ่งใด สิ่งที่นำทางพี่มาที่นี่เพื่อบอกว่ากงล้อของโชคชะตาของเจ้าเริ่มหมุนตั้งแต่ที่เจ้าลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ชะตาของเจ้าชั่งน่าสงสารในตอนต้นแต่จะดีเมื่ออยู่ครบดวงมีผู้ยิ่งใหญ่คอยอุปถัมภ์และได้สิ่งที่ควรจะเป็นกลับคืน  คำที่ท่านยายเคยกล่าวแก่เจ้ายามเด็ก เจ้าคิดเห็นสิ่งใดกับมันกัน”

“ในยามนี้ข้าเข้าในเพียงแค่คำว่ามีผู้ยิ่งใหญ่อุปถัมภ์และสิ่งที่ได้จะหวนคืน” คนที่อยู่เคียงข้างไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือชื่อเสียงย่อมไม่ธรรมดาและสิ่งที่หวนคืนก็คือการค้นพบว่าตัวของฟางเซียนอวี้มีเชื่อสายมังกรเช่นกัน

“สองสิ่งหลังของเจ้าจะไม่เกิดขึ้นหากไม่ครบดวงน้องข้า”

“ดวง ท่านหมายถึง”

“เจ้าน่าจะตอบคำถามนี้ได้ดีกว่าตัวข้า จริงหรือไม่” รอยยิ้มอบอุ่นที่สะกิดใจตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้ายังไม่คล้าย

อะไรที่มีคำเรียกขานว่าดวง จะได้มาเมื่อครบดวง ตอนนี้ได้มา ครบดวง เรียกขานว่าดวงหรอครับ ดวง วิญญาณ หรือว่า เพราะวิญญาณของผม วิญญาณครบดวง นี่มันเรื่องอะไรกัน

“ท่านพี่จินเทา”

“อย่าได้กลัวโชคชะตา จงตั้งสติแล้วรับมันเพื่อก้าวต่อไปอย่างมั่นคง พี่บอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ สิ่งที่เป็นคำถามในใจเจ้ายามนี้คงจะลดทอนลงไปได้ไม่มากก็น้อยจริงหรือไม่ สิ่งที่พี่เห็นก่อนมาพบเจ้าคือบุคคลที่แตกต่างจากพวกเราในที่นี้ แต่เมื่อพบเจ้าตรงหน้าในตอนนี้พี่ก็ได้รับคำตอบนั้น เช่นเดิมพี่ดีใจที่ได้พบเจ้าน้องข้า”

“ถึงจะยังไม่เข้าใจมากนักแต่ดูถูกคนจากตำหนักชะตาลิขิตไม่ได้เสียแล้วกระมังขอรับ ข้ารอคอยการมาของท่านเช่นกันขอรับและก็เป็นดั่งที่ข้าคิดว่าท่านจะตอบสิ่งที่ค้างคาใจแก่ข้าได้ ขอบคุณท่านจริงๆขอรับท่านพี่จินเทา” ถึงจะยังไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใครแต่การที่มีคนบอกว่ารับรู้ถึงตัวตนของผมจากด้านในก็ดีใจแล้วครับ

“หากเจ้าอยากพบเจอไปที่ตำหนักชะตาลิขิตได้เสมอ เข้าใจหรือไม่ พี่จะรอเจ้าที่นั่น”

“ขอรับข้าจะหมั่นไปเยี่ยมเยียนท่าน ท่านมีที่ใดหรือสิ่งใดต้องรีบไปหรือไม่น้องชายคนนี้อยากจะของเชิญท่านร่วมทานอาหารว่างสักครู่ได้หรือไม่”

“ย่อมได้ ข้าได้ยินเรื่องการทำอาหารของเจ้ามานานแต่อย่าลืมนำความสามารถที่เจ้ามีไปช่วยเหลือด้านอื่นบ้าง เข้าใจที่ข้ากล่าวหรือไม่”

“ขอรับ สิ่งที่ข้ามี ข้าจะนำมาใช้ให้เกิดผลที่ดีให้มากที่สุดขอรับ”

“จะว่าไปนอกจากความเก่งกาจของเจ้าแล้ว ท่านพี่ชิวเยี่ยกล่าวแก่ข้าว่า เสน่ห์ของเจ้าก็มากเช่นกัน จริงหรือไม่น้องเล็ก คงกล่าวได้เพราะเจ้าเด็กสุดในพวกเรา”

“ข้ายอมรับเรื่องการเรียกขานแต่ไม่ยอมรับในเรื่องที่ท่านพี่กล่าวหาข้าขอรับ ท่านพี่ชิวเยี่ยกล่าวเกินความจริงไปมากนักขอรับ”

“จริงหรือ แต่ที่พี่เห็นด้ายแดงของเจ้ามีมากนัก และปลายของด้ายก็อยู่ข้างตัวเจ้าในยามนี้ทั้งหมดเช่นกัน”

“ท่านพี่จินเทามองเห็นด้ายแดงได้ด้วยหรือขอรับ”

“เป็นภาพจากนิมิตที่เบื้องบนต้องการให้เห็นเท่านั้นไม่สามารถกำหนดเองตามใจชอบได้ จะว่าไปความสามารถของเจ้าที่สืบทอดมาจากท่านท่านน้า คือสิ่งใดกัน”

“การมองเห็นขอรับ จำพวกกระแสปราณขอรับ”

“อืม เช่นที่ท่านน้ากล่าวยามเจ้าเล็กๆ แล้วยามนี้เจ้ามีความสามารถอีกอย่างจริงหรือไม่”

“ขอรับ เรื่องนี้ข้ามิได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดมาก่อน ข้าสามารถสัมผัสถึงตัวตนของสิ่งมีชีวิตรอบกายได้ว่าเป็นผู้ใดขอรับ”

“เป็นความสามารถที่ดี มาจากการรวมดวงวิญญาณสินะ”

