#17
เมื่อคืนลุงทำการเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับร่างนี้เข้าด้วยกันแต่ก็ยังไม่มีจุดที่จะเชื่อมโยงทั้งสองฝั่งเข้าหากันอยู่ดี มันต้องมีสิความรู้สึกลุงมันบอกแต่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรมากกว่า
กำลังคิดจะเข้าครัวทำขนมคลายเครียด เงาจากท่านพี่กงหมินก็เข้ามาบอกว่าท่านพี่กงหมินรออยู่ที่ศาลาริมน้ำที่ร้านเซียนอวี้แล้ว อะไรกันนึกจะมาก็มาไหนว่างานยุ่งกันนักไม่ใช่หรือไง ไม่ได้งอนอะไรทั้งนั้นใครว่าลุงงอนลุงจะเคือง
ร้านเซียน
“ลมอะไรหอบท่านมาพบน้องแต่เช้ากันหรือขอรับท่านพี่กงหมิน”
“คงเป็นลมแห่งความคะนึงหาเสียแล้วกระมังที่พัดพี่มาหาเจ้า”
“กล่าววาจาเกี้ยวพาราสีคล่องปากเช่นนี้ เกรงว่าท่านพี่กงหมินคนดีคงจะใช้บ่อยเสียแล้วสินะขอรับ”
“ข้าดีใจที่เจ้าหึงหวง”
“หยุดกล่าววาจาเลื่อนลอยเสียเถิดขอรับ ว่าแต่มีเรื่องอันใดหรือไม่ที่มาพบน้อง”
“หึหึ เอาเถิดเข้าเรื่องเสียก่อนที่เจ้าจะเขินอายกว่าเดิม”
“หึ” ผมหยิบขนมปังมากินระหว่างรอว่าฝ่ายตรงข้ามที่นั่งมองหน้ากันมีเรื่องอะไรจะพูด
“นักรบเงาบอกแก่ข้าว่าเจ้ากำลังสนใจเรื่องของราชวงศ์”
“มีหลายอย่างที่น้องพยายามค้นหาแล้วไม่พบ”
“พี่ช่วยเจ้าได้หรือไม่”
“ท่านจะไม่ถามหรือว่าน้องหาสิ่งใด”
“ข้าไม่ถามเพราะรู้ว่าเจ้าไม่ได้ทำเรื่องที่เดือดร้อนต่อผู้ใด”
“ท่านก็สปอยล์ข้าดีเสียจริง”
“เจ้ากล่าวสิ่งใด”
“น้องหมายถึงว่าท่านเอาใจน้องเสียจริงขอรับ”
“ก็เพราะเป็นเจ้าหรอกนะ ข้าถึงชอบเอาใจ”
“เช่นนั้นน้องสอบถามเรื่องที่สงสัยได้หรือไม่ขอรับ”
“ถ้าพี่รู้พี่จะตอบเจ้าตามจริง”
“น้องอ่านประวัติราชวงศ์มาหลายต่อหลายเล่ม ทุกเล่มจะระบุเพียงว่าฮ่องเต้หลงชิวเยี่ยมีน้องชายสามคน คนรองหลงหยงจิน ตอนนี้รับตำแหน่งอ๋องเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นเพื่อนบ้านในฐานะทูตการค้า กับคนสุดท้องร่วมมารดา หลงจินเทา ได้รับตำแหน่งอ๋องเช่นกัน แต่ปัจจุบันหายไป ข้าอยากทราบเรื่องของอ๋องคนน้องว่าหายไปที่ใด”
เพราะอยู่กันตามลำพังและลุงไม่อยากพูดศัพท์ราชวงศ์ให้มากมายก็เอาแบบกันเองกันเองไปก่อนละกันครับ เข้าใจง่ายดี
“ข้าเป็นเพื่อสนิทของฮ่องเต้และฮองเฮาในสมัยนี้มาตั้งแต่พวกเรายังเด็ก เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถบอกแก่ภายนอกได้ แต่เพราะเป็นเจ้าเซียนอวี้ข้าจะเล่าให้ฟัง” ผมว่างของกินนั่งเรียบร้อยรอฟังเรื่องราวอย่างตั้งใจ
