ขึ้ น อ ย่ า ง ห ง ส์ ล ง อ ย่ า ง เ ฮี ย
บทที่ 6
The Happy Reader
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
เสียงตุ้บตั้บที่ได้ยินเกิดจากนวมที่คนตัวเล็กสวมไว้กระทบกับกระสอบทรายที่ดูจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเป่ยเสียอีก ตำแหน่งการวางมือ และเท้ามองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง
เหงื่อเม็ดโตผุดซึมตามร่างกายจนเสื้อกล้ามสีดำชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทุกวินาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าความคิดเขากลับวนเวียนอยู่ที่เดิม
ไม่รู้ผมกำลังคิดบ้าอะไรอยู่กันแน่ สงสารงั้นเหรอ?
‘จริง ๆ ร้านนั้นเป็นเงินก้อนสุดท้ายน่ะ เงินที่ได้จากประกันชีวิตของพ่อกับแม่ที่ทำทิ้งไว้ให้...’
ประโยคเดียวของเขายังดังก้องอยู่ในโสตประสาท รอยยิ้มเจื่อน ๆ กับแววตาที่หม่นลงทำใจที่นิ่งสงบวูบไหวได้ ราวกับว่าเขากำลังโยนก้อนหินลงบนผิวน้ำจนเกิดแรงกระเพื่อม หรือเพราะผมเป็นโอเมก้า ถึงได้อ่อนไหวกับอะไรง่าย ๆ
เฮ้อ~ เฮียกรรณอะไรกัน พูดออกไปได้ยังไงฮะเป่ย แกมันบ้าไปแล้ว!
“ซ้อครับ คุณกรรณมารอแล้วครับ”
เป่ยสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ ๆ เหรียญก็เดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้วเหรียญเคาะประตูอยู่สักพัก แต่เขาต่างหากที่ไม่ได้ยินเอง
เกือบลืมไปซะสนิท วันนี้ผมนัดเขาเพื่อเข้ามาคุยเรื่องสัญญา และนัดกับอินทีเรีย หลังจากเมื่อวานเราตกลงกันเรื่องหุ้นส่วนเสร็จสรรพ ผมก็เรียกทนายเข้ามาพบเพื่อคุยเรื่องรายละเอียดสัญญา
“บอกกี่ครั้งแล้วครับ อยู่กันสองคนเรียกให้เรียกปกติ”
“เดี๋ยวคนอื่นจะว่าซ้อสองมาตรฐานเอานะ”
“จำความได้ผมก็เห็นเฮียเหรียญแล้ว สำหรับผมเฮียคือคนในครอบครัวไม่ใช่คนอื่น” นวมถูกถอดวางเอาไว้ก่อนจะคว้าขวดน้ำดื่มขึ้นกระดก
“ขอบคุณนะเป่ย”
“ขอบคุณบ้าบออะไรกันครับ” ผมว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดคอกันเฮียเหรียญ เพื่อเดินออกจากยิม
“พี่ถามอะไรหน่อยสิ”
“ครับ?”
“เรามั่นใจแล้วใช่ไหม เรื่องหุ้นส่วนร้านน่ะ”
“...” ผมหยุดคิดอยู่ครู่ ไม่ใช่ว่าผมไม่มั่นใจหรอกนะ แต่ผมไม่เข้าใจตัวเองมากกว่า ว่าจริง ๆ แล้วผมรู้สึกอะไรกันแน่ “...มั่นใจสิ”
“เป่ยไม่ใช่คนที่ลังเลที่จะทำอะไร แต่ครั้งนี้เราตอบช้านะ”
“...”
“พี่ไม่ค่อยชอบหน้าไอ้กรรณอะไรนั้นเท่าไหร่ สายตามันดูเจ้าชู้ยังไงก็ไม่รู้ พี่เป็นห่วง”
“เฮียคิดมากเกินไปแล้ว ผมไม่ได้สนใจไอ้แง่งขิงนั่นสักหน่อย”
“แง่งขิง?”
