บทที่ 1 โรงเรียนประหลาดกับคนประสาท
“ไอ้กัส! ทางนี้!”
เสียงของวาโยดังมาจากม้านั่งใกล้ประตูโรงเรียน
มันโบกไม้โบกมือเหมือนเด็กประถมเรียกเพื่อนที่กำลังจะข้ามถนน ผมเดินเข้าไปหาอย่างเอื่อยเฉื่อย
สายตายังคงจับจ้องกับซุ้มประตูเก่า ๆ เบื้องหน้า — แปลกดี มันไม่เหมือนโรงเรียนที่ควรจะเป็น
วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกที่ Ghost Hunter School—โรงเรียนที่คนธรรมดาไม่ควรมาเหยียบ
ถ้าไม่อยากเจอดี แต่ดันเป็นผม ไอ้ออกัส ที่ต้องมาเรียนที่นี่ทั้งที่ตัวเอง “ไม่มีอะไรพิเศษ” เลยสักนิด
“ไอ้โยมึงรีบมาแต่เช้าทำไมวะ” ผมหันไปมองเพื่อนซี้ที่ยืนหอบอยู่ข้าง ๆ
“ไม่รีบก็ไม่ได้สิวะ” วาโยยักไหล่ “ขืนรอพ่อกับแม่ตื่นนะ กูได้โดนล่ามกับโต๊ะแน่ เขาไม่อยากให้กูมาเรียนที่นี่”
ผมถอนหายใจยาว ๆ ของผมน่ะตรงกันข้ามเลย
พ่อแม่อยากให้มาเรียนมาก…แต่ก็แฝงคำพูดด้วยการปรามาสเอาไว้ว่าเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก
เพราะผมมันพวกธรรมดา ไม่ได้พิเศษใส่ไข่เหมือนคนอื่น
โอเคครับ ขอบคุณที่ทำให้ลูกชายมีกำลังใจตั้งแต่เช้า
“มึง....มึง...กูมีเรื่องจะเล่าให้มึงฟังด้วย”
“เรื่องอะไร”
“กูฝันเมื่อคืน — ฝันว่ามีมือใครก็ไม่รู้ คว้าข้อเท้ากูไว้...ในห้องน้ำบ้านตัวเองเลยนะมึง!”
ผมหัวเราะออกมา มึงเชื่อกูมึงแดกเยอะแล้วก็นอน แต่ผมเองก็อดเหลือบตามองซุ้มประตูอีกทีไม่ได้
มันมีลวดลายเหมือน ‘ยันต์’ ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต และทันทีที่ผมก้าวผ่านประตูเข้าไป
ผมรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกนึงที่เสียงอึกทึกครึกโครมจากรถราด้านนอก
เสียงพูดคุยจอแจจากคนเดินผ่านไปผ่านมาตามถนน พ่อค้าแม่ค้าที่ตะโกนแข่งกับเสียงดังของรถเพื่อขายของ
หรือแม้แต่เสียงลม เสียงนก ไม่มีลอดเข้ามาเลยซักนิด แต่กลับได้ยินเสียงกระซิบบางอย่างแทน
มันแว่วมาอย่างแผ่วเบาและเหมือนแทรกเข้ามาอยู่ในหัวของผม...
ยินดีต้อนรับ... ผู้ที่มองไม่เห็น...สนามรวมแถวกว้างขวางผิดคาด ปีหนึ่งอย่างพวกเราต้องยืนอยู่ด้านหน้า หันหน้าเข้าหาพี่ปีสองปีสาม
แล้วหันหลังให้อาจารย์ — อืม แปลกดีนะครับ รู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา
“ไอ้กัส ไอ้กัส” วาโยสะกิดไม่หยุด
“อะไรของมึงนักหนาเนี่ย เรียกจัง”
“มึงว่าทำไมต้องให้เรายืนแบบนี้วะ จ้องหน้ารุ่นพี่อย่างกับจะประลองพลัง”
“กูจะไปรู้เหรอ เดี๋ยวอาจารย์ก็บอกเองแหละ”
แต่ยังไม่ทันได้บ่นต่อ มันมีความรู้สึกเหมือนถูกสายตาใครบางคนจ้องมาจากข้างหลัง มันดูรุนแรงและอาฆาตหมายจะเอาชีวิตมาก นี่ผมมาเรียนวันแรกก็จะเจอดีแล้วเหรอวะ
รู้งี้เอาของที่ปู่ให้ไว้มาด้วยก็ดี ผมพยายามไม่สนใจ สายตาจับจ้องอยู่กับหน้าไอ้โยโดยไม่คิดจะหันไปมองทางอื่น
เพราะกลัวว่าจะไปประสบพบเจอกับอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า
“ไอ้กัส”
“ว่า”
พูดเสร็จมันก็ทำหน้าตาพยักเพยิดให้ผมหันกลับไปดูข้างหลัง ไอ้เราก็ไม่ใช่คนเชื่อคนง่ายด้วยไง เลยทำสายตาถามมันกลับไปว่า
“มีอะไร” มันทำปากขมุบขมิบ บุ้ยใบ้ให้หันกลับไป ผมจึงส่ายหัวแทนคำตอบ
“Nooooo” มันยังคงคะยั้นคะยอให้ผมหันกลับไป ผมก็ยังคงดื้อดึง เราตอบโต้กันด้วยโทรจิตอยู่สักพักจนผมสัมผัสได้ถึง.......