“ชิวเยี่ยเป็นโอรสองค์โตที่กำเนิดจากครรภ์องค์ไทเฮา หรืออดีตฮองเฮาในรัชสมัยฮ่องเต้หลงจินซี จึงได้เป็นรัชทายาทตามธรรมเนียมแคว้นเซียน องค์ต่อมาหลงหยงจินเป็นองค์ชายที่มีความสามารถด้านการพูดและชื่นชอบการค้าเลยขอพระราชทานอนุญาตจากฮ่องเต้หลงจินซีเป็นฑูตการค้าประจำแคว้นและรับตำแหน่งอ๋องเมื่อรัชทายาทชิวเยี่ยขึ้นรับตำแหน่งฮ่องเต้ในปัจจุบัน”
ผมส่งจอกน้ำชามะลิให้เพื่อแก้อาการกระหายน้ำ อีกฝ่ายรับแล้วส่งยิ้มขอบคุณมาให้ก่อนจะเริ่มเล่าต่อ
“หลังจากที่ฮ่องเต้ชิวเยี่ยขึ้นครองราชย์และอ๋องหยงจิงเดินทางไปการฑูตต่างแคว้นองค์ชายหลงจินเทาก็มาเข้าเฝ้าเพื่อถอนยศอ๋องที่จะพระราชทานตามบรรดาศักดิ์เพื่อเข้ารับตำแหน่งเจ้าตำหนักชะตาลิขิต แต่ฮ่องเต้ชิวเยี่ยไม่ยอม ให้พระอนุชารับยศอ๋องตามเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง เลยกลายเป็นว่าอ๋องจินเทาก็ยังคงมียศอ๋องแต่ออกจากพระราชวังไปพำนักอยู่ที่ตำหนักชะตาลิขิตเพื่อดำรงตำแหน่งเจ้าตำหนักจนปัจจุบัน”
“ตำหนักชะตาลิขิตหรือขอรับ เหตุใดข้าถึงมิเคยได้ยินชื่อกัน” พยายามนึกแต่กลับมีม่านหมอกมาบดบังเหมือนเรื่องของแม่ร่างนี้เลย เดี๋ยวนะ ม่านหมอกบดบัง หรือว่า
“เป็นตำหนักที่อยู่ในหุบเขาไม่ย่างกลายออกมาให้โลกภายนอกรับรู้แต่จะปรากฎตัวเฉพาะกับผู้ที่ถูกลิขิตชะตาไว้เท่านั้น แม้กระทั่งฮ่องเต้หากมิได้มีเรื่องที่เกี่ยวข้องจะไม่สามารถพบหน้ากับอ๋องจินเทาเช่นกัน แต่ดูเหมือนช่วงที่เจ้าเข้าเฝ้าไม่นานอ๋องจินเทาก็มาพบชิวเยี่ย แต่ไม่รู้มาด้วยเรื่องอะไรเช่นกัน”
มาพบหลังจากที่เราเข้าเฝ้า มันต้องเกี่ยวข้องกันแน่ ทั้งเรื่องที่เรามาที่นี่และเรื่องของเจ้าเด็กคนนี้ต้องเกี่ยวกับตำหนักชะตาลิขิตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ข้าอยากรู้เรื่องของตำหนักชะตาลิขิต เหตุใดจึงเรียกเช่นนั้นและตำหนักนั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับราชวงศ์หรือขอรับท่านพี่กงหมิน”
“อืม มันเป็นเรื่องที่มีแต่คนรุ่นก่อนเท่านั้นที่รู้แต่เห็นแก่ที่เจ้าถามมาข้าจะบอกเช่นกัน เดิมทีผู้นำตำหนักมีนามว่าอิ๋นซูเป็นบุตรสาวของเจ้าตำหนักคนก่อนมีวิชาการหยั่งรู้เห็นในสิ่งที่ผู้อื่นในแผ่นดินมิมี ต่อมาท่านอิ๋นซูแต่งท่านอิ๋นเยี่ยเข้าจวนใช้แซ่ของท่าน เดิมท่านอิ๋นเยี่ยคือท่านอ๋องเยี่ยพระอนุชาอดีตฮ่องเต้หลงจินเทียนพระโอรสร่วมครรภ์ฮองเฮาอิ๋นเหมยในรัชสมัยฮ่องเต้จินเหอ”
อย่างที่เราเคยอ่านมาเรื่องการแต่งงานของญาติกัน แปลว่าไทเฮาอิ๋นเหมยคือบุตรสาวของเจ้าตำหนักชะตาลิขิต ท่านอ๋องจินเทาเลยกลับไปรับหน้าที่สืบทอดเช่นเดิม