“เช่นนั้นขอรับ” ผมไม่แปลกใจกับคำพูดของคนตรงหน้าแล้วละครับ

“ขนมนี่รสดียิ่งนัก หวานพอดีนุ่มลิ้น”

“มีชื่อเรียกว่าทองหยอดขอรับ เป็นขนมที่ทำจากไข่แดงของไข่เป็ดขอรับ”

“เยี่ยมๆ ถ้าเช่นนั้นข้าจะส่งคนมาจัดกาติดต่อซื้อขายกับเจ้าไปที่ตำหนักเสียดีกว่า ข้าชักจะติดใจมันเสียแล้ว

“ข้ายินดีที่ท่านชอบ ทานเยอะๆขอรับ ข้ามีให้ท่านอีกมากมาย”

กว่าท่านพี่จินเทาจะกลับก็ล่วงเลยถึงเวลาปิดร้าน ตรวจสอบบัญชีร้านอาหารจนเสร็จก็อาบน้ำทานข้าวเย็นกับท่านพ่อ จัดการเอกสารต่างๆจนเสร็จล้มตัวนอนเหมือนทุกๆวัน แต่ดูเหมือนวันนี้จะมีอะไรที่ต่างไป

หมอกควันที่ปกคลุมรอบตัวจนแทบมองไม่เห็นมือตัวเองทำจิตใจให้สับสนวุ่นวายเพราะความหวาดกลัวจากเบื้องลึกในจิตใจตัวเอง ไม่นานหมอกควันก็เริ่มจางลงเผยทิวทัศน์ที่งดงามแปลกตาจนอดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้ตัวผมกำลังอยู่ที่เขตแดนความตายใช่ไหม

“ตัวเรายังไม่ตายอย่าได้หวาดกลัว” เสียงที่คล้ายกับตัวผมจนน่ากลัวดังขึ้นด้านหลัง เมื่อหันไปมองยิ่งตกใจกว่าเดิมเพราะคนตรงหน้าคือคนที่ผมส่องกระจกแล้วเห็นตลอดเวลาที่ฟื้นขึ้นมาในโลกนี้ ฟางเซียนอวี้

“ฟางเซียนอวี้”

“ใช่แล้ว ตัวเราในตอนนี้คือดวงวิญญาณของฟางเซียนอวี้ในโลกนี้ ส่วนตัวเราที่อยู่ตรงหน้าคือลูกหนูในอีกโลกจริงหรือไม่”

“ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด” ครับ อะไรคือตัวเราที่หมอนั่นแทนตัวไหนจะรู้เรื่องชื่อของผมและอีกโลกคืออะไร

“อย่าได้หวาดกลัวไป เราคือท่าน ท่านคือเรา เราคือดวงวิญญาณเดียวกัน”

“อะไรนะ!!”

“เมื่อครั้งอดีตกาลตัวเราทั้งสองคือดวงวิญญาณเดียวกัน เป็นหนึ่งในบรรดาเซียนผู้ทำหน้าที่เฝ้าบ่อน้ำแห่งความหวังของท่านเทพบรรพกาล ในครานั้นมีมารชั่วช้ามาขโมยน้ำในบ่อที่ตัวเรากำลังทำหน้าที่เลยเกิดการต่อสู้ เพราะความแข็งแกร่งเราจึงเพลี่ยงพล้ำจนบาดเจ็บสาหัส ท่านเทพบรรพกาลหาหนทางช่วยเหลือจนผ่านไปนานตัวเราในยามนั้นก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

ก่อนที่ดวงจิตจะไปเกิดใหม่ตามวัฏจักรสงสารเกิดความแปลกประหลาดขึ้นเมื่อดวงวิญญาณของเราเกิดการแบ่งแยก ดวงจิตเมื่อแยกออกเป็นสองจะอ่อนแอลง ดวงวิญญาณตัวเราลงมาเกิดที่นี่แต่มีร่างกายที่อ่อนแอลงเพราะพลังที่ได้รับมาตอนเกิด ส่วนดวงจิตอีกดวงหรือท่านก็ไปเกิดยังที่ที่ท่านต้องการไป”

มันจะแฟนตาซีเกินไปแล้วครับ จากมนุษย์เดินดินธรรมดาตายแล้วข้ามมาเข้าร่างคนอื่นที่ต่างโลกไม่พอยังจะมารับรู้ความจริงที่ชวนช๊อคกว่าเดิมว่าดวงวิญญาณของตัวเองในตอนนี้ไม่ได้เข้ามาสิงร่างคนอื่นแต่เป็นร่างของตัวเองที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรกหากวิญญาณผมไม่อินดี้หนีไปเกิดต่างโลกเอง

“อ่า ผมเข้าใจแล้วครับ”

“ท่านดูทำใจง่ายยิ่งนัก”

“ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรที่น่าตกใจมากไปกว่านี้แล้วละครับ”

“นี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้เจอกันและเป็นครั้งสุดท้ายเพราะดวงจิตที่อ่อนแอแบบเราเมื่อท่านกลับมารวมกันจะต้องจากไป”

“จากไป ไปที่ไหนกันครับ ในเมื่อเราเป็นดวงจิตเดียวกันทำไมต้องหายไปละครับ”

“ในยามที่ดวงจิตเราแยกเป็นสองเราทั้งสองย่อมอ่อนแอลง ท่านไปอยู่ในโลกที่ไม่มีพลังรบกวนส่วนตัวเราในโลกนี้เกิดมาพร้อมพลังที่แลกเปลี่ยนความแข็งแรงของร่างกายอีกจึงทำให้ดวงจิตยิ่งอ่อนกำลังลงกว่าเดิมจนเมื่อถึงคราวใกล้จะดับสูญดวงจิตจึงดึงดวงจิตอีกดวงที่แยกไปกลับคืนเพื่อกันการดับสูญไป”

“นั่นเป็นเหตุผลที่ผมมาที่นี่ใช่ไหมครับ”

“ใช่ ที่ท่านมาเพราะเรา เราขออภัยที่ทำให้ท่านต้องจากโลกนั้นมาแต่เราก็ขอบคุณที่ท่านกลับมา เรามีเพียงสิ่งเดียวที่อยากจะขอต่อท่าน”