“ฮ่า ๆ เป่ยเรียกตามอาหลงน่ะ วันที่ให้ไปพาตัวกรรณมาเขาเอาถุงไส้กรอกฟาดหน้าอาหลง ในถุงมีแง่งขิงอันใหญ่อยู่ มันเลยโดนตาจนเส้นเลือดฝอยตาแตก จากนั้นอาหลงก็เรียกกรรณว่า 'ไอ้แง่งขิง' ตลอดเลยครับ”
"พูดถึงเขาทีไรเป่ยยิ้มตลอดเลยนะ"
เป่ยหุบยิ้มชับทันที ผมยิ้มเหรอตอนไหนกันผมไม่เห็นจะรู้ตัว...
เหรียญเปิดประตูยิมออกกว้าง ภาพแรกตรงหน้าคืออัลฟ่าตัวโตวางมาดขรึมยืนรออยู่ แค่ได้เห็นหน้าตากวนประสาทของเขาผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“มึงมาได้ไง!?” ผมโพล่งออกไปด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่ตรงนี้
“เห็นออกมาช้าเลยจะมาตาม”
“อา...” ผมตอบเพียงสั้น ๆ แล้วหันไปคุยกับเฮียเหรียญต่อ “เฮียผมไปอาบน้ำก่อนนะ พาคุณกรรณกลับไปรอที่ห้องก่อน”
“ครับ ...ขึ้นไปอาบน้ำเถอะผมเตรียมน้ำไว้แล้ว” เหรียญยืนมองคนตัวเล็กเดินห่างออกไป ก่อนจะหันกลับมาคุยกับอัลฟ่าตรงหน้า “เชิญครับ”
“เดี๋ยวสิ” แต่ทว่ายังไม่ทันก้าวนำหน้า กรรณกลับรั้งเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ สันหลังเสียววูบเพราะฟีโรโมนของเขาปล่อยออกมาดูจะไม่ค่อยพอใจ “ที่พูดเมื่อกี้น่ะ หมายความว่าไง”
“ครับ?”
“ก็ที่บอกว่าผมสายตาเจ้าชู้น่ะ”
“ก็อย่างที่ได้ยินครับ”
มุมปากคนฟังกระตุกยิ้มเมื่อได้ยินอย่างนั้น “หึ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ที่ผมมองคุณ ก็หมายความว่าผมสนใจคุณสินะครับ” ว่าจบกรรณก็ใช้ปลายนิ้วชี้ดันปลายคางเหรียญให้เชิดขึ้น
เหรียญปัดมือกรรณออกก่อนจะเบือนหน้าหนี แล้วจึงหันกลับมาประจันหน้าอีกฝ่าย
“ถ้าคุณอยากลอง ผมไม่ติดนะที่คุณเป็นอัลฟ่า” กรรณว่า
“จะทำอะไรก็คิดดี ๆ นะครับ ผมเตือนในฐานะเพื่อนมนุษย์” ผมไม่รู้ว่าเขาไปพูดอะไรกับเป่ย เป่ยถึงได้ยอมเข้าไปเป็นหุ้นส่วนของร้าน แถมยังออกเงินในส่วนของกรรณให้ก่อนอีกด้วย
“หึ งั้นคุณก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินผม ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกัน” ว่าจบเขาก็เดินล้วงกระเป๋ากางเกงกลับออกไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“...”
ผมกับเป่ยโตมาด้วยกัน ผมรู้จักนิสัยของเขาดีกว่าใคร ถึงแม้ว่าภายนอกอาจจะดูเป็นคนแข็งกระด้างไปบ้าง แต่เนื้อแท้ของเขาอ่อนโยนกว่าที่คิด ทั้งยังขี้สงสาร ผมกลัวว่ากรรณจะรู้จุดอ่อนข้อนี้แล้วเอามาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหลอกใช้เป่ย
แต่ไม่ว่าเขาจะมาไม้ไหน ผมจะไม่ยอมให้เขาเข้ามาทำร้ายคนสำคัญของผมเด็ดขาด...
ผมใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่สำหรับจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะลงมายังห้องรับแขก อัลฟ่าตัวใหญ่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขาหันมาฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นคนที่รออยู่เดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยประโยคกวนประสาทอย่างทุกที
“ถ้ารู้ว่าจะลงมาช้าขนาดนี้ ผมคงขึ้นไปช่วยอาบน้ำ”
“เลิกกวนตีนสักห้านาทีจะตายไหม”
กรรณหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่รู้ทำไมเขาถึงชอบเวลาที่ถูกคนตัวเล็กด่า หัวใจมันคันยุบยิบไปหมด
“ก็เลิกทำตัวน่าแกล้งสิ” กรรณว่า
“ประสาท!”
