ผมมองดูเวลาที่ข้อมือก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อรวบรวมประเด็นข้อสงสัยทั้งหมดแล้วยุบรวมกันให้มันเหลือแค่ไม่กี่ประเด็น ประเด็นแรกที่ผมอยากรู้จริง ๆ คือเรื่องที่น้องภูเอาแต่หนีผม แต่ตอนนี้มันชัดเจนจนผมไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องถามซ้ำแล้ว
ประเด็นที่สองคือคำพูดที่เหมือนน้องภูรู้อนาคตในตอนนั้น
‘พ่อคุณกำลังจะได้พักงาน เขาจะมีเวลาว่างสามวัน ให้คุณใช้เวลาในช่วงนี้อยู่กับเขา’ผนวกเข้ากับเรื่องที่ผมเห็นเต็ม ๆ ตาวันนี้ที่น้องภูมีกำไลอันนั้นอยู่ในมือ ซึ่งถ้าจะบอกว่าน้องภูขโมยมาไว้กับตัวก็คงจะไม่ใช่ เพราะเขาไม่ใช่คนแบบนั้น แล้วก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะทำแบบนั้นด้วย จะบอกว่าแขกที่ทำหายแอบเข้าไปห้องทำงานภูริก็ดูไม่มีมูล ทว่ากำไลนั้นกลับมาอยู่บนมือภูริทันที หลังจากที่เธอคนนั้นร้องขอ ...ราวกับภูริเสกมันขึ้นมาได้ และยิ่งรวมกับ‘คำขอ’ ที่คุณมะปรางพูดถึงเมื่อเช้า ผมก็เห็นจุดเชื่อมโยงบางอย่าง
...ความปรารถนาของเราจะสัมฤทธิ์ได้อย่างง่ายดายเมื่อ‘ขอ’ กับผู้ประทานพร ซึ่งก็คือ‘ภูริ’ นั่นเอง แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะถูกทั้งหมดนะ เพราะมันฟังดูเหลือเชื่อมาก ๆ ถ้าคนเราจะสามารถประทานพรให้กันได้จริง ๆ ฉะนั้นผมก็ยังต้องถามจากภูริตรง ๆ เพื่อยืนยันอยู่ดี
อีกประเด็นคือความลับระหว่างเขากับพ่อผม พวกเขาปิดบังอะไรบางอย่างไว้ ซึ่งผมเดาไม่ออกเลยว่าทั้งสองคนปิดบังอะไรอยู่
และประเด็นถัดมาคือ คำขอนั้นแลกด้วยอะไร บาดแผลหรือเปล่านะ? เพราะที่ผ่านมาผมมักจะเห็นภูริเลือดออกอยู่หลายครั้ง แต่ทว่าไม่ถึงวันภูริกลับไม่เหลือรอยแผลหรือรอยเลือดพวกนั้นอยู่เลย หรือถ้าไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วมันเป็นสิ่งอื่นที่ผมพอจะหามาคืนได้ ผมก็จะคืนให้เขา
เราจะได้ไม่ต้องติดค้างอะไรกันอีก
ก็คง...มีแค่นี้ล่ะมั้ง?
ติ๊ง!เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ก่อนจะปรากฎข้อความบนแถบการแจ้งเตือนบนสุด ซึ่งเนื้อหาในข้อความนั้นเป็นเพียงคำพยางค์เดียว หากแต่สามารถพังอารมณ์ที่เริ่มคงที่ของผมได้ทันที
คุณมี 1 ข้อความใหม่จากMaprang
Maprang: คุณรู้จักภูริแบบนี้ คุณรู้จักวสันต์ด้วยหรือเปล่าคะ?
ขอบมืดเริ่มกัดกลืนระยะการมองเห็นทีละเล็กทีละน้อย ก่อนจะค่อย ๆ บดบังนัยน์ตาผมจนผมมองไม่เห็นอะไรอีก ...ภายใต้ความเงียบงันในห้องรับรองที่มีแต่ผมเพียงลำพัง
ผมกลับได้ยินเสียงคนพูดอยู่ข้าง ๆ หู
‘ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!’