“ขอผม อะไรหรอครับ”

“ต่อจากนี้ไปเราอยากให้ท่านทำความเข้าใจว่าร่างกายที่ท่านอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ของผู้อื่นเป็นร่างกายของตัวท่านและเราคือคนเดียวกัน อย่าได้แบ่งแยกสิ่งใดอีกเลย เข้าใจที่เรากล่าวหรือไม่”

“อย่าแบ่งแยกสิ่งใด หมายถึง”

“หัวใจ สิ่งที่ท่านกำลังแคลงใจในตอนนี้อย่างไรเล่าตัวเรา”

“หัวใจหรอครับ”

“เพราะเราคือคนเดียวกัน เปิดโอกาสให้ตนเองเถิดตัวเรา สิ่งที่ท่านอยากรู้จักอยากสัมผัสกับมันหากท่านไม่ลองเสี่ยงท่านย่อมไม่มีทางเข้าใจมัน”

“หลังจากนี้คุณจะไปที่ไหน”

“เรามิได้ไปที่ใด เรายังอยู่กับท่านเพียงแต่เราจะไม่สามารถเป็นเจ้าของร่างเช่นเดิมอีกต่อไป ความรู้สึก ความทรงจำ ทุกอย่างที่เป็นเรา ท่านจะได้รับมัน และทุกอย่างที่เป็นท่านเราจะได้รับมันเช่นกัน เมื่อทำการหลอมรวมดวงจิตเสร็จสิ้นจะมีเพียงดวงจิตที่เข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่ต่อไป”

“เฮ้อ ถึงจะคิดว่าไม่มีอะไรให้น่าตกใจแล้วก็เถอะครับ แต่ผมขอเวลาทำใจก่อนนะครับ”

“ชีวิตต่อจากนี้เป็นของท่านแล้วขอรับ ทำตามที่ใจท่านปรารถนาเถิด ลาก่อน”

รอยยิ้มที่ส่งมาเป็นสิ่งที่ผมเห็นเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่จะสะดุ้งจนตื่นขึ้นมา ในมือของผมมีแหวนหยกอยู่หนึ่งวงที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันมาได้ยังไงกัน แต่ว่าแหวนวงนี้เหมือนที่เห็นคนในฝันสวมอยู่เลยครับ หรือว่าไม่ใช่ฝันอย่างนั้นหรอ

เมื่อผมสวมมันที่นิ้วกลางซ้ายเสร็จก็มีลมวูบหนึ่งพัดผ่านร่างไปความอึกอัดทรมานในใจเหมือนถูกปัดเป่าจนหาย ภาพต่างๆที่เข้ามาหายไปสรรพเสียงต่างๆกลับมาอยู่ในโสตประสาทอีกครั้ง  ผมลองขยับท่าทางเหมือนที่เห็นในช่วงที่ลมพัดผ่าน ภาพของเซียนอวี้อีกคนฝึกในช่วงก่อนที่ร่างกายจะทรุดตัวลง ผลปรากฏว่ามีมวลอากาศอัดแน่นเป็นลูกบอลที่ฝ่ามือ ผมที่สามารถมองเห็นได้จึงมองเห็นว่ามันคืออะไร

ผมทดลองทำไปหลายๆอย่างจนสามารถสรุปได้ว่าพลังที่ไม่เคยลองผมสามารถใช้ได้ แต่ก็ไม่แกร่งอย่างที่จอมยุทธ์คนอื่นมี เฮ้อ เรื่องราวมันชักจะแฟนตาซีไปใหญ่แล้วครับ แต่แบบนี้เท่ากับว่าผมปลดเรื่องที่คาใจได้จนหมดแล้วสินะครับ

ไม่ว่าจะเรื่องชาติกำเนิดของร่างนี้ อ่า ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าชาติกำเนิดของตัวผม แล้วก็เรื่องเหตุผลที่ผมถูกพามาที่นี่ ผมไม่ใช่คนต่างโลกแต่โลกเก่าของผมต่างหากที่ผมแตกต่างมากกว่า พูดคุยกับตัวเองทำความเข้าใจก็ไปจัดการตัวเอง จะว่าไปแล้ว เรื่องที่คุยกันมีเรื่องของหัวใจด้วยนี่ครับ เฮ้อ มันไม่ใช่แนวลุงเลยที่จะมามัวคิดเรื่องอะไรแบบนี้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไปไม่ควรเอาเวลามาคิดอะไรมากมาย  ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ พี่ตูน เคยบอกไว้ครับ ลุงจำได้

วันนี้ผมทำงานที่ร้านอาหารช่วงเช้าครับและมาที่ร้านเซียนช่วงบ่ายหลังทานมื้อกลางวันกับท่านตาหลิวและเสี่ยวมู่เสร็จก็เข้ามาอ่านหนังสือที่ศาลากลางน้ำ ลมเย็นๆเหมาะแก่การงีบมากเลยครับ หนังท้องตึงหนังตาหย่อน นี่มันคือเรื่องจริงแน่แท้ครับ

“อึก”

“หืม” ผมลืมตามองคนที่ทำเสียงแปลกๆจากหน้าทางเข้าศาลา ก็เห็นท่านพี่อวิ๋นอี้ที่น่าแกล้งยืนเหม่อมาทางนี้อยู่ เห ช่วงนี้มีเรื่องเครียดๆเยอะลุงว่าลุงมีที่ลงแล้วละ

“เอ่อ คือ ข้าไม่คิดว่าจะมารบกวนเจ้า”

“อย่าได้กล่าววาจาห่างเหินเช่นนั้นท่านพี่อวิ๋นอี้ ในเมื่อท่านมาแล้วก็มาเถิดมาสนทนากันกันข้าดีกว่า”

“แล้ววันนี้เจ้าไม่มีสิ่งใดต้องทำหรือ”