ทำตัวน่าแกล้งอะไรกัน ผมว่าเขาน่ะโรคจิตมากกว่า เวลาถูกผมด่าถึงได้เอาแต่นั่งยิ้มแบบนั้น
...ผมเลือกที่จะไม่ลงไปเล่นกับสงครามประสาทกับเขา โดยการเลิกสนใจเขา แล้วหันมาสนใจข้อมูลที่อยู่ในไอเพดแทน ส่วนมากจะเป็นรายละเอียดเรื่องการรีโนเวทร้าน กับตัวอย่างที่อินทีเรียส่งมาให้ดูคร่าว ๆ
นั่งดูรายละเอียดอยู่ไม่ถึงสิบนาที เฮียเหรียญก็เดินเข้ามาพร้อมกับทนายที่นัดเอาไว้
“สวัสดีครับซ้อ” ทนายกล่าวทักทายตามปกติ ก่อนผมจะตอบกลับ
“สวัสดีครับคุณนิรุจน์ นี่คุณกรรณครับ” ผมว่าก่อนจะผายมือไปยังอัลฟ่าที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“สวัสดีครับ” กรรณเอ่ยทักทายตามมารยาท
“เรามาเริ่มเลยดีกว่าครับ จะได้ไม่เสียเวลา” ผมว่า
ทนายเปิดกระเป๋าสี่ดำที่ถือเข้ามาด้วย พลางหยิบเอาเอกสารที่สั่งเอาไว้เมื่อวานออกมาสองฉบับ ฉบับแรกเขาส่งมาที่ผม ส่วนอีกฉบับเป็นของกรรณ
“อ่านรายละเอียดทุกบรรทัดก่อนเซ็นเอกสารนะครับ หากมีข้อไหนสงสัยสามารถสอบถามได้ทันที”
ผมไล่สายตาอ่านทุกตัวอักษรบนกระดาษเอสี่อย่างถี่ถ้วน ข้อตกลง และผลประโยชน์ทุกอย่างแบ่งสันปันส่วนกันอย่างยุติธรรม ผมจึงไม่มีอะไรที่ต้องคัดค้าน
“คุณกรรณมีปัญหาตรงไหนหรือเปล่าครับ” ผมถามออกไป เพราะเห็นว่าเขานั่งขมวดคิ้ว
“สัญญาเงินกู้น่ะ ข้อสุดท้ายสัญญาระบุว่า ผู้กู้ตกลงว่าจะผ่อนชำระคืนเงินให้กับผู้ให้กู้เป็นรายเดือน นับตั้งวันที่ร้านเปิดบริการ จนถึง 31/12/xx”
“ครับ?”
“คร่าว ๆ ก็ประมาณสามถึงสี่ปีเองนี่ครับ”
“ครับ ระยะเวลาน้อยไปเหรอครับ”
“น้อยไปครับ...”
“คุณสะดวกแบบไหนครับ ถ้ามันไม่นานไปผมก็พอจะยืดเวลาให้ได้”
“ทั้งหมด...” ว่าจบเขาก็หันมาสบตานิ่ง
“...?” ผมหรี่ตามองเขาอย่างสงสัย นี่เขาต้องการจะพูดอะไรกันแน่ หรือว่าจะแกล้งอะไรผมอีก
“ผมต้องการเวลาทั้งหมดของคุณ”
ไอ้เวรนี่!!! ตอนคลอดหมอทำมันหลุดมือหรือไง ถึงได้เอาแต่พูดจาพิลึกอยู่เรื่อย "...!?" หางตาผมเหลือเห็นทนายยกกาแฟขึ้นดื่ม ก่อนจะผินหน้าไปทางอื่นทำทีไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
“คุณบอกเองนี่ครับ ยังไงผมก็หนีคุณไปไหนไม่พ้นอยู่แล้ว”
ท่ามกลางความเงียบดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องมาที่ผมราวกับจะบอกว่าสิ่งที่พูดออกมาเขาไม่ได้พูดเล่น
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก...