‘อ...อย่า.. อ..อึก..’
‘...ช่วยด้วย.. ช่วยด้วย ช่วยผม..ที’
‘ภ.. อย่า.. อ๊ากกกก’...เขาร้องใส่หูผม ทำเสียงที่เหมือนมีดเฉือนเนื้อใส่หูผมจนผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนหั่น เขาพยายามตะเกียกตะกายออกไป แต่เหมือนถูกตรึงร่างกายเอาไว้ไม่ให้หนี เขาได้แต่ร้องไห้ ส่งเสียงอ้อนวอนขอชีวิต ร้องอยู่อย่างนั้น กระทั่งผมไม่ได้ยินเสียงอะไรของเขาอีกต่อไป
“วสันต์..” สองมือผมขยี้หัวตัวเองให้สลัดออกจากโลกสีดำเมื่อครู่ ผมสะบัดมันออก จิกแขน กัดริมฝีปาก ทำทุกวิถีทางให้รู้สึกเจ็บจนกว่าจะลืมเสียงพวกนั้นไปจากหัว เสียงของวสันต์
Peter.krit : เขาเป็นน้องชายผมครับ
พิมตอบไปทั้ง ๆ ที่ตัวสั่นไปหมด ขอล่ะ ขออย่าให้มันเป็นอย่างที่ผมคิดเลย
Maprang : ยังจำเรื่องที่เราคิดว่าคุณเป็นตำรวจได้มั้ยคะ
Maprang : ถึงจริง ๆ คุณจะไม่ใช่ตำรวจอย่างที่เราคิด แต่ถ้าคุณรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว หาหลักฐาน แล้วก็ออกห่างจากภูริเถอะนะคะ เขาน่ากลัวมากกว่าที่คุณจะจินตนาการได้
Maprang : ที่น้องชายคุณเสีย มันไม่ใช่อุบัติเหตุ หรือการฆ่าตัวตาย
Maprang : ภูริเขา...
ขอล่ะ... อย่า อย่าเป็นแบบนั้นเลยนะ
Maprang :
เขาคือสาเหตุที่ทำให้วสันต์ตายค่ะราวกับว่าโลกทั้งใบของผมหยุดหมุน และผมกำลังลอยเคว้งกลางอากาศที่มีแต่มลพิษ ผมรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก มองเห็นเพียงม่านหมอกสีเทาหม่นที่บดบังทัศนวิสัย ก้อนเนื้อในอกรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกบีบ ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นถูกหนึ่งความคิดขุดขึ้นมาจากส่วนที่ลึกที่สุดที่ผมฝังมันไว้ด้วยยาและกระบวนการรักษา
หากแต่ขณะนี้มันกลับมาโลดแล่นอยู่ในหัวผมแล้ว ...ภาพที่ผมทำได้แค่ร้องไห้ ทั้งที่ตัวเองรับรู้ทุกอย่าง แต่กลับไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเขาได้เลย
‘ฮัลโหล...นี่มึงทำไรอยู่อะ กลับบ้านยัง’
[...]
‘ฮัลโหล? วสันต์’
[ฉัวะ!]
‘เสียงอะไรอะ... ฮัลโหล ได้ยินกูพูดมั้ยเนี่ย’
[อ..อย่า.. ผมหายใจไม่ออก]
‘วสันต์เกิดอะไรขึ้น มึงเป็นอะไร เมื่อกี้เสียงอะไร วสันต์!’