“จัดการเสร็จแล้วขอรับ เลยมาอ่านตำราผ่อนคลาย แล้วท่านพี่อวิ๋นอี้เล่า มีสิ่งใดที่ต้องทำหรือไม่ขอรับ”

“ไม่มีวันนี้ข้าหยุดพัก” หุหุ เหยื่อติดเบ็ดแล้ว

“ท่านพี่อวิ๋นอี้ขอรับ ตรงนี้อ่านว่าอย่างไรหรือขอรับ ข้าไม่เข้าใจ” ผมเอียงตัวเพื่อให้อีกฝ่ายมองที่จุดที่ผมชี้ และการที่มัวแต่สนใจหนังสือจะลดการระวังตัวมากขึ้น

“อืม ตรงนี้หรือ ไม่เห็นจะยะ-”

“ท่านพี่อวิ๋นอี้ไม่สบายหรือขอรับ หน้าแดงมากเลย”

“อะ เอ่อ คือ ห่างหน่อยดีหรือไม่”

“หืม ท่านกล่าวสิ่งใด เหตุใดข้าไม่ได้ยินกัน” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิม ยิ่งใกล้อีกฝ่ายก็ดันตัวหนีไปจนกลายเป็นผมขึ้นมาคร่อมร่างอีกคนไปแล้ว

“นะ น้องอวี้ พี่ชายว่าเจ้าลุกไปก่อนดีหรือไม่”

“หาว จะว่าไปหากได้งีบสักคราคงจะดีไม่น้อย ท่านว่าหรือไม่ขอรับท่านพี่อวิ๋นอี้”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากะ-”

“ขอบคุณที่ท่านอนุญาตให้ข้านอนเช่นนี้ได้ ข้าขอไม่เกรงใจท่านนะขอรับ” พูดเสร็จก็เอียงหน้าซบกับอกของอีกฝ่าย หัวใจของร่างที่อยู่ด้านล่างเต้นแรงจนน่ากลัวจะกระเด็นออกมา ทีแรกก็ว่าจะแกล้งแต่เพราะมันสบายบวกกับความง่วงก่อนหน้าทำเอาเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ที่รู้น่าจะเป็นอ้อมกอดจากคนด้านล่างที่ประคองตัวผมไว้กันตกละครับที่สัมผัสได้

TBC.

เรื่องราวหลังครัวปิด
เซียนอวี้ : อืมหลับสบายจริงๆ
อวิ๋นอี้ : เจ้าเป็นมารน้อยจริงๆสินะน้องอวี้ เจ้าใช้วิชาใดกันถึงมากวนหัวใจข้าจนสั่นไหวเช่นนี้กัน

ลงเนื้อหา 4/10/61
ปรับปรุงเนื้อหา 30/5/62
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2019 17:42:17 โดย minibearsecret »

ออฟไลน์ minibearsecret

  • ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ฉันก็ฟินเวลาผู้ชายได้กันนะ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
    • Minibear_Secret Writer
#19

จากที่ลองทบทวนสิ่งที่อยู่ในความคิดในช่วงหลายวันหลังจากรู้ความจริง ผมก็เข้าใจในวิธีการใช้มันมากขึ้นครับ จะว่าไปผมลองวิชามาหลายอย่างแต่เว้นเรื่องการหลบหนีที่ดูเหมือนตัวผมจะเข้าขั้นเก่งเลยละครับ นี่ลุงเป็นพวกย่องเบามาก่อนหรือเปล่าครับ

วันนี้ฤกษ์งามยามดีมากครับ เหมาะแก่การย่องเบาไปสอดส่องชีวิตประจำวันของท่านพี่ทั้งหลาย จะว่าไปอาจจะมีคนซุกกิ๊กไว้ก็ได้นะครับ งานนี้น่าจะสนุก เรื่องสนุกแบบนี้ลุงย่อมไม่พลาด

พอจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ได้เวลานอนครับ หลังจากทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบ นักรบเงาที่ปกติหลังจากที่ผมเข้านอนก็จะกระจายตัวออกไปเฝ้าด้านนอก แต่ก็มีการนอนเหมือนกันครับ เพราะช่วงกลางคืนมันเงียบมากจนทำอะไรนิดหน่อยก็รู้ตัวกันแล้ว

ผมใช่วิชาย่องเบาที่ลองทำหลายครั้งจนชินกับมันแอบย่องออกทางหน้าต่างที่ชอบเปิดไว้เสมอ ไม่นานก็หลุดพ้นออกมาได้ครับ ที่แรกที่ควรไปคือหอนางโลมที่ท่านพี่อิงฮวากับท่านพี่เฟยหลงอาศัยอยู่ ถ้าไปโดยไม่บอกอาจจะเจอท่านพี่เฟยหลงกกสาวก็ได้ครับ

พอมาถึงก็แอบอยู่ที่ด้านบนต้นไม้ที่ใกล้กับห้องหนึ่งที่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ตามความเคยชิน จนรู้ว่าเป็นตำแหน่งของห้องท่านพี่เฟยหลงอยู่ ขาผมที่แตะบริเวณกิ่งไม้ที่ยื่นออกไปใกล้กับห้องมาที่สุดหยุดชะงักกับเรื่องที่ได้ยิน เสียงพูดคุยทั้งสองแน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าของห้องกับเจ้าของหอนี่

“ศิษย์พี่ใหญ่ ช่วงนี้ท่านไม่ได้แวะเวียนไปเยี่ยนน้องอวี้หลายวัน ไม่กลัวผู้อื่นจะแย่งความดีความชอบไปหมดหรือเจ้าคะ”

“หึหึ อิงฮวา เหตุใดจึงกล่าวดั่งเช่นไม่รู้จักตัวข้าเช่นนั้นกัน ตัวข้าชมชอบเซียนอวี้ด้วยใจจริงเหตุใดต้องกลัวว่าจะมีผู้ใดมาคิดแย่งชิงได้ ใจรักที่มั่นคงไม่อาจแปรผันของข้า ย่อมไม่ยอมให้ผู้ใดมาพรากเราสองได้หรอกนะอิงฮวา”