ความรู้สึกเย็นวาบแทรกเข้ามาที่ต้นคอ…หลังจากนั้นก็เหมือนมีเล็บยาว ๆ ลูบไล้ตั้งแต่คอลากผ่านผิวอันบอบบางขึ้นมาที่หลังหูแล้วก็....
จิก!
“ออกัส!” เสียงคุ้นเคยดังขึ้น
ผมสะดุ้งหันไป — เจ๊โอลีฟ พี่สาวตัวแสบของผมนั่นเอง
ผมลืมไปได้ไงว่าพี่สาวผมก็เรียนที่นี่เหมือนกัน.....OMG ขายขี้หน้าตั้งแต่วันแรกเลยกู
“เจ๊เจ็บ....” พี่แกจับหูไม่พอแถมยังบิดอีก “โอ๊ยยยย”
“แกนี่นะ เปิดเรียนวันแรกยังชวนเพื่อนคุยอีกเหรอ” เธอทำเสียงดุ ผมรีบยกมือไหว้ “ขอโทษคร้าบบบ”
“หวัดดีครับเจ๊โอลีฟ”
“หวัดดีจ้ะวาโย” แหม ทีกับคนอื่นเนี่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน กับน้องกับนุ่งเนี่ยไม่เค๊ยย.....
เพื่อนรอบข้างหัวเราะครืน รวมทั้งกลุ่มบอยแบรนด์สามคนที่ยืนแถวหลังสุด เสียงหัวเราะของ
ไอ้หน้าเกาหลี ดังชัดเจนที่สุด
ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากมีปัญหา แต่รู้สึกว่ามีสายตาหนึ่งที่จ้องมา…นิ่งลึก ราวกับกำลังอ่านใจผมอยู่
“มึงไอ้นั่นมันใช่คนที่เมื่อเช้าเกือบจะขับรถชนพวกเราไหมวะ” ผมเหลือบมองอีกครั้ง เกือบลืมไปว่าเมื่อเช้าผมกับไอ้โยมัวแต่จะทักทายกันเลยไม่มองทาง รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะโดนรถที่ขับมาจากด้านหลังเบรคเอี๊ยดใส่ตูดแล้ว
“เออน่าจะใช่” ผมพยักหน้าให้มัน
“แม่ง ถึงกูไม่อยากจะยอมรับซักเท่าไหร่หรอกนะ แต่พวกแม่งทุกคนทำไมดูหล่อแบบมีสกุลรุญชาติกันทุกคนเลยวะ แล้วมึงดูพวกเราซิ”
โป๊กกก
“ตบหัวกูทำไมเนี่ย”
“พวกเราก็มีสกุลรุญชาติไม่แพ้กันหรอกน่า มึงจะไปอิจฉาคนอื่นเพื่อ”
“มึงดู” พูดเสร็จมันก็ยังล๊อคคอผมให้หันกลับไปดู “เสื้อผ้า การแต่งตัว แล้วยังพวกของแต่งตัว accessories ต่างๆ แล้วจะรถที่มันขับมาอีก รถสปอร์ตเลยนะเว้ย”
“แล้วไง พวกมันก็รุ่นเดียวกับพวกเรา ของที่ใช้ก็ต้องมาจากเงินพ่อเงินแม่ทั้งนั้นแหละ ไว้หาเองใช้เองได้ค่อยไปอิจฉาพวกมัน”
“จ้ะ...เพื่อนจ๋า”
ไม่นานนัก ก็มีอาจารย์ผู้หญิงก้าวขึ้นมาบนเวที โดยประกาศว่า อาจารย์ใหญ่ติดภาระกิจทำให้ไม่สามารถขึ้นมาแนะแนวและแนะนำโรงเรียนได้
ให้นักเรียนทุกคนเช็ครายชื่อที่บอร์ดด้านหน้าโรงอาหารและขึ้นห้องเรียนตามรายชื่อของตัวเองเอง
พร้อมกับประกาศกฎข้อแรกของโรงเรียน
“นักเรียนทุกคนมีสิทธิใช้อาคาร A และ B เท่านั้น ส่วนอาคารด้านหลังทั้งหมด เป็นเขตหวงห้าม — ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด”เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที เขตหวงห้าม? คำพูดนั้นติดอยู่ในหัวผมโดยไม่รู้ตัว
แต่ก่อนที่ผมจะได้คิดต่อ…ภาพก็ตัดวูบ มืดสนิท ร่างผมทรุดฮวบลงกับพื้น
“เฮ้ย ไอ้กัส”
“กัส! ฟื้นดิวะ!”