[อึก... ฉัวะ! ช่วยด้วย...]...ตอนนั้นผมจำได้ดีว่ามันเป็นวันก่อนจะวันเกิดเขาแค่ไม่กี่วัน และผมก็กำลังเตรียมของขวัญส่งไปให้เขา เขาชอบต่อโมเดลมาก สีหน้าของเขาเวลาได้เพลินกับชิ้นส่วนของโมเดลนั้นดูมีความสุขมาก ของขวัญที่ผมเลือกให้เขาในปีนั้นจึงเป็นโมเดลที่คิดว่าเขาน่าจะยังไม่เคยต่อ ...โมเดลสถานีอวกาศ
ผมกดสั่งผ่านเว็บไซต์แล้วให้เขาไปส่งถึงบ้านของวสันต์ หลังจากที่ทำรายการสั่งซื้อเสร็จเรียบร้อยผมก็เห็นว่าเวลาของไทยมันช่วงเย็นพอดี เขาน่าจะเลิกเรียนแล้ว ก็เลยโทรไปหาตามปกติ ทว่าพอปลายสายตอบรับการสนทนาแล้ววสันต์กลับไม่พูดไม่จาอะไรเลย
ผมคิดว่าบางอย่างคงไปทับหน้าจอจนมันรับสายเอง ซึ่งจริง ๆ วสันต์อาจจะไม่ว่าง ฉะนั้นผมก็เลยจะวางสาย แต่จังหวะที่ผมกำลังจะตัดสายทิ้งนั่นเองที่มีเสียง ๆ หนึ่งดังเข้ามาจนผมใจหล่นวูบไปอยู่ที่ปลายเท้า
เสียงที่ดังเข้ามาเป็นเสียงคล้ายกับคมมีดที่เฉือนเข้าเนื้อ มันดังอยู่เรื่อย ๆ โดยมีเสียงร้องแทรกอยู่บ้าง และผมก็จำได้ดีเลยว่าเสียงร้องที่ได้ยินมันคือเสียงของวสันต์ เขาพร่ำร้องเรียกให้ใครสักคนเข้ามาช่วยเหลือ พยายามตะเกียกตะกายออกมา หากแต่เสียงของเขากลับยิ่งเหนื่อยอ่อนมากขึ้นทุกที ๆ จนท้ายที่สุดแล้ววสันต์ทำได้แค่เพียงสะอื้น พร่ำคำที่ไม่เป็นภาษาออกมา ก่อนจะเงียบไปในที่สุด
ซึ่งผม...
ถือสายอยู่ตลอดการสนทนากระทั่งเขาเงียบไปแล้วผมก็ยังไม่กล้าวาง ผมไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น วสันต์ถูกใครทำร้าย เสียงเฉือนเนื้อที่ผมได้ยินมันคือเสียงอะไร ..ทั้งหมดผุดขึ้นเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้
เสียงร้องของวสันต์ทำผมใจสลาย ผมทรุดลงกับพื้น พยายามตะโกนใส่โทรศัพท์ซ้ำ ๆ ให้ฆาตรกรที่กำลังทำร้ายเขาหยุดการกระทำ ผมกรีดร้อง ตะคอกใส่โทรศัพท์ทั้งน้ำตา แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันเปล่าประโยชน์
‘ก...กูจะไม่วาง ไม่วางหรอกนะไม่ต้องห่วง กูจะอยู่เป็นเพื่อนมึง’จนผมเริ่มรู้สึกเจ็บเวลาเปล่งเสียงออกมา คำว่า‘หยุดเดี๋ยวนี้’ ‘ออกไปจากเขาเดี๋ยวนี้’ ก็มีเพียงเสียงลมแหบ ๆ ที่ส่งผ่านสายการสนทนา ผมจึงนอนกอดโทรศัพท์ของตัวเองเอาไว้ แล้วเลือกที่จะอยู่เป็นเพื่อนเขาแทน แม้เขาอาจจะไม่อยู่ให้ผมเป็นเพื่อนตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ตาม
สองชั่วโมงผ่านไป... ผมก็ยังคงร้องไห้อยู่แบบนั้น กอดโทรศัพท์เอาไว้ไม่ปล่อย หวังแค่เพียงให้ไออุ่นจากอ้อมกอดนี้ส่งผ่านไปถึงร่างกายของเขา
ห้าชั่วโมงผ่านไป... ความเหนื่อยล้าเริ่มเกิดขึ้น แต่ผมไม่กล้าแม้แต่จะหลับตาลง ผมกลัวว่าถ้าผมหลับไปแล้วสายสนทนาของพวกเราจะตัด ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเพราะถ้ามันตัด...เราก็คงไม่มีโอกาสได้โทรหากันอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ผมยังอยากอยู่ข้าง ๆ เขา อย่างน้อยก็ให้มากกว่านี้
‘ของขวัญวันเกิดมึงกูซื้อโมเดลให้ด้วยนะ มึงอยู่รอรับของขวัญกูก่อนนะวสันต์ โอเคมั้ย’
[…]
‘ได้ยินแล้วตอบกูหน่อยนะ... ขอร้อง.. ไม่เอาแบบนี้ ไม่เอา กูจะอยู่ยังไง..’