“เช่นที่ท่านวางแผนการทุกอย่างนี้เพียงเพราะพบหน้าน้องอวี้ครานั้นเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”

“ใจข้ามอบให้น้องอวี้ตั้งแต่แรกเห็น ไม่แปลกหากจะต้องวางแผนเพื่อให้ได้ใกล้ชิดเช่นนี้”

“หากน้องอวี้รู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งตัวข้าและท่านเป็นเพียงแผนการเพื่อใกล้ชิดเขาจะเกิดสิ่งใดขึ้นกันนะ”

“อย่าได้กล่าวมากความไปศิษย์น้องเล็ก ไปดูร้านของเจ้าเสีย ข้าจะพักผ่อน”

อ่า เป็นแบบนี้เองสินะ ทั้งการพบกันของผมกับพี่อิงฮวา ทั้งการพูดคุยต่างๆและเหตุผลที่ยกมาขู่ตอนนั้นด้วย อะไรจะทุ่มเทเพื่อคนที่สนใจกันขนาดนี้ครับ ลุงละนับถือจริงๆ

ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรให้สงสัยกับท่านพี่เฟยหลงแล้ว ต่อไปคนที่ใกล้ที่นี่ก็เป็นท่านพี่ซางไป๋สินะ พอคิดแบบนั้นก็เปลี่ยนเสนทางไปที่ร้านท่านพี่ซางไป๋

ที่ร้านนี้จะขายสินค้าจากแคว้นหยุนเป็นหลักเลยมีหน้าร้านตามปกติ ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่ของท่านพี่ซางไป๋กับคนของเขา พอแอบมาตอนที่ไม่รู้ตัวแบบนี้ก็เจอภาพที่หาได้ยากของคนตรงหน้า เวลาทำงานดูจริงจังจนเหมือนจะดึงดูดสายตาเอาไว้แบบนั้นเลยครับ

ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เห็นในทุกครั้งอีกครับ ดูน่าหลงใหลเหมือนมีออร่าออกจากตัว เพ้อไปไกลครับแทบตกต้นไม้ ลุงว่าเป็นเอามากครับ

“องค์ชายพะยะค่ะ พระองค์ไม่เสด็จกลับไปแบบนี้จะดีหรือพะยะค่ะ”

“ดีแล้วท่านพ่อบ้าน ข้ากล่าวกับเสด็จพ่อไปหลายครั้งแล้วเรื่องศึกชิงบัลลังก์นั่น ข้าไม่ขอมีอำนาจจากการเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือดเช่นนั้นหรอก อีกทั้งการที่ข้าออกมาเช่นนี้ย่อมเป็นผลดีต่อคนที่ข้ารักอย่างน้องอวี้มากกว่า ท่านไม่คิดเช่นข้าหรือท่านพ่อบ้าน”

“องค์ชาย แล้วเหตุใดท่านจึงไม่แจ้งแก่คุณชายฟางเล่าขอรับเรื่องที่ท่านทิ้งยศศักดิ์อ๋องมาเป็นฑูตต่างแคว้นเพื่ออยู่เคียงข้างคุณชายฟางเช่นนี้”

“เรื่องที่ข้าจากบ้านเมืองมาที่นี่ไม่ใช่ความผิดของเซียนอวี้เช่นที่ผู้คนกล่าว ที่ข้าจากมาเพราะข้าต้องการอยู่ใกล้กับคนที่ข้ารักเท่านั้น หยุดกล่าวเรื่องนี้เถิด ข้าต้องการตรวจบัญชีการค้า...”

เสียงปรึกษายังคงดังต่อเนื่องไม่มีหยุดหลังจากที่ผมหลบออกมาแล้ว จะบอกยังไงดีเกี่ยวกับความรู้สึกในตอนนี้ของผม ความรักของท่านพี่ซางไป๋ช่างยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครจริงๆ

แผนการย่องเบาถูกเปลี่ยนไปเป็นการกลับมาทิ้งตัวที่ร้านเซียนของตัวเอง มีเรื่องให้คิดมากในช่วงนี้ จะว่าไป นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ปล่อยตัวไปกับน้ำเมาเหมือนตอนเครียดกับงานในโลกก่อน คงตั้งแต่ที่มาที่นี่ละครับที่ห่างหายไป

ความเงียบสงบยามค่ำคืนสวนทางกับความว้าวุ่นภายในใจของผมในตอนนี้ หลายครั้งที่ลุงเอาแต่บอกว่าเรื่องเครียดไม่เหมาะกับลุง เพราะความเครียดทำให้ดูอ่อนแอลงเสมอ แต่พอปัดมันทิ้งไปหลายๆครั้งกลายเป็นว่ามันทับถมจนเต็มไปหมด การจะขจัดมันออกไปได้คงมีแต่จัดการกับมันเท่านั้น

ครั้งนี้คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมจะทำตัวแบบนี้ เหล้าที่ผมแอบหยิบมาดื่มตอนนี้มีฤทธิ์ที่ไม่แรงมากนัก แต่กับร่างกายที่เป็นเด็กในตอนนี้คงไม่แปลกหากจอกแรกจะเรียกสติที่มีให้หายไป

“เหตุใดเจ้าถึงมาร่ำสุราจนเมามายยามนี้กันน้องอวี้ “ เสียงทุ้มดังขึ้นจากตรงหน้า หน้าคุ้นๆ

“หืม เสี่ยวลวี่เองหรอครับ มาๆ มาดื่มกันๆ” พอมีคนมาก็ชวนดื่มตามมารยาทที่ดีโดยลืมที่จะคิดไปว่าพลาดไปแล้ว แต่จะว่าลืมก็ไม่ได้ เพราะตอนนี้คำว่าสติสะกดแบบไหนลุงก็คงบอกไม่ได้

“ดื่มจนเมามายแล้วควรไปนอนพักเสียน้องอวี้”

“ไม่ๆ ผมยังไม่เมา ยังโอเคอยู่ครับ มาคุยกันๆผมมีเรื่องอยากระบายมากมายเลย”