เสียงวาโยดังเจือความตกใจ สลับกับเสียงของพี่สาวผมที่คอยเรียกชื่อผมอยู่
ผมพยายามลืมตาโดยภาพตรงหน้าที่ปรากฎเห็นเป็นไอ้โยและพี่โอลีฟที่ยืนค้ำหัวอยู่ กับหน้าของใครคนหนึ่งที่ไม่คุ้น ผมปรับจูนสมองอยู่สักพักถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนตักของคนคนนั้น
ผมส่งเสียงครางในลำคอพร้อมกับดันตัวเองโดยมีไอ้โยช่วยจับให้ลุกขึ้นนั่งและหันไปพูดกับเจ้าของตัก
“เอ่อ…ขอบใจ” ผมบ่นพึมพำ
เขาไม่ได้ตอบ แค่สบตาผมนิ่ง ๆ ราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง
“มึง...เป็นยังไงบ้างวะ กูตกใจแทบแย่อยู่ดีๆ มึงก็ล้มลงไปเลยอะ”
“กูเหรอ”
“เออซิ ก็ตอนที่มึงกับกูกำลังจะเดินไปดูรายชื่อที่บอร์ด อยู่ดีๆ มึงก็ร่วงลงไปเลยอะ ดีนะที่มีพวกนี้เดินตามมาเลยรับมึงไว้ได้ทัน ไม่งั้นหัวฟาดพื้นแน่นอน”
ผมหันไปดู มองชัดๆ อีกที ไอ้แก๊งค์หลังแถวนี่หน่า
“อะ....อืม ขอบใจนะ” ผมหันไปขอบใจอีกครั้ง
“กัส แกเป็นลมแดดเหรอ”
“ป่าวนะเจ๊ ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
“นอนดึก”
“สองทุ่มหัวถึงหมอนปุปหลับปัป”
“หรือไม่ได้กินข้าว”
“ข้าวเหนียว 2ห่อ หมูอีก 5ไม้”
“แล้วแกเป็นอะไร”
“ไม่รู้อะ”
.
.
“กัส.....” เจ๊โอลีฟ เรียกชื่อผมแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เพียงแค่มองหน้าและสบตากันผมก็พยักหน้าตอบรับ
“ลืมเอาสร้อยมาอีกแล้วใช่ไหม”
“อืม ลืม”
“แกนี่นะ กลับบ้านไปฉันจะฟ้องแม่ให้แม่ด่าแก”
“ก็มันลืมอะ ผมไม่ได้อยากจะลืมซะหน่อย”
.
.