“ท่านอิ๋นเยี่ยและท่านอิ๋นซูมีบุตรสาวฝาแฝดคนพี่คือองค์ไทเฮาส่วนคนน้องไม่ปรากฏ องค์ไทเฮามีวิชาของตำหนักชะตาลิขิตคือการหยั่งรู้และสืบทอดมาที่อ๋องจินเทาจึงเป็นเหตุผลให้พระองค์ต้องกลับไปสืบทอดรับตำแหน่งเจ้าตำหนักเพื่อการคงอยู่ของตำหนักจนปัจจุบัน”
“ท่านพี่กงหมินกล่าวว่าท่านอิ๋นซูมีวิชาหยั่งรู้และมองเห็นในสิ่งที่ผู้อื่นมิเห็นแล้วเหตุใดองค์ไทเฮาจึงมีเพียงการหยั่งรู้เล่าขอรับ”
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
“แล้วเรื่องของน้องสาวขององค์ไทเฮา ไม่มีการพบเจอเลยหรือขอรับ”
“ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางคือใครและตอนนี้นางอยู่ที่ใด”
“แล้วเหตุใดท่านจึงรู้เรื่องนี้ดียิ่งขอรับ”
“เพราะตระกูลของข้ารับใช้ราชวงศ์มาชั่วอายุคนจึงมีแปลกที่จะรับรู้เรื่องราวมากกว่าผู้ใด ว่าแต่เหตุใดเจ้าจึงสนใจในเรื่องของวิชาองค์ไทเฮากันเล่า”
“ไม่มีอันใดขอรับข้าเห็นว่าเป็นความรู้ใหม่เพียงเท่านั้น”
“ใฝ่รู้ยิ่งนัก นี่ก็ได้เวลาเข้าวังของข้าแล้ว ไว้วันหน้าข้าจะหาเวลามานั่งคุยเล่นกันเจ้า อืม ข้าเล่าไปหลายเรื่องทีเดียว เจ้ามีของตอบแทนพี่หรือไม่น้องอวี้”
“รับขนมไหมขอรับ”
“ข้าอยากได้ตรงนี้” อีกแล้วคิดจะลวนลามกันอีกแถมยังมีหน้ายื่นหน้ามาใกล้ แล้วไอ้ที่ชี้มันปากไม่ใช่หรือไงกัน
“น้องไม่เข้าใจ”
“ข้ารู้เจ้าเข้าใจ อย่างไรหากเจ้าทำเจ้าเลือกได้ว่าเพียงเท่าใด แต่หากข้าลงมือ อาจจะมิหยุดเพียงจะ-”
“พอใจท่านแล้วหรือไม่ น้องไม่ส่งขอรับ ขอตัว”
ลุงอายหนักมาก ถึงจะอยู่ในร่างเด็กของเจ้าหนูเซียนอวี้แต่ข้างในก็ลุงมากอายุคนหนึ่งนะ จะให้มาทำอะไรราวกับเด็กแรกรุ่นมันก็อดเขินตัวเองไม่ได้ทุกครั้ง แถมไอ้เรื่องใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้พวกเขาอีก บ้าที่สุดนอกจากจะต้องตกใจที่หวั่นไหวกับผู้ชายแล้วยังต้องมาตกใจที่จำนวนคนที่หวั่นไหวมันมากกว่าหนึ่งนี่สิ
กับท่านพี่ซางไป๋ผมมีความสุขที่ได้โต้เถียงแม้จะเป็นเรื่องไร้สาระกันก็ตาม ท่านพี่กงหมินผมแพ้ความอ่อนโยนเอาใจใส่ของเจ้าตัว ท่านพี่เฟยหลงผมแพ้ความเป็นห่วงเป็นใยกับความอบอุ่นยามพึ่งพิงแม้จะชอบแกล้งกันก็ตาม
ท่านเทพมังกรลวี่หลงผมแพ้รอยยิ้มครับ ยิ้มที่อบอุ่นและเข้าใจว่าเวลาไหนผมรู้สึกแบบไหนต้องทำแบบไหนผมถึงพอใจ ส่วนท่านพี่อวิ๋นอี้ หลังจากที่ได้พูดคุยกลายเป็นผมแทนที่ติดการแกล้งให้อีกฝ่ายเขินอาย และคงเป็นคนเดียวที่ผมเข้าหาก่อนเช่นกัน
และคนสุดท้ายท่านกุนซือที่ไม่แสดงออกมาชอบกันเหมือนคนอื่นแต่ก็คอยมาอยู่เป็นเพื่อนแม้ว่างานตัวเองจะยุ่ง จะคอยหาหนังสือที่แปลกใหม่มาเอาใจหรือชวนไปที่อื่นเพื่อผ่อนคลาย แต่เพราะสายตาละครับที่ทำให้ผมมองออกว่าอีกฝ่ายกำลังสนใจผมอยู่