นี่ผมโมโหเขาจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงขนาดนี้เลยเหรอ ใบหน้ารู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาแปลก ๆ ชอบกล
“เลิกพูดเล่นสักที ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็มาทำให้จบเถอะครับ เรายังต้องคุยกับอินทีเรียต่อ” ว่าจบผมก็หยิบปากกาขึ้นเซ็นชื่อที่ช่องผู้ให้กู้ กรรณเองก็เซ็นของตัวเองเช่นกัน
ทนายตรวจเช็กความถูกต้องอีกรอบ เมื่อทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่น ผมจึงสั่งให้เฮียเหรียญออกไปส่งทนาย และให้คนเตรียมรถเอาไว้เพื่อไปคุยกับอินทีเรียต่อที่ร้านในเวลาต่อมา
ระยะทางจากบ้านผมไปยังกลางซอยไม่ไกลมาก แต่ก็เราก็เลือกเดินทางด้วยรถตู้ ภายในรถไม่มีใครพูดอะไรจนกระทั่งมาถึงที่ร้าน บอดี้การ์ดที่ผมสั่งให้มาเฝ้าร้านเอาไว้ยืนอยู่จำนวนหนึ่ง เมื่อเดินเข้ามา จะมีส่วนที่ถูกซ่อมไปบ้างแล้วแต่นั่นก็ยังไม่ถูกใจผมเท่าไหร่นัก
กรรณพาผมขึ้นมายังชั้นสามที่เป็นห้องพักของเขา ยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไปมันก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน
คนตัวเล็กในชุดเสื้อยืดสีชมพูธรรมดา ๆ แต่ทว่ามันกลับดูเข้ากับเขาอย่างบอกไม่ถูก ผิวขาวเหลืองขัดรับกับผมสีบลอนด์ ดวงตากลมโตใสเป็นประกาย เขาดูน่ารักจนขนาดที่โอเมก้าอย่างผมยังต้องหยุดมอง
“อ้าวเฮีย” คนตัวเล็กว่า “หายไปเลยนะ ร้านก็ไม่ค่อยอยู่”
“ช่วงนี้มีงาน ว่าแต่จะออกไปไหน”
“นัดสิงห์ไว้ ช่วงนี้ใกล้สอบแล้ว” ว่าจบเขาก็หันมาสบตาผม ก่อนจะหันไปคุยกับกรรณต่อ “อย่าทำในครัวกับห้องน้ำเลอะ กูไม่อยากเดินเหยียบ”
“รู้แล้ว ๆ บ่นเป็นแม่กูเลย” ท่าทีของพวกเขาดูสบายกันมาก ๆ นี่คงเป็นน้องชายที่เคยพูดถึงสินะ คนตัวเล็กเดินออกจากห้องไป กรรณถึงได้ดึงผมเข้ามาก่อนประตูจะปิดลง
ผมเคยขึ้นมาที่นี่หนหนึ่ง แต่ก็แค่หน้าประตู รอบนี้ผมได้ขึ้นมาอีกครั้ง และจะไม่พลาดเหมือนครั้งก่อน
ผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องไม่ได้เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่ ภายในห้องคล้ายกับคอนโดฯ มากกว่า ห้องถูกแบ่งสัดส่วนเป็นโซนชัดเจน ไม่คิดว่าจะเรียบร้อยขนาดนี้
“ดื่มน้ำก่อนสิ” กรรณว่าพลางถือแก้วน้ำดื่มวางไว้ตรงหน้า ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวที่มีเพียงตัวเดียวภายในห้อง
“ขอบใจ...” ผมบอกออกไปตามมารยาท “คนนั้นน้องที่เคยเล่าให้ฟังเหรอ”
“ครับ น่ารักใช่ไหม”
“อืม...น่ารักจนคิดว่าพ่อกับแม่มึงอาจจะเก็บมึงมาเลี้ยง” ผมว่าออกไปตามที่คิด เป็นพี่น้องที่ดูต่างกันสุดขั้ว ทั้งรูปร่างหน้าตา และอาจจะรวมถึงนิสัยใจคอ