“เอิ่มมม ฮาโหล” ไอ้โยขัดจังหวะพร้อมกับหน้าที่อยากเสือกเต็มที่ “มีอะไรกันเหรอครับ ไอ้กัส..มึงลืมอะไรเหรอ”
“ลืมของนิดหน่อย อย่าสนใจเลย”
“เอ้า” มันบ่นงึมงำ ก่อนที่พี่สาวผมจะตัดบทเพื่อไม่ให้คนมามุงเยอะและเป็นที่สนใจไปมากกว่านี้
“โอเคนะคะ ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้วค่ะ พอดีเป็นพวกบอบบางร่างกายอ่อนแอชอบเป็นภาระคนอื่นนะคะ ไม่มีอะไรแล้วค่ะ แยกย้ายได้”
“โหยย เจ๊ พูดอะไรวะ ผมไม่ได้อ่อนแอ”
“หรือแกอยากบอกคนอื่นว่าเป็นอะไร” ผมสั่นหน้า
“ดี งั้นเงียบปากไป”
ผมยอมสงบปากสงบคำ นอกจากจะมีไอ้โยทำหน้าเหมือนเด็กอยากรู้อยู่ข้างๆ
มันยังมีไอ้พวกบอยแบรนด์สามคนที่ยืนเงี่ยหูฟังคอยเสือกอยู่ด้วย โดยเฉพาะไอ้หล่อที่ยืนคุมเชิง ทำตัวขรึม
และมองมาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
หรือมันจะรู้ ?
.
เป็นไม่ได้อะ
.
มันจะรู้ได้ไง
.
ไม่มีทาง
ตลอดครึ่งเช้า พวกเราต้องนั่งฟังแนะแนววิชาพื้นฐานที่ต้องเรียน ที่ฟังแล้วโคตรจะงงและโคตรไม่เข้าใจ
โดยอาจารย์ที่เข้ามาแนะแนวก็คืออาจารย์ผู้หญิงคนเดียวกับคนเมื่อเช้าที่ขึ้นพูดบนเวที เธอควบตำแหน่งทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ผู้สอน
อาจารย์ริณสอนทฤษฎีวิญญาณ — ว่าแต่ละตนก็มีประเภท นิสัย และพลังงานต่างกัน
อาจารย์ภักดีสอนวิธี “ทำความรู้จัก” กับวิญญาณในรูปแบบต่าง ๆ
ถามจริงเหอะครับ…ต้องรู้จักมันด้วยเหรอ? กะจะมากำจัดทิ้งอย่างเดียวอยู่แล้ว!
“ก่อนอื่น อาจารย์ขอทำความรู้จักกับพวกเธอซะก่อน...”
มนัส – ครับ
รจนา – ค่ะ
มนัสวี – ค่ะ
อุดม – ค่ะ
.
.
.
กฤตภูมิ – ครับ
นพพล – ครับ
กองทัพ – ครับ
วาโย – ครับ
“หูยยยยยยยยย ชื่อน่ารักอะ แต่ไม่เข้ากับหน้าเท่าไหร่นะ” ผมหันไปมองไอ้สามคนด้านหลัง ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ผมได้ยินพวกมันแซวผมกับไอ้โยตั้งแต่อยู่ในแถวตอนเช้า
“และคนสุดท้าย ปิโยรส ชื่อเพราะดีนะ ความหมายก็ดี ปิโยรส ลูกชายอันเป็นที่รัก ท่าทางพ่อแม่จะรักมากน่าดู ไหนยืนขึ้นให้อาจารย์ดูหน้าหน่อยซิ”
ทำไมต้องเป็นคนสุดท้าย แถมยังต้องมาทำอะไรที่เป็นจุดสนใจอีกเนี่ย
“ครับ”
“ชื่อโคตรเพราะอ่า น่ารักด้วย”
“เออจริง ใช่ไหม ใช่ปะ เนอะๆ ไอ้คุณกองทัพ”
“เสียงดัง เงียบปากได้แล้ว” แค่พูดเบาๆ แต่ช่างเรียกความเงียบงันได้ชะงัดนัก
“กวนตีน” ไอ้โยพูดออกมา "ไอ้พวกนี้มันจะตามก่อกวนไปถึงไหนวะ ในบรรดาสามคนนั้นมีไอ้หน้าหล่อที่ช่วยมึงดูแล้วน่าคบอยู่คนเดียว ไอ้สองตัวที่เหลือ โดยเฉพาะไอ้อปป้าขี้เก๊กนั่นแม่งน่าโดนถีบซะจริงๆ"
"อปป้า ใครวะ"
"ก็ไอ้หน้าขาว ใส่ตุ้มหูข้างเดียว เขียนขอบตาดำ นั่นไง นึกว่าเป็นอปป้าเกาหลี หลุดมาจากไหนวะ"
อ๋ออออ อปป้าคนนั้นน่าจะหมายถึงคนขวาสุด คนถัดไปใส่แว่นดูวิชาการเต็มที่ริมสุดนั่นน่าจะหมายถึงไอ้หน้าหล่อที่ไอ้โยพูดถึง
หล่อตรงไหนวะ กูหล่อกว่าอีก
"มองอะไรไอ้กัส"
"ป่าวววว"
"แน่ใจ?"