[…]
‘อยู่โตไปพร้อมกูก่อนไม่ได้เหรอวสันต์’
หากพระเจ้ามีจริงท่านก็ควรจะปกป้องเด็กผู้ชายคนนี้สักนิด เขาเพียงเกิดมา และเติบโตได้ยังไม่ถึงครึ่งของชีวิต เขายังมีเพื่อน มีสังคม มีเรื่องราวมากมายรอให้พบเจอ ทำไมเด็กคนนี้ถึงต้องมาเจอเรื่องราวอะไรแบบนี้ หรือเพราะท่านไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เด็กน้อยคนนี้เลยต้องถูกพรากไปเพราะความโชคร้าย เพราะอะไรกัน... ทำไมถึงต้องเป็นวสันต์...
ทำไมต้องพรากคนสำคัญของผมไปด้วย
(บุคคลที่สาม)...ม่านตาถูกฉาบด้วยหยาดน้ำสีใส ฟันบนและฟันล่างขบกันอย่างแรงเพื่ออดกลั้นอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัว เส้นเลือดที่หลังมือและแขนทั้งสองข้างปรากฎขึ้นเพราะกฤตพัฒน์กำหมัดแน่น เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่ความทรงจำที่ฉายขึ้นมาก็ยังไม่เลือนรางหายไป กดให้เขาดำดิ่งสู่ก้นบึ้งของความเลวร้าย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงประตูที่ถูกเปิดออก ผู้ชายในชุดสูทเดินเข้ามา เขาดูจะตกใจไม่น้อยที่ภามกำลังร้องไห้ แต่ก็ยังควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าให้นิ่งเรียบได้จนบรรยากาศระหว่างพวกเขามีเพียงความอึดอัด
“คุณโอเคหรือเปล่า?” ภูริเอ่ยถาม หลังจากที่เดินเข้ามาแตะตัวพี่ภามแล้วอีกฝ่ายไม่ตอบสนองเลย
“...” ภามหันมามองเขาอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะสูดสะอื้น แล้วปาดคราบน้ำตาของตนเองออก ภาพลักษณ์ของพวกเขาทั้งสองคนดูตรงกันข้ามเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่พบกัน ครั้งนั้นภูริเอาแต่ร้องไห้ อ่อนแอจนภามเห็นแล้วสงสาร ทำให้เขาได้เข้าไปมอบความอบอุ่นผ่านความห่วงใย จนได้รู้จักกันมาถึงทุกวันนี้ ทว่าวันนี้กลับเป็นภามเองที่อ่อนแอ เขาร้องไห้หนักแต่ยังพยายามแสดงเปลือกที่ดูเข้มแข็งนั่นเอาไว้ แม้ใต้เปลือกจะแหลกสลายจนไม่เหลือเค้าเดิมไปแล้ว
และครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมอบไออุ่นให้เขาได้เลย
“ผมกลับมาแล้ว ขอโทษที่ปล่อยให้รอนาน” ภูริหันกลับไปนั่งฝั่งตรงข้ามเมื่อเห็นว่าภามไม่ได้นั่งเหม่ออีกต่อไปแล้ว “คุณถามผมมาได้เลย อะไรที่คุณสงสัยผมจะตอบให้หมด”
“ไม่” กฤตพัฒน์พูดเสียงแข็งกร้าว“ผมไม่มีอะไรจะถามแล้ว”
“...” ภูริมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้จะดึงดันอะไรต่อ ถ้าภามไม่มีอะไรที่สงสัยแล้ว นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี...สำหรับเขา“คุณจะกลับแล้วหรอ”
“ผม...” อีกฝ่ายไม่ได้ให้คำตอบเขาในทันที หากแต่อ้ำอึ้งอยู่นาน จนเขาต้องพูดขึ้นมา
“มีอะไรก็บอกผมมาได้เลยครับ”
“...” คราวนี้ภามก้มหน้า มือของภามประสานกันแน่นเหมือนเขากำลังรวบรวมความกล้า ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วประสานสายตาที่ดูมุ่งมั่นของเขาเข้ากับสายตาที่นิ่งเรียบของภูริ
“…”
“ผมอยากขอ..”