โลกก่อนผมไม่จำเป็นจะต้องมาห่วงเรื่องหัวใจตัวเองแบบนี้ และในโลกนี้หากจะทำตามใจตัวเองผมก็คิดว่าไม่ไหวเหมือนกันเพราะมันเป็นเรื่องที่แปลกมากเกินไปกับการคบผู้ชายหลายคนในครั้งเดียว ยังไงความรักมันก็ขึ้นอยู่กับคนสองคนเสมอ มันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในความคิดตั้งแต่โลกเดิม และร่างที่ผมใช้อยู่ก็ไม่ใช่ของตัวผม ผมไม่กล้าที่จะทำอะไรตามใจตัวเองมาไปกว่านี้แล้วครับ
คิดมากอะไรกัน นี่ลุงจริงหรือเปล่ามากดึงดราม่ากันทำไมนะ แนวของลุงมันต้องใช้ชีวิตสนุกให้คุ้มมากกว่า ว่าไปแล้วคนที่จะตอบเรื่องที่สงสัยให้กระจ่างคนสุดท้ายเห็นทีจะเป็นท่านพ่อของร่างนี้ซะแล้วสินะ นี่แหละแนวทางของลุง พุ่งชนเป้าหมาย มามัวคิดมากเรื่องอะไรอยู่ได้
“ท่านพ่อขอรับ ลูกได้ยินเด็กในตลาดต่างอวดอ้างว่าตนเป็นใครชื่อแซ่ของบิดามารดาต่างเอามาข่มกัน”
“ไม่ดีๆ เจ้าห้ามทำเช่นนั้นเสียละอวี้เอ๋อร์ รู้หรือไม่”
“ข้าทราบดีขอรับ เพียงแต่เมื่อได้ฟังข้ากลับย้อนมาดูตนเอง เหตุใดข้าถึงไม่สามารถพูดได้อย่างผู้อื่นเรื่องมารดาของข้ากัน ดูเหมือนหลังจากที่ฟื้นมาครานี้ข้าจำเรื่องราวของมารดายากกว่าเดิม ทั้งใบหน้าทั้งเสียง หรือแม้กระทั่งนามของมารดา”
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าช่างน่าสงสารยิ่งนัก เอาเถิดอยากถามสิ่งใดหรือไม่พ่อจะตอบเจ้าให้หายน้อยใจเสีย”
“ข้ามิได้น้อยใจมากเท่าใดเพียงแค่อยากรู้จักมารดาของตนเช่นรู้จักท่านพ่อเหมือนบุตรพึงทำเท่านั้นขอรับ”
“มารดาเจ้านามเซียนเป็นผู้หญิงที่สวยทั้งรูปและจิตใจ มีความเข้มแข็งต่างจากหญิงอื่น นางเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าข้ามากนัก นางปฏิเสธชายที่บิดามารดาของนางหามาให้แล้วเลือกที่จะออกมาอยู่กับข้า นางออกปากตัดขาดจากตระกูล แต่เพราะมีเพียงนางและพี่สาวฝาแฝดเท่านั้นที่เป็นบุตร จึงไม่สามารถทำได้ตามที่ออกปาก และตอนที่นางคลอดเจ้าออกมาท่านตาและท่านยายาของเจ้าก็มาหาเจ้านะรู้หรือไม่ พวกท่านจ้องมองเจ้า ข้ายังจำคำที่ยายของเจ้ากล่าวได้ดี นางบอกแก่ข้าและมารดาของเจ้าว่า ชะตาของเจ้าชั่งน่าสงสารในตอนต้นแต่จะดีเมื่ออยู่ครบดวงมีผู้ยิ่งใหญ่คอยอุปถัมภ์และได้สิ่งที่ควรจะเป็นกลับคืน ในตอนนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าครบดวงคือสิ่งใดเช่นกัน แต่เรื่องที่เจ้าดูแปลกไปแลคนที่เข้ามาเกี่ยวพันกับเจ้าทำให้ข้านึกเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน”
“ท่านพ่อขอรับ ก่อนที่ท่านแม่จะแต่งเข้าตระกูลฟางของท่านพ่อ ท่านแม่ใช้แซ่เดิมว่าอย่างไรหรือขอรับ”