แหนะ ยังมาทำตาเหลือกใส่กูอี๊กกก
"ทำไม มึงมีปัญหาอะไร"
"ก็ปกติมึงไม่ค่อยสนใจใครนี่หว่า ขนาดเดินสวนผ่านหน้ามึงยังไม่ได้มองเขาเลย"
"รู้ดีนักนะมึง"
"แน่น้อนน แล้วสรุปมึงมองอะไร"
"กูก็แค่มองพวกนั้นตามที่มึงพูดแค่นั้นเอง เห็นมึงสาธยายว่าคนนั้นหล่อ คนนั้นน่าคบ ไม่น่าคบ มึงไปรู้เขาได้ยังไง"
"หึ....ไม่รู้"
"เอ้า"
มันกอดคอผมแล้วทำหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกระซิบข้างหูว่า
"ก็กูหล่อไง คนหล่อเหมือนกันดูกันออกเว้ย"
"โว๊ะ บ้าบอ"
ถึงเวลาพักเบรกตอนบ่าย ไอ้โยเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงออกจากห้องก่อนจะเดินโซเซลงบันได สุดท้ายมันก็สะดุดเชือกรองเท้าตัวเองกลิ้งตกบันไดพร้อมกับดึงผมตามลงไปด้วย!
ผมหลับตาเตรียมรับแรงกระแทกบันไดสูงขนาดนี้ ไม่แขนก็ขาต้องมีหักบ้างละ แต่ยังไม่ทันถึงพื้น
ผมรู้สึกถึงมือที่คว้ามาที่เอวแล้วดึงจนมือที่จับกับไอ้โยหลุดออก และผมก็ล้มลงทับใครสักคน นิ่มแปลก ๆ ด้วย
“จะนอนอีกนานไหม” เสียงทุ้มดังใกล้หู
ผมลืมตาขึ้น—พระเจ้า…นี่มัน ไอ้หล่อคนนั้น อีกแล้ว!
หัวใจผมกระตุกแรงจนแทบลืมหายใจ รีบดีดตัวลุกพรวดขึ้นทันทีหันมองซ้ายมองขวาเห็นเพื่อนอีกทีก็คือนอนกองอยู่บันไดชั้นล่างแล้ว
“ไอ้โย ไอ้โย เป็นอะไรไหมมึง มึงเจ็บไหม เจ็บตรงไหน” ผมโวยวายถาม มือก็คลำจับไปทั่ว ไม่รู้กระดูกอะไรตรงไหนหักบ้างเนี่ย
“ไม่เพื่อน แต่มึงช่วยหยุดจับกูก่อน”
“ทำไม มึงเจ็บเหรอ ขาหักไหมมึง”
“ไม่”
“แล้วมึงเป็นอะไร”
“กูจั๊กกะจี้เนี่ย ลูบอยู่ได้”
“ก็กูเป็นห่วงอ่า”
ผมพยุงไอ้โยลุกขึ้น โชคดีที่มันไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ได้มีส่วนไหนหักหรือเสียหาย แค่เคล็ดขัดยอกนิดหน่อย ผมมองขึ้นไปเห็นไอ้พวกบอยแบรนด์ยืนมองอยู่ ด้วยความอับอายเลยรีบพาไอ้โยเดินหนีแม่ม
ไม่อยากโดนหัวเราะอีก
ผมพาไอ้โยมานั่งที่โรงอาหารวิ่งหาข้าวให้มันกิน วิ่งไปหาอาจารย์ขอยาแก้ปวดมาให้เอาน้ำแข็งมาประคบเพื่อลดการฟกช้ำ
เพิ่งจะได้นั่งไม่ถึง 5 นาที ไอ้โยมันก็เริ่มโวยวายอีกแล้ว
“ไอ้กัส
.
.
ไอ้กัส
.
.
ไอ้กัส”
“โอ้ย มึงจะเรียกอะไรนักหนาวะ ไม่กินหรือไงข้าว”
“กิน แต่กูอยากอ้วก หือออออ ทำไมมันยากกว่าฟิสิกส์ เคมีอีกว้าาา”
“กูบอกแล้ว กลับไปเรียนมหาวิทยาลัยตามที่พ่อแม่มึงต้องการไหม”
“ไม่!!!”