“…!”
“ขอให้คุณเล่าทุกอย่างตอนที่วสันต์ตายให้ผมฟังครับ”...แน่นอนว่าภูริเลือกไม่ได้ ฉะนั้นแล้ว นัยน์ตาสีดำสนิทของภูริจึงเริ่มปรากฏฝ้าควันสีหม่นพาดผ่าน พื้นที่รอบข้างมืดลงจนเหลือแค่พวกเขาสองคนที่เห็นกันและกัน ก่อนที่ภูริจะถูกอำนาจของหมู่ดวงวิญญาณบังคับให้ริมฝีปากที่พยายามเม้มแน่นนั้นคายเรื่องราวที่ถูกซ่อนเอาไว้
“ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ”ชีวิตคน ๆ หนึ่งแลกกับคำว่าไม่ได้ตั้งใจน่ะเหรอ? กฤตพัฒน์มองหน้าคนที่ดูใสซื่ออย่างภูริอย่างไม่เชื่อสายตา
“ผม...ผม..” น้ำตาหยดลงอาบแก้มสีซีด ก่อนที่ริมฝีปากสีเสือดจะพูดต่อ“มือ.. มือของผม เล็บมันยาวขึ้นเอง”
“…”
“ผมผลักให้เขาล้มลง แล้วก็ขึ้นไปบนตัวเขา..” ภูริตัวสั่น ความหวาดกลัวเข้าครอบงำจนเขาไม่อาจจะควบคุมตัวเองไว้ได้ “เล็บผมฟาดลงบนอกของเขา.. แขนของเขา แล้วก็คอของเขา”
“…”
“เขาพยายามจะหนี.. แต่แขนเขาขาดไปแล้วเขาเลยขยับมากไม่ได้” ครานี้เป็นฝ่ายกฤตพัฒน์ที่เริ่มกลับมาสะอึกสะอื้นอีกครั้ง ภามอึ้งจนอ้าปากค้าง ในหัวเริ่มต่อชิ้นส่วนที่ตัวเองมีเข้าด้วยกันก่อนจะพบว่ามันเหมือนจะตรงกับที่ภูริกำลังเล่าหมดทุกอย่าง “วสันต์ร้องไห้ เรียกให้ใครต่อใครเข้ามาช่วย แต่ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว ก็เลยไม่มีใครได้ยิน”
“…”
“เล็บของผมก็เลยฟันเขาซ้ำ ๆ จนเขาร้องเรียกใครไม่ได้อีกแล้ว”บรรยากาศสีมืดรอบข้างเริ่มจางลง เช่นเดียวกับหมอกควันสีขุ่นที่ไม่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว ชายหนุ่มผู้ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งหลุดออกจากพันธนาการกลับเข้าสู่ความเป็นจริง
...ความจริงที่เขากลายเป็นฆาตรกรไปแล้วในสายตาของคนที่เขารัก
‘ขอบคุณที่มาหากันนะ’ ภูริพยายามจะเปล่งเสียงออกไป แต่กลับไม่มีแรงมากพอจะพูดไหว เขาเริ่มสะอึกเพราะลมหายใจถูกตัดขาด มือสองข้างเริ่มอยู่ไม่สุข ทั่วทั้งร่างสั่นไปหมด ขณะที่ดวงตาค่อย ๆ ลอยขึ้นและเปลือกตาเริ่มปิดลงมานั้น เลือดก็ไหลออกมาจากหางตาด้านขวา แล้วภูริก็แน่นิ่งไปในที่สุด