“อิ๋น แซ่เดิมของมารดาเจ้าคืออิ๋น”
“อิ๋น ตำหนักชะตาลิขิต”
“อวี้เอ๋อร์ เจ้ารู้เรื่องตำหนักชะตาลิขิตด้วยหรือ”
“ท่านพ่อขอรับ เป็นท่านแม่ใช่หรือไม่ น้องสาวฝาแฝดขององค์ไทเฮา”
“อวี้เอ๋อร์เจ้ารู้”
“เป็นเรื่องจริงสินะขอรับ กับท่าทางของท่านในยามพบหน้าฮ่องเต้และทุกอย่างที่เกิดกับข้าเมื่อเข้าไปพบพระองค์ เหตุผลที่ท่านอ๋องจินเทาเข้าพบฮ่องเต้ชิวเยี่ยก็เช่นกัน หึ เป็นเช่นนี้เอง เหตุผลที่ข้าเฝ้าถามมาเสมอเมื่อลืมตาขึ้นมาทุกเมื่อเชื่อวัน การยัดเยียดตำแหน่งอ๋องทั้งที่พบเจอกับเพียงไม่กี่ครา ข้าเข้าใจทุกย่างแล้วท่านพ่อ”
“อวี้เอ๋อร์”
“ข้ามิเป็นไรขอรับ ข้าขอตัวไปทำขนมใหม่ก่อนขอรับ” ผมยิ้มอย่างสดใสให้ท่านพ่อของร่างนี้เหมือนว่าทำใจกับเรื่องที่รับรู้ได้แล้ว
ปัญหาที่คาใจเมื่อเข้ามาอาศัยร่างนี้อยู่ ปัญหาที่เจ้าตัวอยากจะรู้แต่ไม่สามารถจัดการได้จนกระทั่งจากไป ปัญหาเรื่องชาติกำเนิดของตน ผมสามารถทำให้ร่างนี้ตัดบ่วงไปได้อีกเรื่องนอกจากเรื่องของพ่อตน ความสงสัยที่ถูกส่งต่อมาจนทำให้ผมต้องค้นหาคำตอบจนสำเร็จ
ถ้าเทียบเรื่องราวแล้วสรุปก็คงออกมาอย่างง่ายว่าร่างนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฮ่องเต้ชิวเยี่ยจริง มีสายเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ในร่างแม้จะไม่มากเท่ากับญาติผู้พี่ทั้งสามก็ตาม และตามบรรดาศักดิ์ร่างนี้ควรได้รับยศจากสายเลือดที่สืบทอดมา
ไม่แปลกใจว่าทำไมร่างนี้ถึงมีความลับเรื่องการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นได้ ครั้งที่ได้ยินท่านพี่กงหมินบอกก็เอะใจอยู่เหมือนกัน เพราะว่าองค์ไทเฮาหรือป้าของเซียนอวี้ได้รับการหยั่งรู้และสืบทอดให้อ๋องจินเทาไป เหมือนกับที่ท่านแม่ของเซียนอวี้สามารถมองเห็นกระแสปราณและสืบทอดมาถึงเซียนอวี้เช่นกัน
เรื่องของเซียนอวี้จบไปแล้ว แต่คำถามที่คาใจผมมากที่สุดคือเพราะอะไรผมถึงต้องมาอยู่ในร่างนี้ และคงจะไม่สามารถหาคำตอบด้วยตัวเองได้ แต่ผมว่าผมหาคนอธิบายเรื่องนี้ได้ อย่างเจ้าตำหนักชะตาลิขิตคนปัจจุบันยังไงละครับ
“นายน้อยเจ้าค่ะมีชาวบ้านนำปาเจียว (กล้วยน้ำว้า) มาขายแก่ร้านอาหารฟางจำนวนมาก ท่านจะทำอย่างไรกับมันหรือเจ้าคะ”
“มาแล้วหรือ เมื่อหลายวันก่อนข้าได้ยินชาวบ้านที่ปลูกต้นปาเจียวพากันบ่นถึงผลผลิต อ่า ข้ามหมายถึงพากันบ่นถึงผลปาเจียวที่ปีนี้มีมากจนหาที่ขายไม่ได้ และคนก็ปลูกกันแทบทุกบ้านเช่นกัน ข้าคิดขนมเก็บไว้ทานเล่นได้เลยฝากจี้อันกับกวางเฟยที่ผ่านไปรับของให้บอกชาวบ้านให้นำมาขายแก่ข้าที่นี่เอง”
“ขนมทานเล่นหรือเจ้าคะ เช่นเดียวกับมังรังนกหรือไม่เจ้าคะ”