“เด็กวะ”
เอาล้าวววว
“อะไรของพวกมึงวะ มีปัญหาอะไร”
“ป่าวววว”
“กูไม่เชื่ออะ มันต้องมีอะ...........เออมันต้องมีตั้งแต่เช้าแหละ ตามหลอกหลอนไม่หยุด" มันพูดเองตอบเองไปแล้วครับเพื่อนผม
“เอ้า ก็บอกว่าไม่มีไง มึงคิดไปเองเปล่า”
“ถ้าไม่มีอะไร แล้วทำไมพวกมึงถึงชอบแซวพวกกูกันจัง”
“ก็เห็นว่าน่ารักดี ก็เลยอยากขอเป็นเพื่อนด้วยก็แค่นั้น”
“อยากเป็นเพื่อน? ก็เดินมาคุยกันดีๆดิ เที่ยวเห่าแซวชาวบ้านเขาไปทั่ว เป็นหมาหรือไง”
“อุ้ยยยย”
เวลาไอ้โยมันไม่สบอารมณ์ ปากมันจัดยิ่งกว่าผู้หญิงอีก ขนาดผมบางทียังไม่รอด
ผมเลยเลือกที่จะเงียบ เพื่อนไอ้อปป้าอีกสองคนก็น่าจะรู้ทาง เพราะมันก็เงียบไม่พูดไม่จาเหมือนกัน
แต่ว่าทำไมผมรู้สึกร้อนหน้าผ่าวๆ เหมือนถูกจับจ้องยังไงก็ไม่รู้วะ ผมเลือกที่จะไม่ทน เลยดึงมือไอ้โยแล้วเตรียมจะลากมันออกมา ถึงเมื่อกี้จะมีบุญคุณที่ช่วยกูไว้ก็เถอะ
ตอนนี้กูขอพาเพื่อนออกไปก่อน กูอายยยยย
“โย พอ ไปเหอะ”
“ไม่ ถ้ากูยังไม่เคลียร์กูไม่ไป”
นั่นไง ไอ้นิสัยนี้มาอีกล้าวววว
“อยากเคลียร์อะไรกับผมหรือครับ”
“ไอ้กฤตมึงพอได้ละ อยากขอเขาเป็นเพื่อนก็บอกเขาดีๆซิ ไปแกล้งเขาทำไม”
“กูพูดดีแล้วนะ แต่เขาอะพูดไม่ดี มึงก็ดูดิ”
โอ้ยยย กูเพิ่งเคยเห็น ผู้ชายสูง 170 ใส่เสื้อหนังกางเกงยีนส์ ทำตัวอ้อนเพื่อนน
มายก๊อดดด
“ว่ายังไงครับ พวกผมจะขอเป็นเพื่อนกับพวกคุณ....ได้ไหม?”
เป็นไอ้หน้าหล่อที่ถามออกมา แล้วทำไมต้องมาจ้องหน้าผมเหมือนรอคำตอบแบบนั้นด้วยละ
ควรจะถามไอ้โยไม่ใช่เหรอ
“ว่ายังไงครับ”
มันยังคงถามมองหน้าผมและถามคำถามเดิม
ไม่ กูจะไม่ตอบ ไม่พูด กูจะเงียบ ข่มใจไว้นะออกัส
ขะ......โข๊ะ....
“เออ เป็นก็เป็นซิ พูดกันดีๆ แบบนี้ก็จบไปนานแล้ว” ข่ม...ไม่ทันแล้ว
เชี้ยยยยยย ไอ้โย ไอ้เพื่อนเลว กูก็เห็นทำเสียงแข็ง หัวแข็ง กูก็นึกว่ามึงจะไม่เอาด้วย เสือกตอบตกลงเขาซะง่ายแบบนั้น
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมเปอร์”
.
“ผมนพ”
.
“ผมกฤตสุดหล่อ”
.
“หล่อตายอะ....กู โย”
.
.
“เอ้า ไอ้กัส ก็บอกชื่อเขาไปซิ นั่งบื้ออยู่ได้”
นี่มึงอารมณ์ค้างช่ะ?
แต่กูว่า กูได้ยินมึงบอกชื่อกูไปละนะ
“เออ กู ออกัส”