“เจ้ามีความทุกข์เหตุใดจึงไปบอกกล่าวแก่พวกข้ากันนะน้องอวี้ แล้วสิ่งที่เจ้ากำลังกล่าวมีความหมายเยี่ยงไร เหตุใดข้าจึงไม่ค่อยจะเข้าใจมัน”

“อย่าถามๆ จะเล่าให้ฟัง ตั้งใจฟังดีๆละกันนะเสี่ยวลวี่”

“เช่นนั้นทุกคนควรรับรู้พร้อมกัน” ผมไม่สนใจคำพูดของคนที่ขยับมาประคองตัวผมในตอนนี้และไม่รู้ว่าร่างที่พิงอยู่กำลังทำอะไรบ้าง

“รู้ไหมว่าผมตกใจมากแค่ไหนตอนที่รู้ว่าตัวเองต้องตาย มันน่ากลัวมากเลยแต่มีเรื่องที่น่ากลัวมากกว่าคือตื่นขึ้นมาในร่างของใครก็ไม่รู้ อึก” จิบสักนิดแก้คอแห้ง

“จะโวยวายก็ไม่ได้เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด เสี่ยวลวี่คิดดูแล้วกัน ผมอายุตั้งห้าสิบสี่ปีแล้วครับ ต้องมาอยู่ในร่างเด็กอายุสิบสี่แบบนี้ รู้ไหมว่ากว่าจะปรับตัวได้มันลำบากขนาดไหน แต่เพราะผมเป็นคนที่อัจฉริยะมากๆไงครับมันเลยสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีหลุดเหมือนกัน”

“แต่มันก็มีเรื่องแปลกเข้ามาอีก รู้ไหมผมดันเผลอใจเต้นกับคนที่เข้ามาหาผม คนที่บอกว่าอยากเป็นเพื่อน เป็นพี่ ผมก็เป็นผู้ชายครับ ทำไมถึงมาหวั่นไหวกับผู้ชายด้วยกันได้ก็ไม่รู้ โลกก่อนผมไม่เคยมีแฟนแต่ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องเป็นเกย์นี่ถูกไหม”

“แต่คุณรู้ไหมว่าที่น่าตกใจที่สุดคืออะไร ผมเฝ้าตามหาความจริงว่าเพราะอะไรผมถึงต้องมาอยู่ที่นี่ และเพราะอะไรเจ้าของร่างนี้ถึงตามหาแม่ตัวเอง ความจริงอย่างแรกที่ผมได้รู้คือร่างนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฮ่องเต้ มันน่าตกใจใช่ไหมครับ ผมเป็นลูกชายคนเดียวของน้องสาวแท้ๆองค์ไทเฮา”

“ถ้าฟังเรื่องนี้แล้วตกใจ เรื่องต่อไปตกใจมากกว่าแน่นอน คุณรู้ไหม เมื่อไม่กี่วันก่อนผมรู้ความจริงเรื่องที่ผมมาที่โลกนี้แล้วครับ อย่าตกใจมากเกินไปละ เพราะว่าดวงวิญญาณหรือดวงจิตของผมกับเจ้าของร่างนี้เป็นดวงเดียวกัน ในอดีตเราสองคนเป็นเซียนดูแลบ่อน้ำแห่งความหวังของท่านเทพบรรพกาล แต่โดยทำร้ายในหน้าที่จนบาดเจ็บและตายลง”

“มันน่าขำตรงที่ดวงจิตเราแยกเป็นสอง ผมไปเกิดในโลกอื่นที่แตกต่างกับพวกคุณส่วนเจ้าของร่างเกิดที่นี่ตามชะตาลิขิตไว้ เมื่อถึงเวลาที่ดวงจิตร่างนี้อ่อนแอผมเลยถูกดึงกลับมา และการดึงกลับมา ผมที่อยู่โลกนั้นต้องตาย”

“ความตายมันน่ากลัวมากครับ ผมยังจำความเจ็บปวดยามที่มีดแทงลงมาบนตัวได้ดี มันทรมาน แต่แล้วยังไง ผมในตอนนี้ก็ยังไม่ตาย”

“คุณรู้ไหมเสี่ยวลวี่ พอผมปลดความสงสัยในเรื่องต่างๆได้หมดแต่เรื่องที่ค้างคาใจที่สุดกลับไม่ยอมไปไหน มันติดค้างจนต้องตามหาความจริง และสิ่งที่ผมได้รู้มันก็มากมายจนเกินจะรับไหว ผมรู้ว่าพวกเขารักผมมาก มากจนน่ากลัว ผมกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถดูแลความรักของพวกเขาได้ดีอย่างที่พวกเขาต้องการ”

“คุณรู้ไหม ท่านพี่เฟยหลงยอมทำแผนการต่างๆเพื่อเข้าหาผม ท่านพี่ซางไป๋ยอมทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังเพื่อมาอยู่ที่แผ่นดินแคว้นเซียนร่วมกัน ท่านพี่กงหมินที่มีพร้อมทุกอย่างไม่ยากที่จะหาคนข้างกายกลับพยายามเอาใจใส่เด็กผู้ชายที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา ไหนจะท่านกุนสือหม่าอิงเชียงที่ได้พบกันไม่นานก็ดูรู้ว่าสนใจกัน ไหนจะท่านอีกท่านเทพมังกร ท่านเป็นถึงเทพแต่กลับต้องมาผูกติดกับข้ามนุษย์เดินดินธรรมดา ไหนจะท่านพี่อวิ๋นอี้ที่ถูกข้ากลั่นแกล้งจนวุ่นวาย”

“ตัวผมไม่ได้มีอะไรดีขนาดที่ทุกคนจะต้องมาหยุดที่ผมแบบนี้ ทำไมทุกคนถึงต้องทำอะไรมากมายเพื่อผมด้วย ผมดีใจนะที่มีคนมารักผมแต่ผมก็กลัว กลัวว่าสักวันผมจะทำร้ายพวกเขาด้วยมือคู่นี้ เหมือนที่ผมทำร้ายจิตใจของท่านพี่ซางไป๋โดยไม่รู้ตัวอย่างครั้งก่อน”

“ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปแล้วครับ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้ทุกอย่างลงตัว ผมไม่ชอบอะไรที่แปลกใหม่แบบนี้ มันแปลกจนเกินจะตามทัน ผมไม่เคยมีความรัก ไม่แปลกที่ผมจะกลัว ครั้งแรกผมยังคิดว่าตัวเองเห็นแก่ตัวที่คิดจะเอาความรักของเจ้าของร่างนี้มาเป็นของตัวเอง แต่แล้วก็กลายเป็นว่าร่างนี้ก็คือผมเช่นกัน”

“มันสับสน มันดูวุ่นวายไปหมด หรือว่าผมควรจะถอยออกมาดีครับ ทุกคนจะได้ไม่ต้องทำอะไรอีก ไม่ต้องมาคอยกังวลเวลาที่ผมหนีไปเล่นซนหรือทำให้ลำบากใจ”

“ข้าไม่รู้ว่าที่เจ้ากล่าวมานั้นคือสิ่งใดบ้าง แต่อย่าบอกว่าจะหนีจากพวกข้าได้หรือไม่ หากเจ้าตัดสินใจเช่นนั้นมิเป็นการฆ่าพวกข้าทุกคนทางอ้อมหรืออย่างไรน้องอวี้” เสียงที่ดังจากร่างที่ผมใช้พยุงร่างกายตอนนี้ขัดความคิดของผม

“แต่ว่ามัน”

“วันนี้เจ้าเมามายยิ่งนัก เอาไว้เจ้ามีสติมากกว่านี้เราค่อยนำเรื่องที่เจ้าว้าวุ่นใจยามนี้มาพูดคุยกันดีหรือไม่”

“แต่ว่าข้า”

“ไม่มีแต่เช่นนั้นอีกแล้วน้องอวี้ ยามนี้เจ้าควรได้พักผ่อนก่อนดีที่สุด จนหลับเสีย พรุ่งนี้พวกเราคงต้องปรึกษากันอย่างจริงจังเสียที” นั่นเป็นเสียสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะถูกตัดไป

ยามเช้ามาเยือนอีกครั้งกับอาการปวดหัวจากการดื่มเหล้าอย่างหนักเพื่อต้องการจัดการความรู้สึกที่ติดค้างในใจอย่างที่หาทางออกไม่ได้ และก็รู้ตัวว่าถึงจะเมาขนาดไหนแต่ผลสุดท้ายปัญหามันก็ยังคงอยู่เมื่อลืมตาตื่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“เจ้าตื่นแล้วหรือ”

“ท่านเทพมังกรหรือ” ในความทรงจำลางๆที่นึกออก ดูเหมือนว่าเมื่อคืนจะเป็นชายตรงหน้าที่คอยดูแลและอยู่เป็นเพื่อนทั้งรับฟังเรื่องราวที่ไม่น่าจะรู้เรื่องด้วยจากคนเมาแบบเขา อาการแบบนี้บ้านลุงเรียกเมาเหมือนสุนัขครับ

“ข้าปวดหัว”

“ดื่มน้ำแกงก่อนเถิด จะได้รู้สึกดีขึ้น”

“ขอบคุณขอรับ” ผมรับน้ำสีแปลกตามีจิบ ความขมแล่นเข้าสู่ประสาทการรับรู้เล่นเอาตื่นเต็มตาเรียกว่าสร่างเลยทีเดียว ของเขาดีจริงๆ

“ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่”

“ขอรับ”

“เช่นนั้นก็ตามข้ามาเถิด พวกเขารอฟังคำชี้แจงจากเจ้าเหมือนกับตัวข้าเช่นกัน” ไม่เข้าใจที่ชายตรงหน้าบอกแต่ก็ยอมที่จะเดินตามออกไป

ที่ศาลากลางน้ำมีร่างของคนที่ผมคุ้นเคยทั้งห้าคนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อผมเดินเข้าไปนั่งในส่วนที่ถูกเว้นไว้ก็กลายเป็นตอนนี้มีร่างของผู้ชายเจ็ดคนที่นั่งกันอยู่ที่ศาลากลางน้ำกับบรรยากาศยามเช้าที่เงียบสงบจนน่าแปลกในที่มันกลับผ่อนคลายกว่าที่ผ่านมา

“เจ้าเป็นญาติกับชิวเยี่ยอย่างที่กล่าวยามเมาจริงหรือไม่”

“ท่านพี่กงหมิน ท่านรู้ได้อย่างไรกัน”

“ข้าใช้พลังเพื่อให้พวกเราในที่นี้ทุกคนรับรู้การพูดคุยของข้าและเจ้ายามที่เจ้าเมามาย”

“เฮ้อ รู้ทุกอย่างใช่หรือไม่ ที่ข้าเล่าเมื่อคืนตอนเมา ตัวข้าระบายทุกอย่างจริงหรือไม่”

“เป็นเช่นนั้น” เป็นท่านพี่อวิ๋นอี้ที่ดูรับกับสถานการณ์ในตอนนี้ได้ดีเพราะไม่มีท่าทีตกใจอะไรมากอย่างคนอื่น แต่ก็สั่งเกตว่าสะดุดเพียงเล็กน้อยยามที่ได้ยินว่าผมเป็นญาติกับฮ่องเต้จริงๆ

“ชิวเยี่ยรู้หรือยัง”

“ตัวข้าคิดว่าท่านพี่ชิวเยี่ยน่าจะได้รู้จากท่านพี่จินเทาแล้วขอรับท่านพี่กงหมิน”

“พบท่านอ๋องจินเทาแล้วหรือ”

“ขอรับท่านพี่ซางไป๋”