“ใกล้เคียง รอดูตอนที่เสร็จนะซีเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะ นายน้อย”
ระหว่างที่พูดผมก็ปอกเปลือกกล้วยน้ำว้าห่ามใส่ลงในน้ำที่ผสมน้ำมะนาวกันดำไว้ก่อนแล้ว พอได้ตามที่ต้องการก็จัดการฝานกล้วยเป็นแผ่นทอดลงในกระทะที่ซีเอ๋อร์จัดการตั้งไฟไว้ก่อนหน้า คนเบาๆพอไม่ให้กล้วยติดกัน พอเหลืองกรอบก็ตักออกมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน
เสร็จแล้วก็เปลี่ยนไปหยิบหม้อมาแทนที่ใส่น้ำตาลทราย เกลือและน้ำเปล่า เคี่ยวจนน้ำตาลเป็นผลึก ก่อนจะนำไปราดกล้วยที่ใส่ถาดไว้ก่อนหน้าคลุกให้เข้ากัน พักจนหายร้อน แบ่งใส่ถุงไว้ขายหน้าร้านเซียนส่วนหนึ่ง อีกส่วนแบ่งไปตามจวนของพวกท่านพี่ตามที่เคยบอกซีเออ๋ร์ไว้และแยกให้เสี่ยวเปาที่นั่งมองดูมานานไปส่งท่านพ่อเช่นเคย
เรื่องของการแบ่งก็ให้เงาของแต่ละนายเอาไปส่งนายตัวเองและฝากไปส่งที่ร้านเซียนให้ท่านตาหลิว,เสี่ยวมู่,ท่านพี่อวิ๋นอี้,ท่านเทพมังกรและเด็กในร้านได้ชิมในส่วนที่แยกจากของขาย
ตอนนี้นักรบเงาที่ตามผมมีของท่านพี่ซางไป๋ ท่านพี่กงหมิน ท่านพี่เฟยหลง ท่านพี่อิงเชียงหรือกุนซือหม่า ส่วนท่านพี่ลวี่หลงไม่ต้องส่งคนมาตามดูเพราะไม่รู้มาแอบทำพันธะสัญญากันตอนไหนก็ไม่รู้จนสามารถรับรู้ทุกการกระทำของผมจากจิตวิญญาณแทน
และคนสุดท้ายท่านพี่อวิ๋นอี้ผู้เข้าใจในเรื่องรักน้อยที่สุดย่อมไม่มีคนติดตามและไม่รู้ว่าจะมาตามผมทำไมเช่นกัน นี่อาจจะเป็นผลจากการทำเมินพวกท่านพี่ในตอนแรกก็ได้ครับตอนนี้ผมเลยโดนบ้าง
ลุงสงสัย ไอ้การเชื่อมจิตวิญญาณกันของลุงกับท่านเทพมังกรทำให้รับรู้ว่าลุงอยู่ในช่วงไหนบ้างทำอะไรบ้าง ถ้าลุงช่วยตัวเองอยู่ท่านเทพมังกรจะรู้ด้วยไหม อันนี้แค่คิดนะไม่กล้าถามเหมือนกัน ใครว่าลุงลามกตบปาก
“ขนมชนิดนี้มีชื่อว่าอะไรหรือขอรับนายน้อย”
“ปาเจียวเคลือบน้ำตาล”
“คล้ายถังหูลู่หรือไม่ขอรับ”
“ใกล้เคียงดีกว่านะ เพราะไม่ได้เคลือบน้ำตาลจนชุ่มเช่นถังหูลู่”
“ขอรับ แล้วกล้วยที่นายน้อยเหลือไว้คืออะไรหรือขอรับ”
“จะทำขนมขึ้นโต๊ะในร้านฟางเพิ่ม”
“ขนมหรือขอรับ”
“ใช่ จักเข้าชุดขนมหวานอีกอย่าง”
เริ่มโดยเอากล้วยมาปอกเปลือกก่อนจะหั่นขวางเป็นสองท่อนต้มในน้ำเดือดพร้อมกับใบเตยที่ให้ซีเอ๋อร์ไปขโมยในครัวใหญ่มาก่อนหน้านี้ จากนั้นประมาณสิบหานาทีโดยประมาณก็ใส่น้ำตาลทรายสีทองลงไปในหมอต้มกล้วย กับน้ำตาลปี๊บ เร่งไฟจนเดือด ช้อนฟองออก เปลี่ยนเป็นไฟกลางทิ้งไว้สองชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วยาม
ระหว่างที่รอมะพร้าวก็มาส่งพอดี ผมจัดการปอกและผ่าเอาเนื้อมาขูดกับกระต่ายที่สั่งทำไว้ก่อนหน้าเพื่อเตรียมคั่นกะทิใช้แรงงานเสี่ยวเปาหลังจากที่สอนไปให้ช่วยคั้นในครั้งต่อไปเพราะกว่าจะเสร็จและสอนทั้งคู่ก็ดูเหมือนว่าจะได้ที่พอดี
เมื่อกล้วยเริ่มเปลี่ยนสีก็บีบมะนาวลงไปเพื่อกันไม่ให้น้ำตาลตกผลึก เคี่ยวต่อจนกล้วยเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วยกออกจากเตาพักไว้
ต่อมาผมจัดการตั้งเตาวางหมอใส่กะทิที่คั้นเสร็จแล้วลงไปเติมเกลือและแป้งข้าวเจ้าจากแคว้นหยุนลงไปคนจนกะทิข้นก็ยกลง จัดการตั้งกล้วยที่เริ่มเย็นใส่ชามราดด้วยน้ำกะทิ เป็นอันเสร็จกล้วยเชื่อมแดง
“จัดการต่อได้ อย่างลืมชิมกันด้วยละทั้งสองคน”
“ขอรับ / เจ้าค่ะ”
“ว่าแต่มันเรียกว่าอะไรหรือเจ้าค่ะ”
“กล้วยเชื่อมแดง คำว่ากล้วยเป็นอีกชื่อหนึ่งของเจียวทุกสายพันธุ์ ถือเป็นคำใหม่ให้พวกเจ้าเรียนรู้กันนะ”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ”
ผมหันไปหยิบกล้วยที่เตรียมไว้เมื่อหลายชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มทำกล้วยฉาบมาดูเห็นว่าน่าจะพอใช้ได้แล้วเริ่มทำเมนูต่อมา ขั้นตอนตามจริงก็แค่ปอกกล้วยแช่ในน้ำเกลือประมาณห้านาที จากนั่นฝานในแนวขวางเท่าๆกันจากนั้นก็ผึ่งสักพักพอแห้งใส่ถุงกระดาษเพราะโลกนี้ไม่มีถุงพลาสติกให้ใช้ทิ้งไว้ประมาณห้าชั่วโมง แต่ตอนนี้ผ่านไปสามชั่วโมงกว่าๆแต่ผมไม่รอแล้วครับเลยขอลัดเวลาก่อนละกัน
มาเริ่มกันเลยดีกว่า ผมเอากล้วยที่ใส่ถุงไว้มาแยกชิ้นไม่ให้ติดกัน ก่อนจะพักไว้หันมาใส่น้ำตาลปี๊บที่เตรียมไว้ในหมอเพราะง่ายต่อการคนให้เข้ากัน ต่อมาใส่เนยจากแคว้นหยุน นมสดที่ขโมยครัวใหญ่มาและเกลือเล็กน้อย พยายามคนส่วนผสมให้ได้มากที่สุดเพราะในโลกนี้ไม่มีเครื่องตีแป้งนี่ครับ
จากนั้นก็ตั้งกระทะให้น้ำมันร้อน ระหว่างรอให้ร้อนก็เอากล้วยกับเครื่องที่ผสมไว้มาผสมกันจนได้ที่ น้ำมันร้อนกำลังดี ใส่กล้วยที่คลุกไว้ลงทอดในกระทะ พยายามคนให้แยกกันไว้ ทอดพอเหลืองไม่ให้สีเข้มเพราะจะมีรสขมได้ก่อนจะพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน พอแห้งดีก็แบ่งใส่ถุงไว้ขายและฝากตามปกติ
“มันมีชื่อเรียกว่ากล้วยอบเนย”
“กล้วยอบเนย แต่ข้าเห็นท่านทอดนะขอรับ มิได้อบแบบหมูอบสมุนไพรครั้งก่อน”
“เอาเถอะมันเป็นเพียงชื่อเรียกมิใช่วิธีการทำ” อันนี้ลุงก็งงนะ มันทอดทำไมเรียกอบเหมือนกัน
“ขอรับนายน้อย”
“หมูส้มที่นายน้อยทำคราก่อนลูกค้าที่มาทานต่างติดใจขอซื้อกลับบ้านมากมายเลยเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ ผู้คนนิยมเช่นนั้นก็ดี ร้านอาหารเราจะได้มีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง”