‘ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ’ ภูริไม่รู้เลยว่าภามจะเชื่อที่เขาบอกมั้ย แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง สิ่งหนึ่งที่ภูริหวังก็คือ ได้โปรด...เชื่อใจกันอีกสักครั้ง
‘ที่ไล่ให้กลับไปก็เพราะว่าอยากให้พี่ภามมีความสุขไง ถ้ายังพัวพันกันอยู่แบบนี้จะอันตรายกับพี่ภามนะ พวกเราน่ะ ต่างคนต่างเดินไปตามเส้นทางของตัวเองมันดีที่สุดแล้ว พี่ภามจะปลอดภัย ภูริก็จะชีวิตที่เหลืออยู่แบบไม่ต้องมีห่วง แต่ก็จะไม่ลืมหรอกนะว่าพี่ภามเป็นพี่ชายที่แสนดีที่ครั้งหนึ่งคอยอยู่ข้าง ๆ กันตอนที่อ่อนแอ ขอบคุณพี่ภามมาก แต่ได้โปรด... โกรธแล้วก็เกลียดภูริทีเถอะนะ’ สิ่งหนึ่งที่คิดอยู่ในใจดวงน้อยของภูริ หากแต่เขาไม่อาจพูดมันออกไป
...นาฬิกาชีวิตของพวกเราต่างก็กำลังลดถอยลงเหมือนกันทั้งคู่ แม้ของภามจะลดทีละวินาที ซึ่งช้ากว่าของภูริมาก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้ภูริจะต้องแลกอายุขัยอันน้อยนิดของตนเองเพื่อสนองความปรารถนาของคนอื่นจนภูริต้องตายจริง ๆ ภูริก็ไม่เสียใจแล้ว
ก็...ครั้งหนึ่งภูริเคยทั้งได้รับความรักและได้มอบความรักให้คนสำคัญในชีวิตไปแล้ว
ทั้งแม่ พี่มิ้นต์ คุณยายไพลิน แล้วก็...พี่ภาม
‘ไว้ชาติหน้าเราค่อยกลับมารู้จักกันใหม่นะ’...ฝั่งภาม ประตูของความรู้สึกก็ไม่อาจปิดไว้ได้อีกเมื่อเขารับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากอีกฝั่งของสายสนทนา และที่สำคัญ...ฆาตรกรที่เขาตามหามาทั้งชีวิตอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาแค่นขำให้กับโชคชะตาของตัวเอง ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าบุคคลที่เขาอยากจะฆ่าให้ตายมากที่สุดจะเป็นคนที่เขาเฝ้าตามติดแถมยังไปร้องขอความเห็นใจราวกับตัวเองเป็นสุนัข
“เธอเห็นคนที่เข้ามาหาคุณภูริมั้ย ที่เขาบอกว่าเป็นเพื่อน” เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากข้างนอกห้อง เล็ดรอดเข้ามาให้ภามได้ยิน ซึ่งพอเห็นว่ากล่าวถึงตนเองเขาก็หันไปตามเสียง แล้วก็ตั้งใจฟังบทสนทนาข้างนอกห้องอย่างใคร่รู้
“เพื่อนจริงอะ?”
“น่าจะมั้ง ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดีเนอะ...”
“อือ นี่ฉันพึ่งไปข้างนอกกับคุณภูริมา ฉันก็ถามเขาเรื่องเพื่อนคนนี้นี่แหละ พอฉันพูดขึ้นมาคุณภูริเขานี่ยิ้มแบบโลกดูสดใสขึ้นมาทันทีเลยอะ”
“ฮ่า ๆ เขาก็คงดีใจแหละ เขาไม่ค่อยมีเพื่อนน่ะ เพื่อนคนล่าสุดของเขาก็ตั้งแต่ตอนมอปลายนู่นมั้ง พอฉันเห็นคนนี้มาบอกว่าเป็นเพื่อนของคุณภูฉันก็ยิ้มเหมือนเขาเลย ไม่รู้สิ...ฉันทำงานที่นี่มานาน เห็นเขามีความสุขบ้างฉันก็พลอยดีใจไปด้วย”
...ไม่นานนักเสียงจากบทสนทนาก็ห่างออกไปไกลจนหลุดระยะที่จะทำให้ภามได้ยิน ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีน้ำทะเลจึงหันกลับไปมองอีกคนที่ฝั่งตรงข้ามที่นอนนิ่งด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย กฤตพัฒน์ถอนหายใจ ก่อนจะเรียบเรียงความคิดตัวเองอีกครั้ง
มาถึงตรงนี้ก็แน่นอนว่าความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้มันมลายหายไปหมดสิ้น ทิ้งไว้ก็เพียงความเศร้าโศก และความเกลียดชัง
ภาพความทรงจำในวันนั้นยังคงสะท้อนให้รู้สึกเจ็บปวดอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเขามองไปที่ร่างของคนฝั่งตรงข้าม ฝ่ามือของเขา... เล็บของเขา... ใบหน้า... และลำตัว ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เคยทำร้ายน้องชายของเขา ซึ่งตอนนี้ทุกสิ่งที่เขาเห็นและคิด มันกำลังฝังรากลึกลงไปในจิตใจ ต่อให้ตายภามก็คงไม่มีวันลืม
กฤตพัฒน์ไม่ได้ร้องห่มร้องไห้อะไรอีกต่อไป เขาเพียงมองดูเรือนร่างของฆาตรกร และคิดไปถึงเรื่องราวร้อยแปดระหว่างกันและกันในช่วงที่ผ่านมา
“เข้าใจแล้วว่าผมไม่ได้คิดไปเอง” ภามจ้องมองเรียวนิ้วของภูริด้วยความโกรธกริ้ว “คุณก็ชอบผมไม่ต่างกัน”
เขาไม่ได้สนใจว่าภูริจะรู้สึกตัวหรือยัง ต่อให้ได้ยินหรือไม่ได้ยินมันก็ไม่มีผลอะไรอีกต่อไปแล้ว
“ไม่สิ มันต่าง เพราะตอนนี้ผมคงชอบขยะอย่างคุณไม่ลง”
ภามทิ้งประโยคสุดท้าย ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วเดินไปหาร่างที่กำลังจมสู่ห้วงนิทราแห่งความเจ็บปวด เขาใช้สองแขนช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้น ก่อนจะอุ้มออกมา แล้วพาออกไปจากที่นี่
‘เขาหมดสติน่ะครับ ผมจะพาเขาไปหาหมอ’ นี่คือสิ่งที่ภามบอกกับคนที่รีสอร์ต พนักงานนับสิบคนมามุงดูอาการของภูริและถามคำถามนับร้อยพันกับเขา ทว่าดูเหมือนทุกคนจะวางใจทันทีเมื่อภามคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนจะอาสาเป็นคนพาคุณภูริของพวกเขาไปโรงพยาบาล
ซึ่งความเป็นจริงพวกเขาไม่รู้เลยว่าในหัวภามกำลังคิดอะไร
เขาคิดเพียงแค่ว่า...
‘คุณต้องชดใช้ในสิ่งที่คุณทำ ต่อให้คุณตายผมก็ไม่สน’...เขาจะแก้แค้นให้น้องยังไงให้สาสมใจที่สุด
TBC