“ปากร้ายเหมือนกันนะเรา”
“...” ผมไหวไหล่ไปมาเป็นคำตอบ แล้วเริ่มเปิดประเด็น “นี่เป็นแบบร้านที่คุยกับอินทีเรียไว้คร่าว ๆ มึงลองเอาไปดู อยากปรับตรงไหนก็รอคุยกับอินทีเรียอีกที”
กรรณรับไอเพดเอาไว้ ก่อนจะเลื่อนดูรูปต่าง ๆ ระหว่างที่รออินทีเรีย
“คุณออกแบบเองเหรอ”
“ไม่ทั้งหมด”
“ผมชอบนะ แต่ในฐานะที่ผมช่ำชองกับแหล่งอโคจรที่สุด ผมว่ายังมีจุดต้องปรับอยู่บ้าง” เขาว่าอย่างภาคภูมิใจราวกับนั้นเป็นความสามารถพิเศษของเขา ใบหน้ามั่นใจของเขาทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ตอนเด็กแม่ป้อนความมั่นใจให้กินแทนซีรีแล็คเหรอ ถึงได้มั่นหน้าขนาดนั้น
กรรณค่อนข้างเป็นตัวเอง เขาดูสบาย ๆ กับทุกอย่างที่เข้ามา เวลาที่ผมอยู่กับเขาผมก็พลอยรู้สึกสบายใจไปด้วย ถึงแม้บางครั้งเขาจะทำให้ผมรู้แปลก ๆ ไม่เป็นตัวเองไปบ้าง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ซ้อครับอินทีเรียมาแล้ว”
“เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก” กรรณตะโกนบอกแทน
ประตูเปิดออกหลังสิ้นสุดคำสั่ง อาหลงบอดี้การ์ดอีกหนึ่งคนที่ผมสนิทก็เดินเข้ามาพร้อมกับเอาอินทีเรียเข้ามาส่ง
เรากล่าวทักทายกันตามมารยาท ก่อนจะเริ่มคุยเรื่องรายละเอียดอื่น ๆ กันอีกหลายชั่วโมง ยังมีจุดที่กรรณต้องการแก้เยอะกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ที่ผิดคาดเลยคือผมได้เห็นอีกมุมของกรรณ
ลูกบ้าที่เขามีไม่มีอยู่ในระหว่างที่คุยงานกันเลยแม้แต่น้อย เขากลายเป็นอีกคนที่ผมไม่เคยรู้จัก รายละเอียดเล็ก ๆ เขาก็ไม่ปล่อยผ่านหรือมองข้ามไป พาร์ทของการทำงานจัดว่าดีใช้ได้เลยทีเดียว
“ผมอยากแกจุดนี้ มองด้วยตาเปล่าก็พอรู้ว่าคานรับน้ำหนักไม่ไหว” กรรณว่าพลางหันมาปรึกษาผม
“แต่ถ้าตรงนี้เอาออกไปมันจะไม่สวย” ผมว่า
“งั้นคุณลองเปลี่ยนแชนเดอเลียร์ให้เล็กลงมาหน่อย”
“อันนี้ผมเห็นด้วยกับคุณกรรณนะครับ คานตรงนี้รับน้ำหนักไม่ไหวแน่ ๆ” อินทีเรียว่า
“ก็ได้ เดี๋ยวผมจะลองส่งแบบอื่นไปคุณก็แก้กลับมาแล้วกัน” ผมว่า
“คุณกรรณนี่ก็เก่งเหมือนกันนะครับ หลาย ๆ จุดคุณมองแป๊บเดียวก็รู้เลย”
กรรณฉีกยิ้มเบา ๆ “ผมจบ’ โยธาน่ะครับ”
เขาหมายถึงวิศวะโยธาน่ะเหรอ อย่างหมอนี่เนี่ยนะ
“ถึงว่าล่ะ ว่าแต่คุณกรรณเรียนที่ไหนมาเหรอครับ เผื่อว่าโลกจะกลม”
“ผมจบจาก NMIT”
หืม... นั้นมันอยู่นิวซีแลนด์นี่ เด็กนอกหรอกเหรอ คำตอบของเขาทำให้ผมอึ้งไปไม่น้อย จู่ ๆ ความมั่นใจที่ว่าตัวเองรู้จักเขา กลับกลายเป็นว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย
เขาเป็นใครกันแน่?
หลังจากตกลงเรื่องค่าใช้จ่าย และสัญญาเรียบร้อย ผมพาตัวเองกลับมาพักที่บ้านในเวลาต่อมา ความเมื่อยล้าทำให้ร่างกายต้องการปะทะกับเครื่องดื่มแรง ๆ สักแก้ว เพื่อจิบระหว่างนั่งทำบัญชีไปด้วย
เมื่อเครื่องดื่มรสร้อนไหลลงคอได้ที่ บุหรี่ม้วนสีขาวก็ถูกจุดจนไฟขึ้นสีแดงฉานที่ส่วนปลาย ริมฝีปากดูดเอาสารต่าง ๆ เข้าสู่ปอดลึกก่อนจะพ่นมันออกมาคละคลุ้งไปทั้งห้อง ตั้งใจว่าจะเลิกสูบจริง ๆ จัง ๆ แต่ก็ยังทำได้แค่ลดปริมาณลงมาเพียงเท่านั้น
ผมง่วนอยู่กับการเก็บเอกสารที่กองเท่าภูเขา การดูแลอาณาเขตไม่ได้มีเพียงแค่เก็บค่าคุ้มครองจากร้านค้าต่าง ๆ อย่างเดียว ยังมีเงินกู้นอกระบบป๊าทำเอาไว้ก่อนหน้า และร้านสักที่ผมใช้เงินของผมทุกบาทเปิดมันขึ้นมาตามความชอบของตัวเอง
“ซ้อครับ” เสียงเฮียเหรียญเรียก ผมก็วางปากกาลงก่อนจะเอ่ยรับ
“เข้ามาได้ครับ”
เหรียญเดินเข้ามาในห้องทำงานที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นบุหรี่จาง ๆ ถึงมันจะเบาบาง แต่ก็ยังมีกลิ่นโชยเข้ามาแตะจมูก บางครั้งเขาก็คิดว่ากลิ่นนิโคตินอาจจะเป็นกลิ่นฟีโรโมนของเป่ยไปเสียแล้ว
“สามคนนั้นที่เราส่งกลับไปแจ้งข่าวมาแล้วครับ ตอนนี้เฮียอี้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ดูท่าเรื่องจะยาวกว่าที่คิดครับ อีกไม่นานก็คงมาหาเราที่นี่”
“งั้นก็เตรียมคนเอาไว้รอต้อนรับแขกด้วย”
“แล้วสองพ่อลูกนั่นที่ให้ผมไปลากคอมาเอายังไงต่อ”
“คุ้มครองพวกมันไว้ เรื่องนี้จัดการจบเมื่อไหร่ค่อยปล่อยตัวมัน ตอนนี้เป่ยเป็นห่วงเด็ก เด็กไม่รู้เรื่องอะไรด้วย"
"แล้วถ้าคุณท่านรู้ล่ะครับ"
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกฝ่ามือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองไปมาก่อนจะพึมพำไม่เป็นภาษาอยู่คนเดียว ช่วงนี้ถึงมีแต่เรื่องให้ปวดหัวอยู่ตลอดเลยแฮะ
"เคลียร์เรื่องเฮียอี้ให้จบค่อยว่ากัน แล้วก็บอกไอ้สามตัวนั้นให้จับตาดูฝั่งนั้นไว้ก่อน ถ้ามันตุกติกก็ยิงทิ้งได้เลย” ผมว่า
สามคนที่ผมหมายถึงก็คือพวกที่ไปพังร้านกรรณจนเละนั่นแหละ ผมส่งพวกมันกลับไปพร้อมกับข้อความไปฝากเฮียอี้เรื่องยาที่ถูกทำลายทิ้ง และให้คอยสืบความเคลื่อนไหวของกลุ่มเฟิ่ง ที่ผมทำแบบนี้เพราะผมรู้ดี ไม่มีอะไรเจ็บปวดเท่ากับการถูกคนในทรยศ
“ครับ ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะรีบมารายงาน”
“เออเฮีย...ผมฝากอีกเรื่องสิ”
“...?”
“ช่วยสืบประวัติของกรกรรณทั้งหมดเท่าที่จะหาได้มาให้ผมที”