“ข้าน้อยได้ยินมาว่าชื่อเสียงของร้านเราดังไกลไปจนถึงแคว้นเฟยแล้วนะเจ้าค่ะนายน้อย”
“เช่นนั้นก็ดี กิจการจะได้มั่นคงมากขึ้น”
“เป็นเพราะนายน้อยนะเจ้าคะ”
“ข้าเป็นเพียงคนที่คิดขึ้นมา มิได้ลงมือจะกล้าเอาดีเข้าตัวได้เยี่ยงไรกัน ท่านพ่อครัวจางหรอกนะที่เป็นผู้ทำขาย”
“โถ นายน้อย ถ่อมตนเกิดไปแล้วเจ้าค่ะ ชื่อเสียงของนานน้อยก็ดังไม่แพ้ชื่อร้านนะเจ้าคะ”
“ชื่อเสียงข้าหรือ”
“เจ้าค่ะ ก็องค์ฮ่องเต้ทรงติดประกาศเรื่องที่ท่านสร้างฝายกับขุดบ่อเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำหลากจนบรรเทาความเดือดร้อนได้ ไหนจะเรื่องการเปิดการค้าเสรีที่นายน้อยเสนอให้คนต่างแดนเข้ามาค้าขายได้อีกอย่างไรเจ้าค่ะ ชาวต่างแคว้นต่างนับถือท่านน่าดูเลย”
“เหตุใดข้าจึงมิรู้เรื่องเหล่านี้กัน”
“ข้าออกไปกับพวกที่ซื้อของเลยพบเห็นประกาศดูเหมือนจะติดได้ไม่กี่วันเจ้าค่ะ”
“ถึงว่า เหตุใดผู้คนจึงมองข้าเช่นนั้นยามข้าขี่ม้ากลับมาจากร้านเซียน ข้านึกสงสัยอยู่นาน”
“หลายคนบอกว่าท่านเป็นอัจฉริยะลงมาเกิดในรอบพันปีก็มีนะเจ้าคะ ไหนจะเรื่องการดูแลร้านอาหารฟางจนรุ่งเรือง ไหนจะร่วมค้าร้านอิงเซียนกับท่านอิงฮวา และร้านเซียนของท่านด้วย ตอนนี้ชื่อเสียงของท่านดังยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“แล้วเหตุใดเจ้าดีใจยิ่งกว่าข้าเสียเล่าซีเอ๋อร์”
“ก็ข้าน้อยภูมิใจที่ได้อยู่ข้างกายท่านในฐานะบ่าวคนสนิทนี่เจ้าคะ”
“เอาเถอะๆ ข้าต้องไปดูร้านอิงเซียนก่อนแล้วตรวจบัญชีร้านเซียนด้วย ไว้ข้าจะกลับมาดูบัญชีวันนี้หลังมื้อเย็นนะ ฝากเจ้าด้วยซีเอ๋อร์”
“ยินดียิ่งเจ้าค่ะ”
มีเรื่องอะไรแปลกๆแบบนี้ด้วยหรอครับ สายตาเทิดทูนที่มองมาของชาวบ้านมากระจ่างก็ตอนที่ได้ยินจากปากซีเอ๋อร์นี่แหละครับ ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะออกประกาศแบบนั้น แบบนี้จะมีใครมองว่าเก่งเกินเด็กไหมครับ จะมีเรื่องอันตรายเข้ามารึเปล่าก็ไม่รู้ กลัวคนที่อยู่รอบตัวจะเป็นอันตรายมากกว่าตัวผมเองเสียแล้วสิ
TBC.
เรื่องราวหลังครัวปิด
เซียนอวี้ : ถ้าโลกนี้มีการจัดอันดับเชฟอย่างโลกก่อนลุงคงได้ติดดาว
ซางไป๋ : เหตุใดตอนนี้จึงมีเพียงแค่ท่านหวังกงหมินออกผู้เดียวกัน
กงหมิน : พวกเจ้าก็ออกทุกคนนะ
อิงเชียง : อย่างไร
เซียนอวี้ : ข้าคิดถึงชื่อพวกท่านทุกคนตั้งหลายครั้งเชียวนะขอรับ
ซางไป๋ : ………………
เฟยหลง : ……………..
อิงเชียง : .......................
ลวี่หลง : ………………
อวิ๋นอี้ : เพียงแค่ชื่อก็ดีแล้ว (ตบบ่าที่เหลือให้กำลังใจ)
ลงเนื้อหา 27/9/61
ปรับปรุงเนื้อหา 30/5/62