“ยามที่เจ้าเมามายเจ้ากล่าวว่าตนเป็นดวงจิตจากอีกโลกที่ถูกดึงมาที่นี่และได้รับรู้ความจริงว่าดวงจิตนี้คือดวงจิตเดียวกันและอดีตเจ้าเคยเป็นเซียนเฝ้าบ่อน้ำแห่งความหวังของท่านเทพบรรพกาล”

“ขอรับท่านพี่ลวี่หลง” ดูเหมือนว่าตอนที่ผมหลับจะขึ้นไปตรวจสอบเรื่องราวมาแล้วเหมือนกันเลยดูจะเชื่อง่ายกว่าที่เห็น

“และที่พวกข้าทุกคนได้ยินคือเจ้ากำลังกลัวความรักจากพวกข้า เหตุใดกันน้องอวี้”

“เพราะความรู้สึกของท่านพี่เฟยหลงและทุกคนมันยิ่งใหญ่จนตัวข้าเองกลัวว่าพวกท่านจะต้องเสียใจที่ทำเพื่อข้าเช่นนั้น”

“พวกข้าจะไม่เสียใจที่ทำเพื่อเจ้าน้องอวี้ แต่พวกข้าจะเสียใจหากเจ้าปฏิเสธมันเพราะความกลัวของตัวเจ้าเอง”

“ท่านพี่อิงเชียง” สมกับเป็นกุนซือมากฝีมือ คำพูดคำจาตัดพ้อจนน่ากลัว

“ในที่นี้ดูเหมือนข้าจะอายุมากที่สุดยกเว้นท่านเทพมังกรไว้คนหนึ่ง ข้าอยากจะให้คำชี้แนะกับตัวเจ้าน้องอวี้ ในเรื่องของความรู้สึกนั้นไม่สามารถที่จะหักห้ามกันได้ และข้าเองก็คิดว่าพวกเขาคงไม่ยอมจะปล่อยมือจากเจ้าเช่นกัน ดังนั้นหากการกระทำของพวกเขาไม่ได้ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดีแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเปิดใจตนเองเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าหรือไม่”

“แต่ข้า”

“หรือเจ้าอึดอัดใจ”

“ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับท่านพี่เฟยหลง เพียงแต่ว่า เฮ้อ ขอรับ นับจากนี้ข้าจะทำความเข้าใจกับมัน แต่ข้าไม่สามารถบอกได้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน”

“เพียงเจ้ายอมที่จะเปิดใจ ไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวว่าจะไปได้ไกลเช่นไร พวกข้าขอแค่ยืนข้างกายเจ้าอย่างที่เจ้าไม่อึดอัดใจก็เพียงพอ”

“ขอบคุณมากขอรับที่เข้าใจข้า ว่าแต่ เหตุใดท่านพี่อวิ๋นอี้ถึงกล่าวว่าพวกเขา เช่นนั้นแปลว่าท่านไม่ได้ชมชอบข้าเช่นนั้นสินะขอรับ”

“เจ้ามารน้อยอย่าได้หลอกล่อข้าด้วยใบหน้าอันบริสุทธิ์เช่นนั้นเลย การที่ข้ามาอยู่ตรงนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรืออย่างไร”

“พูดออกมาว่าชอบข้าก็จบแล้วขอรับ”

“เจ้าเด็กแก่แดด”

“ฮ่าๆๆ”

พอเข้าใจกันมันก็ดีแบบนี้เองสินะครับ เรื่องความคิดมากก็ควรที่จะปล่อยมันได้แล้ว ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้ผมหนักใจอีกแล้ว การเปิดใจยอมรับในทุกๆเรื่องจะทำให้ผมเจอความสุขเข้ามาในชีวิตใช่ไหมครับ ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็ดีใจมากจริงๆ
TBC

เรื่องราวหลังครัวปิด

เซียนอวี้ : หลายคนอิจฉาที่ผมมีหนุ่มๆมารุมล้อมต้องเข้าใจนะครับว่าลุงเป็นคนน่าตาดีมาก
เฟยหลง : ถึงพวกข้าจะเข้าใจว่าเจ้ามาจากอีกโลกก็จริงแต่เจ้าช่วยพูดตามปกติได้หรือไม่
ซางไป๋ : เหตุใดพอได้ฟังข้าถึงนึกหมั่นไส้ในคำพูดแปลกประหลาดจากเจ้ากันแม้ข้าจะไม่เข้าใจมันก็ตาม
กงหมิน : หยุดกล่าววาจาแปลกประหลาดแล้วมาทานข้าวกันเสียที ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการอีกมาก
เซียนอวี้ : โอ๊ะ ท่านพี่กงหมินอย่าลากตัวข้าเช่นนั้นขอรับ ข้าเดินเองได้

เสี่ยวมู่ : เหตุใดการทานข้าวของพวกเขาทั้งเจ็ดคนต้องเข้าไปทานที่ห้องนอนกันเล่าขอรับ แล้วท่านพี่เซียนอวี้ใยต้องร้องเสียงดังกัน
อิงฮวา : เสี่ยวมู่ เหตุใดเด็กน้อยเช่นเจ้าถึงมายืนเคร่งเครียดตรงนี้ผู้เดียวกัน
เสี่ยวมู่ : ข้าเพียงสงสัยในเสียงร้องของท่านพี่เซียนอวี้ที่หายเข้าไปในห้องนอนพร้อมพี่ชายทั้งหกคนขอรับท่านพี่อิงฮวา
อิงฮวา : โถ ผ้าขาวบริสุทธิ์ของข้า ไว้เมื่อเจ้าโตขึ้นเจ้าจะเข้าใจมันนะ ยามนี้ไปทานขนมกับพี่สาวดีกว่า   (จูงมือเสี่ยวมู่หลบไปอีกทาง)

ลงเนื้อหา 4/10/61
ปรับปรุงเนื้อหา 30/5/62
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2019 18:18:19 โดย minibearsecret »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ฤทธิ์เหล้า ทำให้ความลับถูกเอ่ย ลุงจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
7p หรือนี่............   :z1: :pighaun: :haun4:
แต่ได้แค่มโน ฮือๆ.........:z3: :z3: :z3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด